5 ตุลาคม 2552 23:44 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
แจนแวน.. นกนาฬิกาฮีต..
หอมละอองฝนฝุ้งอรุณรุ่ง
กอดสายรุ้งรุโณทัยให้ชื่นฉ่ำ
ละอองโรยพึ่งจะเริ่มเริงระบำ
ล้อหยดน้ำปลายหญ้าทักทายดิน
นุ่มเสียงหยดสะกดใจให้เริงชื่น
กระทบพื้นเร้นกระจายสลายสิ้น
ให้ด้วง หนอน ใส้เดือนเพื่อนแผ่นดิน
ดื่มด่ำกินน้ำค้างใหม่ในอรุณ
อาทิตย์อุทัยฉายหล้าเบิกตาโลก
ดินชุ่มโฉกอุ่นระเหยเลยหอมกรุ่น
รุ้งยิ่งงามยามหล้ามาละมุน
ฉาบหมอกอุ่นบนลานน้ำตามคลองบึง
ฝน-สายลม คงอยู่ไกลไกลลิบลิ่ว
รุ่งทอดทิวดวงใจก็ไปถึง
ห้วงเวลาการซึมซับรับคำนึง
ขณะพึงสงบใจในภวังค์
เปรยเปรียบเทียบนกว่าเวลาบ้าน
คืนผันผ่านร้องแจ้งแห่งรุ้งสาง
โต้ตอบส่งขานรับกับระฆ้ง
ที่กังวานจากวัดวามาไกลโข
บทสวดบ้านนกแจนแวนเหววิโวก
บทกล่อมโลกนกดุเหว่าโวกวิโหว
บทสวดหล้าการเวกเหวกวิโว
บทสวดโห่ลิเห่เช้านกเขาชวา
ว่าเจ้าแจ้วเอาบุญมาหนุนร้อง
บอกฮีตคองว่างานออกพรรษา
ช่วงแจนแวนเว้าวอนอ้อนสายตา
สิบอกว่าไร้คู่อยู่ซมเซา
อุ่นข้าวต้มหุงข้าวสารแต่วานซืน
ร้อยพันหมื่นความกังวลคลายหม่นเหงา
พักเรื่องนาปลาน้ำไว้สักคราว
จดจ่อเอาบุญผลกุศลกรรม
ฟังเสียงโห่ร้องยืมของน้อง-เพื่อนบ้าน
แลกเปลี่ยนกันถ้อยอาศัยในรักฉ่ำ
ก่อนร่วมเดินไปวัดวาสู่อาราม
รับรู้ธรรมตามฮีตคองสิบสองบุญ
โอ้มูลมังใดใดในหล้าโลก
มรดกหนึ่งดำรงยังคงอยู่
แห่งอีสานถิ่นนี้สิเชิดชู
แก่สายตาทุกคู่ที่ดูเรา
ออกพรรษาลาพระสงฆ์สิขาแล้ว
พระ-เณรแก้วสู่บ้านสถานเก่า
ดำรงค่าโลกและธรรมอยู่นานเนาว์
ก่อนแบ่งเบาการงานในบ้านเรือน
ชนบทยังคงชนบท
บ้างรันทด-สุข-จริง-ปลอม-เสมือน
แต่อ่อนแอลงบ้างบางอย่างเตือน
ให้รู้ความบิดเบือนและเป็นไป
แม้เกิดมาความเป็นคนจะเท่านี้
ชนบทที่มีเต็มร้อยไม่
แต่พอแล้วตั้งแต่ต้นจนปั้นปลาย
หากปลดปลงก็หมายแคว้นแผ่นดินตน
หอมเอยหอมกว่าหอมคะนึงคิด
งามเอยงามล้วนวิจิตรลิขิตฝน
เกิดเอยเกิดแต่โลกโชคดีล้น
ในที่ตนควรแล้วสิรักเอย
เช้าใหม่ในวันออกพรรษา วันที่ฝนตกมาแต่ตีสี่ตีห้า
และหยุดในเช้ามืด ทำให้บรรยากาศงดงามมากเหลือ
มองท้องน้ำที่มีไอหมอกอุ่นๆ ลอยเลียบกอดผิวน้ำ
สะท้อนแสงพระอาทิตย์และแสงของรุ้งกินน้ำ ยามฟ้าอรุโณทัย
อีกทั้งละลองฝนที่ยังคงตกค้างหลงเหลือในอากาศ
ส่ายไหวไปมาเพราะแรงลมอ่อนๆ คล้ายกำลังเริงระบำรำฟ้อน
ซึ่งมีเสียงหยดน้ำนุ่มๆ หยดลงดินและใบหญ้า
อันพร้อมที่จะเป็นอาหารให้ด้วง หนอนและใส้เดือนดิน
ทั้งนี้การรับรู้กลิ่นหอมของดินอ่อนๆ ที่ระเหิดระเหย
สู่อากาศ แม้กลิ่นนั้นจะเคลียคลอจมูกเบาๆ
แต่สำหรับคนที่ห่างกลิ่นนี้ไปนานๆ รับรู้แล้วช่างหอมมากนัก
และที่ไม่เคยขาดไปไหนเลย ในยามออกพรรษานี้
เสียงนกที่คนชนบทอีสานเฝ้ารอคอยมาแสนนาน
ที่จะรับสดับฟัง เสียงของนก เสียงของนก
เสียงของนกแจนแวน ซึ่งเป็นภาษาชาวบ้านภาษาถิ่นเรียกกัน
เพราะจับจิตจับใจ ราวกับเป็นนาฬิกาจากบนสรวงสวรรค์
มาเพื่อเตื่อนให้รับรู้ว่า ถึงคราวออกพรรษาแล้ว....
ผญา ฮีตสิบสองคองสิบสี่ (ของเก่าแต่โบราณ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
เดือนสิบเอ็ดว่านั่นหัวลมอ่วยโซยหนาว.. สาแหลว...
ซ่วงผู้สาวสิขาลายส่วนผู้ซายสิขาเกลี้ย
ได้ยินเสียงลมต้องปลายสำสาอยู่เวิ่นเวิน.. เวิ่นเวิน
หมาจอกเอิ้นสั่งซู้กะปูหม่นเข้าฝั่งหนอง
นกแจนแวนออกฮ้องหาคู่ผสมพันธ์
ควายบักเถิกตกมันแลนซนแต่ตอพร้าว
ฝูงปลาขาวลงโฮมต้อนผู้สาวนอนขี้คร้านตื่น
ปลาดุกบืนข่อนสิแจ้งหันหน้าเข้าใส่หลุม
ฟังเสียงฟ้าฮ้องตู้ม....ตู้ม...เอิ้นสั่งฤดูฝน
ฝูงหมู่คนลงเลาะท่งนาปลาบ้อน
ดึกออนซอนจันทร์แจ้งทอแสงใสสง่า
ออกพรรษาห่อข้าวต้าลมล้อแต่หมู่ปลา
บัดนี้แหลววัดสิเป็นกำพร้าบ่มีพระสิมานอน
มาออนซอนทายกไล่แต่งัวเข้ามาเลี้ยง
ได้ยินเสียงกล่องโย้นวันเพ็ญสิบห้าค่ำ
พระสิลาแม่ออกค้ำไตรมาสสิสั่งลา
เหลียวขึ้นเบิ่งอยู่เทิงฟ้าเห็นแต่ว่าวเดือนสิบสอง
ลมคะนองโซยพัดง่ายมกะเลยมั่น
พอสมควรหาผ้ากฐินทานมาทอด
ตลดเดือนหนึ่งพู้นหาได้ดังประสงค์
หวงปู่คงไปหาผ้าหลวงตาสีหาน้ำครั่ง
หลวงปู่สอนนั่นซ้นหัวด้ายขวาซ้ายเข้าใส่กัน
พอแต่ว่างวันโลกมันกะเปลี่ยนเวียนผัน
ปัจจุบันกะเลยโยมห่อแห่เวียนตั้ง
ต่างกะหวังเต็มที่เอาความดีบ่ดูหมิ่น
บุญกฐินซ่อยค้ำทานทอดให้หมู่สงฆ์
ผญานี้เป็นคำอีสาน การอ่านก็ให้อ่านออกเสียง
ในแบบอีสาน สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจในภาษา
ไว้วันหลังผมจะมาคอมเม้นแปลความหมายให้นะครับ
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ