24 มีนาคม 2551 14:45 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
กำลังใจในแววลึกเพื่อนร่วมโลก
เพื่อนจะโศกอกตรมทำไมหนอ
หากต่างคนต่างกันขยันงอ
คนคงท้อโลกจะสุขได้อย่างไร
สารพัดร้อยพันในปัญหา
แต่เพื่อนเอ๋ยปัญญาก็ได้
ใกล้หมดแล้วหรือต้องการกำลังใจ
มาต่อเติมเสริมไฟกำลังแรง
ทุ่งนี้.....มืดสนิท.........
มีเพียงไฟดวงนิดริบหรี่แสง
ฟากฟ้าไร้จันทรามาแสดง
ลมเคยแรงทั้งหลายก็หายไป
ทำไม....ทุ่งนานี้.........
ข้าวขจีทั้งหลายหายไปไหน
มีเพียงหนามฉุดรั้งซังข้าวไว้
ให้ซวนเซต้นใบทุเลลง
ทุ่งนี้มืด....ใช่มือสนิท..........
นั่นไงไฟดวงนิดยังมีแสง
ขอเพียงลมสายเก่าเป่าแรงแรง
ธุลีเถ้ามอดแดงจะลุกลาม
ทุ่งนานี้รก....ใช่รกหมด..........
นั่นไงข้าวเขียวสดขึ้นแทรกหนาม
ขอเพียงฝนหยาดมาจากฟ้าคราม
บรรดาข้าวก็จะงามท่วมหญ้าคา
ถึงแม้ว่ากำลังใจมีน้อยนิด
ใช่บั่นทอนชีวิตให้หมดค่า
สองตีนหนึ่งปากกัดเต็มอัตรา
คงซักวันแหละน่าเป็นของเรา
เพื่อนทั้งหลายที่ยังหม่นต้องทนสู้
รุ่งไม่รุ่งให้มันรู้อย่าท้อเปล่า
เลือดของใครก็สีแดงเช่นเลือดเรา
สู้ อด ทน ถือเอาเป็นยาใจ
24 มีนาคม 2551 14:42 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
เพราะว่าข้าคือคนชนบท
ที่สะกดความสบายไม่ค่อยคล่อง
จากไอดินจากคราบสาบน้ำคลอง
จากหญ้าแห้งสีทองที่เปราะบาง
เพราะว่าข้าถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว.....ตั้งแต่เด็ก
เพื่อนคือเหงาตั้งแต่เล็กไม่เคยห่าง
เป็นเพื่อนซี้แสนเพลินร่วมเดินทาง
ในความว่างอยู่ระหว่างม่านเวลา
ผืนดินเปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิด
ฟ้าวิจริตเพื่อนเล่นที่เข้าขา
ลมอุ่นๆเพื่อนนอนตอนหลับตา
ธรรมชาติและท้องนาเสมือนครู
ตอนนี้ข้าเดินทางสู่เมืองใหญ่
เมืองแสงสีศิวิไลซ์เหมือนน่าอยู่
เมืองไม่ยอมหลับนอนเมื่อเบิ่งดู
เมืองนี้เมืองผู้ไร้การุน
ทำไมหนอฟ้าเมืองนี้มีหลายาสี
ดินเมืองนี้แข็งกระด้างมากด้วยฝุ่น
ลมเมืองนี้เฉียบหนาวและอาดูร
ถิ่นนี้วุ่นวายพล่านด้วยม่านควัน.....ที่คนมอง
คนเมืองนี้ไม่ใช่คนชนบท
เพราะสะกดความสบายได้แคล่วคล่อง
เพื่อนของคนเมืองนี้ช่างเรืองรอง
เป็นสิ่งของทุกอย่างต่างจากเรา
เมืองภายนอกแห้งยากและยากไร้
เมืองภายในผุกกร่อนร้อนแล้งหนาว
เมืองหวังดีหนีไปไร้ข่าวคราว
ทิ้งเพียงข่าวเมืองขัดแย้งทิ่มแทงกัน
ข้าขอเป็นเพียงคนชนบท
ที่สะกดได้คล่องคือขยัน
ไม่อยากเป็นคนเมืองรุ่งเรืองนั้น
เพราะยังหวั่นในความโศกโลกคนเมือง
24 มีนาคม 2551 14:36 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
หมอกเช้าโรยโปรยสายใส่ปลายน้ำ
ตะวันร่ำลอดแสงแย่งขอบฟ้า
น้ำค้างหลั่งไหลกระเซ็นเป็นน้ำตา
ของต้นหญ้าคราวิโยคโศกจาบัลย์
หอมกลิ่นจางข้างรั้วมวลดอกไม้
ยามร้างไกลข่มหอมได้แค่ในฝัน
เก็บออมรักจากอกแม่มาหลายวัน
ไว้เสริมแรงมุ่งมั่นอีกฝั่งทาง
เขียนเอย...เขียนคำลา...
ฝากไว้ในปลายขอบฟ้าคราใกล้สาง
ด้วยน้ำตาที่ไหลหลั่งข้างแก้มบาง
กอดอีกครั้งกับแม่พ่อขออุ่นไอ
รุ่งอรุณเบิกหล้าฟ้าสางแล้ว
ลมพัดแผ่วลูบหญ้าน้ำตาไหล
แสงตะวันโอบกอดนาสุดฟ้าไกล
ตอซังข้าวโบกไหวคล้ายโบกลา
สองข้าก้าวจากรั่วไปไกลลิบลับ
ยังเหลียวหลังหันกลับบ้านมองบ้านข้า
ใช่จะอยากจากบ้านไปไกลลิบตา
ต้องไปต่อการศึกษาจะต้องยอ,
อีกสี่ปีรอหน่อยนะแม่จ๋า
ลูกชายลาไปเรียนให้ถนอม
ถนอมกายใจแก้มไว้ให้ลูกดอม
ไว้สู่อ้อมแขนการรับลูกกลับคืน
ไปเพื่องานการศึกษาที่บ่าล้น
แม้ได้ยินหัวใจบ่นต้องทนฝืน
หลับเพื่อฝันถึงวันใหม่ในค่ำคืน
ตื่นเพื่อตื่นมาแข่งขันวันต่อไป
ศึกษาเสร็จเมื่อใดจะกลับแน่
กลับไปทวงกอดแม่ที่ฝันใฝ่
ไปเหยียบดินบ้านเดิมเติมแรงใจ
หวนแนบเนาดอกไม้รั้วบ้านเรา
จะเก็บเหงาไปทวงถามยามอ่อนล้า
ให้หากำลังใจไว้จะไปเหมา
ซื้อด้วยรักและคิดถึงที่แนบเนา
ในหัวใจดวงเก่าก่อนจากมา
ตอนนี้ปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่
ขอเฝ้าดูสักสี่ปีนะแม่จ๋า
ขอน้ำพริก ขอสาวๆ และข้าวปลา
ไว้รอถ้าคอยรับ....ใกล้กลับแล้ว
3 มีนาคม 2551 14:51 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
วงคลื่นกลืนน้ำกระเพื่อมไหว
ธารใสไหลหยอกกระชอกสาย
ดอกคูนลอยเนืองเหลืองประปราย
บัวบานก้านส่ายไหวโอนเอน
ผูกเชือกไม้กิ่งเป็นชิงช้า
ยื่นสู่ธาราข้าเคยโหน
เหนือกิ่งยอดไม้ได้กระโจน
ลงน้ำวงวนยังชื่นใจ
นั่งบนชิงช้าขาสองข้าง
น้ำโอบข้ายังรับรู้ได้
เชือกส่ายไหวติงชิงช้าไกว
ขาส่ายน้ำใสไหลกระเซ็น
เมื่อเล็กอับจนตัวคนเดียว
ชิงช้าคือเสี่ยวเป็นเพื่อนเล่น
ปีนป่ายไม้คูนเมื่อยามเย็น
แต่งกลอนสอนเข็ญแต่ใดมา
ยามร้อนโจนน้ำให้น้ำกอด
เย็นเสี้ยวซึมหยอดสู่ร่างข้า
เข้าใกล้ดอกบัวกลัวน้ำตา
จะไหลออกมาถ้าเด็ดบัว
เมื่อใดใจเหงาเข้าความล้า
หยิบเอาปากกาที่ทัดหัว
สมุดในกระเป๋าเราติดตัว
เขียนกลอนหม่นมัวอยู่ร่ำไป
ปีนรับลมเย็นเล่นต้นคูน
ลมไล่ส่ายหมุนดอกคูนไหว
พลัดขั้วโรยรวงร่วงลาใบ
นับคูนลอยไปในน้ำวน
ดอกคูนกลีบน้อยไม่ลอยห่าง
ทำทีเหมือนดังจะห่วงต้น
คูนเอยเจ้าเหมือนข้าทั้งตัวตน
ชิงช้าคูนจนรักไม่เลือน
พิงโคนคูนยันตะวันค่ำ
เย็นย่ำสนธยาอาทิตย์เสมือน
สัมผัสลมหนาวดูดาวเดือน
หริ่งเรไรเยือนเป็นเพื่อนเพลง
ชิงช้าสายน้ำนำชีวิต
ดอกคูนวิจิตรกลีบบานเบ่ง
เนรมิตความสุขผู้ครื้นเครง
บรรเลงชีวิตแต่ผู้เดียว
ไม่อาจแยกคูนชิงช้าได้
แยกน้ำธารใสที่แน่นเหนียว
ออกจากคำนึงเพียงหนึ่งเดียว
หนึ่งในหลายเสี้ยวบ่ได้เลย
วงคลื่นกลืนน้ำกระเพื่อมไหว
ธารใสไหลหยอกที่เรียบเฉย
น้ำนิ่งเงียบงันเหมือนอย่างเคย
ดอกบัวคูนเอ๋ยเมินเฉยวาง
.............
แสงทองสะท้อนน้ำเมื่อจันทร์ส่อง
ไกวชิงช้านั่งมองไม่เคยห่าง
ในคืนงันเงียบเหงาหมอกเทาจาง
คงจะพบจันทร์กระจ่างข้างหัวใจ
25 กุมภาพันธ์ 2551 12:16 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
กลีบโรยโปรยเหลืองลมเนื่องหนุน
สมดุลหมุนติ้วพลิ้วตามสาย
คลื่นรับขยับเร้นเย็นกระจาย
ช้ำชอกออกลายกระอายชล
ส่วนหนึ่งซึ่งน้อมลงพร้อมสรรพ
คำนับวารีขุ่นสีข้น
ยินคลื่นปวงคล้ายเป็นตายคน
เลือดปนใครแปรแม่น้ำก
ู
เหลืององค์สงฆ์ชัดโปรดสัตว์เช้า
อกอ้าวข้าวอุ่นคอยกรุ่นอยู่
คูนเบื้องเรืองบาตรยาตรฤดู
เช้าชูช่อชื่นริมคลื่นคำ
พรายแสงแดดขุ่นกระสุนเข้า
โขงเราโขงใครไหวเช้า-ค่ำ
ปลาบึก-ปืนกราดฆาตกรรม
คูนร่วงคนร่ำเลือดโขงริน
เงื้อมเงาเหล่าร้ายคล้ายเรือล่อง
แกะกล่องระเบิดแก่งแหล่งหิน
ร้อยทุนเลื้อยเขี้ยวเลี้ยวกิน
หน้าดินพังกล่น...หนอจนใจ
ใครตุนคูนต้นควรต้องตัด
ไทร-โพธิ์สารพัดต้องจัดให้
ชาวบ้านชาวช่องคุณต้องไกล
ทางปืนทางไปอินโดจีน
ขอบโขงทั่วหล้าว่าทุนโลก
ดูก่อนวิปโยคโลกมีศีล
เด็กน้อยลอยน้ำตามป่ายปีน
มือ-ตีนต่างโตรกโลกเสรี
นาคาสิบห้าค่ำรับคูนหล่น
ความเชื่อเหนือชลใช่ป่นปี้
เป็นมาปลา กุ้ง สะดุ้งมี
ตอคูนบ่หนีการแตกบาน
วสันต์เม็ดซ่าลงมาเสร็จ
เมล็ดคูนสืบคงรู้ซ่าน
ข้าว ปลา นา น้ำ คือตำนาน
ลูกหลานคงรู้สูคือใคร
วับ-วับจีวรพระคุณเจ้า
กลับวัดตรัสเช้าพร้อมข้าวใหม่
คูน-โขงรับธรรมลำนำไท
ผลิ-ร่วงล้วนในแม่น้ำเรา
หนุ่มน้อยรู้สึกสำนึกน้ำ
ควบกล้ำคำยื่นกลับคืนเหย้า
เชื่อมโยงโขงใหญ่ฟังวัยเยาว์
น้ำใจไผเน่าพอเฮานึก
วันนี้พอหอมปากหอมคอก่อนนะครับ วันหลังจะเอาตอนที่สองมาฝาก