6 มกราคม 2553 06:15 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
รอข้าวเกิด รอการกลับ
ครวญสายลมชาวนาจะลาล่วง
ลามะม่วงช่องามในยามหนาว
คงอ้างว้างซังตอหนอนาเนาว์
กลัวถึงคราวนาวิโยกโศกค่ำคืน
เรียงฟ่อนข้าวต่อชั้นบนคันนา
ลมครวญครางสางหล้าให้นาชื่น
คอยครางครวญต่อหนาวทุกคราวครืน
ยังจุดยืนต่อแผ่นดินกลิ่นตำบล
ยามฟ้าสางแสงหล้ามาจรุง
น้ำค้างปรุงแต่งร่างต่างน้ำฝน
สูดกลิ่นฟางระหว่างงานบันดาลดล
ดมกลิ่นมนตร์แห่งฤดูอยู่ปลายนา
ผ้าขาวม้าซับร่างน้ำค้างพรม
เด็กคลุมห่มรู้ความตามประสา
หลบหนาวนิ่งอิงฟางข้างคันนา
เพียงใบหน้าคางสั่นผ่านสายลม
พระท่านจรดำเนินถิ่นบิณฑบาต
มาโปรดสัตว์หนาวน้ำค้างต่างอาศรม
ชายผ้าไตรฉ่ำหมอกดอกน้ำพรม
สำรวมก้มสงบนิ่งดิ่งดำเนิน
รับนิมนต์ญาติโยมประโคมบาตร
ข้าวสะอาดด้วยแรงธรรมความสรรเสริญ
เพียงความงามธรรมดามาหยอกเอิน
ก็เพลิดเพลินในธรรมอันอำไพ
สงบงามกลางนาเวลางาน
นมัสการผ่านวิถีจีวรไหว
รับกุศลโมทนาสองตายาย
ก่อนตั้งใจก่อกองเรียงฟ่อนฟาง
แสนคิดถึงหนึ่งครั้งแต่ยังเยาว์
อิงอุ่นไฟไล่หนาวคราวฟ้าสาง
เหม่อมองมือแม่พ่อถักตอซัง
เป็นสื่อนั่งสาดนอนตอนผิงไฟ
เมื่อหนุ่มสาวหมายฝันอันลางเลือน
มุ่งจากเรือนห่างหนีเปลี่ยนที่หมาย
ทิ้งฟ่อนข้าวหดหู่อยู่เดียวดาย
บนคันนาอาลัยในทรงจำ
เสน่ห์เอยเสน่หาสิมาหาย
ความเดียวดายก่อเหงาทุกเช้าค่ำ
แววไหมผ้านาดินจะสิ้นงาม
ไปเรืองรามอยู่กรุงมุ่งสิ่งใด
หมดภาระหน้าที่มีในนา
สู่เมืองฟ้ายามจรุงรุ้งสางใหม่
หน่อแนวเปลี่ยนเฮือนนอนตอนจากไกล
เหลือเอาไว้แต่ข้าวหล่นบนน้านั้น
ข้าวแต่เม็ดหล่นร่าวจากรวงแห้ง
มีหรือแรงแห่งข้าวจะร้าวฉาน
รอหนุ่มสาวคืนถิ่นแผ่นดินงาน
รออีกกาลฤดูหน้ามาต่อพันธุ์
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
4 มกราคม 2553 06:20 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
“คำเอยคำ ยามสิไปให้อยู่ดี
ฝ้ายเส้นนี้เกี้ยวไว้อย่าให้เสีย
หล่าเอยนางแก้วคำเจ้าฟ้าวต่าวเมีย
ฟ้าวมาเจียเลี้ยงพ่อแม่แก่ชรา
ไปกรุงเทพกรุงไทให้ใหญ่สูง
อย่าลืมลุงป้าน้าน้องผู้คองถ่า
ยามเอาบุญยามเกษตรเฮ็ดไฮ่นา
ฮีบต่าวมาคืนบ้านเด้อคำเอย”
...............................................
เคยอุษามาเทวษด้วยเหตุนี้
เหตุแห่งหนีโคลนสาบลาบก้อยขม
เถียงละโหยดินระแหงแล้งสายลม
เสียมระงมจอบร่ำไห้ใต้ชานเรือน
แล้งน้ำฝนไหนน้ำใจสิหายเหือด
หลอดน้ำเลือดจากหัวใจสูไผเฉือน
สะเดาหวานตำนานเก่าเคยเนาว์เฮีอน
บวกปรักเปื้อนฉาบร่างยังอยู่ดี
สูเอย.. เคยว่า บ่ลาจาก
สิบ่พรากมูลมังต่างต่าวหนี
เส้นไหมม้อนหม่อนฝ้ายแพรด้ายมี
ทั้งผักหมี่สวนฮั้วหัวไฮ่นา
ส่ำกรุงเทพบ่แม่นเมืองแม่กูดอก
บ่หัวซาดอกบางกอกสั่นดอกหวา
ไสคนไคไหนคนคอนจากดอนตา
บ่ต่าวมาคืนคำเว้าตอนเนาว์เฮือน
เสียดายไหมลายบักจับกับมัดหมี่
อันเคยที่ใส่พรากจากเสี่ยวเพื่อน
ล่วงเวลาผญาเศร้าเจ้าลาเลือน
ไหมยังเตือนอยู่หรือไม่ยามใส่กาย
ฝักแขยงหอมบ่ไกลไปบ่ฮอด
ปลาข่อนขอดสลัดตมบ่สมหมาย
แหบ่หมานเบ็ดบ่ต้องข้องเปล่าดาย
ซุ่มเสียงไนเสียงฮูกบ่ผูกพัน
ไผเดนอสิเบิ่งยามปลายชีวิต
ผู้เฒ้าคิดครองเผื่อเหลือแต่ฝัน
ไฮ่นาเด๊สิเอ้ใส่ผู้ได๋กัน
ฮูกกูนั้นไผสิต่ำยามขาดกู
บาดเฮือนสามน้ำสี่สิหนีแล้ว
ฮีตคองแก้วสิบสองสิบสี่มีบ่สู
มาเฮือนเฮาเนาว์บ้านอีสานดู
มาเป็นอยู่แบบพ่อคือพอเพียง
มาฮับศีลฮับพรพระอีกครั้ง
มาอยู่ยั้งผืนแผ่นดินพิณแซวเสียง
มาเป็นปู่เป็นย่ามาเรียบเรียง
มาครองฮีตมีดเขียงครองไฮ่นา
กลับมาสืบความงามอีสานจริง
ให้ใหญ่ยิ่งส่าลือไกลไปภายหน้า
ไส?ลูกไผ?เหลนหลานแห่งบ้านนา
“คำเอย... อ้ายอีหล่า... พู้นพ่อแม่สูมาแล้ว!”
ช่วงปีใหม่ได้มีโอกาสนั่งสนทนากับตายยายปู่ย่า ที่มารวมกัน
ข้าพเจ้าได้นำคำพูด ความรู้สึก ของปูย่าตายาย ผู้เป็นไม้ไกล้ฝั่ง
มาร้อยเรียงเป็นบทกลอน ให้ทุกท่านได้อ่านได้รับฟังและรับรู้
ทุกถ้อยคำความในใจของคนเฒ่าคนแก่ ถึงลูกหลายที่จากบ้าน
จากแผ่นดินเกิด ไปแสวงหาหาเลี้ยงชีพอยู่เมืองใหญ่
ด้วยหาพอใจความพอเพียงที่ได้เกิดขึ้นแล้วบัดนี้ ในบ้านเกิดของตน
แววตาหลายๆคู่หลายๆดวง ที่ยังคอยเหม่อมองอย่างตั้งใจ
ในทุกๆเช้า หลังจากที่ท่านได้ใส่บาตรพระสงฆ์ ท่านจะนั่งมองรถโดยสาร
ที่วิ่งผ่านไปมาแต่เช้า ด้วยความในใจที่ไม่อยากให้ลูกหลานรับรู้
“คึดนำกูแน.. คำเอ๊ย คึดนำบ้าน คึดนำมูลนำมังแม่แน..”
เป็นคำพูดที่ได้ฟังแล้วยังก้องและกรีดอยู่ในหัวใจของผมยิ่ง
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
3 พฤศจิกายน 2552 01:18 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
รอคน คอยเคียว เกี่ยวข้าวงาม
ฝนสุดท้ายปลายฝนสิ้นหล่นแล้ว
หยาดเพชรแก้วแห่งเวลาชะตาฝน
หอมไอดินเฮือกสุดท้ายในกายตน
ก่อนเมฆหม่นคล้อยลาลับฟ้าไกล
อาทิตย์อุทัยเผยยิ้มปริ่มปริ่มโลก
ลมสิโบกยั่วล้อต่อดงไผ่
เหมือนค้นหาพระอาทิตย์วิจิตรอุทัย
อยู่หลังใบไผ่ทึบหนาจะเผยแจ้ง
หมอกกรุ่นกรุ่นอุ่นอุ่นเช้าหนาวอ่อนอ่อน
ตะวันซ่อนหลังใบไผ่ไหวไหวแสง
ล้อกิ่งไผ่ไหวร่ายร่ายส่ายแสดง
ก่อนเลิกแฝงดงไผ่หมายเมืองบน
มาเยือนยลแย้มโลกที่โชกชื่น
และลาคืนฝนสุดท้ายแห่งปลายฝน
น้อมรับขวัญวันระวีที่เยือนยล
น้อมรับต้นเหมันต์วันเวลา
ฟ้าถอนใจร้องบอกหล้าฝนลาล่วง
แสนเป็นห่วงฝนนักรักหนักหนา
เคยดื่มน้ำชายคาแฝกแรกฝนมา
คราวนี้ฟ้าเอิ้นสั่งดังลับไป
เยือกลมเย็นเป็นเวลาสิมาทัก
หนาวที่รักกลับมาหน้าที่ใหม่
หอบไอแล้งแห่งหล้าป่าทิ้งใบ
เป่าข้าวคลายความชื้นเคยรื่นริน
เหลืองข้าวรองรวงชอุ่มชุ่มกกกอ
หนาวแล้วหนอรอเคียวสิคืนถิ่น
รอหนุ่มสาวสิเริงรื่นผืนนาดิน
ปี่ข้าวสิ้นสิหวนร้องในท้องนา
เสียงลมลืออือชาว่าข่าวใหม่
สั่งคนไกลร้องเรียกเพรียกคำหา
ให้คืนคอนนอนทุ่งมุ่งกลับมา
ถึงเวลาวาดฝีมือชื่อคมเคียว
ควายบักตู้อยู่เดียวสิเทียวทุ่ง
รอคนกรุงห่างเลยบ่เคยเหลียว
รับคืนบ้านฐานถิ่นแผ่นดินเดียว
รอคอยเสี่ยวต่างเผ่าพันธุ์ผันคืนคอน
ดุสิตตาบานปลายฝนต้นหน้าหนาว
บัดนี้คราวหอมกลีบช่อลอออ่อน
น้ำเงินม่วงทวงสัญญาอยู่นาดอน
บานออดอ้อนหอมอวนนาคราคนคืน
ฝนสุดท้ายปลายฝนสิ้นหล่นแล้ว
หนาวสิแผ่วมาหาช่วงหล้าตื่น
คอยสิผิงอิงใครอุ่นไฟฟืน
คอยสิรื่นในลมหนาวเกี่ยวข้าวงาม.....
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
5 ตุลาคม 2552 23:44 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
แจนแวน.. นกนาฬิกาฮีต..
หอมละอองฝนฝุ้งอรุณรุ่ง
กอดสายรุ้งรุโณทัยให้ชื่นฉ่ำ
ละอองโรยพึ่งจะเริ่มเริงระบำ
ล้อหยดน้ำปลายหญ้าทักทายดิน
นุ่มเสียงหยดสะกดใจให้เริงชื่น
กระทบพื้นเร้นกระจายสลายสิ้น
ให้ด้วง หนอน ใส้เดือนเพื่อนแผ่นดิน
ดื่มด่ำกินน้ำค้างใหม่ในอรุณ
อาทิตย์อุทัยฉายหล้าเบิกตาโลก
ดินชุ่มโฉกอุ่นระเหยเลยหอมกรุ่น
รุ้งยิ่งงามยามหล้ามาละมุน
ฉาบหมอกอุ่นบนลานน้ำตามคลองบึง
ฝน-สายลม คงอยู่ไกลไกลลิบลิ่ว
รุ่งทอดทิวดวงใจก็ไปถึง
ห้วงเวลาการซึมซับรับคำนึง
ขณะพึงสงบใจในภวังค์
เปรยเปรียบเทียบนกว่าเวลาบ้าน
คืนผันผ่านร้องแจ้งแห่งรุ้งสาง
โต้ตอบส่งขานรับกับระฆ้ง
ที่กังวานจากวัดวามาไกลโข
บทสวดบ้านนกแจนแวนเหววิโวก
บทกล่อมโลกนกดุเหว่าโวกวิโหว
บทสวดหล้าการเวกเหวกวิโว
บทสวดโห่ลิเห่เช้านกเขาชวา
ว่าเจ้าแจ้วเอาบุญมาหนุนร้อง
บอกฮีตคองว่างานออกพรรษา
ช่วงแจนแวนเว้าวอนอ้อนสายตา
สิบอกว่าไร้คู่อยู่ซมเซา
อุ่นข้าวต้มหุงข้าวสารแต่วานซืน
ร้อยพันหมื่นความกังวลคลายหม่นเหงา
พักเรื่องนาปลาน้ำไว้สักคราว
จดจ่อเอาบุญผลกุศลกรรม
ฟังเสียงโห่ร้องยืมของน้อง-เพื่อนบ้าน
แลกเปลี่ยนกันถ้อยอาศัยในรักฉ่ำ
ก่อนร่วมเดินไปวัดวาสู่อาราม
รับรู้ธรรมตามฮีตคองสิบสองบุญ
โอ้มูลมังใดใดในหล้าโลก
มรดกหนึ่งดำรงยังคงอยู่
แห่งอีสานถิ่นนี้สิเชิดชู
แก่สายตาทุกคู่ที่ดูเรา
ออกพรรษาลาพระสงฆ์สิขาแล้ว
พระ-เณรแก้วสู่บ้านสถานเก่า
ดำรงค่าโลกและธรรมอยู่นานเนาว์
ก่อนแบ่งเบาการงานในบ้านเรือน
ชนบทยังคงชนบท
บ้างรันทด-สุข-จริง-ปลอม-เสมือน
แต่อ่อนแอลงบ้างบางอย่างเตือน
ให้รู้ความบิดเบือนและเป็นไป
แม้เกิดมาความเป็นคนจะเท่านี้
ชนบทที่มีเต็มร้อยไม่
แต่พอแล้วตั้งแต่ต้นจนปั้นปลาย
หากปลดปลงก็หมายแคว้นแผ่นดินตน
หอมเอยหอมกว่าหอมคะนึงคิด
งามเอยงามล้วนวิจิตรลิขิตฝน
เกิดเอยเกิดแต่โลกโชคดีล้น
ในที่ตนควรแล้วสิรักเอย
เช้าใหม่ในวันออกพรรษา วันที่ฝนตกมาแต่ตีสี่ตีห้า
และหยุดในเช้ามืด ทำให้บรรยากาศงดงามมากเหลือ
มองท้องน้ำที่มีไอหมอกอุ่นๆ ลอยเลียบกอดผิวน้ำ
สะท้อนแสงพระอาทิตย์และแสงของรุ้งกินน้ำ ยามฟ้าอรุโณทัย
อีกทั้งละลองฝนที่ยังคงตกค้างหลงเหลือในอากาศ
ส่ายไหวไปมาเพราะแรงลมอ่อนๆ คล้ายกำลังเริงระบำรำฟ้อน
ซึ่งมีเสียงหยดน้ำนุ่มๆ หยดลงดินและใบหญ้า
อันพร้อมที่จะเป็นอาหารให้ด้วง หนอนและใส้เดือนดิน
ทั้งนี้การรับรู้กลิ่นหอมของดินอ่อนๆ ที่ระเหิดระเหย
สู่อากาศ แม้กลิ่นนั้นจะเคลียคลอจมูกเบาๆ
แต่สำหรับคนที่ห่างกลิ่นนี้ไปนานๆ รับรู้แล้วช่างหอมมากนัก
และที่ไม่เคยขาดไปไหนเลย ในยามออกพรรษานี้
เสียงนกที่คนชนบทอีสานเฝ้ารอคอยมาแสนนาน
ที่จะรับสดับฟัง เสียงของนก เสียงของนก
เสียงของนกแจนแวน ซึ่งเป็นภาษาชาวบ้านภาษาถิ่นเรียกกัน
เพราะจับจิตจับใจ ราวกับเป็นนาฬิกาจากบนสรวงสวรรค์
มาเพื่อเตื่อนให้รับรู้ว่า ถึงคราวออกพรรษาแล้ว....
ผญา ฮีตสิบสองคองสิบสี่ (ของเก่าแต่โบราณ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
เดือนสิบเอ็ดว่านั่นหัวลมอ่วยโซยหนาว.. สาแหลว...
ซ่วงผู้สาวสิขาลายส่วนผู้ซายสิขาเกลี้ย
ได้ยินเสียงลมต้องปลายสำสาอยู่เวิ่นเวิน.. เวิ่นเวิน
หมาจอกเอิ้นสั่งซู้กะปูหม่นเข้าฝั่งหนอง
นกแจนแวนออกฮ้องหาคู่ผสมพันธ์
ควายบักเถิกตกมันแลนซนแต่ตอพร้าว
ฝูงปลาขาวลงโฮมต้อนผู้สาวนอนขี้คร้านตื่น
ปลาดุกบืนข่อนสิแจ้งหันหน้าเข้าใส่หลุม
ฟังเสียงฟ้าฮ้องตู้ม....ตู้ม...เอิ้นสั่งฤดูฝน
ฝูงหมู่คนลงเลาะท่งนาปลาบ้อน
ดึกออนซอนจันทร์แจ้งทอแสงใสสง่า
ออกพรรษาห่อข้าวต้าลมล้อแต่หมู่ปลา
บัดนี้แหลววัดสิเป็นกำพร้าบ่มีพระสิมานอน
มาออนซอนทายกไล่แต่งัวเข้ามาเลี้ยง
ได้ยินเสียงกล่องโย้นวันเพ็ญสิบห้าค่ำ
พระสิลาแม่ออกค้ำไตรมาสสิสั่งลา
เหลียวขึ้นเบิ่งอยู่เทิงฟ้าเห็นแต่ว่าวเดือนสิบสอง
ลมคะนองโซยพัดง่ายมกะเลยมั่น
พอสมควรหาผ้ากฐินทานมาทอด
ตลดเดือนหนึ่งพู้นหาได้ดังประสงค์
หวงปู่คงไปหาผ้าหลวงตาสีหาน้ำครั่ง
หลวงปู่สอนนั่นซ้นหัวด้ายขวาซ้ายเข้าใส่กัน
พอแต่ว่างวันโลกมันกะเปลี่ยนเวียนผัน
ปัจจุบันกะเลยโยมห่อแห่เวียนตั้ง
ต่างกะหวังเต็มที่เอาความดีบ่ดูหมิ่น
บุญกฐินซ่อยค้ำทานทอดให้หมู่สงฆ์
ผญานี้เป็นคำอีสาน การอ่านก็ให้อ่านออกเสียง
ในแบบอีสาน สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจในภาษา
ไว้วันหลังผมจะมาคอมเม้นแปลความหมายให้นะครับ
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
28 กันยายน 2552 01:34 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
การเดินทางของสายฝน
การเดินทาง...ของสายฝน
เริ่มต้น มาจากฟ้า มาจากไหน
ถึงได้รินแสนชื่นรื่นหัวใจ
ถึงได้หวานจนสุดท้ายของหยดงาม
หอมแสนหอมแดนดินถิ่นเปียกฝน
เพราะแสนเพราะเสียงมนต์จนเพ้อถาม
เรียบร้อยเรียงเคียงเม็ดดังเพชรงาม
ขณะข้ามแผ่นฟ้ามาหลั่งริน
โอ้สายเอยสายรักจากสายใย
รับนิ่ง-ไหวสุขอยู่ไม่รู้สิ้น
ปลุกผืนป่านาข้าวชาวแผ่นดิน
ฟื้นชีวินรับรักจากฝนพรำ
กบเขียดปลานาน้ำยามฝนมา
ได้ลืมตาอ้าปากด้วยรักร่ำ
เสียงสายฟ้าเกรียวกราวมากราดกรำ
ทุกเคียงคำไล่ประนามความโสมม
แว่วเสียงลมครวญครางดังอู้อื้อ
นั่นแหละคือเสี่ยวนาว่าเหมาะสม
เคยผูกฟางแทนผูกฝ้ายให้สายลม
เป็นเพื่อนชมและปลอมขวัญให้งานนา
สงสารนกหนักหนาเวลาเช้า
กกลูกร้าวในรวงรังยังใบกล้า
เพียงแต่ส่งกำลังใจไปทั่วนา
รอฝนซาคงอิ่มท้องโห่ร้องกัน
เช้าฝนซานาน้ำชุ่มฉ่ำแสง
ดอกจานแดงอุ้มน้ำค้างสะท้านสั่น
ริ้วสายรุ่งสายแสดงแห่งตะวัน
เป็นภาพอันงามแล้วแก้วแผ่นดิน
รอข้าวเหลืองวันวสันต์ผ่านฤดู
รอรับรู้ธรรมชาติวาดศาสตร์ศิลป์
เพียรเสาะหาค่าฤดูอยู่อาจิณ
อนุทินดินและฟ้าจะมารอ
การเดินทาง...ของสายฝน
จากตำบลสู่ตำบลไร้คนขอ
ด้วยรวงแรงแห่งรักที่ถักทอ
ให้เกิดก่อสร้างเม็ดเป็นเพชรงาม
แม้เหมันต์จะมั่นหมายมาไล่ที่
ฟังดูสิ!เหตุผลที่ฝนถาม
ทุกความเพียรวิริยะพยายาม
จนเกิดความรื่นอุดมสมฤดู
การเดินทาง...ของสายฝน
แม้จำนนแต่จำนงยังคงอยู่
เพียรเวียนว่ายแปรเปลี่ยนเวียนฤดู
จะอุ้มชูหอบน้ำใจมาไหลริน
รินรดนาป่าน้ำธารภูเขา
ทุกเย็น-เช้าสิตกสู่ไม่รู้สิ้น
บำรุงครรภ์ให้พันธุ์ข้าวแนบเนาว์ดิน
บำรุงถิ่นบำรุงรัก....จากหัวใจ
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ