18 มีนาคม 2553 13:57 น.

ระหว่งไฟตะเกียง และคืนมืด

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

ระหว่งไฟตะเกียง และคืนมืด

มีบางอย่างต่างชัดที่วัดได้
มีความหมายแอบนอนหลับซ่อนอยู่
พกพาความส่วนตนเผยคนรู้
เผินเผินดูเห็นชัดว่าขัดแน่

เช่นความมืดคืนสงัดรัตติกาล
เตียงเกียงนั้นแตกต่างทั้งสองสิ่ง
เช่นขาว-ดำ ดับ-สว่างต่างกันจริง
ล้วนอ้างอิงจากที่เห็นความเป็นไป

นิ่งและไหวไฟวาวอันพราวพร่าง
มืด-สว่าง ไหว-หยุด จุดต่อไหน
เพียงเพ่งผ่านขอบวามความเป็นไฟ
จะเผยนัยรอยเชื่อมเหลื่อมล้ำกัน

ความเป็นไฟในนามของความมืด
ย่อมจะยึดความสว่างวางรากฐาน
และความมืดนามไหนในไฟนั้น
ย่อมยึดการครองที่ด้วยสีดำ

ไฟกะพริบริบหรี่ไปกี่รอบ
ไฟเท่านั้นที่จะตอบเมื่อสอบถาม
คืนจะแจ้งจันทร์มีสักกี่ยาม
คืนเผยความลับได้หากหมายฟัง

นัยซ่อนอยู่ข้างในจะได้ตอบ
ใน-นอกกรอบ ปฏิพัทธ์หรือบาดหมาง
อาจคือรักขาว-ดำยังอำพราง
มืด-สว่างอาจปะทะจราจล

ในคืนมืดตะเกียงไฟได้แยกชัด
ล้วนชี้ขาดสว่างแจ้งทุกแห่งหน
ในแสงไฟมืดแยกจำแนกตน
จุดบอดหม่นดับในไฟก็ไม่มี

สองต่างสองคุณสมบัติดูขัดแย้ง
หากมืด-แสงร่วมชะตาและหน้าที่
แสนงดงามงามกว่าคืนราตรี
ที่ไร้สีแสงสว่างความเป็นไฟ

หรือเปลวไฟลุกสว่างอย่างหมดจด
คุณค่าคงอับยศหมดความหมาย
แม้นให้แสงสาดกระจ่างนำทางใด
ขณะฟ้าคงไว้ด้วยตะวัน

สังเกตุไหมแสงไฟและกลางคืน
การเติบตื่นมืด-สว่างล้วนรังสรรค์
เมื่อฟ้าร้างสุริยะอันตรธาน
ทั้งคู่นั้นก็พบกันทุกครั้งไป

มืด-สว่างต่างนักเห็นชัดอยู่
เพียงมองดูรู้รับสัมผัสได้
แยกเห็นชัดมืด-สว่างต่างกันไกล
แต่รอยต่อมืดและไฟไหนติดกิน?

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
17 มีนาคม 2553 07:56 น.

เด็กน้อยกับมะม่วง

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

เด็กน้อยกับมะม่วง

มะม่วง มะม่วงมัน มันเต็มต้น
ดกจน เกินใจ ไว้เกินห้าม
หัวโจก นำหน้า พาปีนตาม
แอบยาม ชายชรา หลับตานอน

ปีนปีน แยกย้าย กันไปปีน
เด็ดโยน ลงดิน ตุนไว้ก่อน
ระวังนะ มดกล้า จะมารอน
เนื้ออ่อน เจ็บช้ำ ยามมันกัด

"เบาเบา อย่างดัง ระวังตา..
รีบเก็บ ใส่ผ้า อย่าให้พลาด...  
เจ้าของ มะม่วง หวงชะมัด...
กลัวเขา ไล่ฟาด ตีพวกเรา..."

"พูดอะไร ใครหยุด พูดกับข้า?"
หัวโจก มองมา ทำหน้าเขลา 
จำเป็น นี่หวา จะพูดเบา
"หูเน่า รึไง ไม่ได้ยิน!"

มดแดง ก็หวง มะม่วงมาก
กัดกระชาก เนื้อหนัง อย่างบ้าบิ่น
อดทน อย่างมาก เพราะอยากกิน
รีบปีน รีบเก็บ โอยเจ็บตัว

แค่จาม เบาเบา เสียงเหล่านั้น
เด็นหนอ ก็สะท้าน กันไปทั่ว
เดี๋ยวเขา จับได้ ใจมันกลัว
ตัวเบา ขั้นเทพ เก็บให้ไว

พอเสร็จ ก็หาร เป็นขั้นตอน
หัวโจก เอาก่อน ค่อยทอนใหม่
คอยแบ่ง คอยหาร อย่างมั่นใจ
ลักมะม่วง ลูกใหญ่ ขอโทษที

เดินไป กินไป มะม่วงมัน
เป็นสุข สนุกสนาน กันเต็มที่
เลาะนา ผ่านนา คันนามี
น้องพี่ เตี๊ยสูง จูงกันมา

เฮ๊ยมา ทางนี้ มีแข่งขัน
วิ่งกัน ฉุกละหุก ไปทุกหน้า
บ้างล้ม คะมำหก ตกคันนา
เพื่อนหัว เราะร่า ว่าโง่จริง

เทียวเล่น ตามนา ประสาเด็ก
ตัวเล็ก ยังนึก รำลึกยิ่ง
ซุกซน ราวค่าง ไม่ต่างลิง
ทุกสิ่ง ล้วนงาม ตามเพื่อนพ้อง

กลับบ้าน ยามค่ำ ตะวันตก
เงื่อยซก ไหลบ่า เสื้อผ้าหมอง 
มอมแมม อยู่นา ขอบฟ้าทอง
หิวข้าว เบาท้อง ต้องกลับแล้ว

แม่ไล่ อาบน้ำ แต่ยามค่ำ
บักคำ มากิน น้ำจิ้มแจ่ว
เรียกพ่อ สูเถิด เลิกเฮ็ดแนว
ค่ำแล้ว แม่หา ข้าวปลาหุง

เย็นล่วง คืนถาม ยามเดือนดับ
ไฟวับ ใจเอื้อน ต่อเพื่อนฝูง 
นอนคิด นึกรู้ อยู่ในมุ้ง
ถึงลุง ตาคนนั้น เจ้าของสวน

ถามแม่ ที่นอน อยู่ข้างข้าง
"แอบบ้าง ลักไว้ ใช้ไปป่วน
กลัวตา เข้าใจว่า ลูกมากวน
กลัวตา จะด่วน หยิบไม้ตี"

แม่ยิ้ม แล้วเอ๋ย เฉลยบอก
"ไม่หรอก ตาเขา กับเรานี้
เป็นดอง สัมพันธ์ กันนานปี
แล้วขโมย ก็ไม่ดี ที่จะเป็น"

เหนื่อยล้า ขาแขน ก็แน่นปวด
มนต์สวด เสร็จก่อน ค่อยนอนเล่น 
กอดแม่ เผลอหลับ กับลมเย็น
ฝันเห็น ชายชรา มาไล่ตี

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
16 มีนาคม 2553 15:23 น.

วังน้ำเดือด

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

วังน้ำเดือด

บางแง่มุมความหลังฝังริมน้ำ
บนความช้ำตลิ่งหันตะวันหาย
แยกดินดำค่ำนั้นอันตราย
แยกดินแดงเดือนหงายสลายเงา

เรือสะล่างระหว่างวันออกสัญจร
ฝั่งอาวรณ์คอยฟังระหว่างเฝ้า
คลื่นความคิดปะทุถั่งระหว่างเรา
ใครสืดสูบลูบเคราเผาสัญญา

ล้านฝูงเรือทั้งรบทั้งหลบหนี
ปลาเก้าอี้กระพือครีบบีบผู้กล้า
น้ำเดือดหยดรดญาติอำมาตยา
ทัศนา ทักษิโณโต้วิญญาณ

หรือไฟโลมโถมกั่งวังธารแดง
คนฮักแพงจากพรากอยากกลับบ้าน
ลมหัวกุดก่อวิฤติอดีตกาล
อวสานลอยล่องข้องอัตตา

ฟังแง่มุมก่อน-หลังคลั่งฟองคลื่น
ใครสะอื้นลำคลองต้องถูกฆ่า
ปีศาจน้ำนอนรอมรณา
อนิจจาเรือน้อยลอยอังคาร

พ่อคลองเตยท้ายเรือสวมเสื้อแดง
ลุงเสื้อเหลืองร้อนแรงแห่งคลองสาน
พี่น้ำเงินคลองจั่นมาทำการณ์-
ทุนบันดาล-ศักดินา โอ้วาริน

ไอองศาพุ่งพล่านสถานการณ์ต่าง
คลื่นกลืนร่างต่างระดับนับไม่สิ้น
ตลิ่งชันตะวันช้ำจนชาชิน
เรือติดดินล่องรักถูกกักตุน

ฝั่งหนึ่งจมระทมเลือดเดือดกระดูก
อีกฝั่งถูกกล่าวหาดังห่ากระสุน
ลำตะเคียนปริแยกแตกเป็นพรุน
พรายสถุลจ้องจิบอธิปตน

-----------------
โอ้เอยมหานทีทันดร
ลูกเรือแรมรอนตอนฟ้าหม่น
อกเอยมหาประชาชน-
อดทนปะทะเล่ห์ทะเลไฟ

เหงื่อผุดมนุษยชาติก็ปาดเหงื่อ
คลุมเครือส่วนมากอยากโปร่งใส
ปลายธารไม่รู้อยู่ที่ใด
แผ่วเพลง "ทะเลใจ" ก็ไม่เพลิน

น้ำนองสองฝั่งระวังซุง
ลับคุ้งอาจละเอียดเบียดผิวเผิน
น้ำลดร่องรอยค่อยค่อยเดิน
เผชิญเรือตนคนละลำ

เขตน้ำลึกดึกดื่นคลื่นไหลหลับ
โลกรอรับคลี่คลายพายคืนค่ำ
ขณะธารธรรมชาติประกาศธรรม
โศกนาฏกรรมเดือดดาลโปรดผ่านไป

โขงรัก คำไพโรจน์
กลุ่มร้อยแสงจันทร์ มหาสารคาม				
16 มีนาคม 2553 01:07 น.

หนาวสุดท้าย ไฟอุ่น คนคอย

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

หนาวสุดท้าย ไฟอุ่น คนคอย

เมื่อรุ้งสางฉายแสงแห่งเหมันต์
ต้นคิมหันต์แต่เช้าหนาวอยู่
ปลายยามหนาวรอเวียนเปลี่ยนฤดู
เลยพร่างพรูหนาวสุดท้ายทักทายนา

น้ำค้างเช้าเผยวิถีเช่นสีรู้ง
สะท้อนปรุงฉาบแต่งแสงอุษา
ลมอ่อนโอยสลับหน่วงทวงสัญญา
จะกลับหาหลังวันวสันต์กราย

นกกระจิบช่วงเช้าเฝ้าป่าวร้อง
บอกห้วยหนองรับรู้ฤดูใหม่
ไม้เพียรฝืนยืนต้นจนโกร๋นใบ
จะผลิใหม่ลาแล้งแห่งวานซืน

เติมกิ่งฟืนเสริมไฟให้ความอุ่น
เมื่อหนาวหนุนเสียจนจะทนฝืน
เสพความฝันคราวนอนแต่ค่อนคืน
จนคราวตื่นเสพกรุ่นอุ่นไอไฟ

วางหัวมันเขี่ยเอาขี้เถ้ากลบ
หอมอวลอบหอมยิ่งกว่าสิ่งไหน
สะบัดไม้เกลี่ยเกลี่ยคอยเขี่ยไฟ
จะเสริมใส่บนขี้เถ้าอบเอามัน

เขี่ยมันเผาแบ่งกินชิมคำหนึ่ง
เพียงคำแรกก็ลึกซึ้งถึงความหวาน
กลิ่นบ้านนอกหอมเหลือในเนื้อมัน
รสแผ่นดินยังซ่านผ่านซึมผ่านลิ้น

หนาวสุดท้ายปลายแล้งหนแห่งนี้
ยังดำรงและคงมีวิถีถิ่น
ต้นคิมหันต์เติบตื่นฟื้นชีวิน
ฟื้นแดนดินเมืองผญาฟ้าหมอลำ

หนาวมีเกิดและดำรงจนดับไป
ทั้งกองไฟอับแสงเคยแดงก่ำ
ผู้แสวงธรรมชาติสัจธรรม
ล้วงเห็นความรู้นี้ทุกที่ทาง

หนาวสุดท้ายหนาวนักหนาวหนักหน่วง
คนเมืองหลวงคงมีวิถีต่าง
น้ำค้างเต่งหมอกขาวเพียงเบาบาง
ปลุกทรงจำอันลางได้อย่างไร

คงงดงามยามหนีกลิ่นขี้เถ้า
หัวมันร้อนต้อนเช้าเกินก้าวก่าย
มันฝรั่งทอดกรอบคงชอบใจ
หนาวสุดท้ายคงกรุ่นอุ่นผ้านวม

ไฟอ่อนอ่อนกองหนึ่งถึงคราวร้าง
แต่ควันลาฟ้าหวังว่ายังห่วง
ฟื้นไม้ดับมอดหมางไปทั้งปวง
บ่ดับห่วงสัมพันธ์เคยสัญญา

เมื่อรุ้งสางฉายเช้าให้หนาวนัก
ไฟเคยผิงอิงพักคอยรักษา
คอยคนคอนคืนเคียงคนเถียงนา
แม้หนาวลาไฟร้างยังคงคอย

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
14 มีนาคม 2553 20:08 น.

สุขที่เกินกว่า

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ

สุขที่เกินกว่า

ภาวนาสมาธิ
เจริญสติลมหายใจ
รับรู้อนูกาย
จดจ่อหมายไว้มั่นคง

จิตห่มลมหายใจ
สังเกตุได้ใดดำรง
เรือนร่างที่วางปลง
สำหรับรู้ลมหายใจ

เกิดว่างยิ่งกว่าว่าง
จิตตกค้างค่อยห่างหาย
ล้วนมีล้วนหนีไป
กายและจิตอนิจจัง

ทุกขะเวทนา
กับกายามีมาบ้าง
เกิดขึ้นจนฝืนคราง
ขณะหนึ่งจึงดับลง

เห็นงามกามโศก
บริโภคกิเลสหลง
วันวานกามดำรง
วันนี้ปลงจึงสุขจริง

สังเกตุกิเลสนับ
ที่จดจับสรรพสิ่ง
สงบสงบนิ่ง
จิตกิเลสก็อ่อนแรง

เหมื่อนนั่งอย่างโดดเดี่ยว
ในโลกเปลี่ยวอันสวยแสง
รสธรรมล้ำแสดง
ก็เป็นสุขทุกอนู

พุทโธละรึกพุทธ
บริสุทธิ์กำหนดอยู่
หายใจหมายใจดู
ใจและจิตคิดอะไร

อาณาปานสติ
ที่ใช้คิดวินิจฉัย
ฝุ้งซ่านอยู่ด้านใน
พลันสงบพบเยือกเย็น

ปฏิบัติธรรมยามนี้
ได้ใดดีกว่าที่เห็น
สติที่แฝงเร้น
ก็เฉลยจนเผยปม

สุขจากสมาธิ
ที่วิถีที่เสพสม
สุขนามกามรมณ์
ไม่อาจเทียบเปรียบได้เลย

"ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม
"วัดป่าภูผาสุง" สถานที่ก่อกำเนิดบุญกุศล
ทั้งภายในวัดนั้นล้อมรอบไปด้วยไม้ป่า
อันมีอายุหลายสิบปี ตั้งยืนต้านแรงลม
ที่คอยพัดอยู่อย่างไม่เคยหยุด
แม้แต่สัตว์ป่า เฉกนกยุง กระรอกขาวสะอาด
นกนานาพันธุ์ ที่แม้แต่ก้าวแรกที่ได้เดิน
เข้ามายังสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้
รับรู้ถึงความเป็นธรรมชาติ ธรรมดา
ที่งดงาม สงบ และเป็นแรงใจให้
ได้วิปัสนากรรมฐานยิ่ง"

"ผมขึ้นไปนั่งบนหน้าผาสูง
ที่ร่มรื่น เสียงลมที่กระทบโสตฯ
ไม่ต่างจากเสียงสายน้ำยามฤดูฝนใหม่
ใบไม้แห้งโรยร่วงแซมนุ่นสัตบรรณ
เมฆสีขาวคลุ่มราวกับอยู่บนวิมาน
หินระดาระดาษสลับซับซ้อน
วางเรียงรายทั้งก้อนเล็กก้อนใหญ่
ราวกับธรรมชาติแต่งเตรียมไว้
สำหรับการวิปัสนาโดยแท้
เบื้องล่างเป็นทิวป่าแห้งแล้ง
หมู่บ้านที่อยู่เป็นหย่อม ไร่นา หลังคาบ้าน
ซึ่งเล็กราวหัวไม้ขีดไฟ
แต่ ณ ที่แผ่นลานผานั้นแสนจะร่มเย็น
คงเป็นอานิสงค์แห่งบุญ"

"ผมได้นั่งสงบจิตสงบใจ
ดูลมหายใจเข้าออก
เพียงไม่กี่นาทีก็พบกับความว่าง
ความสุขที่ลึกซึ้งอันสงบงดงาม
ราวกับอยุ่เพียงผู้เดียวในโลกเงียบ
ที่ประดับแต่งไปด้วยธรรมชาติ
ความฟุ้งซ่าน นิวรณ์ต่างๆบางลง
เป็นความสุขที่เหนือกว่าสิ่งใด
"วัดป่าผูผาสูง" คือลานธรรมโดยแท้"

"ด้นผูผาไต่หินดมกลิ่นลม
เหยียบพื้นพรมใบไม้แห้งแห่งป่าใหญ่
สูงยอดผาสูงยิ่งเกินสิ่งใด
ดำรงในธรรมชาติสัจจะธรรม

ลมครางครืนครวญไหลราวสายชล
เฉกเสียงมนต์สวดกล่าวทุกเช้าค่ำ
เอนป่าไหวไม้โอนทุกโมงยาม
ไม่ต่างความเวียนว่ายในวักฏะ

งามองค์พระล้วนงามความสงบ
พนมนบยิ้มอยู่บนผูผา
ไสบอ่อนจีวรไหวในแววตา
เผยศรัทธาพุทธชนล้นหัวใจ

ธรรมะงามงดงามยามเสพธรรม
ภูผางามหินระดาลมป่าไหว
สัตบรรณโปรยนุ่นอ่อนว่อนพงไพร
ต่างอะไรกับสวรรค์วิมานมนต์"

ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
Lovings  ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฟ้าฟื้า ธรรมชาติ