24 กันยายน 2553 11:37 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
พราวเสียงเพลงแห่งค่ายพรายฟ้ารุ่ง
ผสมปรุงไอเคล้าข้าวหุงใหม่
บทสวดข้าวเปล่งดังกังวาลไพร
ปลุกเช้าในถิ่นหนาวชาวดงดอน
นกเพียรพร่ำเพลงโปรดข้างโบสถ์วัด
ปฏิพัทธ์ลูกน้อยค่อยพร่ำสอน
เช้าใหม่แล้วคงห่างจากรังนอน
ตะวันรอนอ่อนลงคงหวนคืน
หนาวลมป่าเร้าส่ายรวนสายหมอก
ซ่านลมหยอกเอินคนพอทนฝืน
อ่อนแล้วหนอแรงไฟไหม้เศษฟื้น
กว่าค่อนคืนเคยโหมกับลมกรู
สายคันนามีข้าวคอยเคียงข้าง
ในลอมฟางแม่ไก่อาศัยอยู่
กกไข่น้อยปีกแนบแอบขนฟู
ควายบักตู้เล็มฟางอยู่ข้างกัน
แววใบสนหล่นพรูอยู่ลิ่วลิ่ว
ว่อนสนปลิ่วสอดส่ายคล้ายแววฝัน
ฝนเสรีฝนสนหล่นลานวัน
ยังรังสรรค์ชนบทให้งดงาม
เพียรหนุ่มน้อยปาดเหงื่อเหนือหน้าฝาก
สองมือสากพัดลม ใต้ร่มมะขาม
พอสร่างร้อนผ่อนลงสักโมงยาม
ก่อนคิดตอบคำถามในหัวใจ
ทุกดอกเหงื่อเพื่อรินรดดินดอน
ทุกข์กายรอนเกินทนจนหวั่นไหว
ค่ายอาสามากันเพื่ออันใด
เหนื่อยแรงให้อ่อนล้านานกว่านาน
ข้าวหนอข้าวมื้อไหนไม่พออิ่ม
แต่ชาวค่ายทำไมยิ้มตาพริ้มหวาน
กลองยังตีเพลงดังยังทัดทาน
กับแรงงานที่ล้าให้กล้าแข็ง
เพียรหนุ่มน้อยวันสุดท้ายแห่งค่ายนี้
ยังคงมีสับสนทุกหนแห่ง
ลองเหลียวหลังจรดป่าถิ่นพาแลง
จึงรู้แจ้งว่าเสียเหงื่อเผื่อสิ่งใด
ผมมีโอกาสได้ออกค่ายอาสา กับชมรม
อาสาพัฒนาชนบท กับเพื่อนที่เป็นประธานชมรม
การก้าวเข้าสู่ชนบทดิบเดิม ซึ่งแตกต่าง
จากชนบทของผมมาก
ชนบทแห่งนี้ ยังคงความเป็นธรรมดา
ธรรมชาติอย่างสามัญ
ในยามเช้าหนาว ชาวค่ายตื่นมาทำกิจวัตรของตน
แล้วทานอาหารร่วมกัน
บทเพลง ค่าย บทสวดข้าว ที่ยังคงหอม
ไออุ่นๆ เคล้าตัดกับสายลมหนาวเข้าจมูก
ปลุกวิญญาณแห่งความเป็นค่าย
ณ ตอนนี้ยังจำได้ไม่รู้ลืม
ครั้งหนึ่งในค่าย ข้าพเจ้าเคยถามเพื่อน
ในสิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัย ด้วยบทกวีว่า
"เช้าค่ำนั้นผ่านไปใครรู้เห็น
ความลำเค็ญโน้วหน่วงกลางดวงจิต
ผู้ถือเลื่อย ค้อน กระดาน งานชีวิต
ทนผลิตดอกเหงื่อเพื่อสิ่งใด"
เพื่อนข้าพเจ้าถามกลับคืนว่า
"ฟื้น เอ็งเห็นอะไรรึเปล่า?
เอ็งลองหันกลับหลังดูสิ"
ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร
จนวันสุดท้ายที่ค่ายจะจบลง
ข้าพเจ้าเดินกลับออกมาจากชุมชนเพื่อเข้ามายังค่าย
ขณะนั้นได้หันกลับหลัง
ข้าพเจ้าพบกับสิ่งที่ทำให้ตอบคำถามแทนเพื่อนได้
สิ่งที่เห็นคือรอยเท้าของตัวเอง
ที่ได้ก้าวเดินไปแล้วแทบทุกที่ในชนบทแห่งนั้น
ทำให้นึกย้อนกลับไปยังก่อนมาค่าย
ที่ห้องชมรมมีวลีสั้นติดเอาไว้หน้าประตู
มันคือคำตอบของทุกคำถามในค่ายแห่งนี้
ตอนนี้ข้าพเจ้ายิ้มทั้งน้ำตาแล้วครุ่นคิดในใจว่า
เพื่อนของข้าพเจ้าคนนี้
เขาคงรู้คำตอบคำนั้นดีทีดี
คำง่ายๆ ที่ตอบได้อย่างภาคภูมิ
"เอ็งคงรู้จักวลีนั้น คำตอบนั้นดีกระมั่ง
ศรัทธา เชื่อมั่น อาสา"
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ครั้งที่32
ณ บ้านหนองดู่ จ. นครราชสีมา
11 สิงหาคม 2553 14:41 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
แผ่วเรไรกล่อมเบาเคล้าลาค่ำ
เพลงนกพร่ำลารังยังอ่อนหวาน
โรยกลิ่นรายพรายล้อมหอมลูกตาล
สุดคุ้งบ้านรับไอหนาวเช้าอรุณ
หยดน้ำฝนหล่นกระเซ็นเย็นใบหญ้า
แววอุษาทาบคลองละอองอุ่น
ให้ระเหยอวลไอละไมละมุน
มาเจือจุนแช่มเช้าพอหนาวคลาย
ไม้ขัดหม้อเขี่ยเตาขี้เถ้าโรย
กรุ่นกลิ่นโชยอังควันแต่วันใหม่
รินน้ำฝนรองหลังคามาดับไฟ
หลบอวลไอซู่ซ่าหรี่ตาริน
รองน้ำข้าวขาวขุ่นหนุนปากหม้อ
อังไฟพอหอมกรุ่นอุ่นอวลกลิ่น
สับปลาร้าคั่วไฟเผื่อไว้กิน
ยามมุ่งถิ่นสู่นาประสาจน
คอนไม้คานหาบกระติบสำรับข้าว
ฝ่าเช้าหนาวหมอกงามท่ามใจหม่น
กลางพรรษายังกรำกรากภัครนาตน
เพียงสองคนครัวน้อยด้อยแรงงาน
ยังคงดำทำนากล้าตามหลัง
ทั้งทั้งที่ทั้งทั้งหน้าพรรษาผ่าน
สองแรงน้อยหยาดเหงื่อมาเนิ่นนาน
จักไหว้วานขอแรงหนแห่งใด
สำรับวางเถียงเก่าเสาใกล้หัก
พอก่อนพักพ่ออีนางวางคันไถ
มีน้ำฝนป่นปลาร้ามาคอยให้
รองท้องเปล่าเช้าใหม่เสียก่อนนั่น
สละเหงื่อแรงงานการใดหนอ
ใยมิท้ออ่อนแรงแห่งความฝัน
ยืนแช่ปรักโคลนฝืนทนขื่นคัน
คอยหมายมั่นสิ่งใดในงานนา
รินเหงื่อเค็มเต็มเม็ดเล็ดชายเสื้อ
กี่ล้านเหงื่อบ่าไหลบนใบหน้า
รสน้ำโคลนเลี้ยงข้าวเนาว์ผืนนา
อาจจะเค็มเกินกว่าน้ำทะเล!
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
21 มิถุนายน 2553 00:15 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
เอิ้นสั่ง นาน้ำ รอยยิ้ม
น้อมความหอมแห่งแผ่นดินมาเห่ห่ม
กอดสายลมเย็นชื่นทุกรื่นไหล
ยิ้มส่งฝนเลหลังที่ห่างไกล
จะดุ่มด้นดั้นไปหลายตำบล
แมงดานาทิ้งไข่ไว้ดายเดี่ยว
หมองหญ้าเขียวเฉาลานาน้ำฝน
หอมแผ่นดินชุ่มน้ำฉ่ำกมล
เคล้ากลิ่นปนละอองชื้นเมื่อรื่นริน
น้ำค้างลาหล่นพรากจากใบข้าว
สะท้อนเงาน้ำนาทาบทาถิ่น
วงกระเพื้อมสะกิดข้าวเนาว์แผ่นดิน
ปลาน้อยดิ้นตกใจในผืนนา
โค้งคันเบ็ดห้อยหย่อนคำนับน้ำ
ค้างคันค่ำสางรุ้งคอยมุ่งหา
เด็กดุ่มเดินเพลินเก็บคันเบ็ดปลา
ก่อนลานาสะพายข้องออกย่องเดิน
จิบกระจิบนกกระจิบกระจิ๊บร้อง
ทวนทำนองท้องนาเข้ามาเกริ่น
แข่งเขียดขานเอี๊ยบแอ๊บแอบหยอกเอิน
ทั้งฟ้าเอิ้นหลังฝนให้คนครวญ
ข้าวอุ้มท้องเขียวงามความเป็นนา
ปลุกคุณค่าให้เติบตื่นฟื้นคืนหวน
เม็ดเหงื่องามชนบทคราวโอฐครวญ
ทั้งหมดล้วนมั่นหมายให้ข้าวยืน
เมื่อแสงสางงีบหลับกับฟากฟ้า
ลมฝนซาฟ้าใหม่ยังไหลรื่น
ไล่ลมหนาวเย็นสะท้านอยู่ครางครืน
พร้อมหยิบยื่นลมกรุ่นมาอุ่นอิง
คันนาอ่อนจารึกทุกรอยเท้า
รอยใหม่-เก่ารู้รับสรรพสิ่ง
มีปูปลานาน้ำความเป็นจริง
ต่างพึ่งพิงแก่กันแต่นานมา
ข้าว โพน นา ปลาข่อน ชนบท
ความหมดจรดบริสุทธ์ผุดคุณค่า
กบ เขียด หอมผักขะแยง แมงดานา
ความหมายว่าสุขอุดมอันสมบูรณ์
เสียงสุดท้ายฟ้าหลังเอิ้นสั่งร้อง
บอกนาหนองห้วยเก่าเฮาบ่สูญ
รอปีหน้าฝนมาหลังฟ้าลุน
อย่าอาดูรเลยนาลาจากกัน
สิ้นเสียงฟ้าพระอาทิตย์วิจิตรงาม
มาเยือนยามถามทุกข์หรือสุขสันต์
สาดแสงอุ่นสะท้อนน้ำนามตะวัน
ราวแพรพรรณเพชรน้ำในนามนา
น้ำค้างข้าวหยดสุดท้ายในกอหนึ่ง
กระทบถึงท้องน้ำอันล้ำค่า
เพียงมองน้ำก็บรรจบการสบตา
กับเงาหน้าและรอยยิ้มอันอิ่มใจ
น้อมความหอมแห่งมวลข้าวมาเห่ห่ม
กอดสายลมอุ่นอุ่นละมุนไหล
จ้องมองเงาบนผืนน้ำความเป็นไป
พบแต่รอยยิ้มใสในนานั้น
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
24 เมษายน 2553 17:39 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ปลายฤดูคิมหันต์ตะวันพลบ
จะเข้าหลบหลืบฟ้าเวลาฝน
เร่งควายขึ้นจากน้ำลาลำชล
สู่ฟางป่นคอกเก่าเสาเซเอียง
ลมไล่หลังครางครืนทวงผืนนา
ระหว่างฟ้าเอื้อนคำสำเนียงเสียง
นกถลาจากดินขึ้นบินเรียง
คงอยากเคียงลูกอ่อนก่อนฝนริน
หนอพี่ชายไอ้ตัวเล็กเก็บผ้าอ้อม
เหนือรั้วล้อมราวตากรักเขตถิ่น
ชายคารองรางไม้ไว้ดื่มกิน
เมื่อฝนรินตุ่มงามน้ำเติมเต็ม
เขียวมัดกล้าแต่ละมัดที่หยัดยืน
ต่อคนฝืนทั่งแกร่งเป็นแท่งเข็ม
ทุกปักดำกล้าไหวใบโลมเล็ม
จางเหงื่อเค็มเจือน้ำฉ่ำโคลนตม
เมื่อมวลเมฆอวบน้ำเต็มโอบอุ้ม
เตรียมปิดคลุมถ่านไม้ใช้ผ้าห่ม
หลบละอองฝนใหม่เริงสายลม
หากเปียกพรมถ่านแห้งหมดแรงไฟ
ท้วงทำนองจั๊กจั่นแต่วันวาน
จะขับขานร้องรับกับฝนใหม่
สังกะสีหลับนอนแต่ตอนใด
จะรัวไหวลายบรรเลงเพลงหลังคา
ทุกเรือนชานบ้านไหนในตำบล
คอยรับฝนสู่วันที่ฝันหา
ต้นวสันต์ผ่านร้อนค่อนเวลา
ความเป็นนาแต่หลังก็พรั่งพร้อม
พลิ้วเสียงฝนแรกตกกระทบโสตฯ
รินสะกดลานดินโชยกลิ่นหอม
งามดอกไม้ภูมรินเคยบินตอม
ก็ถูกย้อมน้ำฟ้ามาแต่บน
หอมเอยหอมกรุ่นกลมเมื่อฝนต้อง
ฟ้าร่ำร้องสั่งว่าสู่หน้าฝน
สังกะสีร้องขานบันดาลดล
แล้วเสียงมนต์เพลงสวรรค์ก็บรรเลง
-----------------------------------------------
หวานน้ำรองชายคาแรกหน้าฝน
ดื่มกับมนต์เพลงสวรรค์ที่บรรเลง
วันฝนแรกแห่งฤดูฝนเดือนหก
เบื้องหน้าข้าพเจ้าขณะนี้ลมฝนใหม่
กำลังพัดพลิ้วยอดใบไม้ใบหญ้า
อุ้มไอความเย็นมาจากไหนก็ไม่รู้แสนฉ่ำเย็นสบาย
ซึ่งแตกต่างกับลมฝนยามหลงฤดูในหน้าที่ของฤดูคิมหันต์
ผู้เสพมนต์กวีที่อ่านอยู่นี้ อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย
เรื่องความแตกต่างระหว่างฝนที่มาพร้อมกับฝนเดียวกันนี้
ที่ได้สัมผัสอยู่ มันไม่มีรูปไม่มีตัวตนที่จะอธิบาย
แต่เป็นความรู้สึกที่รับรู้และเข้าใจได้
หอมกลิ่นดินหมาดฝนใหม่ กลิ่นหอมนี้
เป็นกลิ่นเดิมๆ แต่ยังให้ความรู้สึกที่ลึกล้ำ
เหมือนมีอวลไอชีวิตเริงร่าอยู่รอบๆ ตัว
เสียงจั๊กจั่นเสียงเดิมเช่นวันเก่าๆ ที่ผ่านมา
สดใสแตกต่าง พวกมันกรีดปีกสลับกันเป็นระยะๆ
ร้องเล่นตื่นเต้นกับฝนใหม่ ราวกับว่ากำลัง
ฉลองบุญใหญ่แห่งท้องทุ่งฟางเก่า
เนินเหนือทุ่งนารอบๆ นั้น มีดอกไม้ชนบท หลายชนิด
เสียดายที่หลายชนิดนั้นข้าพเจ้าไม่รู้จักชื่อ
ข้าพเจ้าเดินลัดผ่านทุ่งนาตั้งแต่ฝนเริ่มตั้งเค้า
สู่หมู่บ้าน อันมีวิถีดิบเดิม ได้เห็นบรรยากาศ
ที่ไม่ได้เห็นมาก่อนในหลายปี
ยามตะวันพลบ ฟ้าสู่ห้วงสนธยา
ฝนรินรดสังกะสีราวกับบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์
น้ำฝนใหม่หวานเย็นในรสเดิมไม่ผิดเพี้ยน
และไม่เคยเปลี่ยนไปตามยุคสมัยโลกแปร
ข้าพเจ้าแสนจะเสียดาย หากว่าไม่เร่งมา
ทำรางรองน้ำฝนเสียก่อน คงได้มีโอกาสนั่ง
อยู่บนเถียงนา ดื่มด่ำกับบรรยากาศหลังฝน
ในยามค่ำคืน เคียงจั๊กจั่น นกนาและสัตว์นาอื่นๆ
ป่านนี้สัตว์นาเหล่านั้น
คงจะสนุกสนานกับคืนงามตามประสา
คงเป็นบรรยากาศที่น่าอิจฉายิ่งนัก......
ฝนใหม่ฮวยอีสาน วันที่สัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้
และใบหญ้าเริงระบำ
แม้ท้องฟ้าจะไร้ดาวเพราะเมฆฝนลูกใหม่บดบัง
แต่ความงดงามแห่งผืนแผ่นดิน ก็มีให้เสพและดื่มด่ำ
ในยามแรกฤดูฝน... ยามนี้
ข้าพเจ้าขอจบบันทึกแค่นี้ก่อน
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
21 เมษายน 2553 20:56 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
มิ่งเมษาป่าคูนพูนความเหลือง
รับคนเมืองสู่นาแต่ฟ้าสาง
เด็ดมะลิลอยนำน้ำอบจาง
กลีบคูนวางโปรยหว่านขันน้ำปรุง
แป้งเย็นหอมพร้อมสรรพสำหรับน้ำ
หอมชื่นฉ่ำรดราดสาดผ้านุ่ง
สะกดเสื้อลายดอกออกกลิ่นฟุ้ง
แก้มกระพุ้งลายฟันหวีแป้งมีเขียน
ล่วงเวลาอุษากรายในทุกเช้า
คืนก่อนเก่าสู่วันใหม่โลกไหวเปลี่ยน
ไหวฮีตคองขันโตกเมื่อโลกเวียน
ฝ้ายขาวเคียนคาดพลูรู้พาขวัญ
เมื่อเมษามาย้ำความเป็นคูน
พิณแคนสูญจะได้ฟื้นกลับคืนฝัน
เพียงลมร้อนจนกรายในหว่างวัน
นาสวนนั้นแห่งบ้านนาจะปลื้มใจ
แห่งบ้านนาฟ้ารุ้งปรุงอุษา
ดาริกาวาววับจะหลับไหล
มิหมายมั่นอวิชามายาใด
หมายแต่ในต่อท่ามความอยู่เย็น
แห่งบ้านนาฟ้าค่ำย่ำความพลบ
การบรรจบมืด-สว่างอย่างเคยเห็น
มิหมายมั่นมืดงามด้วยจำเป็น
หมายแต่ว่าตาเว็นลับโลกไป
แห่งบ้านนาดาวตื่นคืนฟ้าดับ
นอบน้อมรับไอกรุ่นอุ่นคบไหว
มิหมายมั่นแสงต่างสว่างใด
หมายแต่ไฟวามผญาโลมป่ามอน
เหง่งจะเหม่งโมงดังระฆังหง่าง
ลมหัวกุดหอบฟางเริ่มร้างอ่อน
ปรารถนาลมสิพักคงอยากนอน
หลังออดอ้อนฟางแล้งแห้งเต็มนา
วาสนาเถียงเก่าเนาว์พระธรรม
ลิ้มรสล้ำคำมนต์บ่นคาถา
เพียงเก่าเก่าเหงาร้างสังขารา
หากมรรคาลอยหอมพร้อมรสพุทธ
ปางค์เจย์ดีทรายสุขทุกก่อก่อง
แจ่มเรืองรองแข่งงามความบริสุทธิ์
เปี่ยมศรัทธาส่องสว่างทางวิมุติ
หน่อพระพุทธแตกกล้าระย้าตำบล
คืนเม็ดทรายสู่อารามงดงามพระ
ทรงศีละร่มอุ่นบุญกุศล
ม้วนสายสิญจน์แต่ละก้อนอ่อนกลมมน
แผ่ผูกด้นต่อยอดปราสาททราย
ประดับคูนประดาด้วยสวยปราสาท
ทั่วลานวัดสาธุชนคนทั้งหลาย
อิ่มแรงบุญในท่ามความวุ่นวาย
แต่มั่นหมายเดียวกันสรรค์เจย์ดี
มิ่งเมษาป่าคูนพูนความเหลือง
อวดคนเมืองคราวคิดถึงซึ่งถิ่นที่
สาดน้ำเย็นแป้งป้ายในขันนี้
เปียกเจย์ดีวัดวาเมษายน
................................................................
งานวัดเล็กๆ ในชนบทยามเดือนห้า
ต้นเวลากลางคืน ผู้คนมากหน้าหลายตา
ยังไม่หยุดเล่นน้ำ ชุดเปียกปอนที่สะท้าน
ถึงขุมขนเมื่อต้องกับสายลมเย็น
บิงโกอักษรที่เปียกจนเปื่อยบ้าง
นักมวยที่ชกบนเวทีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและน้ำมันมวย
ผู้ชมข้างล่างก็เปียกไปด้วยน้ำหอมปรุง
กองทรายแต่ละกองที่ก่อนทั้งหน้าบ้าน และในวัด
ก็ชุ่มหอมไปทั่ว
ยามนี้เพียงร่มโพธิ์ที่ไหวเวกวิโว
ดอกคูนก็ไหวโววิเวก เหลืองอร่ามแข่งกับดวงดาว
ราวกับว่าเป็นพระอาทิตย์ยามกลางคืน
ไฟงานวัดก็ส่องสว่างไม่แพ้ แต่ละหลอดห่อด้วยกระดาษแก้วงดงาม
ในยามเดือนห้า หนุ่มๆสาวที่เลอะแป้งหอม
ล้วยสาดน้ำใส่เปียกไปหมด
สัตว์ยามคืนเช่นจั๊กจั่นที่สั่นปีกรั่ว
คงหลงคิดว่าเป็นน้ำฝนกระมัง
งานวัดยามคืน มาพร้อมกับการเล่นน้ำ มีทั่วลานวัด
แม้เณรน้อยและอุบาสิกาภาคฤดูร้อนเองก็ยังอดเล่นไม่ไหว
หลวงพี่หลวงพ่อท่านต้องวุ่นวายทีเดียว
ก็นับว่าเป็นบรรยากาศอีกแบบ
การเปียกปอนด้วยน้ำ ที่สาดใส่ทุกนาม
ในความเป็นอีสานชนบทแบบนี้
ข้าพเจ้าเองได้เห็นว่า
"สาดบุญกุศลเปียกบุญกุศลแท้ๆ"
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ