4 เมษายน 2555 10:51 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
หนุมานฤาชาญเท่า
พี่ยิ่งกว่าการหาวเป็นดาวได้
หนุมานยกให้พี่เป็นเจ้า
เห็นไหมพลธนูเป็นหมู่ดาว
พี่เคยหาวทิ้งไว้เมื่อปลายปี
กลุ่มของแพะทะเลพี่ก็หาว
ขึ้นเป็นกลุ่มดาวเมื่อเดือนยี่
ดูกลุ่มดาวปลาตรงนั้นซี
หาวไว้เดือนสี่แต่นานมา
นั่นดูนั่นเขาเรียกกลุ่มดาวแกะ
พี่หาวออกเยอะแยะแต่เดือนห้า
จำได้เดือนหกพฤษภา
หาวออกมาเป็นกลุ่มดาววัว
หนุมานฤาชาญเท่า
เดือนเจ็ดพี่ก็หาวดาวคนคู่
ลักเล่นเช่นชู้อยู่ถ้วนทั่ว
ดูดาวปูพี่หาวคราวละตัว
อยู่เหนือหัวเดือนแปดเป็นกลุ่มดาว
ดูนั่นดูกลุ่มดาวสิงโต
พี่หาวโห่ไว้ให้ในเดือนเก้า
พี่หาวต่อเดือนสิบกระพริบพราว
เป็นกลุ่มดาวหญิงสาวพรมจารี
เดือนสิบเอ็ดเคยหาวดาวคันชั่ง
ก่อนจะนั่งหาวให้เดือนอ้ายยี่
กลุ่มดาวคนแบกหม้อขอโทษที
ลืมว่าหาวดาวนี้ที่เดือนสาม
พี่นั้นหาวเป็นดาวได้กว่านี้
อันตัวพี่มีดีมิได้พล่าม
หากแต่คืนนั้นหนาใต้ฟ้างาม
พี่นอนหาวไม่กี่ยามก็หลับไป....
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
28 มกราคม 2555 00:12 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ดอกไม้ในเงาจันทร์
คือดอกไม้ยามราตรีวิปโยค
โศกซ้ำโศกซ้ำซ้อนอย่างสวยเศร้า
อยู่ในคืนเงียบงันอันปวดเร้า
กับหมอกหนาวพราวน้ำค้างอย่างเนิ่นนาน
คือดอกไม้ก้าวไปบันไดเมฆ
โยกยิเยกสั่นคลอนก่อนถึงฝัน
หมายเติบโตแต่งต้นบนดวงจันทร์
ทุกวิกาลจันทร์ยิ่งไปไกลลิบตา
คือดอกไม้หยัดยืนในคืนเหน็บ
รู้ทันเจ็บด้วยแรงแห่งปรารถนา
สู้ต่อโชคชะตาเร้าคาวมายา
ดื่มน้ำค้างเคล้าน้ำตาล้าแรงกาย
วอนมนต์ตราฉาบแสงนั้นจากจันทร์เจ้า
ไล่ความหนาวสักเวลาจะได้ไหม
กรุ่นอุ่นแสงแห่งจันทร์หมายมั่นใจ
เราดอกไม้จะแสร้งว่าคืออาภรณ์
ในคืนค่ำยามแมลงแล้งน้ำใจ
ขย่ำดอกขยี้ใบหมายหลอกหลอน
แมลงหรือ? ถือสิทธิจะริรอน
เพียงอุทรณ์ฎีกาหาพระจันทร์
คือดอกไม้หมายจะพบทางหลบหนี
หากยังมีรากหยั่งแน่นเป็นแก่นสาร
โดยตกฝันบันไดฟ้าแต่ครานาน
จากที่นั้น! สู่ตรงนี้...ไร้ที่ไป
เพียงส่งฝันอันระวีที่เริ่มล้า
โดยส่งหาเพื่อนฝันว่ามั่นหมาย
ณ ที่แล้งแห่งนี้มีดอกไม้
มีดอกอื่นดอกไหนที่คล้ายกัน?
อนาคตต่อไปในภายหน้า
ด้วยว่าล้ากาย-กำลังพลังฝัน
ระบมร่างจากแมลงเยื้อแย่งทาน
จะลางานท้อและท้อพอเสียที
คิดจะเลือกปลิดชีพในมายา
จะนำพาเจตจินต์บินหลบหนี
มีวิญญานไปจันทร์อันระวี
ต่อแต่นี้ไม่หมายใช้บันไดงาม
คือดอกไม้มีหัวใจห่วงใยรัก
มิอาจจากเพื่อนดอกไม้ไร้คมหนาม
เพียงจะสู้หมายจันทร์ทราบนฟ้างาม
และสู้ทรามความวิโยคโศกโสมม
เป็นดอกไม้จะไปฟ้าคราถึงที่
อันชีวีกลีบล้าจะถาถม
เวลานี้รักจะมอบปลอบประโลม
ดอกไม้อื่นที่ล้าล้มได้หยัดยืน
ความฉ่ำหวานหารแบ่งแมลงไป
แรงร่างกายเจียดให้ฝัน...มั่น! ทน! ฝืน!
สักเวลาจันทร์จะมาหาสักคืน
เหล่าดอกไม้จะได้ชื่นฟื้นพลัง
คือดอกไม้ยามราตรีวิปโยค
เพียงเศร้าโศกหม่นเหงาเบาลงบ้าง
ในคืนงันเงียบเหงาหมอกเทาจาง
คงจะพบจันทร์กระจ่าง....ข้างหัวใจ
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
12 พฤศจิกายน 2554 18:03 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
เพื่อเอมอิ่มทุกข้าวคำของแผ่นดิน
จะสิ้นแล้วแววฝนพฤศจิกาฯ
ห้วงวรรษาปลายวสันต์จะพลันหาย
หนอหม่นเมฆเปื้อนคว้างจะร้างกราย
ฟ้าร่ำไห้เอิ้นสั่งห่างเฮือนเนาว์
คงจะหนาวน้ำค้างวางดอกร่วง
สุมไฟฟืนอิงทรวงเมื่อหน่วงหนาว
ฟ้าค่ำใสสับเปลี่ยนเวียนหมู่ดาว
สะนูว่าวลิบฟ้ามาฮำฮอน
บัดนั้นปี่ซังข้าวจะพราวเสียง
ส่งสำเนียงพร่ำพรอดมาออดอ้อน
สืบสามัญท้องทุ่งปรุงดงดอน
กล่อมฟางฟอนฟ่อนข้าวเมื่อหนาวลง
บัดนั้นแววคมเคียวจะเกรียวกราว
บอกหนุ่มสาวคืนทุ่งมุ่งมาส่ง
คืนคอนกลับรวงเรือนในเถื่อนดง
จะได้ลงท้องทุ่งมุ่งข้าวงาม
เงาแสงฟ้าทาทาบอาบทุ่งทอง
คมเคียวส่องวับใสมาไต่ถาม
เบิ่งอุษามาปรุ่งเบิกรุ่งงาม
เรืองอร่ามดังทองของแผ่นดิน
ไปด้วยสิไปนะไปด้วยกัน
ไปดูนั่นบินผกดูนกผิน
แอบลักข้าวสู่รังประทังกิน
ไปดมกลิ่นหมอกน้ำค้างวางเม็ดข้าว
เป่าปีซังข้าวใหม่ให้ดังดัง
ให้ชีวิตพะวังหลงพะวงหนาว
ตื่นมาเถิดจากฝันหลังค่ำยาว
มาสืบเทือกสืบท้าวรวงข้าวเรียว
ลิ้มเสพชิมน้ำค้างหว่างลงเม็ด
เตะแต้มเกล็ดหมอกขาวคลอข้าวเหนียว
แหนะลมอ่อนค่อยกรูอยู่กราวเกรียว
หดคอเสียวซ่านกายใต้เสื้อคลุม
อ่อนแล้วหนอไฟฟืนดุ้นเศษน้อย
เคยทยอยเติมเชื้อเหลือฟืนสุม
อังมือเรียวซีดขาวคราวหนาวรุม
อุ่นหน่อยค่อยกกตุ้มกุมมือตน
ให้ประหวัดถึงฝนเคยหล่นมา
ครั้งยังหว่านเม็ดกล้าเมื่อฟ้าฝน
ชั่วหายใจเข้าออกบอกใจตน
หนาวร้อนฝนหน้าทีล้วนมีทำ
มือแม่พาจับเคียวเทียวทุ่งกว้าง
ล้วนสืบสร้างทางข้าวทุกเช้าค่ำ
สละเหงื่อไหลพรากยังตรากตรำ
เพื่ออิ่มเอมทุกข้าวคำของแผ่นดิน
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
16 ตุลาคม 2554 01:37 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ดูแลตัวเองนะบ้านนา
ดูแลตัวเองนะบ้านนา
เขาบอกว่าจะเข้ากรุงมุ่งเมืองใหญ่
เขาขึ้นรถไฟ
เขาหนี เขาไป ไกลลิบแล้ว
อยู่ลำพังนะบ้านนา
กับคนชราล้าแรงแผ่ว
เขาหนีหน่อแนว
จากแล้ว มังมูล บ่พูนฮัก
เหงาแล้วนะบ้านนา
คนฮักลาลาร่ำด้วยคำหนัก
เขาไปคักคัก
ไปอยู่ ไปพัก ที่บ้านปูน
บ่ม่วนนะบ้านนา
เขาพายพาแคนพิณไปเมืองฝุ่น
ม่วนซื่นงานบุญ
คงสิ้น คงสูญ มนต์ลายเพลง
ดูหมองนะบ้านนา
มาลาดวงดอกไม้ที่บานเบ่ง
ไหวลมครื้นเครง
ร่ายรำ บรรเลง เพื่อให้ใคร
หิวแล้วนะบ้านนา
ใครจะมาจับเคียวเกี่ยวข้าวใหม่
ข้าวหอมลอยไกล
จะถึง เมืองใหญ่ ไหมหนอนั่น
รอคอยนะบ้านนา
ให้รอคอยคนกล้าอ่อนล้าฝัน
ต้องมีสักวัน
ลูกหลาน จะกลับ คืนดงดอน
ไม่นานนะบ้านนา
ยืนหยัดกล้าแข็งใจเอาไว้ก่อน
มหานคร
คนจร คนฮัก อาจคืนหวน
นอนหลับนะบ้านนา
อย่าลืมตาต่อเสียงรถไฟด่วน
เพราะเสียงขบวน
จะป่วน หัวใจ ใจดวงนั้น
ดูแลตัวเองนะบ้านนา
รอคนลาคืนทางกลับหลังหัน
คืนหนาวร้าวราน
เขาอาจ หลับฝัน ถึงบ้านนา
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
24 กันยายน 2554 18:29 น.
ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ
ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว
แสงเดือนงามลอดฟ้ามารำไร
ท้ายหมู่บ้านค่ำไหม่ไฟสลัว
แว่วกระดิ่งกริ่งเก่าฝีเท้าวัว
ลูบสายรั้วริมทางอย่างแผ่วเบา
ลมอิดอ่อนโลมลูบจูบลอมฟาง
ยังครืนครางครวญไหวให้ค่ำเหงา
เหงาเสียงหริ่งเคยย้อมเคยกล่อมเกลา
มาคลอเคล้าลมเอื่อยที่เรื่อยริน
ระลึกถึงแผ่นฟ้ารดาดาว
สายเมฆยาวลิบตามาถวิล
หอมอันใดไหวย้อมล้อมลานดิน
มิเทียบกลิ่นหอมบุปผาแรกราตรี
โพ้นโพยมพยับเมฆราวเสกสร้าง
ซับแสงจันทร์เรื่อรางให้จางหนี
แย้มแสงเมฆขลิปทองท่องราตรี
ค่ำคืนนี้งามเหลือเมื่อได้ยล
สายลมเย็นเร้นมากับฟ้าค่ำ
ลมสายนี้ความฉ่ำต่างลมฝน
หอบน้ำค้างไอรื่นชื้นมาปน
เคล้าดินจนหอมหวนอบอวลนัก
ได้ยินแล้วหัวใจได้ยินอยู่
เสียงสายอู่เสียดเสารบเร้าหนัก
เสียงเพลงกล่อมหลานน้อยกลอยใจรัก
ท่วงทีทุ้มนุ่มทักทายหัวใจ
นับถอยหลังย้อนหาอดีตกาล
เฮือนท้ายบ้านหลังนั้นมีหลานใหม่
มีบทเพลงทรงค่ากว่าเพลงใด
กล่อมหลานชายคืนฝันวันนิทรา
"นอนสาหล่า"แต่ฟ้ายังคงอ่อน
"เจ้าบ่นอน"เดี๋ยวผีสิถามหา
มี"ปลาข่อ" "ผักติ้ว" "ปลาซิวนา"
กล่อมบักหล่าหลานรักให้พักนอน
ด้วยลายแคนแล่นลำฮำฮอนฮัก
และสายอู่เสาหนักอยากพักผ่อน
ลายแม่ฮ้างกล่อมลูกผูกคำวอน
"นอนสาหล่า"รีบนอนหลับตาเจ้า
ริ้วลมดึกลอดชานอยู่กราวเกรียว
เฮือนหลังเดียวท้ายบ้านทนทานหนาว
บทเพลงกล่อมแคนแว่วเริ่มแผ่วเบา
ไต้ข้างเสาอ่อนแสงแล้งน้ำมัน
แสงเดือนงามลอดห้องส่องรำไร
คือผ้าห่มผืนใหม่ในคืนฝัน
ขณะคืนดึกแจ้งด้วยแสงจันทร์
ขณะนั้นหลานหลับเพลงลับลา
..............
"นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม
แม่ไปไฮ่สิหมกไข่มาหา
แม่ไปนาสิหมกปลามาป้อน
แม่เลี้ยงม้อนนอนอยู่สายใหม
นอนสาหล่าหลับตาแม่สิกล่อม
เจ้าบ่นอนบ่ให้กินกล้วย
แม่ไปห้วยไปส่อนปลาซิว
เก็บฝักติ้วมาใส่แกงเห็ด
ไปใส่เบ็ดเอาปลาข่อใหญ่
เจ้าฮ่องไห่แมวโพงจกตา
เจ้านอนซ้าแมวโพงจกหำ
เจ้านอนค่ำแมวโพงจกก้น"
"เพลงกล่อมลูกมีให้ได้ยินทุกท้องถิ่น
คนทุกเชื้อชาติภาษาในโลก
ล้วนมีเพลงกล่อมลูกด้วยกันทั้งนั้น
ในทุกๆฟ้าพลบค่ำ ท้ายหมู่บ้าน
หรือทางภาคอีสานมักจะเรียกว่า
เฮือนตีนบ้าน หรือ เฮือนท้ายบ้าน
เมื่อใดที่เฮือนตีนบ้านมีแสงไต้ไฟตะเกียง
เมื่อนั้นจะเป็นสัญลักษณ์บอก คือกลางคืน
หลังจากที่กินข้าวน้ำกันเสร็จ
ผู้เป็นยายหรือย่าจะออกมานั่งนอกชาน
ผู้เป็นหลายจะตำหมากให้ยายเคี้ยว
และรับฟังค่ำส่งสอนของยายย่า
ด้วยผญาเก่าที่สืบต่อกันรุ่นส่งรุ่น
หากแต่บ้านไหนมีเด็กอ่อนหรือทารก
ผู้เป็นตายายก็จะกล่อมหลานให้นอน
ด้วยตาเป็นผู้เป่าแคน
ยายเป็นผู้ร้องเพลงกล่อม
ในคืนงามใต้แสงจันทร์
เพลงกล่อมและความเหน็บหนาวอ่อนๆ
เคล้ากับกลิ่นดินชุ่มน้ำค้างเบื้องล่าง
ฝสมกลิ่นหอมเย็นของดอกไม้เบื้องบน
ช่างเป็นความดิบเดิมที่งดงามยิ่ง
เมื่อผ่านค่อนคืนหนึ่ง
ไฟไต้ตะเกียงดับ
เพลงกล่อมลูกจบลง
คงเหลือไว้เพียงเสียงลมครางครืน
ลอดช่องใต้ถุนเรือน
เสมือนผู้ตรวจการแผ่นดินอีสาน
คอยสอดส่องดูแลอยู่อย่างนั้น...
จวบจนนาฬิกาชีวิตเช่นไก่ขานขัน
รับโพ้นอุษาแสงแห่งวันใหม่มาเยือน
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ