30 มกราคม 2547 04:55 น.
พู่กันของหูกวาง
คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับสักเท่าไรเพราะอากาศหนาวมาก ต่างจากช่วงกลางคืนที่อากาศค่อนข้างร้อน เราลุกขึ้นมา เพราะนอนไม่ค่อยหลับ ลุกขึ้นมารื้ออะไรต่อมิอะไรในกระเป๋าเป้ของเรา สักพักก็นอนหลับต่อ ไม่นานพอถึงวันต่อมา เป็นวันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 04.30 น. ก็ได้เวลาที่ครูฝึกเรียกรวมพลเพื่อเดินทางไปยังเขาชนไก่ ไปทั้ง ๆ ตอนมืด ๆ อย่างนั้น และเราก็ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยพร้อมทั้งอาวุธปืน ป.ส.บ. m203 ครูฝึกได้สั่งให้นักศึกษาวิชาทหารแบ่งสัมภาระที่ไม่จำเป็นเอาไว้ที่นี่บ้างเพื่อจะได้ไม่หนักมาก ส่วนเราเอาไปหมดเลยไม่ฝากอะไรทั้งสิ้น มันหนักเหมือนกัน แต่ทำไงได้ก็เราไม่รู้ว่าจะเอาอะไรออกไปบ้างนี่นา ระหว่างที่เราเดินทางนั้น ค่อนข้างมืด ทำให้ดูเหมือนระยะทางที่เดินนั้นมันช่างไกลเหลือเกิน เราเดินมาเหนื่อย ๆ ไม่นานก็ถึงซะทีที่พักของเราซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีกบนเขาชนไก่ ตอนนั้นใกล้รุ่งเช้าเต็มที เราได้วางกระเป๋าเป้ไว้ที่นั่นและเดินทางต่อไปเพื่อเข้าสถานีการลาดตระเวน และการเข้าซ้อมรบในเวลากลางคืน
สถานีแรกที่เราไปนั้นคือฐานพรางตัว ซึ่งมีทั้งการพรางกลางวันและพรางกลางคืน เราได้เดินลาดตระเวนอยู่ทั้งวันการเข้าแถวเป็นหมู่ปืนเล็กเข้าโผเพื่อต่อสู้กับข้าศึก และมีทั้งการแสดงการหาอาหารเวลาอยู่กลางป่า มีทั้งูหลายชนิด ที่ครูฝึกนำมาให้ดู งูเหลือมก็มีนะ จนเวลาเย็น ถึงเวลากินข้าว มื้อนี้เป็นมื้อที่เราต้องทำเอง ซึ่งของที่ให้มาทำมี ไก่ ถั่วฝักยาว พริกแกง ขิง ข่า ตะไคร้ พริก น้ำปลา มะนาว และส่วนผสมอื่น ๆ (เราก็นึกสิว่า วันนี้เราคงได้กินผัดถั่วฝักยาว)แต่ก็ผิดถนัด เราและเพื่อนร่วมหมู่ได้ทำต้มยำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเราต่างก็แบ่งหน้าที่กันไป เพื่อทำการปรุงอาหาร ข้าวที่เราหุงนั้นก็สุกได้ที่น่ากินมาก วันนั้นเราก็เลยได้กินข้าวกันต้มยำอะไรก็ไม่รู้ที่อร่อยทีสุด เพราะเรากำลังเหนื่อยกันมา
หลังจากนั้นในช่วงเย็นครูฝึกได้รวมพลและพาไปที่ทุ่งลาดหญ้า ซึ่งเป็นสนามรบของพรรพบุรุษไทยทีได้ต่อสู่เพื่อรักษาเอกราชของชาติ ในคืนนั้นเราได้ฟังการเข้าลาดตระเวนในเวลากลางคืน ความรู้ความเข้าใจที่ถ่ายถอดจากครูฝึกเป็นเหมือนละครเล็ก ๆ แต่มันยิ่งใหญ่มาก เพราะว่ามีทั้งอาวุธระเบิดจริง และเสียงปืน เราเองก็ตกใจ สะดุ้งกับเสียงปืนและเสียงระเบิดเป็นพัก ๆ รวมถึงการดูดาวให้เป็น ครูฝึกได้สอนการดูดาวเหนือโดยดูจากดาวค้างคาว เป็นหลัก การส่งสัญญาณให้เฮลิคอปเตอร์ การกำหนดระยะทิศทางของข้าศึกที่กำลังเข้ามา คืนนั้นเราได้เดินทางลาดตระเวนจริง ๆ ในเวลากลางคืน (ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตนนะ เพราะว่าต้องมีเรื่องเล่าขานอยู่แล้ว บรื๋ออออ) เราเดินทางไปเพื่อข้ามสิ่งกีดขวาง ซึ่งใครไม่ระวังก็จะเกิดเสียงกระป๋องกระทบกัน ซึ่งนั่นคือโดนระเบิดนั่นเอง
เราเดินทางลาดตระเวนไปเรื่อย ๆ จนวนมาที่พักอีกครั้งเราได้นั่งพักเพื่อรอคนที่กำลังตามมาให้ครบ และได้แยกย้ายกันไปเข้านอนซึ่งที่นอนทีเรานอนนั้น ไม่ค่อยต่างจากที่พักที่กองพันเท่าไร ที่มีก็คือมีดนกะปุ่มตะป่ำอยุ่ประปราย เราก็นอนได้ เพราะตอนนั้นเพลียมาก ๆ อยากเข้านอนให้เร็วที่สุด ไม่แปรงฟัน หรือล้างหน้าอะไรทั้งนั้น รอยเปื้อนขี้เถ้าที่ใช้พรางเมื่อกลางวันก็ยังอยู่ แต่ช่างมันเถอะเรานอนก่อนดีกว่า
30 มกราคม 2547 04:44 น.
พู่กันของหูกวาง
รุ่งเช้าวันที่สอง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 05.00 น. เราได้เดินทางออกจากกองพันเพื่อเดินทางไปยังสถานียิงปินอีกครั้งเพื่อทำการยิงปืนเก็บคะแนนของนักศึกษาวิชาทหาร ระยะทางก็ไกล รวมถึงยังไม่สว่างดีนัก ทำให้มองไปรอบ ๆ ถนนที่เราเดินมาไม่ค่อยถนัดตา เราเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงสถานียิงปืน ตอนนั้นเช้าพอดี เรามานั่งพักที่รวมพลเพื่อทำการแจกกระดาษเป้ายิง และจัดสายยิงเพื่อการยิงจะได้เป็นระเบียบและไม่สับสน จากที่เราได้จัดสายไปเมื่อวาน วันนี้เพื่อกินข้าวเช้าเสร็จก็จัดแถวเดินทางไปยังสนามยิงปืนซึ่งไม่ไกลจากสถานีเท่าใดนัก เราแบ่งกันไปทีละหมวด
เมื่อเราไปถึงสนามยิงปืน เบื้องหน้าเป็นภูเขาสูงใหญ่ สะท้อนเสียงของกระสุนปืนเป็นพัก ๆ รู้สึกลูกกระสุนกลัวเหมือนกัน ปืนที่ว่าเป็นปืนที่ใช้กันในสนามรบ ปืนที่ใช้เป็นปืน sk 33 กระสุนเป็นกระสุนที่ใช้ในการรบจริง หัวแหลม และก็ขนาดยาว หนักด้วย ครูฝึกได้ให้ลูกกระสุนคนละ 18 นัก ซึ่ง 3 นัดแรก เป็นนัดซ้อมยิง ว่าเราจะต้องขยับศูนย์ปืนที่เคยเรียนไปเมื่อวานว่าต้องขยับไปทางไหน เพื่อจะได้ทำคะแนนได้ดี 10 นัดต่อมาเป็นกระสุนทีใช้ยิงในท่านอนยิงซึ่งเจ็บข้อศอกมาก ต้องยันพื้น และด้ามจับปืนไว้ตลอดเวลา ส่วนอีก 5 นัดสุดท้ายเป็นการยิงในท่านั่งยิง ท่านั่งที่ว่านี้ ต้องนั่งให้ต้านแรงด้นปืนให้ได้มากที่สุด โดยใช้หน้าขาช่วย เรามีคู้ฝึกอยุ่ หนึ่งคนเพื่อช่วยเหลือในการยิงปืน เป็นคนหยิงซองกระสุนให้ ซึ่งหน้าที่ทุกหน้าที่ที่พูดถึงนี้ทุกคนได้มีโอกาสทำหมด เพราะต้องสลับกันไปเรื่อย ๆ คนละหมวดชุดยิงตอนที่เรายิงนั้น มันอื้ออึงไปหมด พานท้ายปืนก็กระแทกเอาที่แก้มเรา สกอร์ที่เราได้ไม่ค่อยน่าภูมิใจนัก 18 นัด เรายิงได้เพียง10 นัด... เป้า 5 คะแนน ได้ 1 นัด...เป้า 4 คะแนน ได้ 1 นัด...เป้า 3 คะแนนได้ 2 นัด และเป้า 2 คะแนนได้ 3 นัด ส่วนอีก 2 นัดนั้น หลุดพื้นที่ให้คะแนนในกระดาษซะนี่ เราได้ทำหมวกตกไว้ที่สนามยิงปืนด้วย แต่คงไม่กลับไปเอาแล้วล่ะ ช่างมันเถอะเราไปซื้อใหม่ก็ได้
ไม่นานก็ได้ยินเสียงนกหวีดเรียกรวมพลเพื่อเข้าสู่ฐานทดสอบกำลังใจ ซึ่งแต่ละฐานจะเป็นการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย ซึ่งมีทั้งกระโดดข้ามกำแพงที่มีระดังสูงต่างกันไป โหนเชือกเพื่อข้ามไปสุ่อีกฝั่งหนึ่ง ปีนตะข่ายเชือก ซึ่งล้วนแล้วต่อสนุกสนานและเราก็ผ่านพ้นมาได้อย่างสบาย ๆ สักพักก็ได้เวลาที่เราต้องเข้าไปในที่พักที่หนึ่งเพื่อฟังการชี้แจงในการเข้าไปฝึกยังเขาชนไก่ ซึ่งเราต้องไปค้าแรมที่นั่น (ที่นี่หละที่เรารู้สึกว่าจะต้องหนักแน่ ๆ เลย ทีที่เราไม่อยากจะสัมผัสมันเลย ให้ตายเถอะ) หลังจากนั้นเรากจัดแถวเพื่อเดินทางไปสักการะพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งอยู่บนยอดเขา ไม่แน่ใจว่าเขานั้นเป็นเขาชนไก่รึเปล่า
เราเดินทางกันนานมาก ทางขึ้นเขาก็แสนชัน จนต้องนั่งพักริมทางเป็นพัก ๆ เพราะเหนื่อยจริง ๆ ทางที่ขึ้นนั้นไม่มีขั้นบันไดด้วย เป็นเพียงแค่หินและดินเท่านั้น ระหว่างทางที่เราเดินก็ได้มองออกไปข้างล่าง มันดูสวยงามมาก ภาพของป่าโปรงที่มีสนามเป็นทาง ๆ รอยถนนที่ลาดยามที่เราเดินผ่านมาสักครู ผืนป่าที่กว้างใหญ่ ซึ่งยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก ท้องฟ้ากทีมีเมฆคอยปกคลุมแสงแดดตอนเย็น ๆ เป็นช่วง ๆ ลมบางเบาที่พัดผ่านช่องเขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นดายของป่าเขาได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวก่อน อย่าพึงพรรณามาก ตอนนี้เราอยู่แค่กลางเขา ยังมีระยะทางอีกไกลเพื่อที่เราจะต้องขึ้นไปให้ได้ และเมื่อไปถึงก็ได้สักการะพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เราได้ขอพรให้ช่วงคุ้มครองเราให้แคล้วคลาดตอลดเวลาที่เราเข้าค่ายฝึกทหาร ณ ที่นี่ ถัดไปขึนเขาไปอีกหน่อย ก็มีพระพุทธรูปหนึ่งองค์ประดิษฐานข้างๆ ฐานของเจดีย์ เราก็ได้ไปสักการะด้วย
นั่งพักได้ไม่นาน ก็ต้องลงมาเพื่อรวมพลอีกครั้งซึ่งตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว และเราได้กลับที่กองพันอีกครั้งเพื่อกินข้าวที่นั่น วันนี้มีการอาบน้ำด้วยเราจึงต้องรีบกินข้าวเป็นพิเศษ พอได้เวลาอาบน้ำ เราได้อาบน้ำเพียงไม่กี่นาที เร็วมาก ครูฝึกได้ให้สัญญาณทรโข่งซึ่งเป็นอุปกรณ์ขยายเสียง แป๊บเดียวเราก็ต้องออกจากโรงอาบน้ำไปเพื่อกลับไปแต่งตัวให้ทัน ตอนนั้นยังเป็นช่วงเย็น ซึ่งไม่นานก็รวมพลกันอีกทีเพื่อเข้าฟังการบรรยายประกอบสื่อpowerpoint ผ่าน screen ซึ่งเป็นภาระกิจของทหาร และ ภาพการฝึกทหารและ นักศึกษารักษาดินแดนที่เขาชนไก่ ที่เรากำลังจะไปในรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ ขณะที่เรานั่งเพื่อฟังบรรยายอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าใดนักอยู่นั้น ก็ได้แต่งกลอนมาบทนึง ไม่ค่อยเพราะ แต่นึกยังไงก็ไม่รู้
แอบใจ...
ในบางอารมณ์ที่แสนเย็นชา
กับสายตาที่เธอหันมา...มองคุณค่าความเป็นฉัน
ฉันเพิกเฉย...ละเลยความรู้สึกที่เคยให้กัน
กลับเดินเลยผ่าน...ในคืนวันที่เธอเดียวดาย
อยากบอกเธอว่าทุกสิ่งมันตรงกันข้าม
ความรู้สึกนี้มันมีในนาม...ของคนอ่อนไหว
ไม่กล้าจะเปิดเผย...เฉลยความข้างในใจ
ทั้งที่ฉันก็เจ็บปวดมากมาย...ที่ทำร้ายน้ำใจให้แก่กัน
แล้วเธอจเข้าใจบ้างไหม
ขอโทษที่ฉันแอบใจ...เอาไว้อย่างนั้น
หากบอกเธอไป...ก็กลัวว่าเธอจะเปลี่ยนไปไม่เห็นความสำคัญ
เพียงเพราะเธอก็เป็นคนที่ใฝ่ฝัน...ของใครต่อใคร
ฉันยังคงปวดร้าวอยู่ข้างในลึก-ลึก
เมื่อเธอกลับเป็นไม่รู้สึก...ว่าฉันเป็นคนชิดใกล้
เจ็บเหมือนกันรึเปล่า...ที่เธอก็ปวดร้าวเมื่อฉันไม่มีใจ
เข้าใจว่าฉันไม่รักใช่ไหม...เธอ
แอบรักแอบใจเอาไว้ตรงนี้
เก็บความรู้สึกดี-ดี แอบไว้ให้เธอเสมอ
หากวันนึงเธอเห็นฉันไม่อยากพบเจอเธอ
อยากให้เธอรู้ว่าเมื่อคืนฉันแอบพร่ำเพ้อ...ร้องไห้ถึงเธอทั้งคืน...
30 มกราคม 2547 04:37 น.
พู่กันของหูกวาง
ชาติของเราเป็นไทยอยู่ได้...จนถึงตัวเราคนหนึ่งนี้ ...ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา ...เอาเลือด ...เอาเนื้อ ...เอาชีวิต ...และความลำบากยากเข็ญ เข้าแลกไว้.... เราจึงต้องรักษาชาติ ....เราจึงต้องบำรุงชาติ ....เราจึงต้องสละชีพเพื่อชาติ ...ความมีวินัย... เป็นเกียรติของนักศึกษาวิชาทหาร ...
เช้าวันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2547 เวลา 06.30 น. เราออกจากที่รวมพล ณ พุทธมลฑลสาย 4 ขึ้นรสบัส เพื่อจะมุ่งไปยังเขาชนไก่ จังหวัด กาญจนบุรี ตอนนนั้นรู้สึกว่านี่เรากำลังจะไปสู่ค่ายทหารที่คนเข้ากล่าวขานกันนักหนาแล้วหรือ แต่ยัไงเรามาถึงที่นี่แล้วนี่ ก็ต้องเดินทางไปล่ะนะ
แต่ก่อนที่จะไปถึงนั้น รถบัสได้พาเราไปที่อุทธยานแห่งชาติ ส่งครามเก้าทัพเพื่อระลึกถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษของชาติไทย ซึ่งได้กอบกู้เอกราช สละเลือดเนื้อ และความลำบากยากเข็ญเข้าแลกไว้เพื่อประเทศชาตินามว่า *ไทย* มองไปทางทิวเขา ครูฝึกที่นั่นบอกว่าด่านเจดีสามองค์ซึ่งเป็นทางหนึ่งที่ทหารพม่าได้เคลื่อนทัพมาตีประเทศไทย อยู่ห่างจากที่ที่เราอยู่เพียง 8 กิโลเมตรเท่านั้น
เดินเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ แถวนั้น ทั้งหอสังเกตการณ์ และ อนุสาวรีย์วีรกษัตริย์เพื่อขอพรแล้ว ไม่นานก็ขึ้นรถบัสต่อไปยังค่ายเขาชนไก่ เมื่อมาถึงก็ได้ทำพิธีเปิดค่ายฝึก สำหรับผลัดที่ 15 อย่างพวกเรา ซึ่งมีสิบกว่าโรงเรียน มีนักศึกษาวิชาทหารรวมกว่า 500 คนที่เข้ามาฝึกในผลัดนี้ นั่งรถมาอีกไม่เท่าไรเพื่อมาถึงที่พักแรมของพวกเรา เราอยู่กองพันที่ 33 พอเรียกลงมาจากรถบัสก็ได้เรื่องเลย ครูฝึกได้สั่งให้เราเข้าแถว และวางเป้สัมภาระ (หรือ ที่เค้าเรียกกันว่า Rocsack) หยิบเอาสายโยงเป้ออกมา กระติกน้ำ และเข็มขัดสนาม (สายเก่งที่เราเรียกกัน เอาไว้ติดกับกระติกน้ำที่เอว) ช้อนกินข้าว ปากกา และสมุด เพื่อเดินทางไปยังสถานีฝึกยิงปืนซึ่งอยู่บนเขา ครั้งนี้เราไม่ต้องเดินไป ครูฝึกได้ให้พวกเรานั้งรถบัสไปยังที่นั่น
พอถึงสถานีฝึกในช่วงกลางวัน ก็โดนสั่งให้หมอบก่อนเลย รอยเท้าของนักศึกษาวิชาทหารกว่า 500 เตะฝุ่นตลบไปหมด จนจะหายใจไม่ค่อยออก นั่นเป็นการทำโทษครั้งแรกที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเราจะเจออะไรอีกในอีก 4 คืน 4 วันที่จะมาถึงอีกไม่ช้า อากาศที่นั่นไม่ร้อนไม่หนาว วันแรกที่ไปถึงก็แดดร่มเมฆลมพัดเย็นสบาย ครูฝึกได้ทำความเข้าใจ และให้เรียนรู้ว่าการยิงปืนนั้นต้องทำเช่นไร และได้ฝึกซ้อนเพื่อที่จะต้องไปยินปืนจริงในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ สักพักก็ได้เวลากินข้าว ครูฝึกได้ให้เราทานเข้าในป่าโปร่งแห่งหนึ่งแถว ๆ นั้น ห้องน้ำเป็นสังกะสีล้อมรอบแค่ครึ่งตัว มีประป๋องให้ตักน้ำมาราด รู้สึกว่าก็ลูกทุ่งดี และก็กลับมาที่สถานีฝึกซ้อมยิงปืนอีกครั้ง เพื่อซ้อมท่าในการยิง ทีมีทั้งท่านอนยิง และนั่งยิง เราฝึกซ้อมกันอยู่นาน ก็ได้เวลาเดินทางลงจากเขามาที่ที่กองพัน 33 ซึ่งเป็นที่พักหลักของเรา ขาลงนี่ไม่ได้นั่งรถแล้ว ต้องเดินลงมาเอง ไม่เหมือนตอนขาไปแฮะ ชักไกลเหมือนกัน
เราเดินมาจนถึงกองพัน และได้กินข้าวอีกครั้งไม่นานก็ถึงเวลารวมพลเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ จนถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่มก็ถึงเวลาเข้านอน ทีนอนเป็นเต้นท์เล็ก ๆ ไม่มีพื้นปู เราจึงต้องเอาผ้าปูรองนอนมาปูก่อนนอน เต้นท์ที่ว่านั้นนอนได้ 2-3 คนเท่านั้น ซึ่งเราจะต้องหา buddy กันเอง วันนั้นเราไม่ได้อาบน้ำทุกคนก็ไม่ได้อาบน้ำ ได้แต่แปรงฟัน และล้างหน้าเท่านั้น ได้ผ่านวันนี้ไปอีกวัน คงเป็นวันแรกที่ต้องวอร์อมก่อนแน่ ๆ วันต่อไปก็คงหนักเอาการ เราคิดอย่างนั้น
23 มกราคม 2547 07:21 น.
พู่กันของหูกวาง
...คนเรามีความหวังเป็นสิ่งที่งดงาม...แต่ส่วนใหญ่ของความหวังของคนเรานั้น...มันอาจมากเกินไปจริง ๆ ...
***คนเรานั้นเกิดมาเพื่อมีความหวัง...แต่ก็มักจะหวังในสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม***
แอบหวัง...มันกุ๊กกิ๊กดี
แต่มุ่งหวัง...มันเอาจริงมากเกินไป...
***คนเราหวังมากก็ผิดหวังมาก...บางครั้งก็อาจทำให้หมดความมั่นใจในตัวเองไปเลย***
จงอย่ายึดติดกับตัวตนของความหวัง
อย่าไขว่คว้าแต่สิ่งที่เป็นตัวตนของความต้องการ
...ชีวิตของตัวเราเอง...ควรดูแลให้ดีมากกว่า...
สังคมของชีวิตได้กว้างขึ้นเรื่อย ๆ เราเองก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่เรากลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นเลย
เพราะเราอาจจะวุ่นวายกับสิ่งที่มุ่งหวังมากเกินไป...จนบางที่เราเองก็อาจจะไม่รู้ตัวว่า...ทุกสิ่งในโลกได้มีความหลากหลาย
และกว้างไกลเกินกว่าที่เราจะจมอยู่กับความปราถนาเพียงน้อยนิด...ทั้งที่ยังมีอะไรอีกมาให้เราได้ค้นหา และ **รักมัน**
เพราะอย่างน้อยที่สุด...เราก็ยังเป็นเพื่อนใต้ผืนฟ้าเดียวกันไม่ใช่เหรอ
***ทุกคนใต้ผืนฟ้านี้...เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น...เพียงแต่ยังไม่ได้รู้จักและพูดคุยกันเท่านั้นเอง...***
ผืนดินผืนนี้...ส่งความอบอุ่นถึงทุกคนได้เสมอ
สายลม...ก็ส่งความคิดถึงถึงทุกคนได้เช่นกัน
***พระจันทร์...ที่มองที่ไหนก็พระจันทร์***
และต่อให้ไกลสุดขอบฟ้า...ก็คงไม่ยากเกินกว่าคิดถึงแน่นอน
21 มกราคม 2547 07:02 น.
พู่กันของหูกวาง
วันนี้นั่งฟังเพลง คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ...แม้อาจไม่เพราะในสายตาใคร ๆ และเก่าเกินไปในช่วงนี้
แต่มันทำให้ฉันนึกถึงวันนั้น...วันที่นั่งฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเหงา ๆ ...
วันนั้นที่พึ่งเจอใครก็ไม่รู้...และเราก็มานั่งคิดถึง โดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
เขาอาจเป็นคนนึง ที่ไม่รู้อะไรเลย...
ไม่รู้ว่ามีคนแอบคิดถึงเขาอยู่อย่างนี้...
พอดีเปิดเพลงนี้...เปิดซ้ำ ๆ จนจำความรู้สึกได้พร้อม ๆ กัน...
พอมาวันนี้ ได้ฟังเพลงนี้อีกครั้ง...ความรู้สึกเก่า ๆ ก็เลยเข้ามาในหัวอีกที
คิดถึงฉันไหม...เวลาที่เธอไม่เห็นหน้าฉัน
คิดถึงฉันไหม...เวลาที่เธอเดินผ่านกัน
มองเห็นฉันไหม...เวลาฉันแอบมอง
แล้วรู้สึกบ้างไหม...เวลาฉันแอบรักเธอ...
เราเอง...ชักชอบที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้...
ที่ที่เราเจอกันทุกวัน...มันอาจเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็สุขใจ...
พยายามไปเช้า ๆ เพื่อจะได้เจอกัน...มองตากันสักนิด...
ให้หายคิดถึง...ในช่วงข้ามคืนหน้าฝนอย่างนั้น...ยิ่งทำให้หนาวลึกไปข้างในใจ...
เราไม่รู้จักเขาหรอก...เขาก็ไม่รู้จักเราเช่นกัน...
แต่เหมือนมีอะไรบางอย่าง...ดลให้เราเจอหน้ากันเสมอ ณ ที่นั้น...
จิตใจตอนที่เจอหน้า...ไม่ต่างอะไรกับคนที่เจอกับความรักเข้าอย่างจัง...
แต่ไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึก...หรือทำความรู้จักกัน...
วันนี้...นั่งคงนั่งฟังเพลงอย่างเงียบเหงา
ไม่มีเค้าคนนั้นแล้ว...เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
จากฤดูฝน...สู่ฤดูหนาว...มันเร็วมาก...และยิ่งทำให้หนาวยิ่งกว่าวันนั้น
จากนี้ต่อไป...คงมีแต่เพลงนี้...ที่ทำให้ความรู้สึกเก่า ๆ มันเข้ามาในความรู้สึก...
ให้เราได้คิดถึงอีกที...
ไม่หวังจะได้เจออีกครั้ง...หากแม้รู้ว่ามีโอกาส
เพราะอะไรไม่รู้...เพียงแค่อยากมีความทรงจำเพียงเท่านี้กระมัง...
คิดถึงฉันไหม...เวลาที่เธออยู่ตรงนั้น
คิดถึงฉันไหม...เวลาที่ผ่านไปนานเพียงนี้
คิดถึงฉันไหม...เวลาที่เธอฟังเพลงนี้
คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ...
เมื่อเพลงที่เธอฟัง...ทำให้เธอรู้สึกคิดถึงใครคนนึง...
เธอจะอยากฟังมันต่อไปไหม...
แล้วเพลงของเธอล่ะ...