28 กุมภาพันธ์ 2547 10:05 น.
พู่กันของหูกวาง
บ่อยครั้งที่ตัวเองหวั่นใจ..หากเราจะรักใครสักคนแล้ว..
คนคนนั้นเค้าจะคิดถึงเราไหม..
ในวันที่เราห่างไกล..
..จะคิดถึงกันบ้างรึเปล่า..
..ในวันที่เราห่างหาย..
..ต่างคนต่างใจ..
..แล้วอะไรจะยืนยัน..
สิ่งที่เราเคยแน่ใจ..บัดนี้กลับกลายเป็นหวั่นใจ
+*-..ก็เคยได้ยินเหมือนกัน..ว่าระยะทางห่างไกล..อาจทำให้ใจห่างกัน-*+
ไม่รุ้หรอกว่า..วันนึง..เราจะกลับมาพบกันอีกไหม..
เธอเอง..คงไม่ได้มีแค่เราที่เป็นเพื่อน..เธอยังคงต้องการใครใครเติมแต่งวันเวลาที่ดีให้หลากหลายอยุ่เสมอ..
+*-แล้วคนเดิม ๆ คนนี้ล่ะ-*+
..สำหรับฉันคงไม่ไช่แค่การผูกมัด สำหรับคนคนนึง อะไรที่มีคุณค่าทีสุดสำหรับความรู้สึกดีดีน่ะเหรอ..
+*- ฉันตอบไม่ได้..เพราะว่าฉันเองชักไม่มั่นใจกับเวลาที่มันผ่านไปผ่านไปอย่างนี้ -*+
และเธอเองก็คงเปิดปากสัญญาได้ยาก..เพราะเราคงถูกกันด้วยคำว่า...+*- แตกต่าง-*+ เสียแล้ว..
...อะไร ๆ มันก็เปลี่ยน..โลกยังเปลี่ยนเลย พระจันทร์ก็ยังเปลี่ยน เวลาก็ยังเปลี่ยน มันไม่แน่นอนซักอย่าง..แล้วจะให้ทั่นใจได้อย่างไรว่าคนเราจะไม่เปลี่ยน..เพียงแต่ชีวิตของคนคนนนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่อ่อนไหวไปเพื่ออะไร รุ้เพียงอย่างเดียวว่าเราต้องอยู่ให้ได้ ตอ้งอยุ่ปรับตัวให้เข้ากับความผิดหวัง และความปวดร้าวที่มันผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดตามท้องทุ่ง..ฉันเอง ไม่ใช่คนเลิศเลอ..ฉันเองไม่ใช่คนไม่มีความรู้สึก..ทุกคนย่อมมีห้วงลึกที่อ่อนไหวของตัวเองทั้งนั้น..หากไม่มีวันเวลา..ฉันคงไม่ได้มาเจอกับเธอ..และก็คงไม่ต้องมาคิดถึงอย่างนี้..
..+*- หวั่นใจเล็ก ๆ นะ ว่าจะยังคิดถึงกันอยู่ไหม..คนน่าเบื่อ อยุ่ใกล้ก็น่าเบื่ออย่างนี้..อยากมีแค่สักคนที่คิดถึงกัน..
+*- อันนี้ขอเลือกหน่อย.....ก็แค่อยากให้เป็นเธอ..-*+
19 กุมภาพันธ์ 2547 10:57 น.
พู่กันของหูกวาง
กาลเวลาที่มันผ่านมา..แล้วผ่านไป..
ฉันเองไม่รู้ว่าทำไมมันผ่านไปเร็วอย่างนี้..ฉันยังตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่มันได้พ้นไป
ไม่เคยนึกถึงว่าวันนี้มันจะมาถึงเร็วอย่างนี้..วันที่เราต้องจากกันไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า..
เราต้องจากกันไปเพื่อโตบโตต่อไป..
ปล่อยให้ที่รกร้างเหล่านั้น..เป็นความทรงจำของ..เรา..
มันอาจมีคนก้าวเข้ามามากมาย..และเก็บเอาความรู้สึกดีดีนี้..ไว้เป็นกำลังใจ..ในยามที่ท้อแท้
แต่อีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่อยากผ่านเวลานั้นไป..ก็ยังคงอยู่กับที่..ที่ที่มีแค่ควาทรงจำ..
ทั้งวันนี้ และวันหน้า..
ฉันเอง..ก็ยังคงไม่ลืมสิ่งต่าง ๆ ที่มันได้เกิดขึ้นกับวัยมัธยมนี้...
ทั้งรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ..สิ่งที่เราได้ร่วมกันฝ่าฟันมา..มันทำให้เรายิ่งผูกพันกัน..
วันสุดท้าย..ของความทรงจำที่ดีวันนี้..
ฉันคงจะเก็บมันไว้ตลอดไป..
มันเหมือนกับคนยังอ่อนแอ..ไม่อยากจากเพื่นอที่พร้อมจะเข้าใจ..และให้อภัยอยู่เสมอ
แต่ฉันต้องก้าวไปยังที่ซึ่งมันมีแต่การแข่งขัน..ฉันไม่อยากอยู่ในสังคมแบบนั้น..
ความจริงใจ..และความรู้สึกดีดี..ฉันยังติดภาพอยู่กับวันที่เราใส่ชุดนักเรียน..กับเพื่อน..
...มองไปยังอาคารเรียนที่ปิดสนิทยามฟ้ามืดลง..สิ่งต่าง ๆ ได้ปิดฉากลงตามกาลเวลา..
เวทีอำลาอาลัย..ถึงเวลาต้องเก็บ..
จากที่เคยมีเสียงดนตรีหนวกหูเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา..ก็ได้ปิดฉากลง..
งานเลี้ยง..ที่คิดว่าคงไม่มีวันเลิกรา..ก็เลิก..
มืดแล้ว...บางสิ่งได้ลบเลือนไปตามแสงอาทิตย์..น้ำตาที่คงไม่มีใครเห็น..
ได้เอ่อออกมา..เพื่ออำลาความสุข..และวัยของมัธยม..
ลาก่อน................................................................................
8 กุมภาพันธ์ 2547 05:08 น.
พู่กันของหูกวาง
วันนี้นั่งเหงา ๆ ท่ามกลางฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา...ฉันมองออกไปที่หน้าต่าง...วันนี้เธอไปไหน ฉันรู้ดี แต่ฉันไอจออกไปตามที่ใจเรียกร้องได้...
ฉันรู้ว่าคนนึงที่ไม่มีค่าอะไร...ในวันที่เธอเดินมากับใครคนนึง...อย่างมีความสุข...ฉันเองก้ไม่อยากเข้าไปหา วันนึงที่ฉันต้องมานังคนเดียว ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราทั้งสองคนเคยคุ้นเคยกันอย่างดี...ทุกวันก็จะส่งความรู้สึกดีดีไปให้...และทั้งสองก็ให้ซึ่งกันและกันอย่างผูกพัน...
วันนี้ฉันไม่รู้ว่ามันเหลืออะไรกลับมา...รู้ว่าเธอยังเหมือนเดิม แต่ฉันรู้ตัวว่าฉันเองที่เปลี่ยนไป...ฉันไม่รู้ว่าถ้าฉันเข้าไปในตอนนั้น จะรบกวนเธอไหม...หรือฉันก้เป็นเพียงแค่คนเก่า ๆ ที่เคยผูกพันเท่านั้น...รู้สึกเหมือนว่าเหงาจัง...เงียบด้วย วันนี้ไม่มีใครเป้นห่วงฉันหรือว่าฉันไม่อยากเป็นห่วงใคร...ฉันรักเธอนะ...บางทีก้ไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำกับคนรัก มันต่างจากเพื่อน ทั้งทั้งที่ฉันเองสนิทเล่นกับเพื่อนได้อย่างง่ายดาย...ฉันไม่เข้าใจตัวเอง...
รักเธอมากขนาดนั้น...แต่กลับเกรงใจในเรื่องที่เธอไม่คิดอะไรมาก...
ฉันคงทักทายเธอได้แค่รอยยิ้มข้างในใจ...ฉันไม่อยากไปรบกาวนเธอมากกว่านี้...แค่เธอไม่เข้าใจเรื่องที่ฉันหายไปเงียบ ๆ อย่างนี้ เธอก็คงเหนื่อยใจกับฉันเต็มทีแล้ว...ขอโทษนะ...ไม่อยากไปรบกวน...เพราะว่ารักเธอมากไง...ฉันรู้ แต่ไม่เข้าใจ...เธอเองคิดยังไง...ทบทวนแล้วก็ยิ่งเสียใจ...ฉันห่างเธอไปนานแล้วเหรอ...ฉันเหงา...ฉันไม่อยากข่มใจอยู่อย่างนี้...ฉันแอบรักเธออยู่...ไม่เข้าใจ...เวลา...ความรู้สึก...เลิกรา...
31 มกราคม 2547 07:00 น.
พู่กันของหูกวาง
ไม่นานก็ถึงรุ่งเช้าของวันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2547 เวลา 05.00 น. เราและเพื่อน ๆ ได้เข้าสู่สถานีสุดท้าย เป็นสถานีทดสอบกำลังใจก่อนกลับ มีทั้งไต่เชื่อก 3 เส้นข้ามแม่น้ำ 2 เส้น และ 1 เส้น และรวมถึงการโดดหอสูง 34 ฟุต เราเองก็หวั่น แต่ก็ผ่านมาได้...
สายแล้วใกล้เที่ยง รถบัสต่งก็ทยอยมารับนักศึกษาวิชาทหาร ผลัดที่ 15 กองพันที่ 33 กันเรียงราย วันนี้ที่ทุกคนดูอ่อนล้า และเหนื่อยเพลีย ใครจะรู้บ้างล่ะว่า เราไม่อยากให้ถึงวันนี้...วันที่เราต้องจากเพื่อนใหม่ไป...มีแต่คนอยากกลับบ้านไปพักผ่อนกันทั้งนั้น เราเองก็ได้แต่มองหาเพื่อนของเรา ซึ่งเราทั้งหมดมารวมกันที่ลานหน้าถนนตรงหน้าเป็นอนุสาวรีย์พระนาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นวันที่ทำพิธีเปิดค่ายในวันแรก
เราเองก็ต้องจากไปจากที่นี่สักที...
...5 วันที่ผ่าน มีอะไรให้สุขเศร้าหลายอย่าง...รวมถึงเหงื่อที่เราได้ทิ้งไว้ที่นั่น ตอนนี้เราเบาตัวขึ้นเยอะ และพรอ้มจะกลับบ้านด้วยความคิดถึงทั้งเพื่อนใหม่ที่กำลังจะจากไป และ คุณพ่อ คุณแม่ที่เรากำลังจะกลับไปหา ลาซะที โชคดีนะเพื่อน เราเองบอกลาในใจพร้อมทั้งแบกกระเป๋าRocsack ขึ้นรถบัสแยกทางจากเพื่อน ๆ ซึ่งไปกันคนละคัน ไม่นานรถบัสที่ต่างมารอนักศึกษาวิชาทหารก็เต็มไปด้วยนักเรียน และพร้อมจะออกทุกเมื่อหากว่าพร้อมแล้ว...เรามองไปยังอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว...ข้าพระพุทธเจ้าใคร่ขอประทานพรทูลเกล้าทูลกระหม่อม ขออวยชัยให้แด่ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ นักศึกษาวิชาทหารให้มีชีวิตที่มีสุข และดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยในสยามประเทศแห่งนี้...
รถบัสได้เคลื่นออกจาศูนย์ฝึกเขาขนไก่ช้า ๆ ผ่านศาลพ่อปู่เขาชนไก่ที่เราทำความเคารพ และเราเองที่ที่เหนื่อยอ่อนได้หลับไปอย่างไม่รู้ตัว...
รสบัสได้เคลื่อนออกจากเขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี สู่เมืองกรุงเทพมหานคร...ที่ที่เราต้องกลับมาใช้ชีวตดังเดิม...
...ที่ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งอย่างทหาร และพร้อมจะแหกได้ทุกเมื่อ...
...ที่ที่ไม่มีระเบียบให้อยู่ในร่องในรอยและพร้อมจะขัดขืนได้ทุกเมือเช่นกัน...
รู้ไหม...ว่ายังมี ปี4 และ ปี5 ให้เราได้เข้าเรียนต่อ...
มันอาจจะลำบากสำหรับคนใส่แว่นอย่างเราสักนิด...แต่เราพร้อมและยินดีที่จะรับใช้ชาติ...
พร้อมกับเพื่อน ๆ นักศึกษาวิชาทหารด้วยกัน...หากเราได้พบกันใหม่
ไดอารีหน้านี้คงฉีกทิ้งไปได้...เราจะไมยอมให้เวลามันผ่านไปง่าย ๆ อย่างครั้งนี้แน่นอน...
***แล้วเราจะต้องพบกันใหม่เพื่ออยู่รับรุ่งเช้า...ที่เขาชนไก่อีกครั้งในปี 4 ด้วยกันนะ เพื่อน***
...*ชาติของเราเป็นไทยอยู่ได้จนถึงตัวเราคนหนึ่งนี้ ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิต และความลำบากยากเข็ญ เข้าแลกไว้ เราจึงต้องรักษาชาติ เราจึงต้องบำรุงชาติ เราจึงต้องสละชีพเพื่อชาติ ความมีวินัย เป็นเกียรติของนักศึกษาวิชาทหาร ...
*บทปลงใจของทหารไทย...เพื่อเอกราชของไทย*
พู่กันของหูกวาง...
31 มกราคม 2547 06:55 น.
พู่กันของหูกวาง
ประมาณ 05.00 น. ของวันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2547 เราก็ต้องรีตื่นเพื่อเก็บสัมภาระเดินทางต่อไปอีกสถานีหนึ่งซึ่งต้องเดินทางอีกแล้ว เรามาถึงสถานี้นั้นแล้วก็วางสัมภาระไว้ แล้วก็ไปกินข้าว ไม่นานครูฝึกก็เป่านกหวีดเรียกเพื่อทำการฝึกหนักครั้งสุดท้าย ซึ่งด่านนี้ยากเหลือเกินที่จะอดทนเพื่อผ่านมันไปให้ได้ เมื่อเราเข้าแถวเสร็จ ครูฝึกได้ให้พวกเราคลานต้ำลงสู่พื้นหินเข็ง ๆ ไปข้างหน้า และถอยหลังหลายรอบมาก เราก็รู้สึกเจ็บ แต่ต้องผ่นไปให้ได้ สักพักครูฝึกก็บอกว่าเดี๋ยวเราจะไปดูหนังแฟนฉันกันซึ่งไปลำบากมาก เค้าให้ถีบจักรยานโดยการนอนหงายชูปืนขึ้นเป็นแฮนด์ แล้วยกขาขึ้นถีบอากาศ ซึ่งฝุ่นดินแดงที่ตลบขึ้นมานั้นทำให้มันเข้าไปในปากบ้าง เข้าจมูกบ้าง ฟันแดงไปหมด
หลังจากนั้นเราก็แบ่งเป็นสองหมวด ซึ่งหมวดแรงเป็นการเข้าตี หมวดที่สองเป็นการตั้งรับ เราเองเข้ารับการฝึกที่ฐานเข้ารุกก่อน ต้องทาขี้เถ้าทับไปอีกต่อจากเมื่อวานทำให้หน้าดำขลับเลย เราต้องตั้งแถวเป็นหมู่ปืนเล็ก เพื่อทำการเข้าตี เราเดินทางลาดตระเวนไปยังทุ่งกว้าง ท่ามกลางแดดที่ร้อนผ่าว เราเดินผ่า ทุ่งพริก ทุ่งมัน และ พื้นที่ราบกว้าง ๆ เต็มไปด้วยหิน และดินมากมาย เสียงปืน และ ระเบิดดังขึ้นเป็นพัก ๆ เพื่อให้ถึงอรรถรสให้การฝึกการเข้าตีของทหาร ขณะที่กำลังเข้าตีข้าฝึกนั้น มีทั้งหมอบ คลาน โผ มีทั้งหมดที่เราเคยเรียนมาตลอด 3 ปี
ครึ่งวันแรกได้ผ่านไปครึ่งวันหลังได้มีการเข้าตั้งรับ ซึ่งเราได้เข้าฝึกกับครูฝึกซึ่งมีฉายาว่า ครูฝึกนรก ฟังแล้วดูโหดมาด และก็เป็นอย่างที่เราคาดไว้ ดุจริง ๆ บอกว่าเราต้องฝึกอย่างทหาร เอ้า เอา ก็เอา ก้เข้ารับการฝึก มีทั้งหมอบคลาน คลุกกับดินแดง ซึ่งเเหนื่อย และกระหายมากเราเดินทางมาถึงที่ป่าชายเขาก็ยังไม่วายคลานไปอีก (อันที่จริงก็เพราะว่าตอ้งการหลบหนีข้าศึกนั่นเอง) น้ำก็หมดรวมถึงล้ามาก ๆ คอแห้งไปหมด เราได้มาประจำตำแหน่งหนึ่งซึ่งต้องวิ่งหนีข้าศึกเขาไปในป่า เมื่อได้เวลา เราทั้งหมดชุดก็ทำการยิงข้าศึก ทำเสียง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ไปเรื่อย ๆ พอครูฝึกส่งสัญญาณหนี (ในกรณีข้าศึกกดดัน) ก็ต้องรวบรวมแรงทั้งหมดไปตั้งรับในป่า ตอนนั้นเหนือยที่สุด ไม่นานก็เข้าแถวเพื่อออกจากป่าไปกินข้าว เราเดินทางกันอย่างอ่อนล้า แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราได้เข้าไปพักในหลุมหลบภัยซึ่งครูฝึกได้ให้พวดเราเฝ้าไว้คนละหลุม เราได้งีบหลับไปสักพัก พอตกเย็นครูฝึกก็เรียกรวมไปกินข้าวให้หายเหนื่อย ไม่นานก็ต้องมารวมกันอีกครั้งเพื่อทำการตั้งรับอีกครั้งในเวลากลางคืน
เราเข้าตั้งรับในเวลากลางคืนอย่างไม่ลำบากนักเพราะว่าการตั้งรับ(ในกรณีข้าศึกไม่กดดัน)ซึ่งไม่มีอะไรมาก เรารอตั้งรับกันจนมืดและได้เดินทางกลับมายังทีรวมพลอีกครั้งพร้อมทั้งกระเป๋าเป้ที่หนักมา เราได้มารวมพลกันที่ราบกว้าง รอบ ๆ กายมีทั้งดวงดาวเปล่งประกายในความืด พระจันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงเหมือนว่ามีรอยยิ้มให้กับความสำเร็จของเรา ครูฝึกที่ทำการฝึกเราได้มาพูดอะไรให้นักศึกษาฟัง รวมถึงครูฝึกนรกด้วย ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ฝึกเมือบ่าย ครูฝึกนรกก็เหมือนครูฝึกนักศึกษาวิชาทหารคนนึงที่มีระเบียบ และต้องการฝึกนักศึกษาวิชาทหารอย่างทหาร เพื่อให้ไดรับความรู้ไปอย่างมากที่สุด เราเองก็เข้าใจ และรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทั้ง
รุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้...เราจะได้กลับบ้านเสียที
อะไรต่าง ๆ ที่เราฝึกมาทั้งหมดในวันนั้น เราจำได้ไม่มีวันลืม เพราะอย่างน้อยเราเองได้บันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ในนี้แล้ว
มิตรภาพใหม่ ๆ ระหว่างเรากับเพื่อนต่างโรงเรียนที่เข้าร่วมฝึกด้วยกันดูเหมือนว่าจะผูกพันเหมือนเพื่อนที่ไม่อยากจากกันซะแล้ว
ชักจำหน้าเพื่อนได้ และไม่อยากจากไป...
มันต่างจากวันแรกอย่างสิ้นเชิง เราอยากกลับบ้าน เราไม่อยากฝึกที่นี่
วันนี้มันไม่ใช่ เราอยากกลับไปที่บ้านพร้อมทั้งมิตรภาพที่จะยังงอกงามต่อไป ไม่ใช่เติบโตและเหี่ยวเฉาไปเพียงแค่นี้
วันที่เราเหนื่อย...พักก็หาย
วันที่เราเจ็บกาย...ไม่นานก็ทุเลา
วันที่เราต้องจากศูนย์ฝึก...ไม่นานคงได้กลับมา
วันที่เราต้องจากเพื่อนใหม่...อาจคงไม่ได้พบกันอีก...
ต่างคน...ก็ต่างที่มา เรามารวมกัน ณ ที่ที่หนึ่งซึ่งต้องช่วยเหลือกัน มีน้ำใจให้กัน พูดคุยกัน สนุกสนานด้วยกัน
มันได้จากลาไปพร้อมกับความลำบากที่เราไม่ตอ้งการ...เราไม่น่าพบกันในที่ที่นั้นเลย...
เราน่าจะพบกันที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง หรือ มหาวิยาลัยที่เรากำลังจะเข้าเรียนในอนาคต...
แต่ใต้ท้องฟ้ากว้างใหญ่แห่งนี้ยากนักที่จะกลับมาพบกับหนึ่งชีวิตเล็ก ๆ ที่เคลื่อนที่ไปอย่างไร้ร่องรอย และข่าวคราว
คงได้แค่คิดถึง...ย้ำลึกในเวลาที่เรากลับมาให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าจะลืมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราเคยร่วมทุกข์สุขกันมา
เป็นการรู้จักที่สั้นจริง ๆ เราเองยังตั้งตัวไม่ทัน...