11 มกราคม 2547 18:06 น.
พู่กันของหูกวาง
หรือบุญกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน
ดลให้เราได้จรมาพบกันใหม่
ร่วมร้อยเรียงเรื่องราวให้เป็นไป
ต่างคนนั้นไซร้...ก็ต่างที่มา...
ชดใช้ในสิ่งที่เคยทำไว้
ได้เจอวันที่สดใส หรือทั้งใจอ่อนล้า
พานพบเรื่องราว...ทำให้เราเสียน้ำตา
สุข-ทุกข์ตามกฎแห่งกรรมที่ทำมา...แต่ปางไกล
ฤาจะฝืนเส้นทางที่ย่างก้าว
แต่ว่าเราก็ไม่อาจทำได้
สำนึก และ ยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
แม้มันจะเหนื่อยเกินทนไหว...ก็ตามที
เหมือนล่องไปในแนวทางของชีวิต
ที่ซึ่งถูกลิขิต...และไม่อาจหลบหนี
ไม่อาจล่วงรู้ว่าเมื่อไรจะสิ้นสุดสักที
จนตราบใดที่ชีวิตเรายังมี...ก็คงต้องดิ้นรน
จุดจบที่เที่ยงแท้
อาจเหลือเพียงแต่...แค่ความหมองหม่น
สิ่งที่คนเราทำลงไป...ใช่ว่าไม่มีตัวตน
ใครเศร้า-ใครทุกข์ทน...คือกฎที่อยู่บนการกระทำ
หากแต่เราทำดีไว้
สิ่งที่ได้กระทำลงไป...คงคลายหมองช้ำ
มุ่งมั่นทำแต่ความดี...ลบรอยราคี-ด่างดำ
สิ่งเหล่านี้มันเป็นสำนึกของผู้กระทำ...ที่ตั้งใจ
ให้บุญญาที่สร้างมาคุ้มครอง
ให้เรา และ รักทั้งผองจงสุขสดใส
*อาญาแห่งความรัก* อาจจักมลายสิ้นไป
อภัยโทษแด่ผู้สำนึกใจ...และเริ่มต้นรักใหม่...ด้วยความดี
10 มกราคม 2547 15:27 น.
พู่กันของหูกวาง
เมื่อชีวิตที่ยังต้องก้าวเดินไป
ยังเหลือเส้นทางมากมายให้เลือกสรร
ค้นหาสิ่งใหม่ที่ใจต้องการ
อาจมีบ้างที่ล้มคลาน...เมื่อพบพานกับเรื่องราวใดใด
แต่กว่าชีวิตจะพ้นผ่าน
การไขว่คว้าดินรนแข่งขัน...ที่แทบทนทานไม่ไหว
เฝ้ารอช่วงเวลา...ที่คิดว่าจะปลอดภัย
แต่แล้วคงไม่มีในทางใด...ให้เราก้าวเดิน
โลกแห่งความจริงมันช่างแสนหนักหน่วง
จึงอยากเข้าสู่ห้วงแห่งความห่างเหิน
โลกแห่งความฝัน...ที่ฉันต้องการก้าวเดิน
พร้อมยินดีกับสิ่งที่เผชิญ...ด้วยความสุขใจ
พยายามมองสิ่งต่าง-ต่างในโลกแห่งความฝัน
มองทุกสิ่งที่ก้าวเดินผ่าน...ว่ามันจะสดใส
วันนี้ฉันขอจมอยู่กับความเพ้อฝัน...ของฉันเรื่อยไป
ไม่อยากกลับออกไป...สู่โลกแห่งความจริง
แต่กว่าจะรู้เรื่องราวของชีวิตคนเรา
ก็แทบล้มไม่เหลือร่องรอยเงาของทุกสิ่ง
ชีวิต...มันถูกลิขิตอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่อาจติดอยู่กับบางสิ่ง...ที่ไม่มีรูปกาย
เฝ้ารอความฝันที่ขุ่นมัว
ทนรอเงาสลัว...ให้มันจางหาย
จึงรู้ว่าโลกแห่งความฝัน...คือสิ่งที่ฉันสร้างด้วยความอ่อนล้าในใจ
ความฝัน...มันไม่มีจริงใช่ไหม...ชีวิตคนเรา
กว่าจะรู้ว่าชีวิตคืออะไรในโลกความเป็นจริง
ที่ทุ่มให้ทุกสิ่ง...กับความฝันมากมายก็ล้าเศร้า
เข้าใจว่าโลกแห่งความฝัน...มันคงเป็นเพียงแค่รอยเงา
คอยติดตามเวลาใดที่ฉันเหงา...และมันจะเข้ามาอีกครา
10 มกราคม 2547 00:11 น.
พู่กันของหูกวาง
เคยเจ็บปวดมาแล้วมากมาย
เจ็บปวดจนเจียนร้องไห้...อ่อนล้า
เพราะรักร้าว...ทำให้เราเสียน้ำตา
กดดันมากเกินกว่า...จะเปิดเผยกับใคร-ใคร
เห็นอะไรก็เป็นต้องคิดถึง
บทความซึ้ง-ซึ้ง...ก็ทำให้หวั่นไหว
สิ่งเหล่านี้...ไม่น่าเชื่อว่าเกิดกับผู้ชาย
ผู้เข้มแข็งเกินว่าใคร...จะรังแก
คงเป็นเพราะรักเธอมากมาย
จนแคร์หัวใจ...ที่เธอไม่แยแส
จิตใจคน...มันสุดทนจะบอกว่าอ่อนแอ
เพราะเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนรังแก...จากใคร-ใคร
และฉันก็รอให้ผ่านเวลานั้น
เวลาที่ผู้ชายหลับฝัน...แล้วร้องไห้
ช่วงนึงที่คนคนนี้...ไม่อยากเจอหน้าใคร-ใคร
รอคอยให้มันผ่านพ้นไป...เสียที
และเมื่อเวลาผ่านไปแสนนาน
สิ่งที่เจ็บปวดนั้น...ทำให้ฉันไม่อยากหลบหนี
เดินผ่านไปอย่างนั้น...ทั้งที่มันกลัวเต็มที
กลัวว่าความรู้สึกที่เหลืออยู่นี้...จะหลุดออกมา
แต่ฉันก็ทำใจได้
สิ่งที่ผ่านไป...เริ่มจะไม่ห่วงหา
ขอแค่เพียงอย่ากลับไปนึกถึงช่วงเวลา
ที่เคยรักกันนานมา...เดี๋ยวจะกลับมาเสียใจ
และมันก็กลายเป็นภูมิคุ้มกัน
กันจากสิ่งที่ชอบเกิดกับฉัน...คือความอ่อนไหว
ถึงเจออีกครั้ง...คิดว่ายังจะไม่เป็นไร
เพราะฉันคงทำใจ...ได้ดี และไว กว่าวันวาน...
8 มกราคม 2547 14:14 น.
พู่กันของหูกวาง
*-*...เธอยังต้องการใครอีกหรือเปล่า...*-*
รู้สึกเปลี่ยวเหงา-เหงาอยู่บ้างไหม
แม้รู้ว่าเด็กอายุ สิบเจ็ด...ตอนปลาย-ปลาย
คงไม่สามารถครองใจ...ที่แสนอุ่นไอของเธอ...*-*
*-*...เธอเหมือนดอกฟ้าที่ค้นหามานาน...*-*
แต่ก็ยังไกลเกินฝัน...ของฉันอยู่เสมอ
เจอแล้วคนดีของใจ...แต่ทว่าไกลเกินละเมอ
ต้อยต่ำอยู่กับความเพ้อเจ้อ...*-*...ของคนห่างไกล...*-*
*-*...เธอช่างมีน้ำใจกับทุกคนที่ผ่าน...*-*
เลยไม่รู้ว่าที่เธอให้ฉัน...*-*...เธอให้ความสำคัญแค่ไหน...*-*
ผ่านมา-ผ่านไปทุกที...ยังมีแค่รอยความห่วงใย
ปล่อยให้ฉันสำคัญตัวเองเรื่อยไป...ว่าเธอมีใจให้กัน
*-*...ย้ำตัวเอง...ว่าเราเองคงไม่ใช่...*-*
เราคงไม่สามารถก้าวไป...ณ...ที่ตรงนั้น
ที่ที่เธอจะมีใจ...ไว้เพื่อคนสำคัญ
รับได้เพียงฐานะของคนเดินผ่าน...และเธอห็หันมาทักทาย
*-*...ความเป็นจริงของทุกสิ่งไม่อาจฝืน...*-*
ขอให้ฐานะของฉันเป็นอย่างอื่น...จะได้บ้างไหม
ขอให้เธอรับไว้สักคน...ฉันจะยอมทนเป็นแค่*-*...น้องชาย...*-*
และเธอล่ะคิดว่ายังไง...ช่วยบอกให้ชื่นใจสักที(...นะพี่ไร้เงา)...
7 มกราคม 2547 12:09 น.
พู่กันของหูกวาง
ตื่นแต่เช้าด้วยความหมองหม่น...
รู้สึกว่าคนหนึ่งคนตรงนี้...มันอ่อนไหว
มึนตุบ-ตุบ ที่หัว...ไม่รู้ว่าตัวเป็นอะไร
รู้สึกตัวสั่นเทา...ร้าวไหว สุดทน
ลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง-อ่อนล้า
ดูเหมือนหนทางไปข้างหน้า...มันมัวหม่น
เอนล้มลงอย่างไม่อาจฝืนทน
ล้มลงกองอยู่บน...ผืนที่นอน
นี่เราเพลียใจหรืออย่างไร
คิดว่าความเจ็บปวดที่ผ่านไป...เราได้ให้เป็นบทสั่งสอน
แล้วเพราะเหตุใด...จิตใจยังคงร้าวรอน
หนาว-หนาว...ร้อน-ร้อน ลึกอยู่ภายในใจ
หรือเราเพลียกาย...เวียนหัว
เรายังหมองมัว...เพราะว่าโรคประจำตัว ยังไม่หาย
ที่เป็นอยู่ย่างนี้...เพราะว่าตัวเราร้อนจี๋...ไม่สบาย
ต้องนอนซมรักษากาย...หลับไปให้คลายตัว
จะเพลียกาย...หรือเพลียใจ
ก็ทั้งปวดข้างในใจ...และก็ปวดหัว
รักร้าว...และโรคภัย...ล้วนทำให้กายและใจหมองมัว
อาจจะเป็นอย่างนี้สักชั่วครู่...และคงจางไป
ขอเพียงได้นอนสักพัก
เรื่องหนัก-หนัก...หากได้พัก ก็คงพอทนไหว
หากมีเรื่องใดในวันนี้...ร้ายดีอย่างไร
คนเจ็บทางนี้ขอบาย...จะกลับไปนอนพักผ่อนทั้งกาย และใจ...ให้หายดี