6 สิงหาคม 2548 22:10 น.

เรียนปีกฟ้าค่ะหน้าส่วนตัวหายค่ะไม่มีสักตัวอักษรให้แก้

พุด

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song283.html
(ลาสาวแม่กลอง)



ฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
น้ำเริ่มเจิ่งนองไปทั่วทุ่ง
เสียงกบเขียดพากันร้องระงมด้วยความเบิกบานสราญใจ
ข้าวในนาก็ระบัดใบเขียวใสระย้าย้อยห้อยรวงเริ่มผลิที่รอเกี่ยว...



สาวนา 
ตั้งใจจะปลูกกระท่อมใหม่สักหลัง
ที่เปิดโล่งเป็นโถงเรือนว่างๆ

ไว้สำหรับสอนเด็กๆแถวบ้าน
ให้อ่านเขียนและวาดภาพ
พร้อมทั้งเป็นโรงเล่านิทาน

มีหนังสือที่รับบริจาคมา
เพื่อจะพัฒนาให้เยาวชนคนที่ขาดการศึกษา 
ได้มีเวลาค้นคว้า
และ...
เรียนรู้โลกกว้างทางไกลที่ไปไม่ถึง
ด้วยการปลูกฝังให้รักการอ่าน 
ที่คือหน้าต่างโลก ประตูโลก
จะทำให้คนเต็มคน มีปัญญา 
พารู้ทันเท่ามิเฝ้าตกเป็นเหยื่อโศก..สิ้นสุขทุกข์วนในสังคมเทียมเทียม...



และ...
สาวนาเตรียมสอนธรรมะพื้นฐานแบบง่ายๆ
ที่คงยังดีกว่าหายใจไปวันวัน
ได้สร้างสรรสังคมชนบท
ให้แสนงดงาม...ตามแบบอย่างพุทธศาสนิกชนที่ดี

ที่จักเป็นผู้ให้ ไร้ร้องขอ
อย่างมีเมตตาธรรม
แด่เพื่อนมนุษย์ที่ร่วมเกิดเจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อย่างรู้ว่าวันเวลาแห่งชีวิตนั้นแสนสั้นนัก
จะทำอะไรที่ประเสริฐแสนดีพลีได้เพื่อผองชน...ก็จงรีบทำ

ไม่เว้นแม้กระทั่งกับสัตว์
ที่เปรียบประดุจดั่งเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก
ที่ยอมเหนื่อยยาก...ลากแอกแบกคันไถ..คู่ใจมาแสนนานวัน


และ
ในดวงใจใสใสของสาวนานั้น...
ก็แสนสงสาร..*เจ้าวัวควายเพื่อนยาก*
ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนหลังคาจากที่ผุพังให้เสียทีเดียวพร้อมกันเลย

เพราะฝนตกทีไรก็รั่วซึม
สาวนา..
จึงคิดจะมุงด้วยหญ้าแฝก 

เป็นหญ้าแฝกหอม
หรือที่เรียกว่าหญ้าแฝกลุ่ม หญ้าแฝกบ้าน
สาวนาขอแรงเพื่อนๆมาช่วยกันเกี่ยวหญ้าแฝก
ที่ขึ้นอยู่ริมคันนา
กันดินทะลายที่สาวนาตั้งใจปลูกไว้รายรอบ



ตามกระแสพระราชดำริ
*ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...*

ที่สาวนาเคยอ่านพบ
และ..
เพียรนำมาลองปฎิบัติจนได้ผลตาม
อย่างแสนน่าภาคภูมิใจ...
ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงพระราชดำรัสเอาไว้ว่า...

"เราจะสร้างของดีซ้อนบนของเลวนั้น 
ต้องสร้างผิวดินใหม่ขึ้นมา 
เมื่อหญ้าแฝกเจาะดินลงไปแล้ว
จะนำดินที่มีอาหารลงไป
เวลาน้ำฝนชะมาจากภูเขา ชะใบไม้มาติดหญ้าแฝก 
ดินจะเพิ่มขึ้น แล้วก็ดินเลวจะเป็นดินดี" 



*พระองค์ท่านหวังเห็นภาพอนาคตธรรมชาติอยู่รอด 
ปวงประชาพึ่งพาตนเองได้ *

และด้วยพระปรีชาญาณและพระวิสัยทัศน์
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ที่ทรงริเริ่มพัฒนาพื้นที่ห้วยทราย
จนปรากฏผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน 

รวมทั้งแนวพระราชดำริทั้งปวง
ที่ได้พระราชทานไว้ 

ซึ่งมีใจความสำคัญ
ในการสร้างความรู้รัก สามัคคี 
และ
การร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานต่างๆ 
โดยมีผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่แก่ประชาชนเป็นสำคัญ 

ส่งผลทำให้ประชาชนมีความ 
"พออยู่ พอกิน" สามารถ "พึ่งพาตนเองได้" 
มีชีวิตความเป็นอยู่ 
ที่สอดคล้องสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ 
และสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่
"ประชาชนอยู่รอดและธรรมชาติอยู่รอดด้วย" 



ซึ่งการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งนี้ 
ถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของรูปแบบการบริหารจัดการ 

ที่สมควรจะนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติ
ในการพัฒนาพื้นที่ชนบทอื่นๆ ของประเทศต่อไปได้อย่างดียิ่ง 
และ
ความสำเร็จดังกล่าว
ได้สร้างความปลาบปลื้ม
และพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก 

ดังจะเห็นได้
จากก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนิน กลับกรุงเทพมหานคร

ได้มีพระราชกระแสกับเจ้าหน้าที่ 
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ 
ที่ส่งเสด็จ ณ พระราชราชวังไกลกังวล ความตอนหนึ่งว่า 
"สิ่งที่ทำไว้ที่ห้วยทราย 
นับว่าประสบความสำเร็จดีมาก 
ต้องบันทึกเอาไว้เป็นทฤษฎีหรือตำรา...ฉันปลื้มใจมาก*




*ทฤษฎีใหม่นี่ หลักสำคัญอย่างหนึ่ง
คือหน้าฝน หน้าทำนา น้ำฝนจะทิ้งช่วง
ไม่มีที่ไหนฝนไม่ทิ้งช่วง ฝนทิ้งช่วงเสมอ 

ฝนทิ้งช่วงทำให้เกษตรกรเดือดร้อน 
น้ำที่เก็บตุนเอาไว้ให้เป็นการสม่ำเสมอ
regulate แปลว่าทำให้สม่ำเสมอ ได้น้ำสม่ำเสมอไม่ล่มจม' 



เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดินในแปลงไม้ผลและไม้ยืนต้น 
ปัจจุบันแม้ว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่ตกในแต่ละปี 
จะมีปริมาณเท่าๆ หรือใกล้เคียงกัน

แต่
เกษตรกรก็มักประสบปัญหาภัยแล้ง
หรือภาวะพืชที่เพาะปลูกขาดแคลนน้ำเป็นประจำ
ก่อความเสียหายแก่เกษตรกร 
และเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก*


*การแก้ไขปัญหา
ภาวะพืชขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน 
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการ
ในการเก็บรักษาความ ชุ่มชื้นไว้ในดินได้อย่างยาวนาน
แต่
เท่าที่ผ่านมาตราบปัจจุบัน
ความชุ่มชื้นเกษตรกรส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เกษตรน้ำฝน
ยังคงเพาะปลูกติดต่อกันมาโดยมิให้ได้มีมาตรการ
ในการช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นในดินเลย..*



*ดังจะเห็นได้จากการที่ฝนตกลงมา
ก็ปล่อยน้ำฝนเป็นจำนวนมาก
ไหลบ่าออกจากพื้นที่ลงสู่แม่น้ำลำคลอง 
ซึ่ง
นอกจากจะเป็นการสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์แล้ว 

น้ำฝนที่ไหลบ่า
ยังจะกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน
ซึ่งมีปุ๋ยและธาตุอาหารพืชที่สำคัญให้สูญเสียไปอีกด้วย 

การปลูกหญ้าแฝกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในดิน
สำหรับปลูกไม้ผลก็ใช้หลักการเดียวกัน 
ทั้งนี้วิธีการและรูปแบบการปลูกหญ้าแฝก
ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่
ที่เกษตรกรสามารถเลือกใช้รูปแบบหนึ่งตามความ เหมาะสม.*


(http://www.chaipat.or.th/journal/dec98/thai/huaysai.html)

***********************************



สาวนา...
จึงเตรียมหุงหาอาหารแต่เช้า
เพราะวันนี้คงยุ่งทั้งวัน 

ต้องเตรียมการณ์ให้พร้อม
สาวนาต้องการให้หลังเสร็จงาน
ที่ทุกคนต่างมีน้ำใจ
จะได้มีเวลาพบปะสังสรรค์กัน

สาวนาจะได้แสดงฝืมือทำกับข้าวอันแสนลือลั่น
ว่าฝืมือสาวนานั้น..*ราวแม่ครัวหัวป่าก์*
ที่ใครไปใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ 
อย่างให้จำจดไปเลยทีเดียวและรับรองจะ
*ไม่ผิดหวังในรสชาติอย่างแน่นอน...*



สาวนา...ผู้หญิงหัวใจสะออน
จึงเปิดเพลงจากวิทยุฟังยามอยู่ในกระท่อมครัว
กับฟ้าสลัวเลือนลาง
กับใจดวงดายเดียวอ้างว้าง
และ
น้ำตาสาวนาก็พร้อมจะพร่างจะรินทันที
เมื่อได้ยินเสียงเพลง..
*มหาอมตะนิรันดร์กาล*นี้ที่หวานแว่วมาจากลำโพง
.................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song283.html
ลาสาวแม่กลอง....พนม นพพร-โอภาส ทศพรอ๊อด


สิ้น แสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง
พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัย สมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราช การทหารเรียกใช้
ลูกน้ำเค็มโอ้ทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้คุ้มครอง
พี่ต้องขอลาจากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา
เมื่อ สงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืน ค่ำแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระ ปฎิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมา ร่วม ใจ
ป้อม พระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนไห้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
...........



เพลงนี้
อ้ายร้องให้สาวนาฟังยามฟ้าสาง

ยามที่ฟ้า....
ยังพรายพร่างด้วยสายหมอกหยอกรวงข้าวใหม่ในนาหอม
กับพวงพะยอมคลี่กลีบกรายกลิ่นเกสร
กับเสียงอ้อนวอนเว้า...ขอรักรักรัก
กับแสงดาวเดือนรำไรที่เป็นประจักษ์พยาน
ในท่ามเลือนลางม่านเมฆ
กับมวลดอกไม้ไทยร่ายเสกมนต์หวาน

กับเสียงม่านฝนพร่าง..พรมพรำสร้างบรรยากาศให้แสนรัญจวนใจ
และกับในยามที่พงไพรแว่วหวานด้วยเสียงดุเหว่าร้อง

เพียงไม่มีเสียงหวูดรถไฟประกอบก็เพียงนั้น
แต่....
ก็ทำให้หัวอกหัวใจสาวนากระจุยกระเจิง
ระเริงไปด้วยความสุขซ่านหวานซึ้งในอ้อมอกอุ่นของอ้าย
ผู้ที่สาวนารักแสนรัก
ที่ชอบขอหนุนตักสาวนา
และรักเสียงเพลงสาวนาเป็นชีวิตจิตใจ...



ยามนั้น
อ้ายจะเชยปรางสาวนาหอมหอมหอมแบบบในหนัง
แล้วจะกระซิบรำพันคำรักออดอ้อน
ให้สาวนาระทวยอ่อนในวงแขน

ที่ยินดีพลีทุกสิ่งแสนหวงให้อ้ายได้ด้วยภักดีอย่างมิต้องลังเล
เพราะ
อ้ายคือผู้ชายคนดีคนเดียวในชีวิต
ที่เข้ามาเกี่ยวจิตเกี่ยวใจเกี่ยวชีวิตสาวนา
ที่
สาวนายินดีพลีร่างใจให้ตราบจนชั่วฟ้าดิน
และจะถวิลไปตราบชั่วฟ้า..กัลปาวสานต์เลยทีเดียวเชียว..

..............


สาวนาลงไปเด็ดพริกสวน กระเพราป่า มะเขือพวง
ตั้งใจจะแกงให้หอมเลย
และ
เด็ดผักบุ้ง ตำลึง ฟักแฟงแตงกวาใส่ตะกร้ามาพร้อมกัน
เผื่อจะทำแกงจืด และน้ำพริกไว้สำหรับอีกมื้อ


ไหนจะผลไม้สารพัน
ที่กำลังห้อยย้อยผลดกไปทั่วทั้งสวนริมท้องร่อง


ที่สาวนาแบ่งพื้นที่ตามทฤษีใหม่
ที่ให้มีทั้งสวนสมุนไพร 
และขุดบึงเลี้ยงปลา
ไว้ได้ทำอาหารกิน และประทังชีวินแต่พอเพียงเพียงพอ
แบบชาตินี้
จะไม่มีวันเสี่ยงกับการจะต้องอดตายอีกแล้ว

เพียงคนไทยทุกคนมี
*พระขวัญแก้ว
*พระเจ้าแผ่นดินภูมินทร์ภูมิพลมหาราชา*
คอยชี้แนวทางให้เกษตรไทยทั่วฟ้าดิน 
ในแผ่นดินธรรมผืนดินทองนี้

ที่พระนามของพระองค์ราวกับสวรรค์เสกลงมา
ให้ธำรงพระปรีชาเป็นดั่งขวัญหล้าพระขวัญเกล้าแห่งผองชนชาวไทย
พระผู้มากพระเมตตาล้นน้ำพระทัย
ผู้มีพระการุณยคุณยิ่งใหญ่แด่ผู้ทนทุกข์ยาก
ที่..
ธ..ทรงเป็นดั่ง*พลังแห่งแผ่นดิน*ดั่งพระสมญานาม
อย่างยากยิ่ง
ที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในหล้าโลกได้เทียมเท่า..
..............



สาวนา..
เก็บเงาะพวงแดงลูกโต แตงโมกลมเขียว 
แตงไทย...ที่ตั้งใจจะทำน้ำกะทิหอมมันราดให้อร่อยเป็นของหวาน มื้อเย็น

แล้วไหน...จะยังมีมะละกอสุก กล้วยหักมุก 
กล้วยเล็บมือนางที่กำลังกางฟ้อนอ่อนละออจากเครือเหลืองละมุน

ไหนจะยังไม่พอ
ยังมี...*ชมพู่เพชร*
ที่หวานแสนหวาน
เพิ่งเด็ดสดฉ่ำ
ที่ได้พันธุ์มาจากเมืองน้ำตาลเพชรบุรี
และ..
นานหลายปีถึงสูงใหญ่ใบดกเขียวและได้เด็ดชิม

มีมะม่วงมันส์พันธุ์...เขียวเสวยแสนอร่อยหลายร้อยลูก
ห้อยย้อยเขียวเรียวพวงพราว ที่สาวนาเด็ดมาจนเต้มตะกร้าเลย



และนั่น...
สาวนาเห็นพี่ทอง...ค่อยๆย่องมาคนแรก แหวกกอข้าวมาแต่เช้า

พี่ทองบอก
*ขอมาฝากท้อง*กับฝืมือสาวนา
และจะได้มาปรับเตรียมพื้นที่รอเพื่อนๆ
ที่จะพากันมาร่วมแรงสามัคคีชุมนุม



สาวนาจึงดีใจ
รีบเข้าครัวไปจุดไฟก่อฟืนหุงข้าวหอมใหม่
และ
ปล่อยให้พี่ทองและเพื่อนพ้องที่กำลังจะตามมา
ได้พากัน
ทักทายกันเสียงขรม...

ก่อนที่
จะช่วยกันคนละไม้ละมือรื้อเรือนเก่า
และมุงหลังคาด้วย แฝกตับ 
ที่สักพักสาวนาจะเป็นลูกมือคอยช่วย
ด้วยความลุ้นระทึก
ที่จะได้เห็นผลงานอันแสนน่าชื่นใจเสียไม่มีแล้ว...



ใจดวงแก้วดวงทองดวงธรรมอันผ่องผุด
จึงแสนสุขพิเศษในยามนี้

ที่จำต้องแอบคลี่ยิ้มหวานหวาน
อย่างบานเบิกใจอย่างสราญใจ....ไปกับสายลมแสงแดด
และ.ให้
ใจดวงดีที่ระทมตรมตรอมเพราะคิดถึงอ้าย..
ค่อยทุเลามิเหงาเงียบ..อีกต่อไป.....	 
 แฝกฝันฝากหอม... สาวบ้านนา 
 

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song283.html
(ลาสาวแม่กลอง)



ฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
น้ำเริ่มเจิ่งนองไปทั่วทุ่ง
เสียงกบเขียดพากันร้องระงมด้วยความเบิกบานสราญใจ
ข้าวในนาก็ระบัดใบเขียวใสระย้าย้อยห้อยรวงเริ่มผลิที่รอเกี่ยว...



สาวนา 
ตั้งใจจะปลูกกระท่อมใหม่สักหลัง
ที่เปิดโล่งเป็นโถงเรือนว่างๆ

ไว้สำหรับสอนเด็กๆแถวบ้าน
ให้อ่านเขียนและวาดภาพ
พร้อมทั้งเป็นโรงเล่านิทาน

มีหนังสือที่รับบริจาคมา
เพื่อจะพัฒนาให้เยาวชนคนที่ขาดการศึกษา 
ได้มีเวลาค้นคว้า
และ...
เรียนรู้โลกกว้างทางไกลที่ไปไม่ถึง
ด้วยการปลูกฝังให้รักการอ่าน 
ที่คือหน้าต่างโลก ประตูโลก
จะทำให้คนเต็มคน มีปัญญา 
พารู้ทันเท่ามิเฝ้าตกเป็นเหยื่อโศก..สิ้นสุขทุกข์วนในสังคมเทียมเทียม...



และ...
สาวนาเตรียมสอนธรรมะพื้นฐานแบบง่ายๆ
ที่คงยังดีกว่าหายใจไปวันวัน
ได้สร้างสรรสังคมชนบท
ให้แสนงดงาม...ตามแบบอย่างพุทธศาสนิกชนที่ดี

ที่จักเป็นผู้ให้ ไร้ร้องขอ
อย่างมีเมตตาธรรม
แด่เพื่อนมนุษย์ที่ร่วมเกิดเจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อย่างรู้ว่าวันเวลาแห่งชีวิตนั้นแสนสั้นนัก
จะทำอะไรที่ประเสริฐแสนดีพลีได้เพื่อผองชน...ก็จงรีบทำ

ไม่เว้นแม้กระทั่งกับสัตว์
ที่เปรียบประดุจดั่งเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก
ที่ยอมเหนื่อยยาก...ลากแอกแบกคันไถ..คู่ใจมาแสนนานวัน


และ
ในดวงใจใสใสของสาวนานั้น...
ก็แสนสงสาร..*เจ้าวัวควายเพื่อนยาก*
ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนหลังคาจากที่ผุพังให้เสียทีเดียวพร้อมกันเลย

เพราะฝนตกทีไรก็รั่วซึม
สาวนา..
จึงคิดจะมุงด้วยหญ้าแฝก 

เป็นหญ้าแฝกหอม
หรือที่เรียกว่าหญ้าแฝกลุ่ม หญ้าแฝกบ้าน
สาวนาขอแรงเพื่อนๆมาช่วยกันเกี่ยวหญ้าแฝก
ที่ขึ้นอยู่ริมคันนา
กันดินทะลายที่สาวนาตั้งใจปลูกไว้รายรอบ



ตามกระแสพระราชดำริ
*ของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...*

ที่สาวนาเคยอ่านพบ
และ..
เพียรนำมาลองปฎิบัติจนได้ผลตาม
อย่างแสนน่าภาคภูมิใจ...
ตามที่พระองค์ท่านได้ทรงพระราชดำรัสเอาไว้ว่า...

"เราจะสร้างของดีซ้อนบนของเลวนั้น 
ต้องสร้างผิวดินใหม่ขึ้นมา 
เมื่อหญ้าแฝกเจาะดินลงไปแล้ว
จะนำดินที่มีอาหารลงไป
เวลาน้ำฝนชะมาจากภูเขา ชะใบไม้มาติดหญ้าแฝก 
ดินจะเพิ่มขึ้น แล้วก็ดินเลวจะเป็นดินดี" 



*พระองค์ท่านหวังเห็นภาพอนาคตธรรมชาติอยู่รอด 
ปวงประชาพึ่งพาตนเองได้ *

และด้วยพระปรีชาญาณและพระวิสัยทัศน์
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
ที่ทรงริเริ่มพัฒนาพื้นที่ห้วยทราย
จนปรากฏผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน 

รวมทั้งแนวพระราชดำริทั้งปวง
ที่ได้พระราชทานไว้ 

ซึ่งมีใจความสำคัญ
ในการสร้างความรู้รัก สามัคคี 
และ
การร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานต่างๆ 
โดยมีผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่แก่ประชาชนเป็นสำคัญ 

ส่งผลทำให้ประชาชนมีความ 
"พออยู่ พอกิน" สามารถ "พึ่งพาตนเองได้" 
มีชีวิตความเป็นอยู่ 
ที่สอดคล้องสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ 
และสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่
"ประชาชนอยู่รอดและธรรมชาติอยู่รอดด้วย" 



ซึ่งการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งนี้ 
ถือได้ว่าเป็นมิติใหม่ของรูปแบบการบริหารจัดการ 

ที่สมควรจะนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติ
ในการพัฒนาพื้นที่ชนบทอื่นๆ ของประเทศต่อไปได้อย่างดียิ่ง 
และ
ความสำเร็จดังกล่าว
ได้สร้างความปลาบปลื้ม
และพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก 

ดังจะเห็นได้
จากก่อนที่จะเสด็จพระราชดำเนิน กลับกรุงเทพมหานคร

ได้มีพระราชกระแสกับเจ้าหน้าที่ 
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ 
ที่ส่งเสด็จ ณ พระราชราชวังไกลกังวล ความตอนหนึ่งว่า 
"สิ่งที่ทำไว้ที่ห้วยทราย 
นับว่าประสบความสำเร็จดีมาก 
ต้องบันทึกเอาไว้เป็นทฤษฎีหรือตำรา...ฉันปลื้มใจมาก*




*ทฤษฎีใหม่นี่ หลักสำคัญอย่างหนึ่ง
คือหน้าฝน หน้าทำนา น้ำฝนจะทิ้งช่วง
ไม่มีที่ไหนฝนไม่ทิ้งช่วง ฝนทิ้งช่วงเสมอ 

ฝนทิ้งช่วงทำให้เกษตรกรเดือดร้อน 
น้ำที่เก็บตุนเอาไว้ให้เป็นการสม่ำเสมอ
regulate แปลว่าทำให้สม่ำเสมอ ได้น้ำสม่ำเสมอไม่ล่มจม' 



เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดินในแปลงไม้ผลและไม้ยืนต้น 
ปัจจุบันแม้ว่าปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่ตกในแต่ละปี 
จะมีปริมาณเท่าๆ หรือใกล้เคียงกัน

แต่
เกษตรกรก็มักประสบปัญหาภัยแล้ง
หรือภาวะพืชที่เพาะปลูกขาดแคลนน้ำเป็นประจำ
ก่อความเสียหายแก่เกษตรกร 
และเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก*


*การแก้ไขปัญหา
ภาวะพืชขาดแคลนน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน 
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการ
ในการเก็บรักษาความ ชุ่มชื้นไว้ในดินได้อย่างยาวนาน
แต่
เท่าที่ผ่านมาตราบปัจจุบัน
ความชุ่มชื้นเกษตรกรส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่เกษตรน้ำฝน
ยังคงเพาะปลูกติดต่อกันมาโดยมิให้ได้มีมาตรการ
ในการช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นในดินเลย..*



*ดังจะเห็นได้จากการที่ฝนตกลงมา
ก็ปล่อยน้ำฝนเป็นจำนวนมาก
ไหลบ่าออกจากพื้นที่ลงสู่แม่น้ำลำคลอง 
ซึ่ง
นอกจากจะเป็นการสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์แล้ว 

น้ำฝนที่ไหลบ่า
ยังจะกัดเซาะและพัดพาหน้าดิน
ซึ่งมีปุ๋ยและธาตุอาหารพืชที่สำคัญให้สูญเสียไปอีกด้วย 

การปลูกหญ้าแฝกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในดิน
สำหรับปลูกไม้ผลก็ใช้หลักการเดียวกัน 
ทั้งนี้วิธีการและรูปแบบการปลูกหญ้าแฝก
ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่
ที่เกษตรกรสามารถเลือกใช้รูปแบบหนึ่งตามความ เหมาะสม.*


(http://www.chaipat.or.th/journal/dec98/thai/huaysai.html)

***********************************



สาวนา...
จึงเตรียมหุงหาอาหารแต่เช้า
เพราะวันนี้คงยุ่งทั้งวัน 

ต้องเตรียมการณ์ให้พร้อม
สาวนาต้องการให้หลังเสร็จงาน
ที่ทุกคนต่างมีน้ำใจ
จะได้มีเวลาพบปะสังสรรค์กัน

สาวนาจะได้แสดงฝืมือทำกับข้าวอันแสนลือลั่น
ว่าฝืมือสาวนานั้น..*ราวแม่ครัวหัวป่าก์*
ที่ใครไปใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ 
อย่างให้จำจดไปเลยทีเดียวและรับรองจะ
*ไม่ผิดหวังในรสชาติอย่างแน่นอน...*



สาวนา...ผู้หญิงหัวใจสะออน
จึงเปิดเพลงจากวิทยุฟังยามอยู่ในกระท่อมครัว
กับฟ้าสลัวเลือนลาง
กับใจดวงดายเดียวอ้างว้าง
และ
น้ำตาสาวนาก็พร้อมจะพร่างจะรินทันที
เมื่อได้ยินเสียงเพลง..
*มหาอมตะนิรันดร์กาล*นี้ที่หวานแว่วมาจากลำโพง
.................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song283.html
ลาสาวแม่กลอง....พนม นพพร-โอภาส ทศพรอ๊อด


สิ้น แสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง
พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัย สมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราช การทหารเรียกใช้
ลูกน้ำเค็มโอ้ทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้คุ้มครอง
พี่ต้องขอลาจากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา
เมื่อ สงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืน ค่ำแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระ ปฎิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมา ร่วม ใจ
ป้อม พระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนไห้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
...........



เพลงนี้
อ้ายร้องให้สาวนาฟังยามฟ้าสาง

ยามที่ฟ้า....
ยังพรายพร่างด้วยสายหมอกหยอกรวงข้าวใหม่ในนาหอม
กับพวงพะยอมคลี่กลีบกรายกลิ่นเกสร
กับเสียงอ้อนวอนเว้า...ขอรักรักรัก
กับแสงดาวเดือนรำไรที่เป็นประจักษ์พยาน
ในท่ามเลือนลางม่านเมฆ
กับมวลดอกไม้ไทยร่ายเสกมนต์หวาน

กับเสียงม่านฝนพร่าง..พรมพรำสร้างบรรยากาศให้แสนรัญจวนใจ
และกับในยามที่พงไพรแว่วหวานด้วยเสียงดุเหว่าร้อง

เพียงไม่มีเสียงหวูดรถไฟประกอบก็เพียงนั้น
แต่....
ก็ทำให้หัวอกหัวใจสาวนากระจุยกระเจิง
ระเริงไปด้วยความสุขซ่านหวานซึ้งในอ้อมอกอุ่นของอ้าย
ผู้ที่สาวนารักแสนรัก
ที่ชอบขอหนุนตักสาวนา
และรักเสียงเพลงสาวนาเป็นชีวิตจิตใจ...



ยามนั้น
อ้ายจะเชยปรางสาวนาหอมหอมหอมแบบบในหนัง
แล้วจะกระซิบรำพันคำรักออดอ้อน
ให้สาวนาระทวยอ่อนในวงแขน

ที่ยินดีพลีทุกสิ่งแสนหวงให้อ้ายได้ด้วยภักดีอย่างมิต้องลังเล
เพราะ
อ้ายคือผู้ชายคนดีคนเดียวในชีวิต
ที่เข้ามาเกี่ยวจิตเกี่ยวใจเกี่ยวชีวิตสาวนา
ที่
สาวนายินดีพลีร่างใจให้ตราบจนชั่วฟ้าดิน
และจะถวิลไปตราบชั่วฟ้า..กัลปาวสานต์เลยทีเดียวเชียว..

..............


สาวนาลงไปเด็ดพริกสวน กระเพราป่า มะเขือพวง
ตั้งใจจะแกงให้หอมเลย
และ
เด็ดผักบุ้ง ตำลึง ฟักแฟงแตงกวาใส่ตะกร้ามาพร้อมกัน
เผื่อจะทำแกงจืด และน้ำพริกไว้สำหรับอีกมื้อ


ไหนจะผลไม้สารพัน
ที่กำลังห้อยย้อยผลดกไปทั่วทั้งสวนริมท้องร่อง


ที่สาวนาแบ่งพื้นที่ตามทฤษีใหม่
ที่ให้มีทั้งสวนสมุนไพร 
และขุดบึงเลี้ยงปลา
ไว้ได้ทำอาหารกิน และประทังชีวินแต่พอเพียงเพียงพอ
แบบชาตินี้
จะไม่มีวันเสี่ยงกับการจะต้องอดตายอีกแล้ว

เพียงคนไทยทุกคนมี
*พระขวัญแก้ว
*พระเจ้าแผ่นดินภูมินทร์ภูมิพลมหาราชา*
คอยชี้แนวทางให้เกษตรไทยทั่วฟ้าดิน 
ในแผ่นดินธรรมผืนดินทองนี้

ที่พระนามของพระองค์ราวกับสวรรค์เสกลงมา
ให้ธำรงพระปรีชาเป็นดั่งขวัญหล้าพระขวัญเกล้าแห่งผองชนชาวไทย
พระผู้มากพระเมตตาล้นน้ำพระทัย
ผู้มีพระการุณยคุณยิ่งใหญ่แด่ผู้ทนทุกข์ยาก
ที่..
ธ..ทรงเป็นดั่ง*พลังแห่งแผ่นดิน*ดั่งพระสมญานาม
อย่างยากยิ่ง
ที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในหล้าโลกได้เทียมเท่า..
..............



สาวนา..
เก็บเงาะพวงแดงลูกโต แตงโมกลมเขียว 
แตงไทย...ที่ตั้งใจจะทำน้ำกะทิหอมมันราดให้อร่อยเป็นของหวาน มื้อเย็น

แล้วไหน...จะยังมีมะละกอสุก กล้วยหักมุก 
กล้วยเล็บมือนางที่กำลังกางฟ้อนอ่อนละออจากเครือเหลืองละมุน

ไหนจะยังไม่พอ
ยังมี...*ชมพู่เพชร*
ที่หวานแสนหวาน
เพิ่งเด็ดสดฉ่ำ
ที่ได้พันธุ์มาจากเมืองน้ำตาลเพชรบุรี
และ..
นานหลายปีถึงสูงใหญ่ใบดกเขียวและได้เด็ดชิม

มีมะม่วงมันส์พันธุ์...เขียวเสวยแสนอร่อยหลายร้อยลูก
ห้อยย้อยเขียวเรียวพวงพราว ที่สาวนาเด็ดมาจนเต้มตะกร้าเลย



และนั่น...
สาวนาเห็นพี่ทอง...ค่อยๆย่องมาคนแรก แหวกกอข้าวมาแต่เช้า

พี่ทองบอก
*ขอมาฝากท้อง*กับฝืมือสาวนา
และจะได้มาปรับเตรียมพื้นที่รอเพื่อนๆ
ที่จะพากันมาร่วมแรงสามัคคีชุมนุม



สาวนาจึงดีใจ
รีบเข้าครัวไปจุดไฟก่อฟืนหุงข้าวหอมใหม่
และ
ปล่อยให้พี่ทองและเพื่อนพ้องที่กำลังจะตามมา
ได้พากัน
ทักทายกันเสียงขรม...

ก่อนที่
จะช่วยกันคนละไม้ละมือรื้อเรือนเก่า
และมุงหลังคาด้วย แฝกตับ 
ที่สักพักสาวนาจะเป็นลูกมือคอยช่วย
ด้วยความลุ้นระทึก
ที่จะได้เห็นผลงานอันแสนน่าชื่นใจเสียไม่มีแล้ว...



ใจดวงแก้วดวงทองดวงธรรมอันผ่องผุด
จึงแสนสุขพิเศษในยามนี้

ที่จำต้องแอบคลี่ยิ้มหวานหวาน
อย่างบานเบิกใจอย่างสราญใจ....ไปกับสายลมแสงแดด
และ.ให้
ใจดวงดีที่ระทมตรมตรอมเพราะคิดถึงอ้าย..
ค่อยทุเลามิเหงาเงียบ..อีกต่อไป.....	 
หน้าหน้าส่วนตัวพุดพัดชาหายหมดค่ะ
จะเข้าแก้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด