ให้ช่อดอกรักหวานบานรับฝน กลางกมลทุกดวงใจในร่มขวัญ รับอรุณสุนทรีย์ทิวาวัน ต่อเติมฝันปันดีพลีแด่กัน ให้รักหมุนรอบดวงใจ ส่องไสวลบหมองหม่นคนสิ้นฝัน ลืมอดีตเหน็บหนาวเศร้ารำพัน อยู่กับปัจจุบันเพียงแค่นี้ก็ดีพอ ให้ฤดูดอกไม้หวานบานในจิต ชุบชีวิตชื่นชีวาอย่าไปท้อ จากกอรักภักดีนวลละออ จะไม่ขออะไรมากกว่านี้ ฝากสายฝนสายฝันกระซิบซึ้ง ในคำนึงเธอดั่งสร้อยมณีศรี งามใดไหนเล่าจักเทียมเท่าคุณความดี หนึ่งในทรวงพี่ประดับใจไปตราบกาล....! ............................................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4.html จงรัก โปรด อย่าถาม ว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีตและโปรด อย่าถาม ว่าอดีต ฉันเคย รักใคร รู้ไว้อย่างเดียว เดี๋ยวนี้รักเธอ และรักตลอดไป รักมากเพียงไหน กำหนดวัดได้ เท่าดวงใจฉัน อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้ ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์ เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้ ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์ เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม... ...................................
ฝากดอกไม้รายรอบเรือน..คล้องใจเจ้า.. ฟังเสียงฝนหล่นลาจากฟ้าหนาว ยินเสียงพราวหยาดวสันต์ระรินร่ำ หอมจำปีคลี่นวลท่ามฝนพรำ ไร้แสงจันทร์สิ้นแสงดาวหนาวนวลใจ คิดถึงเอยแสนคิดถึง ใครคนหนึ่งสุดขอบฟ้า ณ..หนไหน ดั่งนกน้อยพเนจรรอนแรมไกล พรากวิมานไพรวิมานดินถิ่นรวงรัง ฝากอ้อมรักอ้อมใจไปกอดเจ้า คลายเหน็บหนาวจากอกอุ่นกระซิบสั่ง กลับบ้านเราเสียทีได้หรือยัง คนอยู่หลังเฝ้ารอจนท้อใจ.. ฝากดอกไม้รายรอบเรือนคล้องใจเจ้า ฝากดวงดาวในคืนค่ำฟ้าไสว ฝากจันทราแทนค่าคำว่าภาคภูมิใจ ฝากดวงใจเคียงคุ้มขวัญนิรันดร...! ...................................... ฉัน...ตื่นขึ้นมา ด้วยเสียงสายฝนกระหน่ำ ที่ซ้ำซัดสาดหลังคากราว กราว และ... เสียงพายุ กรูเกรียว หวีดหวิว... เสียงกิ่งจำปี ที่ติดกับหน้าต่างห้องนอน เสียดสีหลังคาซัดส่ายใบ ไปมาตามแรงลมไหว กระแทกกระทั้น ราวกับเสียงของดนตรีเฮฟวี่... ฉัน...เหลือบดูนาฬิกา.. เป็นเวลาตีสามครึ่ง........ หอมหวานของจำปี และเล็บมือนางริมรั้ว แทรกมากับ..สายฝนฉ่ำฟ้า.... ฉัน..นอนนิ่งๆ..ดูฟ้าที่สลัวมัวหม่น ฉ่ำชื่น กับ.. หยาดละอองฝนพรมพรำที่กระทบหลังคา และหยาดลงมาเป็นสายพรายพลิ้ว.... ฤดูฝน...แล้วสินะ.... แต่จะมีต้นหนาวมาเยือนหรือไม่ ยังไม่แน่... เพราะ.... ฤดูกาล..เปลี่ยนแปรไปหมดสิ้นแล้ว บางครั้ง..ฤดูกาล.. ก็เปรียบได้ดั่ง"ใจคน"เรานี้ ที่มีแต่เร่าร้อน ทุรนทุราย.. ไร้หนาว ไร้ฝน ไร้โรแมนติก ไร้สิ้นแสงดาว ไร้ความอ่อนหวาน อ่อนไหว ภายในใจ... ที่ต้องสับสนหาเช้ากินค่ำกับยุคนี้ ที่เศรษฐกิจทรุด ผู้คนทั้งประเทศ แทบหยุดหายใจ หยุดความเจริญเติบโต... ฉันลงมา..ต้มน้ำชงกาแฟ..เปิดเพลงของ ฮอทเปบเปอร์ เริ่มด้วยเพลงนี้ที่มีชื่อว่า http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song112.html "หัวใจสลาย........." "ดั่งแก้วบางเค้าทุบทิ้งแตก ใจฉันแหลกเพราะน้ำมือเธอ ปวดอกช้ำ คร่ำครวญ พร่ำเพ้อ เคยไหมเธอจะเหลือบเหลียวมา คำทุกคำล้วนซ่อนหยามเหยียด ทั้งรังเกียจลดเลี้ยวระอา เทิดทูนเธอ ดั่งเจ้าชีวา ไยถึงฆ่าฉันลง คงเป็นสุข ได้สมดังใจ ลวงคนให้คลั่งไคล้เหมือนนกเพลินกรง ฆ่าฉันฆาตกรรมได้แสนบรรจง เกินดวงจิตพะวงไว้ใจ ดั่งเหมือนถูกทับไว้ใต้โลก น้ำตาตกทุกค่ำคืนวัน ทุกข์โทษใครให้คนขบขัน "ใจฉันมันง่ายเอง" ............................. เพลงแสนเศร้ารานร้าว บาดใจ คลอเคล้า ไปกับสายฝนและลมเย็นยามใกล้รุ่ง.. ลอยละล่อง. ฝากไปกับแสงดาว เคล้าแสงเดือนกับคืนฟ้าหม่น.. เพื่อ เป็นเพื่อนปลอบประโลมใจ ให้กับใจทุกดวงที่รานร้าวพอกัน.. เปิดประตูครัวออกไป.... ในท่ามกลางสายฝนหม่นมัว.. ฉันมองเห็น.. ร่มเงาไม้ในความมืด ราวเริงร่า ยินดี ที่ได้รับหยาดฝนพรำ ให้ดอกใบนั้นเขียวขจี สดสีงาม.. ในความหนักหน่วงของพายุ.. และ.. สายฝนนั้น.. คือความฉ่ำชื้น ให้ผืนดินและพืชพันธุ์ได้อุดม.. กลิ่นกาแฟ..หอมๆ ที่ฉันนำมารับประทาน กับกล้วยน้ำว้าผ่าเป็นสี่ซีก เป็นอาหารเช้ายามใกล้รุ่ง แบบไทยๆปนฝรั่ง ที่ไปกันไม่ค่อยได้ แต่ใจฉันชอบเสียอย่าง... เลยง่ายงามแบบกล้วยๆ ที่อุดมด้วยวิตามิน... จุดเทียนเจลหอมๆ... ในขวดโหลเล็กๆ ข้างในนั้น จัดเป็นโลกสีครามใต้ท้องทะเล "ที่ดูเร้นลับ น่าพิศวง.. ว่าเอามือเข้าไปจัดได้ยังไง... ทันทีที่..แสงเทียนสว่างวาบ "โลกสีน้ำเงินงามก็พลันวับแวม หวามไหว ล้อลม งามล้ำ มาตั้งล้อหลอกใจอยู่ตรงหน้าฉัน" แสงเทียนวับแวมนี้ บันดาลใจให้ฉันรจนา เรื่อง"ปลายฝน ต้นหนาว" ในยามค่ำคืนนี้..อย่างเงียบงาม... เมื่อวานนี้.... ฉัน...ได้ไปเด็ดดอกไม้ริมรั้ว บ้านร้าง มาอีกแล้ว เป็นพันธุ์ไม้ดอก แสนสวย จับใจ ฉันเสียเหลือเกิน ดอกไม้นั้นคือ. ชบาฮาวายดอกใหญ่เท่าจานหลากสี ดอกพู่ระหงสีแดง ใบนั้นมีฟอร์มเป็นรูปไข่ สีเขียวเป็นมัน กลีบดอกสีแดงหรือสีส้ม จะแผ่โค้งไปด้านหลัง ปลายกลีบเป็นแฉก และหยักเป็นริ้ว ดอกห้อยลงมาแสนอ่อนหวานและอ่อนโยน.... ฉัน..รวบรวม..ดอกไม้นานาพรรณ มาจัดในชามอ่างดินเผา อย่างทะนุถนอมเบามือ..... ดอกไม้ธรรมชาติ ธรรมดาๆ ที่ดูพื้นๆ กลับดูดีและแสนสวยแสนงาม เมื่อนำมารวมสลับสีกัน เข็มแดง เล็บมือนางที่มีสามสี ขาวนวล และ ชมพู โมก ชบาบานพราว เคล้าแซมใบโกศลเหลือบเขียว และ พู่ระหง..ห้อยย้อยดอกดวงพวงพู่..... ไม่ต้องอาศัยฝีมือมาก. แค่นำมาวางรวมกัน ก็กลายกลับเป็น "ดอกไม้ที่มีเสน่ห์งามล้ำแบบเรียบง่าย" อย่างไม่มีที่ติ.แสนชื่นตาชื่นใจ... ดีกว่า ดอกไม้ที่บรรจงจัดหรู ดูราวเสแสร้ง.. แม้จะอยู่ในแจกันแพงแสนแพง...ก็ตามที....... ฉันฝัน..เสมอมาว่า.... ชีวิตและบ้านหลังสุดท้ายของฉันนั้น ที่จะอยู่และฝังฝากกายใจ ไปจนตราบลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต จะต้องอยู่ท่ามกลาง สวนดอกไม้เมืองร้อน เป็น... แบบสวนสวรรค์ที่เป็นดั่งสวนป่า มี.... ลั่นทม..และพันธุ์ไม้ดอกใบ ที่ไม่จำเป็นต้องทะนุถนอมมากมาย แต่ จะให้ดอกดกงามตลอดปี ที่ฉันนี้จะได้ดอมเด็ดดม และนำมาใช้ ในบ้านได้ทุกฤดูกาล... ส่วนตัวบ้านนั้น จะต้องเป็นกระท่อมทับแบบบาหลี ที่เรียบ โล่งกว้าง มีห้องน้ำเปิดรับแสงจันทร์โลมไล้ รับสายฝนโลมร่าง... ฉัน..มีที่ดิน ในฝันแสนสวยแล้วที่เป็นจริง... มีหินก้อนงาม มีที่ทางหลายไร่ และ ที่สำคัญ อยู่ใกล้ทะเล.. สิ่งที่รอ..ให้ฝันเป็นจริงนั้น ใกล้เข้ามาทุกขณะ ฉันแค่รอเวลาที่จะขอบ้าย บาย ร่ำลาจากชีวิตชาวกรุง(กรง).. ที่ราวปลาผิดน้ำสำหรับชีวิตฉัน... ถ้าฉัน..เป็นปลา..ก็เปรียบดังปลาทะเล ที่ต้องการแหวกว่าย ในท้องทะเลกว้างใหญ่สวยใสบริสุทธิ์.. มิใช่ ทะเลน้ำครำดำๆ ทุกยามหน้าฝนมาเยือนอย่างชาวกรุง(กรง)นี้ ที่"เทพ" พยายามสู้.. เพื่อให้ผู้คนที่นี่มีชีวิตที่ดีกว่า.. ให้สมดั่งคำว่า"กรุงเทพเมืองฟ้าอมร" ฝนซา ฟ้าเลิกหม่นแล้ว......... ฟ้าใกล้สว่าง.. มองออกไปฟ้ารำไรฉายแสง สีทอง... เหมือน ดั่งโลกและชีวิตนี้ ที่หมุนวน ไม่เคยหยุดยั้ง... บางครั้งยามทุกข์ทน ก็ดังมีพายุ ฝน พัดผ่านมา ท้าทายให้ลุกขึ้นสู้ ยามดี มีสุข ชีวิตก็ดู สดใส ไร้เมฆหมอก สงบงาม.. เหมือน..."ยามฟ้าหลังฝน" ที่มีสายรุ้งงาม หลากสีทอทาบฟ้า ฉายฉานประดับประดาดวงใจ ให้สดใส สดชื่น อย่างมีความหวัง กำลังใจ.. กับวันเวลา.... และคำว่าชีวิตคือการเริ่มต้นใหม่.... ในทุกคืนวัน..ไม่มีคำว่าสายเกิน.... ฤดูฝน..กับคนเมืองนั้น เคยมีแต่นอนไม่หลับ ไปกับความกังวลว่า"น้ำจะท่วม"มั้ยนะ แต่ด้วยพระบารมี พระมหากรุณาธิคุณ จากฟ้า.. จากน้ำหยาดพระทัย ของในหลวงของปวงชนชาวไทย ทำให้.. เรานอนตาหลับอย่างอบอุ่นเป็นสุขทุกค่ำคืน กับเสียงสายฝนและที่นอนนุ่มนวล.. ด้วยมั่นใจว่า.. น้ำจะไม่ท่วมอีกแล้ว ตั้งแต่มีโครงการพระราชดำริ"โครงการแก้มลิง" ที่เป็นพระปรีชาสามารถ ที่คาดการณ์ถูกต้อง และ เตรียมพร้อมที่จะรับมือและป้องกัน..อย่างทันท่วงที ฝนนี้... จึงทำให้เรามีชีวิตที่แสนดี.. จาก หยาดน้ำพระทัยที่ใสเย็นดั่งหยาดฝน... ที่รินรดให้..พสกนิกรไทยทุกคน และ ทำให้เราได้ตระหนักว่า.... ธรรมชาตินั้นจะโกรธเกรี้ยว ลงโทษ คนที่ไม่รู้ค่าของธรรมชาติสถานเดียวเท่านั้น อย่างสิ้นปรานีเพื่อฝากให้หลาบจำ ไม่มีป่า..เมื่อยามน้ำมา น้ำก็จะท่วมอย่างรุนแรง พาให้สูญเสียอย่างยับเยิน.... และ นี่คือบทเรียน. คือความพ่ายแพ้ ของมนุษย์ ที่บังอาจทำลายธรรมชาติ อันยิ่งใหญ่ และ ยังประโยชน์มหาศาลให้แก่มวลมนุษยชาติ... และ บางคราว..ต้นหนาวกลับไม่หนาว.. ก็เพราะน้ำมือมนุษย์อีกนั่นแหละ จะโทษใคร หากไม่ไตร่ตรองก่อนสายเกิน...... ฤดูกาลผ่านไป ไม่ว่า..กี่ฝน หนาว กี่เศร้า กี่สุข เรา... ผู้ยังเป็นมนุษย์ ก็ต้องคลุกเคล้าเวียนวน ผจญต่อสู้ จนกว่า.. โลกนี้จะ..แตกดับ ไม่ร้อนไม่หนาว หมดสิ้นทั้งฤดู..ฤดี.. ไปพร้อมกันตราบจนชั่วนิจนิรันดร์....! .............................................. พระพิรุณพร่างสายหมายสอนโศก ให้กับโลกเรียนรู้ฤดูฝัน ว่าเพลงฝนหล่นลาอาลัยวัน เสมือนขวัญรอใครพรากทุกฉากตอน หลับตาเฝ้าตามดูในรู้สึก เงียบล้ำลึกฟังเสียงวสันต์สอน แม้นดายเดียวลำพังนิรันดร ใจดวงอรชรเงียบงามยามสนธยา สายฝนเฝ้าครวญคร่ำร่ำแด่โลก วิปโยคสังเวยชนทุกข์ทั่วหล้า ด้วยดวงใจมืดดำจึงเหว่ว้า รินน้ำตาบูชาฟ้าแลดิน แม่พระธรณีกระซิบคำย้ำอย่าตรม อย่าระทมหมองไหม้ใช่ไร้สิ้น ตราบใดใจดวงทองยังครองหอมระร่ำริน นวลถวิลมั่นศรัทธารอฟ้างาม.!
![]()
เธอนะหรือคือดวงดอกไม้ประดับโลก ลบเหงาโศกเลือนเศร้าหนาวเหน็บขวัญ เธอคือสายธารใสไหลเย็นเป็นนิรันดร์ เธอคือขวัญในอ้อมใจไปตราบกาล เธอนะหรือคือเดือนพรายประดับฟ้า เธอคือดวงดาราหวานแสนหวาน เธอคือสายธรรมทองงามตระการ ดั่งบัวบานชูช่อรอแสงตะวัน เธอใช่เพียงน้ำผึ้งหวานให้จารจิบ ฝากโลกทิพย์สู่แดนสรวงสวรรค์ หากคือมวลมาลีลบแล้งไร้ทุกคืนวัน เป็นมิ่งขวัญแม่พระสร้างค่าคน เธอคือดวงดอกไม้แสนบอบบาง ในรุ่งรางอรุโณทัยไปทุกหน เธอคือนางในใจเคียงกมล ก่อกุศล ณ กลางใจ ละไมละมุน...! ...........................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html (ฉันรักเธอเสมอ) อุษาวดีคลี่ฟ้าอีกคราแล้ว ดวงดอกแก้วหอมพรายริมหน้าต่าง นกเขาไพรปลุกดวงใจฟ้าเรื่อราง ริมหน้าต่างกลางดงดอกจำปี นอนคลี่ยิ้มแอบดูเจ้านกน้อย เพื่อนผู้คอยเคียงขวัญยามเช้านี้ ไกวเปลหวานแกว่งไกวพร้อมดนตรี ธรรมชาติชีวีธรรมดาเช้าเฝ้าทายทัก หอมมะลิระรินที่ริมหมอน กับที่นอนนวลนุ่มน่านอนนัก ขอนิทราหลับตาฝันอีกนิดนะที่รัก ฟังเพลงภักดิ์ในยามเช้าเคล้าอรุณ โลกหอมหวานภายในใจดวงแก้ว รับหวานแว่วสรรพสิ่งพร้อมโลกหมุน เปิดดวงใจบ้านภายในงามหอมกรุ่น สร้างละมุนพบละไมกลางใจธรรม แล้วสวดมนต์ช้าช้าอย่าเพิ่งลุก เพื่อปลอบปลุกพลังใจหวังรินร่ำ แผ่เมตตาขอบคุณโลกโชคน้อมนำ ได้มีวันทำความดีนาทีทิพย์ ทุกลมหายใจที่ยังมีช่างมีค่า ขอบคุณฟ้าแลดินที่ยื่นหยิบ ได้ชื่นใจในรสพระธรรมอันล้ำค่าน้ำอมฤต ใสสนิทจิบซ้ำซ้ำพรำพร่างริน ดั่งน้ำค้างหยาดสายกรายสู่หล้า ดั่งน้ำฟ้าหยาดพรายมิรู้สิ้น สู่บึงบัวรอบัวบานเหนือวาริณ เพียงถวิลรับอาทิตย์อุทัยในเวลา ดั่งนาฬิกาชีพชนม์คนแสนสั้น ลืมตาฝัน พลันตื่นล่วง บ่วงเสน่หา ที่รัดร้อยสร้อยห่วงหวงพันธนา สร้างศรัทธาเดินตามรอยบาทมิวาดวน พาจิตใสตั้งใจตรงคงสัจจะ มิลดละภาวนาบุญสร้างกุศล เพียรฝึกสมาธิมีปัญญาคุ้มค่าคน ก่อนที่ลมหายใจจะไม่มี..!นะคนดี นะดวงใจ.. ..................................
![]()
พี่พุดครับ... เพียงกวาดสายตา ไปตามมาลัยอักษราของพี่พุด ความฉ่ำเย็นก็ค่อยๆ ระเรื่อยไหลระรินรดใจ ที่โรยราของคนไร้ค่าอย่างน้องชายพี่พุด พี่พุดครับ.... อุโมงค์โมกอุโมงค์รักของพี่พุด นำมาซึ่งความเงียบ ง่าย ทว่างดงามยิ่งในวงวรรณศิลป์ นำมาซึ่งความฉ่ำเย็น ท่ามกลางความแล้งไร้ของน้ำใจคน อุโมงค์โมกของพี่พุดอ่านแล้วประหนึ่งว่า มีสายธารดอกโมกระเรื่อยรี่ระรินไหล ผ่านหน้าของคนที่ระทดท้อระทมหมอง หัวใจที่เหมือนจะระโรยราพลันระริกรี้ระเริงรื่น หวังใจว่า สุดอุโมงค์โมกของพี่พุ ดจะเป็นอุโมงค์รัก ที่ฉ่ำเย็นด้วยแสงขาวนวลแห่งธรรมนะครับ ด้วยรักจากน้องชายพี่พุดครับ ............................. น้ำคำของพี่พุดจับใจน้องชายคนนี้ยิ่งนัก... หวานใดเล่าเท่าน้ำคำของพี่พุดไพรใจสะอาด หวานปานน้ำทิพย์มาหยาดหยดมารดใจ... ไม่หรอกนะครับพี่พุด... รอยหมึกของต้นน้ำยังไม่อาจหาญ ไปเทียบกับรอยหมึกของพี่พุดได้... เพราะ..... หยาดหมึกของพี่พุด จดจารเป็นรอยคำ...อ่านแล้วจดจำเป็นรอยใจ.... ทั้งน้ำคำ น้ำใจ และน้ำหมึกของพี่พุดไพร... น้องชายคนนี้ของพี่พุดไม่อาจเทียบครับ... พี่พุดครับ.... หากน้องชายคนนี้จะบอกพี่พุดว่า... อย่าถามเลยว่าต้นน้ำเป็นใคร? มาจากไหน? เพราะ นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับว่า... ไม่ว่าต้นน้ำจะเป็นใคร?...มาจากไหน... แต่ทว่าใจของต้นน้ำ พันผูกและผูกพันกับพี่พุดไพรยิ่งนัก... ดังคำโบราณที่ว่า... ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ... ประหลาดนักนะครับที่... หยาดหมึกจารเป็นรอยคำ มาจดจำเป็นรอยใจ.... ต้นน้ำ และ.. นั่นคือความงามนิยามใจ ที่นักอยากจะเขียนเพียรฝันทุกดวงใจ ปิติเกษมใจเป็นยิ่งนักที่อย่างน้อย มีบางใครบางคน รู้สึกรักและผูกพันผ่านสร้อยรักอักษราฝันค่ะ จนถึงวันนี้ พี่พุด ก็ไม่ทราบดอกค่ะ ว่าหยาดน้ำค้างคำน้ำค้างใจ จากต้นน้ำแห่งความฝัน มหัศจรรย์รักนั้นอยู่แห่งหนใด ราตรีนี้ขอพลีฝากบทความเรียงเรื่องรัก ที่พาให้ได้รับพลังใจไฟฝัน จากน้องชายคนนั้น ที่วันนี้ นาทีนี้ อยากกระซิบถามดวงดารา ถามฟากฟ้าหนาว ถามเดือนพราว และสายลมพร่างพรมค่ะ ว่า.... *เธออยู่ไหน**เธออยู่ไหน* http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song317.html หากรู้สักนิด เพียงได้ชิดสนิทเธอละเมอว่า ทั้งโลกหล้าดวงดอกไม้บานอย่างหวานหอม ค้อมดอกดวงพร้อมพลีพวงให้ดมดอม ไพรพะยอมทั่วทั้งป่าผลิตระการ เสียงสายธารระรินไหลท่ามไพรพฤกษ์ ในรู้สึกราวดนตรีทิพย์ซร้องผสาน ฟังเสียงลมราวเสียงกระซิบรักตราบชั่วกาล นกขับขานฟังไพเราะพ้อคู่ใจ เห็นสายรุ้งทอดสายระยับระย้า บนฟากฟ้าเมฆเลื่อมพรายราวสายไหม เห็นทางช้างเผือกสุดโค้งขอบฟ้าไกล เห็นดาราสุกใสดั่งเพชรพราว เพียงได้ชิดสนิทเธอละเมอว่า... โลกเหว่ว้าลบเลือนความเหน็บหนาว หลอมรวมจิตลืมทุกสิ่งหลากเรื่องราว ฝันอะคร้าวดั่งลอยล่องท่องแดนสรวง ทิพย์พิมาน..! .................. อุโมงค์โมก วันนี้มีเวลาพลิกดูหนังสือ..บ้านและสวน.. ที่ซื้อมาทิ้งไว้นานแล้ว มากองรวมๆกันไว้ กับหนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน.. เพราะ.. ระยะนี้มัวแต่เอาใจ ไปจดจ่อกับสิ่งมีชีวิต. ที่เรียกว่า..คน..ใครบางคน และ.. เรื่องราวสวยงามมากมี ที่งดงาม..มากกว่า.. ที่หัวใจให้ความสำคัญมากกว่า.. ดวง.. จะมีความสุขมากกับการได้อ่านหนังสือ.. เกี่ยวกับการแต่งบ้าน จัดสวน แม้ว่า.. ในชีวิตจริงไม่ชอบสวนที่ประดิษฐ์ประดอย.. ใจชอบสวนป่าที่ดูธรรมชาติธรรมดา และ.. ดูมีชีวิตมากกว่าเป็นไหนไหน.. อันนี้คงจะมาจากเป็นคนบ้านนอกนะ ชีวิตดิบเดิมติดดินไง.. ที่.. บอกใจและใครๆที่รักเสมอมาว่า คอยถวิลหาแต่ราวไพร.. และ.. บางที..ยังได้ไอเดียมาเปลี่ยน.. วิมานดินของดวงนี้หนอ ให้แสนสุขล้ำ ให้สมกับคำว่าบ้านคือวิมานของคน...... เพราะ.. ชีวิตนี้เรามีสิทธิ์จะเลือกอยู่ เลือกเป็น เลือกเห็นงาม ตามดวงใจดวงตาของเราเอง ใช่ใคร! พบคำนี้.. เลยอยากนำมาฝากฝัน ฝากคำสวยไว้ ให้ใจทุกดวงได้หวานไหว.. ไปด้วยกันนะคะ.. *อุโมงค์โมก * คงพอคิดออกนะคะ ว่าจะสวยงามขนาดไหน.. เป็นภาพ.. โมกสวยสานใบจนเป็นอุโมงค์ทอดยาว.. และ.. ราวฉากฝัน ที่น่าจะมีคู่บ่าวสาวจูงมือกันมา พร้อม.. เสียงเพลงรักหวานแว่ว ในพิธีมงคลศักดิ์สิทธิ์ ที่มีดอกโมก ร่วงพราวขาวพรมพร่าง...ร่วมอวยพร.. และ... น่าเสียดาย.. น่าจะเป็นฉากรัก ให้สาวพลอย. ในเรื่อง...พลอยเคียงเพชร.. ที่พุดพัดชาเคยรจนาไว้.. และ.. หวังสักวันหนึ่ง อาจจะเป็นจริงดั่งฝัน.. ต้นไม้ ต้นไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ .. ชั่วชีวีตราบชีวาจะมิมีวันสิ้นสุข ตราบใด.. ที่ใจดวงนี้ ยังมีเงาไม้..ให้ร่มเย็นกับใจงามง่าย... และ.. ดวง..คงตายแบบปลาผิดน้ำ กระเสือกกระสน เร็วกว่านี้ แบบไม่มีออกซิเจน.. หากให้อยู่ที่ไหนก็ได้ ที่มีแต่ป่า คอนกรีต.. ตอนนี้จำปี ของดวงสูงเลยชายคาบ้านแล้ว ให้กวาดใบงาม ที่ร่วงหล่น ฝึกสมาธิมีปัญญา พาสอนใจทุกวัน กับการกวาดใบ.. สัจจธรรม...เตือนใจว่า.. ใบไม้ที่ปลิดปลิว...คว้างคว้าง.. ร่วงสู่ธุลีดินนั้น.. ก็เปรียบเสมือน ดั่งชีวิตคนเรา..ร่วงหล่นทุกวัน ไม่เลือกเวลา..ยามที่ถึงคราต้องราโรย... ใบอ่อน ผลิใหม่สวยสล้างแทงยอดออกมา ทายทักโลก พบโศกสุข ท้าแดดแรง ลมกล้า พายุฝน และ..ลมแรง ที่พัดผ่านมากับกาลเวลา มาหมุนวน คลุกเคล้า ให้ผ่านร้อนผ่านฝนผ่านหนาวจนชาชิน.. กับ.. ความไม่แน่ไม่นอนของฤดูกาล.. ที่นับวันรอคืนจะผ่านเลยลับ..มิยั่งมิยืน.. อุโมงค์โมก แสนงาม นามเพราะ ที่บันดาลใจให้ฝันหวาน หวาน ว่า... คงมีสักวันจะสานฝัน ให้แสนดี มีใครบางคนโอบเอว เคียงคู่กันไป ตามเส้นทางสายฝัน พลัน.. หันมายิ้มหวานสบตากันนิ่งนาน.. ก่อนที่...จะ. จูบซาบซ่าน..นานเนิ่นตามมา เป็นนิรันดร์ ....! ......................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song317.html หากฉัน รู้ สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นให้รู้สักหน่อย ว่าดวงใจ ที่ฉัน เฝ้าคอย คงไม่ เลื่อนลอย เป็นของ ใคร เพียงแต่กระซิบ ว่าสุดที่รัก ฉันก็จะมิอาจจากไป ใจเราสอง ชอกช้ำระกำใน คงไม่สลาย มลาย ลงพลัน หากฉัน รู้ สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นให้รู้สักหน่อย ยอดดวงใจ ที่ฉัน เฝ้าคอย คงไม่ เลื่อน ลอย เป็นของ ใคร เพียงแต่กระซิบ ว่าสุดที่รัก ฉันก็จะมิอาจจากไป ใจเราสอง ชอกช้ำระกำใน คงไม่สลาย มลาย ลงพลัน หากฉัน รู้ สักนิดว่าเธอรักฉัน บอกกันวันนั้นว่ารักสักหน่อย ยอดดวงใจ ที่ฉัน เฝ้าคอย คงไม่ เลื่อน ลอย จากสุดที่รักเอย...
![]()
เรือนหลังน้อยในดงดวงดอกไม้ ริมสายธารระรินระริกไหล เจ้าของจุดเทียนทองบูชาไพร เทพไทแห่งขวัญหล้าพสุธาภักดิ์ กราบองค์พระปฏิมาอธิษฐาน ให้พ้นผ่านพันธนามายารัก ในแสงเทียนทองทอพุทธพักตร์ ให้แน่นหนักลั่นดาลใจไม่หลงวน น้ำผึ้งพิษจารให้จิบแท้ระทม เพียงสายลมพัดพรายให้หมองหม่น หวานชั่วคืนชื่นชั่วคราวหนาวทุกข์ทน บันดาลดลให้เวียนว่ายชดใช้กรรม เรือนดอกไม้ให้อ้อมใจเจ้าพิงพัก ให้อ้อมตักหยาดน้ำใจใสเย็นฉ่ำ ให้เมตตากรุณาน้ำค้างคำ ให้สายธารธรรมนำเรือชีวิตนิจนิรันดร์ .............................. เรือนบุษบา! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) ครั้นอิเหนาพรอดน้อง บุษบา ราชนิพนธ์มณฑา- รพไล้ สุวรรณศิลป์รัมภา รังเรข รำนา กลอนละครละม้าย มกุฎร้อยกรองสวรรค์ฯ ................. เสียงซอซอซาบซึ้ง ศศิมนตร์ โสมส่องทองมณฑล ทิพย์หล้า บุหลันเลื่อนลอยยล ยศยิ่ง พ่อนา ซอเซ่นสามสายฟ้า- ฟาดฝ้าโศกสลายฯ ............... บุษบาชื่อบุษบา บุษบาที่แปลว่าดอกไม้นั่นแหละ...ใช่เลย..! และ.... เป็นบุษบาไพร มิใช่บุษบาเมือง และก็ คงมิใช่นางเอกบุษบานารีในเรื่องอิเหนา เพราะบุษบาคนนี้ เบื่อเรื่องรักรัก เสียนักเสียหนา จนถึงกับได้อธิษฐานภาวนา แทนเสี่ยงเทียนที่จะ*ให้อิเหนาเขามารักข้า* เป็นว่าเกิดมาชาตินี้ชาติไหน ขอให้ดวงใจพ้นพันธนารัก เสียได้จะเป็นดี ทุกวันนี้ บุษบา มีความสุขกับชีวิต กับธรรมชาติ กับความสว่างสะอาดของจิตดวงใส ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ได้พิงพักกับมวลดอกไม้รายรอบเรือน *เรือนบุษบา* ที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน อย่างที่ฝันเอาไว้มานานปี เรือนที่หนีไม่พ้นบึงบัว มีแสงไฟสลัวจากเชิงเทียนแก้วแทนไฟนีออน มีชานให้นอนเอนอิงพิงพักใจ..ได้ดูดาวเดือน เป็นเรือนที่มีมวลดอกไม้ไทยหวานหอม มาเคลียเคล้าในภวังค์ฝัน...ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เรือนที่ยังได้ยินเสียงเรไรร่ำ ดุเหว่าร้อง พร้องแผ่วแว่วเสียงหวาน ปานนกโกกิลาในตำนานพุทธศาสนา และ... ราวได้ยินเสียงนางโกกิลา ที่คร่ำครวญหวนหา*พระอานนท์... ............ เรือนริมบึงตรึงใจวิมานฝัน บัวหลากพันธุ์บานชูช่อล้อแดดใส จิก..ดอกหวานหว่านดอกลำธารไพร นั่นต้นไทรไหวเอนลู่คู่นกกา.. ตะวันสีไพลชิงพลบหลบเงาเมฆ ธรรมชาติเสกใจภิรมย์ชมมัจฉา มีชานฝันอันรื่นรมย์ชมพนา ตะวันลาโพล้เพล้เหว่ว้าใจ.. พายเรือน้อยลอยคว้างกลางสระกว้าง นอนอ้างว้างมองดูดาวพราวสุกใส โอ้ดาวน้อย ลอยเด่นดวง สุดแสนไกล ราวสอนใจไม่มีวันฝันเป็นจริง.. จุดตะเกียงเคียงหัวนอนเขียนกลอนฝัน นวลแสงจันทร์ลอดโลมไล้ลืมทุกสิ่ง เคียงหมอนขาวพราวดอกไม้หอมงามยิ่ง หลับตานิ่งดิ่งหัวใจไม่ตรอมตรม... พอยามดึกพงพฤกษ์ไพรไหวน้ำค้าง ใจว่างว่างลืมโลกลืมโศกสม เรือนหลังน้อยกับจิ้งหรีดร้องระงม เนื้อใจบ่มเพาะฝันดีที่งอกงามยามเงียบงัน... ....................... และ..สำหรับ บุษบา มีความสุข ที่ได้ชีวิตแสนสงบสุขแล้วเพียรภาวนา และ... หากค่ำคืนไหน ที่บุษบา คนนี้...ลุกขึ้นมาจุดเทียน ก็คือเทียนทองผ่องแผ้วถวายเป็นพุทธบูชา มิใช่..!มาเสี่ยงเทียนตามหารัก เพื่อเพียรฝึกหนักให้มีสมาธิภาวนา เกิดปัญญา รู้รักษาจิต ใสใจดวงงาม มิให้หวั่นหวามหวั่นไหว หลงใหลไปตามกระแสโลกย์ ที่แม้นแต่พระพุทธองค์.. ยังต้องดิ้นรนให้พ้นโศกสิ้นทั้งปวง มิต้องตกลงในบ่วงแห่งพันธนารักนั้น ที่รักกันได้กันดี ... หากพอถึงวันหนึ่ง เมื่อดวงชีวาชีวี และสังขารจำใกล้จะถึงเวลาโรยร่วง โปรยปลิดปลิว เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟ ก็ต่างพากันตระหนักว่า... เกิดมา ชาติหนึ่งนั้น วันเวลาแห่งชีวีช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนัก.. และ ทุกสิ่งที่ผันผ่านมาคือทุกขังอนิจจังอนัตตา ที่หายึดมั่นถือมั่นได้นานไม่..! แม้แต่...*คำว่ารักนิรันดร์* จริงๆแล้วคือความทุกข์ ทั้งสิ้นทั้งนั้น ไม่ว่า เกิด แก่..เจ็บ..ตาย และ... จะต้องกลับมาวนว่าย อีกนับอสงไขยชาติ .. ให้น่าเหนื่อยนัก มาสู้รบกับความรักความชัง ทั้งหวังหวานและขมขื่น ที่ถึง..แสนชื่นฉ่ำ..ก็คงไม่นานปี... รอเวลาที่จะพ่ายแพ้สังขาร พรากลาโลกโศกสุขทุกข์ร้อน นอนไม่หายใจ กันทั้งนั้น ไม่เลือกวัยวันอายุขัยให้เตรียมใจไว้ได้เลย และ ในท่ามราตรีนี้... ที่เป็นราตรีคืนเดือนเสี้ยว จันทร์เสี้ยว..ดวงเศร้า..ที่ดูแสนงาม... ปานประหนึ่ง... ราวเรือทองกำลังลอยล่องท่องไป ในแดนดินแห่งความฝันสวรรค์สรวง ในท่าม รวงเรียวเกลียวเมฆหวานแสนหวาน บุษบา.. ได้กราบกราน ถวายมาลัยมะลิพวงโต หอมกรุ่นละมุนมงคล พลี แด่องค์พระพุทธคุณ ด้วยจิตดวงใสดวงคารวะ จุดเทียน..พร่างพราว แล้ว... ใจดวงงามพลันรำลึกนึกไปถึง เรื่องราว... ที่พระยาสุรสีห์ได้พลีดาบ ที่กรำศึกอย่างโชกโชนถวาย เป็นราวเทียน ให้จุดถวายเป็นพุทธบูชาในโบสถ์คร่ำ ก่อนวันที่ดวงชีวาท่านจะลาลับ ราวแทนคำสัจจะอธิษฐานภาวนา ที่ยอมพลีชีวาและทุกหยาดเลือดหลั่ง ให้พลั่งรินจนหยาดสุดท้าย เพื่อปกบ้านป้องเมืองเอาไว้ ใช่อยากเข่นฆ่าใคร หากทว่านี่คือสงครามเพื่อแผ่นดินไทย ที่บรรพบุรุษผู้เก่งกล้าเกริกไกร จำต้องรักษาอิสรา เพื่อให้ลูกหลานไทย ได้มีผืนหล้าไว้หยัดยืนอย่างทรนง..! ........... บุษบาจึ่งได้แต่ ก้มลงกราบกราน..ณ..เบื้องหน้า พระพักตร์พระพุทธทองคำสุกปลั่ง..นิ่งนาน แล้ว น้อมศิระกรานอธิษฐานจิตแด่ องค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา..*สวดคาถาพาหุง * ตามด้วยมนตราอิติปิโสภควา อุทิศให้กับ มิ่งมิตรทางจิตวิญญาณ ของบุษบาในค่ำคืนนี้ ที่เป็นดั่งคนดีเป็นสุขนิรันดร์ฝันแสนงาม และ... หวังไม่นานช้า ... เขาคงไขว่คว้าดาวดวง มาสู่อุ้งมืองาม รจนางานมากมาย ฝากไว้เพื่อพลีบรรณาการดับแล้งโลก ลบโศกคลาย ให้มวลมมุษยได้เลิกใจร้ายคอยห้ำหั่นกัน ให้ดั่งสายน้ำรักนิรันดร์ ได้นำทางไปสู่ฝั่งฝันฤาสวรรค์ .. จนถึงพระนิพพาน ตราบนานแสนนาน.. ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ.. บุษบา.. ได้กลิ่นดวงดอกพิกุลหอมพราว มาเคล้าใจดวงงามในยามนี้ แล้ว... ใจดวงดีก็ประหวัดไปในค่ำคืนหนึ่ง คืนแห่งความซึ้งสุขนิรันดร์งาม ในต้นยามรัชสมัยรัตนโกสินทร์ คืนแห่งเบื้องบนนภา.. ที่รัศมีดาราส่องแสงพรายพร่างสว่างนวล สะท้อนทอละออม่านเมฆ........ เดือนแฝงเร้นซ่อนละมุนละไม. ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม.. ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย เมฆชมพูหวาน ราว สายไหม เกาะกลุ่ม ละเมียด เป็นช่อชั้นราววิมานเมฆ นวลละออน่านั่งน่านอนเล่น ดั่งทิพย์สวรรค์ ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.. ทายทัก..พักสายตา.. พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม.. .ตะลึงใจ..ตะไลฝัน กับงามล้ำของม่านเมฆ. มนต์ขลังแห่งฝันแสนงามนั้น และ นั่นคือจินตนาการที่บุษบาได้สานฝัน ต่อจาก... บทประพันธ์อันตราตรึง *ในเรื่องรัตนโกสินทร์กำเนิดกรุงเทพ..* *ของ..คุณปองพล อดิเรกสาร* ที่เพิ่งได้อ่านผ่านตา หากยังอวลตราล้ำลึกเกษมในบึ้งใจ *ในยามที่บุญมา(เจ้าพระยาสุรสีห์) ยืนเคียงคู่เจ้านางศรีอโนชารับลมเย็น บนระเบียงบ้านไม้สองชั้น ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านบางกอก เจ้านางศรีอโนชา โอบกอด เด็กหญิงอายุได้สี่เดือน ไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม บุญมา โอบเอวเจ้านางศรีอโนชาไว้เพียงเบาๆ เขาดูสบายใจในชุดโจงกระเบน สีเขียวเข้มสวมเสื้อคอกลมสีขาว สายตาที่มองดูภริยาและลูกสาวบ่งชัดถึง ความรักและความเอ็นดู ของผู้ที่เป็นสามีและเป็นพ่อ ท่าทางที่ยิ้มแย้มเบิกบานของบุญมาขณะนี้ กลบกลืนความเป็นนักรบที่เก่งกล้าดุดัน กับความเป็น แม่ทัพชาญศึกที่สุดคนหนึ่งของกรุงธนบุรี ซึ่งทั้งข้าศึกและทหารของเขาเอง ต่างเกรงกลัวและยอมรับนับถือฝืมือ* *พี่จากไปเกือบปี เจ้ารู้ไหมหรือไม่ว่าพี่คิดถึงเจ้าตลอดเวลา และนับวันรอให้ลูกสาวคนนี้เกิดมาด้วย* *เจ้านางศรีอโนชาเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอ ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งในใจถามตัวเองว่า... *นี่หรือคือพระยาเสือ ที่ใครๆกลัว* นางยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นบุญมายื่นหน้าออกไปรับลม และหลับตาสูดอากาศที่สดชื่นสบายใจ* ................ .................... *ลมโชยแรงมาจากสวนรอบบ้าน พากลิ่นดอกพิกุล ที่ปลูกไว้ไม่ไกลจากบ้านมาด้วย *บุญมา..*ผ่อนลมหายใจสูดกลิ่นดอก ไม้ที่เขาชื่นชอบเข้าไปช้าช้า ในใจหวนนึกถึงเครื่องประทิ่นของชาววังกรุงเก่า ที่ทำจากดอกพิกุลอบแห้ง ที่บรรดานางในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา เคยชอบใช้กันหนักหนา* ........... .................* และ...สำหรับดวงจิตบุษบา ก็ได้แต่ร่ำไห้อย่างโศกครวญแทบทุกบรรทัด จิตนั้นพลันพลีเทิดทูนคารวะ แด่ทุกดวงวิญญาณบรรพชน วีรบุรุษลูกผู้ชายชาติไท หัวใจหาญกล้า ราวชายชาติอาชาไนย ที่มิเกรงกริ่งหวั่นภัย ยอมพลีเลือดเพื่อปกป้องผืนดินตราบจนสิ้นใจ ตราบจนหยาดสุดท้าย..!!!!! และ.. ฝากไว้ให้เรา ลูกหลานไทยทุกดวงจินต์ในวันนี้ ให้ยังมีแผ่นพื้นพสุธาไทยพสุธาทอง ให้ยังได้ครองหยัดยืน ครองขวัญ ฝัน ก็จงอย่าลืม... สร้างสรรปันพลีความดีความงาม คืนกลับแด่แผ่นดินแม่มาตุภูมิ แด่ผืนโลก ให้สมภาคภูมิ ก่อนที่...ลมหายใจ จะมอดดับลับลาไปราวอาทิตย์อับแสง..!!!!!! ............................ ........................ เธอคือเมฆเสกสายหวานมาห้อมห่ม มาพร่างพรมขวัญเจ้าคราวเหน็บหนาว เธอคือสร้อยร้อยสวยด้วยรวงดาว คล้องฝันพราวรับขวัญพลีราตรีเพ็ญ.. ราวสายลมพรมผ่านลุกขึ้นสู้ โลกยังอยู่ดอกไม้หวานบานให้เห็น แม้นดายเดียวเปลี่ยวร้าวใจเยียบเย็น เธอยังเป็นเช่นเทียนทองส่องกลางใจ ราวรุ้งเรียวเกี่ยวฟ้าทางช้างเผือก ลบหนาวเยือกให้อุ่นพร่างสว่างไสว รจนาบทกวีที่งามงดหมดจดใจ ระรินไหวลบโลกร้อนสอนกมล... เธอคือสายธารหวานพรมห่มหอมร่าง ให้ฉ่ำพร่างฉ่ำชื่นดุจสายฝน เธอนั้นหรือคือน้ำค้างกลางกลีบรสสุคนธ์ เธอคือคนของสายธรรมนำชีวี.. เธอคือตะวันอันโอบเอื้อมนุษยชาติ สว่างวาดรจนาร้อยสร้อยศักดิ์ศรี เธอนะหรือคือยอดงามยอดความดี เป็นสร้อยสีสร้อยแสงสร้างแรงรัก.. เธอคือไม้ไพรในป่าเมืองมนุษย์ สร้างพิสุทธิ์ดุจร่มธรรมล้ำค่านัก เธอคือใครใครคือเธอเล่ายอดรัก ยอมพลีภักดิ์ศรัทธารักศรัทธาใจในวันนี้.. ................................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) เทียนจุดเวียนพระพุท-ธา ตัว ข้า บุษบาขออธิษฐาน เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน อ้า องค์พระพุท-ธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ... .................
![]()