2 มิถุนายน 2550 09:23 น.
พุด
คลี่ยิ้มรับอรุณ
รับดวงดอกไม้หอมกรุ่นฟ้อนฟ้า
มาลัยริมชายหมอนเคียงนิทรา
ยังฝากค่างดงามท่ามโลกลวง
นั่นนกน้อยถลามาทายทัก
กระซิบภักดิ์กิ่งจำปียังห่วงหวง
โมกพริ้งพราวยังแน่นกอรอวันร่วง
และ..
โน่นพวงดวงดอกแก้วระยับระย้ารอท่ารอ
คนดี..ในดวงใจ
ถึงพรากไกลสุดขอบฟ้าใจมิท้อ
ยังละเมอเธอคืนเรือนคุ้มขวัญพนอ
อธิษฐานขอพระพุทธพิสุทธิ์ดล...
มาเคียงหมอนนอนชมมวลไม้หอม
หมู่พะยอมคลี่แย้มพวงรับหยาดฝน
มาเกาะเกี่ยวกุมมือไปฟังธรรมงามกมล
มิว่ายวนเวียนวิบากกรรมซ้ำรอยรักพันธนา....นิรันดร์!
....................
หอมเอยหอมกลิ่นการเวก
ราวมนต์เสกในคืนหวานเสน่หา
ดลดวงจิตสนิทนวลนัยนา
เกินจักกว่าหยาดน้ำผึ้งตรึงตรา
หากหอมใดไหนเล่าเท่าหอมภักดิ์
เมื่อตระหนักเนื้อแท้หอมยิ่งกว่า
หอมบุญหอมคุณความดีหอมศรัทธา
เนาปรารถนานิรันดร์เจ้าขวัญดวง
เคลียเคล้าภิรมย์ดอกไม้บูชา
นิทราลอยล่องสวรรค์สรวง
เกินกว่าทิพย์บุปผาทั้งหล้าปวง
ดั่งดาวดวงดารารายหมายนำทาง
คือทุกสิ่งแสนงามนิยามรัก
วางใจภักดิ์แทบเท้าจักหมายสร้าง
เคียงคู่ขวัญลบลืมโลกไร้ร้าง
ในเส้นทางธรรมทองหมายครองดี
ตราบชีพนี้...นิรันดร์..!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
(อันเป็นดวงใจ...ปรารถนา)
.......
หอม หอมบุญ...อุ่นอุษา...
อุษาสางแล้ว
เดือนดวงแจ่ม..ยังค้างฟ้า
แม่ดวงดอกพุดไพร....
ลุกขึ้นมาเปิดเพลง..ครูทูล..ทองใจ
และตั้งใจจะไปวัด...
ลุกขึ้นมาจัดเตรียมสำรับ
มาหุงข้าวใหม่มะลิหอม
และ....
จัดเตรียมอาหารทั้งคาวหวานผลไม้
ไปน้อมนำใจ...ไปถวายพระบวชใหม่...
ที่..
งามผ่องพราวไปทั้งลานธรรม
จน..มลังเมลืองกลายเป็นลานทองผ่องพรายใต้ร่มไม้
ณ..ลานหินโค้ง..
ที่มิโล่งแล้ง กลับงามพราว...ระยิบพร่าง
ด้วยใบไม้ไม้ใบนานาพรรณ
ที่....
กำลังฟายฟ้อนอ้อนออดรับอ้อมอวลอุ่น
จาก..พรายแสงแรกละมุนของดวงอาทิตย์อ่อนอุทัย
ในยามอุษาฟ้าสาง...
ที่ทั่วทั้งท้องนภางค์กระจ่างแจ้ง..จากนวลนภาเบื้องบน
และ..
จากระยับจับจิตจากจีวรสงฆ์แจ่มจ้า
ที่สะท้อนเงาแดดวะวูบไหวในท่ามเงาไม้
คล้ายดั่งดวงชีวี
ได้ย้อนรอยถอยหลังกลับไปในสมัยพุทธกาล
ยาม..
ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จเทศนา..ในวันสำคัญๆ
และ..
แทบทุกครั้งครา..
ในท่ามแมกไม้ไพรพฤกษ์ในแทบทุกถิ่นที่
แห่งแดนดินพุทธชมพูทวีปนี้....
ที่แสนเงียบงามสงบสุข..
ที่..
พระพุทธองค์ มิทรงหยุดท้อแท้
เพื่อจะเผยแผ่พระบรมศาสนา..
จนตราบล่วงลาถึงพระชนมพรรษาครบแปดสิบปี ...
จน..
ตราบถึงวันที่..
*พระพุทธองค์ทรงบรรทมในท่าสิริไสยาสน์
ใต้ร่มเงาไม้สาละ...บนศิลาอาสน์
เพื่อทรงดับขันธ์ปรินิพพาน
ใต้ม่านไม้ใบบัง...อันแสนหอมเศร้า..เคล้าความโศกสงบ
แห่งหัวใจพระอรหันต์และชาวพุทธศาสนิกชน
คนในชมพูทวีปมาอย่างยาวนานตราบจนกาลวันนี้....
และ...
ตั้งแต่ยาม..
ที่ดวง พระประทีปแก้วแววประภัสสร
ได้ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ได้...
ทรงค้นพบอริยสัจจ์สี่
*ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค*
อันคือสัจจะธรรมจริงแท้
และ..
พร้อมพลี..
เยื้องย่างอย่างแสนลำบากตรากตรำพระวรกาย
เพื่อไปเผยแผ่...ในทุกธุลีหล้าใต้ฟ้าธรรม...ธรรมชาติ
ให้..
ทุกผองชนในสมัยพุทธกาล..และนานเท่านาน
มาถึงทุกผู้คนในทุกวันนี้
ได้พบเส้นทางอันแสนสะอาดสว่างสงบ
ที่ณ..บัดนี้เรียกว่า....
สังเวชนียสถานทั้งสี่....
สถานที่ประสูติ ณ ป่าลุมพินี เมืองกบิลพัสดุ์ เนปาล
สถานที่ตรัสรู้ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พุทธคยา อินเดีย
สถานที่แสดงปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ อินเดีย
สถานที่ปรินิพพาน ณ ป่าสาลวัน กุสินารา อินเดีย...
ที่..น่าอัศจรรย์ใจนัก
ที่พระสงฆ์จำนวนนับพัน
จะ...พลันมาประชุมพร้อมกัน
โดยมิได้นัดหมาย..
คล้ายปาฎิหารย์
จากบุญญาบารมีกฤดาภินิหาร
จากพลังศรัทธาแห่งความเชื่อ
ที่เหลือจะกล่าวอธิบาย...ผ่านคำว่า
เหนือโลกย์ เหนือโศก สุขสิ้นแล้ว...
...........................
และ....
วันนี้แม่ดวงดอกพุดไพรจึงตั้งใจ
จะไปวัดเพียรปฎิบัติธรรม
และ..
ตั้งใจจะทัดช่อละออเข็มขาว..
ให้หอมหวานบานพราวริมเรียวแก้ม
และ..
แถมจะคลี่คลุมไหล่ด้วยผ้าสไบผืนนุ่มสีไพล
ที่แสนจะบรรเจิดใจ บรรเจิดจิตแจ่มกระจ่างมาก
ใน...
ท่ามมวลอวลอากาศหนาว
แล้ว..
เดินฝ่าม่านหมอกหยอกรวงเรียวดวงดอกข้าว
ที่กำลังผลิพราวในทุ่งนา
ใกล้...เมืองธานีแดนทอง
ที่..
ยังคงเหลือผืนนาผืนน้อย
คอยรอท่าท่านนายทุนมาหมุนหว่านเงินงาม
กวาดล้างสร้างเป็นบ้านจัดสรร..
หาใช่..สวรรค์บ้านนาอีกต่อไปไม่แล้ว...!
และ..
ราวดวงใจแม่ดวงดอกพุดไพร
คิดขอให้..
เข็มขาวและข้าวนา
จักพราวพาพร...ให้นำมาเพียรสอนสัจจะใจ
ให้..
ไหวงามตามทันทุกผัสสะ
มีสติปัญญา..บานเบิกตระการ
แตกช่อดอกจิตกระจ่างสว่างไสว
ไปในท่ามกลางความวายวุ่นแห่งวิถีผู้คน
อันอลหม่านอลวนปากกัดตีนถีบ
รีบร้อนทุรนทุราย
คล้ายเต็มไปทั้งม่านมนต์เมืองมายา...เมืองฟ้าอมร..
แม่ดวงดอกพุดไพร
จะ..
พาร่างใจที่แสนรักความเดียวดายดายเดียว
และ...หัวใจดวงใสดวงดี..ไปถวายวัด
ให้..
จิตภายใน..
รู้สึกสงบสงัด ชัดแจ่มด้วยพลังบุญ...
ที่จักละมุน..
หมุนนวลเนื้อใจ
ให้หอมกุศลเกษมไปตราบชั่วนิจนิรันดร์...
แม่ดวงดอกพุดไพร
จึงมานั่ง.บนหินใหญ่ใต้ร่มไทรใบหนา
ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้นกกาอาศัย
ในม่านไพรไหวย้อยห้อยรากราย
ลงมาพรายปรายปกคลุม
ในท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดกรูกราว
พร่างพราว...
ให้..
ใบไม้ใบนิดๆน้อยๆ
ค่อยๆพร่างพลิกพลิ้วปลิดปลิว..ละลิ่วลอยลงมา
ใน..
ท่ามสายแสงแดดสีทอง
ละอองอ่อนอุ่นอาบทอทาบทามาในยามอุษา
และราวกับว่า...
นั่งอยู่ในท่ามป่าใหญ่ไพรกว้าง
อย่างแสนสวยงามอ้างว้าง
ให้
ดวงจิตดวงว่างยิ่งงามแสนงาม
ในครรลองทองผ่องผุด
ราว...
*โลกตรงหน้ากำลังหยุดหมุน*
ให้
น้อมรำลึกนึกย้อน
*ตามรอยพระบาทองค์พระบรมศาสดา*
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในยามสมัยพุทธกาล...
และ...
ในท่ามทิพย์นิรมิตใจนั้น..แม่ดวงดอกพุดไพร
เห็นแสงจรัสจ้า...
ประดุจดั่ง..
สายแสงเพชรพราวพรายฉายฉาน
โชติช่วงจับฟากฟ้า
จาก..
ปวงพลังแห่ง*พุทธธรรมทายาทรังสี*
ที่..
พลีพร้อมใจกันมาบวชรวดเดียวกันถึงหกสิบสองรูป
พลังจิตนั้น
จึง..
พลัน...สว่างไสว..ดั่งมณีดวง ช่วงโชติ โรจน์รุ่งรัศมี
ประดุจรัตนมณีแห่งนาคร ...
ให้...
ดวงใจอรชร..ในนาทีนั้น
เกิดปิติบุญและอุ่นเอิบไปด้วยความงามจิตงามใจ
เกินหาค่าคำใดมาบอกกล่าว
ในพราวพราย..
จากอัญมณีชีวิต..อันแสนนิดหนึ่งน้อยนี้
ที่ได้สัมผัสพบเห็น...
และ..
หวังเพียรพลี
ทุกลมหายใจนี้ให้เพียงคิดใฝ่ดี พูดดี ทำดี
และ..
พร้อมพลีให้...ผองเพื่อนมนุษย์อย่างมิสิ้นสุด...รัก
มิ...สิ้นสุดหยุดศรัทธา..ในคำสอน
อันคือ*อมตะนิรันดร์*...
ในสัจจะธรรมแห่งพระบวรศาสนา
เพื่อ..
ให้ชีพชนม์ทุกผู้คนบนผืนหล้า...
ยังคงดำรงคงความดีประดับฟ้าไทยไปตราบชั่วกาล...
และ..
ให้สมกับการ
ที่ได้เกิดมาในร่มฉัตรร่มพระรัตนตรัย
ได้มีโชค รู้ดับโศกพ้นทุกข์
จากทุกคำสอนของพระบรมศาสดา..พระพุทธศาสนา
ดั่งบัวขาวพราวหล้า...
ให้..
หลุดพ้นจากพันธนาทุกข์โคลนตม
เป็นบัวพ้นน้ำบัวบูชาชูช่อไสว
รับทานธรรมนำมาส่องนำทางใจ
ไปตราบชั่วชีวีนี้...ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ...!!!
..........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
อันเป็นดวงใจ ครูทูล ทองใจ
ฉันมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ
โอ้เป็นความรักยิ่งใหญ่
เหมือนดาวรักใคร่ฟากฟ้า
เหมือน ดังแสงสุริยา
สาดแสงส่องพื้นภพหล้า ลงมาจูบทานตะวัน
เห็นใจเถิดฉันนั้นยังดำรง
เทิดทูนความรักสูงส่ง
ซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปรผัน
หวัง ใจได้คู่เคียงกัน
ตราบนิรันดร์มั่นหมายสวาท
เป็นทาสความรักเสมอ
อันเป็นดวงใจมานานแรมปี
เป็นราชินี แห่งใจฉันนี้คือเธอ
ทุกๆ ค่ำเช้าเฝ้าละเมอ
จิตใจพร่ำแต่เพ้อว่า รัก รักเธอรักจริง
ฉันรักเธอเหมือนดังดวงชีวา
ไม่เคยจะคิดเลยว่า สัญญาแล้วจะทอดทิ้ง
เห็น ใจฉันบ้างยอดหญิง
มอบหัวใจให้แล้วทุกสิ่ง
ด้วยความสัตย์จริงเสมอ
แด่เธอ ผู้เป็น ดวงใจ...
1 มิถุนายน 2550 20:41 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
(คิดถึง)
......................
ค่ำแล้ว..
เดินไปดูมวลหมู่นกกา...กลับรัง...
ตะวันสีหมากสุก ยังคงอ้อยอิ่งเหนือทิวไม้..
ฟ้ายังสาดแสงสะพรั่งงดงามสลัว
มัวหม่นในท่ามม่านหมอกแห่งสนธยา
อย่างไม่กลัวเปลืองสีสัน
ขอแค่....
ได้ฝากความฝันฝากความประเทืองประทับใจ
ไว้แด่มวลมนุษยโลก
ได้ดับโศก สิ้นไร้หมองหมาง...ระทม...
ลมรำเพยพัดดวงดอกการเวกร่วงพรู
ราวรับรู้ใจดวงนวลสะเทือนในยามนี้...เฉกกัน...!
.....................
และ..
อีกครา..ที่แม่ดวงดอกพุดไพร
ขอน้อมใจพลีฝากผลงาน
*ลั่นทมบนลานใจ..*
อันบันดาลใจมาจากกงานยอดกวีกระวาดพิลาสพิไล
*ลำน้ำน่าน*
หลังอ่านงาน
***วิปัสสนานิรันดร์ (Everlasting Meditation)***
ของเขาจบลง อย่างแสนซาบซึ้ง
พาให้จิตดวงไสวแสนประภัสสร ได้พบวิเวก..สงบงาม
.....................................
...............................................
สนามบินสุราษฎร์ธานี
หญิงสาวสูงโปร่ง วงหน้ารูปไข่
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางใด
นอกเพียงจากเครื่องประดับหน้า
ที่ดูงามใสเด่นคือนัยน์ตาสีอำพัน
ที่ดูราวกับทะเลเร้นลับอันแสนล้ำลึกเงียบสงบ
และ..
กับผิวสีน้ำผึ้งรวง
ที่ดูแสนโดดเด่น..ยามเธอก้าวล่วง
ออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า
ก่อน..
ที่เธอ..จะแย้มยิ้มยินดี ..เมื่อหันมาพบ..
สบตากับใครคนหนึ่ง...ใครบางคน..
ในกมลที่หลงเฝ้ารอมาแสนนาน..นานแสน
ร่างสูงเพรียว..ผิวสีทองแดง
ในเสื้อยืดขาวและกางเกงทหารพรานสีขี้ม้า
ที่ยืนเอามือไพล่หลัง อย่างเจนตา คุ้นใจ
ในท่ามผู้คนอลหม่านอลวนแสนวุ่นวายวายวุ่นรายรอบ
ในยามตะวันรอนรอนดวงอ่อนอ่อนแสง ...
เขา....ผู้ชายนัยน์ตา..น้ำตาลโศก
ที่ดูราวโลกจะหยุดหมุนหากยามจ้องผู้ใดนานๆ
ค่อยๆ...
ก้าวผ่านผู้คนเดินตรงมาที่เธอ..อย่างช้าช้า..
พลังกระแสอะไรบางอย่าง...
พร่างแผ่สร้านเรืองรองรายรอบร่างของคนทั้งคู่
ที่สัมผัสด้วยตาเปล่า ...คงมองมิเห็น..
เป็นความเย็นฉ่ำ สว่างไสวราวสายกระแสธารใจ
ที่เขานำติดตัวมา..ติดตามมา..
เป็นดั่งพลังรัศมีแห่งรัก เมตตา อาทร
อันแสนอุ่นเอื้ออ่อนหวาน
เสมอเสมือนดอกไม้..
ที่กำลังค่อยๆผลิแย้มบานดวงดอกตระการ
ในท่ามพงไพร ที่แสนบริสุทธิ์ใส ไกลห่างโลกมายา
พอกันกับ..
เกรียวเมฆบางเบา..
ที่แสนเหงางามรอรับพรายสายแสงสว่าง
จากรัศมีสีทอง..อันแสนละไมอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง..พอกัน
น้ำนัยน์เรียวตาสีอำพันวาบวับวิบวาว
ดั่งประกายดาว ....
ที่กำลังส่องแสงในฟากฟ้ายามคืนเดือนมืด
ราวมุกมณีนางฟ้า..ที่พร่างพ้อ ปริ่มรอริมเรียวตา
เพื่อหยาดหยด
รับมิ่งขวัญหล้าขวัญไพร
ขวัญในดวงหฤทัยแห่งการถวิลรอ
ด้วยความรู้สึกยากพรรณณา..
เมื่อ...
เขาก้าวเข้ามาชิดใกล้...ใกล้เสียจนได้กลิ่นเหงื่อรำไร
จากหนุ่มเจนไพร ..
ผู้มี..โลกละไมหอมกรุ่น
ในทุกอณูละมุน
แห่งสายเลือดรักดิบดินดายเดียวเดียวดายสมถะ
กับ..
ฟ้าพรายแสงสีครามกระจ่างไสวกับ
นิยามใจหอมงามแห่งความรักท้องทุ่งเรียวรวงสีทอง
และ...
กับหอมห้วงแห่งดวงดอก ไม้ป่าดอกไม้ไพร
ราวกับเกสรพิสุทธิ์ใสแห่งดวง ดอกกล้วยไม้ดิน
ที่...
เขาเพียรมิสิ้นท้อ..เฝ้าปลูกกอพ้อเถาวัลย์
ณ..เรือนแห่งความฝัน เรือนริมธาร
กระท่อมหวานแห่งกาลเวลา..
กับ..
สายธาราระรินๆระริกระริก
เฝ้ากระซิบกระซาบกับโขดหินอย่างแสนรักในทุกยามค่ำคืน
ใน..ยามดึกดื่นใต้เงาดาว อย่างหวานเศร้าหนาวใจ
ระรินไหล..อย่างเนิบช้า
เสมือนลีลาท่วงท่ายามนี้...ที่เขากำลังก้าวเดิน..ตรงมา
เขา..ค่อยๆเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก
ทั้งที่เธอคล้องบ่าและหิ้วไว้..อย่างสุภาพ
มืออบอุ่นทาบกับมือเรียวบาง
ให้ทั้งเขาและเธอชะงัก นิ่ง..ในท่ามกลางความวายวุ่น
ให้สัมผัสละมุนถึงพลังกระแสแห่งความเอื้ออุ่นอ่อนโยน
*ตาสบตาอีกครา*
ก่อนที่เขาจะกระซิบถาม
*เหนื่อยไหมครับคนดี*
เธอ..คลี่ยิ้มใสใสก่อนจะกล่าวคำ
*ไม่ค่ะ ดีใจตื่นเต้นเสียมากกว่าที่ได้กลับมาที่นี่ค่ะ*
เขา..ยิ้มตอบ ..
ก่อนนำเธอออกไปยังลานที่จอดรถ
แล้ว...หันมาบอกกับเธอ..
*มอ..คู่ใจคันเก่าครับ
ยินดีต้อนรับครับเจ้าหญิง
แล้วเขาก็ทำท่าผายมือเชิญ ให้เธอหัวเราะ..*
*ยังงามดีใช้การได้ดีนะคะ
ฉันคิดถึงมันค่ะ และอยากนั่งซ้อนท้ายไปกับคุณ
*คิดว่าสมบุกสมบันพากันท่องไปไหนๆจนล้อหลุดเสียแล้ว..*
เธอ..กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ...
*รับรองครับ
คนดีว่าจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
และ
ไม่มีวันที่ผมจะให้มีริ้นไรกลายกล้ำเท่าปลายก้อย
ด้วยเกียรติลูกผู้ชายชาติไพรครับรับรอง
*ว่าแต่ว่า ..คนนั่งซ้อนนะซี
จะไหวมั้ยนี่ หนทางไกลนะครับ*
เอานะ..เพราะว่าคุณไม่มีทางเลือกแล้ว*
*มาครับ
ให้ผมมัดกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะดีกว่า
คุณจะได้นั่งสบายๆ*
เธอ..ล้วงหยิบผ้าคาดผมสีส้มสดออกมาพันทบ
รวบเก็บผมไว้ก่อนทิ้งชายสยายล้อลม
พลางสวมแว่นตากันแดดลมอันเล็กกระทัดรัด
ขับใบหน้านวลให้ยิ่งเก๋ไก๋หวานแฉล้ม
ยิ่งแสนชวนมองในยามย่ำสนธยา
เขาขึ้นประจำที่คนขับ
กับอานใหญ่เบาะกว้างของเจ้า*บลูเบิร์ด
เสียงรถ..
ฮอนด้าสปีด400ครางกระหึ่มก้อง
พร้อมกระชากตัวตามแรงบิดชนิดไม่เห็นฝุ่น...
หากต้องการ ตามใจทะยานแห่งเจ้าของ
หากเที่ยวนี้ เขาคนดีคงไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงภัย
ด้วยร่างนางในดวงใจกำลังซ้อนซบไหล่
ให้หัวใจเขาแสนสะทกสะท้าน..อยู่ ณ..เบื้องหลัง
ร่างแนบร่าง ไร้สิ่งใดขวางกั้น
หัวใจเขา...กำลังทะยานหาญกล้า
พาร่างใจทะยานราวเหนือโลกโศกสุข
รอบุกสู่ป่าใหญ่ไพรกว้าง
เทือกเขา สวรรค์หวาน
ริมลำธารสายงามที่กำลังทอดตัวนิ่งรอ..อย่างแสนรัก
เขา..คนดี
ขออนุญาติเธอ..เพื่อเร่งเครื่องทำความเร็ว
หวังจะพาเธอให้ไปทันดู....
พระอาทิตย์...ที่กำลังจะลาลับเหลี่ยมผา ในบางที่
ที่มี..
อาหารทะเลสดรสดี
มีดนตรีแห่งความฝัน
กำลังรำพันรอ ..ระหว่างทาง ก่อนจะเดินทางสู่
*กระท่อมริมธาร* วิมานไพร*.. ที่กำลังจดจ่อรับ
เธอ..แย้มยิ้ม
กับพลังสดฉ่ำ จากสายลมที่กำลังไล่ประทะหน้า
กับแมกไม้ไพร
ที่กำลังโบกสะบัดราวกับคอยกวักมือเรียกเธอ
กลิ่นหอม...
ของพวงพะยอมดวงดอกไม้ป่า..
พากันแย้มเผยอกลีบ..
ออดอ้อนสายลม..มาทายทักอาคันตุกะจากแดนไกล
ที่....
พร้อมเปิดจิตวิญาณภายใน.ซึมซับรับหวานงาม
กับ..
ฟ้ากว้าง..ที่กำลังแปรสี*เป็นรัศมีสีรุ้ง*
พุ่งพรายฉายฉานตระการไปทั้วทั้งราวป่าราวไพร
เรี่ยยอดไม้ยามใกล้ตะวันลับลา
ฟ้าพยับแดดละมุน..
ค่อยหมุนกลายสีเป็นไพลโศก
ตามแรงวนของโลก...สู่ราตรีกาล
ให้ดารารายได้พรายพร่าง
มากระพริบแย้มเยือนยามราตรี
ตราบชั่วนาตาปี มิมีนาทีสิ้นสุดหยุดได้ลง..!
เขา..ค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือเธอ..
ให้เกาะเอวเขาแนบแน่นเข้า
อย่างนุ่มนวล...
มือสัมผัสกัน
ใจดวงนวลดวงงามของทั้งคู่
เริ่มหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีขอบเขตสิ่งใดมาขวางกั้น
*นอกจากพลังแห่งความรัก*
อันสูงส่งงดงามเกินหานิยามใดมาเปรียบเปรย
รักที่...ผ่านเลยจุดแห่งความสวาทหวามเสน่หา
เหนือมนตราแห่งมายาครอบครอง
มีเพียงพลังแห่งรักเมตตาปรารถนาดี
ดั่งมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม
ที่..
หวังเพียงรินร่ำน้ำใจรักให้อีกฝ่าย
ได้มีแต่ความสุขไร้ทุกข์สิ้นพันธนาจิต
ได้..
พลีมอบชีวิตณ ภายใต้ร่มพระรัตนตรัย
ที่..
แสนร่มเย็นเห็นงามเงียบสงบสะอาดสว่างไสว..
ไม่เหน็บหนาว...ไม่ร้าวราน..
ดั่งดอกบัวบานพ้นน้ำเหนือโคลนตม
รอรับสายแสงวิมุตติธรรมผสานผสมสู่จิตวิญญาณ
ให้งามพราวดั่งอัญมณี
ดั่งมีพลังสายแสงทอง
ให้สาดส่องนำทางใจ..
ไปสู่ความสว่างไสวตราบชั่วนิจนิรันดร์
เขา..
อยากจะร่ำไห้...เมื่อได้พบเธอนางใจในละเมอ
ของดวงใจพ่อนกไพรพเนจร
ที่..หวังพลีเคียงคอน...
สร้าง..*กระท่อมเรือนรังแห่งรัก*
ไว้ให้เธอได้พักพิงอิงอุ่น
สร้าง..*โลกธรรมหอมกรุ่น*..ไปด้วยกัน
ที่..
เขาเพียรพร่ำวอน ให้เธอย้อนมาเยือนที่นี่
ที่ที่เขาคนดีกำลังรอพร้อมพลียินดี..
ที่จะพาเพื่อนตายคนดี ไปพบสายแสงธรรม
จาก..
*พระภิกษุสงฆ์ชรา *
ที่ท่านธุดงค์มาปักกรดคร่ำ ณ..ในผาถ้ำ
แห่งเทือกเขาไพรที่แสนไกลห่าง
และ...
มีเพียงเขาผู้เดียวไปพานพ้อง
ราวได้พบกับ*อัญมณีสีทอง..*
ทันที่...ที่เห็นจีวรผ่องพราย
ในท่ามแสงเทียน
และ ม่านระย้าย้อยของหินงอกในถ้ำ
จากหลายค่ำคืนหนึ่งที่ผ่านมา...
พาเขาแปลกใจ
เมื่อพบ...
แสงเรื่อเรืองรำไรรำไร
ราวมีหิ่งห้อยพร้อยพราวแสงในเงื้อมเงาถ้ำไพร
ที่..
ร้อยวันพันปีจะไม่เคยมีสรรพแสง...สรรพเสียงใดลอดออกมา
นอกจาก...เพียงเสียงน้ำตกภายในเวิ้งผาถ้ำ
ที่จะพากันระรินระรินไหลอย่างเงียบๆ
อย่างเฉียบฉ่ำเย็น
จน...กลายเป็นกระแสธารผ่านออกมา
สู่ห้วยละหาร
เป็นลำธารสายบริสุทธิ์ใสในกลางไพรทรวง..
เขา...
จึงตัดสินใจพาตัวเข้าไปค้นหาความจริง
และ..
ด้วยดวงใจนิ่งงัน
ที่พลันแสนสุกใสสว่าง..ราว*ดาวดวงประกายพรึก*
ในยามดึก...
เมื่อพบภาพพระสงฆ์ชรา
หากทว่าใบหน้าแสนอาบเอิบอิ่มบุญ
ด้วยแสงเทียนทองผ่องพรรณราย
ที่กำลังพรายแสงทอกระทบดูแสนสมถะสงบงาม
ท่านนั่งสมาธิบนเนินหินเตี้ยๆ..เหนือสายน้ำ
ที่..ช่างงามแสนงาม มลังเมลือง..เกินจะกล่าว
ราวกับมี...
พลังรัศมีสีทอง
ฉายฉานทรงกลดโชติช่วงรายรอบร่างท่าน
เขา...
เฝ้าหมอบกราบนานนาที
กว่าที่ท่านจะเอ่ยคำ..ทั้งๆหลับตา
โยม..มาถูกที่แล้ว
รอสักพักนะ
อาตมาจะสวดมนต์ภาวนา..ต่ออีกนิด
แล้วเราจะได้มาคุยกัน*
บทต่อจากนั้น..
เขาจักไม่รำพันเผยเอ่ยออกมา
เพราะทุกปุจฉาจากองค์สมณะ
ที่เพียรพาให้เขาค้นหาคำตอบ
ได้ฝากศรัทธาปสาทะ
ให้หัวใจเขาที่ร้อนรุ่มเยือกเย็นลง
ราวได้พบสายธาร..น้ำอมฤตธรรม
ผ่านล้ำล่วงเข้าไปในกระแสจิต
บึงนิรมิตแห่งทิพยแห่งใจ
ที่ทำให้ เย็นใสสว่างพร่างพราย
ราวได้รับพลังแห่งอมตะนิรันดร์สวรรค์ว่างวาง
จากการที่ท่านหยิบสัจจะธรรม
บางคำสอนจากหลวงพ่อท่านพุทธทาสที่ฝากคำล้ำเลอค่า
เอาไว้ใน*นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้*
เมื่อไรจะได้...?
ท่านอาจารย์
เมื่อไร ผมจะได้ดวงจันทร์นั่น?
ตอบ..เมื่อแกรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะได้ ไม่ควรได้ ป่วยการ
เมื่อไร จะได้นิพพาน?
ตอบ..เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ควรอยากได้
ไม่มีอะไรที่ต้องได้...
ไปนิพพานทางไหน?
ตอบ..ไปทางทะลุตัวเอง
ไกลเท่าไร?
ตอบ..แค่ยาววาหนาคืบ
แต่คนไม่รู้นึกว่าเดินทางหมื่นกัลป์แสนกัลป์
ทำอย่างไร?
ตอบ..ดูทะลุปรุโปร่งตัวเอง
ในทุกแง่มุม แห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ตถาตา
และ..
นี่คือที่มา..ในวันนี้
ที่เขา..คนดีได้พลีใจ
เฝ้าเพียรเวียนวอนขอรอวันว่าง
ให้เธอได้เดินตามเขามา...หา*รอยธรรม*
อันล้ำเลอค่านี้
หากเธอยังมี..กุศลจิตบุญญาบารมีพอ..
ขอให้เธอตัดสินใจ
และ..
ในที่สุดเขาก็ไม่ผิดหวัง
เธอ..
อยู่ตรงหน้าเขานี้แล้ว..
แม่ดวงแก้ว ดวงขวัญ แม่จอมใจ
และ..
โลกในหัวใจเขาก็พลันแสนไสวสว่าง
เมื่อเขาเห็นร่างเธอมาปรากฏกาย
มานั่งชิดใกล้แค่เอื้อมมือคว้า
กำลังนั่งนิ่งๆทอดตา...ดูพรายพระอาทิตย์สนธยา
กับฟ้าใกล้ค่ำ...กับเสียงระร่ำรินภายในดวงใจเขา
ที่แสนเอมอิ่มเป็นสุข ในทุกนาทีอุทัยโลกหมุน
เธอ..
ตกอยู่ในภวังค์ฝัน
กับพรายแสงอาทิตย์
ที่..
กำลังสาดแสงสีทองกระทบยอดไม้
จนเกิดประกายวะวิบวับ
ไปทั่วทั้งท้องพนาท้องทะเล
เสียงนกกาเริ่มร่ำระงม
กับ..
สายลมรำเพยหอมหวานเย็นฉ่ำ
ราวกับมีฝนหลงฤดู
พรายสายมาจากที่แห่งใด ไม่ไกลจากที่แถวนี้
ณ..
ที่เธอทรุดตัวนั่งลง..ณ..ที่แห่งนี้
คือที่ที่เขากระซิบบอกเธอว่า
*คนดี..ผมจะพาคุณแวะบางทีก่อนนะ
ระหว่างทาง...
ก่อนที่..
จะพาเธอลัดเลาะลดเลี้ยวเข้ามาในท่ามทิวสนดงตาล
ก่อนจะ..
ค่อยๆเลียบเส้นทางเคียงขนานไปกับทะเล
ที่ เบื้องบัดนี้
แปรสีรับพรายแสงจนทั่วทั้งท้องน้ำ
แวววาวราวถูกโปรยปรายโรยด้วยกากเพชร จรัสจรุง
เขา..พุ่งรถ..
มาจอดยังหน้าร้านริมชายชลเล็กๆ
ที่หลังคามุงจาก..
หาก..ด้านหน้าจะมีชานไม้ยื่นออกไป
ชิดเคียงใกล้โอบกอดโค้งทะเลไว้อย่างรักใคร่
ให้ได้..
ฟังเสียงคลื่นคลอ พ้อลมคราง
ให้ดู..
นางนวลถลาโฉบล่าเหยื่อเหนือฟองคลื่นขาวนวล
และ..
มีแมกไม้ไทยประดับรายรอบ
ทั้ง...
โมกดอกพราว..
ทั้งหอมอวลเศร้าของลั่นทมพราวเต็มราวกิ่ง
ที่กำลังทิ้งตัวระย้าพวงดวงดอกดก
ทั้ง..
จำปี..ที่ยังเยาว์ดรุณ
หากให้ดอกหอมกรุ่น
ให้ทุกดวงใจแขกผู้มาเยือน
คงตามติดเตือนให้จำเดือนจำปีจำนาที
ที่มานั่งนะที่ตรงนี้ได้ไม่มีวันเลือน
ไหน จะแปลกนักที่ยังมีช่อฉัตรปาริชาติ
แสนพิศสวาทโรจน์แรงแดงเพลิงไปทั้งต้น
แทบมองไม่เห็นใบ
ให้ในคลองตารื้นชื้นตา
เมื่อคิดถึง เรื่องรจนากามนิตวาสิฎฐี
ที่ทำให้ระลึกชาติได้..
คล้ายมาย้อนวอนเตือน
ให้รำลึกจดจำเรื่องในหนหลังที่เคยได้ฝังฝากใจ
มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ไผ่..วางไว้
ใต้ซุ้มแมกไม้ใบบังอันให้หอมเหล่านี้
ที่..
ในยามนี้ต่างประชันขันแข่งกัน
อวดหอมพรายมากับสายลมทะเล
ที่..
กำลังเพ้อละเมอคราง
ให้มิร้างแรมรักลาเลือนไปไกลตาอีกคราครั้ง
และ...
นั่นพระอาทิตย์ดวงโต..
สีแดงฉ่ำก่ำสุกเท่ากระด้งฝัดข้าว
กำลัง..
อวดองค์ทรงรัศมีสีรุ้งพรายฉายฉาน
หาก...
ให้สีประกายหวานส้มแสดทองเจือชมพูดูพริ้งพราว
ให้มองแล้ว..
ยิ่งงามหนาวใจราวกับมาสอนสัจจะใจ
ให้..
ทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งดู
ให้รู้ทันเท่า ...เฝ้ารอวันเวลาแห่งตะวันใจ
ที่จะรอลาลับดับไป
*ราวตะวันตกดิน*
มิวันใดก็วันหนึ่ง..ซึ่งก็จะมาถึงสักวัน
คง..ไม่นานช้ากับกาลเวลาที่เวียนวน
กับลมหายใจแสนสั้นในวันนี้
ที่ใครกันนะจะหนีพ้น..
บทเพลง..*แห่งท้องทะเล..*กำลังเพ้อครวญ
มากับ..
คลื่นฝันรัญจวนยามย่ำสนธยา
กับนาทีนี้ที่แสนสุขสงบงาม...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2461.html
ทะเลไม่เคยหลับ ....ดิอิมพอสซิเบิ้ล
มอง ซิมองทะเล
เห็น ลม คลื่นเห่จูบหิน
บาง ครั้งมันบ้าบิ่น
กระแทก หินดัง ครืน ครืน
ทะเล ไม่เคยหลับไหล
ใครตอบ ได้ไหม ไฉน จึงตื่น
บาง ครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่น อยู่ร่ำ ไป
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไวั
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเล ครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับ ทะเล
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไว้
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเลครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับทะเล...
...................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4858.html
ตะวันลับฟ้า พุ่มพวง ดวงจันทร์
แสงสุริยาจวนลาเหลี่ยมโลก
ลมเย็นไผ่เอนไหวโยก
ลมโชยโบกพัดพริ้วลิ่วมา
จักจั่นเรไร หริ่งร้องก้องพนา
จวนสิ้นแสงสุริยา
ประหนึ่งว่าดนตรีสวรรค์
แสน
สุดเสียดายมองไปใจเต้น
ยามเมื่อตะวันเย็นๆ
เคยว่ายน้ำเล่นเคียงคู่ร่วมกัน
ตะวันลับฟ้าเสียงน้ำซัดซ่า
ไหลเซาะลำธาร
เคยเด็ดดอกบัวสาบาน
เห็นทุกวันแล้วเศร้าใจ
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง...
.........................
น้ำตาเธอ ค่อยๆไหลเอ่อซึม
เธอ...
ปลดผ้าผูกผมออก
ปล่อยให้..
สายลมพัดสยายปลิวไปทางเบื้องหลัง..อย่างไร้พันธนาใด
ปลดปล่อยดวงใจ...
ให้โล่งลิ่วปลิวคว้างเหนือขอบฟ้ากว้าง..น้ำจรดฟ้า
ราว..
นกนางนวลที่กำลังถลาร่อนบิน
อย่างมิถวิลอาวรณ์รอผู้ใดในท่ามโลกสีน้ำเงินงาม
ที่เวิ้งว่างร้างไร้ ....ราวแสนยินดีในดายเดียวลำพัง..ลำพัง
แม้นมิพบฝั่งฝัน ..
หากมิเคยสิ้นหวัง..ที่จะติดปีกโผบิน..มิสิ้น.เพียร
เขา..
สบตาเธอ...
ในสายลมละเมอครวญ
อวลด้วยรอยยิ้มเอื้ออุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน
*ไร้คำพูดใด*
สองดวงใจ..ปล่อยให้...
สายตาคือภาษาเงียบงาม
ที่..
งามเกินงาม..
เกินกว่า..นิยามค่าคำใด..
ที่จะเผยใจให้หลุดออกมา
ที่ไม่อาจแทนค่าความซาบซึ้งล้นใจ
เพราะถึงสักหมื่นแสนพันคำใดเล่า
ก็หาจักแทนค่าความห่วงใยเมตตาปรารถนาดี
มาอย่างยาวนานเหนือกาลกัปเวลานี้ได้ก็หาไม่..!
เธอ...
หันมายิ้มด้วยน้ำตาแทนคำว่า..
ขอบคุณซ้ำๆ
หยาดน้ำเพชร..
ที่เรียวตาคือหยาดน้ำภักดิ์ล้นค่า
ที่เธอ..คนดี..ยินดีพลีมอบ
ตอบแทนคำมากมาย ...
ที่..เขา..คงใช้ใจเพียงนั้น..สัมผัสได้
สายลมทะเลพัดละมุน
หยอกล้อพ้อลั่นทมดอกหนึ่ง..
ให้ปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง
อย่างอ้างว้างเหว่ว้าลงมาตรงหน้า*เขา*คนดีพอดี
เขา..ค่อยๆเอื้อมคว้า
และ..
ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตรงหน้า
ชิดใกล้ริมเรียวแก้มของเธอ
ที่..
กำลังคลี่แย้มยิ้มให้เขา...อย่างแสนเอื้อเอ็นดูรักใคร่ผูกพัน
เขา..ค่อยๆใช้นิ้วแข็งแรงนั้นไล้เลียบเสียบแซม
*ดอกไม้ในฝันนิรันดร์รักนิรันดร์ภักดิ์*
ทัดผมให้เธอ ..อย่างแสนทะนุถนอม..
พร้อม..พลีจูบแผ่วผิว..
ที่ปลายผมนิ่งนาน............
โลกงามเงียบงัน..!
มีเพียงคนทั้งคู่ลำพัง
กับ..
ฟากฟ้าทะเลฝัน
กับ..
เพียงพระจันทร์ ดาวดวงงาม..พลอยรับรู้..
เป็นพยาน...
ในรัก...
อันแสนงดงามงามงด..เกินกว่าผู้ใดจะล่วงรู้ได้
เธอ..ไล้ลูบมือเขานิ่งนาน
อย่างแสนอ่อนหวานอ่อนโยนพอกัน
ก่อน..
ที่จะค่อยๆยกขึ้นมาประทับรับขวัญ
ด้วยรอยจูบละเมียดละมุน...
ให้...โลกทั้งโลกหยุดหมุน..เฝ้ามอง...!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
คิดถึง กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์
จันทร์ กระจ่าง ฟ้า
นภา ประดับ ด้วยดาว
โลก สวย ราว
เนรมิต ประมวล เมืองแมน
ลม โชย กลิ่น
มาลา กระจาย ดินแดน
เปรืยบ มี แสง
คนึง ถึง น้อง นวลจันทร์
งาม ใด หนอ
จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง
เจ้า งาม ต้อง
ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน
ถ้า หาก น้อง
อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน
โลก จะ เหมือน
เมืองแมน แม่นแล้ว
นวลเอย...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html
ฉันรักเธอเสมอ ..ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล
หากตราบใด
สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง
กระทบฝั่ง ดั่งอาจิณ
เป็นนิจสิน ตราบนั้นฉันรักเธอ
เช่นตะวัน
นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน
มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์
หากตราบใด
สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง
กระทบฝั่ง ดั่งอาจิณ
เป็นนิจสิน ตราบนั้นฉันรักเธอ
เช่นตะวัน
นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน
มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์...