20 มิถุนายน 2549 14:22 น.

น้ำผึ้งภักดิ์

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
(คำมั่นสัญญา)

วันที่...
ฟ้าฉ่ำฝน ชุ่มชื่นไปทั่วทั้งผืนหล้าแลฟ้าไทย
ผม..และ..เธอคนดีสุดที่รัก กำลังเอนอิงพิงไหล่
ในเที่ยวบินที่กำลังบินตรงจากกรุงเทพสู่กรุงมนิลา


ดินแดนตากาล๊อค
ประเทศที่ประกอบด้วยเกาะจำนวน 7,107 เกาะ 
ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก 
ที่ห่างจากเอเชียแผ่นดินใหญ่
ทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 100ก.ม
และ
เป็นชาติเดียวในเอเชีย 
ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ 
เป็นชาติที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากที่สุด 
ที่มีการผสมผสานกันระหว่างตะวันตกและตะวันออก 
ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ 

อาร์โนลด์ โจเซฟ ทอยน์บี (Arnold Joseph Toynbee) 
นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้กล่าวไว้ในงานของเขาว่า 
ประเทศฟิลิปปินส์
เป็นประเทศละตินอเมริกา
ที่ถูกพัดพาไปยังตะวันออก โดยคลื่นทะเลยักษ์
.................


เหนือม่านฟ้าในระดับความสูงสามหมื่นฟุต
ที่ณ..บัดนี้นกเหล็กสีเงิน
กำลังพาผู้โดยสารนับร้อย
ลอยล่องท่องไปสู่เวิ้งนภาที่แสนงามจรัสจรุง
ด้วยพรายแสงอาทิตย์สีรุ้งกำลังกระทบเกรียวเมฆ
เสกทอสวย..งาม...จนเกินจักหาค่าคำมาบรรยาย..


ผม..กำลังกุมมือเธอแม่ยอดดวงหฤทัยของผม
ด้วยใจดวงอบอุ่นอ่อนหวานอย่างที่สุด
อย่างทะนุถนอมนุ่มนวล 
เท่าที่พลังรักทั้งมวลพึงจักมี
จากดวงใจดวงนี้ที่รักแสนรักเธอ..



เธอ..หันมาสบตาผมนิ่งนาน 
ด้วยรอยยิ้มแสนหวานซ่านเกษมสุขเต็มนัยน์ตา
ที่ทำให้ผมแสนปิติภาคภูมิใจเสมอมาว่า
ผมคือ...
ผู้บันดาลพาให้ใบหน้าแสนโศกราวรูปสลักนั้น
พลัน..กลับมีสีสันและชีวิตชีวา
อย่างน่าดีใจ...เป็นยิ่งนัก......



อาจด้วยพลังแห่งรัก
และ..
ด้วยแรงสวาทหวาม..เสน่หาระหว่างเรา 
ที่ประดุจดั่ง..พลังขั้วแม่เหล็กนับร้อยพัน
ค่อยๆ..ดึงรั้ง รัดรึง ตรึง..ให้ติดพันเข้าหากัน
เมื่อ..
สวรรค์มีตาฟ้าสั่งตรง
ราวรับรู้ในแรงจงรักอันแสนหนักแน่นมั่นคง
ในปรารถนาซื่อตรง
อันคง*เคยอธิษฐานบารมีร่วมกันมา*
ให้แม่ยอดดวงใจคนดีดั่งดวงชีวีชีวัน
มาเป็นดั่งคู่ขวัญคู่บุญแด่ผม
ให้..
ผมราวหลงตกอยู่ในหอมห้วงแห่งความฝัน
เสมอเสมือน..
*สวรรค์ลอย*มาเยือนแย้มอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ....


ผม..
เอียงริมเรียวปากไปเชยชิดตรงไรผมแม่ยอดรัก
ก่อนที่..
จะทายทักด้วยรอยจูบละมุน
ค่อยๆ...
หอมหอมดอมดอมดมดมแม่ดวงดอกไม้หวานกว่าหวาน
แกมกลิ่นดอกกล้วยไม้ที่กำลังคลี่บานอ่อนละออ....



ผม..ภูมิใจในตัวเธอ *ผู้หญิงของผม*
ที่ฟ้าดินเมตตา
ราวกับจะรู้ว่าผมหลงพะวงรอท่า
มานานแสนนานปานชั่วกาลกัปป์กัลป์เลยทีเดียว
*ผู้หญิง..*
ที่ราวภาพฝันอันแสนบรรเจิดพิลาสพิไล
ให้หัวใจผมเต้นระทึกตั้งแต่นาทีแรกที่เราได้พบกัน
ราวกับแต่ปางบรรพ์
ที่ผม..
เฝ้าพ้อเพ้อละเมอหมายมาดแสนพิสวาทไม่คลาดคลา..



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html

คำมั่นสัญญา ...พิ้งค์ แพนเตอร์ 

ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป

แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป... 
 
............



และ...
กับนาทีนี้
ที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนในหัวใจอย่างที่สุด
นอกจาก..
มิอาจหยุดรักเธอ ด้วยความแสนปิติภาคภูมิใจ
จนหาคำซึ้งใดใดมากล่าวรำพันรำพึง..มิได้
ถึงมหัศจรรย์แห่งรักนี้
ที่ผมแสนโชคดีได้รับเกียรตินั้นมา...



ราวกับจิตใสใจสองดวง
กำลังเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าช้า
ทว่า..
คือความสดใสเปล่งประกาย
ราวอัญมณีใจที่ยิ่งทรงพลัง
ด้วยมหัศจรรย์แห่งรักนี้ที่จัก
ดำรงร่างดำรงโลกดำรงใจให้ยังคงหมุนไป
ในทิศทางที่แสนยิ่งใหญ่สร้างสรร
เพื่อปันแบ่งเพื่อเพียรทำความดี


และให้สมกับที่
ดวงตาสวรรค์พลันเปิดด้วยพระเมตตาปรานี
ให้สองดวงใจ
ที่ตามหารักแท้มาแสนนานชั่วกาลกัปป์กัลป์
ได้มาพบกันเสียที
ได้มาพลีช่วยกันปันแบ่งบุญเพื่อหนุนนำ
ให้พ้นพงกรรมวิบากเก่า



ได้หลุดพ้นทุกข์หยุดสิ้นความเหงาเงียบใจ
มีแต่ไสวพร่างด้วยความปิติเกษม
ช่วยกันประคับประคอง
อย่างค่อยเป็นค่อยไป..อย่างไม่ล้าถอยที่
จะให้กำลังใจ
พายอดดวงใจให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันเป็นนิรันดร์รัก....


.............................

ฟ้าเบื้องบนนภา..รัศมีสีรุ้ง..ฉายฉาน..ส้ม..ปนเหลือง..
แสดแดงแรงร้อน..เริ่มราโรย..ในม่านเมฆ........
ซ่อนละมุนอุ่นไอ..กลมกลืน..ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม..
ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย


คล้ายดั่ง..วิมานเมฆ..
ดังทิพย์สวรรค์ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.........
ทายทัก..พักสายตา..พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม..
ตะลึงใจ..ตะไลฝันกับงามล้ำของม่านเมฆ..มนต์ขลัง
และ..
กับปาฏิหารย์รักนี้ที่รอคอย


ผม...
ค่อยๆจูบไล้ดวงหน้าอันแสนงาม
ด้วยใจดวงนี้
ที่กำลังหวานพอกันกับหยาดน้ำผึ้งพระจันทร์
ที่กำลังทอสายพรายพร่าง
ลงมาปรายโปรยอวยพรให้แด่สองเรา....
.................



				
15 มิถุนายน 2549 21:45 น.

โลกสีครามกับพระจันทร์สีน้ำเงิน..

พุด


โลกสีครามกับพระจันทร์สีน้ำเงิน
โลกสีครามยามกลางวัน..กับ พระจันทร์สีน้ำเงินในยามราตรี.... 

เกด...นั่งเรือ ฝ่าพายุ และคลื่นลม ในยามนี้ ด้วยใจดวงที่ร้าวแหลกสลาย..... 
พายุใจ กำลังกระหน่ำซ้ำเติม รุนแรงราวใจจะรานแยกแหลกยับ........ ยิ่งกว่าพายุในท้องทะเล เสียอีก 

จุดหมายคือ..เกาะเต่า...เกาะที่ยังบริสุทธิ์สวยใส ไกลจากเกาะพะงันราวสามชั่วโมง 
เป็นเกาะ ที่มี..ความงามล้ำ...ของ โลกสีครามใต้ท้องทะเล.... ที่เกด...หวังให้หันเหใจ 
ดวงนี้ หนีจาก โลกแห่งความจริง ที่ทำให้ซานซม แทบล้มตาย....... 

เกด...เลือก กระท่อม บนเนินผา เป็นที่พัก ดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง เปลี่ยวเหงา... 
พอกับใจของเกด นะนาทีนี้ที่หวังให้ธรรมชาติ เป็นเพื่อนช่วยประโลมใจ...... 

ยามกลางวัน...เกดจึงเลือกทำกิจกรรม...ดำน้ำ ให้ลืมโลก ลืมคนบนพื้นพสุธา โลกแห่งความจริง ที่เกดกำลังวิ่งหนี ที่ทำร้าย ทำลายใจเกดจนยับเยินเกินทน.... 

โลกสีคราม.....โลกใต้น้ำ ที่ทำให้...ใจเกด..สดชื่นขึ้น.... 
ใต้ทะเลสีฟ้า คราม งามด้วยสรรพสิ่ง ที่ทำให้ตื่นตา แต่พาให้ใจให้เงียบ สงบ งาม ยามดำลงไปสัมผัส.... 
หมู่ปลาหลากสี....ว่ายเข้ามาหา ราวสงสัยว่า ใครกันนะ ใต้หน้ากาก 
โลกแห่งนี้ ที่มีสีสันมากกว่า ในทีวีที่เราเห็น โลกที่มีชีวิตเคลื่อนไหว 
กระดุกกระดิก มีชีวิตชีวา ของมวลหมู่ปลาและธรรมชาติงาม....... 
ดอกไม้ใต้ทะเล....คลี่บานเป็นแส้ๆ ขึ้นมา...แสนน่ารัก.... 
ปะการัง...ยามโดนสีจากไฟ ตอนกลางคืน จะงามล้ำ เกินบรรยาย 
ปะการัง...ต้นใหญ่ ที่แตกก้านกอช่อกิ่ง ฉายแฉกงาม ราวเป็นไม้จากสรวงสวรรค์ 
ประทานมา ท้าทายให้ใจดำดิ่ง นิ่งด้วยความเลอล้ำ...ที่ธรรมชาติเสกสรรปั้นแต่ง..... 

เกดรู้..เพียงว่า สวนปะการัง กว่าจะเกิดเป็นกอ สูงสักศอก ต้องใช้เวลาประมาณ 
30ปี ...นักดำน้ำที่ดี จึงควรช่วยกัน อนุรักษ์..ไว้ดีกว่า ลงไปทำลายให้ย่อยยับ.... 
การดำน้ำที่ดี...จึงต้องมีกฏ...ให้นักดำน้ำ ได้เรียนรู้กับครูผู้ฝึกสอน.... 
ห้าม...ยิงปลา...ห้ามเก็บปะการัง.....เพราะถ้าสิ้นไร้ปะการัง ที่อยู่ของปลาตัวน้อยๆ 
กุ้ง หอย ก็พังหมด... 
ที่เกาะเต่า..แห่งนี้ จะมี...ซีอันนีโมน เป็นปะการังอ่อน และมีปลาการ์ตูนชอบว่ายวน แม้จะมีพิษ 

เกด..คิดว่า...โลกเรานี้ ไม่เคยโหดร้าย แม้โลกใต้ท้องทะเล ถ้าเรารู้จักคำว่า อุ่นโอบเอื้อ ไม่คิดทำลาย......ทำร้ายกัน..... 

และ....ในยามราตรี.....เกด ปีนลงมานั่งฟังเพลง บลู มูน..ใต้แสงดาว.....เคล้าเสียงจากเกลียวคลื่น 
กับหนุ่มแปลกหน้า มาจากดินแดนแสนไกล สวีเดน..ทั้งๆที่ไม่รู้จักเคยคุ้น... 
เพราะในยามค่ำนี้มีกันและกัน เพียงสองเรา.... 
อาหารทะเลง่ายๆ แสนอร่อย เมื่อทอดตา พักใจ ไปกันเสียงคลื่นซัดซาด หาดขาวนวล 
กับฟ้ากว้าง ทางช้างเผือก ที่ปรากฎมาเหนือฟากฟ้า.....พาใจให้คลายเหงา.... 
ลดใจดวงเศร้า ที่รานร้าว....ให้ละมุนลง...... 

หนุ่ม...สวีเดน คนไกล ต่อเทียน ที่ดับ ด้วยแรงลมเป่า..... 
เกด เห็น น้ำตาเทียน หยาดหยด เผาไหม้ เพื่อให้แสงโชนช่วง...... 
น้ำตาเทียน กับ น้ำตาเกด ในยามนี้ ยามที่คนรักบอกลา และย้ำว่า.... จะไม่มีคำว่าสองเราอีกต่อไปตราบนิจนิรันดร์ น้ำตาใจ และน้ำตาเทียน...วับวามไหวล้อประกาย ไปกับสายลมในยามค่ำ....... 

เกด..เดิน..เลาะเลียบ โขดหิน ปีนขึ้นมา บนเนินผา กระท่อมทับของเกด..... 
คลี่ผ้า....ผืนงาม นอนเอนกาย สยายผม ทายทักกับดวงดาว ที่ลอยสุกใส 
เยือนแย้มยิ้ม ตรงหน้า ใกล้ตา...ราวมือจะคว้าไขว่ได้...... 
บนแผ่นผา ชะโงกง้ำ ที่ยื่นท้าทะเลจันทร์ เบื้องล่าง และท้าทะเลใจดวงนี้ที่ร้าวระบม... 

ดาว .....เกลื่อนฟ้า พริบพราว ประกายดาวขับความมืดให้ราตรี ไม่เหงาใจ 
แสงจันทร์ สกาว นวล เป็นสายสีทองตกต้องผืนน้ำ เกิดประกายวิบวับ...วิบวับ งามจับตา แสงจันทรา แสนหวานราว สายน้ำผึ้ง โลมไล้ร่างของเกด ราวอยากให้เลิกดายเดียว 

เกดกลับมอง จันทร์งามในยามค่ำนี้ ไม่เป็นสีนวลแจ่ม อย่างเคย.... 
น้ำตารินจากใจ สู่ดวงตางาม ให้หมองหม่นจนมองเห็น พระจันทร์เป็นสีน้ำเงิน......... 
 
				
14 มิถุนายน 2549 21:29 น.

หนทางสู่รัก..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3387.html
(หนทางสู่รัก)


ตื่นมากับดาวพราย
หอมดอกไม้ร่ายมนต์ไหว
งามเงียบเฉียบเย็นในดวงใจ
กายไยมีพิษไข้รุมรุม

แดงทับทิมดั่งพิษรัก
ดื่มมากนักเลยนอนกลุ้ม
หนาวเนื้อไร้เนื้อห่มอุ่น
ละมุนเพียงเพ้อลำพัง

ดาวพ้อกระพริบวิบวับ
น้ำตาจับเรียวแก้มสิ้นหวัง
หลงทางกลางไพรเซซัง
เหลียวหลังเหลียวหน้าหาไม่มี

นิ่งฟังเนรัญชราบรรเลง
บทเพลงปลอบใจคืนนี้
มีเพียงฝันวันผ่านแสนดี
ตราบชั่วชีวีฝังรอย...

.........

น้ำค้างฝันจันทร์ดายเดียว!

คืนนี้..
ดวงอาบน้ำ...
ท่ามกลางแสงจันทร์นวลผ่อง
ราว..
โลมไล้ร่างด้วยหยาดสายน้ำผึ้งพระจันทร์
ที่ทอแสงนวลผ่องผุดพิลาสพิไล..
บนระเบียงบนระเบียงฝัน....
หวานอวลด้วยพันธุ์ไม้ไทย
ที่ส่งกลิ่นหอมร่ำราวอยู่ในพงพฤกษ์ไพร.....


น้ำใสเย็นฉ่ำ..หอมละมุนด้วย..ดอกโมกขาว 
พุดสามสี มะลิลา 
หอมนวลที่ดวงลอยลงไป
แทนโฟมอาบน้ำเคมี
ที่มีสารพิษเคลือบผิว และให้สิ้นเปลือง..สิ้นงาม...


เงยหน้า...แหงนมองท้องฟ้า..ราตรีสีกำมะหยี่ 
ราตรี..
ที่มีดาวพราวพรายฟ้า 
มี..
จันทราดวงกลมยิ้มเผล่..มาแอบดู..แอบจ้ะเอ๋กับดวง..
ดวง..
ใช้กระบวย..
ที่ทำด้วยกะลามะพร้าวของฝากจากคนดีคนไกล
ที่ไปเที่ยวชะอำและนำมาฝาก
ตั้งแต่หน้าร้อนที่แล้ว..
นำมาตักรินรดร่างสลัวเรือนราง 
จะงามแค่ไหนจันทร์เท่านั้นที่รู้..ให้สดชื่นสบายใจเป็นที่สุด..


บางคนงงงัน..ทำไม
ต้องมีพิธีกรรมอาบน้ำเย้ยฟ้าท้าแสงจันทร์ด้วยเล่า 
ที่มันหวามไหวซะไม่มี
กับชีวีคนกรุง..ที่ยุ่งยังกะลิงทั้งวัน
ที่ไม่มีเวลา..
ฝันฝากร่างฝากใจ..กับจันทร์ดวงงาม.ไม่ว่าในยามไหนๆ
ของชีวีที่แสนสับสน ค้นงามมิพบเจอ..



อยากบอกว่า...บางครั้งครา..
การทำบางสิ่งเพื่อสุขแสนดี
ที่เรารักเราชอบก็ไม่เลวนะ..
ให้..
เงียบงามก่อเกิดละมุนในร่าง
และจิตใจให้สวยให้ใสเย็น..
ไม่เหมือนใคร
 และ..
ประเพณีละมุนใจละไมฝันนี้ก็มีมานานเน


คู่กับวิถีไทย วิถีใจมาแต่โบราณ 
ยามที่เราอยู่เรือนไทย 
ที่มี...
ชานกว้างให้นอนนับดาว 
และ..
มีบันไดทอดลงท่าน้ำ
ให้ลงไปลอยคอดำผุดดำว่าย ให้สบาย สบาย 
หายเหนียวตัวรับลมร้อนมาเยือน..


มีกอราตรี
ที่หวานเศร้าจรุง
และ...
พันธุ์ไม้ไทยนานาพรรณ
พากันส่งหอมมาให้หนาวใจ 
ปลอบประโลมในยามค่ำคืน..ที่ไร้แสงสี..
มีเพียง...
เสียงจิ้งหรีดราวดนตรีธรรมชาติกล่อมฝัน..


ในยามนี้...
ยามหนาวใจ..ดวงจึงคิดถึงหยาดน้ำค้าง..ไพร
ที่ตกดึก...
คงจะพร่างพรมลงมา..
และ..นั่น..
กุหลาบ..ตูมตั้ง
กำลังรอท่าเผยอแย้มบานรอหยดน้ำค้างใส..
โน่น..
ชะบาหวานไหว...ดอกโตเท่าชามใบใหญ่...ก็คงรอคอย
ไหน..
จะพุดซ้อนอ้อยสร้อย 
ที่ซ่อนหน้าอายเอียงบานพราวเต็มต้น
นานนานหน...
ที่จะเผยอแย้มแกล้มทอนวลมาให้เชย..


ไฉนเลย..ฉะนั้น..ดวงจะควงกรรไกรมาตัดพุดซ้อน 
ให้เลิกซ่อนหน้า
พาไปประดับโต๊ะเขียนหนังสือ..
ให้..
หวานเศร้าพราวซ่อนซึ้ง
แกล้มงานเขียนที่รัก..ในค่ำคืนนี้


บ้านของดวงนี้..
บางทีไม่จะเป็นต้องหาซื้อดวงดอกไม้..
ใช้วิธีเก็บๆเอาจากรายรอบบ้าน
การะเวกมีทั้งปี จำปี ลั่มทม เล็บมือนาง 
หางนกยูงดวงดอกกระจิ๊ด
ที่บานพราวตลอด 


และ
ที่ยอดที่สุดคือ
เฟื่องฟ้าสีชมพูอมส้ม ที่บาดตาบาดอารมณ์สวยขาดใจ 
ให้...
อารมณ์ฤดูร้อนจัดจ้ามาเยี่ยมเยือนถึงในบ้าน
ไหน..
ถ้าเบื่อดอกดอก..
ก็ยังมี...*ใบกล้วย* 
ใบตองสีสวยใสเขียว
มา...เสียบในโอ่งอิงพิงฝาผนังสีส้มซันคิส..
ให้...
กระจ่างจัดจ้า
ตัดกันฉับฉับร้อนแรงแบบบ้านสไตล์เอเชี้ย.เอเชีย...
ที่..
ทำให้ใจและบ้านเบิกบาน
สราญใจเสียไม่มี...ที่ไม่ต้องลงทุน..


จันทร์ราตรีนี้...
ยังเป็นจันทร์ดวงเดิม ดวงดี ดวงงาม 
ที่ดวงดูคนเดียว เดียวดาย 
และดายเดียวแบบทุกคืนค่ำ
คิดถึง..
ดวงใจ..คนดี..คนไกล..คนไพร คนในใจดวง


ดวง...
แหงนสบตากับจันทร์แจ่ม..
หยาดน้ำผึ้งจากจันทร์
พลัน...
กระทบหยาดน้ำจากตา คนช่างฝันช่างหวั่นไหว
ที่เหงาเศร้าดายเดียว ..


ดวง
ได้แต่เฝ้า..ส่งใจฝากจันทร์
ส่งฝันฝากใจไปถึงเธอนะคนไกล
ส่ง..
ดวงใจรักและคำเพ้อแสนหวานบอกว่า..

ขอบคุณนะ..คนดี..
ที่ยังมีความจริงใจ จริงจัง 
ให้มั่นใจในรักจริง
บนโลก..ใบนี้ที่บิดเบี้ยว 
ไปตามแรงกิเลสมนุษย์มากมายมากมี
ที่..
ไม่เคยรู้จักคำว่า
*รักจริงรักแท้แน่นอนมิรู้จบ*
มี..
เพียงพบเพื่อพราก..เพื่อพลัดพรายจากอ้อมใจ 
กระเด็นไกล...
ไปในห้วงหาวแห่งรานร้าว...มิรู้จบมิรู้สิ้น


และ..
ดวงคิดถึงคำนี้ นะคนดี คนไกล...
น้ำค้างฝัน.....ที่ประดุจดังใจดวงยามนี้..
ที่..
สิ้นไร้น้ำรักมารินรด
หยดให้มีพลังใจหมุนไปกับโลกหมุนเวียน
เพื่อเสกสรรรจนางานเขียน
ให้ละเมียดใจละไมรัก..ไปนานนิรันดร์..


ดวง...
จึงแต่งกลอนสดนาทีนี้..
ที่ใจดวงระบมร้าวด้วยไร้ร้าง*น้ำค้างแห่งฝัน*
ที่จะโปรยปรายให้สดชื่นมีพลังใจ

..

น้ำค้างฝัน..
ละลายพลันพบแดดเช้าตรู่
น้ำค้างฝันหลงทางชั่วครู่
รู้รู้แดดสายมลายหายไป..

น้ำค้างฝัน..
เปรียบใจฉันไร้รักหวั่นไหว
ต้องไฟเสน่หาแผดเผาไหม้หมดใจ
ละลายหายวับไป..ไม่เหลือร่องรอย...
.......................

ใช่เลยใช่ไหมจ้ะ..
น้ำค้างฝันกับจันทร์ดายเดียว
กับ...
โลกเดียวดายในคืนนี้
ที่ยังคงมี..
แค่..
น้ำค้างจริงจากฟ้า...และ...น้ำตาจากใจชะโลมร่าง
แม้...
จะสิ้นไร้ร้าง*น้ำค้างฝัน*ชะโลมใจ!
.............


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3387.html
หนทางสู่รัก ...แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ 

แม้หัวใจยังใฝ่สุขสม
อย่าระทม ถึงรักจะไม่ แลเหลียว
รักมอบไป เพียงข้างเดียว
ถึงไร้เสี้ยว รักตอบแทน อันใด
ใคร หากทำได้เช่นนี้
ดุจสวรรค์นั้นบ่งชี้ ทางยิ่งใหญ่
ทุกแห่งหน จรดลอย่างสดใส
เพราะจิตใจกว้างไกล
ใหญ่เหลือ เส้นทาง
แต่รักในใจ ใครจะแลเห็น
ทุกข์ยากลำเค็ญ
ก็ไม่แปรเปลี่ยน เจือจาง
รักลอยไปใจอ้างว้าง
อย่าหลงทาง สร้างความหวัง นำไป
ใคร ที่ใจหักเห
เพราะทุ่มเท ให้รักไป จนล้นใจ
คาดคะเน ผิดพลาดไป
ผลจึงครองหมองใหม้
ไป่ชั่วนิจนิรันดร์
เมื่อฉันรักเธอ เธอก็รักฉัน
เราบอกรักกัน ไม่มีวันจืดจาง
แล้วเราไย ต้องเหินห่าง
ปล่อยฉันหลงทาง เสาะหารัก หลายปี
ฉัน ต้องหม่นหมาง
หาหนทาง คืนกลับสู่รัก ไม่พบสักที
โปรดเถิดรัก โปรดบ่งชี้
หนทางที่ ครองชีพนี้ รื่นรมย์
โปรดเถิดรัก โปรดบ่งชี้
หนทางที่ ครองชีพนี้ รื่นรมย์... 
 




				
13 มิถุนายน 2549 15:22 น.

ดั่งดวงมณีทองผ่องพรายทั้งแผ่นดิน..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
(สี่แผ่นดิน)


ดวง...
กำลังทอดตานิ่งนิ่ง...
ในท่าม..
ความสับสนวุ่นวายรายรอบของผู้คน 

*พสกนิกรไทย*ในวันนี้
ที่..
ดวงแสนโชคดี...ได้มีโอกาส
มายืนอยู่ตรงนี้ ที่มีทัศนียภาพแสนงาม
*คอนโดหรู ริมฝั่งฝันแม่น้ำเจ้าพระยา*
เพื่อ..
มาทอดทัศนา*ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค*


ดวง...หนีความวายวุ่น..
ไปนั่งปลีกวิเวกริมสระน้ำ
ใกล้กอโมกและ...พวงดวงดอกลีลาวดี
ที่...กำลังพลีพรมให้...หอมพร่าง

ทอดตา....อ้างว้าง...ไปยังตึกโบราณ
ที่...เคียงขนานริมชายชล
*สายน้ำใจเจ้าพระยา*
ที่ณ..บัดนี้...
คราคร่ำไปด้วยผู้คน

หากทว่า..
ยิ่งพิศดู..ยิ่ง..แสนงามกมล..
ให้ดวงแสนประทับใจ
เมื่อ..
ต่างพากันมาพลีพร้อมน้อมดวงใจ
หลอมรวมใจรวมพลังใจ
*มาถวายความจงรักภักดีที่แสนยิ่งใหญ่*..
อย่าง..พร้อมเพรียงกัน....


ใน...
เสื้อสีหลืองผ่องพรรณ...
ที่มีตราสัญญลักษณ์..เฉลิมฉลอง...
ครองราชครบ60ปี..

สีเหลือง...ทอง
ที่ดูผุดผลิผ่องพราว ราวแก้วมณีโกเมน
ราว..
เหลือง...ข้าวกล้า ในผืนนา 
ที่..
ยามลมล่องข้าวเบา
พรายพรมพัดพามาระบัดโบก
โยกไกว..ก็ยิ่งพาให้งามไสว
ดั่ง..
พรมแพรทองอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนพสุธานี้
ที่ยังมีผืนดิน..อุดม...
ให้เราชาวนา..
ยังได้พรมพร่างหว่านโปรยข้าวกล้า
พาให้ผลิเรียวรวงระย้าระยับ
งามจับตาดั่งอัญมณีสีทองสุกปลั่ง
ไปทั้งแผ่นดินอันแสนเงียบงามสงบสุข...ไร้ทุกข์ร้อนใดใด
เพราะ..
มีหัวใจดวงทองวิถีไท
ให้ห่มหอมนวลพร่างสว่างไสวเฉกเช่นกัน..


เหลือง...
ใน..สีจีวรสงฆ์..จัดจ้าแจ่มจรัส
ที่สดใสสว่าง กระจ่างแจ่มชัดในยามอรุณรุ่ง 
ยาม..
สายแสงสีดั่งมณีรุ้งสาดส่องมาทอทอดโอบกอดรวงเรียวไว้
ไล้โลมไปทั่วทั้งผืนนาผืนหล้าฟ้าไกล
ไปจนทั่วถึง..
*ไพรพงพนาป่าใหญ่*
ที่ยังหลับไหล..


ให้ลุกฟื้นตื่นขึ้นมารับพลังหวานชื่นสดฉ่ำ
*พลังแห่งธรรมชาติ*
อันอ่อนเอื้อโอบอุ่นหมุนวนวงเป็นวัฏจักร
อัน..
คือความเป็นธรรมดานิรันดร์เช่นนั้นเอง...


สายแสงแดด
ที่มา..
พ้อเพลงบรรเลงพร่างพรายดั่งมนต์รักลูกทุ่ง
ได้มาทายทัก
เขียวข้าวเขียวไพลเขียวละออละอ่อนใสใส
ในท้องทุ่ง เคียงเถียงนาขนำนา
ที่...
กบเขียดจิ้งหรีด
ยังต่างพากันร้องประลองเสียงเถียงกันสนั่นก้อง
ไปทั่วทั้งท้องร่องโค้งคุ้ง


กับ..
ฟ้าเริ่มรุ่ง รำไรรำไร
ด้วยดวงดอกแดดระยิบๆ
ที่..
พากันพริบพรายทายทักน้ำค้างฟ้าน้ำค้างแก้ว
ที่หยาดแพร้วระยิบจับเรียวรวงพริบพราย
จับตามยอดไม้ใบหญ้าใบบัว
ดั่งเกร็ดเพชรกลมกลิ้งวะวับวาว
ราวรอเวลาทิ้งรอยระเหยหาย...


แล้ว...
ค่อยวนกลับมาใหม่ ....
มิมีวันสิ้นสุดหยุดสัจจธรรม ธรรมชาติ
อันแสนพิลาสพิไลแสนบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่เกินสิ่งใดทัดทาน...
ในการ*ให้*อย่างไร้ร้องขอ 
พ้อ..
เพียง...บางครั้ง
ด้วยพลังสายน้ำท่วมพายุกล้าสึนามี
ให้มวลมนุษย์ได้รู้หยุดทำลาย
หมายรู้พิทักษ์ธรรมดำรงค่า..
ให้แสนยั่งยืนนานเพื่อตามต่อลมหายใจให้..ยังชื่น...



เหลือง..
ยามเช้า...
ที่พระสงฆ์...
ต่างพากันเดินเรียงไปตามดงตาลคันนา
เพื่อไปบำเพ็ญศาสนกิจ
ให้ทุกชีวาชีวิตได้ต่อยอดบุญ 
*ใส่บาตรเป็นเสบียงบุญทุนธรรมทาน*
ให้..
ดวงชีวีได้พบหวังหวานเบ่งบานตระการ 
*ราวกับบัวน้อยลอยชูช่อรออรุณ
*รับสายแสงทองแสงธรรม*
เพื่อได้ ธำรงรักษ์ศาสนา 
และ...
ได้ฝากดวงชีวาชีวีไว้ใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตรเพชร
ใต้..
ผืนหล้าร่มธงไท ที่ยังโบกปลิวไสวด้วยความอิสระเสรี


เหลือง....
แห่งจันทร์งามในท่ามราตรี
ที่เหนือนภาช่างแสนกระจ่างสว่างเย็น
ยาม..
พรายแสงพร่าง ทอไล้ลงมาอาบ
*ยอดพระปรางค์ปราเจดีย์ *
ให้เกิดแสงงามล้ำ
*ดั่งมณีเพชรพราวระยิบระยับ*งามจับจิตจับตา


และ
แสงนวลจากพรายพระจันทรา
ยังพร่างมาต้องจับ.งามพักตราน้อง
สะท้อนนวล..
สะท้อนหวาน..ให้แสนสะท้านใจ
ให้งามยิ่งเกินกว่าหญิงใดในพื้นปฐพี
ยามคนดี..ไปวัดเวียนเทียน
ให้..
พี่ชายที่แสนภักดิ์ได้หลงรักหลงรอ
ได้เฝ้าพ้อวนเวียนเพียรคอยเหลือบแลชะแง้หมาย
ดั่ง
*กระต่ายน้อยหลงคอยจันทร์*
ราวกับ
มนต์ขลังพลังจากสายแสงจันทร์ที่ทอดทอทับ
จับสไบนวลสไบนางนั้น
ยิ่ง..พร่างงาม
จนต้องเพ้อครางครวญ
หวนหาเพียงสไบแพรแทนใจกาย
ดั่ง..
ชายชาญโบราณ ยามพบรักภักดิ์พลี
ที่หามีไม่แล้ว..

ไหน...
ดวงทุติยมณี
ยังมิสิ้นเมตตาได้กรุณาสาดส่อง
ผ่านม่านมวลเมฆนวลนุ่มราวกลุ่มสายไหมแสนหวาน
สู่บานพระบัญชรประตูโบสถ์
มาโปรดตกต้องจับจีวรทองแห่งพระสงฆ์
ที่..
กำลังนั่งสวดมนต์สมาธิภาวนาในโบสถ์คร่ำ
ท่าม..
แสงเทียนทองทอมลังเมลืองเจรืองจรัสงามชัชวาลย์


แสงแห่งสงฆ์..
ที่ผ่องพราวพรรณรายฉายฉานโชติช่วง
ดั่งรวงแสงดาวเดือนในคืนเพ็ญ
ที่เป็นมณีโรจน์รัตน์
อัน..
จักนำทางทุกดวงใจ
ที่มีจิตดวงใสศรัทธามั่นในคำสอนแห่งพระบรมศาสดา
ที่..
พระองค์ทรงดำเนินรอยพระบาทยุรยาตรไปรอล่วงหน้าแล้ว
ให้ไป..พบ
*แดนขวัญแก้วสวรรค์สรวง..*
ล่วงพ้นพาพบบานประตูพระนิพพานไสว
หากจิตดวงใสใสเพียรมิพ่าย


ให้..ใจรู้วางว่าง ไว้
 ก็จักมิมีวันพบมืดบอดใด
หาก..
ตั้งมั่นในศรัทธา
ยึดยอดแห่งคำสอนจากพระศาสนายอดพระรัตนตรัย
ที่กำลังก้องหู
ที่...
กำลังคลอคู่แสงเทียน
เสียงธรรม มาน้อมพลี..ที่*ดั่งทางทองทอดรอ*
.....................


พบพุทธบุญเพรงสยาม..ลำน้ำน่าน
 
เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว            โพสพสรม
เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม         รุ่งคุ้ง
เหลือง...อรุณแรกขานขรม        ขมิ้นเพรียก 
เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง                 เรื่อแล้วลานสยามฯ
..................................


ดวง...
หลับตาลงช้าช้า..ช้าช้า...
แล้ว...
ราวกับได้ยินเสียงมโหรี
และ..
ภาพตรงหน้าย้อนรอยอาลัย..ให้จิตดวงไหวอาวรณ์
เสมือน..
เห็นร่างอรชรในมโนนึก
นั่งทอดร่างอยู่ตรงศาลาไทยท่าน้ำ
ในท่ามบ้านเรือนแสนสงบสุขสองฟากฝั่งคลอง


เพราะ...
ตรงข้าม
ที่*ดวง*นั่งนิ่งเงียบงามนั้น 
จะมีตึกโบราณ หลังหนึ่ง 
ราว..
คฤหาสน์ในฝันในจินตนาการอันงามตระการ 
ต้องตาต้องใจ ดวงอย่างที่สุด 

อดีตที่ผ่านมา...คงเรืองรุ่ง 
มีมโหรีขับกล่อมระทึก
ไปกับลำนำเจ้าพระยา ในยามค่ำ ที่มีงานเฉลิมฉลอง...


ดวง..
จึ่งหลับตาฝันว่า 
คงสุขนัก ถ้าได้เยือนย้อน หวนกลับไป
และ..
คงสุขล้ำ ถ้าดวงได้เป็นหนึ่งในนั้น 
นุ่งผ้าซิ่นไหมกรอมเท้า
ใส่เสื้อแขนกระบอก ปล่อยผมสยายยาว 
ทัดด้วยดอกไม้หอม เคลียแก้ม
ยามนั้น..
คงมีท่าเทียบเรือ ให้นั่งผ่อนพัก 
ทอดตาดูเรือพาย ดูสายน้ำใสไหลเย็น
ที่คงยังชื่นฉ่ำ สะอาดงาม 
และ..
อาจจะมีพระเอกในฝันก้าวขึ้นมาจากเรือเพื่อจุมพิต.....


หาก...
ลืมตาพลัน...
ฝันทั้งหลาย ก็แค่ฝัน ยากเป็นจริง 

ฝันทุกเรื่องราว 
มาบัดนี้...ทุกสรรพสิ่งแสนงาม
ถูกกาลเวลา กลืนหาย ให้มลายหายลับไปกับตา 
เหลือไว้..
เพียงตำนานใจตำนานตึกร้างราไร้ผู้คน
และ..
กับสายน้ำ เจ้าพระยาในวันนี้
ที่คงเคยเห็นความทรงจำอันหวานหอม..
และ
ในยามนี้...
มาตรแม้น..
 เจ้าพระยาเอง ยังครวญ คร่ำ ร่ำไห้ ขอรัก(รักษ์)..คืน
........................


น้ำตาดวงปริ่มๆริมเรียวตาตลอดเวลา
เมื่อ...
ดวง..รำลึกว่า.....
เหตุการณ์แห่งความงามงดนี้ 
เป็นความปลาบปลื้มปิติในดวงชีวี
ที่ยากยิ่งจะย้อนหวนคืน
เสมอเสมือน...
 สายน้ำใจเจ้าพระยาตรงหน้าดวง
ที่จำต้องไหลบ่าล่วง
ทิ้ง...
เพียงความทรงจำอันแสนฉายฉาน..


ฝากให้..
ผู้คนทั้งสองฟากฝั่งและที่ผ่านไปมา
ได้พึงรำลึกสำนึกค่าแลจดจำ
*สายน้ำรักนิรันดร์ *
ที่มาปันพลี แด่ผืนพสุธา
มา..
หล่อเลี้ยงข้าวกล้าพืชพรรณและผองชน
ให้ได้อาบดื่มกิน 
มาทายทักทุกสรรพสิ่ง 
แล้ว..
ลาลับไปกับกาลเวลา
แม้นกระทั่งร่างเรา
ก็...
จักมลายลาหายไปกับกระแสกาลใช่นาน เลย
ณ..ทุกคนดีที่รักแสนรักในกมล


และ....
ในงามเงียบกมลแห่งภวังค์ฝัน
ดวง..ราวได้ยินเสียง..
*ฟ้าดินแลสวรรค์กำลังกระซิบ...กันเหนือชั้นฟ้า..*

ปวงเหล่าทวยเทพเทวาอินทร์พรหม
ต่างพากัน
อธิษฐานจิตดั่งทิพยนิรมิต..
พลีพร้อมแสดงพลังพลานุภาพ
ที่อาบเอิบไปด้วยความปลาบปลื้มปิติเกษมโสมนัสยินดี
ที่ทรงมี..
แด่พระผู้ผ่านภพผ่านหล้าเหนือฟ้าไทย...
สำแดง...
ปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่ประสิทธิ์ประสาทพร
ให้พลเมืองโลก ได้ประจักษ์..


จึ่ง..
พากันบันดาลบันดลพลัน..!
ให้เกิดพายุกล้า พัดแรง
แล้ว...
หลั่งสายพระสิโนทก
ให้ตกต้องปรายโปรยอวยพร
อาบไปทั่วทั้งผืนน้ำเจ้าพระยามหานทีทอง


ที่..
กำลังจะรองรับ*ขบวนเรือพยุหยาตรา 
ที่จักลีลามาอย่างพญาหงส์..
อันแสนทรงเกริกเกียรติเกรียงไกรยิ่งใหญ่อลังการ..
ให้...
ผองชนคนในสุวรรณภูมิพุทธิ์ไทย
ที่ณ..วันนี้ ต่างมีดวงจิตแสนพิสุทธิ์ใส
ได้มา..
นั่งน้อมสำนึกรำลึกรู้ ในพระมหากรุณาบุญญาธิคุณ
แห่งพระพ่อหลวง
พระในดวงใจแห่งกมลทุกคนไทยมาแสนยาวนานนัก
แลจักเป็นเช่นนี้..
ตราบชั่วนิจนิรันดร์...ตราบชั่ววันฟ้าดินสลาย
......................


หยาดน้ำค้างแก้วน้ำค้างฟ้า
จึง..
พรายพัดมากับพายุกล้าจากพยับโพยมบน
ที่ต่างพากันมาพัดสรรเสริญพระบารมี 
อย่างเป็นที่..
*มหัศจรรย์บันดาลบันดล..*
ไปทั่วเวหน..หาว..
ให้..
พราวฉ่ำราวหยาดน้ำทิพย์
น้ำทองจากคลองใจแห่งพระองค์ท่าน
ที่ทรงประทานแด่คนไทย
ให้วักจิบดื่มกิน มิสิ้นหยาดน้ำทิพย์จากจิตเกษมใส
อย่างมิมีวันสิ้นสุด..


แล..
ไม่นาน...
ม่านฟ้าสลัวที่มัวหม่นก็..พลันเปิด 
ให้ฟ้าไทยยิ่งใสว่างสว่างเย็น
ดั่ง..
สายน้ำใจเจ้าพระยาที่ยังคงไหลเย็นไหลละล่อง
พาไทยท่องผ่านทุกข์ทุกวิปโยค
มาสอนโศกสุข...
ที่ผ่านมาคลุกเคล้าหนาวร้อนทุกหย่อมหญ้า


ให้รู้ว่า...
ความรักแผ่นดินและการเสียสละ 
รู้หันหน้ามาปรองดองสมานฉันท์กัน
ให้รู้ยอมรับ รู้จักรู้จำทำใจ
เพียรแก้ไขในสิ่งผิด และรู้คิดดี พูดดี ทำดี
พลีให้กับ..
บ้านกับเมือง..ที่แสนสุขสงบร่มเย็น
จน..
ทั่วหล้าโลกต่างพากันอิจฉา
ที่เราคนไทยต่างได้พากันมาเกิด
ในผืนดินอุดม..
ใต้ร่มฟ้าร่มรัตน์ร่มเศวตรฉัตรเพชรกางกั้นเกศ
ที่ช่างแสนหายากเย็นในพื้นปฐพี
ที่จัก..
ได้พบสิ่งแสนดีแสนยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน


ราวกับ..
จักมาปันพลีมาสอนสัจจะใจ
ให้มวลมนุษย์ได้พบบทเรียนใจ
ว่าแท้เที่ยงแล้วไซร้
ความยิ่งใหญ่ที่จริงแท้
ก็คือ..
พลังแห่งธรรม ธรรมชาติ ที่จักสถิตสถาวร
พลังแห่งความรัก สามัคคี 
พลังแห่งความดีความงาม
เพื่อ..
พลีพร้อมรู้รักษ์ให้*โลกนี้จักเป็นหนึ่งเดียว*
ไม่เกี่ยวไม่เก่าไปกับกาลเวลา
และ..
ถึงมาตรแม้นว่า...
โลกอาจจะหมุนช้าลงก็คงจักดีกว่าขาดเกรียว
แลเหลียวไปพบเพียงความวิปโยค..โศกสะเทือน
.....................



สายน้ำใจเจ้าพระยาที่ดั่งมหานทีทอง
ไหลล่องผ่านครรลองบ้านเมือง
ย้อนยุคมาทุกสมัยรัชกาล

*อยุธยาโบราณ*
ยามบุญมาหนีทัพพม่า
ในคืนที่ฟ้าไทในกรุงศรีอยุธยาแดงโชติช่วงฉายฉาน
ปานประหนึ่งอาบท่วมไปด้วยเลือด เลือด..และเลือด..!!!!!

มีเพียงม่านควันไฟลุกโพลงโหมไหม้
ทำลายบ้านเรือนวัดวาอาราม
ที่แสนมลังเมลืองอลังการ
ปานทิพยวิมานสวรรค์สรวงมาเยือนหล้า...อย่างย่อยยับ..!!!!!
เหลือ...
เพียงทรากปรักหักพังในชั่วพริบตา.....!!!!


ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
อันโหยหวน เสียงอาวุธ กระทบกัน ทั้ง  หอก ดาบ ปีนคาบศิลา

และ..
ที่ตามมา...คือ...กลิ่นคาวเลือด...และซากศพนับหมื่นพัน
ทั้งไทยพม่าที่ฟาดฟันกันอย่างไร้ปรานี..ปล่อยให้ชีวีหลุดลอยปลิดปลิว
ตายไปในสมรภูมิรบ..ราวใบไม้ร่วง
ถมซ้อนทับกัน..จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร..!!!!! 


ไหนจะเสียงร้องระงม...ตามหากันจ้าละหวั่น
เพื่อให้หนีภยันตรายอันหมายถึงชีวิตให้พ้นผองภัย

ทั้งเด็กผู้หญิงที่จักถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานี 
อย่างที่มิสามารถจะปกป้องตนเองได้

ความโหดร้ายเหี้ยมเกรียม  ทารุณในสนามรบ .!
ไฟที่กำลังคุโพลง..!สว่างจ้า  ราวกลางวัน

 หากทว่าในดวงใจไททุกดวงราววัน*แห่งอาทิตย์อับแสง..!!! *
แฝงด้วยความโศกาอาดูรพูนเทวษ 

จนน้ำตาก็ไร้ค่ามิพอที่จะหลั่งรินสังเวย..ทั่วทั้งปฐพี!!!!


มีเพียงใจดวงหนาวร้าวระกำช้ำลึกอย่างยากที่จะเยียวยา..!!!!

ราวกับสิ้นทั้งโลกหล้า 
ฟ้า แล ดิน..สิ้นอินทร์พรหม ยมพญา
พลอยพากันวิปโยคโศกสะเทือน...โหยไห้..ร่ำหา..ครางครวญ
อวลกลบกลืนไปทั้งผืนฟ้า........อยุธยาธานี 

ที่ ณ..บัดนี้..ร้างไร้...
คล้ายเหลือเพียงจิตวิญญาณ

ที่ลอยล่อง อย่าง...เจ็บช้ำ เจ็บแปลบ แสบแสน ในโศกนาฎกรรมนี้

ที่มิอาจพลี จิตร่างรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานได้.....!!!!!
....................
..............................
และ
ใครอยากติดตามต่อก็ไปอ่านต่อที่ดวงได้พลีรจนาฝากไว้นะ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem76049.html
(แผ่นดินของเรา)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem38124.html
(ฝันเศร้ากับเจ้าพระยา)




กลับมา....นาทีนี้....
ที่ดวงกำลังมีเวลาทอดทัศนา รายรอบ ..
จะมองเห็น วิวทิวทัศน์ วัดวา
ยอดหลังคาโบสถ์อร่ามเรือง เลื่อมพรายพราวดั่งทองทา

โน่น พระบรมมหาราชวัง 
และ....นั่น....
วัดพระแก้ว ในยามค่ำ จะมลังเมลือง
พราวพร่าง งามระยับจับนัยน์ตา 
ราวเมืองฟ้า เมืองสวรรค์ ที่ฟ้านี้ประทานให้
...................


ตะวันนวลด้วยพรายแดดอ่อนอุ่น ในทิวา 
รอนรอนล้าอ่อนอ่อนแสง 
ที่ใกล้ลาลับไปกับผืนน้ำสีทองของเจ้าพระยา..


และแล้ว..
พลัน...
นาทีแห่งปาฏิหารย์รักมหัศจรรย์รอ
อันคือ..
ความยิ่งใหญ่เหนือชีวิตจิตใจแห่งปวงพสกนิกรไทย
ที่ได้มารอเฝ้าดู
*ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค*
ก็ได้เริ่มต้น....

เรือพระที่นั่งลำแล้วลำเล่า..ที่ผ่านตาดวงไป
ความอลังการอันแสนงดงาม
เกินหาค่าคำใดมาเทียบเทียมได้
นอกจาก..
ต้องอัญเชิญบทกวีของบรมยอดกวีศรีแผ่นดินอยุธยา
*เจ้าฟ้ากุ้ง*มาบันทึกไว้ณ..ที่นี้


   ปางเสด็จประเวศด้าว           ชลาไลย
ทรงรัตนพิมานไชย                 กิ่งแก้ว 
    พรั่งพร้อมพวกพลไกร         แหนแห่ 
เรือกระบวนต้นแพร้ว             เพริศพริ้งพายทอง ฯ 

       ช้าลวะเห่ 
   พระเสด็จโดยแดนชล          ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย 
กิ่งแก้วแพร้วพรรณราย          พายอ่อนหยับจับงามงอน ค 
    นาวาแน่นเป็นขนัด            ล้วนรูปสัตว์แสนยากร 
 เรือลิ่วปลิวธงสลอน                 สาครสั่นครั้นครื้นฟอง
    เรือครุฑยุดนาคหิ้ว              ลิ่วลอยมาพาผันผยอง 
พลพายกรายพายทอง              ร้องโห่เห่โอ้เห่มา 
      สรมุขมุขสี่ด้าน                   เพียงพิมานผ่านเมฆา 
ม่านกรองทองรจนา                 หลังคาแดงแย่งมังกร 
     สมรรถไชยไกรกาบแก้ว    แสงแวววับจับสาคร
เรียบเรียงเคียงคู่จร                ดังร่อนฟ้ามาแดนดิน

     สุวรรณหงส์ทรงภู่ห้อย         งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ 
เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์          ลินลาศเลือนเตือนตาชม
           เรือไชยไวว่องวิ่ง          รวดเร็วจริงยิ่งอย่างลม 
เสียงเส้าเร้าระดม                    ห่มท้ายเยิ่นเดินคู่กัน ฯ 
            
มูละเห่
      คชสีทีผาดเผ่น                   ดูดังเป็นเห็นขบขัน 
 ราชสีห์ทียืนยัน                       คั่นสองคู่ดูยิ่งยง
       เรือม้าหน้ามุ่งน้ำ               แล่นเฉื่อยฉ่ำลำระหง 
 เพียงม้าอาชาทรง                    องค์พระพายผายผันผยอง
        เรือสิงห์วิ่งเผ่นโผน          โจนตามคลื่นฝืนฝาฟอง 
ดูยิ่งสิงห์ลำพอง                         เป็นแถวท่องล่องตามกัน 
       นาคาหน้าดังเป็น               ดูขะเม่นเห็นขบขัน 
มังกรถอนพายพัน                    ทันแข่งหน้าวาสุกรี 
        เลียงผาง่าเท้าโผน            เพียงโจนไปในวารี 
นาวาหน้าอินทรีย์                     ที่ปีกเหมือนเลื่อนลอยโพยม 
         ดนตรีมี่อึงอล                   ก้องกาหลพลแห่โหม 
โห่ฮึกครึกครื้นโครม                 โสมนัสชื่นรื่นเริงพล 
        กรีฑาหมู่นาเวศ                จากนคเรศโดยสาชล 
เหิมหื่นชื่นกระมล                     ยลมัจฉาสารพันมี ฯ 
.........................



หันมาอีกที..
เมื่อ..
*ขบวนเรือแห่งความงามยิ่งใหญ่*
ที่ทำให้น้ำตาดวงซึมซึ้งด้วยตื้นตัน
อย่างแสนเกษมปลาบปลื้มปิติใจ
อย่างคน..
ที่มีนวลใจ..รักแสนรักซึ้งแสนซึ้ง..เข้าถึงแสนเข้าถึง
ในทุกวัฒนธรรมประเพณี 
ทุกราวเรื่องแสนงามแสนดี
ที่..
บรรพบุรุษไทยเราได้พลีมอบไว้
*ให้เป็นมรดกทางจิตวิญญาณ*
ผ่านกาลกัปป์สมัยมาหลายยุคสมัย


อัน..
คือวิถีไทยวิถีทองครรลอง
ให้สายเลือด
ที่หล่อหลอมให้เรายังมีดวงใจละไมละมุนละเมียด
รักความประณีตความสงบสุข
ไม่รุกเร้าเร่งร้อน
ไปด้วย..ไฟฟอนแห่งโลกโลกาภิวัฒน์
ที่..
กำลังลุกพร่างไหม้โหม
ให้มวลมนุษย์มนามากมาย
ต่างพากันเวียนว่ายพบทุกข์ 
ไร้สุขเกษมสมถะ รู้รักความพอดี 
พอใจ  พอเพียง เงียบงามอย่างในอดีต
เสียง..
เสภาบทเห่ชมเรือและพระบารมี
ยังก้องไพเราะ
พร้อม..
กรับบัณเฑาะว์เคาะขยับตาม
ยิ่ง..ให้งามเย็นงามฉ่ำงามล้ำลึกดื่มด่ำ
ด้วย..
พลังแห่งความรักชาติรักแผ่นดิน
ยิ่งแสนซาบซึ้งตระหนักสำนึกนักในนึกนวลใจ
ในค่าคำคนไทย ข้าแผ่นดิน..
อัน..แสนภาคภูมิใจเกินกล่าว..คำใดอธิบายได้แล้ว
นอกจาก..
พลีแพรวหยาดน้ำตาพร่างพรู
ให้ฟ้าดินรับรู้อย่างดายเดียว..



และ....
ในยามนี้...
ราตรีนี้ของเจ้าพระยา 
จะมีไฟพริบพริบ ระยิบระยับ
งามจับตา จากเรือลำน้อยลำใหญ่ 
และ..
มี*กระทงสายพรายพร้อย*นับพัน
พร้อมด้วยแสงเทียนทองทอ
ท่องเหนือสายน้ำสีทองงามพราวแพรวแจ่มจรัส
งามชัดบรรจงจิตดั่งทิพยนิรมิต
ในหอมห้วงแห่งหัวใจนิรันดร์กาล


และ
พร้อม*โคมลอย*นับร้อยพร่างแสงจะพากัน
แข่งขึ้นเหนือราวฟ้า 
ระบัดโบกวะวูบไหวไปตามแรงลมบน..ส่ง..
.................



ดวงตะวัน...กำลัง...จะลับลา 
ก็คงแค่ชั่วคืน ก็คงหวนกลับ มาชื่นฟ้าใหม่
มาทายทักปลอบประโลมใจพสกนิกรไทยทั่วหล้า
พร้อม..
สายน้ำใจเจ้าพระยา
ว่า ...
อย่าได้หวั่นไหว ให้กำลังใจ 
อย่าอ่อนแอ อย่ารอรา ด้วยยังไม่สิ้นหวัง
ว่า..
 สักวันหนึ่งคงมีคนรู้รักษ์ รู้คุณค่าเพิ่มมากขึ้น 
ของลำนำลำน้ำแห่งชีวิตนี้ 
ที่ชื่อเจ้าพระยา......


และ...
สำหรับดวงขอฝากบทเพลงแสนดี นี้
ไว้ในใจของทุกคนดีในดวงใจดวงด้วยนะคะ 
หวังว่า...
จะรู้รักสามัคคีสมานฉันท์
รู้คิดดี พูดดี ทำดี พลีเพื่อแผ่นดินไท
และ..
รู้รักกันไปไม่มีวันเสื่อมคลาย..
ดั่ง..
พระบรมราโชวาทที่ทรงฝากไว้
เพื่อ..เป็นดั่งมิ่งขวัญกำลังใจ


ดวงกราบวอนไหว้
เทพยดาฟ้าดิน
องค์พระบุรพกษัตริย์เจ้า
และ..
ทุกดวงวิญญาณบรรพชนคนไทยของชาติ
วีรบุรุษผู้กล้า
ผู้ยอมทอดร่างสละเลือดแลดวงชีวา
และ เพื่อพิทักษ์ปกป้อง
ให้เราลูกหลานไทย
ยังได้มีแผ่นดินธรรมผืนดินทอง
ได้หยัดยืน อย่างทรนงแลภาคภูมิในอิสราธำรง
ให้..
เรายังมีค่าคน ..ได้ดำรงลมหายใจไว้
เพื่อสร้างสรรเสียสละ
และ..
พร้อมพลีจะเป็น*ผู้ให้*
แด่ผองเพื่อนไทยผู้ยากไร้เสียยิ่งกว่า..
ที่เกิดมาร่วมแผ่นดินเดียวกันอย่างพร้อมปันพลี


และ..
ดวงขออธิษฐาน
ให้ทุกดวงใจสวยใสดั่ง
*สายน้ำใจแห่งเจ้าพระยา..*
ที่แสนมีมนต์ขลัง
ที่ประดุจดังคู่ใจ คู่ไทย เรามาเนิ่นนาน 
ให้ใจเรากล้าหาญ
ที่จะปองมั่นดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
*ดั่งความฝันอันสูงสุด*
อย่างมิคลาดคลา นะทุกดวงใจที่รัก
แล..
จักเป็นปิติศรัทธาภักดิ์..ตราบชั่วนิจนิรันดร์...!
..........................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
(สี่แผ่นดิน)
คนมี ชีวิตและกายา
ถือ กำเนิดเกิดมา
เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย
ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน
เป็นแดน ที่ให้ชีวา
พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน
คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน
เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน

ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน...
.............


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
(ลุ่มเจ้าพระยา)

ลุ่มเจ้าพระยา เห็นสายธาราไหลล่อง
เพียงแต่มอง หัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เราเกิดมา ผูกใจรักกัน ดีกว่า
เพราะว่าชีวาแสนสั้น
เราอย่าได้กระเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอันสุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชยชิดมั่น
จงผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็นเหมือนเช่นนกไพร
ที่เหินบินคู่กันไป
หัวใจ....คู่กัน



				
11 มิถุนายน 2549 20:45 น.

เพียงรอ..ภิรมย์..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
(คิดถึง)



อุษาวดี
ที่แสนยิ่งใหญ่งดงาม
กับ..
ฟ้าไทขลิบทองผ่องพรรณราย
มาหลายวันแล้วในดวงใจพสกนิกรไทยทุกดวง


และ..
เช้านี้แม่ดวงดอกพุดไพรพุดซ้อนพาร่างอรชรไปวัด
ไปทำบุญตักบาตร 
และ..
ถวายมาลัยพวงดวงดอกไม้หอมกรุ่นกำจาย
แทนความจงรักภักดี 
พลีแด่พ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทยแห่งแผ่นดิน
ที่พุดไพรน้ำตาระรินมาสองวันแล้ว
ด้วยความกตัญญูสำนึกรู้ในพระคุณ
ด้วยความปิติเกษมมากล้นเกินรำพันรำพึง..


และ..
น้ำตาที่ไหลพรูทั่วหน้า ทั่วหล้าฟ้าไทยนั้น
คือ..
น้ำตาจากทุกดวงใจที่ยังน้อยไป..
เมื่อเทียบกับ
ความรักที่แสนยิ่งใหญ่
ที่พระองค์ได้ทรงพลีอุทิศพระวรกาย
ได้..
ทรงย่ำรอยพระบาท
อย่างแสนเหนื่อยยากขึ้นเขาลงห้วย
ฝากหยดพระเสโททองให้หยาดรินมิสิ้นสาย
เพื่อพัฒนาชาติให้ลูกหลานไทยได้มีกิน
ได้มีแผ่นดินไท แผ่นดินธรรม ดำรง...ธำรง..
ให้ได้ทรนงหยัดยืนอย่างปิติภาคภูมิ...


และ..
ยามสนธยากับฟ้าใกล้ค่ำ
เหนือพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว
ที่ไพล..
มีบุญวาสนาได้ชมพระบารมีอีกคราครั้ง
ดั่ง..
แลเห็น..
*ดวงแก้วงามจรัสผ่องรัศมีบุญญาภินิหาร*
พาให้หัวใจดวงละมุน
ราวกับ..
ได้รับพลังพระเมตตาบารมี
ที่เกินจักหาคำใดมากเทียบค่า
แทน...ความรู้สึกอันแสนล้ำลึก
ด้วยความเอมอิ่มยิ่งใหญ่..นี้ได้
นอกเสียจาก..
ได้แต่ตั้งจิตสงบนิ่งสวดมนต์อธิษฐานจิตภาวนา
ช่วงรอเวลาส่งเสด็จ..ให้..ทวยเทพเทวา
และ..
สิ่งสักดิ์สิทธิ์ทั่วหล้าโลก
นิรมิตบันดาลให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ
ทรงพระเจริญ...


และ..ในท่าม..เบื้องหน้าพระมหาเจดีย์สีทองแพรวพราย
ราวอัญมณีเพชร..
ที่ในยามนี้กำลังถูกอาบไล้ด้วยสายแสงพระสุริยา
จน..
สะท้อนแสงให้แสนงามตรึงตา ตรึงใจ
ราวกับหัวใจร่างได้ย้อนรอยกลับไป
*สู่อยุธยาราชธานี*
ที่บ้านเรือนยังสงบงามเงียบร่มเย็น
เต็มไปด้วยโบสถ์เจดีย์ทองระดะฟ้า
ที่ณ..
เวลานี้นั้นใจไพลราวกับได้ยินเสียงมโหรีกำลังบรรเลง
เพลงบทเสภาแสนหวานเศร้าเคล้าลมลอยละล่องมา........


นิราศนรินทร์...

           นิราศนรินทร์

                อยุธยายศล่มแล้ว                     ลอยสวรรค์ ลงฤา
           สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร                เจิดหล้า
           บุญเพรงพระหากสรรค์                 ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
           บังอบายเบิกฟ้า                             ฝึกฟื้นใจเมือง

                 เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น             พันแสง
           รินรสพระธรรมแสดง                     ค่ำเช้า
           เจดีย์ระดะแซง                              เสียดยอด
           ยลยิ่งแสงแก้วเก้า                          แก่นหล้าหลากสวรรค์

                โบสถ์ระเบียงมรฑปพื้น             ไพหาร
           ธรรมาสน์ศาลาลาน                        พระแผ้ว
           หอไตรระฆังขาน                            ภายค่ำ
          ไขประทีปโคมแก้ว                          ก่ำฟ้าเฟือนจันทร์

                 เสร็จสารพระยศซ้อง              สรรเสริญ
          ไป่แจ่มใจจำเริญ                          ร่ำอ้าง
           ตราตรอมตระโมจเหิน                  หวนสวาท
           อกวะหวิวหวั่นร้าง                         รีบร้อนการณรงค์

                   แถลงปางบำราศห้อง            โหยครวญ
           เสนาะเสน่ห์กำสรวล                    สั่งแก้ว
          โอบองค์ผอูนอวล                          ออกโอษฐ์ อรเอย
           ยามหนึ่งฤาแคล้วแคล้ว               คลาดคล้ายขวบปี

                  รอยบุญเราร่วมพ้อง             พบกัน
           บาปแบ่งสองทำทัน                      เท่าสร้าง
           เพรงพรากสัตว์จำผัน                  พลัดคู่ เขาฤา
           บุญร่วมบาปจำร้าง                       นุชร้างเรียมไกล

                  จำใจจากแม่เปลื้อง               ปลิดอก อรเอย
           เยียวว่าแดเดียวยก                      แยกได้
           สองซีกแล่งทรวงตก                     แตกภาค ออกแม่
           ภาคพี่ไปหนึ่งไว้                           แนบเนื้อนวลถนอม

                    โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ             แลโลม โลกเอย
           แม้ว่ามีกิ่งโพยม                           ยื่นหล้า
           แขวนขวัญนุชชูโฉม                     แมกเมฆ ไว้แม่
           กีดบ่มีกิ่งฟ้า                                  ฝากน้องนางเดียว

                     โฉมควรจักฝากฟ้า              ฤาดิน ดีฤา
           เกรงเทพไท้ธรณินทร์                    ลอบกล้ำ
           ฝากลมเลื่อนโฉมบิน                      บนเล่า นะแม่
           ลมจะชายชักช้ำ                              ชอกเนื้อเรียมสงวน

                     ฝากอุมาสมรแม่แล้               ลักษมี เล่านา
           ทราบสวยมภูวจักรี                          เกลือกใกล้
           เรียมคิดจบจนตรี                           โลกล่วง แล้วแม่
          โฉมฝากใจแม่ได้                             ยิ่งด้วยใครครอง

                     บรรจถรณ์หมอนม่านมุ้ง        เตียงสมร
           เตียงช่วยเตือนนุชนอน                   แท่นน้อง
           ฉุกโฉมแม่จักจร                             จากม่าน มาแฮ
           ม่านอย่าเบิกบังห้อง                         หับให้คอยหน

...................



ไพล...เดินดายเดียว...
ไปตามเส้นทางสายงาม
ที่ได้กลิ่นระรินระริน
หอมหอมหวานหวานของดวงดอกลั่นทม
ที่กำลังร่วงพรมพร่างพราวพื้นอย่างเศร้าสร้อย...
และ....
ลัดเลาะเลี้ยวไป
*คอนโดริมฝั่งฝัน เจ้าพระยาดั่งธาราสวรรค์*
เพื่อขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า 
ที่..ณ  นาทีตรงนั้นคือยามค่ำแล้ว..


ไพล..ยืนรับลมหนาวเคียงราวฟ้า บนตึกสูงชั้นที่19
ใกล้กัน..
คือสะพานแขวนพระรามแปด
ที่..
บัดนี้..
*แสงอัจกลับแก้วแกมเพชรแพรวโพยมพยับ
ทอดจับผืนน้ำดั่งทองทาบทา
บนแผ่นดินรัตนโกสินทร์
ที่ในลึกล้ำอาวรณ์ถวิลแห่งใจดวงรักงามโบราณ
หวานดายเดียว
ที่ช่างแสนงามจับตา 
เหนือนภากรุงเทพเมืองฟ้าอมร
ที่กำลังพร่างระยิบระยับด้วยแสงไฟหลากสี
แลดู..
ราวเมืองสวรรค์ลอยเลื่อนมาเยือนมาเยี่ยมหล้า
และฟากฟ้า..
ที่กำลังประดับด้วยไฟพลุพราว
เหนือพระบรมมหาราชวัง
อันแสนงามมลังเมลืองในยามราตรี


ที่...แม้นมวลดาวดวงดาริกา
ยังต้องลี้หลบหาย
ให้พรายแสงแห่งพลุไฟสี
ได้พลีส่งแสงแข่งกันกระจาย
ราว...
ดอกไม้เพชรดอกไม้ทอง
ผ่องพวงพราวพรายคล้ายเรียวรวงระยับระย้างามจับตา
บ้างก็คล้ายรัศมีดาราแผ่ไปในเวิ้งฟ้าหอมห้วงอนันตกาล
ปานวิมานแมนวิมานเมือง
ให้แสนประเทืองประทับใจ..


และ
กับหยาดน้ำตาเอ่อซึม
ด้วยแรงรักซาบซึ้งภาคภูมิปิติใจในความมีโชค
ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
ภายใต้ร่มรัตน์ร่มพระฉัตรเพชร
และ....
กับ...
ความรู้สึกดายเดียวหากแสนสุขสงบงาม
ท่ามโลกหมุนอีกคราและอีกครา...
ในราตรีนี้...
ที่ดวงชีวาชีวีไพลสิ้นไร้ใครเคียงขวัญ..มาปันพลี
ใน...
นาทีแสนยิ่งใหญ่ปาฏิหารย์แห่งความงามนั้น
ที่...
ไพลได้แต่หลั่งน้ำตา...
เพียง...
ให้ฟ้า..แลสวรรค์เบื้องบนได้รับรู้..ปลอบประโลม..
เพียงรอ..ภิรมย์...ลำพัง...!
........................



อ่านแกล้ม..
บทรจนานานมาเกี่ยวกับ
ริมเจ้าพระยาฝั่งฝันค่ะ

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem71714.html
ลีลาวดีมณีรุ้ง
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem38124.html
ฝันเศร้ากับเจ้าพระยา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem37791.html
สายใจเจ้าพระยา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem36493.html
เช้าวันอาทิตย์

......................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
คิดถึง ..กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์

จันทร์ กระจ่าง ฟ้า
นภา ประดับ ด้วยดาว
โลก สวย ราว
เนรมิต ประมวล เมืองแมน
ลม โชย กลิ่น
มาลา กระจาย ดินแดน
เปรืยบ มี แสง
คนึง ถึง น้อง นวลจันทร์

งาม ใด หนอ
จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง
เจ้า งาม ต้อง
ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน
ถ้า หาก น้อง
อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน
โลก จะ เหมือน
เมืองแมน แม่นแล้ว
นวลเอย...


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด