18 พฤษภาคม 2549 10:12 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song12.html
ชั่วฟ้าดินสลาย
ราตรีนี้
ไร้สิ้นแสงจันทรา
ในท่ามม่านฟ้าหม่นมัวเทาทึม
ก่อให้เกิด..
อารมณ์ผัสสะ..เศร้าซึ้ง
หนาวนวลในเนื้อใจ..อย่างที่สุดแล้ว
แก้ว...คู่ใจคู่วิมานดินยังเคียงขวัญเคียงข้าง
มิให้อ้างว้าง ร้างไร้
ราวรอผลิดอก..กระซิบบอกรับรู้..
ปลอบประโลมเสมอมา..
พอกับ*จำปี*นานปี..
ที่ ณ..วันนี้..นาทีนี้ ราตรีนี้..
ก็..
ยังผลิใบเขียวไพลละออพ้อสายฝนพรำ
ยืนต้น..อย่างหนักแน่นมั่นคง
รับ...สายฝนสายฝันสายวสันต์สวรรค์หยาด
ซึ่งพลี...มาจาก..
หยดน้ำพระทัยมากพระเมตตาแห่งธารน้ำใจ*พระพิรุณ*
กี่ปี..แล้วสิหนอ...
ที่ยังให้หอมกรุ่นกลางกมลเธอ
ในท่ามวนเมือง วังอลวน
ให้
เธอ..คนดี..รู้อด รู้ทน..สู้ อยู่ในท่ามโลกแล้งไร้
คล้ายปลอบประโลม
ให้เธอรับแรงบ่าโหมจากทุกสรรพทุกข์สรรพภัย..
จากมากผู้คน ที่สิ้นไร้น้ำใจไมตรี
ไม่รักกันฉันท์มิ่งมิตรน้องพี่
อย่างรู้รักสามัคคีปรองดอง
ตามคำของ*พระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย*
เพื่อพัฒนาให้จิตไสวลอยล่อง
ท่องไปสู่แดนดินแห่งความว่างกระจ่างสว่างสงบ
พบเพียงความสุขนิรันดร์..
ในหนาวนวล ใจนึกในยามดึกน้ำค้างพรม
กับ..
สายลมรำเพย
เผยกลิ่นอวลแห่งมากมวลดวงดอกไม้ไทย
เธอ..เดินดอมดวงดอกไม้
ที่กำลังสยายกลีบกรายเกสร
รอรับอวลละอองแห่งพรายฝนพร่าง
ที่ดั่งหยาดน้ำค้างจากนางฟ้าผู้ใจดี
หากทว่าในวันนี้ ปีนี้
ราวผู้โศกาครวญคร่ำ มาตอกย้ำมาพร่ำพ้อ
ขอ..
ให้มวลมนุษย์
รู้หยุดคิดทำลาย ธรรมดา ธรรมชาติ
อันแสนบริสุทธิ์สะอาดเสียที..
เธอ..คนดี..
ค่อยๆโน้ม..น้อมพลีเลือกเด็ดดวงดอกมนตรา
งามหวานซ่อนเศร้าแสนน่าเสน่หา
ดวงดอกลีลาวดี
แล..
พุดซ้อนมาสามสี่ดอก
วางเคียงหมอน..ให้นอนนิทรารมย์ฝันดี
เธอ...
นอนฟังเสียงฝนพร่างในยามดึกบนเตียงโบราณ
หวานล้ำด้วยความดายเดียว
ในภวังค์ล้ำลึก..รู้สึกราวกับได้ยินเสียง
ปีศาจวสันต์มากระซิบพ้อคลออยู่ริมหู
เสียงสายฝน..ปรนปรายร่ายมนต์
ตกต้องกระทบหลังคา
ราว..
หยาดน้ำตามวลนางไม้นางไพร
โหยไห้... ห่วงหา... อาวรณ์..อ้อนออดอาลัย
อยากให้..
อดีตแห่งงามเงางามใจ..แต่เก่าในกาลก่อน
ได้ย้อนหวนคืนกลับมา
ในยาม..
ที่ฟ้า..ยังสีฟ้าแจ่ม..ไร้มวลมลพิษ
ยังงามระยิบระยับด้วยดวงดอกแดดแห่งฤดูร้อน
ให้ดวงดอกไม้ไพรมากมายยังได้พรายไหวฟ้อน
อ้อนรับรับสายแสงสุริยา....
น้ำค้างฟ้ายังสดฉ่ำ
สายธารยังระร่ำรินมิสิ้นสาย
มวลหมู่สรรพสัตว์ยังได้พึ่งพาพึ่งพิงป่าไม้
ได้อิงอาศัยในอ้อมเอื้อโอบ
อันเป็น..
*วัฎฎโลกแห่งความเป็นสร้อยโซ่ชีวิตธรรมดาๆ*
ให้..
สาวบ้านป่าสาวบ้านนายังมิทิ้งถิ่น
มาถวิลรักการใช้ชีวีแบบคนเมือง
จน..
ต้องเปลืองตัวเปลืองกาย
ไร้สุขสงบ มิค้นพบรักแท้ แพ้เงินงาม
ที่ลามไหม้
ให้ไร้สิ้นวัฒนธรม ประเพณีแสนมีค่า
ไร้สิ้นซึ่งโลกเงียบงาม ...
นิยามวิถีบ้านป่า บ้านนา บ้านทุ่ง
นอนมุ้ง..
มิเปลืองน้ำมันแพง แก่งแย่งกันเบียดเบียน
ทรัพยากรธรรมชาติ จนใกล้วายวอด
พอกับ..
จิตวิญญาณ..
ที่กำลังถูกหลอมด้วย*กระแสมนต์มายาวัตถุ*จนมืดบอด
มอง..เห็นผิดเป็นชอบ
ไม่เห็นความหายนะ อวสานแห่งระบบโลกาภิวัฒน์
อันจัก..ยากดำรงธำรง..
หากมวลมนุษยชาติยังหลงละเมอทำลาย
ที่..
ทั้งสงครามน้ำมันและน้ำสะอาด
กำลังจะกรายใกล้ตามมาให้ทั่วหล้าโลก
จะพบความวิปโยค โศกสะเทือนในไม่นานช้านี้
นะคนดีที่รัก...
เธอ...
หลับตาช้าช้า อย่างเหนื่อยล้า เหนื่อยอ่อน
ในเรียวตาแห่งร่างอรชร..โศกซึมซึ้ง
เมื่อรำลึกนึกถึงใครบางคน
ในกลางกมลอันแสนอ่อนหวานอ่อนไหว..
และแล้ว...
พลัน....!
พราวดอกไม้ทิพย์ในดวงใจ
ก็..
ผลิช่อจากกอตระการพราวพร่าง*ดั่งอัญมณี*
คน...
ที่รู้จักเธอดี..คนที่มากมีเมตตา..
และ
สอนสัจจะ..ล้ำค่า
ให้ซึ้งค่า..ซึ้งใจ
ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้แสนประเสริฐสุด
ได้มา..
ค้นหาทางวิมุติให้หลุดพ้นทุกข์พันธนา
โดยการ..
บำเพ็ญเพียร*รักษาศีลทานภาวนา*
พบทาง..
สายกระจ่างจ้า..*วิปัสสนา..กัมมัฎฐาน*
จนพา..
ให้จิตได้พบว่าง
ความสว่างไสว...เฉกเช่น..*เพชรจรัส..*
ด้วย..
รัศมีสว่างเย็น..
เป็น...
ดั่งดวงรัตนมณี *หนึ่งในร้อย*นิรันดร์...!!
.........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song12.html
ชั่วฟ้าดินสลาย
ชั่วดินฟ้า รัก เธอ เสมอ ใจ
ที่ ฉัน รำ พัน ทุก วัน ฝันไปถึงเธอ
อยากให้เธอ หวาน ใจ อยู่ ใกล้
พรอด รัก ร้อย เรียง ร่วมเคล้าเคียง
ฉันและเธอ
ก่อนเข้านอน ฉัน วอน ฝัน ไป
เพ้อ ครวญ ภาพเธอหลอน ให้ชวน ละเมอ
อยากให้เป็น ของ เธอ ชั่ว ฟ้า
ดิน ได้ อย่า มี อันใดพรากไป ไกลกัน
ก่อนเข้านอน ฉัน วอน ฝัน ไป
เพ้อ ครวญ ภาพเธอหลอน ให้ชวน
ละเมอ
อยากให้เป็น ของ เธอ ชั่ว ฟ้า
ดิน ได้ อย่า มี อันใดพรากไป
ไกลกัน...
16 พฤษภาคม 2549 13:56 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song385.html
ยามชัง ...ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์
ยาม ชัง พี่ยิ่งช้ำ ทุกยามเช้า
ไม่เห็นเจ้า เหงาจิต คิดจนเกือบสาย
วอน อย่าชัง ให้พี่ช้ำ ถึงยามบ่าย
อย่าให้ชาย หมายคอย จนคล้อยเย็น
ค่ำแล้ว แสงเดือนงาม อร่ามสรวง
ดาว ลอยดวง ดูกลับทรามเมื่อยามเห็น
ฟัง เพลงรัก เหมือนเพลงลา น้ำตากระเซ็น
ไม่วายเว้น สวาทหวามยาม น้องชัง
ค่ำแล้ว แสงเดือนงาม อร่ามสรวง
ดาว ลอยดวง ดูกลับทรามเมื่อยามเห็น
ฟัง เพลงรัก เหมือนเพลงลา น้ำตากระเซ็น
ไม่วายเว้น สวาทหวามยาม น้องชัง...
...................
ฟัง*ยามชัง*ในท่ามราตรีหม่น
พร้อมเพลงฝนหล่นพรายคล้ายปลอบขวัญ
หนาวฤดีในฤดูโศกจาบัลย์
เกินรำพันฝันคว้างฝนพร่างใจ..
ดอกราตรีเอ๋ยไยเผยเศร้าหนาวเฉกนี้
ดวงฤดีพลีเพียงให้แล้วไฉน
เจ้าไม่ซึ้งถึงนวลเนื้อฤาดวงใจ
ราวน้ำใจในทะเลทรายหมายไม่มี..
คนละทางคนละทิศหันหลังลา
วาสนาไร้ดอกตราบชีพนี้
สิ้นไร้ขวัญวันสุขในฤดี
มาตรแม้นพลีเท่าไรเจ้าไม่จำ
ฝากแผลใจในรอยจำซ้ำอีกหน
ยอมทุกข์ทนวนเศร้าเจ้าเหยียบย่ำ
เจ้าแก้วใจไยไม่งามยามฝนพรำ
เพราะจิตย้ำไร้เมตตาไร้ปรารถนารัก..
ลาจากกันวันนี้ก็ดีแล้ว
โลกเพริศแพร้วอวยพรให้นะที่รัก
พบคนดีมากมีค่าในอ้อมภักดิ์
พิษน้ำผึ้งโศกสลักฝากแผลเป็นตราบวันตาย..
อย่าหมายลืม..!
16 พฤษภาคม 2549 12:38 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1376.html
(เหนือกาลเวลา)
พะยอมไพร...
ค่อยๆเดินช้าช้า..ช้าช้า...
ไปตามเส้นทางสายเล็กๆ
ที่ทอดตัวลดเลี้ยวไปตามถนนสายลูกรัง.
ที่สองฟากฝั่งคือ ดงดอกหางนกยูงสูงสะพรั่ง
ด้วยดวงดอกแดงพราวพร่างไปทั่วทั้งราวกิ่ง..
นั่นดงตาล..
เคียงตระการด้วยบึงบัว
ในท่ามม่านฟ้าสลัวด้วยม่านหมอกหม่นมัวในยามเช้า
ดงดอกหญ้า...
กำลังชูช่อพ้อไสว
ในท่ามพร่างพรายแสงสุริยา
ที่..กำลัง....
เผยองค์..เยี่ยมฟ้า จรัสจ้าด้วยรัศมีสีรุ้งทีละน้อยๆ
วงหน้าซูบ เริ่มดูนวลใสระเรื่อ..ขึ้น
เมื่อ
เธอก้าวเดินไปยืนซึ้งๆ
ใต้ต้นตาลเดี่ยวอย่างเดียวดายลำพัง
ด้วย..
ความดื่มด่ำรับพรายแสงสีทอง
ที่ยิ่งพาให้นวลหน้าเศร้านั้น
ดูงามผ่องสุกปลั่งขึ้นตามตะวันจริงตะวันใจ
ที่กำลัง..
หลอมพลังรวมกันไปทั้งจิตภายในแลร่างภายนอก
เธอ..ทอดตาสงบดูธรรมชาติรายล้อม
หัวใจเธอ..ได้รับหอมจากกรายกลิ่นเกสรบัว
ที่..
แย้มกลีบระริกระรัวรอรับสายแสงสุริยาเฉกเช่นกัน
น้ำค้างฝัน...
กำลังรอระร่ำรินลาใบ
หยดกลมกลิ้งราวหยาดเพชรวะแวววับ
ยามกระทบกับดวงดอกแดด
ที่ค่อยๆโลมไล้แผดเผา
ให้...
ระเหยหายไร้ร่องรอย...ราวรักแรม...
ธรรมชาติในคลองตาคลองใจ
กำลังกรายใกล้
มาฝากสอนสัจจะใจสอนสัจจธรรม
อัน..
งามล้ำเลอค่า ผ่านกาลเวลาที่หมุนวน
ราวทุกข์สุขวัฏวน มิรู้สิ้น มิรู้จบ
ที่..
ทุกมนุษย์หลายพันล้านในโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้
จักพบ..
หนีไม่พ้น ต้องทนสู้ ทนอยู่ ทนพากเพียร
เลือก..โลก..
ที่วนเวียนฤาเดินตามรอยผู้ล่วงหน้าไปแล้ว
เลือก..
*โลกแก้วกระจ่างสว่างใส งามจิตวิญญาณภายใน
แสนสงบพบความสุขนิรันดร์
อันคงงามเกินกว่าคำรำพันรำพึง
ถึงสุขซึ้ง แบบแสนเงียบงาม
ใน...
ท่ามความรู้สึกรู้ทันเท่า..ทุกผัสสะ
เฝ้าอยากเพียงสละออก มิอาจบอกใครได้
นอกจาก..
ใช้ร่างจิตของตัวเองลิขิตเพียรภาวนา
มากกว่าหลงอยู่ในมายาโลกสมมุติ
ให้..
พบจิตพิสุทธิ์ใส เลื่อมประภัสสร..
ไร้เปลือกห่อหุ้ม
ให้รัดร้อยรุมรุก ฝากทุกข์สุกร้อนเร่า เฝ้าทุรนทุราย .
ดั่งไฟไหม้แผดเผา..
และ
ในท่ามพรายแสงสุริยา
เธอ..เห็นใครบางคน
เดินช้าช้า ตรงมายังต้นตาลเดี่ยวเปลี่ยวงาม
ที่เธอ..ยืนอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
เขาทายทัก..
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนจะเอ่ยคำออกมา
อย่างแสนสุภาพ
*ผม..เห็นคุณตรงนี้มาหลายวันแล้วครับ...
จากบ้านผมตรงบึงบัว...
กระท่อมเรือนไทยหลังเล็กๆ
ที่ซ่อนตัวในดงไม้ดงลั่นทมนั่นไงครับ*
เธอมองตามมือเขาไป.
และ..
ใช่แล้วนั่นคือกระท่อมในฝัน
ที่เธอหวังสักวัน..
ว่า...
จะพาร่างเดินตามรอยทางสายธรรมชาติ
ทางสายชนบท ที่แสนงดงามเรียบง่ายสันโดษ
เพื่อขอไปสัมผัสณ..ภายใน...
เรือนไม้...!
ที่ดูแสนสงบสุข เสียเหลือเกิน
หากทว่า...วันนี้
เขา..คนดีเจ้าของเรือน
กำลังเยือนแย้มยิ้มอยู่ตรงหน้าเธอนี่แล้ว
ใน...
สายแสงผ่องแผ้วพรรณราย
ราวร่างเขาถูกรายล้อมด้วยรัศมีสีรุ้งแสนงาม
และ..
ในท่ามอ้อมโอบแห่งไออุ่น
ที่กรุ่นกรายคล้ายเธอสัมผัสรัดร้อยได้ด้วย
*ใจถึงใจ*
ในน้ำใจไมตรีที่ราวเขาพลีรอสานสายสัมพันธ์
และ
กำลังรอฟังคำตอบจากเธอ...
พะยอมไพร..ยิ้มเก้อ และ
กล่าวคำเอื้อนเอ่ยอึกอักออกมา
ค่ะ...
ฉันมายืนตรงนี้ทุกวันเพราะ...
มีธุระต้องผ่านมาทางนี้
ระยะนี้
และ..คงเป็นปีค่ะเพราะมี..งานต้องทำ
ฉัน...ชอบบรรยากาศแถวนี้ค่ะ
แปลกดีนะ ที่อยู่ใกล้กรุงเทพมาก
หากทำไม...ทุกครั้ง ที่ฉันมายืนดื่มด่ำคนเดียว
ราว..
ได้ถอยหลังกลับไปในยุคต้นรัตนโกสินทร์
สงสัย..คงเพราะกลิ่นรวงเรียว บึงบัวดงตาล
และ..
หวานแมกไม้ ริมชายทุ่งชายชลค่ะ
และนี่หากมีใครสักคนนุ่งผ้าถุงใส่งอบผ่านมา
ฉันคงคิดว่ามิได้ฝันไป....
เธอ...กล่าวปนหัวเราะ...
เขา...นิ่งฟัง..น้ำคำน้ำเสียงเธอ..
ราวละเมอต้องมนตรา
ผู้หญิงงามแผกตรงหน้า
ราวกับว่าเธอมีพลังอะไรบางสิ่ง
ที่สามารถสกดให้เขานิ่งงันนิ่งฟัง
อย่างตั้งใจ....
และ..
ในพลังเรียวแสงแห่งอุษาวดี
ที่ณ..บัดนี้..
กำลังค่อยๆคลี่คลุม
ก่อให้เกิดประกายคล้ายร่างเธอ...
ถูก...ห่อหุ้มด้วยรัศมีสีทองผ่องพรายรายล้อม
จน..
ดูร่างเธอนั้นราวกับนางไม้นางไพร
ที่...สวรรค์คงเป็นใจเมตตา
มอบส่งเธอมาให้เขาได้พานพบ...
ผู้หญิง..
ที่ทุกเช้าเขาได้แต่เฝ้าดูเธอด้วยความฉงนใจ
จาก..
ชานระเบียงเรือนไม้..
ใกล้ตำแหน่งที่เห็นเธอมายืนนิ่งนิ่ง
ทิ้งทอดตาแสนเงียบสงบราวรูปสลัก
ณ..
ภายใต้ร่มตาล*สัญญลักษณ์แห่งรักดิบเดิม*นี้
อย่างเสมือนว่าโลกนี้...มีเธอ..เพียงลำพัง..กระนั้น
เขา..หยุดความคิดในภวังค์
พร้อม..กันกับหวังได้รับคำตอบรับ
*หากไม่รังเกียจ เดินไปบ้านผมมั้ยครับ
คุณจะได้สัมผัสความย้อนยุคจริงๆ
ที่..เรือนผม เพราะผมนิยมไทยครับ
ดื่มน้ำสักแก้ว แล้วค่อยกลับไปทำงานดีไหม
และ..
หากวันหยุดวันไหน...
คุณอยากได้บัวในบึงไปบูชา
ก็...บอก*น้าสอน*ได้นะครับ
แกอาศัยอยู่กับผมมานาน
ผมจะสั่งไว้...
ให้แกบริการรับใช้คุณ อย่าได้เกรงใจ..นะครับ
และ..
เพราะ..บางที..
ผม...ต้องทิ้งบ้านไปรับทำงานนอกสถานที่
จึงต้องมีคนเฝ้าและดูแลสวนที่ไว้ใจได้จริงๆ
ผม..เป็นนักจัดสวนครับ
จบมาทางโบราณคดี
แต่..
อาศัยที่รักต้นไม้และมีที่ดินผืนใหญ่ตรงนี้
ที่ทำเลเหมาะเจาะจะเพาะพันธุ์
ผมเลยผันแปรมาทำอาชีพ
ที่ได้ชิดใกล้ธรรมชาติครับ
ที่ตรงนี้ แต่เดิมเกือบร้อยไร่ครับ
ถูกปันแบ่ง ขายกันในระหว่างพี่น้อง
คุณพ่อผม เป็นชาวนามาก่อน
และได้มาเกือบสามสิบไร่จากคุณปู่ผมครับ
และสุดท้ายเมื่อสิ้นบุญคุณพ่อ
ท่าน..ก็มอบเป็นมรดกให้ผมมา..
ท่าน..คงเห็นว่าผมนี้แสนหลงใหล
ในวิถีบึงบัวนาข้าว และไม้ดอกไม้ผล
ที่..
เพียรหว่านเพาะ
จนผลิพันธุ์งามงอกแตกดอกออกผลพราว
ราว..กับมือผมเป็นเทวดาสามารถเนรมิตได้ปานนั้น
นับแต่นั้น..มา
ผม..จึงหันมาพัฒนาไร่นาผม
ให้เป็นไปดั่ง*ทิพยทฤษฎี*
ตามแนวพระราชดำริ*ทฤษีใหม่*
อย่างเอาจริงเอาจังไงครับ
หาก..
คุณอยากได้เห็นพลังแห่งความสำเร็จแบบพอเพียง
ผม...ก็ขอเชิญนะครับ
จะดีกว่ามองจากที่ตรงนี้ ...ทั้งๆที่เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว*
เขากล่าว...
พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ที่แสนเป็นกันเอง
และ...
พลันในนาทีนั้น
ในหอมห้วงหัวใจพะยอมไพร
ก็..
ราวได้ยินเสียงบทเพลงไพร
บทเพลงแห่งท้องทุ่ง..
บรรเลงหวานแว่วแผ่วมา...ให้ได้ยิน...
พร้อม..
กับดวงใจใสเย็นโบยบินออกนอกอกนอกใจ
ไร้การควบคุม ใดใด
ราวมี...
*พลังแห่งรักมาทายทักแผ่วๆที่ริมใจ*
กระซิบบอกให้..
ยินดีรับคำเชิญ..ไปตาม*เพรงกรรม...*
ที่..
กำลังน้อมนำมาให้พบและ จักจบด้วย*บุพเพ*เช่นไร
พะยอมไพร...
ก็..ขอปล่อย...ให้ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับกาลเวลา....!
..........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1376.html
เหนือกาลเวลา
หาก ว่าใจ เรารัก กัน
อย่าหวั่นกลัว
กับเรื่อง ใดใด
อาจ ไม่มีใคร เข้าใจ
แค่มี เพียงเรา เข้าใจ ก็พอ
อยากให้รัก ของฉัน และเธอ
อยู่เหนือ กาลเวลา
แม้ ความจริง ต้องห่าง
แสนไกล
ให้ความรัก ของเรา คงอยู่
ยาวนาน ในหัวใจ
ไม่ มีใคร จะเปลี่ยน ใจเรา
หาก ว่ามอง ไม่เห็น กัน
อยาก ให้เรา ผูกพัน ด้วยใจ
เพียง แค่หลับ ตาครั้งใด
แค่เพียง ปล่อยใจ
ให้ส่ง ถึงกัน
อยากให้รัก ของฉัน และเธอ
อยู่เหนือ กาลเวลา
แม้ ความจริง ต้องห่าง
แสนไกล
ให้ความรัก ของเรา คงอยู่
ยาวนาน ในหัวใจ
ไม่ มีใคร จะเปลี่ยน ใจเรา
แม้ ไม่อาจ รู้วัน ข้างหน้า
ว่าต้องพบ ต้องเจอ สิ่ง ไหน
สิ่งเดียว ที่ฉัน
นั้นอยาก ให้ เธอ มั่นใจ
รู้ไว้ว่าฉัน รัก เธอ
อยากให้รัก ของฉัน และเธอ
อยู่เหนือ กาลเวลา
แม้ ความจริง ต้องห่าง
แสน ไกล
ให้ความรัก ของเรา คงอยู่
ยาวนาน ในหัวใจ
ไม่ มีใคร จะเปลี่ยน ใจเรา
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song413.html
กาลเวลา
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ตัดสิน ชะตา ปัญหา หัวใจ
แม้ จะรักเธอ รักเธอ เท่าใด
แต่ หัวใจ ดวงนี้ มีสิ่ง ผูกพัน
ขอให้ เป็นเพียง การคอย
อย่างน้อย เรายัง เรียนรู้ ใจกัน
เพราะว่า หัวใจ ของเรา ผูกพัน
วันหนึ่ง วันนั้น
ความฝัน อาจ เป็นความจริง
เรารู้ การคอย คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา
เรารู้ การคอย
คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา...
10 พฤษภาคม 2549 10:30 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song973.html
(ดวงใจในฝัน)
จันทร์เพ็ญดวงทอง..
กำลัง..
ลอยล่อง..ท่องเหนือฟากฟ้าไทย...ทุกถิ่นที่
ทั้ง..
วิมานชาวฟ้ากระท่อมชาวดิน.ประดับใจ ประโลมใจ
ผม..กำลังนอนเอกเขนก
พิงหมอนขวาน นอกชานเรือนริมน้ำ
เรือน...
แห่งรักแห่งขวัญในดวงหฤทัย
รับ..
สายลมเย็นพร่าง...ชื่นฉ่ำ..
ในยามค่ำ วันวิสาขปุณมี
วันที่..
ทุกพุทธศาสนิกชนคนดี
จักพึงตราจำไว้ในศรัทธาใจ
อย่าง...
คงไม่มีวันลืมเลือน...ไปตราบชั่วกาลกัป์ปกัลป์
อย่างที่..
ผมมิจำเป็นต้องตามเตือนให้พึงจำ
ย้ำว่าวันนี้.
เป็นวันสำคัญเฉกเช่นไร...
หาก..
ทุกดวงใจไทยมีธรรมครอง
มีจิตผ่องแผ้วดั่งแก้วแววประภัสสร
รู้รักษ์ครรลองศีล สมาธิ
พามีปัญญา
อันคงงามเกินกว่าเพชร คมยิ่งกว่าดาบ..
ที่เอาไว้ฟาดฟันทุกเงากรรมวิบากวน
มิให้...
หลงราน ทนนาน....
จนกระทั่ง ดวงตามองมิเห็นธรรม
ตราบจนถึงวัน...
ตะวันแห่งดวงชีวันชีวิตอำลา..
อย่างแสนน่าเศร้าโศกสะเทือนใจ
ผม....
ได้กลิ่นดวงดอกพิกุลริมชานเรือน
กำลัง..
พลีหอมลอยลมพรมพร่างมาให้ดอมดม
ราว..
ผสานผสมความเป็นไทยโบราณ ในกาลก่อนเก่า
ในเงาเงื้อมแห่งความสงบสุขนิรันดร์
แห่ง
*เรือนไทยสองฝั่งคลอง*
ให้ดวงใจดวงละมุนอ่อนหวานของผม
รับรู้... ดื่มด่ำ.. ล้ำลึก.. อย่างเดียวดาย..
ผม..นอนน้ำตาซึมซึ้ง...ราวถูกตรึง...
ให้ตกอยู่ในภวังค์แห่งฝัน
รับ..
พรายสายแสงจันทร์อันแสนเย้ายวนนวลแจ่ม
ดั่งหยาดน้ำผึ้งรวง...ในหอมห้วงแห่งความรู้สึก
อันแสนละไมละมุนนี้
มาตรแม้น...
จะไร้เธอคนดีที่ผมแสนรักแสนภักดิ์คลอข้างเคียงกาย
ก็ตามที...
................
ปวงพวงพะยอมไพร ไหวกิ่งร่ายรับมนตรา
ราว..
กำลังต้องมนต์เสน่หาเฉกเช่นกัน...
กับ..
คืนฝันวันพระจันทร์หวาน..
หาก..ทำไมเล่า..
ราว*น้ำผึ้งโศก.....*
ผม...
ค่อยๆจุดเทียนในโคมแก้วแวววะวับ
แล้ว..
ตั้งใจอ่านบทกวี
ที่...
แสนดีแสนงาม...ในท่ามบรรยากาศอันแสนเป็นใจ
จุดเทียนกราบกรานหน้าพระพุทธ
ร้อยมาลัยพวงพิสุทธิ์หอมพลีมงคลขวัญ
อธิษฐานให้ยอดดวงใจสุขสดใสในวันเกิดตราบนิรันดร์
เทียนยี่สิบเก้าเล่มพลันทอแสงพร่างกระจ่างใจ
สวดพาหุงมหากาให้คนดี
รอวันที่เอื้อมดาวได้ดังฝันไขว่
ให้มีคนรักแสนรักรายรอบใจ
ให้ดวงใจใสกระจ่างสร้างงานธรรม
น้ำตาใจสะท้อนแสงเทียนวะวาววับ
ราวแสงเพชรวิบวับรับรินร่ำ
เสียงสายฝนหล่นพราวพร่างพรมพรำ
น้ำตาขวัญหยาดรินสิ้นทั้งใจ
คือน้ำตาแห่งปิติที่พลีภักดิ์
หยาดแทนรักแทนห่วงดวงใจใส
แทนค่าคำอักษราหวานล้ำรัดร้อยใจ
แทนอมตะรักใดในโลกนี้พลีแด่เธอ...!!!
...........
เธอคือเมฆเสกสายหวานมาห้อมห่ม
มาพร่างพรมขวัญเจ้าคราวเหน็บหนาว
เธอคือสร้อยร้อยสวยด้วยรวงดาว
คล้องฝันพราวรับขวัญพลีราตรีเพ็ญ..
ราวสายลมพรมผ่านลุกขึ้นสู้
โลกยังอยู่ดอกไม้หวานบานให้เห็น
แม้นดายเดียวเปลี่ยวร้าวใจเยียบเย็น
เธอยังเป็นเช่นเทียนทองส่องกลางใจ
ราวรุ้งเรียวเกี่ยวฟ้าทางช้างเผือก
ลบหนาวเยือกให้อุ่นพร่างสว่างไสว
รจนาบทกวีที่งามงดหมดจดใจ
ระรินไหวลบโลกร้อนสอนกมล...
เธอคือสายธารหวานพรมห่มหอมร่าง
ให้ฉ่ำพร่างฉ่ำชื่นดุจสายฝน
เธอนั้นหรือคือน้ำค้างกลางกลีบรสสุคนธ์
เธอคือคนของสายธรรมนำชีวี..
เธอคือตะวันอันโอบเอื้อมนุษยชาติ
สว่างวาดรจนาร้อยสร้อยศักดิ์ศรี
เธอนะหรือคือยอดงามยอดความดี
เป็นสร้อยสีสร้อยแสงสร้างแรงรัก..
เธอคือไม้ไพรในป่าเมืองมนุษย์
สร้างพิสุทธิ์ดุจร่มธรรมล้ำค่านัก
เธอคือใครใครคือเธอเล่ายอดรัก
ยอมพลีภักดิ์ศรัทธารักศรัทธาใจในวันนี้..
***************************
ใช่แล้ว...
เป็นบทกวีแห่งนวลใจอันแสนพิไลพิลาส
แสนสงบสะอาด
เกินกว่าใครจะรับรู้
*ถึงจิตภายใน*ใจดวงอันแสนไสวเกษมพร่างแห่งเธอ..
ผู้เพียรรักรจนา
ผู้มัก..
ได้รับคำพิพากษาอย่างไร้ความอยุติธรรม
ในโลกแห่งมายาฝันนี้
ที่..
เธอเพียรหลีกลี้ รู้มี...รู้รักความเป็นส่วนตัว
หวังเพียง
*ให้*งานงามแห่งจินตนาการ
กับ..
โลกรานแห่งความจริงนั้นพลันแยกขาดจากกัน..
พร้อมพลี...
แค่ฝันพลี สรรสร้างทิพยจิต
ให้..
งามดั่งนิรมิต เพื่อประดับโลกหล้าแลฟ้างาม
ราว..
หวังร่ายพรายมนต์แห่งฝัน
หว่านหวังให้พลัน..พร่างพรึบ..
ดั่งดวงดาว..ดาราราย ดาราดาดให้สุกสกาว
พราวพร่างแสนพิไลพิลาส
รอเวลาว่า...
จะมีใครสักคน คว้าไขว่ มาใส่ในอุ้งมือ
ดาวแห่งใจ ดาวนำทางใจ
ดาวดวง..ไสว..
ที่...
จักประดับฟ้า ประดับใจ..
คนที่มีนวลใจละมุนสวยใสแสนงามพอกัน
ผู้รู้...
ค่ารักค่าคำค่าแห่งความฝัน
อันคือพรสวรรค์ ..จากพระเบื้องบน ..ประทาน
..............................
และ..
อีกไม่กี่ชั่วยาม..ท่ามราตรี..นี้
ผม..จะพาตัวไป*เวียนเทียน*รอบโบสถ์คร่ำ*
ไป...
ถวายจิตดวงใสไสวสว่างเป็นดั่งพุทธพลีบูชา
และ..
จะกลับมาน้อมนำ
ถวายพวงมาลัยพิกุลอันแสนหอมกรุ่น
สวดมนต์บทพาหุง..นั่งวิปัสสนา
ตราบจนกว่าตะวันรุ่ง ..
และ
ในยามอรุณมาเยือนแย้ม
มาแย้มยิ้มให้พลังทายทักหล้า..ฟ้า..
ผมก็..จะ
เตรียมใส่บาตร กับพระภิกษุสงฆ์
ที่..
วาดพายมาในยามฟ้าสาง
ในท่ามโค้งคุ้งน้ำอันแสนบริสุทธิ์ใสฉ่ำเย็น
ให้...
ดวงใจผมแสนใสเย็นพอกัน
และ..
ราวได้รับพรพรหมอันเป็นมงคลหมาย
คล้ายเนื่องในวันเกิดเวียนมา..
ให้..
ดวงใจลูกผู้ชายชาวนาคนกล้า
ได้ปวารณาตัวอีกคราครั้ง
ที่..
จักดำเนินร่างจิตชีวิตหนึ่งนี้ที่แสนสั้น
ไปตาม...
รอยธรรม รอยทอง รอยไทย
รอยไถมิแปร มิแพ้วัตถุกิเลสใด กิเลสใจ
ตราบจนกว่า...
ลมหายใจลูกจะสิ้น...ไปตราบชั่วฟ้าดิน.สลาย...
..........................
พิกุลภักดิ์....
ค่อยค่อยปลิดพิกุลมาร้อยแทนสร้อยภักดิ์
ฝากแทนรักแทนธรรมทองร่วมปองฝัน
สวดมนต์นะคนดีค่ำคืนนี้ใต้เงาจันทร์
แล้วสมาธิมั่นด้วยจิตดวงใสใจดั่งอัญมณี
ให้จิตว่างพร่างพรายแจ่มกระจ่าง
พบหนทางเหนือโลกย์โศกสุขนี้
รู้ทันเท่าลมหายใจทุกนาที
เพียรภาวนาทุกราตรีอย่าหลงทาง
แม้นคืนหนาวยาวนานทรมานนัก
หากแล้วจักพ้นผ่านมายาร่าง
ไม่มีเขาไม่มีเรารู้ปล่อยวาง
จิตกระจ่างดั่งบัวบานเหนือธารทอง
คือสตรีสัตตบุรุษพิสุทธิ์แก้ว
พบทางแล้วอย่าวกวนทนลอยล่อง
มิช้านานกาลเวลาตามครรลอง
เราทั้งผองต้องพบพรากต้องจากกัน
จากกันก่อนตายคล้ายโศกสอน
มิอาวรณ์อ้อนอาลัยไม่สับสน
เพียงรจนามายากวีพลีผองชน
ย้ำทุกข์ทนวนว่ายชดใช้กรรม
เกิดแค่เกิดเพื่อมาพบหยาดน้ำอมฤต
มาพลีจิตรับธารใสระรินร่ำ
ถือเป็นโชคได้มาพบยอดพระธรรม
ทุกเช้าค่ำให้หอมห่มในห้วงใจ
ฝากมาลัยพิกุลแทนรักร้อย
ดุจดั่งสร้อยอักษราจากจิตใส
พลีแด่เธอนะคนดีในดวงใจ
พบยิ่งใหญ่ไขว่คว้า...*ดาวอุดมการณ์*
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song973.html
ดวงใจในฝัน ..อรวรรณ เย็นพูนสุข
รำพึงรำพัน ฝันรัก รักเอยใฝ่หา
ยังจำติดตาชวนปลื้ม ฉันลืมไม่ลง
เป็นรอยพิศวาส ปักใจมั่นคง
ฝังใจพะวง หลงรอคอย
อาวรณ์ใจครวญ หวนคิด คิดจนพร่ำเพ้อ
พาใจละเมอหมองหม่น คิดจนเลื่อนลอย
ยามนอน ถอนสะอื้น ตื่นตาแลคอย
คิดจนดาวลอย คล้อยเมฆา
ฝันกอดเชยชม ภิรมย์รื่น พี่ชื่นตื่นผวา
จนใจ ไม่มีใครเมตตา
เพียงนิทรา นิจจานึกว่าสุขเอ๋ย
บางคืนมองจันทร์หรรษา นิจจาอกฉัน
บางคืนขาดจันทร์เยือนหล้า น้ำตาหลั่งเลย
ลมเอยพริ้วยังแผ่ว ไม่มีแววเลย
เหงาใจจริงเอย หลงเชยแต่เงา
บางคืนมองจันทร์หรรษา
นิจจาอกฉัน
บางคืนขาดจันทร์เยือนหล้า
น้ำตาหลั่งเลย
ลมเอยพริ้วยังแผ่ว
ไม่มีแววเลย
เหงาใจจริงเอย
หลงเชยแต่เงา...
7 พฤษภาคม 2549 22:37 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ปีศาจวสันต์
ใจหาย..ขวัญคว้าง
รอร้างแรมไกล..เกินฝัน
ไม่เหลือเยื่อใยผูกพัน
ปล่อยฉันเดียวดายปลายฟ้า..
ไร้เพลงชื่นในคืนช้ำ
ระกำเหน็บหนาวหนักหนา
อ้างว้างร้างไร้แรมลา
กาลเวลารอลงทัณฑ์
อกเอ๋ยกรรมใดเคยก่อ
รอนรกฤาสวรรค์
ไกลเกินเอื้อมนิรันดร์
โศกศัลย์สิ้นไร้หนทาง
ซุกตัวเหน็บหนาว
ฝนพราวเหว่ว้าอ้างว้าง
น้ำตารินไหลพรูพร่าง
ร้างไร้..รักใด..ใครรอ...!
..................
ได้โปรด...
อย่า...คิดว่าพุดไพรหัวใจช้ำนะคะ
เพียงวันนี้ฝนพร่างสาย
เลยวิ่งกลางสายฝนจนเปียกปอนเหน็บหนาว
เลย..
รู้สึกเศร้าดายเดียวไปตามฟ้าฝน..เพียงนั้น..
และ..
ในรอยกมลถวิล
กลับคิดถึงหลายที่ในฤดูวสันต์ให้ฤดีขวัญคว้าง
ไม่ว่า..
จะที่เซนโตช่า สิงคโปร์เหนืออ่าวพราวพริบระยิบระยับ
ไปด้วยแสงไฟ จากเรือเดินสมุทรลำใหญ่
ที่พุดไพร
นั่งเดียวดาย คิดถึงบ้าน...เมืองไทยอย่างเหลือเกิน
ฤา..
ที่พีพี เกาะไผ่
หนาวเหน็บในดวงใจ
ยามนั่งเรือไปกลางทะเลแสนกว้าง..ท่ามฝนพรำ
ดำน้ำ
แบบไม่อยากโผล่ขึ้นมารับรู้โลกแห่งความจริงอีกเลย..
แล้ว..
ที่กระท่อมริมแคว
ในวันที่ม่านหมอกสลัวมัวหม่นพอกับ
หัวใจคนที่แสนรานร้าว เศร้าพอกัน..
เกาะเต่า..
บนเนินผาท้าสายแสงจันทร์
พลันฝนพรูลงมารับรู้บาดแผลใจ
และ...
คงอีกมากมายนัก..
สถานที่รัก
ที่ล่วงลาเลยเลือนลับ...
ไปกับ...
อดีตอันยากย้อนหวนคืน....
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ปีศาจวสันต์ สุนทราภรณ์ บุษยา รังษี
เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว...