24 กุมภาพันธ์ 2549 14:47 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(สีแผ่นดิน..ณ..วันนี้)
บัวกนกผลิบานวิมานสรวง
หอมดั่งดวงทิพยชาติประดับสวรรค์
กนกพงศ์ ฝากนามเป็นนิรันดร์
แห่งหุบฝันฝนโปรยไพรในใจดวง
เป็นตำนานเลือดโนราห์คนปักษ์ใต้
เป็นดั่งสายธาราแห่งเขาหลวง
เป็นไม้งามไม้ไพรกุดั่นดวง
ประดับสรวงฝากมาลาคำย้ำนิรันดร์
นิทราให้สนิทสถิตทอด
ดาวโอบกอดเดือนเห่กล่อมนะจอมขวัญ
ให้พรายแสงศรีกวีรักจักสืบทอดชั่วกัปป์กัลป์
ดั่งรอยธรรมรอยทองแห่งผองชน
อวยพรให้*แผ่นดินเรา*ยังคงอยู่
ให้ร่มรัตน์ฉัตรคู่เคียงเวหน
ให้*สายน้ำรักนิรันดร์*จากดินเดียวกันเกื้อกมล
หวังชีพชนม์คนไทใจคงทอง...
โปรยพิกุลหอมหอมดวงดอกไม้หวาน
เหนือสายธารหุบเขาหลวงพร้อมลอยล่อง
วิญญาณกวีแก้วรัตนโกสินทร์สู่แดนฝันอันเรืองรอง
โลกแซ่ซร้องสดุดี..เป็นที่รัก...แห่งผืนดิน..!
...................
พลีด้วยคารวะและอาลัยสุดซึ้งจากใจพุดค่ะ
และ..
พรุ่งนี้....
เป็นวันที่นกไพรในใจนวลดวงงาม
จักถูก*ประชุมเพลิง*
ที่..
พรายแสงคงเริงโรจน์โชติช่วงตระการ
จิตวิญญาณดั่งดวงเพชรมณีรุ้ง
คงพุ่งสู่สวรรค์สรวงที่เฝ้ารอ...
ฝากรัศมีแห่ง..ความงามให้..ความดี..ความเพียร
เพื่อ..
เป็นดั่งบทเรียนแด่
ทุกดวงใจในแวดวงวรรณกรรม
ให้มิสิ้นไฟฝัน..หวัง..หวาน
เขาคนดียอมพลีจิตวิญญาณไพร
ทำงานหามรุ่งหามค่ำ...
ฝากไว้กับผืนหล้าพสุธาไทยพสุธาทอง..
ไว้ให้ได้รำลึกจดจำ
ให้...
เป็นแบบอย่างแด่ชนรุ่นหลัง ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์
เขาคือ..*คนดีของแผ่นดิน*ถิ่นปักษ์ใต้บ้านเรา
ที่พุดแสนศรัทธา
และ..
หลงรักชื่นชมในงานงาม มานานนักหนา
มาหลายปีแล้วค่ะ
และ..
กับสิ่งสุดท้าย...
ที่ใจดวงนี้..ผู้รักแสนรักอักษราวรรณกรรม
และโลกบรรณพิภพ
จะพึงทำได้
คือ...
นำบทความสดุดี แสนงาม
จากยอดนักเขียนซีไรต์ถึงซีไรต์
มาวางพลีกำนัล
ให้..
ทุกดวงใจ
ในร่มรัก เรือนไทยมิ่งมิตรน้องพี่ ได้ร่วมปันอ่าน..
เพื่อ..
ผนึกจิตสืบสาน..ตามรอย..ผู้เป็นดั่งตำนาน
*วีรบุรุษนักเขียนแห่งพงไพร*
ที่..
ได้เททุ่มถอดชีวิตจิตใจ
เพื่อรจนาเรื่องราวอันแสนยิ่งใหญ่
มอบคืนกลับให้กับโลกใบนี้ ดั่งของขวัญ
ก่อน..
ผืนดินจะกลบหน้า
ก่อนที่ฟ้าจะแปรสี
และ
ก่อนที่สายนทีจะหยุดไหลล่อง..ก่อนวันที่จะสายเกิน...
.............................
บทความจากหนังสือพิมพ์*มติชน*
คอลัมน์ประชาชื่น หน้า33
ฉบับวันที่24 กุมภาพันธ์ 2549
จาก..ซีไรต์..ถึง...ซีไรต์
....................
การจากไปของ *กนกพงศ์ สมสมพันธุ์*
นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์
เป็นเรื่องที่ญาติมิตร เพื่อนฝูงในวงการและนอกวงการ
ไม่คาดคิดมาก่อน แต่เมื่อ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก "
สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
การสูญเสียกนกพงศ์
จึงเป็นธรรมดาของความเสียใจที่ไม่อาจบรรยายได้
...นอกเสียจากเสี้ยวของความรู้สึกที่เพื่อนแต่ละคน
ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือจารไว้เป็นอนุสรณ์ในวาระสุดท้าย...
.......................
ปากกากนกพงศ์...เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
น้ำตามาตกเหย้า
ที่หุบเขาฝนโปรยไพร
กลางควันอันอวลกระไอ
"โลกใบเล็กของซัลมาน"
มาอยู่มายงยุค
มายงยามเป็นตำนาน
ให้เห็นหัวใจหาญ
แห่งผู้คนบนแผ่นดิน
ดูดั่ง "แผ่นดินอื่น"
แท้ดินเดียวในธรณิน
คือชนอันชาชิน
ยังหยัดอยู่สู้พาลา
ขุนน้ำทะเลใต้
แลขุนไพรแห่งภาษา
ขุนภูเหยียบเมฆา
จักโปรยปราณหว่านภูพง
ตื่นแล้วในโลกนี้
แลโลกหน้าอย่างทระนง
ฝากนามสำคัญคง
"กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"
หุบเขาฝนโปรยไพร
โปรยดอกไม้มาลาวรรณ
บานอยู่คู่กัปกัลป์
กับปากกา "กนกพงศ์"
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
*******************************
เสียดาย...*ชาติ กอบจิตติ*
ชีวิตเริ่มต้นเมื่อสี่สิบ
เชื่อว่าเราหลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้
ผมเองก็เช่นกัน แต่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า
กนกพงศ์ของพวกเรา
จะเริ่มต้นชีวิตในวัยสี่สิบของเขาด้วยหนทางนี้
เมื่อรู้ข่าวการจากไปของกนกพงศ์
ผมเชื่อว่ามีคนตกใจ
และไม่อยากเชื่ออยู่หลายคน ผมเองก็เช่นกัน
ต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นความจริง ก็ต้องทำใจ
เพื่อลบล้างความเสียใจที่มี
แน่นอน
เรายังเป็นปุถุชนอยู่
ความเสียใจจึงยังไม่ยอมจากเราไปง่ายๆ
แต่นอกเหนือจากความเสียใจ
ที่มีต่อการจากไปของเขาแล้ว ผมยังรู้สึกเสียดาย
ผมเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า
งานเขียนของกนกพงศ์จะต้องพัฒนาต่อไปอีกไกล
เพราะ
ความเป็นคนช่างคิดและฝีมือของเขา
ต่อเมื่อมาถึงวันนี้ (ในวัยสี่สิบ)
ร่องรอยในการเปลี่ยนถ่ายงานเริ่มปรากฏออกมาบ้างแล้ว
และผมคิดว่ากนกพงศ์ก็รู้ดีว่าเขากำลังทำอะไร
ถ้าทอดเวลาให้เขาอีกสักนิดหนึ่ง
เราอาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น
ในวงวรรณกรรมไทยก็เป็นได้
ผมจึงรู้สึกเสียดาย
สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในวันนี้คืองาน
และวิถีชีวิตของเขาที่กลมกลืนกับการทำงาน
อาจเป็นแบบอย่าง (หนึ่ง) ให้นักเขียนรุ่นหลังได้ศึกษา
หรือมองแนวทางในการดำเนินชีวิตได้
นับเป็นประโยชน์ที่เขาทิ้งไว้ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
สำหรับผมแล้ว นอกเหนือจากเสียดาย
ที่จะไม่มีโอกาสได้อ่านงานของเขาอีกต่อไป
ผมยิ่งเสียดายมากขึ้นเมื่อนึกถึงเขาว่า
ต่อไปนี้ใน "วง" ของเราจะไม่มีกนกพงศ์อีกต่อไป
ใครที่เคยอ่านงานเขียนของกนกพงศ์แล้ว
คิดเลยเถิดว่าเขาคงเป็นคนเคร่งเครียดไม่น่าคบ
เป็นความคิดที่ผิดครับ กนกพงศ์ในวงเป็นคนสนุกชอบอำ
อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ผมจึงรู้สึกเสียดาย
แต่ถึงจะเสียดายอย่างไรก็คงห้ามเขาไม่ได้แล้ว
ทำได้เพียงบอกกับเพื่อนว่า
ไปเถอะกนกพงศ์ ไปเริ่มต้นชีวิตตามที่ปรารถนา
อย่าได้ห่วงอะไร
ด้วยรัก
*ชาติ กอบจิตติ*
******************************
ไม่ต้องสงสัย...*บินหลา สันกาลาคีรี*
"ผมกับกนกพงศ์ไม่สนิทกัน เจอครั้งสุดท้ายประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว
เจอกันไม่เกิน 10 ครั้งในชีวิต เขาเคยเป็นรุ่นน้อง
ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
แต่ไม่เจอกัน เพราะผมออกมาก่อน
"ติดตามอ่านงานของกนกพงศ์มาตลอด
โดยเฉพาะเล่มล่าสุดที่วางคือ
โลกหมุนรอบตัวเอง
อยากบอกว่าเป็นรวมเรื่องสั้นที่ดีมากๆ มาก
จนกระทั่งรู้สึกว่า...คำว่า ลุ่มลึก ลึกซึ้ง
มาใช้กับเล่มนี้ได้เลย ตั้งแต่กนกพงศ์แต่งเรื่องสั้นชุด แผ่นดินอื่น
ก็ไม่ได้รวมเรื่องสั้นอีกเลยเกือบ 10 ปี งานชุด
โลกหมุนรอบตัวเอง
มีค่ามากกว่าเวลาเกือบ 10 ปีนั้น
ยากมากที่จะเขียนให้ได้ขนาดนั้น
และถ้าผมเขียนได้ถึงขนาดนั้น ก็คงไม่เสียดายชีวิตเท่าไหร่
"เมื่อรู้ว่ากนกพงศ์เสียชีวิตก็ใจหาย
เพราะกนกพงศ์ของผมคือคำว่า
ไม่ต้องสงสัย ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
เขาเป็นของแท้ เขาเป็นมืออาชีพ เป็นตัวจริง
ทั้งงานและตัวเขากลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
ผมเชื่อว่างานของเขาจะอยู่อีกนาน
และเชื่อว่างานของเขา
จะเป็นตำนานเรื่องสั้นของไทยเหมือนงานของ มนัส จรรยงค์
และเหมือนงานของนักเขียนอาวุโสหลายท่าน
"กนกพงศ์เป็นที่รักของทุกคน ทุกคนรักเขา
มีความรักมากมายให้เขา
ก็แสดงว่าเขาต้องมีความรักมากมาย
ให้คนอื่นด้วยเหมือนกัน...เป็นสิ่งที่สัมผัสได้"
ยังจำคืนหนึ่ง ริมน้ำปิง
นิ่ง นิ่ง นิ่ง เงียบงัน
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างเขา
อ่านงานของคุณเล่มล่า
ลมปลิว ใบไม้ป่า
หลับตา ถอนใจยาว
เจ้าหงิญของเรา เตาะแตะตามรอยเท้าคุณ หลายขวบปี
ใจหาย, เสียดาย หรือชีวิต
เกิดมาคิด เขียน ได้เพียงนี้
วันหน้า ณ ริมฝั่ง มหานที
สอนผมอีกที ในความเงียบงัน
*บินหลา สันกาลาคีรี*
************************
อาลัยกนกพงศ์.....*จิระนันท์ พิตรปรีชา*
รับรู้ข่าวร้ายไม่รู้จบ กี่ร้อยพันศพ...ศึกแดนใต้
เรือนหมื่นคลื่นกวาดอนาถใจ ทิ้งรอยหม่นไหม้อันดามัน
แล้วมาข่าวร้ายรายล่าสุด จบชีวิตปิดสมุดหยุดเขียนฝัน
เพื่อนเรา "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" ฉับพลันจากพรากยากทำใจ
ไร้เงาเหงาโค้งควนขนุน พิกุลร่วงบนพื้นป่าใหญ่
วรรณกรรมบทอำลา...สุดอาลัย ฝากผลงานคนใต้ให้แผ่นดิน
*จิระนันท์ พิตรปรีชา*
**************************
เปลวกนก กนกพงศ์.....*ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ*
กนกเปลวสะบัดปลาย อยู่แปลบปลาบ
นรกซึ้งสวรรค์ทราบเจ้าสร้างสรรค์
ประชุมเพลิง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"
วงวรรณสะท้านไหวทั้งว่านวงศ์
คืนสู่ธรรมชาติแล้วธาตุสี่
เหลือธุลีอังคารเจ้าเป็นเถ้าผง
หากคมคิดคมคำเจ้ายังคง
กระเดื่องนามกนกพงศ์คงกระพัน
แผ่นดินนี้ยากแค้นแสนขมขื่น
แผ่นดินอื่นมีไหมให้ใจฝัน
แผ่นดินใดเอื้อศรัทธาค่าชีวัน
แผ่นดินนั้นสัจจธรรมจักดำรง
แผ่นดินที่ความจนพ้นอดสู
แผ่นดินซึ่งความรู้พ้นโลภหลง
แผ่นดินซึ่งคนทุกข์ยังทระนง
แผ่นดินซึ่งคนตรงยังยืนยัน
ทางที่เราต้องผ่าน...สะพานขาด
เรายังอาจฝ่าข้ามด้วยความฝัน
เปลวกนก กนกพงศ์ส่องวงวรรณ
จัดโชติชาวง เช่นนั้น...นิรันดร์ไป
*ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ*
****************
แผ่นดินอื่นของกนกพงศ์......*อัศศิริ ธรรมโชติ*
วันนี้ขอกล่าวถึงผลงานของเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจากไป
"แผ่นดินอื่น" คือชื่องานรวมเรื่องสั้นของเขา
ที่ได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ.2539
ซึ่งคณะกรรมการตัดสินได้กล่าวสดุดีเอาไว้
มีความตอนหนึ่งว่า
"สะท้อนความคิด ความเชื่อ คุณค่า
และคตินิยมพื้นถิ่นอย่างลึกซึ้งและแหลมคม
ให้เห็นว่าแม้ในสังคมที่ต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ
มนุษย์ก็สามารถอยู่ร่วมกันด้วยไมตรีสัมพันธ์"
นี่น่าจะหมายถึง
การสะท้อนชีวิตและโลกของคนมุสลิมเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เป็นนักเขียนชาวใต้ เกิดที่พัทลุง
แต่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช
จนกระทั่งวาระสุดท้าย
แต่..
ก่อนหน้านั้นเขาได้ใช้ชีวิตไปทุกที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในสามจังหวัดภาคใต้ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน
กนกพงศ์คลุกคลีและมีเพื่อนเป็นมุสลิมหลายคน
เขาจึงเป็นนักเขียนคนหนึ่งซึ่งรู้จักและ
เข้าใจโลกของคนมุสลิมในแถบชายแดนดี
นับตั้งแต่ฮาราน ที่เป็นทหารชุดปฏิบัติการของรัฐบาล
ครูสาวของเด็กนักเรียนอย่างฟาริดา
คนงานอย่างกอเส็มซึ่งเป็นคนเลี้ยงแพะในกุโบร์
"หมู่บ้านมุสลิมไม่สนุก แน่ละ...
เพราะเราจะหาเหล้าจากที่นี่ไม่ได้แม้เพียงหยด
บูเก๊ะกรือซอในยามค่ำคืนจึงเต็มด้วยความว้าเหว่และหดหู่...
ด้วยตกอยู่กลางวงล้อมของขุนเขา"
นี่คือข้อความหนึ่งในเรื่องแผ่นดินอื่น
กนกพงศ์เป็นนักเขียนผู้สามารถ
ทั้งในการเล่าเรื่อง
และใช้ภาษาสวยสมกับที่เป็นวรรณศิลป์
เขา
เข้าใจโลกของคนมุสลิมดี
อย่างที่เขากล่าวถึงฮารานว่า
เป็นผู้ที่ถูกบ่มเพาะมาให้มีจิตใจเข้มแข็ง
เปี่ยมด้วยความอดทนและรักในเพื่อนมนุษย์
เยี่ยงเดียวกับมุสลิมทั่วไป
จิตใจของมุสลิมถูกฝึกฝนให้กอปรด้วยสามสิ่งนี้ตั้งแต่เล็กๆ
ผมจึงอยากให้คอหนังสือ
และผู้ที่สนใจ
ในปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั่วไป
ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
เพราะนี่คือ
ผลงานทางวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมที่กนกพงศ์ได้ทำไว้
จะลองอ่านฝีมือเขียนของเขาในบางตอนดูได้
"เพลงรองแง็งดังแว่วมาจากบ้านงาน หวานก้องของไวโอลิน
ในเพลงลาฆูดูวอกรีดบาดหัวใจชวนให้สงสัยว่า
นิ้วเรียวจากมือใดถึงพรมสาย
ราวจะดึงจันทร์เพ็ญให้ลอยต่ำลงมาได้ถึงปานนั้น
เด็กหนุ่มมุสลิมอีกสองคนยังอยู่ที่บ้านงาน
เฝ้ารอลิเกฮูลูเอื้อนเสียงแข่งสำเนียงหวานกับน้ำค้างซึ่งพรมยอดหญ้า"
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เจ็บป่วยและตายด้วยไข้หวัดใหญ่เมื่อวันมาฆบูชา
ที่เพิ่งจะผ่านมานี้ด้วยวัยเพียง 40 ปี ช่างน่าเสียดายนัก
จึงขอร่วมไว้อาลัยด้วยงานเขียนชิ้นนี้ครับ
*อัศศิริ ธรรมโชติ*
*******************
บันทึกสุดท้ายที่ไม่อยากเขียน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
"ผมอยากจะเขียนนวนิยาย"
โดย...คุณสาโรจน์ มณีรัตน์
ไม่น่าเชื่อว่าการเขียนถึง
"กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" ในอดีต
สมัยเมื่อครั้งที่เขาได้รับรางวัลรวมเรื่องสั้นซีไรต์
ชุด "แผ่นดินอื่น" เมื่อปี 2539
ทั้งในเรื่องของวิธีคิด ลักษณะการทำงาน
รวมไปถึงความมุ่งมั่น
ที่เขาต้องการที่จะเป็นนักเขียนอาชีพ
จะทำให้ต้องกลับมาเขียนถึงเขาอีกครั้งหนึ่ง !
ในฐานะนักเขียนนามอุโฆษ
ที่จบชีวิตลงด้วยโรคน้ำท่วมปอด
เมื่อตอนสายของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ผ่านมา
และจะฌาปนกิจในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549
ทั้งที่จริงแล้ว การเขียนถึง "กนกพงศ์" ครั้งนี้
น่าจะเป็นการเขียนต่อยอด จากเมื่อครั้งที่เขาเคยขึ้นเวที
"มติชนบุ๊คส์เดย์ตะลอนทัวร์"
ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อ 3-4 ปีผ่านมา
ครั้งนั้นมี "พล.ท.บัญชร ชวาลศิลป์"
ร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นด้วย
และ "กนกพงศ์" ได้เล่าไว้บนเวที
ถึงความฝันในงานเขียนของเขาว่า
ผมอยากจะเขียนนวนิยาย
"เพียงแต่ตอนนี้
กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล
โดยผมวางพล็อตคร่าวๆ
ให้ตัวละครคนหนึ่งถูกทุกคนมองว่าเป็นคนบ้า
แต่คนบ้าคนนี้กลับเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตทุกอย่าง
พล็อตเป็นอย่างนี้
แต่รายละเอียดคงต้องลงไปเก็บข้อมูล
ที่หลังคาแดง
(โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี) อีกครั้ง"
ตอนที่ "กนกพงศ์" พูดถึงงานเขียนนวนิยายเรื่องนี้
ผู้ฟังในหอประชุมค่อนข้างให้ความสนใจกันมาก
ถึงขนาดเขียนคำถามมาถาม แต่เขาคงยังยืนยันความคิดเดิม
"เป็นสิ่งที่ผมอยากทำครับ"
เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ทำ
เหตุที่ "กนกพงศ์" อยากเขียนนวนิยาย
เพราะภาพเดิมของเขาผ่านงานเขียนเรื่องสั้นมาแล้วหลายเล่ม
รวมถึงรวมเรื่องสั้นเล่มสุดคือ "โลกหมุนรอบตัวเอง"
และ
นิตยสารเรื่องสั้น "ราหูอมจันทร์" เล่ม 1
ที่ขณะนี้คงอยู่ในขั้นตอนของการจัดทำอาร์ตเวิร์ค
หรือไม่ก็คงใกล้จะแล้วเสร็จ
เพราะเท่าที่ทราบ "กนกพงศ์"
ค่อนข้างตั้งใจทำนิตยสารเล่มนี้เป็นอย่างมาก
เพราะเขาอยากให้นิตยสารเล่มนี้
เสมือนเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักเขียน
หรือแฟนานุแฟนที่ชื่นชอบงานวรรณกรรม
แต่เขามาด่วนจากไปเสียก่อน !
ถ้ามองย้อนไปในอดีต ความมุ่งมั่นที่เขาอยากเป็นนักเขียน
สิ่งหนึ่งน่าจะมาจาก "พ่อ"
เพราะพ่อสืบเชื้อสายมาจากขุนโจรโบราณ
พ่อซึ่งมีอดีตเป็นครู และพ่อผู้เปิดโอกาสให้ลูกๆ ทั้ง 3 คนขณะนั้น
เลือกเป็นสมาชิกหนังสือเล่มใดก็ได้
โดยกนกพงศ์เลือกชัยพฤกษ์การ์ตูน
พี่ชายเลือกการ์ตูนเด็กก้าวหน้า และพี่สาวเลือกขวัญเรือน
ประกอบกับอิทธิพลอีกประการ
ที่น่าจะมีส่วนทำให้กรอบความคิด มุมมอง ทัศนคติ
ตลอดจนความเชื่อดั้งเดิมที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง การทหาร
หรือการจัดการของชาวบ้านแจ่มชัดขึ้น
เพราะพื้นที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุงในอดีต เคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อน
ดังนั้น ภาพที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นภาพของความโหดร้าย
หรือภาพของความไม่เป็นธรรม
จึงเป็นภาพที่เขานำมาตั้งคำถามกับสังคม
จนเกิดเป็นงานเขียนในยุคแรกๆ
ที่มีฉาก บรรยากาศ หรือตัวละคร
ล้วนสร้างขึ้นจากความทรงจำดั้งเดิม
อาทิในรวมเรื่องสั้นชุด "สะพานขาด"
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ลึกๆ "กนกพงศ์"
แท้จริงแล้วงานเขียนของเขาพัฒนา
เติบโตมาจากกรอบความคิดที่อิสระ
มองถึงลักษณะของปัจเจก มองถึงเรื่องอัตถิภาวนิยม
การแสดงออกระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ มนุษย์กับมนุษย์
และ..
ท้ายสุด
คืออารมณ์กับความรู้สึกที่เขาเข้าไปสัมผัสต่อเรื่องนั้นๆ
"กนกพงศ์" เริ่มค้นพบโลกของเขา
เขาจึงหันหลังให้โลกแห่งการศึกษา
แต่กระนั้น เขาก็ขัดแย้งกับ "แม่" พอสมควร
เพราะ
"แม่" ไม่ต้องการให้เป็นนักเขียน
"แม่ผมเป็นโนราห์
แม่อยากให้ผมเรียนจบ มีงานทำดีๆ
แม่ไม่อยากให้ผมเป็นนักเขียน
ดังนั้น เมื่อผมเลือกที่จะเป็นนักเขียน จึงมีปัญหากับแม่พอสมควร"
แต่
ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นนักเขียน
จึงทำให้เขาเดินต่อไป
ด้วยการไปรบกวนพี่ เพื่อน น้องในกลุ่มนาคร
ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มวรรณกรรมท้องถิ่น
ที่มีนักเขียนปักษ์ใต้มาชุมนุมมากที่สุด
"กนกพงศ์" ใช้ชีวิตระหว่างนี้
ด้วยการฝึกฝนงานเขียนเป็นร้อยๆ เรื่อง
แต่กระนั้น ก็ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของ "กนกพงศ์"
ที่อยากจะเดินต่อไป เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่า
ความฝันกับความเป็นจริงคนละเรื่อง
เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
ไปทำงานที่บริษัทเคล็ดไทย
โดยทำอาร์ตเวิร์คบ้าง บรรณาธิการเล่มบ้าง
แต่เขาทำได้ไม่นาน
เพราะรู้สึกว่างานประจำมันแย่งเวลางานเขียนของเขาไป
เขาจึงตัดสินใจไปเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน
ที่ทางขึ้นน้ำตกอ้ายเขียว อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
เพื่อเขียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว
จน..เรื่องสั้น "สะพานขาด"
ได้รับการประดับช่อการะเกด
จากบรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุดเดินข้ามคืน
"โลกใบเล็กของซัลมาน"
ได้รับการประดับช่อการะเกด
จากบรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุดคนพันธุ์ใหม่
ถึงตรงนี้ "กนกพงศ์" เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่
แต่นั่น
ก็ยังไม่ใช่ความฝัน เพราะความฝันของนักเขียน
นอกจากผลงานจะเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง
การมีพ็อคเก็ตบุ๊กสักเล่มดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ภูมิใจยิ่งกว่า
จน
สำนักพิมพ์นกสีเหลืองของ "เวียง-วชิระ บัวสนธิ์"
เล็งเห็นงานอันทรงคุณค่าที่สุด
จึงพิมพ์รวมเรื่องสั้นชุดสะพานขาดออกมาในเดือนตุลาคม 2534
พฤษภาคม 2535 รวมเรื่องสั้นชุดคนใบเลี้ยงเดี่ยว
จึงปรากฏออกมาเป็นเล่มที่สอง
ถึงตรงนี้ ดูเหมือนเส้นทางที่ "กนกพงศ์" เลือกเดินจะแจ่มชัดขึ้น
เพราะรวมเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่ม
ได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก
จนถึงมีมือมืดส่งเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่มนี้ เข้าชิงซีไรต์ ในปี 2536
แต่
"กนกพงศ์"
ขอใช้สิทธินักเขียนขอถอนรวมเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่มออกมา
ทั้งๆ มีผู้วิจารณ์กันว่าหากเขาไม่ถอนรวมเรื่องสั้นครั้งนั้น
เขาอาจเป็นนักเขียนซีไรต์ประจำปี 2536 ไปแล้วก็ได้
แต่
เขากลับไม่เชื่อเช่นนั้น
เพราะเขาเชื่อตามที่
"เออร์เนสต์ แฮมมิ่งเวย์"
นักประพันธ์ชาวอเมริกันที่บอกว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะเหตุบังเอิญ
แต่ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จเพราะทำงานหนัก"
ความสำเร็จจากการทำงานหนักนี่เอง
ที่พี่ชาย "เจน สงสมพันธุ์" รู้ดีว่า
หากเขาปล่อยให้น้องชายเป็นอยู่อย่างนี้
ไม่เพียงแม่จะไม่สบายใจ
หากยังทำให้น้องชายห่างไกลจากความฝันนานขึ้น
ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำให้
"กนกพงศ์" ใกล้สู่ความฝันเร็วขึ้น
คือ..
ต้องตั้งสำนักพิมพ์นาครขึ้นมา ทางหนึ่ง
เพื่อให้เขาจมจ่อมอยู่กับงานวรรณกรรม
ทางหนึ่งเพื่อให้แม่สบายใจ
และอีกทางหนึ่ง เขาจะได้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง
จน..
พอมีรายได้เพื่อไปเก็บข้อมูลมารังสรรค์งานวรรณกรรมต่อไป !
เหมือนอย่าง "แผ่นดินอื่น" เรื่องสั้นขนาดยาว
ที่เขาใช้เวลากว่า 5 ปีในการเก็บข้อมูล วิจัย
และทำการศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ
ฉะนั้น
จึงไม่แปลกเมื่อ "แผ่นดินอื่น" ถูกเสนอชื่อเข้าชิงซีไรต์ในปี 2539 "
เออร์สกิน คอล์ดเวลล์" ในร่าง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"
จึงได้รับการยอมรับให้เป็นนักเขียนซีไรต์ในที่สุด
แต่ "กนกพงศ์" คงยังเป็น "กนกพงศ์"
เขายอมรับว่าดีใจแต่ขณะเดียวกัน
เขารู้ดีว่าเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดินนั้นยังอีกยาวไกล
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาจะต้องเดินฝ่าไป
"กนกพงศ์" รู้ดีว่า ทุกถิ่นฐานที่เขาอยู่
ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่าทางขึ้นน้ำตกพรหมโลก
บ้านเช่าทางขึ้นน้ำตกอ้ายเขียว
หรือบ้านเช่าที่หุบเขาฝนโปรยไพร
ล้วนเป็นแหล่งสร้างงานวรรณกรรมทั้งสิ้น
โดยเฉพาะที่บ้านหุบเขาฝนโปรยไพร
ที่ระยะหลังๆ เขามีโอกาสอยู่กับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก "อุรุดา โควินทร์"
ก็ล้วนเป็นแหล่งสร้างงานวรรณกรรมดีๆ ออกมาอยู่เสมอ
แม้นานๆ ครั้งก็ตาม..
วันนี้..
แม้ไม่มีร่างเงาของ "กนกพงศ์" อีกต่อไปแล้ว
แต่..
เชื่อแน่ว่าผลงานของเขาทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นรวมเรื่องสั้น บทกวี หรือบทเพลง
ล้วนต่างเป็นภาพสะท้อน
ที่หลายคนคงประจักษ์ชัดว่า
เขาตั้งใจมากแค่ไหน
ที่จะเป็นนักเขียนให้ได้ในวันหนึ่ง
*วันนี้เขาเป็นนักเขียนแล้ว
เป็นนักเขียนในกลางใจของผู้คน*
และ..
เป็นหนึ่งในดวงใจ
เป็นวีรบุรุษไพรของนักอยากจะเขียนเพียรฝันค้าง
อีกคน...ที่ชื่อพุดพัดชาค่ะ
ที่..
แสนรักแสนศรัทธาคารวะ..ตราบชีพวาย*
21 กุมภาพันธ์ 2549 22:38 น.
พุด
กระท่อมไพรในหุบเขาใต้เงาไม้
ลำธารร่ายมนต์ระรินถิ่นฝากฝัน
หวานดอกไม้รายรอบยามสายันณ์
นกไพรขันคูก้องร้องทั่วไพร...
เหนือสายน้ำนวลแสงดาวส่องพราวแสง
หยอกเย้าแกล้งนวลเนื้อสาวหนาวสั่นไหว
แหวกว่ายธารหวานล้ำชื่นฉ่ำใจ
ฝากจูบไปในราตรีที่ไกลเธอ..
ฝากแสงจันทร์ถึงสายใจในคืนนี้
บอกคนดีให้คืนหลังยังพ้อเพ้อ
มนต์ม่านเมฆเสกซึ้งเศร้าเฝ้ารอเธอ
อย่าให้เก้อคืนสู่ฝันวันหวานเรา...
ดวงดอกไม้หวานหวานหว่านโปรยสาย
ล้อดาวพรายในสายธารหวานลืมเหงา
นอนนับดาวราวเรียงดวงลมบางเบา
ในเงียบเหงาใจงามงอกดวงดอกรัก!
.............
เขียนบทนี้ ด้วยคิดถึง โตรกเขา ในเงาเมฆ
กลางพงไพรพะงันงาม..
ยามสนธยา ที่ฟ้าหวานแสนหวาน
เสียงสายธารระรินไหลไพเราะดั่งดนตรีสวรรค์
ดวงดอกไม้หวานหวาน ปลิดดอก โปรยปราย...
พร่างพรมห่มร่างสาวงามผิวนวลน้ำผึ้ง
ม่านฟ้า..ยามสายันณ์ สลับสีสันนุ่มนวล ประโลม..!
21 กุมภาพันธ์ 2549 09:26 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html
( แสนแสบ..เรือนแพ )
..................
http://www.thaipoem.com/forever/poem.php?poemid=81429
เรือนริมคลอง..ภาคแรก
.......................
ผม..กลับมา..
*เรือนริมคลอง*อีกครั้งหนึ่งในวันหยุด
มานั่งทอดตานิ่งนิ่งริมท่าน้ำ
ดูสายน้ำ..ไหลไปไหลไป...ไม่หวนทวนย้อนคืน
เสมอเสมือน..
วิถีชีวิตผู้คนบนผืนโลกนี้
ที่..
ไม่ว่าจะมารับบทดีร้ายเฉกเช่นไฉน
ในวันหนึ่ง.ละคอนโลกย์.*ละคอนชีวิต*
ก็จักปิดฉากลง เท่าเทียมกัน
อาจจะ...
ต่างกันก็เพียงแค่วันเวลา
ที่จะนานช้า..ก็คงไม่เกินร้อยปีสักผู้เดียว..!
ผมเห็น...*ดอกผักตบชวา*
สีม่วงละมุนหมุนเกรียวไปตามสายน้ำวน
ราวกับการดิ้นรนต่อสู้
หากทว่า..
ในท้ายที่สุด...ก็ต้องยอมหยุด..ยอมพ่าย
ยาก...ฝืนกระแสน้ำเชี่ยวกราก
ที่..
พร้อมพรากลาทุกสรรพสิ่ง
ให้ลอยไปตามกระแสน้ำ กระแสกรรม
ผม...คว้าเรือมาดลำน้อย
แล้ว..
ค่อยๆ..พายพาผมไป..ตามลำคลองสายเล็กๆ
ที่..
ตัดผ่านท้องร่องสวนแสนรกเรื้อ
หากให้งามเหลือ..
แบบธรรมชาติๆ..ธรรมดาๆชีวิต...
ผม
หยุดพักพาย..
และ..
แวะซื้อผลไม้จากชาวบ้านแถวนั้น
ตั้งใจจะใส่บาตร...
กับ..
พระที่วาดพายเรือมา ในยามอุษา
กับ
ม่านฟ้าที่ยังสวยสลัวด้วย
ม่านหมอกบางๆ..
ราวภาพวาดสีน้ำที่แสนงามซึ้ง
และ
ค่อยๆชัดขึ้นชัดขึ้น..ตามแสงสีแห่งทิวาวัน
แสงทอง..อันส่องสว่าง
เพื่อ..
นำทางไสว..
แด่..
ทุกมวลหมู่สรรพสัตว์
ทั้งผู้คนและนกกา
เป็นดั่งสัญญาณว่า*ชีวิตใหม่เริ่มอีกวันแล้ว*
ผม..
น้อมนมัสการพระภิกษุชราด้วยน้ำตาซึมซึ้ง
หลัง..
ใส่บาตรและท่านให้ศีลให้พร
ให้..หัวใจดวงดายเดียวอ่อนโยนของผม
แสนดื่มด่ำอย่างลึกล้ำ
จนเกินคำพรรณา ในทุกครายามอิ่มงามปิติบุญ
เหมือน..
บัวน้อย ณ..กลางบึงใจผมค่อยผุดผลิคลี่บาน
รับหยาดน้ำอมฤตธรรม
คลี่เกสรใจ
ให้งามไสวไปตามสายแสงธรรมแสงทอง...
ที่มาส่องให้ชีวีแสนเกษม ..
ผม...
พายเรือ มาหยุดนิ่งกลางบึงบัว
ที่ยังมิแล้งน้ำ ยังให้ดวงดอกงามบานพราว
และ..
ในท่ามแสงฟ้าพรายพราวเริ่มอาบจับ
ไปทั่วทั้งกลีบใบ
หยาดน้ำค้างใสเริ่มส่งประกายวับแววกลิ้งไปมา
หยอกล้อ...นัยน์ตาผม
ให้เห็นสายแสงเพชรพร่างแสนงาม
ราว..
นั่นคือหยาดน้ำทิพย์น้ำทอง...
ผม..ราพาย...ค่อยๆทิ้งตัวนอนนิ่งนิ่งในเรือ
เหนือสระบัวบานสะพรั่งที่ราวกับสระ
แห่งแดนสรวงสวรรค์สุขาวดี
ที่..
กามนิตวาสิฎฐีได้ไปผุดผลิ..ยามสิ้นชีพในภพหล้า
ผม...หรี่ตามองท้องฟ้า
ที่กำลังเล่นแสงแปรสีแสนสวย
ให้มวลมนุษย์ทั่วหล้า
ต่างพากันรับพลังใจไฟฝัน
เพื่อเติมต่อดวงชีวีชีวัน ไปอีกวันและอีกวัน
ตราบจนกว่า ...
จะไม่มีวัน...ตื่นขึ้นมารับสายแสงสวรรค์อีกต่อไป..!
หยาดน้ำตาผมกำลังรินไหล
ด้วยใจดวงดายเดียว เปลี่ยวเหงา
ราว..
โลกอันยิ่งใหญ่นี้
กำลังพลีสอนสัจจะใจให้ผมค้นพบว่า
แท้แล้วนั้น...
เราก็แค่ธุลีหล้า และ..ช่างมีวันเวลาแสนสั้น
หาก...
แล้วทำไมเล่า ...
เรายังเกิดมาห้ำหั่น ให้ร้าย
หลงทำลายจิตใจกันและกัน
แทน..
จะหันหน้ามาทำความเข้าใจ ให้อภัยเมตตา
และ..
เรียนรู้ค่ารัก
อันจักกว่าจะได้มาต้องใช้วันเวลา
และ..
รอท่ามานานแสนนาน..ราวชั่วกัปป์กาลก็มิปาน
ผม..
ทิ้งถอดใจกับโลกภายนอกแสนนาน...ราวอยู่ลำพัง
จนกระทั่ง..
ได้ยินเสียงปลากระโดดฮุบเหยื่อเหนือสายธารนทีทอง
ไปตามครรลองวิถีแห่งการดำรงอยู่...
และ
ชีวีผม...ก็คงเช่นเฉกกัน
หากตราบใดสายนทียังรี่ไหล
ดวงตะวันในนวลใจ...ยังไม่แตกดับ
ด้วยความตรมตรอมหมองไหม้
ผม...
ก็คงต้องดำรงร่าง
เพียรสร้างความดี ทำหน้าที่พลีแด่ผู้เป็นที่รัก
จนกว่า..
กายและจิตจะแตกดับ...
ลาลับหล้า ไปในวันหนึ่ง
ซึ่ง..
ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน..นาทีไหน...
ผม...พายเรือกลับมา
และ..
กับค่ำคืนนี้
ผมจะจุดเทียนวะวับแวม
สวดมนต์หน้าองค์พระปฎิมา
ด้วยหยาดน้ำตา
ที่..
จะไม่ยอมพ่ายเพียรพลีทำความดี
ตราบชั่วชีวีแบบ*ปิดทองหลังพระ*
แม้น..
ใครจะไม่ซึ้งค่าในน้ำใจไมตรีนั้น
และ
นอนนับดาวเดือนนอกชานเรือน
กับ...
มวลหอมอวลแห่งดงดวงดอกไม้ไทย
ลำดวน ลีลาวดี
และ..
ฟังเสียงสายน้ำที่ระรินร่ำ ไหลฉ่ำเย็นอย่างช้าๆ
กับ..
ใจดวงงามเหว่ว้า..แม้..เงียบงัน
และ..
มาตรแม้น..
จะเป็นสุขสงบอย่างอ้างว้างลำพัง...ก็ตามที....
....................
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html
เรือนแพ
เรือน แพ
สุขจริง อิงกระแสธารา
หริ่งระงม ลมพริ้วมา
กล่อมพฤกษา
ดังว่า ดนตรี
หลับอยู่ใน ความรัก
และความชื่น
ชั่ววัน และคืนเช่นนี้
กลิ่นดอกไม้ รัญจวน
ยังอบอวน ยวนยี
สุดที่จะ พรรณา
เรือน แพ
ล่องลอย คอยความรักนานมา
คอยน้ำค้าง กรุณา
หยาดมา จากธารา
แหล่งสวรรค์
วิมานน้อย ลอยริมฝั่ง
ถึงอ้างว้าง เหลือใจรำพัน
หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน
ชีวิต กลางน้ำสุขสันต์
โอ้สวรรค์ ใน เรือน แพ.
19 กุมภาพันธ์ 2549 22:35 น.
พุด
สวัสดีครับคุณพุด
คุณเชื่อไหมครับ
กับเพื่อนบางคน
แม้ไม่ต้องเอ่ยเลยซักคำ
เราก็รับรู้หัวใจของกันและกัน
ที่ทางกับเวลาของชีวิต
บางทีก็ไม่เอื้อให้เราได้พูดในสิ่งที่หัวใจของเราปรารถนา
จึงได้แต่เก็บงำไว้ไม่น้อย
ผมเอง
ติดนิสัยเขียน
ผมเขียนความรู้สึกเหล่านั้นออกมา วันแล้ววันเล่า
ทุกวันที่เขียน ก็มีความรู้สึกสุขอยู่ลึกๆ
การได้ทักทายกัน
ทักทายเพื่อน
ดูเหมือนเป็นของขวัญ
จากวันเวลาอย่างหนึ่งในหลายอย่าง
ที่เราได้รับจากการที่เราเกิดขึ้นมาบนโลก
ผมเชื่อว่าคุณพุดเองก็มีความสุขที่ได้เขียน
ใช่ไหมครับ
สุขสันต์วันเกิดนะครับ
จากมิตรของคุณพุด
ก่อพงษ์ 20 ก.พ. 49
.........................
พุดซึ้งใจค่ะ
ทั้งๆลบงานไปคุณก็เข้ามาให้กำลังใจ
ทำให้พุดน้ำตาซึม
เพราะวันเกิดพุดไม่ค่อยมีใครทราบ
ไม่มีดอกไม้และคำอวยพรมากมายจากใครค่ะ
พุด
มีเพียงใจดวงเหงางามเงียบ..ลำพัง
พุด
จึงไม่ทราบจะกล่าวคำใดแทนใจดวงดายเดียวของพุด
นอกจากคำว่าขอบคุณค่ะ
......
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song112.html
หัวใจสลาย
17 กุมภาพันธ์ 2549 18:09 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1965.html
(คู่กรรม)
ฟ้ากำลังหลั่งน้ำตา
เป็นละอองฝนโปรยสายลงมา
ปรายปลอบหล้าแลผองชนคนไทย
ในยามปลายวสันต์....ลา...
และ..
กับค่ำคืนนี้..
ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนา
วันมาฆบูชา..วันมาฆมาศ
ที่ดวงจันทราสีทอง รอสาดส่องสายแสงแสนหวาน
ลบรานโศก...หวังเพิ่มสอนสัจจะใจ
ให้กับพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกคน
บนผืนดินแห่งความงามสงบสุข
มาเนิ่นนาน หลายยุคสมัย
ให้..
ยิ่งพบความ..เย็นฉ่ำใส..ราวหยาดสายพระพิรุณ
ที่กำลังพรายพรมลงมา..จากหอมห้วงนภากาศ
คุณ..
คนดีที่*ใบบัว*แสนรักภักดี
โทรมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพ
*ผมจะมารับคุณไปกราบพระประธานหลายวัดนะครับ*
*ในวันแห่งความรักของสองเรา*
*ที่..
คงไม่เหมือนใคร..
แบบคนใจดวงโบราณเสมอเสมือนกัน
ที่คงยึดเอาวันสำคัญทางศาสนา
มาเป็นวันแห่งความรักอันแสนหนักแน่นยิ่งใหญ่
ตามรอยองค์พระบรมศาสดาไป
ในเส้นทางทอง
ที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินไปก่อนหน้านี้แล้ว..
และ..
เพียรฝากอริยสัจจ์สี่
ที่คือสัจจธรรมอันแสนล้ำเลอค่าเอาไว้ให้เรา
ได้นำมาพิจารณา..
ค้นหาเหตุ..หาผลแห่งทุกข์
และ
บอกทางอริยมรรคให้รู้หยุดรู้วาง..ว่าง
ให้พบความกระจ่างสว่างสะอาดสงบ
เพื่อสยบทุกข์เกิเลสตัณหาที่จักพาให้จิตหมองมัวมืดดำ
เธอ...ใบบัว
จึงเตรียมตัวนุ่งผ้าถุงผ้าซิ่นไหมงามแผก
และ..
ใส่เสื้อแพรไพลเปิดไหล่ล้ำ
ให้เห็นนวลเนื้ออันผ่องผุดพรรณรายดั่งทองทา
พันทบผมสวยเป็นเกรียวสูงแล้ว เสียบด้วยปิ่นปัก
อันแสนรักที่เธอเคยได้รับของขวัญนานมา
เขา..
มารับเธอตรงเวลา
เพ่งพิศดูร่างงามอย่างมิวางตาด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลโศก
ที่ราวโลกจะหยุดหมุนได้..หากจ้องใครนานนาน
หาก...ยามนี้
กลับดูราวมีรอยแย้มยิ้มแบบอิ่มเอมเบิกบาน
ชื่นชม..ผสมแกม
เธอเอ่ยถาม..
ฉันแต่งตัวถูกกาลเทศะมั้ยคะ
เพราะ....ว่าวันนี้เราไปวัดกันนี่คะ
เลยคิดว่าคงสุภาพดี..
เขาไม่กล่าวคำใด
นอกจาก..
เอื้อมมือไปเด็ด
ดวงดอกเล็บมือนางหอมหอม
ที่กำลังกางฟ้อนพร่างสวยรวยช่ออรชรราวรออยู่ ณ..ริมรั้ว
มาเสียบแซมผมให้เธออย่างทะนุถนอมเบามือ
ก่อน..
จะกระซิบว่า
คุณก็ทราบ..ผมชอบผู้หญิงนุ่งผ้าถุงไปวัด
เพราะ..ดูงามจรัสกว่าการนุ่งยีนส์เปิดสะดือ
ให้พระหวาดเสียวเป็นไหนๆ
เราคบกันมาตั้งนานสองนานแล้ว
ทำไมคุณยังไม่รู้จักรู้ใจผมอีกล่ะหรือ..คนดี..
แล้ว..
คุณก็งามนัก
ในผ้าถุงแบบพันทบอย่างมีรสนิยม
เป็นการประยุกต์แต่งให้งามในท่ามโลกสมัยใหม่
ได้อย่างลงตัวที่สุดแล้วละครับ..
ว่าแล้ว..
เขาก็ยิ้ม..อย่างอิ่มเอมใจอย่างภาคภูมิใจในตัวเธอ
ก่อน..
ที่จะขับรถไปตามจุดหมายปลายทาง..
..
เขา..แวะวัดแรก...
*วัดเทพธิดารามใกล้วัดราชนัดดา*
พร้อมกับ..
เล่าประวัติความเป็นมาว่า
คำว่า* เทพธิดา หมายถึง กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ *
หรือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองศ์เจ้าวิลาส
พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ ๓
ซึ่งมีพระสิริโฉมงดงาม
ทรงได้รับใช้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของพระราชบิดา
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
ทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์
เพื่อร่วมในการก่อสร้างวัดเทพธิดารามด้วย
วัดเทพธิดารามมีสถาปัตยกรรมเป็นแบบจีน
ในวัดมีตุ๊กตาจีนจำหลักทั้งรูปสัตว์และรูปคน
ที่น่าสนใจ คือ
บางตัวสลักเป็นรูปหญิงไทยไว้ผมปีกแบบโบราณนั่งอุ้มลูก
สุนทรภู่เคยมาจำพรรษาที่นี่ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๘๕
และ..
ได้เขียนบทกลอนเรื่องรำพันพิลาปขึ้น
มีบทพรรณนาลักษณะปูชนียสถานปูชนียวัตถุของวัดอย่างละเอียด
บรรยายถึงความงามของพระอารามไว้
และเรียกว่า "กุฏิสุนทรภู่"
มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงกวีเอกผู้นี้ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน เป็นประจำทุกปี
.............
และ..
หลังจากนั้น..ก็...พาเธอไปที่*วัดสุทัศน์เทพวราราม *
ที่ตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มีพระราชประสงค์
จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับ วิหารวัดพนัญเชิง
เป็นศรีสง่าแก่พระนคร
ได้พระราชทานนามไว้ว่า "วัดมหาสุทธาวาส"
แต่สร้างยังมิทันสำเร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสี ยก่อน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงดำเนินงานต่อ
และ
พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม"
สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ
เพราะมี...
*สัตตมหาสถาน*
เป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่อยู่แล้ว
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่
พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต)
พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากว ิหารหลวง
วัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย
และ..
บานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยม
ทางด้านการแกะสลัก ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระ หัตถ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ตามมาด้วยไปกราบ
พระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐาน
ณ..ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
และ..
ยังมีพระที่นั่งอื่นๆที่งามนัก
เช่นพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย..พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร
พระที่นั่งทักษิณาภิมุข..พระที่นั่งวสันตพิมาน
พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข..และพระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข
ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
และ..
ในวันนี้ใบบัวโชคดีที่ได้มาน้อมดวงจิตอธิษฐาน
ด้วยใจดวงเบิกบานราว*บัวทิพย์บัวทอง*
ดั่งบัวพ้นน้ำ..ในท่ามม่านน้ำตาซึมซึ้งตื้นตัน
เมื่อยาม..
ใบบัวแหงนเงยดูภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ภาพเขียนพุทธประวัติตอนเทศนา
โปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และภาพเทพชุมนุมที่ยังทรงคงคุณค่า
และ..
พร้อมกับที่เขาคนดีที่เธอแสนรัก
ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา
ของพระพุทธสิหิงค์
ว่า..
เป็นศิลปะสุโขทัย สำริดกะไหล่ทอง สูง 166 ซม
ที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้มาจากลังกา
แล้วนำขึ้นไปถวายพระเจ้ากรุงสุโขทัย
จากนั้น...
ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานหลายเมือง
เช่น กรุงศรีอยุธยา กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่
ใบบัว
อธิษฐานจิตนิ่งพร้อมภาวนาสมาธิ
ด้วยจิตดวงดีดวงใสใจดวงรักเงียบงาม
และ..
ท่ามความปิติล้ำเหลือจนน้ำตาซึม
เมื่อแหงนเงยเห็นพระเนตรแห่งพระพุทธสิหิงศ์
ที่งามมลังเมลืองในบุษบกทองคำงามล้ำค่า
ทอดพระเนตรลงมาราวทรงมีพระเมตตากรุณา
อย่างที่สุดให้กับดวงใจใสพิสุทธิ์
ราวกำลังได้รับหยาดน้ำอมฤต..ธรรม.
และ.
กับวัดสุดท้าย
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า
*วัดพระแก้ว* นั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
พร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง
ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา
วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก
มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ
เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา
ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง
และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็น
ที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย
มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้
ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว
ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล ..
เพราะ..
เป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี
คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และ
สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา
การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา
มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม
อันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ
ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทย
ไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้
อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป
พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑
เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน
มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก
ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ
มีหลังคาเป็นพาไลคลุม
รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น
พนักระเบียงรับเสานางราย
ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน
ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง
ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง
มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
*ใบบัว*จึงแสนซึ้ง
สำนึกในความเป็นไทย
ในทุกวัฒนธรรมประเพณี
ผ่าน...
ความงามที่สอนให้เรารู้จัก
รักความปราณีตละเมียดละไม
ที่มาจากใจช่างไทยผู้รักสมถะ
รู้ค่า..
ของคำสอนแห่งพระบรมศาสดา
ที่ทรงกล่าวว่า...
*ความสุขใดจักเกินกว่าความสงบเย็นเป็นไม่มี*
ใช่แล้วสินะ
ที่ไม่ว่างานงามพุทธศิลป์ใด
ก็มักก่อเกิดมาจากความสงบร่มเย็นในทุกภูมิวิถีไทย
และ..
ในทุกความมลังเมลืองละเมียดละไมในฝีมือ
ของวัดวาอาราม
ต้องใช้ใจดวงใสดวงงามดวงรักสมถะพอดีพอเพียงเพียงนั้น
ที่..
ยังคงมั่นในวิถีชีวีอันไม่เร่งร้อนรีบเร่ง
ของช่างโบราณในหลากด้านหลายสาขา
ไม่ว่าจะด้าน
จิตรกรรม ปฎิมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม
และมากวัฒนธรรมประเพณีไทย
ก็ต้องมาจากใจที่เพียรฝึกปรือความชำนาญ
ฝากไว้ให้กับผืนแผ่นดิน
ที่คงต้องใช้ใจดวงใสแก้ว
ที่แพรวพรายฉายฉานดั่งอัญมณีอันแสนงามเย็น
*ใบบัว*
จึงรู้สึกดื่มด่ำแสนปิติใจ
ในทุกครา..
ที่ได้ทอดทัศนาวัดวาอาราม บ้านเรือนไทย
และ..
พระที่นั่งอันแสนงามไสวด้วยประวัติความเป็นมาที่มากล้นค่า
พาให้ย้อนรำลึก
นึกไปถึงความสงบงามในอดีตเนานาน
ที่ผันผ่านลาเลยอย่างยากหวนย้อนคืน....
และ..
สำหรับสัจจธรรมชีวิต
ไม่ว่าเราทุกคนจะสนุกสนานกันสักปานไหน
ในวัยวันหนึ่ง
หากแล้ว..
ไม่นานเราทุกคนก็ราวกลับจะซึ้งคำที่ว่า
ในที่สุดแล้ว
เราก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารอันจักร่วงโรยรา
ราวดอกไม้รอท่าปลิดปลิว ไปกับกาลเวลา
อันค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
โดยบางคราเราหารู้ตัวไม่...
เพราะ..
มัวหลงใหลได้ปลื้มดื่มด่ำกับความสนุกสุขสันต์มันส์เมา
จนราวคนเขลาหลงโลกโศกมายา
มารู้ค่าแห่งวันเวลาอีกที
ก็..
เมื่อถึงนาทีเห็นความเจ็บความตายตรงหน้า
หากทว่า...ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ที่จะแผ้วถาง พาจิตวิญญาณให้พบความสว่างใส
ให้จิตไสวได้ทันสะสม*เสบียงบุญ*กันเอาไว้
ใบบัว..
แวะหยิบลั่นทมริมทาง
ที่ดอกยังสดสะอ้านนวลกลีบยังงามงด
ราวสาวสวยยังสดโสภา
แห่งทว่ามิอาจเอาชนะชะตากรรมได้
เมื่อถึงเวลาย่อมร่วงปลิดปลิวลงมา
เช่นเฉกเดียวกับดวงดอกลั่นทมดอกนี้..
และ..
บางทีอาจจะ
ก่อนถึงกาลเวลาอันควร
ราวกับมากมายล้วนหมู่มนุษย์ในวัยหนุ่มสาว
ที่มิอาจผัดเพี้ยนพญามัจจุราชได้
และ..
กับนาทีนี้..
ที่ใบบัวได้รับทราบข่าวว่า
คุณกนกพงศ์ สงสมพันธ์ ได้พรากลาวงวรรณกรรม
ไปอีกหนึ่ง
ทั้งๆ...
ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น
ก็ยิ่งทำให้ได้บ่มร่ำถึงคำว่ามรณานุสติ
ที่คือความแน่นอน ...ยิ่งกว่าแน่นอน
ใบบัว..
ค่อยๆคลี่ปอยผมที่พันทบคลายร้อนออกอย่างช้าๆ
ก่อน..
ที่เขาจะทัดดอกลั่นทมให้
และ..
ด้วยใจดวงเหว่ว้าพอกัน
ที่จิตมองเห็น..
*ครรลองลาของสัจจะธรรม...พรากจาก*
ทุกธรรมชาติ
ที่รายล้อมสอนใจให้รู้รักเงียบงาม
ใบบัวและเขา..นั่งนิ่งนิ่ง
พิงเก้าอี้ริมสวนสาธารณะ
ที่มีฝูงนกพิราบบินลงมามากมาย
ผู้คนทั้งไทยเทศราวฝูงมดปลวก
ต่างพากัน
มาสัมผัสความงามในสถาปัตยกรรมอันแสนทรงคุณค่า
ที่แสนมหัศจรรย์นัก...
..........................
ค่ำแล้ว...
พร้อม..
เสียงสวดมนต์ดังก้องรอบลานโบสถ์
เขากับใบบัวประคองอัจกลับโคมแก้ว
ที่แวววามพร่างพร้อยด้วยแสงเทียน
และ..
ร้อยรัดพันทบด้วยมาลัยพวงหอมกรุ่น
กับ..
ละมุนด้วยบัวดอกสวยในมืองาม
ที่ใบบัวเลือกพับกลีบ
อย่างแสนประณีตละเมียดละไมบรรจง
ด้วยใจดวงศรัทธาปสาทะ ในวันสำคัญแห่งศาสนานี้
และ..
หันมาแย้มยิ้มยินดีปรีย์เปรมในปิติเกษมบุญกันและกัน...
......................
ฝนโปรยสายหนักขึ้น
ขณะเขาฝ่าฟันการจราจร*กลับบ้าน*
เขาเปิดเพลงซึ้งซึ้งคลอสายฝนที่กำลังพร่างพรม
จนแทบมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า
ฟ้าราวกำลังร่ำไห้
และ..
ในท่ามดาวเดือนที่มืดมนไร้สิ้นแสงในเงาฝนคืนฝัน
วันสิ้นไร้พระจันทร์..
พลัน..!!!!
เสียงดังสนั่น..อย่างกับฟ้าคำรามตามมา..!!!
พร้อมกับรถที่เขาขับ..แล่นถลาออกนอกเส้นทาง
อย่างควบคุมไม่ได้..!!!
เขา..ร้องบอกกับเธอด้วยสติที่ยังพอมี
ให้หลบลง .!!!!!!ราวรู้ว่ารถกำลังถูกชนอย่างรุนแรง..!!!
ก่อน..
นาทีแห่งความเป็นความตายจะหมายรอณ..ตรงหน้า..!!!
กับ..
ฟ้าที่มิหยุดสุดสิ้นกำสรวลหวนไห้..คล้ายดั่งหยาดน้ำตา
ใบบัวเซซวนด้วยแรงปะทะ กัมปนาท..!!!
ศีรษะราวถูกฟาดด้วยบางสิ่งแสนหนักอึ้ง
หาก..
ยังพอมีสติ...รู้สึกตัว....
...................
...........................
เธอ...เพียรควานไขว่คว้าไปในม่านฝนสลัว
ด้วยหยาดเลือดเต็มนัยน์ตา...
และ...
ได้ยินเสียงเพรียกหาเธออยู่ใกล้ๆ....
ใช่แล้ว ..!!!
เขาคนดี ที่เธอแสนรัก
ที่เพิ่งได้พักพิงไออุ่นอวลอกอ่อนหวาน
เพิ่งผ่านนาทีอันแสนงามแสนดีมาด้วยกัน
อยู่ตรงนี้เองใต้ซากรถนี้เอง
เธอ..ได้กลิ่นน้ำมัน
ปนไปกับกลิ่นเลือดที่กำลังหยาดรินอย่างมิสิ้นสาย..!!!
หาก..
ด้วยพลังแห่งรักที่มี
เธอ..
ค่อยๆเพียรพยายามดึงร่างเขาคนดี
ที่เธอแสนรักออกมาจนได้...
.................
...........................
แล้ว.....
ค่อยๆ...
วางศรีษะเขาไว้ในอ้อมตัก
พร้อม..
ร่างที่เริ่มหนาวเหน็บ..
ก่อน...
จะลูบไล้ใบหน้าอย่างแสนรัก
พร้อมจุมพิต...แนบแน่นริมแก้มเย็น
กระซิบ...
บอกเขาริมหูพอได้ยิน..
*จิตจับไว้ที่ดอกบัวทิพย์นะ..คนดีนะดวงใจ
ที่ๆ..
เราจะไปผุดผลิพบกัน..
ณ ...แดนขวัญสวรรค์สรวง
อย่าห่วงสิ่งใดเลยนะยอดรัก
หลับให้สบายนะที่รัก..นับจากนี้ไป..ตราบจนชั่วนิจนิรันดร์...
.........................................
.........................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1965.html
คู่กรรม..
ช...ดังนรกชัง ฤาสวรรค์แกล้ง
แกล้งทรมาน ให้ฉันได้เจอ
ญ...เกลียดชิงชัง สุดท้ายรักเธอ
แต่พอเผลอ พรากเธอดับสูญ
ช...เวรกรรมหรือไร แต่ปางไหนนั่น
ญ...สุขเพียงชั่ววัน แต่ช้ำทวีคูณ
ช...ให้ห่างไกล สุดฟ้าอาดูร
ญ...สูญสิ้นเธอ ตลอดกาล
ญ...อธิษฐานจิตใจหากเกิดชาติไหน
ช...ฐานันดรใดใด ทุกสถาน
ช-ญ...ดลให้เรา ได้พบเจอเป็นคู่กัน
วอนสวรรค์ ได้ไหม
ช...วิญญาณฉันรอ ที่ทางช้างเผือก
เลือกเธอรักเธอ ได้ร้างลาไกล
ญ...ดั่งหิ่งห้อย เฝ้าคอยจนชีพวาย
ใต้ลำพู รอคู่กรรม
ญ...อธิษฐานจิตใจหากเกิดชาติไหน
ช...ฐานันดรใดใด ทุกสถาน
ช-ญ...ดลให้เรา ได้พบเจอเป็นคู่กัน
วอนสวรรค์ ได้ไหม
ช....วิญญาณฉันรอ ที่ทางช้างเผือก
เลือกเธอรักเธอ ได้ร้างลาไกล
ญ...ดั่งหิ่งห้อย เฝ้าคอยจนชีพวาย
ใต้ลำพู รอคู่กรรม...