15 พฤษภาคม 2548 21:08 น.

แผ่นดินของเรา!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
(แผ่นดินของเรา)
.................


ตลับเพชร.....
ตัดสินใจมาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ..

และ...
ที่นี่..ที่..วัดสลักหรือวัดมหาธาตุ
ในยามตะวันชิงพลบ...



เธอคนดี
กำลังนั่งทอดตาเหว่ว้า
ใต้ลีลาวดีใบเขียวไพลดอกพราวใกล้ๆลานโล่งกว้าง
และ..
นัยน์เรียวตาอันแสนอ้างว้าง...
ราวเพิ่งผ่านพ้นเรื่องรานโศกสะเทือนใจมา..มิช้านาน
ราวกับมีหยาดเพชรละออคลอซึมค้าง
ดั่งหยาดน้ำค้างใสพร่างรอร่วงพรู



เธอ....
ตัดสินใจ มาที่นี่ มาตามหารอย..*วีรบุรุษในดวงใจ*
และ..คงเป็นของคนไทยทั้งชาติ..หากมิพลาดอ่าน



หนังสือนวนิยายแสนดีอิงประวัติศาสตร์
ชื่อว่า*รัตนโกสินทร์ กำเนิดกรุงเทพ
โดยคุณปองพล  อดิเรกสาร 
ให้จบลง.........



และ...
นาทีนี้เธอ..
อยากแนะนำให้ทุกดวงใจ
* กระวีกระวาด**นักอยากจะเขียน*ในร่มรัก
ได้ซื้อหามาอ่านผ่านตา
 เพราะจะมีคุณค่าทางด้านจิตวิญาณบ้านภายใน




ให้เราทุกดวงใจ
ได้รำลึกรู้ถึงความยิ่งใหญ่
ในความเสียสละของบรรพบุรุษไทย...บรรพชนของเรา
ผู้พลีเลือดทุกหยดรินรดลงหลั่งชะโลมหล้า
เพื่อปกบ้านป้องเมืองไว้ให้เราลูกหลานไทย


ได้มีแผ่นดินไท มิใช่ทาส ..
ได้หยัดยืนอย่างองอาจภาคภูมิในแผ่นดินทองของเรา

ให้รู้กตเวทิคุณและภูมิใจในสายเลือดนักรบไทย ผู้ทรนงและหาญกล้า
 สอนให้เรารู้ซึ้ง...ถึงค่าคำว่ากตัญญูรู้คุณต่อผืนแผ่นดิน


และ...
รู้จักจดจำมิสร้างประวัติศาสตร์ชาติให้ชอกช้ำย้ำรอยเดิม

ให้รู้จำคำว่าสงครามนั้น..
หากตราบใดที่กระโจนลงมาในสนามภูมิรบกัน
ก็จะมีทั้งวันพ่ายแพ้แลชนะ

ใครพลาดท่าก็จะตกเป็นฝ่ายย่อยยับอัปราชัย..!!

ให้เกิดความโศกเศร้าสะเทือนใจ..ที่สุดแสนเทวษถวิล..!!!
อย่างในยามที่เราสิ้นกรุงศรีอยุธยา ..!


ในคืนที่ฟ้าไทในกรุงศรีอยุธยาแดงโชติช่วงฉายฉาน
ปานประหนึ่งอาบท่วมไปด้วยเลือด เลือด..และเลือด..!!!!!

มีเพียงม่านควันไฟลุกโพลงโหมไหม้
ทำลายบ้านเรือนวัดวาอาราม
ที่แสนมลังเมลืองอลังการปานทิพยวิมานสวรรค์สรวงมาเยือนหล้า...อย่างย่อยยับ..!!!!!
เหลือ...เพียงทรากปรักหักพังในชั่วพริบตา.....!!!!


ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
อันโหยหวน เสียงอาวุธ กระทบกัน ทั้ง  หอก ดาบ ปีนคาบศิลา

และ..
ที่ตามมา...คือ...กลิ่นคาวเลือด...และซากศพนับหมื่นพัน
ทั้งไทยพม่าที่ฟาดฟันกันอย่างไร้ปรานี..ปล่อยให้ชีวีหลุดลอยปลิดปลิว
ตายไปในสมรภูมิรบ..ราวใบไม้ร่วง
ถมซ้อนทับกัน..จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร..!!!!! 


ไหนจะเสียงร้องระงม...ตามหากันจ้าละหวั่น
เพื่อให้หนีภยันตรายอันหมายถึงชีวิตให้พ้นผองภัย

ทั้งเด็กผู้หญิงที่จักถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานี 
อย่างที่มิสามารถจะปกป้องตนเองได้

ความโหดร้ายเหี้ยมเกรียม  ทารุณในสนามรบ .!
ไฟที่กำลังคุโพลง..!สว่างจ้า  ราวกลางวัน

 หากทว่าในดวงใจไททุกดวงราววัน*แห่งอาทิตย์อับแสง..!!! *
แฝงด้วยความโศกาอาดูรพูนเทวษ 

จนน้ำตาก็ไร้ค่ามิพอที่จะหลั่งรินสังเวย..ทั่วทั้งปฐพี!!!!


มีเพียงใจดวงหนาวร้าวระกำช้ำลึกอย่างยากที่จะเยียวยา..!!!!

ราวกับสิ้นทั้งโลกหล้า 
ฟ้า แล ดิน..สิ้นอินทร์พรหม ยมพญา
พลอยพากันวิปโยคโศกสะเทือน...โหยไห้..ร่ำหา..ครางครวญ
อวลกลบกลืนไปทั้งผืนฟ้า........อยุธยาธานี 

ที่ ณ..บัดนี้..ร้างไร้...
คล้ายเหลือเพียงจิตวิญญาณ

ที่ลอยล่อง อย่าง...เจ็บช้ำ เจ็บแปลบ แสบแสน ในโศกนาฎกรรมนี้

ที่มิอาจพลี จิตร่างรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานได้.....!!!!!
....................
..............................



ตลับเพชร ....
ราวได้ยินเสียงบทรำพันอันอาดูรสูญสิ้นแล้ว..... จากนิราศนรินทร์

ที่รำพึงถวิลถึงอดีตอันแสนงามตราตรึง..
ในคะนึงใน ลอยแว่วแผ่วโหยเศร้า...เคล้าสายหนาวลมหลังฝนมาณ..นาทีนี้
.............



ศรีสิทธิ์พิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกว่ากว้าง เผยแผ่นผ้างเมืองเมรุ ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า แจกแจงจ้าเจิดจันทร์ เพียงพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญห้าวแหนบาท สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน สายเศิกเหลี้ยนล่งหล้า ราญราบหน้าเภริน เข็ญข่าวยินยอบตัว ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว ทุกไทน้าวมาลย์น้อม ขอออกออมมาอ่อน ผ่อนแผ่นดินให้ผาย ขยายแผ่นฟ้าให้แผ้ว เลี้ยงทแกล้วให้กล้า พระยศไท้เทิดฟ้า เฟื่องฟุ้งทศธรรม ท่านแฮ




อยุธยายศล่มแล้ว                           ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร                  เจิดหล้า 
บุญเพรงพระหากสรรค์                   ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ 
บังอบายเบิกฟ้า                               ฝึกฟื้นใจเมือง

เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น                     พันแสง 
รินรสพระธรรมแสดง                       ค่ำเช้า 
เจดีย์ระดะแซง                                เสียดยอด 
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า                            แก่นหล้าหลากสวรรค์ 

โบสถ์ระเบียงมรฑปพื้น                    ไพหาร 
ธรรมาสน์ศาลาลาน                          พระแผ้ว 
หอไตรระฆังขาน                              ภายค่ำ 
ไขประทีปโคมแก้ว                            ก่ำฟ้าเฟือนจันทร์ 

เสร็จสารพระยศซ้อง                         สรรเสริญ 
ไป่แจ่มใจจำเริญ                              ร่ำอ้าง 
ตราตรอมตระโมจเหิน                       หวนสวาท 
อกวะหวิวหวั่นร้าง                              รีบร้อนการณรงค์ 

แถลงปางบำราศห้อง                          โหยครวญ 
เสนาะเสน่ห์กำศรวล                          สั่งแก้ว 
โอบองค์ผอูนอวล                                ออกโอษฐ์ อรเอย 
ยามหนึ่งฤาแคล้วแคล้ว                      คลาดคล้ายขวบปี 

รอยบุญเราร่วมพร้อง                          พบกัน 
บาปแบ่งสองทำทัน                              เท่าสร้าง 
เพรงพรากสัตว์จำฝัน                          พลัดคู่ เขาฤา 
บุญร่วมบาปจำร้าง                               นุชร้างเรียมไกล 

จำใจจากแม่เปลื้อง                             ปลิดอก อรเอย 
เยียวว่าแดเดียวยก                            แยกได้ 
สองซีกแล่งทรวงตก                             แตกภาค ออกแม่ 
ภาคพี่ไปหนึ่งไว้                                   แนบเนื้อนวลถนอม 

โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ                             แลโลม โลกเอย 
แม้ว่ามีกิ่งโพยม                                  ยื่นหล้า
แขวนขวัญนุชชูโฉม                            แบกเมฆ ไว้แม่ 
กีดบ่มีกิ่งฟ้า                                         ฝากน้องนางเดียว 

โฉมควรจักฝากฟ้า                               ฤาดิน ดีฤา 
เกรงเทพไท้ธรณินทร์                           ลอบกล้ำ 
ฝากลมเลื่อนโฉมบิน                             บนเล่า นะแม่ 
ลมจะชายชักช้ำ                                     ชอกเนื้อเรียมสงวน 
 
ฝากอุมาสมรแม่แล้                               ลักษมี เล่านา 
ทรามสวยมภูวจักรี                                เกลือกใกล้  
เรียมคิดจบจนตรี โลกล่วง                     แล้วแม่ 
โฉมฝากใจแม่ได้                                 ยิ่งด้วยใครครอง 

บรรจถรณ์หมอนม่านมุ้ง                       เตียงสมร 
เตียงช่วยเตือนนุชนอน                       แท่นน้อง 
ฉุกโฉมแม่จักจร                                  จากม่าน มาแฮ 
ม่านอย่าเบิกบังห้อง                              หับให้คอยหน 

สงสารเป็นห่วงให้                                 แหนขวัญ แม่ฮา 
ขวัญแม่สมบูรณ์จันทร์                           แจ่มหน้า 
เกศีนีนิลพรร                                       โณภาส 
 งามเงื่อนหางยูงฟ้า                               ฝากเจ้าจงดี 

เรียมจากจักเนิ่นน้อง                           จงเนา นะแม่ 
ศรีสวัสดิ์เทอญเยาว์                              อย่าอ้อน
อำนาจสัตย์สองเรา                                คืนร่วม กันแม่ 
การณรงค์ราชการร้อน                          เร่งแล้วเรียมลา
                         ....................................




ตลับเพชร...ตะลุยอ่านนวนิยายแสนงามนั้น
ที่มีทั้งหมด638หน้า...ภายในไม่กี่ชั่วคืน

และ..ทุกนาทีที่สายตาพาสายใจ
และจิตวิญญาณผ่านเข้าไปราวกับอยู่ในเหตุการณ์นั้น
ดวงใจ..ก็ไหว  ก็หวั่น...ราวขวัญหาย



ยามได้อ่านพบ...
บทที่*บุญมา*(กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
หลบหนีภัยออกมากับสามสหาย จากอยุธยา 
ก่อนที่กรุงจะแตก....



ภาพจากการรจนาบรรยายความไห้โหยที่แสนโศกสะเทือนใจ
ภาพที่*บุญมา* ผจญภัยสร้างวีรกรรม 
ภาพที่ได้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าตาก
และ....
ได้เคียงบ่าเคียงไหล่
กับสมเด็จพระเชษฐาธิราช*นายทองด้วง(สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก)
ออกสู้รบนับไม่ถ้วน...



อย่างหาญกล้า 
อย่างยอมพลีสิ้นทั้งจิตวิญญาณ...จนเลือดหยาดสุดท้าย
และ...
แม้นในยามบั้นปลาย
ที่ยังมิยอมพ่าย...สังขาร..ดั่งชายชาติเสือ(พระนามท่านอีกนาม)



ท่านก็ยัง..ได้เสด็จ..ไปทำสงครามอีก
ทั้งๆที่ร่างกายเริ่มป่วยด้วยโรคนิ่วที่แสนทรมาน
จน...กระทั่ง...ทนไม่ไหว..



และ
ถึงภาพนี้...
ที่*ตลับเพชร*ยังตราจำมาในคะนึง
ด้วยรานร้าวเศร้าใจอย่างใหญ่หลวง..
*****



ในเดือนกรกฏาคม 
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ทรงรู้สึกว่าพระอาการดีขึ้นและความเจ็บปวดทุเลาลงบ้างแล้ว


จึงมีพระราชประสงค์
ที่จะเสด็จไปนมัสการ...พระประธาน...ที่วัดพระศรีสรรเพชญ
หรือวัดสลัก...
ที่พระองค์ได้ถวายคำปฎิญาณต่อพระประธานในอุโบสถ
เมื่อครั้งที่เสด็จหนีพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยา...



พระองค์รู้สึกผูกพันกับวัดนี้มาก...
และเมื่อทรงรับราชการ...เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ในรัชกาลของพระเจ้าตาก
ก็ได้ทรงสร้างบ้านอยู่ใกล้กับวัดสลัก
และ...
ได้เป็นองค์อุปัฎฐากทำนุบำรุงวัดนี้มาตลอด



ในวันนั้น....
จึงทรงสั่งให้เตรียมพระแคร่หาม
และ...
เมื่อเสด็จมาถึงหน้าพระอุโบสถของวัดพระศรีสรรเพชญ
เสด็จลงจากพระแคร่และเสด็จพระดำเนินอย่างช้าช้า
ขนาบข้างด้วยพระองค์เจ้าชายลำดวนและพระองค์เจ้าชายอินทปัต
เข้าไปในพระอุโบสถ โดยมีเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่คอยรับเสด็จ



กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท...
ทรงคุกพระชานุลงบนพื้นพระอุโบสถ และกราบนมัสการพระประธาน

ทรงรำลึกถึงพระบารมี...ที่ได้หลบหนีพม่าเข้ามา
กราบพระประธานองค์นี้...เป็นครั้งแรก..เมื่อสามสิบปีที่แล้ว



เมื่อ ทรงกราบแล้ว
ก็ทรงประทับพับเพียบพนมหัตถ์สวดนมัสการพระรัตนตรัย
และ
ทรงอธิษฐานอยู่ต่อหน้าพระประธานอยู่นานพอควร..




*ไปเอาดาบของข้ามา *พระมหาอุปราชทรงลืมพระเนตรขึ้น
แล้วหันมาตรัสกับนายทหารราชวัลลภ


*ดาบคู่บุญบารมีมาช้านาน...ที่ข้าได้ปกป้องแผ่นดินนี้จากอริราชศัตรู 
ต่อแต่นี้ไป ข้าจะไม่มีวาสนาจะได้ใช้มันอีก
ข้าจะขอถวายดาบเล่มนี้เป็นพุทธบูชา...
ให้ประดิษฐานเป็นราวเทียนหน้าพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าเคารพนับถือองค์นี้*



นายทหารราชวัลลภคลานเข้ามาในพระอุโบสถ 
อัญเชิญดาบซึ่งปลายด้ามมีรูปหัวสิงห์ทำด้วยทองอยู่ในฝักไม้คร่ำทอง
มาถวายต่อพระหัตถ์สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท



กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ทรงรับพระแสงดาบมาถือไว้ตามยาวในพระหัตถ์ทั้งสองข้าง
แล้วกระโหย่งพระองค์ลงบนพระชานุ และประทับลงบนสันพระบาท
ยกพระหัตถ์พร้อมพระแสงดาบสูงขึ้นจนจรดพระอุระ
และ
ตรัสต่อหน้าพระประธานด้วยพระสุรเสียงอันดังและหนักแน่น



*ข้าพระพุทธเจ้าบุญมา กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
พระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ขอถวายดาบคู่ใจองค์นี้เป็นพุทธบูชารับใช้ปรนนิบัติองค์พระประธาน
และพระพุทธศาสนาแทนกายข้าสืบไป
โดยตั้งไว้เป็นราวเทียนหน้าองค์พระประธานนี้*



ทรงเว้นระยะและตรัสต่อ...
*บาปกรรมใดใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ก่อขึ้นแล้ว...ด้วยการฆ่าฟันอริราชศัตรู
ผู้เป็นเสี้ยนหนามต่อแผ่นดินนี้ 

ขอโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้า 
ขอให้ชำระล้างหมดสิ้นไปด้วยน้ำตาจากเทียนทุกหยด
ที่ปักบูชาพระประธานและไหลลงบนดาบที่พาดถวายเป็นราวเทียนองค์นี้

เมื่อถึงคราวที่ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องละสังขารจากโลกนี้ 
ขอให้จากไปอย่างสงบ ขอให้พบพระนิพพาน ในกาลข้างหน้าเทอญ..*


กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงจับพระแสงดาบคู่ชีพไว้แน่น
ทรงรู้สึกน้อยพระทัยที่ได้ทรงลำบากยากเข็ญเอาเลือดและเนื้อพลีเพื่อพิทักษ์แผ่นดิน
หมายใจว่า....
ในยามที่ทรงพระชราจะได้เสวยสุขสราญและเป็นที่พึ่งแก่พระราชวงศ์
และพระบวรวงศ์น้อยใหญ่ได้


ทันใดนั้นพระอาการนิ่วและพิษไข้ก็กำเริบรุนแรงหนัก 
จนต้องใช้ปลายฝักดาบยันกับพื้นพระอุโบสถ
เพื่อพยุงพระองค์ไว้มิให้ทรงล้มคว่ำพระพักตร์ลง


ทรงขบพระทนต์แน่นเพื่อสู้กับความเจ็บปวด
พระเสโทไหลท่วมพระองค์และพระพักตร์อันซีดเซียว

*ข้าทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหวแล้ว!*
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงร้องลั่นออกมา
*ข้าขอถวายชีวิตต่อหน้าองค์พระประธานเดี๋ยวนี้!*



กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงกระชากพระแสงดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
แล้วทรงเงื้อขึ้นหมายจะเชือดพระศอของพระองค์เองให้ตักษัย


พระองค์เจ้าชายลำดวน
ซึ่งประทับอยู่เบื้องพระปฤษฏางค์พระบิดา
และเฝ้าสังเกตพระอากัปกิริยาอยู่อย่างห่วงใยเห็นท่ามิดี
 จึงเข้ายึดพระหัตถ์ที่ถือพระแสงดาบไว้ได้อย่างฉับพลัน



พระองค์เจ้าชายอินทปัต
และนายทหารราชวัลลภก็เข้ามาช่วยกันรุมล้อมพระองค์
กันพระแสงดาบออกไปได้สำเร็จ


สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงกันแสง
และก่นด่าพระโอรสและองครักษ์...
ที่ขัดขวางและทรงรำพันถึงความเจ็บปวดทรมานพระวรกายไม่สิ้นสุด



พระโอรสทั้งสองทรงกอดพระราชบิดาแน่น
พร้อมกับทรงพระกันแสงร่ำไห้
ด้วยความสงสารและเศร้าพระทัยในพระราชบิดา



เจ้าอาวาสวัดพระศรีสรรเพชญเห็นดังนั้น
จึงเข้ามานั่งเบื้องพระพักตร์พระมหาอุปราชและเจริญพุทธมนต์
พร้อมเทศน์ถวายเกี่ยวกับบาปบุยคุณโทษของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
โดยเฉพาะการกะรทำอัตวินิบาตอันถือว่าเป็นบาปอันมหันต์



เป็นการอกตัญญูต่อบิดามารดาและครูบาอาจารย์ที่ได้ให้กำเนิด เลี้ยงดู 
และอบรมสั่งสอนมาจนเติบโต...และ..ได้พบพระพุทธศาสนา
สมควรจะปฎิบัติธรรม ในบั้นปลายชีวิต..ถวายรับใช้พระคุณท่าน
และเป็นบุญกุศลแก่ตนเองสืบไปในภายหน้า




สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ประทับฟังด้วยพระอาการสงบนิ่งเฉย

ภายในพระนาภีของพระองค์ยังเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ทรงข่มพระทัยให้ชุ่มชื่นในรสพระธรรม
จนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะหนึ่ง


เมื่อเจ้าอาวาสเทศน์จบลง ...
จึงทรงถวายนมัสการกราบลง
แล้ว..
ทรงหยิบพระแสงดาบ ขึ้นมา
ด้วยพระหัตถ์ทั้งสองยื่นถวายต่อพระคุณเจ้า
...............
........................




และ...
ในที่สุดพระองค์ก็จำทรงพรากลาจากหล้าโลกนี้ไป
ทิ้งไว้เพียงคุณงามความดี...
ความกล้าหาญ..ที่แสนเกริกไกร

พร้อมกับแสงเทียนเล่มใหญ่
ที่สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าทรงจุดบูชาไว้เบื้องหน้าพระพุทธสิหิงค์
ที่วูบลงและมอดดับลับลาไปพร้อมกัน...!!!!!!
...................
...............



ตลับเพชร..หนาวเยือกในดวงใจ...เป็นยิ่งนัก

พร้อมดวงดอกลั่นทมที่ปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง
โปรยปรายลงมาในท่ามกลางสายลมหนาว
ที่ฝากความหอมเศร้า

ราวให้รำลึกว่า...

ทุกสรรพชีวิตและสรรพสิ่งบนผืนโลกนี้ 
ไม่ว่า...จะยิ่งใหญ่ ยากดีมีจนแค่ไหน...

ในที่สุดทุกคนทุกดวงใจทุกร่าง...ก็จำต้องชดใช้วิบากกรรม
ต่างก็ต้องฝากฝังคืนร่างไร้...ไว้กับผืนพสุธา..



หากจะเหลือ
ก็คงเพียงเรื่องราวตำนานแห่งความเป็นจริง
ของ..วีรบุรุษคนกล้าแห่งแผ่นดินไทยที่แสนยิ่งใหญ่...ก่อนจะลาลับดับพลี

ที่ได้เพียรสร้างคุณงามความดีไว้ให้ผู้คนรุ่นหลังได้กล่าวขวัญ
รำพันรำพึงด้วยความศรัทธาชื่นชมโสมนัส
และ..
แสนภาคภูมิ...ปิติใจ พอที่จะนำไปเป็นแบบอย่าง 



ก่อนที่...
จะทิ้งร่าง..แลจิตวิญญาณดวงงาม
พรากลาตามไป...อย่างมิอาจหลีกลี้หนีพ้น.....!!!!!!


******************


รจนาพลีเทิดพระเกียรติ
ถวายแด่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
และ
แด่ทุกดวงวิญญาญบรรพชนผู้หาญกล้า
และ
อีกหนึ่งวีรบุรุษนักรจนา ในดวงใจพุดพัดชา
 คุณปองพล อดิเรกสาร
ท่านผู้ที่ฝากผลงานอันแสนงามจิตวิญญาณยิ่งใหญ่
แห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยไว้ให้อนุชนและลูกหลาน
ได้ภาคภูมิปิติใจในแผ่นดินของเราค่ะ

...........


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
แผ่นดินของเรา 
สันติ ลุนเผ่ 
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
ใกล้ไกล
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
เลือดไทยไหลโลม ลงดิน
ใครหมิ่น ศักดิ์ศรี คนไทย
ย่อมมีวัน สักวัน ให้ไทย
ล้างใจ อัปรีย์
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน

แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน
สัก วันต้องคืนกลับมา
มั่นใจ เถิดหนา
ขอพลี ชีวารักษาชาติไทย
ชาติไทยคู่ฟ้า
เลือดทา แผ่นดิน... 
 


				
14 พฤษภาคม 2548 13:04 น.

เรือนบุษบา!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html
(บุษบาเสี่ยงเทียน)
*********************


ครั้นอิเหนาพรอดน้อง    บุษบา
ราชนิพนธ์มณฑา-          รพไล้
สุวรรณศิลป์รัมภา          รังเรข รำนา
กลอนละครละม้าย          มกุฎร้อยกรองสวรรค์ฯ
.................


เสียงซอซอซาบซึ้ง          ศศิมนตร์
โสมส่องทองมณฑล         ทิพย์หล้า
บุหลันเลื่อนลอยยล         ยศยิ่ง พ่อนา
ซอเซ่นสามสายฟ้า-        ฟาดฝ้าโศกสลายฯ

...............




บุษบาชื่อบุษบา บุษบาที่แปลว่าดอกไม้นั่นแหละ...ใช่เลย..!
และ
เป็นบุษบาไพร มิใช่บุษบาเมือง
และก็
คงมิใช่นางเอกบุษบานารีในเรื่องอิเหนา


เพราะบุษบาคนนี้
เบื่อเรื่องรักรัก เสียนักเสียหนา
จนถึงกับได้อธิษฐานภาวนาแทนเสี่ยงเทียนที่จะ*ให้อิเหนาเขามารักข้า*

เป็นว่าเกิดมาชาตินี้ชาติไหน
ขอให้ดวงใจพ้นพันธนารัก เสียได้จะเป็นดี


ทุกวันนี้ บุษบา มีความสุขกับชีวิต กับธรรมชาติ

กับความสว่างสะอาดของจิตดวงใส

ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก
ได้พิงพักกับมวลดอกไม้รายรอบเรือน

*เรือนบุษบา* ที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน
อย่างที่ฝันเอาไว้มานานปี


เรือนที่หนีไม่พ้นบึงบัว
มีแสงไฟสลัวจากเชิงเทียนแก้วแทนไฟนีออน
มีชานให้นอนเอนอิงพิงพักใจ..ได้ดูดาวเดือน

เป็นเรือนที่มีมวลดอกไม้ไทยหวานหอม
มาเคลียเคล้าในภวังค์ฝัน...ตั้งแต่เช้ายันค่ำ


เรือนที่ยังได้ยินเสียงเรไรร่ำ ดุเหว่าร้อง 
พร้องแผ่วแว่วเสียงหวานปานนกโกกิลาในตำนานพุทธศาสนา
และ...
ราวได้ยินเสียงนางโกกิลาที่คร่ำครวญหวนหา*พระอานนท์...
............



เรือนริมบึงตรึงใจวิมานฝัน
บัวหลากพันธุ์บานชูช่อล้อแดดใส
จิก..ดอกหวานหว่านดอกลำธารไพร
นั่นต้นไทรไหวเอนลู่คู่นกกา..

ตะวันสีไพลชิงพลบหลบเงาเมฆ
ธรรมชาติเสกใจภิรมย์ชมมัจฉา
มีชานฝันอันรื่นรมย์ชมพนา
ตะวันลาโพล้เพล้เหว่ว้าใจ..

พายเรือน้อยลอยคว้างกลางสระกว้าง
นอนอ้างว้างมองดูดาวพราวสุกใส
โอ้ดาวน้อย ลอยเด่นดวง สุดแสนไกล
ราวสอนใจไม่มีวันฝันเป็นจริง..

จุดตะเกียงเคียงหัวนอนเขียนกลอนฝัน
นวลแสงจันทร์ลอดโลมไล้ลืมทุกสิ่ง
เคียงหมอนขาวพราวดอกไม้หอมงามยิ่ง
หลับตานิ่งดิ่งหัวใจไม่ตรอมตรม...

พอยามดึกพงพฤกษ์ไพรไหวน้ำค้าง
ใจว่างว่างลืมโลกลืมโศกสม
เรือนหลังน้อยกับจิ้งหรีดร้องระงม
เนื้อใจบ่มเพาะฝันดีที่งอกงามยามเงียบงัน...






และ..สำหรับ

บุษบา มีความสุข

ที่ได้ชีวิตแสนสงบสุขแล้วเพียรภาวนา



และ...
หากค่ำคืนไหน
ที่บุษบา คนนี้...ลุกขึ้นมาจุดเทียน

ก็คือเทียนทองผ่องแผ้วถวายเป็นพุทธบูชา 

มิใช่..!มาเสี่ยงเทียนตามหารัก

เพื่อเพียรฝึกหนักให้มีสมาธิภาวนา
เกิดปัญญา
รู้รักษาจิต ใสใจดวงงาม 
มิให้หวั่นหวามหวั่นไหวหลงใหลไปตามกระแสโลกย์

ที่แม้นแต่พระพุทธองค์..ยังต้องดิ้นรนให้พ้นโศกสิ้นทั้งปวง

มิต้องตกลงในบ่วงแห่งพันธนารักนั้น

ที่รักกันได้กันดี ...


หากพอถึงวันหนึ่ง
เมื่อดวงชีวาชีวี
และสังขารจำใกล้จะถึงเวลาโรยร่วง

โปรยปลิดปลิว
เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟ

ก็ต่างพากันตระหนักว่า...

เกิดมา ชาติหนึ่งนั้น วันเวลาแห่งชีวีช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนัก..
และ
ทุกสิ่งที่ผันผ่านมาคือทุกขังอนิจจังอนัตตา
ที่หายึดมั่นถือมั่นได้นานไม่..!

 แม้แต่...*คำว่ารักนิรันดร์*

จริงๆแล้วคือความทุกข์ ทั้งสิ้นทั้งนั้น 
ไม่ว่า เกิด แก่..เจ็บ..ตาย



และ...
จะต้องกลับมาวนว่าย อีกนับอสงไขยชาติ ..ให้น่าเหนื่อยนัก 

มาสู้รบกับความรักความชัง
ทั้งหวังหวานและขมขื่น 

ที่ถึง..แสนชื่นฉ่ำ..ก็คงไม่นานปี...

รอเวลาที่จะพ่ายแพ้สังขาร
พรากลาโลกโศกสุขทุกข์ร้อนนอนไม่หายใจ กันทั้งนั้น

ไม่เลือกวัยวันอายุขัยให้เตรียมใจไว้ได้เลย


และ
ในท่ามราตรีนี้...

ที่เป็นราตรีคืนเดือนเสี้ยว

จันทร์เสี้ยว..ดวงเศร้า..ที่ดูแสนงาม...

ปานประหนึ่งราวเรือทองกำลังลอยล่องท่องไป
ในแดนดินแห่งความฝันสวรรค์สรวง
ในท่ามรวงเรียวเกลียวเมฆหวานแสนหวาน




บุษบา..
ได้กราบกราน
ถวายมาลัยมะลิพวงโตหอมกรุ่นละมุนมงคล
พลีแด่องค์พระพุทธคุณ ด้วยจิตดวงใสดวงคารวะ
จุดเทียน..พร่างพราวนับได้ *ยี่สิบแปดเล่ม.*....

แล้ว...



ใจดวงงามพลันรำลึกนึกไปถึง
เรื่องราว...

ที่พระยาสุรสีห์ได้พลีดาบ
ที่กรำศึกอย่างโชกโชนถวาย
เป็นราวเทียนให้จุดถวายเป็นพุทธบูชาในโบสถ์คร่ำ

ก่อนวันที่ดวงชีวาท่านจะลาลับ
ราวแทนคำสัจจะอธิษฐานภาวนา

ที่ยอมพลีชีวาและทุกหยาดเลือดหลั่ง
ให้พลั่งรินจนหยาดสุดท้าย

เพื่อปกบ้านป้องเมืองเอาไว้
ใช่อยากเข่นฆ่าใคร 

หากทว่านี่คือสงครามเพื่อแผ่นดินไทย 
ที่บรรพบุรุษผู้เก่งกล้าเกริกไกร 
จำต้องรักษาอิสรา
 เพื่อให้ลูกหลานไทยได้มีผืนหล้าไว้หยัดยืนอย่างทรนง..!
...........



บุษบาจึ่งได้แต่
ก้มลงกราบกราน..ณ..เบื้องหน้า
พระพักตร์พระพุทธทองคำสุกปลั่ง..นิ่งนาน

 แล้ว
น้อมศิระกรานอธิษฐานจิตแด่
องค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


นั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา..*สวดคาถาพาหุง *
ตามด้วยมนตราอิติปิโสภควา

อุทิศให้กับ
มิ่งมิตรทางจิตวิญญาณของบุษบาในค่ำคืนนี้
ที่เป็นดั่งคนดีเป็นสุขนิรันดร์ฝันแสนงาม


และ...
หวังไม่นานช้า ...
เขาคงไขว่คว้าดาวดวง
มาสู่อุ้งมืองาม 

รจนางานมากมายฝากไว้เพื่อพลีบรรณาการดับแล้งโลก
ลบโศกคลาย 

ให้มวลมมุษยได้เลิกใจร้ายคอยห้ำหั่นกัน

ให้ดั่งสายน้ำรักนิรันดร์
ได้นำทางไปสู่ฝั่งฝันฤาสวรรค์ ..จนถึงพระนิพพาน

ตราบนานแสนนาน..ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ..


บุษบา..
ได้กลิ่นดวงดอกพิกุลหอมพราวมาเคล้าใจดวงงามในยามนี้

แล้ว...
ใจดวงดีก็ประหวัดไปในค่ำคืนหนึ่ง
คืนแห่งความซึ้งสุขนิรันดร์งาม

ในต้นยามรัชสมัยรัตนโกสินทร์


คืนแห่งเบื้องบนนภา..
ที่รัศมีดาราส่องแสงพรายพร่างสว่างนวลสะท้อนทอละออม่านเมฆ........

เดือนแฝงเร้นซ่อนละมุนละไม.ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม..
ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย
เมฆชมพูหวาน ราว สายไหม เกาะกลุ่ม ละเมียด 
เป็นช่อชั้นราววิมานเมฆ นวลละออน่านั่งน่านอนเล่น 


ดั่งทิพย์สวรรค์ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.........
ทายทัก..พักสายตา..พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม..
.ตะลึงใจ..ตะไลฝันกับงามล้ำของม่านเมฆ..มนต์ขลังแห่งฝันแสนงามนั้น


และ
นั่นคือจินตนาการที่บุษบาได้สานฝัน

ต่อจาก...
บทประพันธ์อันตราตรึง
*
ในเรื่องรัตนโกสินทร์กำเนิดกรุงเทพ..*
*ของ..คุณปองพล  อดิเรกสาร*

ที่เพิ่งได้อ่านผ่านตาหากยังอวลตราล้ำลึกเกษมในบึ้งใจ


*ในยามที่บุญมา(เจ้าพระยาสุรสีห์)
ยืนเคียงคู่เจ้านางศรีอโนชารับลมเย็น
บนระเบียงบ้านไม้สองชั้น ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านบางกอก

เจ้านางศรีอโนชา โอบกอด
เด็กหญิงอายุได้สี่เดือนไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม



บุญมา โอบเอวเจ้านางศรีอโนชาไว้เพียงเบาๆ
เขาดูสบายใจในชุดโจงกระเบนสีเขียวเข้มสวมเสื้อคอกลมสีขาว
สายตาที่มองดูภริยาและลูกสาวบ่งชัดถึง
ความรักและความเอ็นดูของผู้ที่เป็นสามีและเป็นพ่อ

ท่าทางที่ยิ้มแย้มเบิกบานของบุญมาขณะนี้ 
กลบกลืนความเป็นนักรบที่เก่งกล้าดุดัน

กับความเป็นแม่ทัพชาญศึกที่สุดคนหนึ่งของกรุงธนบุรี
ซึ่งทั้งข้าศึกและทหารของเขาเองต่างเกรงกลัวและยอมรับนับถือฝืมือ*



*พี่จากไปเกือบปี  เจ้ารู้ไหมหรือไม่ว่าพี่คิดถึงเจ้าตลอดเวลา
และนับวันรอให้ลูกสาวคนนี้เกิดมาด้วย*

*เจ้านางศรีอโนชาเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอ 
ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งในใจถามตัวเองว่า...
*นี่หรือคือพระยาเสือ  ที่ใครๆกลัว*

นางยิ้มอย่างเอ็นดู
เมื่อเห็นบุญมายื่นหน้าออกไปรับลม
และหลับตาสูดอากาศที่สดชื่นสบายใจ*
................
....................




*ลมโชยแรงมาจากสวนรอบบ้าน
พากลิ่นดอกพิกุลที่ปลูกไว้ไม่ไกลจากบ้านมาด้วย

*บุญมา..*ผ่อนลมหายใจสูดกลิ่นดอกไม้ที่เขาชื่นชอบเข้าไปช้าช้า 

ในใจหวนนึกถึงเครื่องประทิ่นของชาววังกรุงเก่า
ที่ทำจากดอกพิกุลอบแห้ง
ที่บรรดานางในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาเคยชอบใช้กันหนักหนา*
...........
.................*


และ...สำหรับดวงจิตบุษบา
ก็ได้แต่ร่ำไห้อย่างโศกครวญแทบทุกบรรทัด

จิตนั้นพลันพลีเทิดทูนคารวะแด่ทุกดวงวิญญาณบรรพชน
วีรบุรุษลูกผู้ชายชาติไท หัวใจหาญกล้า ราวชายชาติอาชาไนย
ที่มิเกรงกริ่งหวั่นภัย 
ยอมพลีเลือดเพื่อปกป้องผืนดินตราบจนสิ้นใจ
ตราบจนหยาดสุดท้าย..!!!!!




และ..
ฝากไว้ให้เราลูกหลานไทยทุกดวงจินต์ในวันนี้ 
ให้ยังมีแผ่นพื้นพสุธาไทยพสุธาทอง
ให้ยังได้ครองหยัดยืน ครองขวัญ ฝัน 

ก็จงอย่าลืม...
สร้างสรรปันพลีความดีความงามคืนกลับแด่แผ่นดินแม่มาตุภูมิ
แด่ผืนโลก  ให้สมภาคภูมิ

ก่อนที่...ลมหายใจจะมอดดับลับลาไปราวอาทิตย์อับแสง..!!!!!!
............................
........................




จุดเทียนกราบกรานหน้าพระพุทธ
ร้อยมาลัยพวงพิสุทธิ์หอมพลีมงคลขวัญ
อธิษฐานให้ยอดดวงใจสุขสดใสในวันเกิดตราบนิรันดร์
เทียนยี่สิบแปดเล่มพลันทอแสงพร่างกระจ่างใจ

สวดพาหุงมหากาให้คนดี
รอวันที่เอื้อมดาวได้ดังฝันไขว่
ให้มีคนรักแสนรักรายรอบใจ
ให้ดวงใจใสกระจ่างสร้างงานธรรม

น้ำตาใจสะท้อนแสงเทียนวะวาววับ
ราวแสงเพชรวิบวับรับรินร่ำ
เสียงสายฝนหล่นพราวพร่างพรมพรำ
น้ำตาขวัญหยาดรินสิ้นทั้งใจ

คือน้ำตาแห่งปิติที่พลีภักดิ์
หยาดแทนรักแทนห่วงดวงใจใส
แทนค่าคำอักษราหวานล้ำรัดร้อยใจ
แทนอมตะรักใดในโลกนี้พลีแด่เธอ...!!!

...........


เธอคือเมฆเสกสายหวานมาห้อมห่ม
มาพร่างพรมขวัญเจ้าคราวเหน็บหนาว
เธอคือสร้อยร้อยสวยด้วยรวงดาว
คล้องฝันพราวรับขวัญพลีราตรีเพ็ญ..

ราวสายลมพรมผ่านลุกขึ้นสู้
โลกยังอยู่ดอกไม้หวานบานให้เห็น
แม้นดายเดียวเปลี่ยวร้าวใจเยียบเย็น
เธอยังเป็นเช่นเทียนทองส่องกลางใจ

ราวรุ้งเรียวเกี่ยวฟ้าทางช้างเผือก
ลบหนาวเยือกให้อุ่นพร่างสว่างไสว
รจนาบทกวีที่งามงดหมดจดใจ
ระรินไหวลบโลกร้อนสอนกมล...

เธอคือสายธารหวานพรมห่มหอมร่าง
ให้ฉ่ำพร่างฉ่ำชื่นดุจสายฝน
เธอนั้นหรือคือน้ำค้างกลางกลีบรสสุคนธ์
เธอคือคนของสายธรรมนำชีวี..

เธอคือตะวันอันโอบเอื้อมนุษยชาติ
สว่างวาดรจนาร้อยสร้อยศักดิ์ศรี
เธอนะหรือคือยอดงามยอดความดี
เป็นสร้อยสีสร้อยแสงสร้างแรงรัก..

เธอคือไม้ไพรในป่าเมืองมนุษย์
สร้างพิสุทธิ์ดุจร่มธรรมล้ำค่านัก
เธอคือใครใครคือเธอเล่ายอดรัก
ยอมพลีภักดิ์ศรัทธารักศรัทธาใจในวันนี้..





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html
(บุษบาเสี่ยงเทียน)

เทียนจุดเวียนพระพุท-ธา
ตัว ข้า บุษบาขออธิษฐาน
เทียนที่เวียนนมัสการ 
บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา
ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า
ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู
ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่
ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน
อ้า องค์พระพุท-ธา 
ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน 
ข้าสวดมนต์ขอพระพร
วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี
รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่
ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา
ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า
รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ

อ้า องค์พระพุทธา 
ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน 
ข้าสวดมนต์ ขอพระพร
วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี
รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่
ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา
ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า
รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ...
.................


A4203260-23.jpgpri109a.jpg26.jpg				
12 พฤษภาคม 2548 09:07 น.

สายฝนสายฝันสวรรค์ไพร!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song250.html
(กังหันสวาท)
.............



วสันตฤดู....
กำลังจะมาโปรยหล้า
มาฝากจุมพิตรวงเรียว
มาเกี่ยวดวงใจให้ยิ่งเหงางาม

มาตามกระหน่ำตกตีราวปีศาจวสันต์.....


และ...
สำหรับดวงใจทุกดวงที่เคยโศกศัลย์
มีอดีตกรีดรอยฝัน..
ให้...
สวรรค์ลาไปกับฟ้าดินในยามสายฝนพรำ

ก็..ยิ่งคงมาตอกย้ำตกตี
มาพลีคร่ำครางครวญ
มาพาให้ดวงใจไห้หวนยิ่งเจ็บช้ำ.....


ยิ่งพาให้ใจดวงดายเดียว...ยิ่งเดียวดาย
พาให้ได้อารมณ์แสนเปล่าเปลี่ยวลึกล้ำเป็นยิ่งนักแล้ว

ในอีกไม่ช้านานนี้....

ที่ในทุกยามได้ยินได้ฟังเสียงสายฝนกระหน่ำ..

ในยามที่หยาดฝนพร่างพรำปรายโปรยลงมา
ที่จะคงยิ่งพาให้ดวงใจแสนยิ่งอ้างว้าง..ว่างใจ....


และ...
มนตราสายวสันต์สายฝันสายสวาท
คงมา..ดลตรา...
มาพาดวงใจให้อยากถอยหลังกลับไป

สู่ความรำลึกนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในหนหลัง
ที่บางคนแสนมีความทรงจำที่แสนหวานเศร้า..สล้างงาม..

ได้ซุกร่างในอ้อมอกอุ่นของใครสักคน
ได้นอนเคลียกมลหนุนไหล่
ฟังเสียงดนตรีฝนบรรเลง

ได้เอนอ้อนอิงในอ้อมตักอ้อมใจกันและกัน
ได้นอนฟังเสียงฝนครางฟ้าครวญ.....


ได้นอนรัญจวนใจออดอ้อน
ได้เฝ้าวอนเว้า
เฝ้าดูดวงดอกฝนดอกฝัน...จนสุขซึ้งเกินรำพันรำพึง.....

ได้พากันหลอมละลายร่างใจ
ด้วยปานประหนึ่งรักแสนรัก

ด้วยความหวิวไหวหวั่นหวาม
ด้วยความหวานปานน้ำผึ้งรวงแห่งรัก
จนร่างรักจักกลายกลับเป็นเนื้อเดียวกัน

จนได้พบสวรรค์แสนสุขในทุกคืนวัน
ทั้งในราวเมือง ราวไพร 
ในกระท่อมไพรในป่าฝัน
ในสวรรค์วิมานวนาในเนินผาเหนือท้องทะเล



และ.....!!!
แล้ว..ไม่ช้านาน

บ้างก็พบราน ก็พบเศร้า ก็พบคราวถึงเวลาเบื่อหน่าย..

จากหยาดน้ำผึ้งกลายเป็นยาพิษ
จากสนิทเนื้อเดียวกลายเป็นต่างคนต่างไป

ต่างไม่หันกันมาแลเหลียว
ต่างชาตินี้ไม่อยากข้องเกี่ยวกันอีกเลยแล้ว...!


ต่างลืมคำมั่นสัญญา
ไปกับฟ้ากับลมกับสายฝนสายฝัน

กับสวรรค์ลวง กับบ่วง..แค่ชั่วครู่ชั่วคราว

ต่างทิ้งเรื่องราวให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ที่ยังพึงตัดใจหักใจไม่ได้..

ได้หนาวเหน็บเจ็บร้าว เศร้ารานเพียงลำพัง..และลำพัง..นานปี

จนกว่า.....
จะมีบางสิ่งรายรอบมาเตือนตนตื่น

มาฝากชื่นพลีฉ่ำมาระร่ำริน
ที่คือสิ่งแสนดีพลีมาสอนสัจจธรรม


และ...นั่นคือ กาลเวลา
 และ
หยาดน้ำใสจากยอดพระธรรมอันคือยาอันอมฤต

ที่จะฟื้นฟูชุบชูชีวิต.....

ให้รู้ว่า....
ทุกสิ่งในชีวิตนั้น...

ไร้สิ่งใดผันแปร มิเคยมีสิ่งใดแน่นอน
หากหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก 
ก็บอกได้เลยว่าจำต้องพรากลาจากหล้าโลกอย่างแน่นอน



และ...
ทุกสรรพสิ่งสังขาร ที่มิช้านานต้องแก่ เจ็บตาย
ดั่งดอกไม้ ใบไม้รอร่วงโปรยปลิดปลิว...
ใช่คงที่คงทน...

ทุกสิ่งนั้น
ขึ้นอยู่กับจิตดวงใสใจเราเอง
ให้เพียรรักษา ให้เพียรคว้าไขว่
พาให้ใจดวงงามได้พบความสว่างสะอาดสงบพบสุขนิรันดร์
อันคือ...รักนิรันดร์อย่างแท้จริง...


และ
คนดี...ลองมองสิ่งอื่นที่ชุบชูชีวีเราดีกว่า
สิ่งที่มีแต่ให้ ให้ อย่างไร้ร้องขอ

ในธรรมชาติ...ที่เกิดก่อ ดิน น้ำ ลม ไฟ ...
สายธารสวยใสนั้น

ก็จะแฝงฝังให้เรารักสุนทรีย์รื่นรมย์


ได้ฝากลมหายใจแห่งดวงชีวี
เพื่อรอรับฤดูกาลใหม่..
ที่จะผ่านมาและผ่านไป
มิคงที่คงทน...


และนี่คือสัจจธรรม...ธรรมชาติ

ที่กำลังตราย้ำให้
เราเข้าใจกฎแห่งความผันแปรไปไม่แน่ไม่นอน
ในทุกฉากตอนของชีวีชีวิต

ที่ไร้สิ่งใดจะนำมายึดมั่นถือมั่น

ไม่ว่า
ฤดูกาลหรือฤดีระกำก็ตามที..นะคนดี นะดวงใจ



และ
ยังมีสิ่งดีดีให้เรา
หันมาใช้วันเวลาแห่งชีวาชีวิตอย่างมีค่า
กับ
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามิใช่คน.ที่มีหอมให้เปรอปรน
หยาดเย็นในดวงจิตได้สนิทพบความงามเงียบ

ได้เฉียดใกล้..รู้ปลูกรัก รักษ์ภักดีพลีแด่ผืนดิน แผ่นดิน
มิรู้สิ้นรู้จบ ให้ลูกหลานยังหันไปได้พบ......



ต้นไม้ ต้นไม้ หรือธรรมชาติรายรอบ

ที่จักมีแต่จะยืนหยัดให้ดอกผล
ให้กมลเราแสนชื่นฉ่ำใจ
หากเราเททุ่มใจ เอาใจใส่ทะนุถนอม

ซึ่งผิดกับคน
ที่บางครั้งกมลราวลมเพลมพัด
สลัดรักตัดสวาทได้อย่างไม่ใยดี
ลืมหมดทั้งความดีความงาม
เมื่อไปพบพานสิ่งที่เย้ายวนกว่า

และโอ้อนิจจา...

ดั่งกังหันเอยกังหันสวาท...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song250.html
กังหันสวาท 
กังหันสวาท หมุนเวียนเปลี่ยนไป
เพราะใจ ของคน
ชีวิตปวงชน มีวันปะปน
วกวน เรื่อยไป
ขี้นอยู่ในห้วง หทัย
ใจใครไม่คง แน่นอน
สั่นคลอนให้ใจ ไหวหวั่น
กังหันสวาท นิราศผ่านไกล
ไปไม่กลับคืน
ชีวิตขมขื่น หน้าชื่น อกตรม
ระทม โศกศัลย์
ผู้ใด ไม่สิ้น ผูกพัน
รันทด หทัย สิ้นดี
ย่อมมีแต่ ความ ระบม
รัก เปรียบ กังหันลม
ย่อมมี เปลี่ยนแปลง
ด้วยแรง ความชื่นชม
หากมัวหลง พะวง ต่อคำนิยม
ชมชื่น มีปรวนแปร
ชีวิตสวาท นั้นพลาดผิดไป
เพราะไม่ ไตร่ตรอง
ชีวิต ก็ต้อง เหมือนคนสิ้นใจ
ฤทัย อ่อนแอ
คนเราไม่มี แน่แท้
เอาแน่ อะไร ใจคน
ย่อมวนเวียน ไป จนตาย
รัก เปรียบ กังหันลม
ย่อมมี เปลี่ยนแปลง
ด้วยแรง ความชื่นชม
หากมัวหลง พะวง ต่อคำนิยม
ชมชื่น มีปรวนแปร
ชีวิตสวาท นั้นพลาดผิดไป
เพราะไม่ ไตร่ตรอง
ชีวิต ก็ต้อง เหมือนคนสิ้นใจ
ฤทัย อ่อนแอ
คนเราไม่มี แน่แท้
เอาแน่ อะไร ใจคน
ย่อมวนเวียน ไป จนตาย...
..........

 


ให้เราเรียนรู้เท่าทัน

ให้เรารู้ทันเท่าทุกผัสสะที่มากระทบ
และ...
รู้รักษาจิตใสใจดวงงามให้ผ่องแผ้วพ้นพันธนารัก
อันจักหาความแน่นอนมิได้เลย... 
..................


และ....

ในท่ามกลางสายฝนพรำ ..
เหมาะเหลือเกินที่จะจัดสวน 

ลงมือปลูกต้นไม้ ดอกไม้ 
หรือหาไม้ดอกไม้ใบมาประดับมุมต่างๆ ภายในบ้าน 
ภายในสวนของเราให้สวยใสสดสีหอมงาม..  


ตามฉัน..มาสิ..
จะพาเธอนี้ไปเลือกต้นไม้ ดอกไม้ด้วยกัน 

อยากให้มีดวงดอกไม้สีไหน พันธุ์ไหน 
อยู่ในสวนของเธอ ก็ตามใจฝัน ตามใจจินตนาการได้เลยนะ..  



เพราะโลกนี้ดอกไม้มีหลากสี หลากพันธุ์ 
เขียว ขาว แดง ม่วง เหลือง ส้ม ชมพู ฟ้า น้ำเงิน ครีม โอลด์โรส.....

 เธอชอบสีแบบไหน สีร้อน หรือสีเย็น .... 
เธอลงมือเป็นจิตรกร ผสมผเส
ให้สวนสวยของเธอมีสีสันได้ตามใจชอบ  


เธออาจจะซื้อกระถัง กระถาง 
มาระบายสี มาเพ้นท์สีสวยงาม 

แล้วมาวางไว้ใส่ดอกไม้ให้ตัดกันฉับๆ 
ดูแรงร้อน หรือจะให้ซ่อนเสน่ห์ล้ำลึก....ก็แล้วแต่เธอ..  


เธออาจจะทาสีเก้าอี้ ระแนงไม้ 
หรือเธออาจจะเปลี่ยนสีผนังบ้านของเธอ
ให้สดใส กระจ่างใจเจิดจ้ารับกับสวนสวยของเธอ... 

 อยากลองลงสวนเล่นสี มาสิคนดี 
ลองปรับเปลี่ยนใจ 
อย่าเอาใจใส่แต่ร่างกายให้งามภายนอกอย่างเดียว 


มาเอาใจสวนสวรรค์แห่งนี้ 
ที่อาจจะมีดอกไม้หวานบานกลางใจให้สวยใสงาม  
เพาะพันธุ์ละมุน ให้หัวใจ 
และ
กับใครใครที่ผ่านมาแวะเยี่ยมเยือน 
ได้ชื่นตาฉ่ำใจ 




และหวังว่า สวนแห่งนี้ คือสวนแห่งรัก 
เป็นดั่งสวนขวัญ
ที่เราจะมอบกำนัลคืนกลับสู่ผืนดินแห่งรักนี้ 
ที่เราได้หยัดยืนมายาวนาน..นิรันดร์......

				
10 พฤษภาคม 2548 14:05 น.

เจ้ายอดเยาวมาลย์!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html
(แต่ปางก่อน)
..............



แสงจากคบไต้...
ถูกจุดขึ้นให้วูบไหวในราตรีแรมไร้เดือน
ริมชายคลอง...ร่มรักเรือนไทย

กลิ่นมวลดอกไม้หวานอวลอ้อยอิ่งมากับสายลมระรินร่ำหลังฝน..




เสียงขิมพริ้งพราวในท่วงทำนอง *นางครวญ* คล้ายโหยไห้
ราวกับจะขาดใจ...
แล้ว....เสียง..บาดใจ ไหวพิลาป หวานศร้า  ร้าวรำพัน 
ก็พลันค่อยค่อย จางหาย  ...หายไป....กับ..สายลมในยามค่ำ

พร้อมกลิ่นร่ำของราตรี จำปี ชมนาด 
ที่ราวฝากรอยอาลัยอาดูรพูนเทวษสุดทน..




เจ้าของ..ที่มาแห่งดนตรีไทย..อันหวานซึ้งล้ำค่า
ที่บรรเลงยากนักยากหนา
หากไม่มีใจรักแลพรสวรรค์ขยันฝึกซ้อม

ใบหน้านวลหวานแจ่ม
ถูกล้อมกรอบด้วยผมสยายยาวราวแพรไหมสีอำพัน

แสงเทียนในตะเกียงแก้วทาบทอล้อวงหน้านั้นราวทองทา
เสี้ยวหน้านวลจึงยิ่งงามผ่อง...
งามนวลพักตร์..งามแสนงามยิ่งนัก แสนพริ้มเพรา..
แม้นในราตรีที่ไร้แสงแห่งจันทร์...เพ็ญ...




เธอ..ค่อยๆเอนตัวลงช้าช้า
พิงหมอนขวานสามเหลี่ยมผ้าไหมสีงาช้าง
แล้ว...
ทอดนัยน์ตาโศก..แสน...อ้างว้าง
หากงามคลอทอแสงประกายวะวิบวับ
ราวกับหยาดน้ำผึ้งเพชรรวงในเรียวตา



ในปรารถนา เธอ..เห็นดาวประจำเมือง
ดาวประกายพฤกษ์ทอแสง
ในท่ามกลางฟ้าสีกำมะหยี่..
ที่ค่อยๆกระพริบวะวิบวับ..คลี่ยิ้มมาทายทักเธอ
ราวมิ่งมิตรผู้รู้ใจมานานปี...

ยามนี้..ร่างเธอราวรูปสลัก
สะท้อนแสงเทียนจนนวลเนื้องามพร่างกระจ่างมลังเมลือง  


เธอ..ค่อยๆเอื้อมมือคว้าดวงดอกชมนาด
ที่วางไว้ใกล้หมอนขึ้นมาดอมดมพรมจูบด้วยรัก 

แล้ว...
หลับตานิ่งนาน...........
นานราวตกอยู่ในนิทราฝันภวังค์แสนหวานแสนดี...



ราวรอ....
หยาดน้ำค้างในราตรี
ที่ค่อยๆหยาดเย็น
ลงมากระทบพร่างกลางกลีบเกสรมวลดอกไม้
และ..ณ..
กลางกลีบใจเธอ 
ที่รู้สึกเย็นฉ่ำระร่ำรินสดแสนสุขสงบงามเงียบ
ราวไร้ร่าง...
ได้วางกมลและตัวตน
ราวลอยเหิรพ้นไปสู่แดนฝันสวรรค์สรวงทิพยวิมาน
...................
.....................



เสียงฝีพายกระทบสายน้ำอย่างช้าช้า...

ใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามา...

ก่อนที่..
จะได้ยินเสียงคล้องโซ่เรือไว้ที่ท่าน้ำริมศาลาเรือนรับรอง



ในเงาตะคุ่มของแมกไม้ชายชลแลแสงดาว
ที่สาดส่องวะวิบวับกับแสงไต้ที่วูบไหว

สะท้อนจับร่างบุรุษอาชาไนย...
ผมเกรียนสูงโปร่ง
หากทว่าดูแข็งแรง..บึกบึน
ผิวคร้ามแดดกลายเป็นสีทองแดงราวนักรบโบราณ....

ที่ราวเพิ่งผ่านสมรภูมิสู้รบอย่างชายชาญทหารกล้ามามิช้านาน...




เขา..ค่อยๆก้าวขึ้นบันไดช้าช้า..ตรงมายังชานเรือน

ก่อนที่จะ..ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งพับเพียบชิดใกล้..ขิม..
แล้วเริ่มพรายพรมนิ้วเคาะบรรเลง
บทเพลง*พญาโศก*......อย่างพริ้งพราว...ร้าวราน...
หากหวานเศร้า..สนิท....ราวบรรเลงด้วยชิวิตจิตวิญญาณ
อันแหลกราน ไม่มีชิ้นดี....
..............


หญิงสาวลืมตาอย่างตกใจ  !!!
และ..
ทันที่ที่เห็นว่าใครคือบุรุษยามวิกาลผู้รานรุก
เธอก็ค่อยๆคลี่ยิ้มหวานต้อนรับอย่างเอาอกเอาใจ
........





ตาสบตา ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
และ...
ตราบจน บทเพลงพญาโศก...
ค่อยๆพรากลา...ทิ้ง....ไว้เพียงเสียงแผ่ว...แว่วหวานออดอ้อนรำพัน

ราวฝากพ้อพร่างให้ทุกดวงใจไหวหวามหวิวหวั่นขวัญหาย
ไปทั้งลำประโดง....
..........


*คนดี..ของน้อง..มาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง
ดีนะจ๊ะที่น้องรู้ว่าละแวกบ้านเรานี้ไม่มีโจรผู้ร้าย..

ได้พักกี่วันละจ๊ะเที่ยวนี้
อย่าบอกน้องนะว่าพรุ่งนี้เช้าต้องไป..*

เสียงหวานใสพะเน้าพะนอ ..

เสียงและร่างบอบบาง
ที่เขาเพ้อพ้อรอท่าละเมอหามาทุกทิวาราตรีกาล


 
ที่...ณ..นาทีนี้กำลังมาหวานแจ่ม
ราวกำลังกระซิบเคลียเรียวแก้มริมหู

หากเพียงแค่ เขาอดใจไว้อยู่..
ทั้งๆอยากฝากจุมพิตกลีบปากราวกลีบดอกไม้แสนหวาน
ใจแทบขาดให้สมกับที่รักรอสายสวาทเสน่หา 
มาแสนนาน..



หากทว่าเมื่อยังมิถึงเวลาอันควร
เขา..จึงได้แต่คิด..ในจิตจินตนา
มิหวังหมายกรายกล้ำเจ้าดวงดอกไม้แม่นวลเนื้อใส
เจ้าผู้เป็นดั่งเปรียบดั่งยอดดวงหฤทัยแสนงาม 



ที่เขาเทิดเธอไว้ราว....
*บัวบูชา*

บัวขาวที่สะอาดตาสล้างพราว
ที่บานประดับใจประดับจิตวิญญาณ์
ให้เขามาอย่างยาวนัก..ตั้งแต่ยามเยาว์

ให้หัวใจของเขามิเคยเหงา
หากกลับไสวพร่างสว่างเย็น
ยอมสยบภักดิ์พลี 
 และ..เป็นดั่งรักนี้นิรันดร์..มานานปี
และ..จักเป็นเฉกนี้ ตราบสิ้นลมหายใจ



เขา..ทอดนัยน์ตาโศก..สีสนิม
พิศร่างนวลแล้วเอ่ยคำ
*พี่..ว่าเราผอมไปนะ..ราวกับ..ลมจะพัดปลิวได้แล้วนะครับคนดี*

สงสัย..จะทานแต่ผักผลไม้ ใช่ไหมละนี่...
มาเที่ยวนี้ พี่จะพาไปทานอาหารอร่อยๆนะ
เราพายเรือกันไป..นะครับ
มีร้านอาหารไทยและมีเพลงโบราณฟัง
ที่ร้านชื่อ..*บ้านเหนือคลอง* ไม่ไกลจากบ้านเราเลย



แถมจะบอกอะไรนะ..ครับ
หากไปตอนตะวันลา..ฟ้าโพล้เพล้จะงามมากเลย
น้องจะชอบ..

เพราะเขาจะเปิดบทเลงบรรเลงสายน้ำนิรันดร์
และ
นานาสารพันชุดเพลงบรรเลงของคุณจำรัส 
ที่น้องแสนรักนักรักหนามาประกอบบรรยากาศ
ให้ราวย้อนยุคเลยทีเดียว...เชียว..




*คนดี..คืนนี้ที่แวะมา.
สงสัยมาเกี้ยวน้องให้เปิดหูเปิดตาใช่ไหมละจ๊ะ
ว่าพลาง เธอก็หัวเราะน้อยๆอย่างแสนเอ็นดู..
พี่ก็รู้..ว่าน้องเบื่อเมืองจะแย่

แค่มีเวลากลับมา*บ้านสวน* เสาร์อาทิตย์
หัวใจน้องก็ราวได้รับหยาดน้ำค้างทิพย์แล้วละค่ะ

จริงๆ...แค่ได้กลับมา..ใช้เวลา
เดินชมนกชมไม้ในสวน

มานอนนอกชาน
คอยดอมกลิ่นลำดวนสารภีจำปีจำปา
บุหงาส่าหรี  มะลิวัลย์ มะลิลา

พี่ก็รู้แค่นี้น้องก็งามใจสบายใจสุขใจพอแล้ว*



*เอาจ๊ะ นะจ๊ะ
ถึงอย่างไรน้องตกลงจ๊ะ..ยินดี รับคำนัดนะ
และ...
รู้สึกดีใจถือเป็นเกียรติจ๊ะคนดี
ที่มีนายทหารคนแกร่งคนกล้ามาพลีพายเรือให้นั่ง..*

พี่สิจ๊ะ ควงสาวไทยโบราณนุ่งผ้าถุงไปดินเนอร์
จะเก้ออาย คนมั้ยละจ๊ะนี่*

แต่มีข้อแม้นะจ๊ะ

เช้า...ต้องพาน้องไปวัดไปทำบุญตักบาตร
ให้เราสองไปกราบกรานหลวงพ่อ
ทั้งนอกและในโบสถ์คร่ำ
ขอพรก่อนนะจ๊ะนะ




ตกลงครับคนดี
และพี่จะขออนุญาต
พายเรือมาตั้งแต่ยามฟ้าสางนะ
ที่ดาวเดือนยังสุกใสเต็มอ้อมฟ้า
และ
อุษาไพรกำลังจะมาแย้มเยือน
เสียงไก่ขันเทือนและเรไรดุเหว่ายังแว่วหวาน
น้ำค้างยังหยดหยาดเย็น

พี่อยากพายเรือไปเก็บบัวในบึงงาม
มาให้น้องพับจีบเป็นบัวบุษย์พลีเป็นพุทธบูชา




รู้ไหมยามนั้น
ยามที่แสงเทียนทอละออ
หน้าน้องช่างหวานนวลงามนัก
ยามที่น้องนั่งสงบงามเตรียมจัดสำรับไปวัด
ให้พี่นี้..แสนนึกรักนักหนา..



และหวังอยากมาเคียงใกล้คลี่สไบคลุมไหล่
โอบกอดแทนร่างใจพี่ ให้ดวงใจหนาวคลาย

ขออนุญาตให้พี่มา...นะจ๊ะ 
เพราะน้องก็รู้ดี..หน้าที่รักตรงนี้
พี่จำพรากลาไปไกลมาแสนนานนัก
มิได้มาทำตามคำบัญชาใจบัญชารักมาแสนนานจริงๆ



และคนดี
*น้องครับ..เราคบกันมากี่ปีแล้วละนี่
ให้พี่บอกมั้ยละครับ
ว่าตั้งแต่แก้ผ้าเกิดมาละมั๊ง*

*อ้าว..ไม่ต้องขำนะ มันเรื่องจริง
พี่ว่า..ทุกสิ่งที่เป็นเปลือกนอกหลอกตาโลกย์และผู้คน*
ให้อลวนเอลเวงไร้จุดยืน..
นั่นเป็นเรื่องของคนอื่น
ที่เราจะไปฝืนกระแสโลกย์โสกสุข
หยุดมันไม่ได้ ใช่ไหมละครับ*




แต่..ทว่า
สำหรับเรา
ที่รัก..ดวงใจของพี่
เราเคยเห็นพ้องต้องกันมิใช่ดอกละหรือ
ว่าเรารักษ์ความเป็นไทย
ด้วยหัวใจดวงโบราณๆแบบนี้แหละใครจะทำไม...*



*เพราะ..อะไร..
ขอพี่ระบายใจหน่อยนะครับ
พี่ก็ไม่ทราบจะไปบ่นเพ้อละเมอหากับใครที่ไหนได้
ที่แสนจะเข้าใจพอจะเข้าใจและรับฟัง

กับผู้คนในโลกอารยะล้นหลั่งในทุกวันนี้

ที่เขาพากันหันหน้าหนี
สิ่งที่พี่กำลังพลีจิตจะพูด
เพียงกับน้องผู้เดียว

ก็เพราะ
เราสองคนแสนภูมิใจที่ได้เกิดมากับนวลใจ
กับวิถีไทยแบบนี้นี่นา

วิถีที่ฟ้าดินพระพรหมโปรดประทานพรมาให้
ใช่ทุกคนจะมีได้เสียที่ไหน..นะครับ



ให้หัวใจคอยอ้อนอิงพิงพักไปกับ
วิถีไทยโบราณ กับสายน้ำรักนิรันดร์
กับลำน้ำ ลำนำฝัน ขวัญเจ้าพระยา

กับเสียงดนตรีไทยจากใจรักษ์ของบรรพบุรุษ
ที่ยาวยืนหวังมิหยุดสืบทอดความพริ้งพราวบรรเจิดละเมียดละไม


กับใจดวงรักความดายเดียวเหว่ว้า
กับน้ำตาเทียนจากแท่งหลอมแรงภักดิ์
กับแสงตะเกียงระบัดวะวับวะวูบไหว

กับ..
ใจเนื้อดินเนื้อดวงจิต...ที่หล่อหลอมชีวีชีวิต
ให้เราสองแสนรักความเป็นไทยไทยทุกกระเบียดนิ้ว
ไม่ว่าวัฒนธรรม ประเพณี และงานศิลปไทย..


ที่มาจากใจดวงหอมกรุ่น
มาจากแรงเพียรฝืมือละมุน
ของคนไทยในทุกผืนดิน ทุกถิ่นที่
ที่ยังมีจิตดวงดีดวงใสสุขสงบ
มาหลอมรวมรัก
มาฝากฝืมือให้ปรากฎประจักษ์แด่สายตาชาวโลก
มาพลีถัก
มารักร้อยทอทอดสอดประสาน
เป็นผ้าไทยผืนงามลายต่างๆมากมี


 มาพลีใจใส่ในงานสาน งานปั้น
กลายมาเป็นจิตรกรรมล้ำเลอค่า..ประมาณค่ามิได้
ซึ่งคือฝากไว้..เป็นมรดกไทยมรดกโลก..ให้สืบสาน
ให้โลกงาม ดับแล้งร้อน

ให้หัวใจสะออนได้รู้ค่าความอ่อนหวานอ่อนไหว
จากเนื้อใจไทย ไท ที่แสนมีอิสราเสรมานับพันๆปี


ที่เราสองต่างก็ปรารถนา
อยากคลอเคลียเคียงประคอง
ให้ดำรงอยู่ไปตราบนานแสนนาน

เพื่อเป็นตำนานรักแห่ง.


*.แผ่นดินสุวรรณภูมิ พุทธภูมิ*



เพื่อสร้างแรงภูมิใจ ให้ลูกหลานไทยรู้ค่างามจากภายใน
รู้สร้างจิตใสมีธรรมะหอมห่ม
รู้ค่าความรักซื่อตรงคงมั่น
รู้ค่าความงามเงียบสงบสมถะ



รู้จักการใชัชีวา
ไม่บ่าโหมลอยล่องไปตามกระแสโลกย์
ที่รอเวลาโศกสะเทือน
ให้ชีวิตถูกซัดหายไปกับพรายแรงแห่งคลื่นกรรม
ดั่งคลื่นซือนามิที่มากระหน่ำมาสอนใจมวลมนุษยชาติไงละครับคนดี



แล้ว..ทำไม..น้องพี่ยังมีคำถาม..
ที่คำตอบก็อยู่ที่ใจน้องเอง
ราวเราหลอมใจเดียวกันในความผูกพันความเข้าใจ
ในชีวิตที่รักความเงียบงามสมถะพอใจพอเพียง
ในความสงบสุขย้อนยุคสมัยมายาวนาน


คนดี..ที่รัก
พี่...รักน้อง รักน้อง มิใช่เพียงต้องใจรูปลักษณ์ภายนอก
ที่พอกทับไว้ด้วยวัตถุหรูหราเสื้อผ้าราคาแพง
กิริยาที่ปรุงแต่ง ตามบทละครโลกละครทีวี



หากทว่า..
พี่รักผู้หญิงคนดี คนธรรมดา
คนที่มีจิตดวงพิสุทธิ์พิเศษ
แผกคิด รู้ผิดชอบชั่วดี

มิวิ่งไปตามกระแส กรรมนำทางมวลมนุษย์
ให้หลงผิดข้องติดกับงามเพียงภายนอก
หลงลืมจิตวิญญาณ ไม่เพียรวิ่งหายอดพระรัตนตรัย
ไม่มีธรรม หอมพร่ำบ่มใจ ไม่มี ใจรักที่จะรู้จักความพอดีพอเพียง


นะคนดี...
ที่จึงพี่ขอกระซิบอีกที อีกทีและอีกที..
ว่า..
*พี่รักน้อง..รักน้องจากงามดวงใจใครเล่ารู้นี้*
ที่พี่อยากขอเคียงคู่เป็นคู่ธรรมคู่ทองไปตราบวันตายนะจ๊ะ


และ..
อย่าหลิ่วตาล้อพี่เล่นนะ
พี่กำลังสารภาพรักนะนี่..
มาฟังอีกที เขยิบเข้ามาใกล้ๆนะครับ




และอีกที...
ก่อนที่พี่จะขอคนดี ..ดวงใจ
 แค่นอนหนุนตักฟังเพลง..นางครวญ..ที่แสนหวนไห้
โดนใจประทับใจพี่ในราตรีนี้ 

เพื่อพี่จะประทับรับขวัญไว้ก่อนวันลา
ก่อน..
วันที่บางทีพี่....อาจจะไม่ได้กลับมาพบหน้าน้องอีกทั้งชีวีชิวิต

ด้วยหน้าที่ชายชาตรี 
ที่จำต้องฝากร่างจิตพลีเพื่อแผ่นดินแม่มาตุภูมิทอง



อ้าว..
อย่าร้องไห้..ร้องทำไม 
ไหนน้องบอกไม่ใช่ละหรือ
ความตายมิอาจพรากเรา.
.เพราะเรามีกันและกันในเงาใจเป็นดั่งรักนิรันดร์
ข้ามเวิ้งฝันอนันตกาลเวลา  ..



มาสิจ๊ะคนดี
เอียงแก้มมาให้
พี่พลีจุมพิตซับหยาดน้ำตาให้..

แล้ว
อยากกระซิบอีกที และอีกทีว่า..อย่าเสียดายเสียใจ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...นะครับ...



หากเราได้ใช้คืนฝันวันแสนดีพลีรักร่วมกัน
อย่างแสนดีอย่างมากมีค่า
ในทุกนาทีในทุกยาม
ที่เรายังมีลมหายใจ...ในอ้อมกอดกันและกัน..



และอย่าหวั่นเลย
นะเจ้าจอมขวัญ ยอดดวงหฤทัย ของพี่ 

ที่จักภักดีรักเจ้าเพียงคนดีคนเดียว....

ไปตราบชั่วกาลนานชั่วนิจนิรันดร์...........!!!!!

................
....................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html
แต่ปางก่อน 
รณชัย-อัจฉพรรณี 
ชรอ คอย เธอมา แสน นาน
ทรมาน วิญญาณ หนักหนา
ระ ทม อยู่ใน อุ รา
แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้ เดียว
ญเธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล
ชาย ใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รัก เธอ แน่ใจจริงเชียว
รัก เธอ รักเดียว นิรันดร์
ชแม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ชจะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญคง เป็น รอยบุญมาหนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย

ชแม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ชจะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ คง เป็น รอยบุญมา หนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย... 
 





http://www.buddhadasa.org/html/life-work/bio/tell_TOC.html
http://www.buddhadasa.org/html/articles/in_mem/10yrsBDB.html
http://www.buddhadasa.org/html/articles/in_mem/death_arrangement.html
http://www.buddhadasa.org/html/life-work.html				
9 พฤษภาคม 2548 11:41 น.

วีรบุรุษวรรณกรรม..*คำ*ยังหอม..*.ใจ*..ยังสิงห์!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song169.html
(เพราะขอบฟ้ากว้าง)



ที่มาจากไฟฝัน
แรงบันดาลใจ
ด้วยน้ำตาซึมซึ้ง
นับนาทีแรก
ที่สายตาพาสายใจ..จิตวิญญาณ
ได้เห็นภาพท่าน

*วีรบุรุษในดวงใจ*

ที่แสนรัก..แสนเทิดศรัทธายิ่งใหญ่นัก
ในดวงใจแม่ดวงดอกพุดไพรและสาวบ้านนา




 วัยบ่กั้น...ลาว คำหอม คำสิงห์ ศรีนอก คำยังหอม-ใจยังสิงห์



จึงขอน้อมกราบลงแทบเท้า...ท่าน..
ปูชนียบุคคลด้านวรรณกรรมไทย

และ
แม่ดวงดอกพุดไพรจึงเพียรนำบทรจนา
มาวาง
บรรณาการแด่ท่าน
และทุกดวงใจในร่มรักเรือนทองเรือนไทยค่ะ
ณ..บัดนี้..ด้วยรักแสนรักศรัทธาล้นใจแล้วค่ะ

**************************************




ขอบฟ้า บ' กั้น 

บัวไปดูหนัง เรื่อง Vertical Limit มา วันนี้.... 
มีคนว่ากันว่า ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนดูตัว.... 

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคน
ที่รักการปีนเขาสูง ชอบเย้ยหน้าผา ท้ามฤตยู.... 
หนังสนุกและตื่นเต้นเร้าใจทั้งเรื่อง.... 



บัว.... จดจำคำพูด ของตัวแสดงคนหนึ่ง 
ที่พูดถึงความตาย ไว้อย่างน่าฟังว่า.... 

"ความตายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ที่มิอาจหลีกหนีพ้น.... 
แต่การทำอะไรก่อนตายสิสำคัญเสียยิ่งกว่า " 



ทำให้บัวคิดได้ว่า.... ใช่เลย 
คนเราไม่มีใครที่หนีความตายพ้น 
ช้าหรือเร็ว ใกล้หรือไกล ในเส้นทางแห่งชีวิตนี้.... 

ที่เราทุกคนต้องไป ณ.... ที่ที่หนึ่งเหมือนๆกัน 
ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย.... เท่าเทียมกัน.... 

เป็นความเท่าเทียม ที่เรายังมิอาจจะรู้ได้ ว่า



ต่อจากนั้นจะมีการพิพากษาด้วยสิ่งใด 
ที่เราทุกผู้คงต้องไป พบเจอเอาเอง 
ตามบุญกรรมที ่เราได้สร้างสมกันเอาไว้.... 
นี่คือสัจจธรรมมิใช่ดอกหรือ.... เพื่อนมนุษย์....  



อย่า.... คิดว่าเรายังเด็กนัก 
ยังมีเวลาของชีวิตอีกยาวนาน 
เพราะ..
บางครั้งเรามิสามารถกำหนด โชคชะตาของเราได้ ดั่งฝัน.... 

เรามิอาจรู้ว่าจริงๆแล้ว
เวลาแห่งชีวิตนี้เรามีน้อยหรือมากเพียงใด.... 
ทุกคนพยายาม หลอกตัวเอง.... ว่า 
ความพรากจากคงมิกรายกล้ำ มาสู่ตัวเองรวดเร็วนัก.... 



แต่เราจะรู้ได้อย่างไรเล่า.... 

อย่าประมาท ผลัดวันประกันพรุ่ง 
ที่จะรอเริ่มอรุณรุ่งของชีวิตที่แสนดีแสนงาม.... 



เริ่มวันนี้.... คิดเสียใหม่ว่า 
เราจะอยู่และทำสิ่งดีๆ ที่สุดต่อทุกสิ่ง 
ต่อทุกผู้ที่เป็นที่รักของเรา 
ราวโลกกำลังจะแตกแหลกสลายในวันพรุ่ง.... 

ยิ่งเริ่มเร็ว.... ชีวิตเราก็ยิ่งมีค่า เร็วขึ้นเท่านั้น.... 


ทุกดวงใจทั้งหลายที่กำลัง ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ 
หรือคนที่รักและห่วงใยเรารอบข้าง ใจตุ๋มๆต่อมๆ 
กลัวเราจะเดินหลงทางก็ได้โปรด 
หันมาเดินให้ถูกทางกันเลยดีไหมคะ.... นะนาทีนี้.... 


เสียเวลาไปแสวงหา.... 
สิ่งที่เราเคยได้ยินมาจากผู้ไปเยือนมาแล้วว่ามันคือนรก.... 

หลังจากบัวดูหนังแล้ว 
ก็มีเวลาเข้าร้านหนังสือ ที่บัวเป็นสมาชิก.... 
บัวคิดว่า ในชีวิตหนึ่งนี้ ในฝันค้าง

 และฝันกลางฤดูฝนของบัวคือ.... 
การที่บัวจะได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือสักร้าน.... 
มีคนที่มีใจรักตัวอักษรเฉกเช่น เดียวกัน
เดินเข้าๆออกๆในร้านของบัว.... 



และร้านควรจะเล็กๆ 
มีมุมให้คนรักการเขียนมาแสดงฝีมือ 

มีกาแฟ 
และเครื่องดื่มหอมๆไว้สร้างความฝันอันบรรเจิด.... 
เพื่อมาแลกเปลี่ยนทัศนะกันและกัน.... 

รักฉบับนี้ของบัวคือ ฉบับถุงหิ้วค่ะ 
เพราะทุกครั้งที่บัวพลัดหลงเข้าไปในดงหนังสือ 
บัวอดไม่ได้ ที่จะอยากได้เล่มนี้ เล่มนั้น เล่มโน้น 
และอีกหลายๆเล่มเลยค่ะ.... 



ยังคิดเลยว่า 
ถ้าเป็นเจ้าของร้านเอง วันๆบัวคงอ่านๆ และอ่าน 

วันนี้เลยต้องหิ้วถุง หิ้วความรัก ความฝัน กลับมา 
และยังมีที่หมายมาดไว้ในใจอีกมากมายหลายสิบเล่ม.... 

และที่ได้มา
มีทั้งหมด 5 เล่มคะ "ฟ้าบ'กั้น " " แมว" ของลาวคำหอม.... 
ที่เคยอ่านหลายครั้งแล้ว 
และถูกยืมจนหายไป 



อ่านทีไรอยากโยนปากกาทิ้ง เลิกหัดเขียน 
เพราะชาตินี้บัวคงไปไม่ถึงไหน.... 

ปรมาจารย์ท่านนี้ 

ท่านเป็น**ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี2535** 
ปัจจุบันท่านอายุ75  ปี แล้วนะคะ.... 
และ
ได้ใช้ชีวิตสงบงามอย่างเรียบง่าย แสนสมถะ ที่บ้านไร่โคราช.... 



ส่วนอีกเล่ม "กล่องไปรษณีย์สีแดง".... 
เป็นสารคดีเข้ารอบสุดท้ายของ "ร้านนายอินทร์" 

บัวชอบใจมาก ที่เขาเขียนถึง "เกาะพะงัน" บ้านเกิดของบัว 

แม้บางแง่มุม จะไม่ชัดเจน 

เพราะเขาแค่นักเดินทางผ่าน 
แต่..!
อยากขอบคุณ.... คุณอภิชาติ เพชรลีลา 
ที่ได้เปิดโลกของ เกาะพะงันในบางด้านตามทัศนะคติของคุณ 
ที่คิดและมองเห็น.... เพื่อให้ผู้อ่านอยากไปสัมผัส ด้วยตัวเอง.... 


 
บัวรู้สึกผิด ที่เกิดที่นั่นแท้ๆ รู้จักที่นั่น แทบทุกเม็ดทราย 
แต่กลับรอ รอ และรอ ทั้งๆที่สัญญาแล้ว สัญญาเล่า...
รออารมณ์ ที่อัดแน่น มากมายให้ระเบิดพวยพุ่ง 
เพื่อจะเขียนให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้.... 



จริงๆวันนี้บัวอยากเขียนถึง 

หนังสือ "ฟ้าบ'กั้น" ที่แสนรัก แสนประทับใจมาก.... 

หนังสือที่เขียนราวร้องทุกข์ 
เสนอภาพความยากไร้ 
ความเสื่อมโทรม ความล้าหลังของชาวไร่ชาวนา 
ด้วยเจตนาจะเรียกขาน "มโนธรรม" ของ "เมือง" 

และนี่คือเจตนารมณ์ของลาวคำหอม.... 


บัวอ่านหลายครั้งหลายหน 
เพื่อซึมซับ ความทุกข์ยากของพี่น้องร่วมชาติ ทางตัวอักษร.... 
ที่แม้กระนั้น บัวยังน้ำตาซึม ด้วยสะเทือนใจ.... 

นี่คือเพื่อน คือพี่น้องไทยผู้ทนทุกข์ยาก 
และบางส่วนได้ตะเกียกตะกายเอา แรงงาน
เพื่อไปแลกกับเงินที่หาเข้ามาในประเทศ 

ที่ยังดีกว่าพวกคอรัปชั่น โกงกินแผ่นดิน 
และขนเงินไป เพลิดเพลินจำเริญใจที่เมืองนอก.... 
เท้าไม่ติดดิน.... ไม่พอเพียง และเพียงพอ.... 
ขอแค่สบายลำพัง 

ชาติจะย่อยยับ อัปราอย่างไรไม่เคยเหลียวแล 


บัวคงต้องจบเพียงแค่นี้นะคะ 

รักฉบับนี้คือรักฉบับทุกข์ทนหม่นหมอง
ไปกับเรื่องราวที่ "ลาวคำหอม" รจนา ขึ้นมา
เพื่อเพื่อนผู้ร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน 
ที่เราเองยังโชคดีนักที่ไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนของเรา 


แต่จิตวิญญาณของเราคงเข้าใจและทุกข์ทนพอกัน 
เพราะเราคือพี่น้อง
ที่เกิดมาในผืนแผ่นดินไทย เดียวกัน ด้วยกัน มิใช่ดอกละหรือ....!!!!!!!

****************






และเรื่องราวนี้คือเรื่องที่พุดไพร
เคยนำเสนอมานานวันแล้ว
และ
กับนาทีนี้
ด้วยดวงใจคารวะด้วยความศรัทธาอันแสนยิ่งใหญ่
ที่อยากนำมาวางพลีเพื่อแสดงความ ชื่นชมแด่ท่าน
ผู้ชึ่งเป็นวีรบุรุษในดวงใจพุดไพร
ในด้านวรรณกรรม 


ที่แม้นวัยวันก็มิใช่อุปสรรคของชีวิต
ท่าน..คือใคร ใครคือท่าน ศิลปินแห่งชาติไทย
โปรดได้ติดตามจากบทความแสนงามข้างล่างนี้

ที่พุดไพรหยิบยกนำมาพลีเทิดเกียรติของท่าน
และ
หวังสร้างแรงใจไฟฝันให้แด่ทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
ที่อยากบอกใบ้ว่า
ให้เพียรอ่านงานยาวย้วยด้วยพลังจิตสมาธินิ่งๆนานๆให้ได้
หากดวงจิตวิณญาณรักที่จะเป็นนักรจนานะคะ

ด้วยรักล้นใจค่ะและหากอยากเห็นภาพท่านที่แสนงามสมถะ
ก็เพียงคลิ๊กเข้าไปที่เวบด้านล่างค่ะ

***************



http://www.dailynews.co.th/sunday/lifestyle.html?strdate=20050508
วิถีชีวิต   

  
 วัยบ่กั้น...ลาว คำหอม คำสิงห์ ศรีนอก คำยังหอม-ใจยังสิงห์


ก็สบายดี สมควรแก่วัย อายุปูนนี้แล้วก็อยู่ได้อย่างนี้แหละ ...ลุงคำสิงห์ตอบคำถามแรก หลังปล่อยให้อาคันตุกะแปลกหน้าพักหายใจคลายร้อนจากการเดินทางชั่วระยะหนึ่ง สุ้มเสียงที่แลดูสดใสกับท่าทางกระฉับกระเฉงของลุงคำสิงห์ คงเป็นพยานช่วยยืนยันสุขภาพที่แข็งแรงได้อย่างดี 

คำสิงห์ ศรีนอก วันนี้ยังคงเป็นสิงห์...

-----------




หลังจากได้พักจนหายใจคล่องก็รีบยิงคำถามกับลุงคำสิงห์ไปอีกว่าจะมีผลงานชิ้นใหม่ๆ ออกมาให้แฟนน้ำหมึกของ ลาว คำหอม คลายความคิดถึงบ้างไหม ซึ่งลุงคำสิงห์ตอบว่า ในระหว่างนี้ที่พอจะมีก็เป็นงานเขียนเล็ก ๆ น้อยๆ ที่มีคนไหว้วานให้ช่วยเขียนเสียส่วนใหญ่ อาทิ คำนำ หรือบทวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนชิ้นงานวรรณกรรมจริง ๆ นั้นคงไม่ได้ทำอะไร เพราะช่วงนี้ใช้เวลาหมดไปเสียกับการอ่านเสียมาก 



จริงๆ อยากจะดู อยากจะลองศึกษางานของคนรุ่นใหม่บ้างก็เท่านั้น อีกอย่างระยะนี้มีงานประกวดวรรณกรรมบ่อยขึ้น ก็เลยต้องตามอ่านงานเขียนต่างๆ ที่เข้าประกวดเพื่อให้ความเห็น ส่วนไร่ที่อำเภอปากช่องนั้น ช่วงนี้น้ำแห้งประกอบกับมีธุระหลายเรื่องที่ต้องทำ มากรุงเทพฯ คราวนี้จึงค่อนข้างจะอยู่นาน  แต่จริงๆ ลุงไม่ค่อยชอบอยู่กรุงเทพฯ เป็นคนติดปากช่อง ถ้าจะลงมาทีก็ต้องวางแผนให้คุ้มค่า ครั้งนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่จำเป็นต้องอยู่ ก็เลยอยู่นานหน่อย  
ลุงคำสิงห์พูดถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างเมืองเลยไปถึงเรื่องในชนบทว่า มองเห็นความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้น วิถีชีวิตของชนบทแปรเปลี่ยนและสูญหายไปทีละนิดโดยคนในท้องถิ่นเองก็ไม่รู้ตัว 




แรงดึงดูดจากสังคมเมืองมันดึงคนจากสังคมชนบทไปเยอะ ลุงคำสิงห์พูดสั้นๆ ก่อนจะบรรยายภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า จากคนทำไร่ทำนาก็กลายเป็นมนุษย์เงินเดือน เป็นลูกจ้าง มีสังกัดไม่อิสระเหมือนก่อน ในที่สุดก็ทำให้คนที่ต้องอยู่ชนบทจริงๆ กลายเป็นคนเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง

ทุกวันนี้หากไม่นับชาติ(ชาติ กอบจิตติ)ที่ไร่อยู่ใกล้กันแล้ว ก็พอมีเพื่อนฝูง คนรู้จักเข้ามาเยี่ยม พวกครูภาษาไทยก็มีอยู่เยอะ มองคนเหล่านี้แล้วก็ยังพอชื่นใจได้อยู่บ้าง ที่ยังเห็นว่ามีคนที่กระตือรือร้นคอยดูแลด้านนี้อยู่ 



เราถามต่อถึงความเงียบเชียบที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมช่างวรรณกรรมที่เพิ่งผ่านไป ลุงคำสิงห์หยุดคิดสักครู่ก่อนตอบว่า จริง ๆ ก็คิดและรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน เข้าใจว่าองค์กรของช่างวรรณกรรมนั้นได้ตายไปแล้ว รูปแบบของงานคราวนั้นก็ดูอิหลักอิเหลื่อ แต่ก็คงไม่ติดใจอะไรนัก 



ที่ไปก็เพราะอยากเห็นการเติบโต และความต่อเนื่อง บางทีรู้สึกว่าบางงานเหมือนเอาวรรณกรรมคลาสสิค เอานักเขียนบางท่านที่พ้นภาวะไปแล้วมารับใช้ความปรารถนาของคนพวกหนึ่ง หรือเอามาใช้เป็นหลังอิง คำนี้อาจหนักไปหน่อย แต่ก็มีความรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ...เป็นความนัย ภายในใจที่ลุงคำสิงห์ถ่ายทอดออกมากับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป



แต่ก็ใช่จะไม่มีแสงสว่าง ณ ปลายทางอุโมงค์ เพราะแม้จะรู้สึกไม่ดีกับเรื่องบางเรื่องที่ต้องเจอะเจอ หรือแม้แต่จะมีบางคนถึงกับทักว่า ปัจจุบันวงการวรรณกรรมดูมืดมน สับสน แต่ลุงคำสิงห์ก็เชื่อว่าจะมีนักเขียนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาผ่องถ่าย จนยึดเป็นหลักให้กับวรรณกรรมไทยได้ อาทิ 

ที่พอจะมีความหวังก็ยังเป็นรุ่นกลางๆ อย่างชาติ กอบจิตติ วินทร์ เลียววาริณ หรือไพฑูรย์ ธัญญา แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มกระจัดกระจาย เริ่มหลากหลายไร้สาระมากขึ้น



แสดงว่าแวดวงวรรณกรรมเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ...เราถามต่อถึงประเด็นต่อเนื่องข้างต้น 

ลุงคำสิงห์มองว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของสังคม โดยงานศิลปะ วรรณกรรมนั้นจัดเป็นดอก เป็นผลโครงสร้างทางสังคม ซึ่งถ้าสังคมปราศจากศิลปะแล้ว สังคมจะกลายเป็นสังคมที่ง่อยเปลี้ยเสียขาและพิกลพิการ ซึ่งโลกยุคปัจจุบันนี้มันทับซ้อนไปหมด มืดมนกับสับสน ดังนั้น ในเมื่อสังคมเป็นอย่างไร วรรณกรรมก็แสดงออกมาอย่างนั้น...เหมือนเป็นกระจกที่สะท้อนบางสิ่งออกมา 

กระจกย่อมไม่โกหกเงา...เป็นคำตอบที่ผุดขึ้นในใจ ขณะคิดตามสิ่งที่ลุงคำสิงห์วิพากษ์




ลุงคำสิงห์บอกว่า ในเมื่อสังคมเป็นแบบนั้น การที่จะให้งานวรรณกรรมชี้นำหรือแสดงออกในสิ่งที่แปลกแยกไปจากสภาพสังคม ก็คงทำได้ยาก แต่ในฐานะคนในวงการก็ยังอยากเห็นการเติบโตที่เข้มแข็งอยู่

หลายเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการอ่านหนังสือของเด็กไทย ดูเหมือนจะสวนทางกับการเติบโตของธุรกิจสิ่งพิมพ์ สำนักพิมพ์ทั้งหลาย....เราถามสิ่งที่คิดไว้ในใจกับนักคิด นักเขียนคนสำคัญ 1 ในรากฐานของวงวรรณกรรมไทย 





ยอมรับว่าเป็นภาพปริศนา 
เพราะเท่าที่สัมผัสมา หรือสังเกตดูตามงานหนังสือใหญ่ๆ จำนวนคนซื้อวรรณกรรมและหนังสือมีมากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่ามีคนอ่านเพิ่มขึ้น หรือคนจำนวนมากๆ ที่เห็นในงาน เป็นเพียงการแค่มาช็อปปิ้งหนังสือเท่านั้น?!...เป็นสิ่งที่ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์คิดและกำลังหาคำตอบกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้



คนดังหันมาเขียนหนังสือกันเยอะ จนดูเกร่อ อย่างนี้จะมีผลกับวงการนักเขียนตัวจริงบ้างไหม...เป็นคำถามต่อไปที่เราถามความเห็นกับลุงคำสิงห์
เป็นเรื่องของกระแส พูดยาก ว่าตกลงดี หรือไม่ดี แต่หากมองภาพกว้าง เข้าใจว่าคนสมัยนี้มีความอยากที่จะเป็นนักเขียนกันเยอะ เพียงแต่สถานภาพของคนกลุ่มนี้ไม่ชัดเจน เป็นความทับซ้อน จนสร้างความสับสนไปถึงคนอ่าน เพราะไม่แน่ใจว่าจะอ่านงานเขียนในฐานะอะไร เป็นวรรณกรรม หรือแค่บันทึกคนดัง จุดนี้สำนักพิมพ์เองก็แยกไม่ออก




เจตนารมณ์มันไม่เหมือนกับนักเขียนรุ่นก่อน อาจจะมีผลดีในระดับหนึ่งที่ทำให้คนรักอ่านกันมากขึ้น เพียงแต่อาจจะสนใจที่ตัวคนมากกว่าที่จะสนใจความคิดในงานเขียนชิ้นนั้น ทั้งๆ ที่คนนั้น เขาอาจจะเป็นคนดังที่เขียนงานดีคนหนึ่งก็ได้

คนส่วนใหญ่รู้สึกว่านักเขียนเข้าใจยาก เข้าถึงลำบาก สัมผัสจับต้องไม่ค่อยได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ในวงนักเขียนแล้วจะเป็นเหมือนการรู้จักกันเองเสียมากกว่า...เป็นอีกคำถามที่เราถามซ้ำ 




ลุงคำสิงห์บอกว่า นักเขียนที่สนุกสนานก็มีอยู่เยอะ อย่าง อาจินต์ ปัญจพรรค์ ก็เป็นคนเฮฮา สนุกสนาน รงค์ วงษ์สวรรค์ เองก็กระหายที่จะมีมิตร มีเพื่อน แต่ในบรรดาอาชีพทั้งหลายในโลกนี้ อาชีพนักเขียนหรือนักเขียนอาชีพเป็นงานที่ทำคนเดียว เป็นงานที่โดดเดี่ยวโดยสภาพ อยู่กับตัวเองจึงมีสภาพที่ติดจะเป็นคนเหงาหน่อยๆ แต่โดยธรรมชาติแล้วเขาก็โหยหาเพื่อนเหมือนกันกับคนอาชีพอื่นๆ เพียงแต่ธรรมชาติบังคับให้นักเขียนเป็นคนมีโลกส่วนตัว




กับลุงคำสิงห์เอง ใครจะรู้ ? และเชื่อว่าศิลปินแห่งชาติ นักคิด นักเขียนอย่างลุงคำสิงห์เป็นคนที่พร้อมจะเปิดรับ และเรียนรู้โลกใหม่ๆ ใครจะเชื่อ ? ลุงคำสิงห์ติดทีวี และพยายามศึกษาคอมพิวเตอร์ และเรื่องของอินเตอร์เน็ท อีเมล์ ไอทีเช่นกัน



ติดทีวีแต่ติดเฉพาะดูข่าวสารบ้านเมือง ละครอะไรนี่ไม่ดูเลย ดูข่าวอย่างเดียว ดูเพื่อให้ไม่ตกโลก ไม่ตกสมัย โลกมันเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีผลกระทบทั่วถึงกันหมด ส่วนคอมพิวเตอร์นั้น ลุงสนใจเพราะมองเห็นคุณวิเศษ และอยากรู้กลไกว่าใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ก็ใช้พิมพ์งาน แต่พอห่างไปสักสามอาทิตย์ สี่อาทิตย์ ก็สั่งมันไม่ได้แล้ว ทำให้ไม่สนิทสนมกัน ส่วนอินเตอร์เน็ทนั้นลุงก็เคยพยายามใช้ ติดอยู่ที่ว่าบ้านนอกนั้น การสื่อสารไม่ดี ขาดๆ เกินๆ ไป จนรู้สึกว่าไม่คุ้มเท่าไร 
ขนาดคนที่มีประสบการณ์ผ่านโลกมามาก ยังเกรง แต่เด็กปัจจุบันกลับพร้อมที่จะกระโดดเข้าใส่ไฮเทค...เราแสดงความเห็นในเรื่องนี้ 




ลุงคำสิงห์บอกว่า พลังของสิ่งเหล่านี้ มีมหาศาล การจะไปต่อต้าน หรือต่อสู้คงลำบาก ดังนั้น ควรเรียนให้รู้ทันมากกว่า ต้องพยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม เหมือนกับที่ 30-40 ปีก่อนกระแสเมืองเคยไหลบ่าเข้าท่วมสังคมชนบท

มันทรงพลังและแหลมคมมาก สอดคล้องกับวัยของเด็ก ซึ่งรวดเร็ว เราไม่มีทางรู้หรอกว่าที่เห็นลูกเราเล่นอินเตอร์เน็ทอยู่นั้น เขากำลังติดต่อกับใคร และที่ใดบ้างในโลกนี้ ทางแก้คือ ต้องรู้ให้ทัน แต่ไม่ต้องถึงกับห้ามการเรียนรู้

----------



ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องอินเตอร์เน็ท แต่ควรจะเป็นทุกๆ เรื่อง ที่ควรปลูกฝังภูมิคุ้มกันทางสังคมนี้แก่คน

เป็นบทสนทนาสุดท้ายของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2535 เจ้าของนามปากกา ลาว คำหอม เจ้าของผลงาน ฟ้าบ่กั้น กับเรื่องสั้นดีเด่นในรอบร้อยปี หนังสือดีในรอบศตวรรษ 




กับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องกระจุก กระจิก ยันเรื่องกระแสหลักสังคม ด้วยเกร็ดก้อนแห่งความคิดของเสาหลักในแวดวงวรรณกรรมไทยอีกท่าน
...กับ ลาว คำหอม กับ ลุงคำสิงห์ ศรีนอก ในชีวิตปีที่ 75...



ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ :เรื่อง/ภาพ




-------------




คิดถึงนักเขียนไทยบ้าง

ลุงคำสิงห์ ศรีนอก เกิดเมื่อ 25 ธ.ค. 2453 ปัจจุบันลุงคำสิงห์อายุ 75 ปี ประวัติครอบครัวเป็นลูกชายคนที่ 6 จากพี่น้อง 7 คนในตระกูลของครอบครัวชาวนา สมรสกับนางประพีร์ ศรีนอก มีบุตรธิดารวม 2 คน เริ่มงานเขียนเรื่องสั้นใช้นามปากกาแรกว่า ค.ส.น. ลงในน.ส.พ.แนวหน้า ต่อมาลาออกมารับราชการเป็นพนักงานป่าไม้ จ.เชียงใหม่ ก่อนจะลาออกอีกครั้งกลับเข้ากรุงเทพฯ ทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัยของสถาบันคอร์เนลล์ ประจำประเทศไทย




ในปี 2501 นามปากกา ลาว คำหอม เริ่มปรากฏเป็นหนแรกกับงานเขียนเรื่องสั้น คนพันธุ์ ในนามสำนักพิมพ์เกวียนทอง ต่อมาในปีเดียวกันจึงจัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นชุด ฟ้าบ่กั้น ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ได้รับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณชนอย่างแพร่หลาย 





...ทั้งจำนวนพิมพ์ซ้ำที่มากครั้ง ทั้งภาษาที่ถูกนำไปแปลหลากภาษาจนถูกยกให้เป็น 1 ในเรื่องสั้นที่ดีที่สุดในรอบ 100 ปี... 

ในช่วงที่เกิดความตึงเครียดเรื่องสิทธิเสรีภาพของนักคิดนักเขียนได้ลดงานเขียนแล้วกลับไปทำไร่ที่ปากช่อง ต่อมาขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ประเทศสวีเดน ก่อนจะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งในปี 2524 และผลิตงานวรรณกรรมหลายเรื่องออกมาให้บรรดาคอวรรณกรรมได้ชื่นใจสม่ำเสมอ จนได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2535 
คำสิงห์ ศรีนอก หรือลาว คำหอม เปรียบได้กับเสาหลักอีกต้นที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางกระแสโลก และกระแสวรรณกรรมไทยที่เปลี่ยนไป




พยายามไม่ตั้งเงื่อนไขอะไรมาก ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีเรื่องเครียด ลุงคำสิงห์กล่าวสั้นๆ ถึงหลักในการดูแลสุขภาพของกาย และจิต 

ท่ามกลางความแปรเปลี่ยนในโลกทุนนิยม สิ่งที่ลุงคำสิงห์เป็นห่วงก็คือ เรื่องการไหลบ่าเข้ามาของ วรรณกรรมต่างประเทศ และ วรรณกรรมแปล ทั้งหลาย ที่เข้ามาชนิดทะลุทะลวงอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่วรรณกรรมไทยอยู่ในช่วงอ่อนแอ 



เรื่องนี้ชาติ กอบจิตติเองเขาก็วิตกทุกข์ร้อนนะ เห็นพ้องตรงกันว่าเราไม่มีพลังทางวัฒนธรรมพอที่จะไปต่อต้าน นอกจากยกระดับมาตรฐานของเราให้สูงขึ้น และเข้มแข็งพอ



ลุงคำสิงห์ตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจุบันวรรณกรรมกลายเป็นสินค้าที่เข้ามาเสริมพลังเติบโตของสำนักพิมพ์ โดยสังเกตเห็นเวลาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ มักจะเห็นนักจับจ่าย หรือแมวมองต่างๆ ของสำนักพิมพ์ทั้งหลายแทบจะแย่งกันซื้อลิขสิทธิ์การจัดพิมพ์

ก็ไม่ผิดหรอกเพราะเป็นธุรกิจ เพียงแต่ลุงอยากให้หันมาสนับสนุนนักเขียนดีๆ ในบ้านเราบ้าง

...เป็นเสียงแทนความเป็นห่วงเป็นใย จากหัวใจศิลปินแห่งชาติอย่างลุงคำสิงห์ที่มีต่อวรรณกรรมไทย...
...............
....................... 



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song169.html

เพราะขอบฟ้ากว้าง

ป่านนี้แก้วตา นิจจาคอยพี่
โอ้ป่านฉะนี้ คนดีคงทุกข์โศกตรม
คิดถึงคืนวัน ที่สองเรานั้นรื่นรมย์
ต่างชื่น ต่างชม ภิรมย์รักกันมา
บัดนี้พี่ยัง รักเธอไม่หน่าย
สู้อยู่เดียวดาย ไม่คลายความรักแก้วตา
รสรักยังตรึง ซาบซึ้งแน่นดวงวิญญา
ขอเพียงแก้วตา สัญญาไม่เปลี่ยนใจ
แต่เรานี้ต้องอยู่ห่างกัน ต่างคนต่างฝัน
ต่างคนตื้นตันทรวงใน
เห็นดารา นึกว่าเนตรน้อง
พี่หลงพี่จ้อง มองไป
เห็นเงากิ่งไทร พี่ยังเคลิ้มไป ว่ากานดา
อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย

อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย 

........



				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด