31 พฤษภาคม 2548 10:17 น.

ฝนรำพันขวัญรำพึง!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song129.html
................



ข้างนอก...ฝนกำลังกระหน่ำหนัก

สายวสันต์พร่างพรายพร้อย.. พร้อมสายลมแรง
พาให้เกิดม่านหมอกปกคลุมไปทั่ว


ละอองไอเย็นพรายเข้ามาทางหน้าต่าง
ที่ตั้งใจเปิดไว้..
ด้านที่มีชายคา แมกไม้ไทย ใบบัง
ให้ได้รับหวานหอม
อวลกลิ่นลีลาวดีและแก้วตระการ


ที่ ณ..บัดนี้ 
พากันผลิบานสยายกลีบ สะพรั่งพรึบ
รับหยาดละออน้ำค้างณ กลางหาว 
ราวน้ำตานางฟ้า..ที่กำลังพร่างพรม

พายุพัดแรง จนเรือนจำปีไหวเอน 
บทเพลงแห่งสายฝน.. สาย ฝัน  ดนตรีสวรรค์เริ่มบรรเลง... 



ดนตรีไพร ดนตรีเมือง 

กำลังระรินร่ำพรำพรม
ไปตามบทเพลงแห่งฤดูกาล
ให้ทุกดวงใจเบ่งบาน 
ราวดอกไม้ ได้น้ำ.. นาได้ฝน  
ทั้งคนเมือง คนชนบท 



ได้พบ ถวิลหวัง ....รานร้าวเศร้าสุขปะปน กันไป...
คนละใจคนละคิดคนละทิศ  ทุกทาง ทั่วไทย

และ..
 ตามงามรู้สึกสำนึก ในคนละบรรยากาศที่วาดหวังไว้ 

คนเมือง...
อาจจะมีอารมณ์...
ทั้งรักทั้งชังทั้งหวังทั้งหวานทั้งขมชื่น
มิชื่นทรวง ยามเห็นรวงฝนหว่านเม็ดปรายโปรย



เพราะมาตรแม้น
ใจจะรักแสนรัก..สายฝน..มากสักปานไหน

ที่แสนจะก่อให้เกิดอารมณ์หวามไหวโรแมนติก



หากไหนจะต้อง..ลุยคลอง..กลับบ้าน
จำต้องนั่งอยู่ในรถที่การจราจรติดขัดนานนับชั่วโมงๆ

ซึ่งคิดดูก็แสนแปลกดี

ที่หลายชีวีอุตส่าห์หนี...*กลิ่นโคลนสาบควาย*
ยังได้มาเวียนว่ายใช้ชีวิตเที่ยวท่อง

เหลือเพียง..จะต้อง..พายเรือลอยล่องเล่นน้ำ
ในถนนแทบทุกสายแบบขวัญเรียม..

แบบเวนิซตะวันออก
ประมาณนี้ ประมาณนั้น..



หาก..จริงๆแล้ว ..!
*นี่คือสัจจะ สอนชีวิต  สอนใจ*

หากเรา  มี..ดวงตาเห็นธรรม ..ในธรรมชาติ แห่งฤดูกาล 

ว่า.
เรามิบังอาจสอนสั่งให้ฟ้าดินเลิกนั่นทำนี่*



ราวกับร่างกายเรานี้ 

ที่เกิดมาแล้วจะมากำกับว่า อย่าให้แก่ เจ็บ และตาย
ก็คล้ายคลึงกัน

เพราะฉะนั้น...จึงควรเห็นเช่นฉะนี้...

ว่า

ร่างกายเรา..*คือธรรมชาติ..*เฉกเช่นกันนะดวงใจ

อย่าได้ไปหลงยึดมั่นถือมั่นให้มาก

วันหนึ่งมี วันหนึ่ง..ยังหายใจอยู่ดีดี   
อีกวัน...อีกไม่กี่นาที..ก็พลันหายวับ 
สลับร่างไปไหน...ก็ไม่รู้แล้ว..



เช่นเดียวกันกับอารมณ์รัก...

ที่มินานนักจักแปรไป ...ใช่คงที่คงทน..!

มีแต่พากมลให้มืดบอด...
หาก..ไม่รู้รักเย็น..รักเป็น..เห็นงาม..*ให้*

จงอย่าได้ประมาทเตรียมกมลเตรียมใจ 
ยอมรับความผิดหวังเสียใจ..

ที่อาจจะมีทั้งหวานชื่นขื่นขม ดีร้าย

ยามลองเล่นกับ..*ไฟรัก.*.ที่มักลามเลียเผาไหม้

ให้จงรู้ระวัง..



และ..
หากทุกดวงใจคนเมือง 
แทนที่จะไม่ประเทืองประทับใจกับสภาพรถติด

ก็น่าจะนำบรรยากาศรายรอบมาพินิจ...แล้วปลงให้ตก..

ไปกับอนิจจัง นาฎกรรมลีลาแห่งฤดูกาลฤดีระกำ...จะดีกว่านะดวงใจ..



ว่าเแล้ว 
สำหรับ  ชาวนาชาวไร่..กลับดีใจ 

ดั่งคำว่าปลากระดี่ได้น้ำ
ที่ยามนี้คงกระโดดผึงตึงตัวเริงร่ารับน้ำฟ้ารับฝนพรำ

กบเขียดในนาคงพากันร้องฮึมฮัม ฮัมฮัม 

พากันตะเบงเสียง
ราวกับเป็นคอรัสให้ไปกับดนตรีฝนวงใหญ่



ที่กำลัง..

หว่านไพรหว่านนา 
หว่านให้ข้าวกล้าได้ชื่นฉ่ำ

รอวันผลิรวงเรียวระย้าย้อย
*ห้อยราวรวงเพชรอัญมณีทุ่งอัญมณีไทยที่กินเข้าไปได้ให้ท้องอิ่ม*



กลับมา..
ยังวิมานดิน..
ในอารมณ์ถวิลเหว่ว้า
ของเจ้าของวิมานไพรวิมานวนา..จะดีกว่า..

ที่ณ..บัดนี้ ..!

นอนหลับตานิ่งๆ..

ฟังเสียงสายฝนแสนพริ้งพราว
พร้อมรับหนาวละออง บนเตียงโบราณ
ที่หว่านพราวด้วยดวงดอกมะลิขาวนวลไว้ริมหมอน
ให้หอมซ่าน สราญสุข



ในมโนนึก...แสนสงบงาม ทุกคราคราว...
ที่ได้ยินเสียงฝนพรำพรม 

ให้กมลราวดอกไม้แสนหวานฉ่ำชุ่มชื่นราวพฤกษ์ไพร..เช่นเฉกกัน

ที่กำลังผลิดวงดอกขวัญ..ฝัน..สวรรค์หวาน 



ปล่อยให้...เสียงธรรมชาติ แสนหวาน..
มาหว่านดวงดอกฝน
มาเคล้าคลุกนวลเนื้อกมลละมุนให้ละไมละเมียด

ให้ได้ทบทวนหวนย้อน
ให้มองเห็น

* ความผ่านมาผ่านไปในทุกข์ทุกผัสสะ*

ที่มากเรื่องราว..รัก รัดร้อย 

เกี่ยวสร้อยไปกับ..*สายฝนสายฝันสายสวรรค์สวาทเสน่หา*

ที่ ณ..บัดนี้ ..
พลัน ลับลา  ลาง เลือน ไร้ร่องรอย 

ราวม่านหมอก ถูกแดดหยอกพรายในยามสาย

แล้ว...สลายมลายหายวับไป....กับกาลเวลา ใช่จีรัง... 

ทิ้งไว้เพียงบทเรียนรัก ชัง สิ้นหวังหวาน

มิอาจย้อนรอยถอยคืนหลังได้ดั่งหวัง ดั่งใจ ต่อไปอีกแล้ว ...



ที่มาตรแม้น...
เคยหอมหวาน...จารจรุงจรัส หอมกรุ่น..สักปานใดในรู้สึก
ก็แค่  นึกรู้ เท่าทัน 

และ.

เพียงแค่.
ปรารถนามาปันพลี

เพียรบอกทุกคนดีทุกดวงใจ...คนดี..ที่แสนรักในกมล
ให้ได้ตระหนัก ชัด 
ถึง สัจจะใจ สัจจธรรม ในเส้นทางแห่งนี้

*ที่เรียกกันว่า*เส้นทางสายโศกแห่งชีวิต*

.....................
.............................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song129.html
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน
สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ
สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน
ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป
หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ
โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ
สวยงามสดใส จริงเอย
ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ

ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ...				
29 พฤษภาคม 2548 18:44 น.

มนตราทิวาหวาม!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song437.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html
...............



วันหยุด 
ที่ฟ้าแจ่มดอกแดดแรง..

เพื่อนรักคนดี 
มารับไปรับประทานอาหารมื้อกลางวัน

*ริมฝั่งฝันเจ้าพระยา*

เป็นร้านเรือนไม้ริมชายชลที่ลมพัดเย็นฉ่ำมาก

เลือกโต๊ะ นั่ง ที่เห็นวิวรายรอบประกอบแกล้มการกินลั้นซ์
ให้หวามหอมในอารมณ์ล้ำซะไม่มี..



 และ..
ในทันทีนั้น....!
ในดวงใจ...*ไร้กรอบฝันพันธนา*

หลับตาพริบเดียว 

ก็ราวตัวเองเห็นบ้านเรือนต้นรัตนโกสินทร์

ที่ยังมีสายน้ำใสระริน 
แทบเห็นตัวปลา
เห็นแมกไม้ ผู้คน 
บ้านเรือนริมคลอง และเรือค้าขายพายลอยล่อง..
ใช้ชีวีงามเงียบ *ราวมีตาทิพย์*....!



เพื่อนต้องหยิก..ที่เห็นอารมณ์อินเอามาก 

ขนาดลืมสนใจขนมเบื้องไทย
ที่แสนอร่อยล้ำหากินยากเข้าทุกวันทุกที

แล้วขนาดหู ยังไม่หายดี 
ก็ราวได้ยินเสียงมโหรีไทยระทึกมาตามโค้งคุ้งน้ำ

ราว บ้านเรือนไทยแถวนี้ 
มีใครกำลังจัดงานพิธีมงคลสมรส 
ให้แสนงดงามในรู้สึกแสนแปลกดี..แปลกใจ.!..แปลกจัง..!
*********


และ..แล้ว
ที่ตามมาติดๆคือ
บทเพลงลุกทุ่งแห่งชีวิตชาวชนบทมหาอมตะนิรันดร์กาล
ยามมีงานมงคลแบบบ้านๆ

ก็พลันแทรกหวานแว่วแผ่วลอยลมมา

ให้แสนถวิลหา 
*รังรักในจินตนาการ*

ราวนกไพรไร้รังหวังหวานเสน่หา

เลย 
แอบมาฝันๆหวังๆ ว่าจะมีรังรักเล็กๆ ก็แถวๆนี้แหละ!

 

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html

รังรักในจินตนาการ... ทูล ทองใจ 

พี่ฝันจะสร้าง รังรัก สักหนึ่งหลัง
ณ ริมฝั่ง เจ้าพระยา อยู่อาศัย 
แม้ฝันของพี่ ไม่เกิดมี อันเป็นไป 
สองชีวี เราคงได้ ร่วมเสน่หา
รังรักในจินตนาการ 
วิ มาน รักอันบรรเจิดจ้า
ริม หน้าต่างปลูกซุ้มลัดดา 
ห้องนอนสีฟ้า ติดม่านชมพู
ความ รัก เป็นมนต์ดลใจ
ฝัน ไป พลังใจ ต่อสู้
คอย พี่หน่อยเถิดนะโฉมตรู
มินาน จะรู้ รังรักอยู่แห่งใด
รังรักริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา
สุขตราฝังตรึงซึ้งอยู่ในใจ
แม้ความฝันพี่เป็นจริงได้
พี่จะให้ชื่อว่า รังรักอนุสรณ์
ความ ฝันเป็นจริงวันใด 
หัวใจพี่จะบินว่อน คอย พี่ก่อนไม่ช้าบังอร
แม้ใจไม่ร้อน แน่นอนเราได้สุขสันต์...
...........



นั่งเหม่อมองสายน้ำวน สายชลว่อง 

แล้ว
ก็อดคิดถึงเพลงมากมาย
เกี่ยวกับสายน้ำมิได้ 
ทั้ง
ลุ่มเจ้าพระยา ทั้งตาปีแสนรัก 
ทั้งทุกบทเพลงอกหักหวานเศร้า 

ที่ราวผูกพันกับสายน้ำเสมอมา
ในทุกงานรักรจนาตามประสาดวงใจคนโบราณๆ
แล้ว
ไพล่ไปคิดถึงเพลง

*พัทยาลาก่อน*อีกเพลงเกี่ยวกับน้ำน้ำหากให้งามเกี่ยวกับน้ำทะเลๆ ..

ที่มิ่งมิตรเพื่อนพ้องน้องพี่
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
เพิ่งไปลงแพ...

ให้ค้างคาวเข็นลอยล่องท่องมา
ยังมีอารมณ์ฝันสมจินตนา ร่วมกันมาหมาดๆใหม่ๆ


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song437.html

พัทยาลาก่อน...
ลมทะเล พัดมา
หาดพัทยา ครวญครั่ง
ฟังเหมือนมนต์ ภ_วัง
วอนหวีดหวัง ครางว่า
ยังรักเธอ รักเธอ
พร่ำเพ้อละเมอ รอท่า
ยังฝืนกลืน น้ำตา
ฝันจนกว่า ชีพวาย
ครวญครางไป ใยกัน
เกลียวคลื่นนั้นมัน ชวนวิ่งว่าย
แล้วล่ม ร่างร้างตาย
หาย อาวรณ์
ลาแล้วลา ขอลา
โอ้พัทยา ลาก่อน
ชีวิตคือ ละคร
ฉันมันอ่อนโลกเอย

ครวญครางไป ใยกัน
เกลียวคลื่นนั้นมัน ชวนวิ่งว่าย
แล้วล่ม ร่างร้างตาย
หาย อาวรณ์
ลาแล้วลา ขอลา
โอ้พัทยา ลาก่อน
ชีวิตคือ ละคร
ฉันมันอ่อนโลกเอย...

 
  


ยังเสียใจเสียดายเลยว่า
น่าจะได้ไปร้องครวญครางให้น้องๆฟัง

แปลกดีจังดีใจ

 ที่เคยฝันเคยคิดไว้ว่าอยากไปเดินเคียง
*คุณแก้วประเสริฐ*
คนน่ารักน่าชัง อย่างที่สุด เพราะดูและอินจากในรูปภาพ

ขอไปเดินร่ายบทกวีฝัน..อันแสนงามงดดื่มด่ำใจ
ริมทะเลไทยทะเลทองท่ามแสงจันทรา สาดส่อง..เป็นใจ

หากมิถูกปฎิเสธ..นะ!

แล้ว
จะแกล้งร้องเพลงแบบไม่หยุดยั้งนันสต้อบ 
จนกว่าคุณแก้วจะหนีหลบลงในทะเลให้ฉลามงาบเสียยังจะดีกว่า..ฟัง



และ
ในทริประยองที่ผ่านมา 
หากได้ไปร่วมวง เสวนาประสามิตรภาพตราบดินฟ้า
หวังหวาน
จะขอกอดทุกคนเลย 
และ
จะขอหอมแก้มคนละฟอด ๆฝากให้สาวๆ

ยกเว้นหนุ่มๆ ผู้บ่าว
ที่กอดสักเท่าไรๆไฟก็คงไม่ช๊อตแล้ว
หาก กลัวจะเขินอาย..เสียละมากกว่า  



ที่จำถูกหมายปองแก้ม..
(อันแสนหอมอันแสนไม่เคยถูกสัมผัสแค่ครั้ง แสนจะยังไร้เดียงสา)

ที่พุดไพร นี่หนา...
ยามเจอใครมักทนไม่ไหว
หากรักใครมากๆ 
ก็จะปราดเข้าไปขอกอด 

ด้วยความรัก ความเข้าใจค่าคำว่า
*สุขสัมผัส*..

 ที่คือพลังแห่งรักปรารถนาดีอย่างจริงแท้อย่างจริงใจ
ที่พึงมอบให้แก่กันและกัน
ก่อนวันจะสายเกิน..ก่อนวันที่ลมหายใจจะพรากลา

หารับรู้รับหวานฤาก็ไม่แล้ว

และก็คงเพราะเป็นคนโรแมนติกนัก
แม้นไฟฝันวันเวลา
จะมิค่อยเป็นใจแล้วก็ตามทีเถอะนะ

แต่ทว่า..ก็เกิดมายังแผกคิดพิเศษพิสุทธิ์
แบบประหลาดๆแบบคนมักมิคาดเดาเสมอมานะคนดี..นะทุกดวงใจ



ก็..
นั่ง..คิดเรื่อยเปื่อยตามประสา น้ำฟ้าบรรยากาศเป็นใจ

ในยามเที่ยงวันกันเองฝันเองเอาแบบนี้แหละนะ

ใครจะทำไมนะ..

ว่าแล้วก็แค่ฝันค้างคว้างฝัน..ช่างมัน..ช่างเผือกเถอะนะคะ

และ..
จริงๆอยากจะจบสั้นๆ

*ให้ชัยชนะ มาอ่านด้วยความประเทืองประทับใจ

แล้วมิค่อนว่าย้วยยานหวานจัด อีก

หากทว่านี่คือพุดไพร นะชัยชนะ

จะเอาสั้นๆเอามันส์ๆหวานๆก็โน่นสาวๆเหอะนะ

ที่ช่างแสนงามตา มากน้องๆน่ารักน่าฝัน
นักรจนาภาษาสรรสวรรค์เสกแสนหวานเสียไม่มี..เลยทีเดียวเชียว



สำหรับ
สาวพุดไพรคนนี้นั้น ..แค่คนช่างฝัน ..ขยันฝากรจนา
ยังจบไม่ได้

หากเล่าเลยข้ามไป...

ไม่เล่า..

ถึงเส้นทางที่เข้ามาและออกไป
ที่แสนมีเสน่ห์ไฉไลพิไลพิลาสไสว

ให้ใจดวงละไมละมุนสวยใส
สวยหวานเสียเกินรำพึงรำพันขวัญคว้าง

ในท่ามดงตาล บึงบัว ..

ขาดก็แต่แสงเทียนสลัว..ในกระท่อมใบไม้...
ท่ามเสียงฝนพรำ
กับอ้อมอกอุ่นของพระเอกผิวสีทองแดง
ที่ทำให้หวามไหวอบอุ่นใจเสียไม่มี หามีไม่..ก็เท่านั้นเอง..



และถึงกับต้องหยุดรถ จอด พักนึง 
บรรเลงจิต ขอกระซิบจูบแผ่วผิวฝันฝากความซึ้งใจ
และ
แทบอยากซื้อโฉนด นาข้าว..
อันงามอะคร้าวพราวกล้ารวงเรียวรอผลิ

ที่ชีพนี้มักหนีไม่พ้น
มักมาปนกรุ่นกลิ่นหอมกลั้วแกล้ม
แถมสุขสงบให้งามใจเสียเหลือเกินแล้วจ๊ะ
ทุกคนดีที่รัก

ว่าแล้วก็ฝากเพลงเกี่ยวกับ
*ทุ่งข้าวสาวนา* อีกสักเพลงนะ

แบบตามประสา คนหัวใจทั้งรัก
ทั้งซึ้งซาบอาบอิ่มอวลในนวลเนื้อใจ
ที่มีทั้ง
ธรรมะ ธรรมชาติ สายธาร หวานดอกไม้ 
สายฝนและแสงตะเกียง แสงเทียน
และบทเพลงเศร้าเคล้าคลอใจ
หวัง..คงไม่ว่ากันนะ....คนดีที่รัก..!


***************



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3102.html
หอมเอยหอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาหญ้านาง
มองเห็นบัวสล้างลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดอมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยค่อย
ก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้าเจ้า
บัวตูมบัวบาน

หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
อวลระคนธ์หอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่ว
พริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนา
หวานแว่วแผ่วดังกังวาน
โอ้เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ...

				
29 พฤษภาคม 2548 09:21 น.

ฟ้าสางณ.กลางใจไพรมณี

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6189.html
อัญเชิญบทเพลงเพลงพระราชนิพนธ์ *ใกล้รุ่ง*
..................


ฟ้ากระจ่าง สว่างอีกวันแล้ว
อุษาแก้วราตรีขวัญ ยังคงทำหน้าที่หมุนวนมาเหมือนเดิม
ให้มีฤดูกาล ราวเพียรกลับมาย้อนสัจจะธรรม..คำถาม..

ถามเราว่า

*เวลาที่ลาล่วงเลยไปนั้น เราทำอะไรกันอยู่*
*ดั่งคำตรัสขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า*




ที่ได้เฝ้าเพียรสอนเตือนสติ
ให้เราได้รู้ค่าแห่งวันเวลา 
และ
มิประมาทขลาดเขลา

ลืมคำว่า  มรณาณุสติ..ทุกผู้คน ..ที่หาหนีพ้นไม่ แม้เพียงสักผู้เดียว..

เพื่อได้เหลียวกลับมามอง
 ณ..บ้านภายในสร้างจิตใสของเราเอง



แทนที่จะไปยึดติดเติมสุขจากใครที่ไหน 
ที่แท้จริงแล้วไซร้
ก็หามีใครไม่  ที่จะมาเติมสุขนิรันดร์ให้เราได้

และ
ยามวันพรากลามาเยือน

เราก็จักไปเพียงลำพัง..!  

หาดึงรั้งยื้อยุดฉุดกระชากลากทุกสรรพสิ่งชีวิต
ที่เรารักมั่นถือมั่น ตามไปด้วยกัน..ก็หาได้ไม่..!



นาทีนี้ ..แสงจันทร์เสี้ยวลอยดวง
กำลังทอจรัสรัศมีบนนภา...ขับฟ้าให้งามกระจ่างขึ้น
แม้นจะเป็นคืนข้างแรม...ก็ตามที..



และ
ในราตรีวิมานดิน 
ท่าม
แสงเทียนทองทอไสวพอกัน 
ยามที่ไพลทอดสายตาพาสายใจ
ซาบซึ้งกับรสพระธรรมในหนังสือธรรมเล่มน้อย


ให้หัวใจดวงนิดดวงน้อยดวงอ้อยสร้อยเหว่ว้าของไพลนั้น 
พลันโชติช่วงราวกับดวงมณีรุ้ง

ราวมีรวงแสงพร่างแห่งแสงธรรม..
สายน้ำระรินร่ำใสฉ่ำเย็นจากรสพระธรรม
กำลังซึมซึ้ง

กำลังพร่างพรายนะภายในใจ ให้จิตไพล แสนใสไสวสว่าง
กระจ่างพร่างพรายราวอัญมณีเพชร..เกร็ดตระการ..



และ
ไพล กำลังอยากร่ำไห้ ใช่ด้วยความโศกาอาดูร

หากเพียงพูนพลังแห่งปิติเกษม 

ยามได้อ่าน
*หนังสือธรรมะอันคือสุขนิรันดร์แห่งชีวีไพล*ในทุกยาม

ที่ไพลได้ใช้ชีวิตอย่างเงียบงาม 
ค้นหาความสงบ สยบโลกภายนอกที่เร่าร้อน
ด้วยจิตดวงใสของไพลเอง...



ไพล..อ่าน หนังสือเล่มบางๆ
ที่มีหน้าปกหลวงพ่อท่านพุทธทาสและหลวงพ่อปัญญา

สองพระอริยสงฆ์เจ้าราวสองพี่น้อง กัลยาณมิตร
ที่ครองธรรมคอยอบรมบ่มจิตคอยพร่ำสอนเพียรสร้าง
หนทางทองรอทอดพาเราเทียบไปสู่ท่าพระรัตนตรัย 



เพื่อฝึกจิตให้ใสให้ลอยไป..เหนือห้วงกิเลสมหรรณพ
ที่ต้องพบพายุวิบากกรรมวิบากเก่าวิบากรัก แบกหนักมิรู้จบรู้สิ้น

เพื่อนำไปข้ามสู่ฝั่งพระนิพพาน..อันคือ..ความเบาว่างนิรันดร์
อันคือ ความดับทุกข์สิ้น..
 


ที่ไพลแสนจะตั้งจิตมั่นตั้งสัจจะตรง
เทิดคำสอนอันคงคำ...ล้ำเลอค่า..เพื่อตามรอยพระบรมศาสดามานานปี

ที่สอนใจในทุกดวงชีวีพุทธศาสนิกชน  คนไทยเราทุกคนนี้
ได้พลีจิตถวายชีวิตเป็นดั่งกุลบุตรกุลธิดาของพระองค์

มิหลงไปยึดติดกับเปลือกแห่งการยึดมั่นในทางที่ผิด



อัน หาใช่แก่นพระธรรมหรือคำสอนที่แท้ไม่ 
เพราะ 
ขอเพียงแค่จิตดวงใสของเรามีเพียงพระธรรมเพียงนั้น

ก็ดูราวกับเรามีร่มธรรมคอยกางกั้นปกปักรักษา  
ดั่งคำว่า..
ผู้ใดเห็นธรรมประพฤติธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นเรา

ธรรมะ ธรรมชาติ 
ที่คอยสั่งสอน
พาให้ชีวิตชีวาเราทุกคน 
ที่คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีสติ สมาธิ ปัญญา 
ไม่ว่าจะเกิดทุกข์ผัสสะอะไรมากระทบ



ก็จักมิกระทบไปถึง จิตภายใน ไม่ทุกข์นาน 
ไม่หลงในหวานหวัง
จนเกินพอดี..
รู้ใช้ชีวีอย่างพอเพียงเพียงพอ 
มิเบียดเบียนโลกและเพื่อนมนุษย์
.........



และใน..
หนังสือเล่มงามนี้..นั้น
 มีภาพท่านนั่งอยู่ในท่ามกลางราวไพร

แลดูแสนสุขสงบ
และ
ล่างภาพมีคำบรรยายไว้ว่า..
..........




มีโดยไม่ต้องมีผู้มี..ท่านพุทธทาส

*ถ้ามีอะไรแล้วใจรู้สึกเหนื่อย
สำนึกเรื่อย   ว่ากูมี อย่างนี้หนา
มีทั้งกู ทั้งของกู  อยู่อัตรา
นั่นอัตตามาผุดขึ้น ในการมี

ถ้ามีอะไร  มีไป ตามสมมุติ
ไม่จับยุด ว่าของกู  รู้วิถี
แห่งจิตใจ  ไม่วิปริต ผิดวิธี
มีอย่างนี้ ย่อมไม่เกิด ตัวอัตตา

ฉะนั้นมีอะไร อย่าให้อัตตาเกิด
เพราะสติอันประเสริฐ คอยกันท่า
สมบูรณ์ด้วย สัมปชัญญ์ และปัญญา
นี้เรียกว่ารู้จักมี ที่เก่งเกิน

เป็นศิลปะ แห่งการมี ที่ชั้นยอด
ไม่ต้องกอด ไฟนรก ระหกระเหิน
มีอย่างว่าง ว่างอย่างมี มีได้เพลิน
ขอเชิญชวน ให้รู้มี อย่างนี้แล ฯ
.................



และยังมี
อีกหลายภาพให้ไพลแสนซาบซึ้งปิติใจ..จนน้ำตาแทบไหลมาเอง

ภาพทุกภาพที่ราวกับท่านฝากคำสอนก่อนพรากลา

ภาพท่านที่นั่งอยู่กับธรรมชาติต้นไม้ใหญ่
ที่เคียงกายท่านมาตลอดเวลา
ตราบแทบชั่วชีวิตของท่านเลยทีเดียว
........



พุทธทาสจักไม่ตาย...

พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
แม้ร่างกาย จะดับไป ไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง
นั่นเป็นเพียง สิ่งเปลี่ยนไป ในเวลา

พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย
ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบกายใจรับใช้มา
ตามบัญชา องค์พระพุทธ ไม่หยุดเลย

พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย
อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ ตามที่วาง ไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ย มองเห็นไหม อะไรตาย ฯ

.........



วิธีทำไม่ให้ฉันตาย

แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอด กันอย่างไร ไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉัน ไม่ตาย กายธรรมยัง

ทำกับฉัน  อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไร มาเขี่ยได้ ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วยช่วยชี้แจง

ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด
ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
ทุกวันนัดสนทนา อย่าเลิกแล้ง
ทำให้แจ้งที่สุดได้เลิกตายกัน ฯ


...............


อยู่กันนิรันดร...

ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นยังอยู่
อยู่เป็นคู่ กันชั่วฟ้า ดินสลาย
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย
ท่านทั้งหลาย ก็อยู่กัน นิรันดร..

ทำฉันใด ถึงจะเป็นเช่นนั้นเล่า
คือทำให้เข้าเค้าพระองค์สอน
สิ่งไม่ตาย ถึงให้ได้ทุกขั้นตอน
สิ่งม้วยมรณ์ก็ทิ้งมันนั่นแลนา

สิ่งปรุงแต่งใดใดในโลกนี้
ไม่ยินดี ยึดมั่นแหละท่านขา
จิตว่างไป *ไร้ตัวกู*ไม่จู่มา
ไม่เห็นว่าอะไรกันที่มันตาย ฯ

..........



หลวงพ่อท่านพุทธทาสภิกขุ
พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปญโญ)

ชาตะ 27 พฤษภาคม 2449
มรณภาพ  8 กรกฎาคม 2536
ฌาปนกิจสรีระ 28กันยายน 2536
ปณิธาณของท่านมีอยู่3ข้อ



1..ทำให้พุทธศาสนิกชน
หรือศาสนิกในศาสนาใดก็ตามเข้าถึงหัวใจ
แห่งศาสนา ของตน..
2..ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
และ
3...ทำให้เพื่อนมนุษย์ออมาจากอำนาจของวัตถุนิยม...



และภาพสุดท้ายวันที่ฌาปนกิจสรีระท่าน

ท่ามกลางแมกไม้ไพรพฤกษ์
กลางลาน ที่มีเพียงโลง 
และ
ผ้าสีขาวสี่เหลี่ยมบังเงาเหนือขึ้นไป
ผูกโยงใยกับธรรมชาติต้นไม้
อย่างราวจะฝากบทเรียนสัจจะธรรมสอนไว้
จนตราบถึงยามสุดท้ายแห่งลมหายใจแห่งชีวิต
อันงามเต็มไปด้วยคุณาณุประโยชน์ต่อดวงใจผองเพื่อนมนุษย์


ภาพ
ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า*
โลงศพของอาตมาก็คือความดี ที่ทำไว้ในโลก
ด้วยการเผยแผ่พระธรรม
ป่าช้าสำหรับอาตมา
ก็คือบรรดาประโยชน์ทั้งหลายที่ทำไว้ในโลก
เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์*

************



สุดท้ายที่ไพลอยากร่ำไห้
เพราะว่าไพลรจนาเรื่องนี้
โดยไม่ทราบมาก่อนว่า..



ณ..วันนี้ที่รจนานั้นไปตรงกันกับวันที่  27 พฤษภาคม 
คือวันที่ท่านได้ถือกำเนิดเกิดมาในหล้าโลกนี้
ในแผ่นดินทองผืนดินไทย

เพื่อได้มาเพียรทำหน้าที่ ทางธรรม 
ตามรอยเบื้องบาทองค์พระบรมศาสดา
ด้วยความเพียรและเสียสละอย่างใหญ่หลวง



และ
ไพลอยากน้อมนำทุกดวงใจดวงจิต
ให้ตามไพลไปวัด น้อมมโนมนัสสิการ
แด่องค์พระสัมมาสัทพุทธเจ้า
ในร่มพระรัตนตรัย

 ก็จะได้พบพลังแห่งมหัศจรรย์รักนิรันดร์..สุขนิรันดร์ค่ะ



ที่จะพาให้จิตเราได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน ไว้อย่างคงมั่น
มิผันแปร ออกนอกลู่นอกทาง
ที่จะดำรงร่าง ใจตนไปในทางดี มีร่มธรรม ร่มพระรัตนตรัยนำทางใจ

ให้คิดดี พูดดี ทำดี 
พลีไฟฝัน สร้างสรรสังคมโลกและเพื่อนมนุษย์
อย่างมิยอมแพ้ พ่าย 

ให้รู้ใช้ชีวิตตามอย่างท่าน
ผู้ที่เดินตามรอยธรรมรอยทอง
ไปก่อนหน้าเราแล้ว  ค่ะนะคะทุกดวงใจ
ที่ไพลแสนรักและปรารถนาดี..





 
พุทธทาส" นามท่านปานขุนเขา
ทว่าเบาสบายอย่างว่างน้ำหนัก
และตัวตนของท่านนั้นใหญ่นัก 
ใหญ่ด้วยหลักให้สละละตัวตน

เราไม่ต้องคอยเป็นร้อยปี
จึงจะมีคนอย่างนี้เกิดสักหน
อาจร้อยปีพันปีมีสักคน
อยู่ในโลกแต่หลุดพ้นจากโลกไป

อยู่ในโลกและได้เข้าใจโลก
อยู่เหนือโศกเหนือสุขเหนือยุคสมัย
จุดประทีปธรรมกระจ่างที่กลางใจ
สว่างไสวสะอาดภพสงบงาม

ควรยินดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
ได้พบพุทธศาสน์แพร้วพระแก้วสาม
ได้ฟังธรรมจากสวนโมกขพลาราม
ได้เดินตามรอยพระอริยมรรค

"พุทธทาส" นามท่านปานขุนเขา 
ทว่าเบาสบายอย่างว่างน้ำหนัก
และตัวตนของท่านนั้นใหญ่นัก 
ใหญ่ด้วยหลักให้สละละตัวตน

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ร้อยกรอง


นั่งริมธาร..ท่านพุทธทาส

นั่งริมธาร ครุ่นคิด การเกิดดับ
เปลี่ยนปุบปับ สายธาร ทะยานไหล
เกิดไอเย็น ฟ่องฟุ้ง จรุงใจ
ดับร้อนได้ โดยไม่ต้อง ลองอาบกิน

อีกทางหนึ่ง ตลึงแล แน่ใจนัก
ถ้าใครผลัก ตกลง คงแดดิ้น
กระทบก้อน หินผา ใต้วาริน
แล้วจะสิ้น ชีพไป ใต้วังวน

มานึกดู เปรียบดั่ง สังสารวัฎฎ์
ดูผาดผาด น่ากระหวัด ในลาภผล
ที่ซ่อนอยู่ ในทุกข์ ปลุกใจตน
ให้ยอมทน ทุกข์ยาก บากบั่นไป

จนได้เกิด แก่ตาย ในวัฎฎะ
ไม่สละ ใจสว่าง ทางไหนไหน
ใครมองเห็น จงระวัง ยั้งจิตใจ
อย่าให้ไพล่ พลัดตก นรกวน





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6189.html

อัญเชิญบทเพลงเพลงพระราชนิพนธ์ 
*
ใกล้รุ่ง*


ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ ไกล ไกล
ชุ่มชื่นฤทัย หวานใดจะปาน
ฟังเสียงบรรเลง ขับเพลงประสาน
จากทิพย์วิมาน ประทานกล่อมใจ
ใกล้ยามเมื่อแสง ทอง ส่อง
ฉันคอยมองจ้อง ฟ้าเรืองรำไร
ลมโบกโบยมา หนาว ใจ
รอช้าเพียงไร ตะวันจะมา
เพลิดเพลินฤทัย ฟังไก่ประสานเสียงกัน
ดอกมะลิวัลย์ อวลกลิ่นระคนมณฑา
โอ้ในยามนี้ เพลิน หนักหนา
แสงทองนวลผ่องนภา แสนเพลินอุราสำราญ
หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่ รัง นอน
เข้าเชยชิดช้อน ลิ้มชมบัวบาน
ยินเสียงบรรเลง ดังเพลงขับขาน
สอดคล้องกังวาน ซาบซ่านจับใจ

ใกล้ยามเมื่อแสง ทอง ส่อง
ฉันคอยมองจ้อง ฟ้าเรืองรำไร
ลมโบกโบยมา หนาว ใจ
รอช้าเพียงไร ตะวันจะมา
เพลิดเพลินฤทัย ฟังไก่ประสานเสียงกัน
ดอกมะลิวัลย์ อวลกลิ่นระคนมณฑา
โอ้ในยามนี้ เพลิน หนักหนา
แสงทองนวลผ่องนภา แสนเพลินอุราสำราญ
หมู่มวลวิหคบินผกมาแต่ รัง นอน
เข้าเชยชิดช้อน ลิ้มชมบัวบาน
ยินเสียงบรรเลง ดังเพลงขับขาน
สอดคล้องกังวาน ซาบซ่านจับใจ... 
 
				
27 พฤษภาคม 2548 10:21 น.

สีชัง..ชังแต่ชื่อ..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song322.html
(สีชัง)
.............



ก่อนฟ้าสางเปิดสีชังฟังยามเช้า
หอมแก้วพราวเคล้านวลใจในอุษา
คิดถึงใครคนหนึ่งคนเคยซึ้งใจแค่ผ่านมา
และลับลาลอยเลือนลับไปกับลม...

เพียงวูบไหวในราตรีทิวาหวามหวานชั่วครู่
สอนให้รู้ทันเท่าบทเรียนขม
วันและคืนชื่นและช้ำตรึงและตรม
คืออารมณ์ผ่านมาและผ่านไป..

มายาภาพมายาคำมายาคิด
ลวงชีวิตหลอนชีวานาทีไหน
มีเพียงจิตวิญญาณนิ่งเงียบงาม นะดวงใจ
ส่องไสวส่องสว่างพร่างดั่งอัญมณี

คือดวงแก้วแววประภัสส์รำลึกรู้
คือมิ่งมิตรคู่จิตเราตราบชีพนี้
คือดอกไม้สยายกลีบบานกลางใจนะคนดี
ดอกความดีดอกการให้ไร้โรยรา..

ดอกไม้รักนิรันดร์ขวัญฝันฝาก
ใช่ดอกพิสวาทแปรผันฝันเสน่หา
ดอกไม้นี้ชื่อดอกสมาธิพาคนดีพบปัญญา
ดอกไม้ฟ้าดอกไม้สวรรค์นิรันดร์รัก..

ระหว่างเราระหว่างกาลระหว่างรอ
ขวัญเพียงขอปลูกดอกว่างกลางจิตภักดิ์
พร้อมยินดีพลีอ้อมใจและอ้อมตัก
พายุทักให้ยอดรักซุกซบอบอุ่นใจ

แล้วโผผินบินสู่โลกกว้างทางช้างเผือก
ให้หยิบเลือกดาวเดือนฟ้าไสว
หว่านโปรยทานดั่งเพชรน้ำค้างนะดวงใจ
ดับร้อนใจดับแล้งไร้ฝากให้งาม..

บทกวีธรรมดาธรรมดาภาษาซื่อ
ดั่งน้ำใจยึดถือคงมั่นมิหวั่นหวาม
กี่ปีแล้วระหว่างเรารักงดงาม
ไร้นิยามไร้คำเอ่ยเผยบอกใคร

ฟ้าและดินสิ้นอินทร์พรหมคงรับรู้
ขวัญยังอยู่กลางใจเธอส่องไสว
ดั่งแก้วขวัญรักนิรันดร์หวานซึ้งใจ

แล้วทำไม..! สวรรค์..ต้องร้องไห้คล้าย...รานร้าว..เศร้าแทนเรา..!!!!!

........




  
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song322.html
สีชัง.... ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์

สี ชัง ชัง ชื่อ แล้ว อย่า ชัง
อย่า โกรธ พี่จริงจัง จิตข้อง 
ตัว ไกล จิตก็ยัง
เนาว์แนบ เสน่ห์สนิทน้อง นิจผู้ อา ดูร
สี ชัง ชัง แต่ชื่อ
เกาะนั้นหรือ จะชังใคร
ขอแต่ แม่ดวงใจ อย่าชังชิง พี่จริงจัง
ตัว ไกลใจพี่อยู่ เป็นคู่น้อง ครองยืนยาว
ห่างเจ้าเฝ้าแลหลัง
ตั้งใจติด มิตรสมาน
สี ชัง ชัง แต่ชื่อ
เกาะนั้นหรือ จะชังใคร
ขอแต่ แม่ดวงใจ อย่าชังชิง พี่จริงจัง
ตัว ไกลใจพี่อยู่ เป็นคู่น้อง ครองยืนยาว
ห่างเจ้าเฝ้าแลหลัง
ตั้งใจติด มิตรฮืมสมาน...
.............




เปิดสีชัง ของคุณชาย*ถนัดศรี*ฟังในยามเช้า
ให้บรรยากาศบรรเจิดเพริศพริ้งพรายมาก

แก้วได้ฝนพร่างเลยออกช่อพราว
และร่วงกราวเกลื่อนพื้นหญ้าฝากพสุธา
ส่งกลิ่นหอมแกล้ม..กลางกมล

ลั่นทมผลิแย้มกลีบ
บางบาง อวลหอมเศร้าเต็มราวกิ่ง

พาหวนไห้..คิดถึงลั่นทมที่เกาะสีชัง.



ณ..พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน
พระบรมราชานุสรณ์แห่งรัชกาลที่5
ที่ยืนต้นกรายราน หวานโศก..ราวรอทอดรับทายทักผู้มาเยือน



ที่มีชื่อเส้นทางสายงาม

นามแสนสิริมงคลว่า*ทางโรยทอง*

พาไปสู่เรือนไม้ริมทะเลหรือเรือนเขียว

แล้วตัดกับ*ทางรายทองเหรียญ*
พาไปสู่..*เรือนวัฒนา*



และ
ที่นี่จะมีเส้นทางที่มีชื่อแสนไพเราะทั้งหมด26ชื่อ
อย่างที่ให้ความรู้สึกลึกซึ้งดื่มด่ำตรึงตราพาตรึงใจ
ให้แสนประทับใจ
ในความงามอลังการ
แห่งการใช้ถ้อย.คำมารักร้อยเป็นสร้อยอักษราภาษาขวัญ
ภาษาโบราณที่ช่างให้ความรู้สึกล้ำเลอค่า..มลังเมลือง



ให้ความรู้สึกแสนยิ่งใหญ่
ไปถึงก้นบึ้งแห่งดวงวิญญาณเลยทีเดียว

ที่มีดั่งนี้...

ทางเดียรทองบาท ทางดาษทองใบ
ทางไล้ทองหลอม  ทางอ้อมทองหล่อ
........
ทางทอดทองปรุ ทางบุทองราบ
ทางทาบทองแท่ง ทางแต่งทองแช่..




และ
เมื่อเดินผ่าน
*ธารเครื่องหอมปน
*ก็จะนำไปสู่*เรือนผ่องศรี*และ*เรือนอภิรมย์*
ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5
โปรดให้สร้างขึ้นบนเกาะสีชังในปีพ.ศ2423


และ..
ทั้งสามเรือนนี้คือ*อาไศรยสฐาน*
เพื่อเป็นสถานที่พักฟื้นของคนทั่วไปและชาวต่างประเทศ


และ
ชื่อของเรือนโบราณนี้ตั้งขึ้นตามพระนามพระอัครมเหสี..
และ
พระมเหสีสามพระองค์คือ...

สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี
พระอัครชายาเธอ พระองค์ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์..


และ..
มีพระที่นั่ง 4องค์ 
ที่มีชื่อแสนงามแผกพิเศษพิสุทธิ์ประภัสสรรจนามาก

หากใครอยากทราบประวัติที่มา
ว่าทำไมมีชื่อพระที่นั่ง ..

โกสีย์วสุภัณฑ์     มันธาตุโรจน์
โชติรสประภา     เมขลามณี...



ก็ลองหาข้อมูลตามติด
และลองไปสัมผัส..เกาะสีชังสักครั้งหนึ่งในชีวิต
และ
ลองไปยืนจินตนาการฝัน  ย้อนรอยถอยหลังไปสักร้อยปี
ที่ยังมีเรือนไม้สักทองแสนงาม ในยามนั้น
คงจะบรรเจิดจิตมาก  เกินกล่าวเล่าหมดสิ้น



ไหนจะยังมีชื่อพระตำหนักที่พระราชทานนามตาม
ดั่งอัญมณีต่างๆ
เช่น...
วาสุกรีก่องเก็จ    เพ็ชรระยับ
ทับทิมสด            มรกฎสุทธิ์
บุษราคัม              ก่ำโกมินเป็นต้น..
.......



หากทว่า..
หลังสงครามสยามพิพาทกับฝรั่งเศส
ได้โปรดเกล้า รื้อถอนพระที่นั่งและพระตำหนักไปสร้างที่อื่นๆแล้ว..
และ
*พระที่นั่งมันธาตุโรจน์*
ได้ย้ายมาสร้างในพระราชวังสวนดุสิต
ซึ่งก็คือ*พระที่นั่งวิมานเมฆ*ในปัจจุบัน..นั่นเอง
............


และ

นี่คือ..
งามดวงใจ..ที่อยากกระซิบฝากใจ

ให้ใครสักคนได้รับรู้...
คู่คลอเคียงซึ้ง คะนึงครวญ ถวิลรัญจวนใจไปด้วยกัน  

อย่างตรึงตา พาตรึงใจในยามเช้านี้...นะคนดีนะที่รัก..!



ว่า...
ทุกสิ่งนั้นย่อมมีกาล..*.พรายพลัดพราก..*
มิจากเป็นก็จากตายคล้ายดั่งทุกดวงชีวีนี้..ที่แสนสั้นเป็นยิ่งนักแล้ว..!

				
22 พฤษภาคม 2548 13:44 น.

ขวัญข้าว ขวัญชีวิต!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6197.html
อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์..สายฝน..)
..........



ลำเนาไพร 
กำลังจะไปเยี่ยมเพื่อนรักคนดีที่สุรินทร์

และ
กำลังใช้เส้นทางอิสานใต้สาย226
เลาะเลียบเส้นทางรวงข้าวรวงทอง

ที่กำลังแตกยอดละอออ่อนผ่องละมุน
ไหวกอรอรับสายฝนพรมพรำ
ทั้งนาดอน
และ
นาในระบบชลประทาน



ลำเนาไพร อยากจะร้องไห้ตลอดทาง
กับเส้นทางสายงามนี้
ที่คิดถึงมิ่งมิตรกวีคนดี
ที่เคยรจนาไว้นานมา
ให้มาหวานหอมออดอ้อนสะออน
อ่อนโยนละมุนละไมในหัวใจเป็นยิ่งนักแล้ว



เส้นทางสู่ชนบท.... ลำน้ำน่าน 

เมื่อลมล่องข้าวเบาเงาเมฆเคลื่อน
ท่ามกลางเดือนฝนฟ้าจะลาล่อง
ริ้วรวงข้าวแตกดอกออกรวงรอง
มีเพียงฉันเที่ยวท่องล่องเรื่อยมา

จากถนนเมืองเก่าเงาโอฬาร
มีเพียงบ้านทอดนิ่งชินหนักหนา
ข้างนอกรุ่งในบ้านร้างทางน้ำตา
มองขอบฟ้าแคบนิดขังปิดไว้

เงาตะวันเคลื่อนคล้อนสะท้อนดวง
เมื่อฝนร่วงหล่นนานวิญญาณไหว
บ้านหลังเก่าทอดเผยเปรยรำไร
ติดปีกฝันวิญญาณไพรให้กระเซ็น

สู่เส้นทางรายล้อมด้วยกองฟาง
ถูกปล่อยร้างสีหม่นจนเลือนเห็น
เถาย่านางยอดสล้างกลางลำเค็ญ
ไม่เคยเว้นแตกช่อกอชีวิต

คือเส้นทางสายนั่นฉันเคยผ่าน
ทุกวันวานภาพเก่าเงาตามติด
ถือปิ่นโตตามแม่สูงแค่นิด
ดอกข้าวติดแตะแก้มแย้มทายทัก

ฉันเปียกโชกแล้วแม่แท้ไม่ทัน
แม่ยิ้มหันหัวเราะเพราะข้าวหนัก
หยุดเดินทางให้ฉันนั้นผ่อนพัก
หยิบปิ่นโตแห่งรักไปถือแทน

แม่บอกฉันนั่นคือลูกชาวนา
เกิดใต้ฟ้านาดินถิ่นหวงแหงน
ในความจนรากเหง้าเราขาดแคลน
แต่ดวงใจฉาบแน่นแผ่นทองทัน

รายริมทางพร่างพราวด้วยข้าวรวง
ฝนจากสรวงปราดหนึ่งตรงบึงนั่น
แม่บอกกล่าวฝนฤดูผู้กำนัล
โปรยฝนฝันไล่ล่องท้องข้าวเบา

หยาดน้ำค้างแต้มดอกหมอกตรงโน้น
เสียงตะโพนแว่วฟังดังหงอยเหงา
พระสงฆ์เดินฝ่าน้ำค้างย่างแผ่วเบา
ทุกยามเช้าบิณบาตรตามยาตรา

แม่และฉันสวนทางกลางครรลอง
พระท่านมองเงียบนิ่งยิ่งค้นหา
แม่บรรจงตักข้าวเคล้าแกงปลา
อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธพงศ์

ให้ลูกชายชาวนาทายาทหนึ่ง
ได้พบซึ้งรสธรรมนำสู่หงษ์
ถางเส้นทางร้างไร้ในกลางดง
สืบเกวียนกงบรรทุกข้าวชาวนาไป

ไปหว่านหวังกลางทางทุกย่างก้าว
ให้ข้าวขาวแตกดอกงอกไสว
ในสามัญสำนึกตรึกตรองใจ
สืบสกลคงไว้ความสามัญ

แม่วางข้าวช้าลงตรงบาตรพระ
ทุกผัสสะเงียบนิ่งคล้ายปริ่มฝัน
เรื่อลำแสงสะท้อนงามตามตะวัน
เส้นทางฝันสายรวงข้าว...ฉันเข้าใจ

------------------------


ข้าพเจ้าชอบที่จะเดินไปบนเส้นทางสายรวงข้าว
ที่ที่มีผืนนาเขียวขจี มีลมล่องข้าวเบาพัดแผ่ว
ในยามเช้าที่เคยเดินถือปิ่นโตไปใส่บาตรตามหลังแม่
ข้าพเจ้าตัวเล็กนิดเดียว น้ำค้างตามเรียวรวงข้าวพรมพรำจนเปียกโชก
ดอกข้าวติดเรียวแก้ม ...แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกสนุกและสดชื่น

ในชีวิตที่เป็นธรรมดาเรียบง่ายและในความเป็นสามัญ
มีความสุขซ่อนงาม เพียงเราเปิดใจรับ และโน้มใจสู่ความเป็นสามัญ
มองเห็นใจผู้คนที่เดินร่วมทาง มองเห็นความสามัญคือความสุขที่หมุนโลก

วันนี้ฝนปราดมาชั่ววูบในตอนเช้า ข้าพเจ้านึกถึงฝนไล่ท้องข้าว 
ต้นไม้กระถางเล็ก ข้าพเจ้าได้ย้ายไปเพาะในกระถางใหญ่
ซึ่งหากมีผืนแผ่นดิน จักเอาไปปลูกไว้ในผืนแผ่นดินใหญ่
ให้ต้นไม้ที่เพียรเพาะได้ซึมซับพลังแห่งผืนแผ่นดิน
ทำได้แค่ย้ายกระถางให้มันใหญ่ขึ้น ..

ใจหนึ่งกลับหวนคิดถึงเส้นทางสู่ชนบทกับถนนสายรวงข้าว
กับผืนแผ่นดินที่มองไปไกลสุดลูกตา เต็มไปด้วยท้องทุ่งที่เคยวิ่งเล่น
ที่วันวานยังตราตรึงในหัวใจไม่เคยจางคลาย
*********


ลำนำข้าว ..พุดพัดชา

ลมพาฝนหล่นพราวราวรวงเพชร
ดั่งหยาดเพชรรวงผลิรอละออฝน
ริ้วรวงหอมหอมพร่างใจผู้ทกข์ทน
หยาดเหงื่อปนหยาดน้ำตาฟ้าเห็นใจ..

เส้นทางเก่าไร้รอยรับคอนกรีต
ราวคมมีดกรีดใจจนหวั่นไหว
ไม่เหลือรอยงามทุ่งรุ่งกลางใจ
มองฟ้าไกลไยหมองเศร้าเคล้าน้ำตา..

ตะวันเดิมเริ่มรับอรุณรุ่ง
คนมัวยุ่งจนลืมล่วงคอยห่วงหา
ไม่เคยเลยเงยแหงนดูจันทรา
ใจเหว่ว้าวิญญาณไพรในกรุงกรง...

เส้นทางหอมรายล้อยด้วยกลิ่นดิน
ร้างถวิลสิ้นเสน่หาพาลืมหลง
กองฟางน้อยคอยอ้ายเอนกายลง
โพล้เพล้ลงก่อไฟรุมสุมคอกควาย...

คือความงามเรียบง่ายใช้ชีวีอย่างสงบ
พอยามพลบเข้าไต้ไฟมองเดือนหงาย
ครวญเพลงขลุ่ยลุยทุ่งบนหลังควาย
ฝากใจอ้ายคล้ายรอรวงหวงบูชา...

เป็นเส้นทางสายรักที่ถักทอด
เงางามยอดชีวีขวัญวันห่วงหา
มีแม่พ่อพร้อมหน้าอุ่นอุรา
มีเวลาเล่านิทานหวานล้อมวง..

เทพีไพรดวงใจงามนิยามแม่
คือรักแท้ยิ่งใหญ่ใจราวหงส์
หวังจอมขวัญจอมใจสืบเผ่าพงศ์
พบรักตรงคงมั่นขวัญงามใจ..

ด้วยหัวใจลูกชาวนาหน้าใจซื่อ
ให้ยึดถือความดีดั่งแก้วใส
ถึงจนยากขาดแคลนแสนภูมิใจ
ด้วยหัวใจเป็นทองผุดผ่องนัก..

ในเส้นทางทุกย่างก้าวพราวหยาดเหงื่อ
คือเลือดเนื้อแม่พ่อผู้ภูมิภักดิ์
ราวรวงเรียวรอคมเคียวเกี่ยวรวงรัก
เฝ้าฟูมฟักผลิช่อคลอคู่ดิน

หยาดน้ำค้างหยอกข้างแก้มแต้มเรียวหญ้า
ระฆังลาหวานแว่วแผ่วมิสิ้น
พระสงฆ์เดินทอดทางธรรมอย่างอาจินต์
มิรู้สิ้นสายธารทองส่องทางใจ..

เทพีไพรใจงามนิยามแห่งยอดหญิง
ก้มกราบนิ่งทิ้งโลกเศร้าหนาวเพียงไหน
บรรจงวางบัวดอกงามบูชาใจ
อธิษฐานใจยิ่งใหญ่เพื่อลูกชาย..

ให้หัวใจทองลูกชาวนางามผ่องผุด
รู้จักหยุดจักรักภักดิ์มั่นหมาย
พบหญิงดีดั่งหงส์ทองคู่เคียงกาย
ตราบวันตายเป็นพลีภักดิ์รักนิรันดร์...

หว่านดวงดอกปัญญาสมาธิ
หวังเพียรผลิดั่งข้าวหอมในทุ่งฝัน
กลางดวงใจดวงดอกเพชรพร่างนิรันดร์
สานความฝันสืบความดีด้วยงามใจ

จบขันข้าวทูนเหนือเกล้ายิ้มละม่อม
จูบกระหม่อมหอมแก้มเจ้า น้ำค้างใส
หวังแสงทองส่องกระจ่างนำทางใจ
พาหัวใจดวงทองล่องธารธรรมนำสู่ฝั่งพระนิพพาน.. 

 
********

เส้นทางสายนี้ราวกับย้อนวิถีไปต้นรัตนโกสินทร์
ที่ยังมีคำขวัญว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว
ในบึงยังพราวไปด้วยดอกบัว

ยังมีแสงตะเกียงสลัวให้ผู้คนแสนอบอุ่นใจ
ยังมีความละเมียดละไมในดวงจิต
ยังมีชีวิตพึ่งพาพึ่งพิงกัน

ยังแบ่งพืชพรรณข้าวปลา
ยังมีเวลาสร้างสานงานงามจากสมองสองมือ
ที่ยึดถือชีวีเรียบง่ายงามสงบ
บ้านเรือนที่เข้าใต้เข้าพลบ
ก็ยังไม่ต้องรีบลงกลอนปิดตายคล้ายสมัยนี้ที่ผู้ร้ายชุกชุม



ลำเนาไพรนั่งมองดูสายฝนพรำ
ที่กำลังพร่างพื้นพรมนาแล้วพลางก็คิดถึงบทเพลงนี้...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song129.html

หยาดน้ำฝน หยดน้ำตา 

หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน
สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ
สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน
ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป
หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ
โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ
สวยงามสดใส จริงเอย
ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ

ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ... 
.............
 
  


หยาดน้ำตานางฟ้า ที่ณ..นาทีนี้ 
กำลังขังท่วมท้องนาให้ข้าวกล้าเติบงาม

และ
บ้างก็ขังไว้ให้ท่วมขังในแปลงนาตามธรรมชาติ
เพื่อซังข้าวเน่าเปื่อย
กลายเป็นปุ๋ยให้กับต้นข้าวหลังพลิกฟื้นผืนดิน


และ..ยามนี้
ทั้งนาข้าวก็ได้ยินเสียงกบเขียดร้องระงม
ผสานผสมเสียงสายฝนพรมพรำ
ในยามย่ำรุ่งให้ฟังแสนเสนาะพริ้งพราว

และ
ไหนสายฝนยังจะทำให้หญ้าอ่อนแทงยอดงาม
เป็นอาหารอันวิเศษอุดมให้วัวควายได้อิ่ม 



ได้มีพลังมาหว่านไถเคียงข้างกับชีวิตชาวนาคนยาก
ที่ฝากหน้าไว้กับดิน
ฝากความหวังทั้งสิ้นทั้งปวง
ไว้กับน้ำจากฟ้าจากลำคลองชลประทาน

ฝากหยาดเหงื่อ แรงงานหลังสู้ฟ้าไว้ตั้งแต่ยามอุษาแรก
ฝากกระดูกแบกแอกไถไว้กับทรัพย์ในดิน
ฝากความดีพลีหยาดเลือดมิรู้สิ้นผ่านรวงเรียวดั่งรวงทอง

ให้มาครองร่าง
มาสร้างงาม
มาหลอมเคล้าทุกดวงจิตวิญญาณ
ให้รู้ค่าข้าวทุกเคี้ยวคำ
ให้รู้ค่าความงามล้ำในวิถีแห่งภูมิปัญญาไทย
ในด้านการเกษตรที่แสนวิเศษเลิศล้ำ
เลี้ยงท้องมนุษย์ทั้งโลกหล้าให้อิ่มหนำมิอดตายได้ดำรง...



และวันนี้ลำเนาไพร ยิ่งอยากร้องไห้...ด้วยปิติตื้นตัน

เมื่อได้ข่าวว่า
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์และตัวแทนสมาคมสินเชื่อ
การเกษตรและชนบทภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก

จะทูลเกล้าถวาย
รวงข้าวทองคำแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 60ปี




โดยรวงข้าวทองคำดังกล่าวจะมี79เมล็ดเพื่อ
ร่วมฉลองที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษา79พรรษาในปีหน้า

เพราะที่ผ่านมาพระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย
ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเป็นจำนวนมาก



........
และนี่คือหยาดน้ำพระทัย
ที่ใสรินดั่งหยาดน้ำฟ้าจากน้ำพระเมตตาบารมี

ที่ทรงเข้าถึงวีถีแห่งชีวิตแห่งภูมิปัญญาไทย
ที่เคยตรัสไว้
ให้เราทุกคนไทบ
ใช้ชีวีอย่างรู้รักสามัคคี มีความสมถะพอเพียงเพียงพอ..
.......



และ
นี่คือสิ่งที่
ลำเนาไพรคิดว่า

เราทุกดวงใจ...ควรจะน้อมนำมาพึงประพฤติปฎิบัติ
เพื่อสร้างสรร สร้างฝันกำลังใจ




มิให้หนีไกลไปจากเส้นทางธรรม ธรรมชาติ
เส้นทาง *รวงข้าวทองคำ*

เส้นทางทองงามสุกปลั่ง..รอผู้กล้าก้าวเดิน

ประดุจดั่งเส้นทางอันงามนิรันดร์สุขนิรันดร์..
หากใครเพียรดั้นด้นฝ่าฟันความยากลำบาก

พลันจะพาไปถึง..แม้นจักแสนไกล..จงอย่าท้อเลย...!
............




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6197.html

สายฝน เพลงพระราชนิพนธ์ 

เมื่อลมฝน บนฟ้ามาลิ่ว
ต้นไม้พลิ้ว ลู่กิ่งใบ
เหมือนจะเอน รากคลอนถอนไป
แต่เหล่าไม้ ยิ่งกลับงาม
พระพรหมท่าน บันดาลให้ฝนหลั่ง
เพื่อประทัง ชีวิตมิทราม
น้ำทิพย์สาด
เป็นสาย พรายพลิ้วทิวงาม
ทั่วเขตคาม ชื่นธารา

สาดเป็นสาย
พรายพลิ้วทิวทุ่ง
แดดทอรุ้ง อร่ามตา
รุ้งเลื่อมลาย พร่างพรายนภา
ยาม เมื่อฝนมาแต่ไกล
พระพรหมช่วย อำนวยให้ชื่นฉ่ำ
เพื่อจะนำ ดับความร้อนใจ
น้ำฝนหลั่ง ลงมาจากฟ้าแดนไกล
พืชพันธุ์ไม้ ชื่นยืนยง... 
 
  

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด