21 เมษายน 2548 00:19 น.
พุด
ตะวันโพล้เพล้
ทั่วทั้งอำเภอไกลปีนเที่ยง..แสนเงียบเหงา
มีเพียงผมกับสายลมร้อนบางเบา
ที่พัดพร่างมาเป็นระยะระยะ
หากทว่ามิอาจบรรเทาความร้อนอบอ้าว
ได้สักเท่าไรเลย..
ผมค่อยๆละสายตาจากบานหน้าต่าง
ที่ผมจงใจเปิดกว้างเอาไว้
เพื่อให้แม่ดวงดอกไม้ในดวงใจในฝัน
ได้พลันพากันสยายกลีบมาล้อผมเล่น
ให้นัยน์ตาผม
ได้พบงามเย็นสดฉ่ำสล้างจากความสวยใสไสวพร่าง
ที่ช่างแสนอ่อนหวานบอบบางช่างน่าทะนุถนอมเสียไม่มี..
ดอกไม้แห่งรัก..งามเงาอดีต
ที่ทั้งทายทักและกรีดใจผมในทุกวันคืนมาอย่างยาวนาน
ลั่นทม พรมพรายช่อผลิจากกอหลากสีที่คือแทนชีวีชีวิตของสตรีหนึ่ง
ที่กำลังบานพ้อล้อเหงาเศร้าให้หัวใจผมยิ่งดายเดียวลึกล้ำเป็นยิ่งนัก
ยามผม..นั่งนิ่งงันฝันเงียบเพียงลำพังมานานปีณ..ตรงนี้ที่เดิม..
ผมคิดถึงเธอ..คนดี
คนที่ทิ้งผมไป สิบห้าปีแล้วให้รอคอย
จนถึงวันนี้..ที่ผมก็ยังคอยรออย่างมิท้อใจ
และจะเป็นเช่นนี้..ตราบชั่วกาล..
เพราะเธอดั่งดอกรักดั่งดอกบานไม่รู้โรยที่บานคาในใจในอกผม
......
.......
เสียงโทรมือถือ..ผมดังเตือนขึ้น
ผมกล่าวคำสวัสดีออกไปโดยไม่เฉลียวใจเลยว่า
นาทีต่อมา..ลมหายใจผมราวกับจะหยุดนิ่ง
โลกตรงหน้าหมุนควะคว้างราวมหัศจรรย์เรียวรุ้ง
มาพร่างสีสันแสนหวานบรรเจิดตระการตรงหน้า...
สวัสดีค่ะ...
ทายสิคะว่าใคร...
เสียงเธอหวานแว่วแผ่วเบามาราวมาจากปลายฟ้าปลายฝัน
ทำไม..!!!ผมต้องเดา..ด้วยเล่าคนดี..
เพราะ...
แทบทุกนาทีหัวใจเต้น
ผมก็มีคุณคลอเคลียเคียงข้างผสานจิตวิญญาณอยู่ภายใน
ราวมิเคยพรากลาพรากไกลไปไหนเลย...
ดวงใจ...
ผมระล่ำระลัก..กล่าวคำนี้ออกไปเสมือนละเมอ..ราวหนุ่มน้อยผู้อ่อนไหว
ทั้งๆคุณก็รู้..
ผมผ่านอะไรๆมามากมายนัก
ในทุกเรื่องราวอย่างลูกผู้ชายชาติไพรหัวใจเพชร
ที่คุณเคยกระซิบบอก
ผู้ชายปีเสือเหลือ จะเชื่อคำ..กลัวขย้ำรักหักอกไม่มีชิ้นดี
แล้วไงเล่าคนดี
เสือตัวนี้กลับสิ้นลายเมื่อได้พบและรักคุณ..ใช่ไหมเล่า..ละหนอ
คนดี..ผม ผม..คิดถึงคุณ คิดถึงเหลือเกิน...
นี่คือเสียงผม ที่คงฟังไม่ได้ศัพท์จับเป็นคำแทบไม่ได้
เพราะ..
ผม..พูดอะไรไม่ออกบอกอะไรคุณไม่ถูกไม่ได้แล้วจริงๆ
นอกจาก..
ขอเวลาสักนาทีนะ
ให้ผมทำจิตให้นิ่งให้คงมั่นว่ามิได้ฝันมิใช่ฝันไป..
แล้ว..ทำไม..นั่นทำไมเสียงคุณราวร้องไห้..
บอกผมมานะว่าใครทำร้ายจิตใจคุณ..
บอกผมมาเดี่ยวนี้เลย..
........
........
คนดี..ทำไมเงียบไปเล่า
แล้ว..ทำไมคุณถึงร้องไห้..
คุณรู้มั้ย...
มันทำให้หัวอกหัวใจผม...อยากจะโลดแล่นไปโอบกอดคุณไว้
ให้คุณซับน้ำตาเหมือนคืนวันที่ผ่านมา...
คุณจำได้ไหมบนไหล่ผาราวท้าสวรรค์ลอยเลื่อน
คุณชี้มือน้อยๆไปที่เกาะตรงหน้า
แล้ว...
อ้อนให้ผมสร้างกระท่อมให้คุณ
บนหน้าผา*แห่งความฝันนิรันดร์รัก*ราวสวรรค์สรวงนั้น
เพื่อคุณจะได้มานั่งรจนางานงาม..ณ..ตรงนี้
คุณบอกว่า..คงงามมาก
หากได้นั่งดายเดียวเหว่ว้าลำพัง
เพื่อทอดตาดูตะวันตกดิน
ยามพรายแสงอำลาผืนน้ำทะเลสีมรกต
ที่คงราวทองทาบอาบทาไปทั่ว
คงราวภาพพาโนราม่า
ที่แสนงดงามยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่ธรรมชาติเมตตาหยิบยิ่นมากำนัลให้
แด่คุณและมวลมนุษยชาติ...
คุณรู้ไหม..
ผมได้ทำตามคำมั่นสัญญาแล้ว
ผมสร้างไว้ให้คุณแล้วนะ
หากทว่ากี่ครั้งที่ผมฝากความหวังรอให้คุณกลับมา..
ไม่น่าเชื่อเลยว่า...
คุณจะใจแข็งไม่ยอมกลับมาเยือนที่นี่เกือบสิบปี
จนกระท่อมหลังน้อย
ที่ผมไปนอนคอยคุณอย่างดายเดียวทรุดโทรม
และ
พร้อมกับที่ผมต้องโยกย้ายออกจากเกาะ...
และล่าสุด
ผมได้ย้ายกลับมาอีกคราครั้ง
และมาตรแม้นใจผมจะเซซังซมซานแสนเศร้า
ด้วยคิดถึงคะนึงหาคุณอย่างไร
ผมก็พยายามไม่ขึ้นไปที่นั่น...
คนดี...ยังฟังผมอยู่มั้ยนี่..
ถ้าคุณไม่ตอบก็ให้ตั้งใจฟังผมให้ดีดีนะ
เพราะ..
นี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะเผยใจ
ไม่รวมบันทึกที่จะถึงมือคุณในไม่ช้า..
ที่ผมเพียรรจนาจากใจดวงปรารถนาคุณ..ทิ้งไว้ให้
ก่อนที่ผมจะหันหลังลา..ระหว่างเรา
และ
โลกธรรมของผม
กับโลกมายาของคุณ ...คงเป็นเพียงเส้นขนาน
นอกเสียจากคุณจะเดินตามรอย..ผมมา
ถึงจะช้านานสักเท่าไร..ผมก็จะรอ..คุณ
ในเส้นทางทิพย์..เส้นทางสีขาวนิรันดร์
ที่จะทำให้ดวงใจเราทั้งคู่
หยุดโศกศัลย์คร่ำครวญโหยไห้ในทุกพันธนารัก
ดวงใจ...
ผมอยากบอกเล่าทุกสิ่ง
ที่ซ่อนซึ้งเศร้าร้าวรานหนาวเหน็บใจอยู่ณ..ภายในใจดวงร้าวนี้
ที่ผมแสนอัดอั้นตันใจเก็บเอาไว้
มิให้ผู้ใดลาวงรู้เห็นมานานปีมาแสนนาน
ทุกอย่าง....
ที่ผมคาค้างใจที่อยากบอกคุณ..นะครับ
คนดี
รู้มั้ยฝนกำลังตกนะครับ..นาทีนี้
คุณจำกระท่อมริมหาดได้ไหม
ที่เรานอนเคลียกันฟังเสียงสายฝนคร่ำครวญ
แล้วเราก็ร้องเพลงนี้พร้อมกัน...
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=336
ปีศาจวสันต์
เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว...
.........
..........
คืนวันแสนสุข ที่ราวไร้กาลเวลา
คืนที่ฟ้าฝนเป็นใจให้คุณซุกซบ
ราวลูกนกในอ้อมกอดผมจนอุ่นไอ
คนดี...
ฝมคิดถึงคุณทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝนครางฟ้าครวญ
และคุณก็รู้ดี..
กี่ฝนเศร้ากี่หนาวใจกี่วสันต์สวาทผันผ่านไปโดยไม่มีคุณเคียงคืน
และ
คุณรู้มั้ย...คนดี ดวงใจ
ที่ผมต้องนอนระทมเดียวดายภายใต้ชายคาแห่งรักอย่างกับคนขวัญหาย
เหมือนผมตายก่อนตาย...
ผมเพียรใช้กุศโลบายธรรม..ท่องสาธยายร่ายมนต์กำกับจิตใจ
เพื่อมิให้ไหวครวญถึงคุณจนทนไม่ได้
เพื่อให้คืนฝันวันสิ้นหวังวันผ่านๆ ไป
จนกว่า....
จะถึงวันที่ดวงใจผม...จะอ่อนล้าสุดทน
และ...ค่อยๆหลุดผลอย...ปลิดปลิว..ไปเสียที..
กับยามตะวันลาฟ้าโพล้เพล้
ที่คุณเคยกระซิบริมแก้มบอกผมว่า...
หากยามใด...
ดวงชีวิตคุณถึงเวลาจำพรากจากลาฟ้าดินตราบชั่วนิจนิรันดร์
ขอกราบกรานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน
ได้เมตตาปรานี
ให้มารับร่างและจิตวิญญาณในยามตะวันตกดิน
คุณอยากให้ลมหายใจระรินค่อยๆสิ้นไปในยามค่ำ
ให้จิตคุณได้ผกโผผินราวนกไพรในยามนั้นราวคืนรวงรังแห่งรัก
ได้พักร่างวางทุกเรื่องราวเศร้าสุข
ให้พสุธาเหว่ว้ารับร่างอันแสนเหน็บหนาวยาวนาน..ได้ปิดเปลือกตา...!!!!
คนดี
ผมเพียรไปวัด ตามที่คุณบอก
หลวงพ่อบอกผมว่า
*ผมควรจะบวชเสียเลยดีกว่า*
เพราะเป็นทางเดียวที่จะได้ชิดใกล้ท่าน
มิฉะนั้น..ท่านทำนาย หากผมตัดใจหักใจไม่ได้
ผมก็จะตรอมใจตายโดยไร้แม้ร่างคุณเคียง
ท่านเห็นผมสงบภายนอก
หากทุกครา...ที่ท่านเห็นนัยน์ตาผม
ราวท่านจะล่วงรู้ถึงก้นบึ้งแห่งทุกข์ระทมณ.จิตภายใน
ที่ยากที่ผู้ใดจะหยั่งเห็น
ท่าน...ปลอบประโลมผม
เพียงบอกให้เพียรชดใช้วิบากรัก หักจิตหักใจเสียในชาตินี้
ให้พลีรักษาศีล สมาธิ ภาวนา อธิษฐานว่า..อย่าได้พบรักอีกเลย..
คนดี..ครับ
หากชีวิตผม..
ไม่มีหลวงพ่อ..
ไม่มีธรรมะ...ผมคงประคองจิตไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
และ
คุณก็รู้ดี... ถึงเวลาที่ผมจะบวชจริงๆเสียทีแล้ว
ผม..เบื่อชีวีผมเต็มทน ที่ติดตมพันธนา
และ...
คุณก็รู้ว่า...
ในยามนี้ผมหมดหน้าที่ในทางโลกย์
ที่จะตอบแทนคุณผืนแผ่นดินแม่มาตุภูมิแล้ว
ที่ผมได้เพียรเททุ่มพลังสมองสองมือมาอย่างยาวนาน
อย่างไม่เสียชาติเกิด
ที่ได้ทำหน้าลูกผู้ชายไทยได้รับใช้ชาติอย่างดีที่สุดเสมอมา
และ
คนดี..
ในเบื้องลึก
ผมมิอาจตัดร้าวราน
ด้วยบาดแผลแห่งรักคุณได้สนิทเลยแม้สักนาที
ผมอยากได้แสงฉัพพรรณรังสีจากยอดพระรัตนตรัย
ดั่งหยาดน้ำอมฤตใสเย็นฉ่ำหยาดน้ำรสพระธรรมมาเยียวยา
ซึ่ง..คือยาใจยาจิตที่ดีที่สุดในหล้าโลกนี้..
ผม...ทราบ...ดี
คุณโทรมาวันนี้
เพราะคงมีใครสักคนไปกระซิบบอกคุณถึงการตัดสินใจของผม
ที่จะเลือกเดินไปในเส้นทางสีขาวอย่างยาวยืนนิรันดร์..
ใช่ไหมเล่าคนดี....
..........
อย่าร้องไห้นะ..
อย่าร้องไห้เลย..นะคนดี
ผมไม่ได้ไปตายนะ ผมกำลังจะเดินไปในเส้นทางสีขาว
เส้นทางธรรมอันแสนสว่างพราวพิสุทธิ์ใส
แสนว่างสว่างสงบ
ที่รอให้ผมเดินไปสมทบ
กับผู้มีกุศลบุญมากมีที่เดินล่วงหน้าไปมากมายแล้ว
ทางสายแก้วตระการ..ทางนิพพานพ้นทุกข์..พบวิมุตติหลุดพ้น
ที่พากันละกิเลสและเพียรบำเพ็ญเพียรภาวนา
ให้ทันชาติพระศรีอาริยเมตไตรย์
ที่กำลังรอรับทุกร่างจิตผู้มีบุญญาบารมีมากเมตตา
คนดี..อนุโมทนาบุญกับผมนะ
และ
ได้โปรดตราจำไว้..
*ผมจะไม่เห็นแก่ตัวทิ้งคุณไว้ให้ดายเดียวลำพัง
ไม่ว่าคุณจะอยู่ณ แห่งหนไหน
ในสวรรค์ฤานรก
ผมก็จะตามไป..
หากเป็นนรกผมก็พร้อมจะตกกับคุณ
และกางกั้นคุณมิให้ร้อนเร่าร่างหากผมพลีรับคุณไว้ได้*
และ
*หากเป็นสวรรค์...ฝันนิรันดร์รักแห่งสองเรา..คงเป็นจริง
ที่จะได้บำเพ็ญเพียร..
พากันไปสู่แดนทิพย์ที่เราสองเคยได้ปองจิตอธิษฐาน
สัญญาธรรมกันไว้อย่างไรเล่า
คนดี...อย่าเสียใจนะ
และ...
ระหว่างเรา..
*จากกันอย่าลาเพื่อเป็นลางว่าเราจักได้พบกันใหม่ไงเล่ายอดรัก*
เหมือนทุกครา ที่เราเคยพูดกันไว้
ว่า..
ไม่ว่ากายจะจากเป็นจากตาย
เราก็จากกันเพียงเฉพาะร่าง..หาใช่จิตวิญญาณไม่
เพราะ
จิตดวงใสดวงงามจักโผผิน บินไปรออย่างมิท้อ..ใจในทุกภพชาติ
หากยังต้องกลับมาวนวิบากชดใช้อีกครา
และ....
หากเรายังต้องวนกลับมาในพสุธาฟ้าพุทธภูมิ
ขอให้เราได้มาครองคู่เป็นดั่งคู่ธรรมคู่ทองคู่บุญญาบารมี
มาสร้างสานสิ่งดีแด่ผืนโลกและผองชน
ตราบจนกว่าจะถึงชาติสุดท้ายที่จะสิ้นวิบากรักวิบากทุกข์..ทุกๆรัก
คนดี...
ผมดีใจนะ
ดีใจ...ที่คุณโทรมารับฟังให้โอกาสผมได้พูดถึงทุกสิ่ง
ที่แสนเงียบงามงดงามอย่างยากที่ใครจะเข้าใจในรักนี้มานานหลายปี
ให้คุณได้เข้าใจ...
วันนี้ผมสบายใจ โล่งใจและแสนปิติใจ
ก่อน..
ที่ผมจะเดินหันหลังลาคุณเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์นะ
คำสุดท้าย...
ให้ผมได้กระซิบตรงหัวใจคุณนะยอดรัก
ว่า....
ผมรักคุณ รักคุณ
และ....
ตราบลมหายใจสุดท้ายของผมนี้
ที่เกิดมาเพื่อภักดีคุณเพียงคนเดียว..นะยอดดวงหฤทัย!!!!.
..................
.........
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=222
ฉันรักเธอเสมอ
ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล : : Key G
หากตราบใด สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง กระทบฝั่ง เป็นอาจินต์
เป็นนิจสิน ตราบนั้น ฉันรักเธอ
เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์
เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์...
20 เมษายน 2548 17:11 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=72
(หนึ่งในร้อย)
...............
บุญเหนือบุญคือการรู้จักตนเอง
ไร้บทเพลงบรรเลงทุกข์สุขฤาเหงา
บุญเหนือบุญใช่วิมานฝันสวรรค์เงา
บุญของเราหยุดคิดได้ไร้เศร้าใจ..
บุญอยู่ไหนถามใครอยู่ในนี้
ที่จิตดีจิตว่างกระจ่างใส
บุญแบบนี้เรียกว่านิพพานใจ
อย่าสงสัยรอแสนชาติคลาดค้นพบ..
ที่เราทุกข์นักหนาเพราะความคิด
หลงยึดติดยึดมั่นกิเลสกลบ
สร้างบุญญาบารมีเลิกคิดลบ
ก็จะพบใจว่างกระจ่างงาม...
หากแสนยากหยุดคิดติดฟุ้งซ่าน
อุปาทานมากมายคล้ายขวากหนาม
ลองหยุดนิ่งรู้หายใจในทุกยาม
เฝ้าติดตามปราณพรูรู้เท่าทัน..
สั้นหรือยาวเคล้าหยาบฤาละเอียด
ค่อยมาเบียดความคิดจิตเพ้อฝัน
พบมหัศจรรย์ว่างวางพร่างปิติพลัน
ไร้สวรรค์ฤานรกตกต้องใจ..
รจนาภาษาเรียบง่ายจึ้ตรงจุด
สู่วิมุตติหลุดพ้นกว่าคำไหน
ตายก่อนตายหยุดคิดได้สว่างใจ
ไม่วาบไหวหวั่นหวามตามโลกย์รัก..
หลวงพ่อเทียนนำทางธรรมสั้นกระชับ
รู้รำงับจับอิริยาบถให้รู้จัก
ความเคลื่อนไหวช้าช้าพาจิตพัก
หยุดทุกข์หนักทุกข์หนาพาพบธรรม..
คือ.กุศโลบายให้จิตจ่อ
เพียรอย่าท้อรู้ฝึกทุกคืนค่ำ
ยามใดเหงาเหว่ว้าวิบากกรรม
จงเพียรทำไร้น้ำตาหาใครมาปลอบใจ..
เพราะผู้ใดไหนเล่าจะช่วยเจ้า
หลุดพ้นเศร้าดายเดียวยามวูบไหว
เจ้าต้องอยู่กับเงาร้าวเปล่าเปลี่ยวใจ
ตราบสิ้นลมหายใจใครไปด้วยช่วยบอกที..
มาลำพังไปลำพังอย่าเขลาโง่
จงรีบโผล่บัวพ้นน้ำงามศักดิ์ศรี
ฝึกหยุดคิดนิมิตหมายนะคนดี
นิพพานที่นี่เดี่ยวนี้สิพบว่างกระจ่างใจ..
ณ..โลกนี้นาทีนี้ใช่โลกหน้า
เลิกเหว่ว้าลืมทางพรางหวั่นไหว
ไม่มีเขาเราอยู่ได้นะดวงใจ
เพราะจิตใสสิ้นทุกข์ได้ไร้ตัวตน...
ตามรอยธรรมรอยทองของพระพุทธ
เพียรรู้หยุดเลิกคิดได้ไร้สับสน
มองเข้าไปในจิตวิญญาณบ้านแห่งตน
สร้างกมลใสว่างพร่างแสงเพชรอัญมณี..!
.......
ชีวิต คำสอน และปฏิปทาของ*หลวงพ่อเทียน*นั้น
เป็นตำนานที่เล่าขานได้
เฉกเช่นพระอาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่แต่ครั้งโบราณกาล
นับเป็นโชคดีหนักหนาที่เรามีโอกาสได้ยินได้ฟัง
หรือกระทั่งพบเห็นท่านด้วยตนเอง
ทั้งด้วยตาเนื้อ(มังสจักษุ)และตาใน(ปัญญาจักขุ)
ทำให้มีความเชื่อมั่นกำลังใจ
และ
มีชีวิตชีวาในการการปฎิบัติทางจิต
ชนิดที่ไม่ต้อเชื่อหรือพึ่งพิงผู้อื่น
นอกจากลงมือทำด้วยตัวเอง เห็นตัวเองในตัวเอง
และเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ ชึ่งเป็นจุดเน้นประการเดียวของท่าน
ในยุคโลกาภิวัฒน์และจิตใจของผู้คนพินาศย่อยยับ
และยุ่งเหยิงด้วยความครุ่นคิดกังวล
จนเป็นวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมไปค่อนโลกเช่นนี้
คำสอนของหลวงพ่อเป็นแสงสว่างนำทาง
เทคนิควิธีฝึกจิตใจอย่างได้ผลดียิ่งของหลวงพ่อ
เป็นเครื่องมือเดินทางไปบนหนทางสู่ความสิ้นทุกข์
ที่พระบรมศาสดาสัมมาพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว
ผู้น้อมใจลงศึกษาด้วยความถ่อมตนว่าตนยังไม่รู้จักตน
ยังมีโอกาส ..
*มองตน บอกตนได้ ใช้ตนเป็น เห็นตนชัด..*
และ
ขจัดมายาภาพของตัวตนได้อย่างแน่นอน
*คำนำ..จากหนังสือ*หลวงพ่อเทียน*
พุดพัดชา..ศรัทธาในคำสอนของหลวงพ่อเทียน
และ
มีปาฎิหารย์หลายสิ่งพลันพึงบังเกิดกับชีวิตนิดน้อยนี้
ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา..พบยอดพระรัตนตรัย
ที่เป็นดั่งสร้อยธรรมคอยกางกั้นปกป้องคุ้มครองให้จิตใสใจดวงดี
ไม่รานร้าวเศร้าชีวีนาน
ทุกเรื่องราวเศร้าสุขทุกข์ร้อนร้าย
คล้ายแค่พบพายุวิบากกรรม
มาพัดผ่านมากระทบเพียงชั่วครู่
ให้จิตภายใน..รำลึกรู้สึกตัว ลบลืม
ที่ถือว่าแสนมีโชค
ให้ได้พบร่มธรรมร่มทอง
มายึดมั่นในทุกพระธรรมคำสั่งสอน
ที่ใช่เพียงอ่าน
หากทุกคืนค่ำ
พุดเพียรฝึกเจริญสติด้วยอิริยาบถความเคลื่อนไหว
ที่พุด..อยากพลีใจ
ขอมอบธรรมล้ำค่านี้
มาวางพลีบรรณาการแด่ทุกดวงใจ
ให้ลองเพียรพยายามดู
และ...
อาจจะค้นพบบางสิ่งที่มหัศจรรย์จิตเกินคำบรรยายค่ะ
.........
.........
เมื่อเรามีเวลาว่าง
จะเดินจงกรมสลับกับการนั่งสร้างจังหวะก็ได้
การฝึกสติแบบนี้ทีแรกต้องนั่งอย่างนี้
นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งเหยียดขาก็ได้
นั่งขัดสมาธิก็ได้
นั่งเก้าอี้ห้อยเท้าอยู่ก็ได้..
...........
............
เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง.....คว่ำไว้
พลิกมือขวาตะแคงขึ้น...ทำช้าช้า...ให้รู้สึก
ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว...ให้รู้สึก..มันหยุดก็ให้รู้สึก
เอามือขวามาที่สะดือ...ให้รู้สึก
พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น...ทำช้าช้า...ให้รู้สึก
ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว...ให้รู้สึก..มันหยุดก็ให้รู้สึก
เอามือซ้ายมาที่สะดือ...ให้รู้สึก
เลื่อนมือขวาขึ้นหน้าอก...ให้รู้สึก
เอามือขวาออกตรงข้าง...ให้รู้สึก
ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้...ให้รู้สึก
คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา...ให้รู้สึก
เลื่อนมือซ้ายขึ้นหน้าอก...ให้รู้สึก
เอามือซ้ายออกตรงข้าง...ให้รู้สึก
ลดมือซ้ายลงที่ขาซ้าย ตะแคงไว้...ให้รู้สึก
คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย...ให้รู้สึก...
.........
.......
และ...
หวังจิตให้ทุกดวงใจลองฝึกนะคะ
เป็นการเจริญสติค่ะ
และจะหยุดคิดได้..
หากทำนานๆเข้าโดยนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ให้มีสติในทุกอิริยาบถไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดินหรือทำอะไร
ให้จิตจับในกิริยานั้นคือให้รู้สึกตัวตลอดเวลา
และไม่ช้านานเราก็จะค้นพบความว่างกระจ่างใจค่ะ
แล้วความทุกข์จากความคิดใด
ก็จะมิหมายมากลายกล้ำทำให้เราช้ำใจเศร้าใจทุกข์ใจได้นานเลย
ลองดูนะคะ...
..............
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=72
หนึ่งในร้อย
พราว แพรว อันดวงแก้วแวว-วาว
สด สี งาม หลายหลากมากนาม นิยม
นิล-กาฬ มุกดา บุษรา คัมคม
น่า ชม ว่างาม เหมาะสม ดี
เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้ง จึงเป็น ยอดมณี
ผ่อง แผ้วสดสีเพชรดี มีหนึ่งในร้อยดวง
ความ ดี คนเรานี่ ดีใด
ดี น้ำ ใจที่ให้แก่คน ทั้งปวง
อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง
เจ็บ ทรวง หน่วงใจให้รู้ ทัน
รู้ กลืน กล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบ ผล ร้อยคน มีหนึ่งเท่านั้นเอย
รู้ กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบผล ร้อยคน มีหนึ่ง เท่านั้นเอง...
20 เมษายน 2548 13:11 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=420
(รางวัลชีวิต)
..........
ในเส้นทางป่าเบญจพรรณ
ที่เป็นป่าโปร่งเต็มไปด้วยหินปูนตะปุ่มตะป่ำโผล่อยู่ทั่วไป
มองรายรอบออกไปจะเห็นพันธุ์ไม้นานา
มีไผ่รวกใบรวงเรียวระยิบ
อ้อยช้าง มะเกลือ กระท้อน งิ้ว ขันทองพยาบาท
แจง ตะขบป่า ตะโก สลัดได
ขึ้นซ้อนสลับกับป่า*ดิบแล้ง*ที่ดินค่อนข้างสมบูรณ์กว่า
มีห้วยหุบหนองคลองบึงที่ยังมีดินอุดมสีดำ
ให้ต้นไม้งามวันงามคืน
ต้นไม้ที่นับวันจะหาคนรู้จักยาก
ราวสาวไพร..ไม้ไพรซ่อนตัวในแดนดงอย่างพราวพิสุทธิ์
ใช่!ไม้ประดับเมือง..ประดับใจใคร
หากคือไม้ไพรประดับหล้า....
และ..ไหนจะยังมี..
ไผ่ป่า แก้วป่า ข่อย ไทร กร่าง ปีบ ถ่านไฟผี
หมากเล็กหมากน้อย แสมสาร
และ..
ที่งามกว่างาม คือต้นไม้ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
*ต้นสังกรณี*
ซึ่งเพียรแทรกขึ้นหยัดยืนอย่างทรนงคงมั่นตามหน้าผาสูง..ชัน.
เธอ..คนดี..
ค่อยๆขับประคองรถ...
ลัดเลาะเส้นทางลูกรังเข้ามาอย่างช้าช้า
ที่...
สองฟากฝั่งคือนาข้าวและห้วยหนองคลองบึง
ที่มีดงตาลหวานเคียงแซมผสม...
ในเรียวตาโศกราน..พยายามมองทัศนียภาพภายนอก
ที่งามแล้งไร้..ทว่า..ให้ความรู้สึกเงียบสงบอย่างซึมซึ้งใจ...
ผ่านเปลวแดดทอไหวระยิบตา
ที่ณ..บัดนี้กำลังพร่างแสงสีเงินยวง
ลงกระทบใบไม้..ให้พราวพร่างไหว..
รับสายลมที่พร่างพรมลูบไล้
ให้ใบไม้ในราวป่าพลิกพลิ้วโบกสะบัดเริงร่า
จนเกิดประกายแพรวพรายพรรณราย
ราวเพชรกระพริบวะวิบวับระยับงามไปเสียหมด..
งามจนเกินหาคำมาบรรยาย..ในอัศจรรย์ธรรม ธรรมชาติ..
เธอ..จอดรถอีกครา
และคว้ากล้องขึ้นกดชัตเตอร์..ไปเรื่อยๆ
นั่น...
หางนกยูงที่สูงเด่นและดอกพราวสะพรั่งแดงระย้าย้อย
ทั้งห้อยทั้งชูชันไสวไปทั้งต้น..ตัดกับฟ้าสีคราม..ฟ้างามเข้มเต็มผืน
ลมร้อนพัดมาวูบหนึ่ง...
ให้ผมเธอหลุดรุ่ย ปลิวสยายไปตามสายลมเบื่องหลัง
ปิ่นปักผมหล่นร่วงลงไปกับพื้นหญ้า
ที่พร่างไปด้วยกลีบดวงดอกไม้ละมุน
และ...
ก่อนที่เธอจะหันหลังไปเอื้อมมือหยิบของรักของหวง...
พลัน..!!!!!
ก็มีมือเล็กๆผอมบาง...หยิบยื่นคืนกลับส่งมาให้เสียก่อน..
เธอ..แสนประหลาดใจ
ที่มัวแต่หันไปสนใจสิ่งแวดล้อมแสนงาม
จนไม่ทันได้ยินเสียงฝืเท้าสองแม่ลูก..หญิงชาวบ้าน
ที่เดินผ่านมาทางเบื้องหลัง..
และ..
ที่ทำให้หัวใจเธอแทบละลายด้วยความสงสารเมตตา
คือ..
ภาพเสื้อผ้าที่บ่งบอกให้เธอทราบว่า..
ทั้งคู่คือตัวแทนแห่งความยากไร้แห่งผืนดินไทยแผ่นดินธรรมนี้
ที่ยังคงมีอีกมากมายนัก..
เธอ..กลืนกล้ำความรู้สึกเบื้องลึกไว้
นะภายในใจดวงอ่อนโยนนี้
และ..
ถามถึงบ้านของทั้งสอง..
แม่ลูก..ชี้มือ ไปที่
กระท่อมหลังคาจากโย้เย้ ไม่ไกลตานักในท่ามดงไผ่กอ
ที่...
มองเห็นคอกวัว..
ทำด้วยไม้สาระพัดที่พอหาได้อยู่เคียงข้าง
ในนั้นมีแม่วัวและลูกวัวตัวเล็กๆที่ยังอ่อนเดียงสานัก
และ
ถึงเธอไม่เห็นชิดใกล้
เธอก็พอเดาได้ว่า
ลูกวัวน้อยตัวน้อยๆคงมีแววนัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์
แสนน่าเวทนาสงสาร
ราวกับเด็กผู้หญิงน้อยเฉกเช่นกัน
เธอ..
กล่าวคำขอบคุณเด็กหญิงน้อย
ที่มีหัวใจอันอ่อนโยนรู้คิดมีน้ำใจใสสวยเย็นพร่าง
รู้เมตตามาเก็บของรักให้กับเธอ...
และ..
แทนที่เธอ..จะเก็บมันไว้..
ในนาทีนั้น
เธอกลับยื่นให้กับเด็กน้อยดื้อๆ
พร้อมกับคำถามปรานี..ตามมา
.*หนูชอบมั้ยจ๊ะ..เก็บไว้นะเอาไว้ให้แม่นะหรือหนูนะ
แล้ว..
น้าจะไป...*สำนักวิปัสสนาวัดป่าวิสุทธิคุณ*
ที่ติดกับเขานางพันธุรัตจ๊ะ
หนูพอจะบอกทางน้าได้ไหมจ๊ะ
เธอ..ชี้มือไปข้างหน้า
ที่แลเห็นภูเขาทอดตัวยาว
ราวร่างนางพันธุรัตจริงๆหากสังเกตให้ดี
และ
แม่ของหนูน้อยคนดีรีบช่วยบอกเส้นทาง..
ที่ไม่ไกลห่างสักเท่าไรแล้ว...
เธอ..
ขอบคุณน้ำใจเด็กน้อยด้วยสินน้ำใจเล็กๆน้อย
และก่อนที่จะคลี่ยิ้มหวานๆให้
แถมโบกมือบ๊ายบายก่อนจะออกรถจากมา..
.............
ไม่ช้า
เธอ..ก็ถึงสำนักวิปัสสนา..วัดป่าวิสุทธิคุณ..
ที่กำลังเริ่มพัฒนาด้วยท่านเจ้าอาวาส
ที่ท่านดำรงสมณเป็นพระใหม่ไฟแรง
และ..
ช่างเหมาะกับ
โลกที่แล้งไร้
ที่ท่านเททุ่ม..หวังเพียงได้ทวนสวนกระแส
ให้ผู้คนที่กำลังเวียนว่ายวนวงวิบาก
ได้เข้าถึงธรรมอย่างเรียบง่ายลึกล้ำที่สุด..
เพราะ..
ท่านเน้นสร้างพิสุทธิ์ใสภายในจิตวิญญาณ
แทนการสร้างถาวรวัตถุมากมี
และ..
ที่น่ายินดีคือวัดนี้แสนสงบร่มเย็น
เต็มไปด้วยพรรณไม้อิงธรรมชาตินานาพรรณ
ที่นับวันจะหายากยิ่งนักแล้ว
เนื่องจากเขตวัดเชื่อมต่อกับ
*โครงการอนุรักษ์
และ
ฟื้นฟูสภาพพื้นที่เขานางพันธุรัตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ*
ที่เธอ..ได้ทราบความเป็นมา
ของเทือกเขาแห่งนี้จากเจ้าหน้าที่ในโครงการ..ว่า
*เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2537..
แท่งหินซึ่งเรียกว่า โกศนางพันธุรัต
ได้เกิดพังทลายลงมารวมเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่
เนื่องจากในช่วงเวลานั้นได้เกิดฝนตกหนักเป็นเวลาต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จพระราชดำเนิน
โดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งผ่านเทือกเขาเจ้าลายใหญ่
(เขานางพันธุรัต)
ทรงมีพระราชดำรัสถามถึงรายละเอียดการระเบิดหิน
และพระองค์ท่านได้ทรงรับสั่งว่า
*ใครเป็นเจ้าของการระเบิดภูเขา
จะขอให้ยกเลิกการระเบิดได้ไหม
อยากรักษาโกศนางพันธุรัตไว้*
เดิมเขาเจ้าลายใหญ่นี้เป็นเทือกเขา
ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีไทย
*เรื่องสังข์ทอง...*
เชื่อกันว่า.
.เทือกเขานี้เป็นร่างนางพันธุรัตนอนตาย
หลังจากพระสังข์ได้ล่วงรู้ว่านางเป็นยักษ์จึงได้แอบหนีไป
นางพันธุรัตได้อ้อนวอนพระสังข์อย่างไรก็ไม่เป็นผล
สุดท้ายด้วยความเสียใจนางจึงตรอมใจตาย
จึงจัดการทำศพที่นี่
ชาวบ้านจึงเรียกเขาลูกนี้ว่า*เขานางพันธุรัต*
ตราบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
และ
กรมป่าไม้ได้ประกาศ
จัดตั้งพื้นที่ป่าไม้บริเวณเขาเจ้าลายใหญ่เป็นวนอุทยาน
เขานางพันธุรัตเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 มีเนื้อที่ประมาณ 1562 ไร่
และ..ณ..
สถานที่แห่งนี้ยังมี
แหล่งโบราณคดีทางประวัติศาสตร์
*โบราณสถานทุ่งเศรษฐี *
ตั้งอยู่เชิงเขาจอมปราสาทด้านทิศตะวันออก
กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะ
ทำให้ทราบรูปแบบของโบราณสถานทุ่งเศรษฐี
ว่า..
เป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ก่ออิฐสอดินฉาบปูน
เหลือเพียงส่วนฐาน
และ..
ค้นพบโบราณวัตถุจำพวกปูนปั้น
และ
โบราณวัตถุอื่นๆอีกมาก
จากหลักฐานที่พบสันนิษฐานได้ว่า
โบราณทุ่งเศรษฐีสร้างขึ้น
*ในสมัย ทวาราวดี(พุทธศตวรรษที่12-16)
และ..
ณ..ที่แห่งงามงดทางประติศาสตร์นี้
ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย
มียอดเมรุนางพันธุรัต จุดดูนก ลานเกือกแก้ว
บ่อชุบตัวพระสังข์ หุบวังเรือ ถ้ำมะยม คอกช้าง
และมีสัตว์ป่าที่ยังสามารถพบได้ในพื้นที่เช่น
เนื้อทราย เพศเมีย
ค่างแว่นถิ่นใต้(ที่จะมีขนสีทองในอาทิตย์แรกเกิดต่อมาผลัดสีเป็นดำ)
มี ลิง กระรอก กระแต
และมีนกชนิดต่างๆ
นกยูง นกปรอดสวน
นกกางเขนดง นกกระรางหัวขวาน นกออก
ไก่ฟ้าหลังเทา ไก่ป่า
ค้างคาวหน้ายักษ์
กิ้งก่า เต่าภูเขาสีทอง..
.............
เธอ..อึ้งอั้นกับทุกสิ่งแสนดี..ที่ได้รู้เห็น
และ..
ยิ่งแสนลึกล้ำปลาบปลื้มภาคภูมิใจ
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ในน้ำพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
ที่ได้เสด็จฯแปรพระราชฐาน
มาประทับที่วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบฯ
ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้แม่ทัพภาคที่1
ดำเนินการฟื้นฟูบริเวณ
ที่เกิดการถล่มของเขานางพันธุรัต(เขาเจ้าลายใหญ่)
พื้นที่บริเวณใกล้เคียง
และ..
อนุรักษ์พื้นที่เขานางพันธุรัตไว้
*เป็นมรดกของชาติ*
เพื่อ.
ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา
ถึงตำนานที่ได้เล่าลือสืบต่อกันมา
เกี่ยวกับนางพันธุรัตในวรรณคดีไทยเรื่อง*สังข์ทอง*
ซึ่งเป็นวรรณกรรมอันทรงคุณค่ายิ่งต่อประเทศไทย
และ..
ยังเป็นการอนุรักษ์แหล่งศึกษาธรรมชาติ..
พื้นที่ลุ่มน้ำ..สัตว์ป่า..
และ..
พันธุ์พืชต่างๆที่เกื้อหนุนระบบนิเวศน์
รวมทั้งให้มีสถานที่ท่องเที่ยว
ที่...
ประชาชนมีส่วนร่วมในการไปใช้ประโยชน์และ
อย่างเท่าเทียมกันในรูปแบบวนอุทยาน
สุดท้ายคือผลพลอยได้เป็นการสร้างงาน
และรายได้แก่ราษฎรในชุมชนบริเวณพื้นที่โครงการฯ
และ
นี่คือความรู้สึกแสนดี
ที่ทำให้น้ำตาเธอ..ยิ่งซึมซึ้งดื่มด่ำด้วยไร้คำอธิบายใด..ใจ
ไม่เสียแรง..
ที่เธอเพียรพยายามเข้ามาในเส้นทางที่รกเรื้อแล้งไร้
ดีกว่าการใช้ชีวิตในวันหยุด
กับสิ่งบันเทิงเริงรมย์..สุขชั่วยามนิยามเทียม..เทียม
หากทว่า..ที่นี่..
ได้ฝากงามในจิตวิญญาณอย่างแท้เที่ยง
ไม่รวมถึง..
ภาพกระท่อมโย้เย้ริมบึงน้ำ
ที่พระในวัดสำนักวิปัสสนากรรมฐาน
*วัดป่าวิสุทธิคุณ*ได้ใช้ปลีกวิเวก
เรียนรู้ธรรม ..ธรรมชาติชีวิต
ที่ผู้ทรงคุณธรรมล้ำเลิศ
*ท่านพระมหาศักดา เปรียญ9*
ที่จบจากมหาวิทยาลัยโลกย์..รามคำแหง
หากทว่าคงยังมิอาจลบโศกราน
ให้จิตใส..พราว..สว่างสะอาดสงบ
พบเพชรพร่างนิรพานพรายฉายโชติช่วงนะดวงจิตภายใน ณ..บ้านภายใน
ท่านจึงแสวงหาสิ่งยิ่งใหญ่ทางธรรม
นำรอยทางทองแห่งพระบรมศาสดา
เพื่อมาทอดวาง..ไว้ณ..กลางป่ายากไร้
ราวบททดสอบจิตใจ ให้ผู้เพียรมิว่าจะดีร้ายได้
แสวงแสงบุญเท่าเทียมกัน..
ได้พากันบุกป่าฝ่าดงพงไพร
ที่ราวซ่อนแสงวะวับไสว..สว่าง
ให้นำทางใจกระจ่าง
มิหลงทางมืดมน..อีกต่อไป
ภายใต้เส้นทางแห่งความเล้งไร้ยากลำบาก
ที่มีมนุษย์น้อยคนนักอยากย่างเหยียบเข้ามา
ทั้งๆที่มีท่าพระพุทธองค์
มีเรือธรรมเรือทอง
รอเทียบท่าพาข้ามส่งสู่ฝั่งฝันสู่ดินแดนเรืองรองผ่องผุด
อันคือนิรันดร์ว่าง
คือความพิสุทธิ์ใสตราบชั่วกาลนิรันดร..
..........
เธอ...
ค่อยๆปีนขึ้นผาหิน..ที่สูงชัน
ราวสวรรค์รอทอทอดรับร่างจิตดั่งทิพยนิรมิตรำลึกรู้
บันไดหินที่ทอดยาว......
ราวกับจะเพียรกระซิบบอก
*ให้สร้างพลังกับตัวเอง*
ให้ฝึกเพียรพา..
แม้นจะอ่อนล้าแรงกายแรงใจ
สักประมาณไหนและยากเย็นราวปีนเขาสูง
ก็จักต้องจูงจิตร่าง
ให้ค่อยค่อยก้าวย่างอย่างระมัดระวัง
ฟ่าฟัน..ดั้นด้นไปให้ถึงยอด..พระรัตนตรัย..
อันคือปัญญาน ปัญญาฌาน
ด้วยดวงใจ ที่คิดดี พูดดี ทำดีรักษาศีล สมาธิให้ถึงพร้อม
และมีพลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธาเต็มเปี่ยมบริบรูณ์
เพื่อพลีบูชาตามรอยบาทพระพุทธองค์...
................
เธอ..
ก้าวเท้าซ้ายขวาช้าช้า
ราวกำลังวิปัสสนาด้วยวิธีจงกรมรำลึกรู้
และ..
ไม่ว่าอุปาทานใด
ในทุกผัสสะกระทบ
ก็จักไม่สามารถเข้ามาเบียดรุกล้ำให้
จิตใสใจดวงงาม
ที่ใสพราวราวบัววิมุตติที่กำลังหลุดพ้นราวบัวพ้นน้ำ
ได้หยัดยืนชูช่อต่อสายขวัญ
รับแสงธรรมแสงทอง แสงธรรมชาติ..
..........
หากเพียรรู้จับจิตหยุดคิด อยู่ณ..นาทีปัจจุบัน
ที่รู้ทันตามเท่าทุกรู้สึกทุกอิริยาบถความเคลื่อนไหว
และ..
ทุกข์วูบไหวก็จะราวกระแสลมพัดผ่านมาทดสอบจิต
ให้กลับมา..
กล้าแกร่งโชติช่วงจรัสชัชวาลดั่งเพชรพราว
หยุดหนาวร้อนรอนราน..ดั่งเดิม..
และ
เธอ..กำลัง..ใช้คำสอนของ*หลวงพ่อเทียน*
ผู้ราวแสงเทียนงามล้ำนำทางไสวบุญได้เพียรฝากไว้
ให้เธอนั้นหนา..
เพียรพาร่างจิตวิญญาณเดินตามมาในเส้นทางสีขาว..แม้ลำพัง
แล..
มาตรแม้นว่าบางครั้งจะมีมารมาขวางกางกั้น
ให้เธอจะหยุดยั้งล้มลุกและเซซุน..ชมชานตามวิบากกรรมวิบากเก่า
หากทว่ากุศลจิตดวงละมุนหอมกรุ่นดั่งบัวบาน
ก็จักมิรานราโรย
ก่อนรู้ซึ้ง
ก่อนที่จะรับแสงแห่งพระนิพพานพุทธา..ดั่งจิตปวารณามาแสนนาน
ราวชั่วกาลกัปป์กัลป์
และ..
ดำรงจิตมั่นตามคำสอนท่านพุทธทาส
หวังจะ*นิพพานที่นี้และเดี่ยวนี้*ให้ได้
อย่างมิเสียชาติเกิด..
ให้สมค่าคนที่มีโชคได้เกิดมาใต้ร่มฟ้าพุทธภูมิและ
ใต้เบื้องบาทกษัตราธิราช
ผู้ดั่งร่มฉัตรร่มธรรม
งามเลอล้ำค่างามกว่าอัญมณีเพชรพราวใดในโลกหล้า
ที่คู่ชาติและทุกเลือดเนื้อชีวิตไทย..ไท..
เพื่อให้หัวใจได้พบอิสรา..พ้นพันธนารักอย่างจริงแท้อย่างแท้จริง
ตราบจนกว่า...พสุธาจะกลบหน้า.
อย่างที่ดวงใจเธอหวังเพียร..อย่างมิท้อระย่อใจ..เลยแม้สักนาที
ตราบชีวียังคงมีลมหายใจ..!!!!
.....................
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=420
รางวัลชีวิต
ชัชฎาพร ลักษณาเวช : : Key B
พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย...
16 เมษายน 2548 19:43 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1681
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=11
(เสน่หา)
.....................
ยามเช้า...แสนหวาน
วันที่ฟ้าใส..
วันแห่งงามใจไทยทุกดวง
*วันสงกรานต์*
วันแห่งความภาคภูมิปิติใจ
ในการร่วมมือรวมใจสามัคคีกันอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีไทย
ที่มีมาแต่โบราณกาล
ให้หนุ่มสาวไทยทุกวัยวัน
ต่างพากันแต่งตัวด้วยผ้าไทยผ้าไหมแสนสวยแสนงาม
จากฝืมือภูมิปัญญาชาวบ้านในทุกวิถีทิศ
ที่สามารถหยิบจับ
มาให้เกิดก่อลายมหัศจรรย์..*หนึ่งเดียวในโลก*
ด้วยสองมือหยาบกร้าน..มือชาวบ้านชาวนา
มือที่ไร้เพชรนิลจินดา..
มาหมุนเกลียวด้ายมาสาวสายไหม
มาใช้เพียงพลังหอมแห่งหัวใจ
จากสายใจสายใยรัก...
ภักดิ์เพียรมิท้อ..มิพ้อมิพ่าย..
ให้เราได้เสพสุนทรีย์มีผ้าผืนงาม
มาวางไว้ในตู้ไว้หยิบดูชื่นชมศรัทธา
มาไว้สวมใส่ครอบครองเป็นเจ้าของ
ได้จับจองอุดหนุน..
เพื่อเติมต่อตาม.*.ให้น้ำใจ*
รักษาวัฒนธรรมไทยอันหอมร่ำด้วยเครื่องแต่งกาย
ให้คงไว้เป็นเอกลักษณ์ไทย
มิพักสูญหายสลายหล้าลาจากพรากไปในเร็ววัน
มาคลี่คลุมกาย
มาหมายพาใจให้ได้นวลละมุน
ตามแรงรักหอมกรุ่นละมุนละไม
อย่างรู้ค่าแรงใจแรงกาย
แรงที่ต้องใช้ทั้งพลังสมองแลสองมือ
พร้อมพลีหยาดเหงื่อรินพร่าง
ถึงจะได้งานงามทอสวยสม..ล้นคุณค่า..เกินกว่าตาแล
และ
ก่อนที่
เราจะได้หยิบจับ
ชมความงามระยับเป็นเจ้าของปองขวัญ
เพื่อต่อสายใจสายใยฝันสวรรค์ผ้าไทย
รู้ภูมิใจ
ในงานงามจากสองมือทอง
จากมือแม่ดวงดอกน้ำค้าง
จากธารน้ำใจแสนสวยใสของมิ่งมิตรน้องพี่
ผู้ที่ถึงแม้คนดีจะมีชีวีชีวิตแสนยากไร้อย่างไร
หากได้ฝากงานงามจากใจ
ได้ครองจิตใสนวล
ได้เติบโตมาอย่างมีหัวใจดวงดีที่แสนอ่อนหวานอ่อนโยน
อย่างรู้ละเมียดไม่รีบร้อนเกร็งเครียด
ไม่เบียดเบียนใคร
ให้คิดผิดแผกแตกต่าง
ห่างจากใจมนุษย์เมืองเรืองรุ่งในโลกศิวิไลซ์
ที่ต่างพากันเร่งรีบร้อนไม่ทันใจไปเสียหมด
จนต่างยกโลกให้กับเครื่องจักร
ที่นับวันจะสร้างมลพิษ
ในทุกสรรพสิ่ง
ให้มาลิขิตเสนอสนอง
ครองความอยากที่แสนมากมีมากมาย
มาสนิทแนบร่างใจให้ใกล้สิ้นไร้
ให้ยิ่ง
มิลอยห่างวนพ้นดงกรรมผสานกล้ำลมหายใจไปทุกวันๆ
วันนี้..
วันที่ฟ้าไสวลมระรื่น
พาให้ใจสาวไทยในร่างงามอรชรอ้อนแอ้น
ควงแฟนหนุ่มในชุดหนุ่มโบราณนานที
ต่างเดินยินดีเข้าไปสร้างทิพยนิรมิตในดวงใจ
ให้ยิ่งสวยใสแสนสดชื่นอิ่มบุญ
หนุนนำให้ใจยิ่งฉ่ำเย็น
ไปตักบาตรทำบุญ
ที่วัดให้น้องพี่ได้พลีจิตอธิษฐาน
พี่ชายตักบาตรด้วยข้าว
น้องสาวน้องหญิงตักบาตรด้วยของคาวหวาน
ในเวลานั้นใจดวงงามดวงขวัญจะได้รับพรจาก
พระสงฆ์ที่จะสวดคาถา พาหุง
แล้ว..
ช่วยกันยกอาหารคาวหวานไปกราบกรานถวายพระ
ขณะพระฉัน ก็ฟังการอ่านประกาศสงกรานต์
ยกมืออนุโมทนา ด้วยพลังใจอิ่มท้นล้นบุญ
แล้ว...
ก่อเจดีย์ทราย ถวายวัด
จะก่อเป็นเจดีย์ขนาดไหน
ให้งามสะบิ้งสะบัดทิ้งทวนปักธงอย่างไรก็ได้
ตามแต่กุศลจิตคิดดีคิดเพียรให้เวียนวนกลับวัด
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ให้ได้ใช้ในการก่อสร้าง
เป็นกุศโลบายจะได้เหลือทรายไว้ถมพื้นที่
เป็นเรื่องที่น้องพี่จะได้
ทำบุญและสนุกสนาน
แล้ว
พากันไปปล่อยนกปล่อยปลา
เป็นการทำบุญเพื่อแสดงความกรุณาต่อสัตว์
ตามมาด้วยการสรงน้ำพระ
มีทั้งสรงน้ำพระพุทธรูปและภิกษุ สามเณร
เพื่อความเป็นศิริมงคล
ในโอกาสขึ้นปีใหม่อันเป็นเวลาที่อากาศร้อน
แล้วกลับไปรดน้ำผู้ใหญ่
เพื่อพลีใจแสดงคารวะ
ด้วยความเคารพนับถือ
นำผ้า ๑ สำรับ คือ ผ้านุ่ง ๑ ผืน ผ้าห่ม ๑ ผืน
มอบให้ท่านพร้อมกับ ดอกไม้ธูปเทียน
ขอพรท่าน
ให้ท่านให้ศีลให้พร
ให้มีความสุขปีใหม่
ตั้งแต่วันสงกรานต์เป็นต้นไป
แล้วทำบุญอัฐิ
นิมนต์พระ
ชักบังสุกุลอัฐิของญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
แล้วอุทิศส่วนกุศลให้
โดยนิมนต์พระไปยังสถานที่เก็บหรือบรรจุอัฐิ
หรือถ้าไม่มีอัฐิ
จะเขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็ได้ เมื่อบังสุกุลแล้ว
ก็เผากระดาษแผ่นนั้นเสีย
........
แล้ว
มาสาดน้ำ เป็นการสนุกสนานรื่นเริง
ใช้น้ำสะอาดมีน้ำอบน้ำหอม
หรือแป้งหอมผสมบ้างมิร้างรัก
มีเวลาก็ดู..
การแห่นางแมว
เพื่อขอฝนในวันรื่นเริงเถลิงศกใหม่
เพื่อขอโชคชัยดับความแล้งไร้
ซึ่งเป็นเรื่องสนุกสนานรื่นเริง
แต่ก็แกมแถมหวังผลในทางเกษตรกรรมด้วย...
.......
และ
ในวันนี้หลังเสร็จทุกพิธีการ
ในเส้นทางธรรม..ธรรมชาติ
เส้นทางทองทาบอาบรวงเรียว..นาข้าวเขียวไสว
เส้นทางสายใต้...
ที่ทอดตัวคดเคี้ยวเลี้ยวลัดเลาะราวงูเลื้อย
เลียบขนานไปตามสองฟากฝั่งทะเลใต้แสนงาม
นาม...อันดามัน...และอ่าวไทย
ที่มากมายเกาะแก่ง แหล่งท่องเที่ยวมากมาย
ที่มาตรแม้นจะดีจะร้าย..
เพิ่งพ้นผ่านธรรมชาติฝากพิโรธฝากสอนบทเรียนไว้
หากแดนดินถิ่นนี้
ก็ยังมีมนต์ขลังให้ฝากฝังสวาทหวามเสน่หา
ยังเต็มไปด้วย..
หาดทราย..สายลม..แสงแดด...เกลียวคลื่น..น้ำทะเลเขียวมรกต
ที่แสนงดงาม
ในท่ามทะเลสีทอง
สายฝนพร่างหอมห่มพรมพรำเกือบตลอดปี
ให้สวนยางที่สูงไสว เรียงเป็นระเบียบ..
ราวปราการไพรปราการแรงแห่งรัก
ที่เพียรเฝ้าเททุ่มอุ้มชู
ให้ได้หยัดยืนฝืนร้อน..สอนใจ
ให้เราชาวสวนชาวไพร
ได้พากันเรียนรู้สัจจะแห่งความอดทน
น้ำยางข้นคือเลือดน้ำแรงแห่งรักจากแรงกายภักดิ์พลี
ที่เฝ้าทนทะนุถนอมฟูมฟักตั้งแต่แตกช่อกออ่อน
ได้สอนได้บอกถึงความกตัญญุตา
ไม่ว่ากับคนหรือต้นไม้หากเราให้น้ำใจรักทุ่มเท
เพียรเฝ้ากล่อมเกลิ้ยงดูแล...
ไม่ช้านาน...
ก็จะพากัน..
ผลิบานแตกช่อกอกตเวทิตาคืนกลับ..แด่โลกงาม และแด่เจ้าของคนดี
ที่ยอมอดหลับอดนอนมานานปี
สู้ยอมตื่นมากรีดเลือดรักจากยางใหญ่
ที่ยอมสละเลือดจากลำต้นไพรให้คนไทยได้ส่งออกได้มีกิน
................
..............
รถสปอร์ตสีแดง...
วิ่งมาด้วยความเร็วพอประมาณ
ตามเส้นทางสายธรรมชาติ
ที่ยามนี้
สายแสงทองยามตะวันอรุณรุ่ง
กำลังอาบไล้ทาบทาไปทั่ว..นาข้าวเขียวไพลราวแพรพรม..
ที่กล้าห่มหอมไปทั่วทั้งท้องนาไกล
ดูราวดรุณียังเยาว์วัยแรกรุ่น ..ละมุนนวล
เจ้าของรถค่อยๆประคองรถให้ค่อยๆช้าลง...ๆ
เมื่อขับเข้าเขตเมือง
น้ำตาลหวานงาม
ที่มีตราประจําจังหวัดเพชรบุรีเป็นรูปเขาวัง ผืนนา และต้นตาลโตนด
เขาวังหมายถึง เขาที่ตั้งของพระนครคีรีซึ่งรัชกาลที่4 ทรงสร้าง
และพระเจดีย์ พระธาตุจอมเพชร
นับเป็นเจดีย คู่บ้านคู่เมือง
ผืนนาหมายถึง เมืองเกษตรกรรม
และความอุดมสมบูรณ์
ต้นตาลโตนด หมายถึง ต้นไม้ สัญลักษณ์ ของจังหวัดจังหวัดเพชรบุรี
ใช้ อักษรย่อว่ า พบ
คําขวัญของจังหวัดเพชรบุรี
เขาวังคู่ บ้าน ขนมหวานเมืองพระ
เลิศลํ้าศิลปะ แดนธรรมะ ทะเลงาม
และ
นี่คือเมืองเพชรบุรีศรีไทยแสนงาม..
ที่เป็นเมืองหนึ่งในดวงใจไทยทุกดวง
และเป็นหนึ่งในแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของไทย
ที่ควรค่าแห่งการจารึกรัก..
.............
เจ้าของรถวงหน้านวลรูปไข่ผมยาว
ที่พันทบเกล้าตลบสูงแล้วเสียบไว้ด้วยปิ่นปัก
ยิ่งงามแผกหากพิศร่าง
ยามเยื้องย่างก้าวลงมาในผ้าถุงชาวเขาสีดำ
เชิงชายแดง
และมีลูกปัดเงินแวววะวับปักประดับงามตามขอบริม..
เธอ..
ค่อยๆลงจากรถมาพร้อมหูแว่วบทเพลงแสนหวาน
........
..............
เพชรบุรีศรีไทย..
บุรีเอยบุรีรมย์ เรือง โฉมเอยโฉมเมือง
งามประเทืองเรืองฝัน
พริ้งพราวราวพรหมภินันท์
เพชรบุรีรัมย ์ลอยฟ้ามาสู่ ดิน
พร่างเพชรพลอยแพร้ว
สมแล้วเมืองปราณวิมานถิ่นถวิล
เลิศบุรินทร์ เลื่องลือระบิลสินไพร
เพชรเอ ยเพชรบุรีศรีไทย
แผ่นดินแดนใจของผองไทยทั่วกัน
บุรีเอ๋ยบุรีโอฬารรักเคยสําราญ
แก่งกระจานธารใส
วิมานสถานชั้นใด
เพชรบุรีให้ เราไว้ในอุรา
พร่ างเพชรพลอยแพร้ว
สมแล้วเมืองปราณตาลนํ้าตาลหวานซ่านดินฟ้า
ใครได้ มา จากไปโศกาซมซาน
เพชรเอ๋ยเพชรบุรีศรีไทย
แผ่นดินแดนใจของผองไทยทั่วกัน
บุรีเอ๋ยบุรีรมย์ ราย พระเคยเยื้องกราย
เดินหาดทรายสนาน
เขาหลวงเป็นสรวงสําราญ
เขาวังเป็นบ านสถานสถิตองค์
พร่ างเพชรพร้อมพริ้ม แย้มยิ้มยวนใจ
ทักทายขวัญให้ โลมหลง
ลืมไม่ ลง ไม่ ตายแล้วคงพบกัน
เพชรเอ ยเพชรบุรีศรีไทย แผ่นดินแดนใจของผองไทยทั่วกัน
..................
เธอ..คนดี..
จึงลงมาหยุดยืนนิ่ง
ทิ้งใจฝันฝัน
กับเงาตาโศกราน
หวานเศร้าดายเดียวราวน้ำผึ้งรวง
ที่ราวรอร่วงหยาดสายหวาน
ปานประหนึ่งจะรอปลอบประโลมโลกย์หล้าแลฟ้าดิน
เธอ..ยิ่นนิ่งนาน
ใต้ร่มเงาต้นตะแบก แบกพราวดวงดอกดก
ที่ไล่โทนสีชมพูพริ้งพราย ขาวนวลแกมม่วงหม่น
จนถึงปลายพวงกิ่งทิ้งช่อพ้อลมพร่างไสว
และ..
ในคลองตา..
คือคูนเหว่ว้าเหลืองพราวราวสายฝนสีทอง
ที่กำลังอวดดอกเหลืองไสว
สดกระจ่างในท่ามเขียวไพลไปทั้งสองฟากฝั่งถนน
ให้น้ำนัยน์ตาเธอเริ่มซึมซึ้งวะวับวาวด้วยคิดถึงใครบางคน
ในกมลลึกลึกในรำลึกแห่งบึ้งใจเธอ
ที่กำลังเกิดนิรมิตกระจ่างใส
จากจิตภายในใจดวงแสนงามของเธอเอง
คูนไสว..สว่างพร่างพราว...
ราวธรรมชาติ
กำลังอยาก
กระซิบฝากบทเรียนสอนสัจจะใจสัจจะจริงทิ้งสัจจธรรมไว้ให้
ให้ทุกดวงใจไหวรู้รำลึก
รู้สึกว่า...
ธรรมชาตินี้หนา
ช่างแสนมากมีมหัศจรรย์แห่งรัก..พลังแห่งรัก
ที่...
สามารถสร้างสรร..สีสัน
มารับขวัญพลีกำนัลแด่โลกและมวลมนุษยชาติ
ให้พิลาสพิไลในทุกสรรพสิ่ง
ให้ได้พึงพิงพึ่งพา โอบอ้อมเอื้อหล้า
ด้วยพลัง...แห่ง..ดิน..น้ำ..ลม..ไฟ
พอเหมาะพอดี..ที่จะมีชีวิตรอด
พร้อมประทานพร..
มอบดวงตาแสนงาม
ให้รู้รับรสสดฉ่ำสล้างนาม
*สุนทรีย์ธรรม ธรรมชาติ*
อย่างแสนน่าอัศจรรย์ใจ..
อย่างแสนยิ่งใหญ่..อย่างแสนงามเสียเหลือเกิน!
ธรรมชาติให้สีแก่ดวงดอกไม้
ให้สายธาร..ระรินร่ำ
ให้สายฝนพรำพรมห่มห้วยหนองคลองบึง
ท้องไร่ท้องนา
ทั่วฟ้าทั่วเมืองทั่วพงพฤกษ์ไพร
ให้ปีกนกไพรผกโผผินเหิรบินบนฟ้าได้
ให้อากาศหนาวร้อนฝน
ผ่อนคลายกลายฤดูคู่ฤดี
ให้มีรักคู่ชีวีชาวโลกลบโศกเหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย
ให้มวลดอกไม้แมลงได้แสร้งชมดอมดมผสมพันธุ์เกสรสล้าง
สร้างดอกดวงใหม่ มิให้โลกแล้งไร้กลายเป็นทะเลทราย
ให้น้ำมันกำนัลแดนเผ่าที่ขาดแล้งน้ำเพื่อตามเติมชดเชย
ให้หมอกเหมยราวเรียวรุ้งเมืองหนาวร้อนได้อ่อนหวานอ่อนโยน
ให้ห่อหุ้มโลกไม่เพิ่มโศกร้อนจนมากไป
ให้ลมหายใจ มวลมนุษยชาติ
ได้อากาศบริสุทธิ์ที่พอเหมาะพอดี
ให้ไฟคือ..พระอาทิตย์สีแดง
ดวงแรงร้อนสอนพลังธรรม ธรรมชาติอันแสนยิ่งใหญ่
ให้ทุกดวงใจยังมีพลังหวังหวาน
ตื่นมารับสายแสงแสนงามราวเรียวรุ้งยามอรุณรุ่งทอประกายจรัส
เพื่อเริ่มต้นนับหนึ่งกับปัจจุบันขณะ..
เริ่มต้นชีวิตใหม่..
หากใครทำผิดพลาดไปมิอาจหวนไปในอดีตเรียกคืนมา..
ที่..
ไม่ว่าจะพบเศร้าร้าวรานในอดีตสักแค่ไหน
ก็แค่กาลเวลาที่ผ่านมาผ่านไป
ที่สอนความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
ทุกเหตุปัจจัยที่ไม่เคยมีวันคงที่คงทน
ให้เราทุกดวงกมล
คนในธุลีหล้าได้ตระหนักว่า
*เรามวลมนุษย์หาได้ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติไม่!*
เพราะ..
ไม่ช้านาน..ร่างรานใจร้าวอย่างไรก็ต้องถึงกาลแตกดับ..
คืนกลับลงสู่พสุธา..
หาก...ทว่า
ดวงสุริยันแลจันทรา
จะยังคงเยือนแย้มหล้าฝากงามไปนานแสนแสนนาน..
ยากที่ใครจะมาดับดวงได้
แม้มากมีบารมีเงินตรามากองไว้จนท่วมพสุธา..
ก็อย่าหวังเลย...!!!
..........................................
...........................................
ติดตามภาคสองค่ะ
นางเอกล่องไพร..ไปพบกับ...อะไร..ใครกันละหนอ..รออ่านนะคะทุกดวงใจ
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=11
(เสน่หา)
ความ รัก เอย
เจ้า ลอยลมมาหรือ ไร
มาดลจิต มาดลใจ เสน่-หา
รัก นี้จริงจากใจหรือเปล่า
หรือ เย้า เราให้เฝ้าร่ำหา
หรือแกล้งเพียง แต่แลตา
ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย...
11 เมษายน 2548 22:03 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=219
(เดือนต่ำดาวตก)
....................
ต่อจากภาคแรก
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem119389.html
กระท่อมริมเชิงเขาใกล้เงาลำธารฝัน
...............
ผม..มาถึงกระท่อมริมเชิงเขา
ด้วยหัวใจแสนเบิกบาน
สุขสงบลึกล้ำดำดื่มมาตลอดทางท่ามทุ่งนาป่าเขา
เงาละหานที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่างแลทอดต่ำลงไป
หัวใจดวงเหงางามเงียบ
เริ่มคลี่หอมขจรขจาย
ราวถูกคลี่คลุมด้วยกรุ่นกลิ่นแสนหวาน
ของมวลผกาแลเสียงแมกไม้ สายธาร..
ที่ไหวระริกระรินร่ำพร่ำเพ้อละเมอครวญ
ผม..ได้ยินเสียงนกไพร... กำลังโผผิน
ได้ยินด้วยใจดวงนวลดวงนี้ดวงดีของผมเอง
ที่แสนแปลกเป็นยิ่งนัก
เพราะ
ราวกับผมมีพลังพิเศษแผกคิดผิดใคร
ในร่างนี้..ให้รับทุกรสสดสล้าง..ทุกสรรพเสียง
ราวหลอมละลายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติปานนั้น
ผม..จอดรถ..ช้าช้า
พร้อมกับยกแขนสบัดไหล่หมุนไปมา...
เพื่อยืดร่างคลายเมื่อยขบ..
ก่อนที่จะได้พบกับลุงสอน
ชายผู้เฒ่า
ผู้...ที่เป็นดั่งบิดาทางธรรม..
เฝ้าพร่ำสอนธรรมชาติงาม...วิถีไพรให้ผมได้รับรู้เรียนรู้
และ...
ได้รู้จักอย่างถ่องแท้ถึงแก่นแท้..เลยทีเดียว..เชียว..
และ
ชาย...ผู้มีรอยย่นบนใบหน้า
ราวกับกาลเวลา..
ได้เมตตากำนัลสิ่งล้ำค่าเอาไว้
ประกาศก้องให้โลกหล้าและผู้คนที่เพิ่งผ่านมาทีหลัง
ได้รับรู้ถึงสัจจธรรมอันจริงแท้ที่แน่นอน
คือสิ่งพึงสังวรณ์ยากหนีพ้น
อันคือ...เกิดแก่เจ็บตายว่ายวน..ทุกข์ถ้วน
ผม..ยิ้มทายทัก
พร้อมกันกับ
ที่ลุงสอนค่อยๆทะยอยขนข้าวของลงไปเก็บ
แล้วก็มานั่งคอยเป็นเพื่อนคุย
ให้ผมได้ซักถามทุกความเป็นไปในช่วงที่ผมไม่อยู่...
เขาจะรู้และเข้าใจผมดี..ว่า..
ผมชอบอยู่คนเดียวเงียบเงียบลำพัง
หากไม่มีธุระอะไร ก็จะไม่มากวนใจ
และ..
หากมีอะไรจะไหว้วานขอความกรุณา
ผม...ก็จะเดินออกมาตามตัวจากกระท่อมส่วนตัวของผมเอง
ส่วน...
กระท่อมของลุงสอน
และครัวจะแยกออกไป
ไม่ห่างไกลกันนักพอเดินถึงกันได้ไม่นานนาที
จะมีรั้วชบาและพู่ระหงเป็นดงกั้น
และ
ส่วนรายรอบชิดใกล้กระท่อมของผม
ก็จะเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้มงคล
ที่ลุงสอนเพียรเพาะพันธุ์ปลูกไว้
ราวกับกลัวว่าจะสูญหายไปเสียหมดจากผืนแผ่นดินไทย
ที่มีนับถ้วนไม่สิ้น..หลากหลายพันธุ์นัก..
ทั้ง
ขนุน เงินไหลมาทองหลาง ทรงบาดาล ธรรมรักษา
ทองอุไร บัว ใบละบาท ประดู่ โป๊ยเซียน
พุทธรักษาไผ่ พิกุลทอง เฟื่องฟ้า มรกตแดง
มะขาม มะลิ โมก ราชินีหินอ่อน วาสนาราชินี
วาสนาอธิษฐาน สนฉัตร
และ
ไหนจะแนวสูงถัดไปราวดงใหญ่ไพรพฤกษ์
นั้นคือ...
สักทอง...ที่กำลังออกดอกนวลพราวชูช่อ
และพากันพ้อผลัดใบเกลื่อนกล่นลงพรายพรม
จนพื้นพร่างกลายเป็นสีน้ำตาลทอง
และนั่น..อีกล่ะ
ดงแสงจันทร์
รวมทั้งหมากนวลหมากผู้หมากเมีย
ออมเงินออมทอง
และ
ยังอีกมากมีมากมายพรรณไม้ไพรมงคล
ที่ลุงสอนได้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลิ้ยงดูราวลูกรักก็มิปาน
หากมิเหน็ดหนื่อยด้วยใช้น้ำรักน้ำใจ
ที่พราวพรายราวหยาดน้ำค้างใส
คอยพร่างพรมตลอดมานับหลายปีทีเดียว
ที่ทุกเทียวไปเทียวมา
ผมจะกลับมาเห็นพัฒนาการไพร
ที่ระเริงร่าพากันแตกช่อกอไสว..หยัดยืนเยี่ยมฟ้า
พาให้น้ำนัยน์ตาผมเอ่อซึม..ด้วยแสนปิติรักเช่นเฉกกัน...
แต่น่าแปลก...เป็นยิ่งนัก
ที่กลับมีบางพรรณไม้..
ที่กว่า...
ลุงสอนผู้เชื่อถือเรื่องโชคลางชะตา
จะยินยอมให้ผมได้ลงแรงปลูกได้ก็
ต้องเพียรใช้เวลาอธิบายแสนนาน
คือต้นลั่นทม..
ที่ผมต้องพยายามเริ่มร่ายนิยามว่างามอย่างไร
เล่าถึงความประทับใจว่าลำต้นใหญ่งดงาม
กลีบดอกสวยงามละมุนตากลิ่นหอมจับใจ..
และ
เป็นเพียงต้นเดียวที่ผมแสนรักนักรักหนา
ราวต้นไม้ในฝัน...
พันผูกจิตวิญญาณผมมาตั้งแต่วัยเยาว์
ไม่นับปาริชาติหรือทองหลาง
และมากมายพันธุ์ไม้ไทย
ในใจงามนวลมาอย่างนานเนิ่นเนานานให้ได้โปรดเข้าใจ
และน่าดีใจ...
ที่ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ..เอาชนะใจลุงสอนได้..
แต่...
ส่วนอีกสองสามต้นเช่น
โศก ลุงสอนไม่ยินยอมให้ปลูก
บอกชวนให้หดหู่เศร้าใจ
เพราะคำว่าโศกนั้น
มักจะชวนให้นึกถึงความโศกเศร้าอยู่เสมอ
และ...
เพราะมีความเชื่อสืบต่อกันว่า
หากปลูกต้นโศกเอาไว้ในบ้านแล้วละก็
คนในบ้านก็จะมีแต่ความทุกข์เศร้า
หม่นหมอง อมทุกข์อมโศกกันไปหมด
โดยที่ไม่ทราบเลยว่า
แท้จริงแล้ว ชื่อเดิมของโศกคือ อโศก
ที่หมายถึงไม่มีความโศกเศร้า
มะละกอ มะละกอ
ที่ลุงสอนบอกผมว่า
เป็นพืชล้มลุกอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อ
ที่ส่งไปในทางที่ไม่ค่อยจะดีนัก
เพราะบางคนเชื่อว่ามะละกอนั้น
เหมือนกับการแตกออกเป็นกอ
หรือ ละ จากเผ่าจากกอ
หากบ้านไหนปลูกมะละกอ
เอาไว้ในบริเวณบ้านแล้วล่ะก็
บ้านหลังนั้นก็จะไม่มีความสุข
เพราะลูกหลานจะแตกแยก
ออกไปเป็นกลุ่มๆ
มีความคิดที่ขัดแย้งกัน
ต่างก็คอยจะทะเลาะเบาะแว้ง
จนหาความสุขไม่ได้
หากจะปลูกไว้เพื่อเก็บรับประทาน
ก็ควรปลูกไว้ริมรั้วนอกบ้าน
มิได้ห้ามปลูกโดยสิ้นเชิง
เพราะมะละกอขึ้นง่าย
และทนทานดีมีประโยชน์มิใช่น้อย
เต่าร้าง ก็อีกต้น
ต้นไม้ที่คนไทยเชื่อกันว่า
จะส่งผลที่ไม่ดีแก่ผู้ปลูกนั้น
มักจะมีชื่อที่ค่อนไปในทางที่ไม่ดีนัก
ในกรณีของต้นเต่าร้างก็เช่นกัน
ถือว่าเป็นอัปมงคลนาม
เชื่อกันว่าหากสามีภรรยาคู่ใด
ปลูกต้นเต่าร้างเอาไว้ในบ้าน
ก็อาจจะต้องเลิกราหย่าร้างกันไปก็เป็นได้
เพราะชื่อเต่าร้างนั้น ก็แสดงไปในความหมาย
ของการเลิกร้าง-ร้างรา หรือหย่าร้างอยู่แล้ว
ดังนั้น จึงไม่เหมาะที่จะปลูกต้นไม้ชนิดนี้
ไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อครอบครัวของคุณ
จะได้มีแต่ความสงบสุขตลอดไป
ชบา ชบาก็เป็นต้นไม้อีกชนิดหนึ่ง
ที่มีผู้นิยมนำมาปลูกไว้
ในบริเวณบ้านมากพอสมควรเลยทีเดียว
เพราะชบา
มักจะออกดอกบานสะพรั่ง
อยู่ตลอดเวลา และสีของดอกก็ยังมีให้เลือกมากมาย
ทั้งสีแดงสีเหลือง ขาว ชมพู ส้ม
ดูเพลินตายิ่งนัก
แต่ในสมัยโบราณนั้น
ไม่นิยมปลูกต้นชบาเอาไว้ในบริเวณบ้าน
เพราะดอกชบานั้น
มักจะถูกนำไปใช้เมื่อเกิดเรื่องที่ร้ายๆ ขึ้นเช่น
นำดอกชบามาร้อยเป็นพวง
ไปสวมคอนักโทษ
ที่กำลังจะถูกประหารอีกด้วย
หากจะปลูกก็ควรไว้นอกรั้วบ้าน
และ..เพียงแค่นี้..
บางที..
ผมก็แสนตลกกับความคิดโบราณของลุงสอน
หากทว่านี่..คือสิ่งที่พอจะอนุโลมได้
เนื่องจากผมแค่มาใช้ชีวิตในวันหยุด
ผม..คิดว่าหากผมมาอยู่จริง
ก็คงค่อยว่ากันอีกทีนึงว่า
ผมจะต้องคิดเพียรใช้วิธีไหน
ดัดไม่แก่ ที่มีค่านิยมที่แสนแปลกนักสำหรับคนรุ่นใหม่
ที่รักทุกพันธุ์ไม้ไทย
และ....
มีทัศนเห็นว่า
ไม่ว่าต้นไม้อะไรๆก็ดีไปหมดทั้งนั้น
เพราะ....
คืออัญมณีไพรแห่งผืนดิน..
มิให้โลกแล้งไร้ไปเสียสิ้นเสียหมด
และ
ยังดีที่อีกด้านของที่ดินนั้น
ลุงสอนและลูกชายคนขยัน
ต่างพากันทำไร่ตามฤดูกาลเช่นไร่ข้าวโพด ไร่ถั่ว
ไร่มันสัมปะหลัง
และ
ก็ได้พากันลงพืชผักสวนครัวไว้จนกินไม่หวาดไม่ไหว
ต้องหาทางนำไปจ่ายแจก
รวมทั้งพวกสมุนไพรไทยมากมาย
ที่บางครั้งได้ใช้รักษาโรคแบบ
ไม่มีผลข้างเคียง
ที่มีสรรพคุณมากมาย
ตามที่ลุงสอนเพียรเฝ้าเล่าสอนให้ผมฟังว่า
รากต้นหางกระรอก.....
รสจืด ฝนทาและรับประทาน แก้พิษงูขบกัด
หัวอัญชันป่า ..
รสเย็น ถอนพิษทั้งปวง แก้พิษสุนัขบ้ากัด
พนมสวรรค์(ดอก, ต้น)
รสเฝื่อน แก้พิษตะขาบ แมลงป่อง แก้พิษฝี
นาคราช (ไส้หนุมาน)
รสเย็น เผาพอกแก้พิษงู ตะขาบ แมลงป่อง ถอนพิษทั้งปวง
ใบบุนนาค
รสฝาด สมานบาดแผลสด แก้พิษงู
รากโปร่งฟ้า
รสเฝื่อนเย็น แก้ตามัว ตาฟาง แก้พิษงู พิษสัตว์กัดต่อย แก้วัณโรคชนิดบวม
รากประยงค์ป่า
รสฝาดเฝื่อนเมา ถอนพิษทั้งปวง
แก้พิษเสมหะ
แก้หอบเนื่องจากปอดพิการ แก้ไอ แก้พิษสุนัขบ้า
ใบผักคราดทะเล
รสเฝื่อน แก้โรคผิวด่าง
แก้แผลฟกช้ำ แก้พิษแมลงกัดต่อย แก้เส้นเลือดขอด
ใบผักบุ้งทะเล
รสขื่นเย็น ถอนพิษลมเพลมพัด
แก้จุกเสียด แก้ไขข้ออักเสบ แก้คัน
ชะล้างบาดแผล ทาแผลเรื้อรัง
แก้พิษแมงกะพรุนไฟได้ดีรากโลดทนงแดง
.................
............
และณ.......
บัดนี้ไม่ว่าสมุนไพรหรือพันธุ์ไม้เกษตรอะไร
เราคนไทย
ควรได้ระมัดระวัง ว่าจะมีฝรั่งหรือคนต่างชาติ
แสนฉลาดมานำพันธุ์ไป
และ
ไม่ทันไรกลับไปจดลิขสิทธิ์...
ยามที่ผลิตออกมาเป็นยาแล้ว
ให้ใจเราแป้วด้วยปวดร้าวเศร้าลึกเลย..
แบบบทเรียนจากเปล้าน้อยละห้อยใจให้แสนหวนหา
ที่จู่ๆมานำทรัพยากรเราอันแสนล้ำค่าไปเแยบยล
ราวกับของตัวเองก็มิปาน...ประมาณนั้น..ประมาณนี้..
และ
นี่คือโลกที่รานรุกด้วยเทคโนโลยี่ทางพันธุกรรม
ใครดีใครได้...มือใครยาวสาวได้สาวเอา
ไม่ละอายใจ
ทั้งๆรู้ว่าของๆใคร..ของๆเขา จะเอาไปเสียอย่าง..ใครจะทำไม..
...........
..........
ผม...ค่อยๆพาตัวลัดเลาะเดินเลียบลำธารสายงาม
ตามผมมาด้วยคือสุนัขพันธุ์ไทยชื่อเจ้า..เสือ
ที่ดุพอกันและฉลาดล้ำน่าดูหากมีผู้บุกรุกเข้ามา
ก็อย่าหวังเลยว่าจะรอดคมเขี้ยวไปได้
ใจดวงดายเดียวของผมเริ่มเข้าที่เข้าทาง
สัมผัสกับความงามรายรอบ
ที่พาให้ผมรู้สึกแสนดีเสียเหลือเกิน
นั่น..
สักทองต้นใหญ่อีกแล้ว
ที่กำลังออกดอกไสวแพรวพราย
ขาวพร่างละมุนช่อ..รอร่วงราย
สักทองต้นไม้...
ที่ชื่อมีความหมายราวสักหรือสักกะนั้น หรือคือพระอินทร์
ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในสรวงสวรรค์
นอกจากนั้นคำว่า สัก ยังพ้องเสียงกับ ศักดิ์
ซึ่งหมายถึงยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติศักดิ์
แล้วยังนั่น...
ดงต้นแสงจันทร์พรรณราย
ที่ลุงสอน...เพียรบอกผมว่า
ให้นำพามาปลูกเอาไว้ชิดชายตลิ่ง
เพราะเป็นไม้งามราวสาดแสงสีนวล
ที่ดูเย็นตาเย็นใจราวดวงจันทร์ขวัญฟ้า
ให้คนเราได้พากันชื่นชม
ต้นแสงจันทร์ก็เช่นกัน
หากในค่ำคืนที่แสงของดวงจันทร์ สาดส่องมา
ต้องใบงามของมัน
ก็จะเกิดความงดงาม
เป็นสีนวลเปล่งประกายจับตาจับใจยิ่งนัก
บางคนถึงกับเปรียบเทียบ ความงามของต้นแสงจันทร์
กับรัศมีสีนวลผ่องของดวงจันทร์ว่า
มีความงดงาม อบอุ่น อ่อนโยน เทียบเท่ากัน
คนโบราณเชื่อว่า ครอบครัว
ที่ปลูกต้นแสงจันทร์ไว้ภายในบริเวณบ้าน
จะได้รับอิทธิพลของต้นไม้ชนิดนี้เช่นกัน
โดยจะส่งผลให้สมาชิกทุกคนภายในบ้าน
มีจิตใจที่เยือกเย็น อบอุ่น อ่อนโยน
มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อย สุขม เย็นตาเย็นใจ
ราวกับสีเหลืองของดวงจันทร์
ที่ทำให้ใครต่อใครต้องหลงใหล
ไม่มีความก้าวร้าวร้อนรน เข้ามาแผ้วพานได้เลย
..........
ไหนจะ....
ดงดอกทองกวาวกำลังเบ่งบานสะพรั่ง
สีแสดแดงแรงร้อนไปทั้งราวป่า
อินทนิล..หว้า คล้าน้ำ เคลียตลิ่ง
จิกน้ำกำลังทิ้งพวงพราว
ลงพรายพรมห่มไปทั้งท้องธารให้หวานด้วยสีชมพูแฉก
ที่กำลังค่อยๆแหวกว่ายหมุนวนไปตามเกลียวสายชลแสนฉ่ำเย็น
.........
........
ร่างผม..เริ่มรู้สึกเมื่อยล้า..จากค่อยๆ
วักน้ำในลำธารแสนหวานมาล้างหน้าให้สดชื่น
กลับกลายเป็น...
ใจผมอยากสัมผัสเกลียวกลม
ไปกับพลังหอมห่มแห่งสายน้ำอันแสนใสฉ่ำเย็นนั้นทั้งร่าง..
ผมจึง...ค่อยๆถอดเสื้อออกจากตัว
แล้วพาร่างลงไปแหวกว่ายดำผุดดำว่าย
นอนลอยตัวเหนือสายน้ำพร้อมหลับตานิ่ง
ทิ้งร่างใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับสายธาราแห่งรักนิรันดร์
นาทีนั้นราวร่างผม
ราวกับถูกเคลียไคล้ได้รับแรงรักปลอบประโลมดวงใจ
ให้แสนสุขล้ำเกินรำพันรำพึง
ผม..ได้รับกลิ่นแสนหวานซึ้ง
จากรวงดอกจิกสีชมพู
ที่กำลังพรูพร่างลงในท่ามกลางความงามเงียบ
ให้หัวใจผมยิ่งเย็นเฉียบแสนฉ่ำชื่นอย่างที่สุด
ผม..รู้แล้วว่าทำไม
คนเรานั้นสมาธิปัญญา
จะพลันเกิดได้เมื่อจิตนั้นได้พลีฝันรับฝึก
ให้รู้หยุดนิ่งทิ้งทุกอย่างวางว่างราวไร้ร่าง
ให้มีเพียงกำหนดรู้..
แค่ดูลมหายใจตามลมหายใจว่ายังไหวแผ่ว
และแผ่วผ่านปานอณูละออละเอียดละเมียดนวล
จนในที่สุด..จิตผมนั้นราวกับ
ถูกพลังแห่งความลึกลับ
พาให้ลอยตัวสูงขึ้นไปในห้วงอนันตกาล
อันคือความว่างราวไร้ขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด.......
กระทั่งลมหายใจสะอาดบริสุทธิ์นั้น
ได้พลันพาร่างให้ผมได้สัมผัส**ทิพยนิรมิตในฝัน**
สวรรค์ในอกในจิตใสจากบ้านภายในผมเอง
อันคือราวแดนสวรรค์สรวง
คือบึงบัวพร่างในท่ามทิวทิพย์เมฆ
เสกสายแสนหวานตระการจรัสเรืองราวสายรุ้ง
นี่ละกระมัง
ที่เรียกกันว่า..*พลังปิติเกษมมหัศจรรย์แห่งจิต*..
ที่ทุกชีวิตต่างอยากค้นพบ..
หากมิมีวัน
ตราบใดที่ใจยังไม่สว่างสะอาดสงบ
จะไม่มีวันสยบร่างให้ลอยห่างเหนือโลกย์โศกเศร้าได้เลย
ผม...ทำจนเคยกับการฝึกนิ่ง
และผสานลมหายใจแห่งดวงชีวี
ให้เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติ
จนในที่สุด..
ผม..รู้ทางที่จะนำจิต
ไปพบแสนสว่างพร่างพราวนั้นแล้ว
และ
คือราวอัญมณีเพชรแพรวพรรณรายฉายฉันท์
ให้คอยส่องนำกระจ่างสว่างจิต
และให้ผม..สนิทแนบแน่นกับธรรม จนล้ำลึก..ลึกล้ำ
และ
ทำให้ผมมีขวัญกำลังใจเพียรภาวนามิหยุด
เพื่อที่จะรู้หยุดคิด..มิรับผัสสะใด
มิไหวครวญนาน
มิรานร้าวเศร้ากับขยะใดจากใจคน
ที่กมลยังรกเรื้อ
ให้ครองเนื้อนวลใจจนหมดใสสิ้นงาม
ผม..กำลังทราบด้วย..ฌาณ..ว่า..
กุศลแห่งการรักษาศีลทานอย่างบริสุทธิ์
การมิยอมหยุดฝึกภาวนาสร้างสมาธิพาให้ผมพบ*ปัญญาบุญ*
ที่จะน้อมหนุนนำให้ผมเดินมิผิดทาง
ได้ตามรอยธรรมรอยทองรอยพระพุทธบาท
ที่ยาตรานำทางไปก่อนหน้าแล้ว
สู่แดนดินเมืองแก้วแพร้วพร่าง
สว่างใสไร้สุขสิ้นทุกข์ใดจะหมายมากรายกล้ำ
ทำร้ายให้จำต้องเวียนว่ายในวัฎฎสังสารอีกต่อไป..!!
........
..........
ผม...จำต้องดึงจิตกลับมา
กับตะวันลาตะวันดวงโพล้เพล้
ในยามนี้....
ที่ทั้งราวไพร
กำลังบรรเลงดนตรีแสนใสเย็นแสนวังเวง
หากงามใจเป็นที่สุด
ผม...ได้ยินเสียงนกกา
ได้ยินเสียงดุเหว่าแว่ว
ได้ยินราวเสียงสิงสาราสัตว์นานา..กำลังกู่ก้องปองรักเพรียกหา
พากันกลับรวงรังแห่งรัก
ให้หัวใจยิ่งงามเหงาล้ำลึก
เพิ่มรู้สึกแสนวังเวงเงียบงาม...
ผม...
ค่อยๆเดินหันหลังลาสายน้ำแสนใสหวาน
ในท่ามกลางฟ้าระเรื่อเจือสายแสงสีส้มสุก
แจ่มจรัสพรายรัศมีสีชมพูประปราย
ที่งามคล้ายฉากแห่งสวรรค์สรวง
ผม.....
รักความงามยามตะวันตกดิน
อาจจะเป็นเพราะ
ในยามเยาว์ทุกคราที่ผมเหงาเศร้า
ผมจะเฝ้าไปนั่งริมทะเล
ที่บ้านเกิดอย่างเหว่ว้าดายเดียว
เพื่อรอคำอำลาจากดวงตะวัน
ที่จะค่อยๆผันดวงเคลียไคล้ผืนน้ำ
ราวกับจะให้รับรู้ถึงความอาวรณ์อาลัย
ต่อทุกผืนฟ้าแลหล้าโลกน้ำทะเล
ยามนั้น....
ผมจะนั่งนิ่งน้ำตาซึม
และ..
ในก้นบึงดวงใจดวงนวลของผมจะ
ราวได้ยินเสียงกระซิบ สอน
จากฉากตอนแห่งความพรากจากอันแสนยิ่งใหญ่นั้น
ราวผมจะ..ได้ยินคำจากสวรรค์เบื้องบน
ทรงเมตตากรุณา..
มาสอนสัจจะใจสัจจะจริง
*สัญญาแห่งฟ้าดิน*..ให้ได้รับรู้ว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าสิ้นหวัง
ให้รอตะวันยามอรุณรุ่ง ที่จะมาถึง..
มาเยือนแย้มแต้มพลังหวังหวานให้เราเสมอ
และ..มาตรแม้นถึงกาลจำพรากลา
ก็ราวกับว่ายังทิ้งความงามกว่างามแสนล้ำเลอค่าฝากไว้
ราวกับบอกว่า
*จงทำหน้าทุกนาทีของเจ้าอย่างมีคุณค่า
ฝากไว้ในหล้าก่อนจะลาลับ..ดับมอดดวง..
และพลัน..พลีรู้หน้าที่ที่จะคืนมาใหม่
และ..
กาลเวลาชีวิตก็เช่นเฉกกัน
ย่อมมีเกิดแก่เจ็บตายราวว่ายวนวงกลับมา..
หากทว่าสิ่งสำคัญคือ
ให้รู้ทันเท่าเฝ้าเพียรพบจบชีวิต
ภายใต้ร่มเงาพระรัตนตรัย
อย่า..!
ให้เสียทีที่ได้เกิดมาในร่มเงาพระพุทธศาสนา
ที่แม้นฝรั่งมังค่า
ก็ยังรู้ค่าตระหนักค่า
ว่า..
*ฟ้าพุทธภูมิ..*นั้นแสนงามเพียงไร
ไม่นับคำสอนยิ่งใหญ่
ที่จะพาเพียรจบพบทาง..
แห่งความเบาสบาย..ไร้ร่าง..วางว่าง..และแสนสว่างสะอาดสงบ
สยบทุกข์ได้อย่างจริงแท้..
..............
..............
ผม..เอื้อมมือเด็ดดวงดอกพุดไพรดอกไม้ในดวงใจแสนรัก
มาสามสี่ดอกจากรวงช่อกอไสวใบเขียวพร่างริมทาง
ตั้งใจจะมาวางเคียงหมอนที่นอนนวลนุ่มขาว
ให้หวนหอมพราวเศร้า..ซึ้ง
อาบเอิบใจ..อิ่มใจ..
และ
กลับมา..นอนเงียบเหงาฟังเสียงเรไรร้อง
เสียงสายน้ำซอนเซาะโตรกผาหิน
ได้ยินเสียงส่ำสัตว์ที่เริ่มจางหายไป
ราวกับ..ณ..บัดนี้กำลังพักผ่อน
รอฉากตอนต่อสู้แห่งวันใหม่
เพื่อเตรียมพลังใจออกล่าเหยื่อในไพรพง
ที่คงพอกันกับผู้คนในดงมนุษย์เมือง..
......
.......
หัวใจผมเริ่ม...
เบาสบายแสนว่างงาม
กับแสงเทียน....
ที่วางไว้เหนือหัวนอนในตะเกียงทองเหลืองโบราณ
วับแวม พรายพราวแสงจับเรียวนัยน์ตาผม
ที่กำลังซึมซึ้งกับทุกสรรพสิ่งลำพัง..
ที่ผม..กำลังแสนสุขสงบใจอย่างที่สุด
ผม..ได้ยินเสียงแมกไม้ไหวเอน
เสียงดงดอกหญ้ากำลังระเนนร่างพ้อล้อสายลมไหว
เสียงพายุใหญ่..กำลังจะพัดผ่านมา
เสียงฟ้าฝนหลงฤดู
ที่กำลังจะปรายโปรยโรยละออละออง
ไปทั่วท้องไร่ท้องนาทอง
ห้วยหนองคลองบึง
ให้ทั่วถึงผืนหล้าฟ้าไทยให้ได้พบใสรื่นชื่นฉ่ำเย็นอีกครา
ฤา...
ราวหยาดจากฟ้า
จากหยาดน้ำใจพระราชหฤทัยราวน้ำค้างเพชร
หากทว่าที่มาคือฝนเทียม...
หรือฝนหลวง.....อันคือห่วงใยพันผูก
ให้ชาวนาไทหัวใจทองได้พากันปลูกรวงเรียวแห่งรัก
ด้วยภักดี..พลีเพื่อผองชนคนไทยได้มีกิน..กันตาย...ไปตราบนานเนานิรันดร์
และราว
กับรับรู้ซึ้งถึงหัวใจลูกผู้ชายคนนี้
ที่ชอบนอนฟังเสียงฝนครางฟ้าครวญ
ให้ใจดวงนวลแสนอิ่มงาม
อ่อนโยนอ่อนหวานอย่างที่สุดแล้ว
ผม...ค่อยๆกางหนังสือบทกวีธรรม ธรรมชาติ
จากบทประพันธ์ของกวีในดวงใจ..
และไล้สายตาไต่ไปช้าๆ
ให้จิตไสวไปตามอักษราภาษาฝันที่แสนงาม
ด้วยสุนทรียรสอันหมดจดใจ
ในท่ามกลางแสงเทียน
เสียงสายฝนพร่าง
ที่พาสายฝันให้พลันบรรเจิดจิตแจ่มกระจ่าง
และ
นี่คือสวรรค์..วาง .ว่าง
สำหรับหัวใจชายชาติไพรใจดวงทรนงคงมั่นไร้พันธนา
และ
จักหอมสนิทในนิทรา...
ตราบจนกว่า...
จะถึงยามอรุณรุ่ง..
รับกรุ่นกลิ่นดอกไม้ไพรดอกไม้ป่าสะพรั่งริน
กับหยาดน้ำค้างพลิ้วพร่างพลิกพริ้งกลิ้งกลางกลีบใบ
ให้หัวใจได้รู้ถวิล..มิสิ้นรัก..ใน..ทุก..อัญมณีไพร.....!!!
........
.........
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
พระเอกยังไม่ได้เข้าเล้าไก่ลุ้นไก่ให้ฟักไข่เลยค่ะอิอิ!!!!!
........
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=219
เดือนต่ำดาวตก
ทูล ทองใจ : : Key Bb
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องกลางดึก ดวงจิตระทึก
พี่นึกว่าเป็น เสียงเธอ
ผวา มองจ้องตามเพียงครู่
รู้ตัวว่าเก้อ ต้องกลับมาเพ้อ รำพึง
เงาไผ่หรุบหรู่แหงนดูเดือนต่ำ
น้ำค้างร่วงกราว
ใจยิ่งปวดร้าว ยามไร้เธอเคียง คนึง
ความรักที่เคยชื่นทรวงใจซ่าน
หวานดังน้ำผึ้ง
แปรเปลี่ยนบึ้งตึงเหมือนเดือนเลือนลา
แม้ท้องฟ้าไร้
ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้
ไร้คู่ชีวี นอนแนบนิทรา
เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา
เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องครั้งใด
พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง
ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง
พบเพียงหมอนข้าง
แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน
แม้ท้องฟ้าไร้
ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้
ไร้คู่ชีวีนอนแนบนิทรา
เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา
เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องครั้งใด
พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง
ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง
พบเพียงหมอนข้าง
แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน...