14 กันยายน 2547 09:45 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6370
(ปลายฟ้า)
*****************
ฟ้าหวานแจ่ม..กระจ่าง..
ยามเช้านี้
ฟ้าหลังฝน หลังฝนพรำยามย่ำรุ่ง
ให้ทุก*ดวงดอกกวีแก้ว* ผลิบานแพร้วพร่าง
รับอรุณใสสดงดงาม
นะริมเรือนใจริมเรือนไทยริมเรือนทอง
ผ่องผุดพิสุทธิ์พราว
อ่านบทกวี..งามงาม และงามงาม
อ่าน..
*เรือจันทร์ของหมอกจาง*
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_61221.php
กลางฟ้าที่เงียบงัน
เถิดมาล่องเรือกับฉันบนจันทร์เสี้ยว
นั่งเรือที่โค้งเรียว
คล้องแขนเกาะเกี่ยวข้ามขอบฟ้า
ทะเลที่เบื้องล่าง
สะท้อนแสงจันทร์จางกระจ่างตา
ทิ้งเถิดความอ่อนล้า
ปล่อยให้ลมพัดพาลงทะเล
โน่นดาวหมี นี่ดาวไถ
พอผ่านดาวลูกไก่จะกล่อมเห่
กล่อมเจ้าดาวบนฟ้าอย่าโยเย
จะเอาจันทร์ไกวเป็นเปลกล่อมดวงดาว
กลางฟ้าที่เงียบงัน
เถิดมาล่องเรือกับฉันในคืนหนาว
คืนที่มีดาวแวววิบกระพริบพราว
พอรุ่งเช้าแล้วค่อยหย่อนเธอนอนเตียง
*************
เรือจันทร์เรือใจเรือใบไม้!....พุดพัดชา
เรือจันทร์เรือใจเรือใบไม้
เราใช้พายธรรมพายทองลอยล่องฝัน
พาไปสู่ฝั่งงามเงียบรักนิรันดร์
ข้ามผ่านสวรรค์มหานทีสีทันดร...
สองดวงใจใสสวยราวหยาดน้ำค้าง
สู่สล้างธารเมฆเลื่อมประภัสสร
ธารจันทร์ธารใจงามไสวเรียวรุ้งรอน
ลาทินกรร้อนเร่าเหนือราวฟ้า
เรือจันทร์เสี้ยวเคียวทองล่องทะเลเมฆ
งามราวเสกสายไหมไม่เหว่ว้า
มีงามใจงามธรรมงามยิ่งกว่า
งามเกินค่าคำโศกโลกสมมุติ
ไปที่หนึ่งซึ่งเงียบงามแสนสงบ
ไม่ต้องพบสุขโศกวิโยคหยุด
ไม่มีรักไม่มีรอพ้นวิมุติ
และสิ้นสุดสังสารวัฎฎสุดท้ายหมายนิรันดร์..!
******
จึงตอบ *บทกวีแก้วกวีงาม*
ที่พลันพาฝันบรรเจิดใจ..บรรเจิดจิต
เกิดนิมิตงาม
ราวพาร่างขึ้นไปไหวหวาม
ใน*เรือจันทร์*ท่องไปในทะเลฝันทะเลเมฆวิเวกใจ
ท่องไปในทิพย์วิมานสถานอันงามสราญจิต
และ
สิ่งสุดท้ายปลายทางงามนิรันดร์
เทียบท่าธรรมท่าทอง..หยุดลอยล่องหลงทะเลโลกย์
ที่มีโศกสุขคลุกเคล้าหนาวน้ำตา
ให้พบฝั่งพระนิพพาน
ที่งามใสในจิตกระจ่างราวดวงแก้ววิเศษดวงแก้วทิพย์
ซึ่งต้องลิขิตด้วยจิตวิญญาณภายใน
พายพาพ้นด้วยสติสมาธิวิปัสสนา..
ขอ
ทุกดวงใจกวีขวัญกวีแก้ว..
ค้นพบขุมทรัพย์พร่างแพร้วพรรณราย
นะบ้านภายในให้พบนะคะ
****************
ชิงช้าเมฆ
อาทิตย์ลาลับเหลี่ยมทางสันเขา
ฟ้าสีเทาเข้มครามยามเปลี่ยนสี
เหลืองส้มทองส่องรุ้งหวานระวี
จันทร์ราตรีโผล่ทิวไม้ทายทักไพร..
ไล่ยามพลบหลบหายชายคาเมฆ
สวรรค์เสกแสงดาวพราวฟ้าใส
ริมลำธารบ้านกลางป่าก่อกองไฟ
ลอยพลิ้วไหวเหนือไผ่กอรอเก้งมา..
จั๊กจั่นเสียดสีปีกกรีดร่ำร้อง
กบเขียดก้องลองเสียงเถียงซ้ายขวา
เบ่งคอพองร้องประชันกับไก่นา
อาณาเขตข้าขอจับจองร้องระงม..
นกทึดทือเสียงครือครือคนชรา
บ่างราวบ้าร้องโหยหวนชวนขื่นขม
ยามราตรีเงียบสงัดลมพร่างพรม
ทิวไม้ตรมระทมท้อรอพัดไกว
นกเค้าแมวลิงลมตากลมโตเป็นพิเศษ
ไว้เตือนเหตุเภทภัยไวเคลื่อนไหว
สัตว์กลางคืนตื่นทำงานผลัดเปลี่ยนไป
ดอกไม้ไพรไหวก้านกอรอรอรอ
หยาดน้ำค้างพร่างพรมลมลูบไล้
แสงจันทร์ฉายคลายเศร้าคอยเฝ้าขอ
ไกวชิงช้าเมฆเสกรวงดาวพราวสร้อยคอ
คล้องขวัญรอขอเกี่ยวใจไปนิรันดร์...
........
ไกวชิงช้าเมฆเสกรวงดาวพราวสร้อยคอ
คล้องขวัญรอขอเกี่ยวใจไปนิรันดร์...
********
ดาวประดับใจ..พุดพัดชา
สู้ สู้..ขอมอบคำสั้นสั้น สองคำนี้
แด่ทุกดวงใจ ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองน้องพี่ค่ะ
เราทุกคน มีพลังฝัน อันสกาว
ที่จะขับเคลื่อนรักอันอะคร้าวงามงด
ในใจละมุน อ่อนหวาน อ่อนโยนของเรา..
เราผู้มีบทกลอน บทกวีในหัวใจสุนทรีย์
ผู้ยังมีหวังหวานราวดอกไม้บานแต้มอยู่
กลางใจสถิตแนบเนา
ที่แสนนิ่มนวล..
เต็มไปด้วยเลือดเนื้อชีวิตชีวา
ที่ใช้เหว่ว้า
เป็นพลังผลักดัน ขับเคลื่อนความฝัน
ด้วยสมองหนึ่งมือนี้ที่บรรจงรจนาขีดเขียน
ระบายสีรุ้งพราวให้โลกสวยราวเนรมิตร..
ให้สองมือได้ คว้าฝัน ตว้าใฝ่
ดวงดาวสุกใสพรายพราวแสง เลอล้ำค่า
มาประดับกาย ประดับใจ ในโลกจริง ดั่งฝัน ดังหวัง..
มองท้องฟ้าสิ..คนดี
มีดวงดาว มากมายให้เราเอื้อมมือคว้า
และมาดแม้น มิได้มา เพราสูงสุดสอย มิอาจเอื้อมถึง
ขอแค่เงยแหงนมอง
แค่จับจองน้ำมาประดับฝันในคำนึงเท่านั้นพอ
เพื่อมิให้ท้อแท้แพ้พ่ายใจ
หาดาวใจดี..ดาวดวงดี สักดวงสิ
ที่สุกใสสกาว สว่างไสวดั่งเพชรน้ำงาม
ที่แสงพราวพร่าง เติมไฟฝัน กระจ่างใจ
มิให้มอดดับ..ลาลับล่วง..ไร้สิ้นใครไยดี
หาดาวนำทางใจ ทางรัก ทางชีวี
ให้เลิกทุกข์ตรมดายเดียว เปลี่ยวเหงา
เป็นกำลังใจเคียงข้าง
ให้เลิกอ้างว้าง เอื้อไออุ่น
ให้หนาวคลาย ให้ร่างกายและให้รักเรา
ด้วยใจจริงและจริงใจ ตราบนานเนานิรันดร์..นะคนดี
*********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6370
ปลายฟ้า
มะลิลา บราซิลเลี่ยน : : Key Bb
ปลายฟ้าปลายฟ้า
แค่หลับตาลง คงพบกัน
โอบกอดดวงใจ สายสัมพันธ์
ท่ามกลางความฝัน ของเรา
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
ปลายฟ้า...
13 กันยายน 2547 08:53 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=94
(ขวัญใจเจ้าทุย)
**********
ตีห้า..นาฬิกานกเขาไพรร้องปลุก
ให้ลุกมาฟังบทเพลงแห่งสายฝน
ที่พริ้งพรายกรายกลืนไปทั่วทั่งผืนฟ้า
หยาดน้ำทิพย์ที่มากเมตตา
ราวหยาดน้ำตาจากนางฟ้าแสนเสียสละ
ที่หลั่งรินลงมา
ชะโลมหล้าไทย ชะโลมใจทุกดวง
ให้ชาวนาแย้มยิ้มอิ่มเอมหากมีน้ำพอดี
ที่จะพอเพียงเลี้ยงหล่อกอข้าวให้แตกรวงระยับ
ให้คอข้าวแทบหัก
ทนรับรวงระย้าย้อยห้อยเคลียดินแทบไม่ไหว
ดวง..ขอละมุนใจ
เปิดเพลงหวานๆจากพี่แจ้
มากำนัลเป็น*ขวัญข้าว*
เป็น*ขวัญเช้า*แด่ทุกดวงใจแล้วกันนะคะ
มาฟังดีเจดวงห่วงหาพาคะนึงรัก
ฝากกระซิบภักดิ์พลีไปกับฟ้าและฝนดีกว่านะคะ
มามะ..คนดีดวงใจ..มาฟังค่ะ
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4454
น้ำตาฝน แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ : : Key Gm
ฟ้า หรือฝน
ลมจะเท มาเพียงใด
ไม่เจ็บ เท่าไร ใช่ไหมฟ้า
ไม่ทัน ข้ามวัน
หมดแรงฟ้า เมื่อไรพลัน
ลมฝน คงผ่าน เลย ไป
คน ซิคน
ลวงล่อคน ซิเจ็บกว่า
ไม่แบ่ง เวลา ดั่งเหมือนฟ้า
ไม่พูด ไม่จา
เบื่อหน้า ลืมได้ ทันที
เจอะ คน ใจ ร้าย ใจดำ
ก็มีแต่ช้ำ รับกรรม
ตากฟ้า ตากฝน ยังชื่นฉ่ำ
กว่าเจอ หน้าเธอ คนลืมคำ
จะจำ เอาไว้กับใจ
ว่าใจ เธอร้ายกว่าใคร
ฟ้า หรือฝน
ลมจะเท มาเพียงใด
ไม่เจ็บ เท่าไร ใช่ไหมฟ้า
ไม่ทัน ข้ามวัน
หมดแรงฟ้า เมื่อไรพลัน
ลมฝน คงผ่าน เลย ไป
คน ซิคน
ลวงล่อคน ซิเจ็บกว่า
ไม่แบ่ง เวลา ดั่งเหมือนฟ้า
ไม่พูด ไม่จา
เบื่อหน้า ลืมได้ ทันที
เจอะ คน ใจ ร้าย ใจดำ
ก็มีแต่ช้ำ รับกรรม
ตากฟ้า ตากฝน ยังชื่นฉ่ำ
กว่าเจอ หน้าเธอ คนลืมคำ
ได้ โปรด เถิด ฟ้า ปราณี
ข้าเจ็บคราวนี้ ไม่มีดี
ถูกคนใจร้าย ย่ำยี
เจ็บปวดเหลือที่ ช่วยข้าที
ข้าวอน ให้ลมกับฟ้า
จงพา ให้ฝนตกมา
ให้หยาดฝน ลบคราบน้ำ ตา...
********
นาทีนี้ อยากให้อ่านงานสาวนา
แล้วหลับตา พาใจล่องลอยไปกับธรรมชาตินะ
มิใช่ลอยล่องไปหาใคร หาคนที่ทำให้ทุกข์ทน
พาใจดวงใสดวงงามราวนกอิสระใจ
เหิรบินข้ามขอบฟ้ากว้างไกล
ข้ามลำเนาไพร ข้ามภูเขา แมกไม้ สายน้ำ
สายธารระรินไหลหวานๆอย่างช้าช้า..ช้าช้าและช้าช้า
ไปปล่อยลงตรงนาข้าวใกล้*ทะเลน้อย*
หากไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็ลองค้นหาดู
ทะเลสาบสวยที่มีความงามเกินบรรยายเลยค่ะ
มามะ นอกจากจะเป็นดีเจดวง..
จะพ่วงพาไปเป็นมัคคุเทศก์รัก
นะบัดนี้
ตามมามะ มาอีกทีทุกคนดีทุกดวงใจ
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองเรือนแห่งมากมีน้ำใจ
น้องพี่ ...ที่รัก รัก รัก เป็นยิ่งนักเสียยิ่งแล้ว..
มาสิมาไปด้วยกัน..หลับตาฝัน ฝัน ฝัน ได้เลยค่ะนะคะ
พลันจะพาพบ
ทะเลบัวที่งามเอยงามเสียจริงยิ่งกว่าจะหาคำใดมาชมนั่น
************
http://www.muanglung.com/talanoi.htm>
นี่แค่ตัวอย่างค่ะ
ในปี พ.ศ.2517 ราษฎรกลุ่มหนึ่ง
ใน หมู่บ้านทะเลน้อย ตำบลพนางตุง
อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง
ได้ร่วมกันเสนอต่อ นายผ่อง เล่งอี้
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายจัดการสัตว์ป่า
กองบำรุง กรมป่าไม้ ขอให้มีการจัดตั้ง
อุทยานนกน้ำทะเลน้อย
เนื่องจากมีการล่านก
ที่อาศัยอยู่อย่างชุกชุมในพื้นที่ทะเลน้อย
ทำให้จำนวนนกที่มีขนาดใหญ่
เช่น นกกาบบัว ลดลงเรื่อยๆ
จนเกรงว่าถ้าไม่อนุรักษ์ไว้
นกเหล่านี้จะต้องสูญพันธุ์ในไม่ช้า
กรมป่าไม้จึงส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจสถาพพื้นที่
และสัตว์ป่าในทะเลน้อย และ
ได้ประกาศให้ทะเลน้อย ซึ่งมีพื้นที่ 17,500 ไร่
และพื้นที่ป่าในบริเวณใกล้เคียง
คิดเป็นเนื้อที่รวมกันราว 285,625 ไร่
เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2518 เป็นต้นมา
แต่ชาวบ้านมักเรียกกันติดปากว่า อุทยานนกน้ำทะเลน้อย
*******
ลองแค่คลิ๊กนิ้วเดียวนะคะ
http://www.muanglung.com/talanoi.htm
จะพาเข้าไป
พบความมหัศจรรย์ใจในUNSEEN ไทยแลนด์
แดนดินแห่งความน่าภาคภูมิใจ
ที่หัวใจสาวดวงคนนี้แสนรู้คุณค่าค่ะ
เนื่องจากว่าเคยไปใช้ชีวิตในเมืองนอก
ที่ไร้ทรัพยากรงาม อย่างผืนดินขวานทองของเรามานานพอ
จนขอบอกได้เลยว่า
เรานี้หนาแสนโชคดี
ที่ได้ก่อเกิดกายมากับผืนดินแห่งศิลปินศิลปะ
แผ่นดินพระ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร
ที่งามพราวราวฉัตรเพชรกั้นเกศคุ้มปองผองไทย..
ที่คนเรานั้นหนาบางทีหารู้ค่าไม่
จนกว่าจะเป็น
แบบบ้านเมือง..ที่แทบ*สิ้นชาติ* ด้วยขาดรักสามัคคี*
ด้วยขาดความปิติภาคภูมิในผืนดิน
ที่ไปหลงกลิ่นอารยะธรรมปลอมๆ
หลอมลวงให้หลงมั่นว่า
นั่นคือความโก้เก๋เด่นดังอลังการหวานหอม
ให้ค่อยๆมาหลอมละลายกลืนงามละมุน
ลืมวัฒนธรรมอันหอมกรุ่น
โขน ละคร ลิเก มโนราห์ มโหรี ดนตรีไทย
ศิลปมากมายมากมี
ที่ถ่ายทอดมาจากเนื้อใจอันประณีตอ่อนหวานอ่อนไหว
เป็นเส้นสายลายใจลายไทย
อันละเมียดละมุนใจในทุกลีลาแห่งชีวิตจิตวิญญาณ
ผ่านดินดีที่เรียกกันว่าดินทองของหล้าโลก
ที่แสนจะถือเป็นโชค
ที่พระเจ้าเบื้องบนอุตส่าห์ประทานพร
มอบให้คล้ายของขวัญอันประมาณค่ามิได้
เอ๊ะ!
สาวดวง..ผู้มากห่วงใยผู้มากละมุน
รจนาไปรจนามา
กลับมารักเมืองไทยชูชาติไทยทะนุบำรุง
ให้รุ่งเรืองสมเป็นเมืองของไทยของใจ
ฉะไหนฉะนั้นละฉะนี้ล่ะคะ
คงเป็นวิญญาณสาวโบราณอยุธยามาสิงร่างค่ะ
ให้มากระซิบบอกสาวสาว สาวไทยปัจจุบันว่า
กว่าจะสร้างบ้านแปลงเมือง
มาเป็นเมืองไทยเมืองธรรมเมืองทองนั้น
ต้องผ่านหยาดเลือดรัก
และหยดน้ำตาชะโลมหล้าชะโลมดินมามากเท่าไร
ให้อ่านประวัติศาสตร์ไทยดีกว่าไหมที่รักทุกดวงใจ
เผื่อจะหันกลับมารักวัฒนธรรม
รักวิถีงามอันควรรักษา
หากพอจะมีเวลา
หันมานุ่งผ้าถุงไปวัด
ในวันพระสักวันก็ยังงามยังดีในรอบเดือน
พลีให้จิตรับความงามความดี
อย่าให้เลือนลืมถึงรอบปีเลยนะคะคนดี
ให้รู้รักษาใจรักษาจิตรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม
รักความงามอันล้ำค่า
อย่ามัวแต่หลงนุ่งยีนส์ยุ่ง
นุ่งเปิดสะดือถือเอาเพียงแค่งามง่าย
งามหนักงามนอกงามแพงแข่งขันกันทั้งเมือง
ให้ลองเลือกลอกเปลือก
พาไปพบกระพี้เพชร กระพี้ธรรม กระพี้ทอง
ที่ห่มห้องจิตสนิทรอราวขุมทรัพย์นับอนันต์สอนพอ
นะบ้านภายในนะคนดีนะดวงใจ
******
ดวง..รจนาพาจิต
ไปตามงามจิตงามใจ
ที่เมื่อวานนี้ได้โอกาสไป
น้อมศิระกราบกรานน้อมสร้างสะสมกุศลบุญ
ฝึกมีสมาธิมีปัญญา
ตรงหน้าพระพักตร์พระพุทธชินราชในโบสถ์วัดเบญจมบพิตร
ดวงนั่งน้ำตาไหลด้วยความภาคภูมิปิติ
ที่งามจิตงามใจงามจนซึมเข้าไปถึงเนื้อใจ
อันรู้ซึ้งถึงความล้ำเลอค่า
ที่บรรพบุรุษเราอุตส่าห์ถนอมรักษาความดีความงาม
เพียรประคองอย่างแหนห่วง
ให้ล่วงมาถึงเราได้ซึมซับรับรู้
ได้รู้รักษาความงามประณีตนี้
ที่ยากจะมีในหลายๆประเทศที่กำลังเข่นฆ่า
หาความสงบใจสงบสุขเป็นไม่มี
เราคนไทยนี้..เกิดมาทั้งที
แล้วจะทิ้งคำว่าโชคดี
ที่ได้พบพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์
ได้ตรงลงมาเกิดในผืนหล้าผืนดินทอง
ที่แม้นนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมาทึ่งตะลึงตะไล
ในมนต์ขลังอันมีเสน่ห์อันเก๋อันเท่ห์ทนยาวยืน
เกินกว่างามฉาบฉวยละหรือไร
ดวง..อยากรจนาจากใจฝากจิตวิญญาณ
ไว้ให้หนุ่มเหน้าสาวไทยได้ตระหนัก
ถึงความเป็นรักที่ยิ่งใหญ่
เหนือดวงใจเหนือสิ่งใดในหล้าโลก
เป็นความภาคภูมิใจ
ที่แสนรักเอยแสนรักในกมลละมัยนี้
ที่อยากกระซิบอีกทีว่า..
ให้รู้ค่างาม อย่า..ตามๆกันไปกับโลกอารยะที่ฉาบฉวย
ระรวยรินไปด้วยกลิ่นไอแห่งความฟุ้งเฟ้อ
เผลอตามก็เป็นหนี้วัตถุ หนี้ใจ
สิ้นความละไม
ให้ชดใช้ไม่สิ้นสุด
หากมิหยุดอยากและ
ด้วยความเครียดไปทุกหย่อมหญ้า
จงอย่าตกเป็นทาสอารยธรรมตะวันตก
ที่บางครั้งมากมีสิ่งสกปรกซ่อนเร้น
ให้ลืมความเป็นเผ่าพันธุ์
อันมากด้วยจริยธรรมของความเป็นมนุษย์
ให้รู้รักสงบพบความงามง่ายใช้ชีวิต
อย่างสมถะพอเพียงเพียงพอ..ค่ะ
*******
และก็
ดวงขอลาล่วงด้วยห่วงใยห่วงใจ
ไปกับบทเพลงแห่งดวงใจนะคะ
และ
ก็ฝากงานธรรมชาติ
ที่สู้รจนาวาดหวัง
ให้อ่านเอาอิ่มเอิบสืนสานความรู้ค่าละมุน
จะได้หมุนช่องจิต
มารับงามใสงามง่ายงามให้ที่แสนใกล้ตัวใกล้ใจ
มิจำต้องมัวเสียเวลา
ไปคว้าหาของที่ต้องเสียเงินงามค่ะ
นะคะ.
และมาดแม้นงานสาวดวงจะยาวย้วยสวยน้อย
ก็หวังให้ทุกดวงใจน้อยๆน้องๆ
ผู้รักกาพย์กลอนบทกวีได้เพียรพยายามอ่าน
เพราะการอ่าน
*คือการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาค่ะ*
ให้รู้ค่ายอมเสียเวลา
รอเวลาผลิก้านกอหน่อกิ่งใบแตก*ผลเพชร*
เด็ดดวงใจคนในชาติด้วยผลงาน
ตามวาดหวังไขว่คว้าดาว
อันงามอะคร้าวอะเคื้อมาประดับใจ
มาใส่อุ้งมืองามตามความเพียรพยายาม
ให้หางามจิตได้พบเจอ
ให้สมองสองมือน้อยพร่างพราย
ราวมีดวงดอกไม้เพชรระยิบระยับมิดับไฟฝัน
ให้ได้ร่ายมนต์เสน่หา
สร้อยอักษราภาษาใจภาษาธรรม ภาษาธรรมชาติ
ภาษาพิสวาท ภาษารักระรินมิรู้สิ้นรู้จบงาม
ดั่งหยาดน้ำค้างพร่างออกมา
จากสายธารใจสายธารชีวิตสายธารแห่งจิตวิญญาณ
อย่างงามเงียบเฉียบคมค่ะ
ให้คู่คนคู่หล้าดั่งเดือนดาราพริบพราวประดับฟ้า
ประดับโลกบรรณพิภพ
ตราบทบเท่าทวีคูณให้ดียิ่งกว่าดี..ดียิ่งยิ่งขึ้นไปค่ะ
ด้วยดวงใจ..
******
แค่คนที่รักเธอ ไม่ใช่คนที่เธอรัก
ดวง..ตื่นนอน ยามใกล้รุ่ง...
ดวงดาวยังส่องแสงสุกใส
และจันทร์เสี้ยวยังแขวนฟ้า
รอวาระแห่งทิวากาล เปล่งแสงเรื่อเรือง
ทางขอบฟ้าทิศตะวันออก
ไก่โต้ง..ยังส่งเสียงขันเป็นระยะ ..
ไอดินกลิ่นฝน ยังระอยู่ตามยอดไม้ ใบหญ้า
ดวงเดินไปข้างครัว ปลิดกล้วยเล็บมือนางเหลืองงอม
ที่สุกคาต้น..ป้อนปาก
แกล้มชาเขียวหอมอุ่นอุ่น ควันกรุ่นในแก้วที่ถือติดมือมา..
เปิดซี.ดี..เพลงหวานลึกบาดใจ กระชากใจ
จากเสียงเสน่ห์ของ คุณก็อต จักรพรรณ์
ให้เข้ากับบรรยากาศงามในยามเช้าแสนดี..
จากคนที่รักเธอ...........
* แค่คนรักเธอ....ไม่ใช่คนที่เธอรัก
ได้มารู้จัก ได้แอบรักก็สุขใจล้น
เธอคือนางใจ สดใสเมื่อยามได้ยล
ช่วยคนหนึ่งคน ให้พ้นจากความหม่นหมอง
เฝ้าคอยภักดี ทั้งที่มีสิทธิ์เพียงน้อย
สุขที่ได้คอย สิทธิ์มีน้อย ไม่เคยเรียกร้อง
ได้งมเพียงเงา ยามเหงาขอเพียงแค่มอง
ไม่ได้ครอบครอง แอบจ้องก็เพียงในใจ
มีชายหลายคน ที่คอยเดินตาม
ไม่กล้าถาม ว่าใครขอเธออย่างไร
ไม่กล้าท้วง ยามเห็นเธอควงกับใคร
เจ็บท้อรอไป.... เทใจให้เธอได้เห็น
*แค่คนรักเธอ ไม่ใช่คนที่เธอรัก
ทำใจแน่นหนัก ต่อใยรักไม่เคยว่างเว้น
หวังเพียงวันหนึ่ง เธอ..ซึ้ง..ความดีที่เห็น
เปิดทางให้เป็น ให้ฉันเป็นคนที่เธอรัก*(ซ้ำ)
************
วาระอรุณสะอ้าน กำลังทายทัก
พร้อมกับกลิ่นฝนกลิ่นฝัน
กลิ่นดอกจำปี
ที่ปลิดกลีบร่วงหล่นปลิวลมควะคว้างจรุงใจ
กับหยาดน้ำค้างละมุน..
เงียบสงัด จนหัวใจสัมผัสได้ถึงงามเงียบ..
เพื่อนสีเขียว..รายรอบ ระบัดใบออดอ้อน
ฟ้อนรับลมอรุณ เมฆสวยเติมฟ้าแรกแย้ม
ตะวันนวลชวนให้แก้วขยับกลีบดอกเผยอแย้มช้าๆ
แสงแดดอ่อนอุ่น ชอนไชโลมไล้คลึงเคล้า...ปลุกงาม
ผีเสื้อนุ่งกระโปรงลายหวานบานฟ่อง เริงระบำ
ฟ้อนกับกลีบกุหลาบตูมตั้งหวานหอม
นกน้อยๆค่อยๆคลี่ปีกเริ่งร่าถลาบิน
ทาบนภาฟ้างามสวยใสเรื่อเรือง..
สีส้มทองเจือชมพูอ่อนๆราวเรียวไหม ผูกไยเมฆ บางเบา...
จิบชาอ่อนๆกับพายสับปะรด
นั่งทอดตามองเรียวฟ้าเรียวเมฆเริงระบำ
รับทิวาวัน ทิวาหวาม
เสียงเพลง หวานแว่ว เคล้าคลอ
อวลละออกลิ่นดอกไม้ มวลแมลงภู่ และนกไพร...
แนมให้ ใจดวงนี้หวานแสนหวานรับอรุณอุ่นไอ..
************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=94
ขวัญใจเจ้าทุย
รวงทอง ทองลั่นทม : : Key C
เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินไหมใครมากู่ กู่
เรียก หาเจ้าอยู่ อยู่ หนใดรีบมา
เจ้าทุยเพื่อนฉัน ออกมาหากันดีกว่า อย่า
เฉยเลยอย่าอย่า มะมา เร็วไว
เกิด มามีแต่ทุย เป็นเพื่อนกัน
ค่ำเช้า ทำงาน ไม่ทิ้งกัน ไม่หายไป
ข้า มีข้าวและน้ำ นำมาให้
อีกทั้ง ฟางกองใหญ่ อย่าช้าไย อย่าช้าไย
เจ้าทุยเพื่อนจ๋า ออกไปไถนาคงเหนื่อย อ่อน
เหนื่อย นักพักผ่อนก่อน หนาวจนอ่อนใจ
ข้าจะอาบน้ำ ป้อนฟางทั้งกำคำใหญ่ ใหญ่
จะสุมไฟกองใหม่ ใหม่ ไว้กันยุงมา
เจ้ามีคุณแก่เรามามาก มาย
ถึงแม้ เป็นควาย เจ้าเหนือกว่า ดีเสียกว่า
ผู้ คน ที่เกียจคร้าน ไม่เข้าท่า
ทุยเอ๋ยเจ้าดีกว่า ช่วยไถนา ได้ทุกวัน
เจ้าทุยนี่เอ๋ย ข้าเคยเลี้ยงดูมาก่อน เก่า
เมื่อ ครั้งยังเยาว์เยาว์ ทั้งทุยและฉัน
ข้าเคยขี่หลัง นั่งไปไหนไป ไม่หวาด หวั่น
จะสุขทุกข์เคยบุก บั่น รู้กันด้วยใจ
เติบ โตมาด้วยกันในไร่ นา เคยหา กินมา
ข้าเห็นใจ ข้าเห็นใจ
เจ้า ทุย ยากจะหา ใครเทียมได้
ข้ารักดัง ดวงใจ ไม่รักใคร ข้ารักทุย...
11 กันยายน 2547 14:03 น.
พุด
URLhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=14
********
เธอ..คือตะวันซ่อนอ่อนอุ่นในเรียวเมฆ
เธอ..คือวิเวกแห่งบทกวีที่แสนหวาน
เธอ..คือตะวันนำทางใจมาแสนนาน
เธอ..คือหวานคือหวังคือพลังใจ
เธอ..คือฟ้าสีทองงามผ่องผุด
เธอ..คือความพิสุทธิ์มวลดอกไม้กรายกิ่งไหว
เธอ..คืองามหวานหอมห่มห้องใจ
เธอ..คือไพรคือพฤกษ์ลึกล้ำรัก
เธอ..คือสายธารหวานระรินดับร้อนหล้า
เธอ..คือฟ้าคือฝันอันงามนัก
เธอ..คือน้ำผึ้งตรึงใจให้เพ้อภักดิ์
เธอ..คือรักคือเศร้าให้เข้าใจ
เธอ..คือดาวพราวฟ้าเวลาเหงา
เธอ..คือเงางามเงียบเกินเทียบไหน
เธอ..คือทะเลเหว่ว้าเวิ้งว้างไกล
เธอ..คือนกไพรในไพรกว้างช่างงามนัก
เธอ..คือจันทร์เพ็ญเด่นดวงบนราวฟ้า
เธอ..คือพสุธาทองปองใจรัก
เธอ..คืองามปานเรียวรุ้งถักทอภักดิ์
เธอ..คือรักคือเทียนทองส่องกลางใจ
เธอ..คือสายลมพรมแผ่วพลิ้ว
เธอ..คือริ้วรวงเรียวระบัดไหว
เธอ..คือธรรมธรรมชาติพิลาสพิไล
เธอ..ครองใจเธอครองจิตนิจนิรันดร์!
**************
สีสันแห่งรัก...
เธอ....เป็นสีสันแห่งรัก...
ที่ฟ้าเบื้องบนประทานมาให้..มาประดับหล้า มาเคียงใจ
มาพร่างพรมให้โลกสดใสงามงด หมดจด..
เป็นความว่าง ความงาม ความเป็นกลาง
ที่มีทั้งหวานทั้งสุขโศกให้โลกนี้มีความพอดิบพอดี
มิใช่..สีสันจัดจ้า เร่าร้อนรุนแรง
หากแฝงไว้ด้วยความละเมียดละไม
และหากเป็นสีแล้วไซร้..
เธอ..เป็นดั่งสีเขียวของเรียวใบไม้
สีธรรมชาติ สีเอิร์ทโทนประมาณนั้น ประมาณนี้
ประมาณที่..บางทีบางครั้งก็ยังเป็นดั่งแสงงามแห่งเรียวรุ้ง
โอบท้องนาป่าเขาเงาละหานได้
เธอ..ทำให้ทุกดวงใจอบอุ่นเป็นสุข หากอยู่ใกล้
เธอ..ให้ความรู้สึกดี..ความเอื้ออาทร
ความอ่อนหวาน ความห่วงใย และเหนือสิ่งอื่นใด
การให้นั้น..ให้อย่างมีสติ ให้โดยไม่มีเงื่อนไข
ไม่หวังผลตอบแทน..
เฉกเดียวกับธรรมชาติ..ผสมผสานรักกับผู้คนบนหล้าโลก..
มิรู้สิ้นรู้โศกรู้เพียงถวิลหวานถวิลหวัง..
เธอ.......เป็นสีสันแห่งรัก....
ก้าวมาทายทักให้ยิ่งหลงรักวสันต์ลีลา
วันไหนฝนพร่างคืนไหนฝนพรำ ฟ้าร่ำโศก โลกอ้างว้าง..
หรือยามเดินดายเดียวในป่าปูนลำพัง..
เธอ..คนดีจะติดปีกฝันมาซุกซบให้เอนอิงพิงไหล่
ในอ้อมอกในอ้อมใจ
ให้ไออุ่นกันและกัน..
ให้พลังฝัน..พลังใจ ไม่มีช่องว่างใดใด..ไม่มีคำว่ากาลเวลา..
เธอ..เป็นสีสันแห่งรัก..
ให้พักใจในยามดายเดียว
เหลียวไปไม่พบเจอใครเสมอเหมือนเทียมเท่าจิตวิญญาณ
ที่แปลกแยกแผกคิดแผกใจ
เธอ..พร้อมพลี เคลีอคลอเคียงข้างลบอ้างว้าง
ลืมช่องว่างใจ ให้แนบชิดสนิทใน ดั่งหลอมละลายใจและร่าง
ให้มลายกลายเป็นเรา และเรา...
ในโลกอันเร่าร้อนรุนแรงแล้งน้ำใจ
ในความวุ่นวายสับสนขันแข่งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ในการค้นหาทางใจของคนมายมายไม่พบเจอ
ในห้วงหาวห้วงเหวแห่งความไม่มีใคร..
ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังตะเกียกตะกายดิ้นรนไขว่คว้า
อยากแค่มีใครสักคนมาคลายเหงา..ไม่สิ้นร้างไร้รักอีกต่อไป..
เธอ..เป็นดั่งสีสันแห่งภูเขา เงาไม้
สายธาร หวานหยาดจากพรายพระจันทร์
ดั่งดวงดอกไม้... ดั่งดงดอกหญ้า..ดั่งท้องทุ่งนา ..
ดั่งราตรีที่งามด้วยแสงดาวระยิบระยับ...
ดั่งเรียวรุ้งจับท้องฟ้างามยามหลังฝน..
ดั่งสายฝนพรมพรำชื่นฉ่ำใจ
ดังท้องฟ้าใสกระจ่างเมฆงามลอยเลื่อน..
ดั่งดวงเดือนประดับฟ้า
และดั่งมนตราประดับหล้าโลกประดับใจ..ไปชั่วกาล..
เธอ..เป็นสีสัน
ให้ชีวีมีดวงตาที่สาม มองเห็นหนทางลบหมองหม่นใจ
ในบทเรียนโลกโศกสุขที่รุกราน
รุกเร้าดวงจิต ตามติดมาแต่ปางก่อน
ที่มาลวงหลอนหลอกใจ..ในบางคราให้ทุกข์คลาย
ให้โลกไหวหวั่นพลันลับลา
ให้รู้เหลียวกลับมามองความงามภายใน
ให้ดวงใจสอดประสาน
เป็นดั่งเสมือนหนึ่งมิตรชิดใกล้กับธรรมชาติ
ให้รู้การปล่อยวาง
ให้ใจเป็นกลางๆให้รู้จักความว่าง ความพอดีๆ
อย่างผู้มีธรรมชาติเป็นครู..
ให้รู้เตือนรู้ตนไม่หลงทางยึดติดอีกต่อไป..
เธอ..เป็นสีสันแห่งดวงใจ
ให้เพียรเพาะบ่มห่มรัก ห่มเนื้อใจด้วยร่มธรรม
เป็นดั่งร่มกั้นฉากป้องคุ้มผองภัย
ให้ดวงใจใสกระจ่างราวหยาดน้ำฝน น้ำค้างกลางห้วงหาว
ดั่งดวงดาวพริบพราวสุกสกาวประดับฟ้าประดับใจส่องนำทาง
ให้เลิกไหวครวญ ให้เลิกหมองหม่น..
เธอ..เป็นสีสันแห่งดวงใจ
ให้ใคร่ครวญคิด...ให้น้ำใจแบ่งปัน
ในทุกวันเวลากับผู้ที่ยากกว่าผู้ที่ด้อยกว่า
เพื่อฝึกการสละออก
ปลดแอกของความยึดมั่นถือมั่น มากมาย
หัดให้มองผู้ยากไร้ดั่งมิตรควรอุปภัมภ์..
เธอ..ดั่งสะพานดาว
ทอดยาวให้ทุกย่างก้าวของผู้คนมากทนทุกข์ยาก ในโลกนี้
ได้มีโอกาสเดินไปคว้าไขว่เก็บดาวมาประดับใจประดับภาคภูมิ..
เธอ..เป็นสีสันแห่งรัก
ที่สอนให้รู้ค่าของการพลัดพรากจากลา
สอนให้ยอมรับสัจจะแห่งชีวิตนี้ที่อย่าประมาท
ที่มิอาจหมายมาดให้ยาวยืนได้ดั่งใจ..และ
ฉลาดในการวาดหวังรัก วาดหวังใจ สร้างไฟฝัน
ให้ไสวสว่างนำสู่เส้นทางใจ เส้นทางสายฝัน เส้นทางสายงาม
อย่างผู้เข้าใจโลก..อยู่เหนือโลกเหนือโศกสุขอย่างเงียบงาม..
เธอ..เป็นสีสันแห่งรัก
มาจากดินดี..ดินเดียวกัน..
มาหว่านเพาะดวงดอกฝันดวงดอกรัก
ด้วยเนื้อใจใสพร่างพิเศษพิสุทธิ์งาม
เพียรสร้างโลกภายใน ให้ทุกยามมีแต่ความเงียบง่าย
ให้ใช้ดวงตาที่สามที่ฟ้าเบื้องบนประทานให้
เฝ้าเตือนตน ค้นหางามแห่งความว่างความพอดี
มีชีวิตอย่างสมถะ หากทว่าอิ่มใจ อิ่มสุข
มิหวังตามหลงตามใครๆ
หลงไปในโลกวัตถุมากมี มากมาย
ที่ดูคล้ายจะนำมาซึ่งความเหน็ดเหนื่อยเป็นยิ่งนัก..
ให้รู้จัก..หยุดอยาก......และพอ..
เธอ..เป็นสีสันแห่งรัก
ให้...โลกแล้งราโรย..โหยหาจิตวิญญาณไพร ได้เติมเต็ม
ให้อ่อนไหวอ่อนหวานให้เงียบงาม
ให้สงบสุข ให้ทุกผู้ได้พบเรียนรู้ค่ารัก
ให้โลกจักหมุนไปอย่างไม่รู้จบรู้สิ้นด้วยพลังแห่งใจแห่งรักนี้
ที่เกิดมาเพียรสร้างสรรมิใช่การทำลายล้างประหัตประหารกัน..
เธอ..เป็นสีสันแห่งรัก
ที่ไม่ยอมแพ้พ่าย มาดหมายจะเสียสละชีพน้อยนี้
ให้มากมีค่า จนกว่าจะถึงวันตะวันลามาเยือนดวงชีวิต
ให้ใบไม้ปลิดปลิวโปรยพรให้นอนนิทราฝันดี
ยามร่างนี้ได้ผ่อนพักละวาง..
กลับคืนร่างสู่พื้นพสุธา..เป็นนิรันดร์รัก เป็นหนึ่งเดียว..
เธอ...จะยังคงเป็นสีสัน
ให้โลกฝันไกล ไม่ว่าเธอจะเหยียบย่างไป ณ.ที่ใด
เธอก็คงไปส่องสว่างกระจ่างใจในทุกผู้คน
ด้วยใจดวงเดิมดวงดีดวงงามดวงนี้
ที่ไม่สิ้นไร้รัก ตราบที่โลกยังหมุนไปและหมุนไป
มีตะวันกระจ่างใสในยามกลางวัน
มีราตรีฝันให้จันทร์งามกระจ่างดวง
เธอ...จะยังเป็นสีสัน..
อยู่ในฝันในใจในเรือนไทยริมบึงบัวพร่าง
ในพื้นพสุธานี้..ที่งามเป็นยิ่งนัก..
เพื่อจะใช้ดวงใจน้ำจิตน้ำใจรักที่สวรรค์ประทานมา..
มอบรัก มอบหวาน มอบงาม มอบพลังใจ
ให้หวามไหว ให้เลิกหม่นหมองครองใจ ไปชั่วกาล
หากหัวใจและร่างยังไม่สิ้นศรัทธารักนั้นจักยังคงดำรงอยู่..
และ...
เธอคือสีสันสีสันและสีสัน
สุดแต่ใจใครจะเลือกใครมาเป็นสีสันใดแห่งชีวิตนะที่แห่งนี้..
มาเคียงขวัญเคียงร่างประดับโลกไร้ร้าง ประดับโลกฝันหรือโลกจริง
ให้พิสุทธิ์สวยใส กระจ่างใจนำทางใจไปชั่วนิจนิรันดร์...นะคนดีนะดวงใจ
.....................
ฉัน..คงมิใช่สีสันแห่งสายลมที่พรายพรมพัดพร่างเพียงชั่วครู่ชั่วครา..
ฉัน..มิใช่สีสันและนางใจนางไพรที่จะทำให้เธอถูกใจ สมบูรณ์แบบไปเสียทุกสิ่ง..
ฉัน..คงมิใช่ถวิลหวังให้ใครฝากฝังใจ หากแม้นหัวใจนั้นยังมีสีสัน
พร่างพรายสดใสสดสวยมากมายรอท่าให้ค้นหามาประดับใจประดับร่าง
ให้พรายพร่างชื่นฉ่ำใจมีชีวิตชีวาเสียยิ่งกว่า....
สำหรับฉัน..
เป็นได้แค่เพียงสีสันเดียว....
เขียวไพลเขียวพร่างกลางใจ ในโลกฝัน
ให้ค้นพบสงบงามแห่งโลกภายใน ในทุกยามที่สิ้นไร้ใครสิ้นไร้รัก
ตามฉันมาสิทุกดวงใจ..มาเคียงไพรเคียงใจไปกับฉันสู่ฝันนิรันดร..
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=65
ความรักไม่รู้จบ
จิตราวดี จิตตเกษม : : Key Ab
ถึงจะอยู่สุดหล้าฟ้าดิน
แม้จะสิ้นสิทธิ์และเสรี
แต่วันนั้น ใจฉันยังคงที่
ความรัก ความภักดี ไม่มีสิ้นสลาย
ถึงโลกแตกแหลกเป็นผงคลี
รักเต็มปรี่ ไม่มีรู้คลาย
ชีพถูกฝัง ความรักยังเวียนว่าย
เคียงคู่เธอมิคลาย
ฝากวิญญาณ ไว้เตือน
ด้วย ความรักไม่รู้จบ
แม้ผืนดินกลบ ยากเพราะความรักเลือน
จะเนิ่นนาน กี่วันกี่ปี กี่เดือน
ดินฟ้าจะคล้อยเคลื่อน ใจมิเลือน รักเธอ
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด...
10 กันยายน 2547 23:51 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=973
********
รอคนมารับกลับไปกระท่อมฝัน
เฝ้ารอหวังรอหวานนานแค่ไหน
รอวันนี้รอปีหน้านานเท่าใด
หากหัวใจเจ้าของกระท่อมมิยอมมา
เขาอยู่ไหนน้อยใจรักเสียนักหนา
รู้ไหมว่าใจดวงร้าวหนาวเหว่ว้า
รู้บ้างไหมใครกันเล่าเฝ้าหลงคอยทุกเวลา
จำสัญญาฟ้าขวัญมั่นดวงใจ
เขาสบายดีหรือไม่ดาวใจเอ๋ย
อย่านิ่งเฉยกระซิบคำย้ำหวามไหว
ให้รู้ว่าใครคนนี้ยังมีเยื่อสายใย
รอดวงใจมาตามนิยามภักดิ์
หรือว่ากระท่อมน้อยคอยรักมีคนคู่
ดาวรุบหรู่เดือนริบหรี่มิคลี่รัก
ใครพนอคลอเคล้าเย้าหยอกนัก
เขาสิ้นภักดิ์มิกลับมาสัญญาใจ
กระท่อมฝันขวัญรอขอไปคู่
เธอก็รู้สวนดอกไม้ไร้กิ่งไหว
ไม่มีคนปลูกดอกรักทายทักใจ
กระท่อมไพรกระท่อมฝันจันทร์ใจรอ
ฝากดอกพุดพิสุทธิใสวางแนบอก
จะหยิบยกมาดอมดมหรือขว้างหนอ
ลองคิดดูอีกทีอย่ารีรอ
อย่าให้พ้อจนกระท่อมฝันพังทลาย..เลยสายใจ..เลยดวงใจ!
พรานทะเล! พุดพัดชา
กระท่อมไพรบนเนินผาท้าสรวงสวรรค์
มีทะเลฝันตรงหน้าให้คว้าไขว่
มีดาวสวยทรายขาวหาดยาวไกล
มีน้ำใจมีความรักมีดวงตะวัน....
ยามเช้านอนดูดวงดอกไม้มาทายทัก
หวังยอดรักคืนอ้อมใจในอ้อมฝัน
ลมทะเลเห่ครวญรำพึงรำพัน
ดุจสวรรค์บนดินถิ่นรักเรา
รอเรือหาปลาลำน้อยค่อยคืนฝั่ง
ฝากใจหวังพรานทะเลคงไม่เหงา
ใครบางคนเฝ้ารอมานานเนา
คืนว่างเปล่าเขากลับมาหาเสียที
ใจดายเดียวดูตะวันผันเรี่ยน้ำ
ฟ้าสีครามงามดั่งทองอาบแสงสี
จุดตะเกียงเขียนกลอนฝันมอบวันดี
กระท่อมไพรนี้มีใจภักดิ์เฝ้ารักรอ
แสงพริบพราวราวไฟในทะเลกว้าง
แสนอ้างว้างห่างแค่ไหนใจไม่ท้อ
กี่คืนฝันกี่วันปีที่รักรอ
กระท่อมซอมซ่อผุพังฝังร่างนี้ที่รอรัก ..รอพรานทะเล!
ท่ามกลางจันทร์ลอยดวง ดึกดื่นดายเดียว..
นะกระท่อมน้อยเชิงผา
ในราตรีหนึ่งที่ระดะดาวพราวพร่างสุกใสแสนใกล้
ราวกับจะเอื้อมคว้าไขว่มาประดับใจได้
พุดพัดชานั่งฟังเสียงคลื่นสะท้อนจากก้อนหินริมฝั่งทะเล
ราวกับเหว่ว้าเสียเต็มประดากับการรอคอย..พรานทะเล..ที่พรากไกล..
ก้อนหินได้ยินได้ฟังก็เพียงแค่รับฟัง ดั่งเพื่อนใจปลอบประโลม..
*******
ดวงจันทร์ในทะเล! พุดพัดชา
ดวงจันทร์ในทะเล
คิดถึงเธอเหลือเกิน...
ในคืนฝันวันพระจันทร์เต็มดวงอย่างนี้....
กับยามที่แลไปเห็นแสงจันทร์สกาวสาดส่องแสง
เป็นสายสวยสีทองทาบทา กระทบผืนน้ำทะล
งามระยับระยิบบนผืนผ้ากำมะหยี่สีเงิน..
คืนที่ฟ้า..แตะแต้มแกมเพชร พรายพร่างด้วยดวงดาริกา
พริบพราวนับร้อยพัน
ดวงจันทรา..ในทะเล.. ฝัน.....
ที่งามน่าหลงใหล ในคลองตา ในอ้อมใจละมุน..
แต่เหตุใดหนอ..ฉันจึงจับต้องไม่ได้ เล่าดวงใจ...
ฉันค่อยๆไต่ตาม เลาะลงมาจากกระท่อมบนเชิงผา
ในราตรีนี้ ที่ตั้งอยู่บนโขดหินสูงชัน
ที่ดวงใจฉันฝ่าพายุจริง พายุร้าย พายุรักมาพักอยู่ลำพัง..
เพื่อหาทางออกให้หัวใจ..ที่ร้าวระบม หลายแรมคืน..แล้ว..
หัวใจชา..เสียจนไร้ความกลัว ไร้หวั่นไหว หวาดเสียว
ว่าจะลอยละลิ่วลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง อย่างอ้างว้าง ดายเดียว
สังเวยรัก..นี้ที่หนีไม่พ้น...เสียที..
ฉัน..ขอแค่ไต่ตาม ลงไปหาฝัน
บนหาดทรายขาวยาวเหยียดผืนนวลที่โอบโค้งทะเล อย่างรักใคร่..
โลมไล้ด้วยฟองคลื่นละมุน นิ่มนวล อ่อนหวาน อ่อนโยน..ยิ่งนักแล้ว
ราวเห่กล่อมด้วยทิพยดนตรี
ฉันหยุดยืน..มองตรงไปยังเกลียวคลื่นสีทอง
เลื่อมวะวับวาวยามกระทบแสงจันทร์นวลละอองผ่องเพ็ญ
ราตรีมีมนต์ขลัง เห่กล่อมให้ฉันตกอยู่ในภวังค์ฝัน..
นั่นไง..ดวงจันทร์ ในทะเล..
เงาจันทร์ ในทะเล กับเงาใจดวงนี้ที่ดั่งถูกสวรรค์แกล้งลวง..
ให้พบและได้รักเธอ..ให้ละเมอครวญคร่ำ. ร่ำหา..มายาวนาน.....
ฉันลุยน้ำทะเล..ลงไป หวังคว้าไขว่สัมผัส ดวงจันทร์งามตา
ที่ดูราวกับว่าใกล้แสนใกล้ ใกล้แค่เอื้อม
แต่ไย!..ถึงเอื้อมไม่ถึง..เล่า!
น้ำทะเลขมปร่า ปะทะร่าง ปะทะหน้า
ให้หนาวรานร้าวราวร่างแยก ไปถึงหัวใจที่กำลังแหลกยับเป็นธุลี
ดวงใจในฝัน ดั่ง ดวงจันทร์ในทะเล..
โอ้ละเห่ ทะเล..เหว่ว้าเอย..ใช่เรื่องจริง..
ตื่นเสียทีสิ...มากับพบโลกจริง.
ที่น้ำทะเลที่เค็มขมกำลังเตือนใจ..
ให้ไหวร่างเดินขึ้นฝั่ง หันหลังกลับ
พร้อมกับพริบพราวราวหยาดน้ำตาจากดาว
และราวหยาดน้ำตาจากใจและจันทร์ กับฝันค้าง...
กับดวงดาราบนฟ้ากว้าง....ที่ไยร่ำไห้ด้วยเศร้าหม่น
และกับลมละเมอที่หยุดนิ่งงันสะเทือน.......
********
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_39349.php
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_54064.php
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_48389.php
กระท่อมใบไม้..
แฝงตัวอยู่บนเนินผา ในหุบเขา..พะงันงาม..
ที่ปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้เมืองร้อนนานาชนิดสูงใหญ่ เป็นช่อชั้น
ราวป่าดงดิบสลับสล้าง..ใบไม้เขียวพร่างระยิบระยับ..ไปทั้งราวป่า
และ...
งามจับตายามถึงคราฤดูใบไม้เปลี่ยนสี...ที่มีเสียงจิ้งหรีด เรไร
ดนตรีไพรดนตรีธรรมชาติและสายลมอันอ่อนโยนละมุน
หอมกรุ่นกลิ่นดอกไม้ไพร..อวลไกล..ในยามค่ำ..
.....
ยามเช้า...
ยามอุษาฟ้ากระจ่าง..
เมื่อดวงตะวันสาดแสงสีทอง อันอ่อนอุ่นมาแตะแต้มทายทักโลก..
มวลหมู่นกกา..พลันพรึบพรูโผผินบินว่อนร่อนจากรวงรังออกหาเหยื่อ..
..
สัตว์ป่านานา..ก็พากันเที่ยวท่อง..
จดจดจ้องจ้องออกล่าเหยื่อ..เฉกเช่นกัน
เป็นวิถีอันเป็นธรรมชาติเพื่อดำรงรอด..
ไพรกว้างเงียบงาม....
ซ้องผสาน..เสียงเพลงไพรเสียงสัตว์ไพร ขับขาน
ทั้งดุร้ายและหวานเศร้าคละเคล้าดำดิ่งลึกล้ำงามเงียบไห้ไหยหวน.
สู่ห้วงหฤทัยผู้รักไพรพงเป็นชิวิตจิตใจ..
ธรรมชาติ..เปิดม่าน..
หวานหวานหว่านมนตราเริ่มตั้งแต่ยามทิวา อรุณรุ่ง
มุ่งสู่ราตรีที่ฟ้ากว้างประดับด้วยทางช้างเผือก..
ระดะดาวพราวพร่างเต็มอ้อมฟ้าเต็มอ้อมฝัน..พริบพราวเคล้า
นวลจันทร์กระจ่างฟ้า..เล้าโลมหล้าโลก
ให้มวลมนุษย์คลายโศกหรือยิ่งเศร้าหม่น
สุดแต่คน..แต่ใจใคร..จะไขว่คว้า
กระท่อมใบไม้..
งามง่าย หลังคาจาก โครงเคร่าใช้ไม้มะพร้าวที่หักโค่น..
มาเป็นเสาค้ำตั้งรับสอดประสาน...ใช้ทุกส่วนให้งามอย่างคุ้มค่า
ฝา..คือไม้ไผ่ขัดแตะอย่างละเอียด
และยิ่งละเมียดละไมด้วยเสื่อจูดสานสวยซ้อนทับ..อีกชั้น..
กันสายฝนแรงรับลมพายุ..
ไม่มีโต๊ะ ตั่งเ ตียง..มีเพียงเสื่อสานละเอียดปูฟูกที่นอนขาว กับหมอนอีกใบ..
มีมุ้งที่บัดนี้หอบขึ้นไปผูกไว้ ยามมิได้ใช้งาน..ก่อนนอน..
หัวนอน..
มีขอนมะพร้าว..เตี้ยๆไว้วางของจุกจิกไม่กี่ชิ้นจำเป็น
มีตะเกียงเทียนเหลือเทียนครึ่งเล่ม..เพียงนั้น
กับขันทองเหลืองที่เจ้าของกระท่อมทับ
ใช้จัดใส่ดอกไม้ไทยรายรอบนานาพรรณ
ที่บัดนี้พลันพากันมาหอมอวลคละคลุ้ง จรุงไปทั่วทั้งกระท่อม
กับสายลมเย็นยามค่ำ
กับยามที่พรายวสันต์เพิ่งราเม็ดพร่างพรมห่มไปทั่วทั้งราวไพร..ให้ฉ่ำเย็น..
ทางขึ้นกระท่อมนั้น..
ดังพรมสวรรค์สีเขียว..ของหญ้ามอสส์สอดแทรก
ตามปุ่มปมหินแง่งาม ที่เกาะเกี่ยวให้ไต่ตาม ค่อยๆเลี้ยวเลาะ..
ให้สงบ..ให้ผ่อนคลาย ...
ทุกก้าวย่าง...ในอ้อมเขียวเรียวไพลเรียวใบไม้ไหวระยับ..
ทุกฝีเท้า..ของผู้โชคดี...
ที่ได้ละลดวางและหลีกลี้หนีจากความวายวุ่นจากสังคมเมือง..
เสมอเหมือน
กำลังได้สลัดแอกใจ อันอ่อนล้า
ที่โหยหา แสวงหาธรรมชาติเย็น..
ชุบชื้นชื่นชีวีต..ชุบดวงจิตดวงใจ
ชุบจิตวิญญาณ ชุบใสงามดื่มด่ำฉ่ำเย็น
ให้ระรินไหลเข้าเบื้องลึกภายใน
ให้พลันสดใสตระการราวแก้วงามแก้ววิเศษ
ที่จะพรายพร่างนำทางใจ..สู่ สว่างใส สงบ.พบ.ร่มชีวี..
ที่ดั่งหยาดน้ำทิพย์..ที่ละลายร่าง ไร้ร้างตัวตน
ให้ห่างจากความยึดมั่นถือมั่น
ในทุกวันทุกสิ่งมากมีที่ไม่จีรังยาวยืน..
ร่างกาย..
ร้อนรน..ได้ผ่อนคลาย
ดวงใจได้นิ่งงันผ่อนพัก พึ่งพิงธรรมชาติไพร
เกิดใสงามสวยสดเป็นธรรมดาใจธรรมชาติงาม..อันมิรู้สิ้นรู้จบ
.........
เส้นทางสายสวย..สู่กระท่อมใบไม้.
ราวเส้นทางสายสวรรค์สรวง
กระท่อมใบไม้ ...ที่ไร้ร้างในสายตาคนเมือง
ผู้นิยมวัตถุมากมี..หามาประดับบารมีให้เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา.
กระท่อมใบไม้..
ที่ไม่สิ้นเปลืองผลาญพร่าทรัพยากรธรรมชาติ
หากเพียงแค่ได้เอนอิงเอื้อโอบใจไปพร้อมกัน..เป็นหนึ่งเดียว..
ให้นวลเนื้อใจละไมละมุน..ในงามง่ายนั้นมิมีวันสิ้นสุดรัก..สุดงาม!
...........
กลางกระท่อม..
กลางเงาเทียนวูบไหว
ในร่มเงาไม้ให้สงบเงียบ
มีร่างงามเรียบนอนสยายผม
มีดวงดอกไม้แนบนวลแก้ม
มีเรียวรอยยิ้มพริ้มพราย
คล้ายรอรับจูบละเมียดละไมจากชายในฝันในดวงใจ..
.....................
ตามมาสิทุกดวงใจ..
มาฟังเสียงนกไพร
ฟังเสียงดุเหว่าแว่วหวาน
ดูเงาดาวทอแสงนวลใย
แข่งกับหยาดเพชรพราวในดวงตาดวงใจของนางไพรอันเป็นที่รัก
ยามสะอื้นอ้อนหารักครางครวญ..
พระจันทร์หวานคงอิจฉา..
ราตรีคงเงียบงัน...
ฟากฟ้านั้นเลิกหมองหม่นชั่วครู่
ลมคงหยุดพัดไหว ใบไม้คงปลิดปลิวโปรยพร..เพื่อสองเรา..ตราบชั่วกาล..
10 กันยายน 2547 12:24 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=100
(แต่ปางก่อน)
รจนาด้วยน้ำตา
จากแรงบันดาลใจจากภาพด้านบนค่ะ
ลองขยายภาพแล้วนั่งพินิจนิ่งด้วยใจดวงสงบงามนะคะ
จะพบความงามความดีความล้ำค่าที่ราวแก้วประพาฬ
ฉายฉานรัศมีแก้วเพชรแพร้วพร่างพราย
วะแวววับจับดวงจิตเลยค่ะ..
ให้พบนิมิตหมาย..สุขสงบคล้ายไร้ร่างเหลือเพียงว่างเปล่าลำพัง
ราวฝั่งฝันอัน..รอเราเพียร
ค้นหาทาง
พายพาจิตวิญญาณ
ละทิ้ง
วิมานเมืองเปลืองเปล่า
ไปสู่แดนดินแห่งหิมพานต์วิมานนี้ที่เป็นนิรันดร์ว่างค่ะ
...........................
ราตรีนี้
สายฝนยังคงโปรยสายฝันสายเศร้า
สายสดชื่นอีกเช่นเคย..
หัวใจผม..คนเฉยเฉย..ดวงงามเงียบ
ยังคงเงียบงาม ไปตามธรรมชาติ..
กับโลกภายนอกและกับโลกภายใน..บ้านภายใน
ที่ไม่ว่า..
จะร้อนจะหนาวจะเศร้าจะสุข
ที่จะพากันมาคลุกเคล้า
โหมประดังมา สักเท่าไร
หัวใจผม ก็แค่ยังคง วางเฉยวางนิ่ง
ผม..เพียงเพียรจะดำรงร่างอย่างดีงาม
คิดดี พูดดี ทำดี อย่างมนุษย์คนหนึ่ง
เพื่อทำหน้าที่อย่างมิบกพร่อง
และเติมเต็มพลังแห่งจิตเกษมภายใน
ให้งามกระจ่างใสสว่างราวแก้ววิเศษ
คืนนี้...
ผมอ่านเรื่องที่คุณพุดพัดชาเพียรหามาฝาก
*หิมพานต์*และตามเธอเข้าไปดูภาพในเวบนี้
หัวใจดวงดีดวงเฉยพลันก็เกิดปิติ
ผมปิติใจ..
ปิติจนน้ำตาผมไหลละหลั่งรินไปกับดินและฟ้า
ไปกับหยาดฝนพรำในคืนอันงามเงียบเยียบเย็นอย่างเช่นราตรีนี้
ปิติในทุกเรื่องราวเกี่ยวกับความงาม
ความละมุนละเมียดละเอียดละออในความเป็นไทย
ในวัฒนธรรมประเพณี
ในรสวรรณคดี
ในเรื่องราวหนหลังแห่งอดีตกาล
ในงามเงาแห่งพระบรมโพธิสมภาร
และ
ในทุกเรื่องราวทุกสิ่งละอันพันละน้อย
ที่เกี่ยวพัน
ทุกความฝันทุกความดี
ทุกทุกสิ่ง
ที่บรรพบุรุษเราแต่เก่าก่อนกาลได้พลีได้ฝากไว้
ด้วยความกล้าหาญเสียสละ
สู้รักษาบ้านเมืองผืนดินไว้ให้เราลูกหลาน
ได้สืบสานความเป็นไทยในทุกอณูเลือดเนื้อ
ให้เรายังได้มีปฐพีไทยไว้หยัดยืน
สืบสานความภาคภูมิความเป็นไทย
ด้วยความปลื้มใจด้วยความเคารพนบนอบรู้คุณ
ที่นะบัดนี้คนทั่วโลก... โลกวัตถุนิยม..ที่ระทมทับทุกข์
ต่างพากันประหลาดใจ
หันมาเอาเยี่ยงอย่าง
ในน้ำจิตน้ำใจ
ในงานศิลปะไทย ในประเพณี
ที่นับวันจะหายากยิ่ง
และ
สำหรับสิ่งสำคัญ..
*ความเป็นคน คนไทย*
ผู้หญิงไทยที่ดวงใจยังงดงาม
มากความละมุนใจละไมฝันละเมียดในกิริยา
ที่บางครั้งเราหาได้ตระหนักค่าไม่
ต่างพากันไปรับยวงยางมิอายไร้วัฒนธรรม
ที่มิจำต้องสงวนเนื้อสงวนตัว
มาไว้ในเรือนใจเรือนกาย
ด้วยความกระหายใคร่เสพ
ความเจริญความทันสมัยศิวิไลซ์แบบผิดผิด
หากความทันสมัยนั้น
เป็นความหยาบ ความกระด้าง
ความไม่งามนวลความฉาบฉวย
ล้วนแล้วแต่เป็นสุขลวง ให้ทุกข์ใหญ่หลวงตามมา
เป็นบ่อลวง ให้หล่นลึกในผนึกตมแห่งความว่ายวน*คนคำบ้าวัตถุ*
ความหรู ความรวย อวดดีอวดได้เพียงเปลือกนอก
ที่พอกฉาบไว้ทุกนาที
ทุกคลื่นถี่โฆษณา
ทุกลีลาคนเมืองเรืองรุ่งริ่งร้อยรัดพันธนาการ
งามเงินผ่อน..ว่อนไปทั้งเมืองไทย
ไปถึงท้องทุ่งนาป่าเขา
ให้เงินเงาเงี้อมครอบงำ..
จนใจดำมืดใจมองไม่เห็นอะไรๆ
ในงามจริงสิ่งสัจจธรรม ธรรม ธรรมชาติ
ที่เฝ้าเคียงประคองให้มองมา
นอกจากใจทุรนทุรายเหว่ว้าใกล้บ้า ใกล้บอ
ขอแค่ทะยานอยาก..คว้าไขว่เพียงสิ่งภายนอกนอกใจนอกกาย
คล้าย...เดินตามๆกันไป ไม่หยุดนิ่งทบทวน
และ
แท้ที่จริงแล้วไซร้ ...
ความรวยหรือเงินมิอาจขนขึ้นไปบนสวรรค์ได้
นอกจากงามจิตวิญญาณ งามตระการดั่งแก้วมณี
ไร้สี ไร้เศร้า ไร้เหงาไร้ทุกข์
ปลดปล่อยทุกสิ่ง
หยุดคิด วางนิ่งว่างเปล่า
ให้จิตเกษมงามเงาเพียงนั้น
เป็นดั่งพลังประกายฉายแสง..นำทาง..
ทุกๆคนในวันนี้
ราวเพียรวิ่งหนี
ลบเลือนความขาวงามกระจ่างใสแห่งจิตภายในอันเป็นของเดิม
ตั้งเริ่มแรกเกิด ราวทารก ราวผ้าขาวบริสุทธิ์ใส
ที่ขาวงามกระจ่างยิ่งกว่า
ก่อนที่จะหาสิ่งใดมาหุ้มคลุม
คือกระพี้ที่แสนงามเลิศแสนงามดี
ที่เป็นเนื้อจิตเนื้อชีวิตวิถีจิตวิญญาณไทย
ที่เราได้มาจากเลือดเนื้อบรรพบุรุษอันแสนยิ่งใหญ่
ที่มีใจรักศรัทธา ปสาทะในพระพุทธศาสนา
หล่อหลอมมาจากวิถีธรรมวิถีทองวิถีแห่งท้องทุ่งนาชนบท
อันแสนงดงาม
ให้เราใช้ชีวิตติดดินเรียบง่าย
ราวได้ย้อนคืนสู่อดีต สมัยสุโขทัย
ในยามก่อนเก่า
นาข้าว เขียวชะอุ่ม.....
พลิ้วรวงเรียว ล้อลมทายทัก แสงอาทิตย์สีทอง ในยามเช้า
ให้น้ำค้างพราว เกาะก้านกอ กิ่งใบ หายวับไปกับ แสงแรก
ของอรุณรุ่ง อุ่นรวงเรียว
ตื่นเช้ามาฟังเสียงธรรมชาติสะอาดหอม
กับบทบรรเลงเพลงแห่งกอไผ่ใบกล้วยไหวซัดส่าย
เพลงใบไม้
เพลงลมพัดตึงเคล้าคลึงยอดตาล
เพลงหอมหวานแห่งลอมฟางท้องทุ่ง
เพลงทุ่งนาระบัดรวงกับปวงดวงดอกไม้ป่าพรั่ง
ทั่วทั้งป่าเขาลำเนาไพร
เพลงสายธารระรินไหลร่ำ
เฝ้าพร่ำกระซิบฝากดนตรีแห่งพฤกษ์ไพร
ให้ทุกหอมห้วงหัวใจลืมดนตรีเมือง
ภาพ พระสงฆ์ เดินเรียงมา แสนประเทืองประทับใจ
เป็นทิวแถว ท่ามดงตาล
ยิ่งพาให้ใจเรานี้อิ่มเอิบงามล้ำ
ไปกับความสงบงาม
ที่ได้ทำบุญตักบาตร
และไหว้วาดอธิษฐานให้เกิดสิ่งดีมีมงคล..แก่ดวงชีวีนี้
ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา....
พาใจให้ยิ่งสว่างไสว ร่มเย็น เป็นสุข..เป็นยิ่งนัก
ให้เรามีใจดวงใสดวงไม่ทะยานอยาก
หากรู้รักความงามเงียบเรียบง่ายใช้ชีวิตในวิถีสมถะ
รู้เพียงพอพอเพียง
ใช้วิธีแลกเปลี่ยนด้วยน้ำใจ
มิใช่น้ำเงินเป็นใหญ่จนบดบังให้เกิดอัตตา
หลงว่าข้า..สามารถซื้อโลกไว้ได้ทั้งใบ
ไม่หยุดคิด ว่าโลกนี้หนอ
คือการแบ่งปันคือขวัญเอื้อโอบ
คือการมาใช้ชีวิตแค่ช่วงสั้นมิยาวยืน
มิอาจฝืนชะตา ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าหรือยาจก
สักวันไม่ว่าเยาว์ว่าเฒ่า ไม่ว่าร่างสาวร่างแก่
พญามัจจุราชก็มีความเที่ยงแท้เที่ยงธรรม..
มาพรากทุกชีวีชีวิตนิจนิรันดร์เป็นสิ่งจีรัง อนิจจังอนัตตา
มิทันได้วิ่งหนีสุดหล้าหาที่หลบทัน
ฉะนั้น และฉะนี้ นะคนดีนะดวงใจของผม
ทำไมต้องรวยไม่หยุดยั้ง
ไว้ซื้อ ทั้งทุกสรรพสิ่ง
ยึดมั่นไว้เพียงตัวตน ของตน
ทนรอให้ใกล้ผืนดินกลบหน้า
ถึงกว่าจะสำนึกได้ฉะนั้นละหรือ
คนดี..ดวงใจ
อย่าเบื่อผม เลยนะ
ที่ราวกับมานั่งบ่นว่าให้ฟัง
เพราะผมนั้นยังประทับใจ
กับทุกวิถีไทยทำ ไทยธรรม ไทยทองทั่วผองแผ่นดินไทย
ที่เรายังมีน้ำใจมีวัฒนธรรมอันดีงามมาช้านาน
เรามีการไหว้การอ่อนน้อมต่อผู้อาวุโสมิโอหังมิรู้ที่ต่ำที่สูง
เรามีอ่อนโยนน่ารักรู้จักถ่อมตนต่อทุกสรรพสิ่ง
เรามีความนิ่ง ความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อกรุณา
เรามีการไปวัดทำบุญทุกวันพระ
เรามีการถวายดวงดอกไม้ถวายมาลัยพระ
เรามีดอกบัวเป็นพุทธบูชากราบไหว้
รู้วางไว้ให้สอนดวงใจสงบสบาย
คล้ายที่พึ่งทางใจที่แสนสวยใสงาม
เป็นนวลใจ
ที่หล่อหลอมมาจาก..
เนื้อดินไทยเนื้อใจชาวพุทธพิสุทธิธรรมพิสุทธิ์ทอง
ความงดงามอันหวานหอม
น่าประเทืองประทับใจ
จนให้ทั่วโลกยอมรับ
หันกลับมาฝึกจิตสมาธิภาวนามาเอาเยี่ยงอย่าง
เพราะต่างก็พากันเหน็ดหนื่อยเมื่อยล้า
กับโลกหล้าที่พาหมุนเร็วจนตามไม่ทันเทคโนโลยี่
เกิดกระแสความหยาบไร้
คล้ายชีวิตเหมือนหุ่นยนต์เข้าไปทุกวันทุกวัน
หาความนิ่งสนิท
ความสงบใจไม่มี
มีก็แต่ความเครียดเฉียดโรคจิตใกล้บ้า
ด้วยความที่ไม่หยุด ไม่คิดทบทวน
ไม่มองย้อนหวนไปถึงจิตภายใน
มองออกไปคว้าไขว่งามเพียงภายนอก
ที่หลอกหลอนลวงหุ้มใจจนเคยชินไปวันๆ
จนใช้*ใจเป็นนายจิตเดิม*
ที่เคยผ่องใสให้มองไม่เห็นด้วยกิเลสแห่งความเคยชิน
ที่วิ่งนำมาจับพอกไว้
ให้หางามจิตมิพบเจอ
จนกว่าจะวัน..
ที่วิญญาณฝันจะพลันโผผินบินออกจากร่าง
ก็ยังมิวางลง มิว่างขาว
หากเหินเคล้าไปจุติที่มืดหม่นสลัวพอกัน
และนั่นก็คือคำว่าสายเกินการณ์เกินแก้
..
ผม..
เพียงอยากให้ทุกดวงใจ
หันมาแลมาพิจารณา..
*ความจริงแท้แห่งจิตเดิม*
ก่อนที่เราจะมาเพิ่มกิเลสกามลามวัตถุทับ
ให้ระลึกรู้ให้ตระหนักให้หยุด ให้เพียรใช้สติ สมาธิ มีปัญญา
มาค่อยๆแกะเปลือกนอกออกไปทีละนิดละนิด
ที่มาหลอกให้เรารับไว้ด้วยความเคยชินมายาวนาน
มาบดบังจิตงามกระจ่างพลังจิตเกษม..ไว้ให้ทันท่วงที
ก่อนวันแห่งแสงตะวันชีวีจะอำลา
พาเราไปเยือนดินแดนแห่งความมืดมน
อนธกาลนานนับอสงไขยชาติ
ผม...
เอง..ก็แค่คนเหมือนทุกดวงใจนะครับ
ที่ชีวิตมีวันผิดพลาดเศร้าหมอง
แต่ทุกนาทีใจทุกอุทัยโลกหมุน
ไม่เคยเลยที่ผมจะลืมความจริง
ผมอาจจะมีเนื้อใจดวงละมุน
แต่เชื่อเถอะ ..
นอกจากใจ
ที่ผมแค่มักจะไหวรับกับคนดี..ความดี
ที่วูบวับผ่านมาสอนสั่งให้รำงับทัน
จิตผมยังแจ่มใสพอที่จะรับความเกษมสานต์
พลังงามแห่งปัญญา และรู้มันเท่าทันความคิด
รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่ว มิมีคนและสิ่งใดมาทำให้หมองมัวได้นาน
จิตผมดั่งดอกไม้แก้ว ดอกไม้เพชรแตกพร่างอยู่นะภายใน
ที่ยากยิ่งที่ใครจะหยั่งถึง
ที่ซึ่งไม่มีคำว่าเสียใจกับคำคนคำใครนาน
ที่ผ่านมากระทบเพียงก็แค่ภายนอก
จิตภายในที่ผมเพียรสร้างกุศลรองรับให้
ผมคิดว่าผมมาไม่ผิดทาง
ให้ผมได้พบแสงสว่างสุกใสจากพระเมตตา
พระบารมีอันแผ่ไพศาลมานับพันปี
จากพระบรมศาสดา
ที่ผมเชื่อมั่นศรัทธาปสาทะแก่กล้า
และหวังจะเป็นเทียนทองส่องนำทางใจ
ไปจนกว่าจะถึงวันที่ผมจะหลับตาด้วยพลังแห่งจิตแจ่มใส
มิกลัวความตาย อย่างผู้ถึงพร้อม
รู้เพียรฝึกสอนใจให้รู้จักคำว่าตายก่อนตาย
ฝึกเอาไว้มาอย่างช้านาน
และ
ในนาทีสุดท้ายนั้น.....
หากถึงวันอำลาแสงสุริยาจริง
ผมขอแย้มยิ้ม อำลาโลก...
ด้วยพลังแห่งแสงสุริยาใจ
ที่จะสว่างไสวพร่างพราย
มิได้อาลัยโศกสุขและผู้ใด
ขอหลับตาลาไกล ไปตราบชั่วนิจนิรันดร
ด้วยพลังจิตพร้อม แห่งปิติเกษม!...
***********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=100
แต่ปางก่อน.... รณชัย-อัจฉพรรณี : : Key Eb
ช...รอ คอย เธอมา แสน นาน
ทรมาน วิญญาณ หนักหนา
ระ ทม อยู่ใน อุ รา
แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้ เดียว
ญ....เธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล
ชาย ใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว
รัก เธอ แน่ใจจริงเชียว
รัก เธอ รักเดียว นิรันดร์
ช...แม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญ...ขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ช...จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญ...ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ...คง เป็น รอยบุญมาหนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย
ช...แม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม
ญ...ขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน
ช...จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน
ญ...ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ
ช-ญ ..คง เป็น รอยบุญมา หนุน นำ
รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ
ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ
ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย...