25 สิงหาคม 2547 23:55 น.

ฟ้ามิอาจกั้น!

พุด


urlhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=55


บัวดูหนัง เรื่อง Vertical Limit  วันนี้.... 
มีคนว่ากันว่า ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนดูตัว.... 
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่รักการปีนเขาสูง 
ชอบเย้ยหน้าผา ท้ามฤตยู.... 
หนังสนุกและตื่นเต้นเร้าใจทั้งเรื่อง.... 
บัว.... จดจำคำพูด ของตัวแสดงคนหนึ่ง 
ที่พูดถึงความตาย ไว้อย่างน่าฟังว่า.... 

ความตายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต 
ที่มิอาจหลีกหนีพ้น.... 
แต่การทำอะไรก่อนตายสิสำคัญเสียยิ่งกว่า  

ทำให้บัวคิดได้ว่า.... 
ใช่เลย คนเราไม่มีใคร
ที่หนีความตายพ้น ช้าหรือเร็ว ใกล้หรือไกล 
ในเส้นทางแห่งชีวิตนี้.... 
ที่เราทุกคนต้องไป 
ณ.... ที่ที่หนึ่งเหมือนๆกัน 
ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย.... เท่าเทียมกัน.... 
เป็นความเท่าเทียม 
ที่เรายังมิอาจจะรู้ได้ 
ว่าต่อจากนั้นจะมีการพิพากษาด้วยสิ่งใด 

ที่เราทุกผู้คงต้องไป พบเจอเอาเอง 
ตามบุญกรรมที ่เราได้สร้างสมกันเอาไว้.... 

นี่คือสัจจธรรมมิใช่ดอกหรือ.... เพื่อนมนุษย์....  

อย่า.... คิดว่าเรายังเด็กนัก 
ยังมีเวลาของชีวิตอีกยาวนาน 
เพราะบางครั้ง
เรามิสามารถกำหนด โชคชะตาของเราได้ ดั่งฝัน.... 

เรามิอาจรู้ว่าจริงๆแล้วเวลาแห่งชีวิตนี้
เรามีน้อยหรือมากเพียงใด.... 
ทุกคนพยายาม หลอกตัวเอง.... 
ว่า ความโชคร้ายคงมิกรายกล้ำ มาสู่ตัวเองรวดเร็วนัก.... 

แต่เราจะรู้ได้อย่างไรเล่า.... 
อย่าประมาท ผลัดวันประกันพรุ่ง 
ที่จะรอเริ่มอรุณรุ่งของชีวิตที่แสนดีแสนงาม.... 

เริ่มวันนี้.... คิดเสียใหม่ว่า 
เราจะอยู่และทำสิ่งดีๆ ที่สุดต่อทุกสิ่ง 
ต่อทุกผู้ที่เป็นที่รักของเรา 
ราวโลกกำลังจะแตกแหลกสลายในวันพรุ่ง.... 

ยิ่งเริ่มเร็ว.... ชีวิตเราก็ยิ่งมีค่า เร็วขึ้นเท่านั้น.... 
วัยรุ่นทั้งหลายที่กำลัง ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ 
หรือคนที่รักและห่วงใยเรารอบข้าง 
ใจตุ๋มๆต่อมๆ กลัวเราจะเดินหลงทาง

ก็ได้โปรด 
หันมาเดินให้ถูกทางกันเลยดีไหมคะ.... นะนาทีนี้.... 
เสียเวลาไปแสวงหา....
 สิ่งที่เราเคยได้ยินมาจากผู้ไปเยือนมาแล้วว่ามันคือนรก.... 

หลังจากบัวดูหนังแล้ว 
ก็มีเวลาว่างร้านหนังสือ 
ที่บัวเป็นสมาชิก.... 

บัวคิดว่า ในชีวิตหนึ่งนี้ ในฝันค้าง 
และฝันกลางฤดูฝนของบัวคือ.... 
การที่บัวจะได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือสักร้าน.... 
มีคนที่มีใจรักตัวอักษรเฉกเช่น เดียวกัน
เดินเข้าๆออกๆในร้านของบัว....

 และร้านควรจะเล็กๆ 
มีมุมให้คนรักการเขียนมาแสดงฝีมือ 
มีกาแฟ และเครื่องดื่มหอมๆไว้สร้างความฝันอันบรรเจิด....
เพื่อมาแลกเปลี่ยนทัศนะกันและกัน.... 

รักฉบับนี้ของบัวคือ ฉบับถุงหิ้วค่ะ 
เพราะทุกครั้งที่บัวพลัดหลงเข้าไปในดงหนังสือ 

บัวอดไม่ได้ ที่จะอยากได้เล่มนี้ เล่มนั้น เล่มโน้น
 และอีกหลายๆเล่มเลยค่ะ.... 

ยังคิดเลยว่า ถ้าเป็นเจ้าของร้านเอง 
วันๆบัวคงอ่านๆ และอ่าน 

วันนี้เลยต้องหิ้วถุง หิ้วความรัก ความฝัน กลับมา 
และยังมีที่หมายมาดไว้ในใจอีก.... 
มีทั้งหมด 5 เล่มคะ ฟ้าบกั้น   แมว ของลาวคำหอม.... 
ที่เคยอ่านหลายครั้งแล้ว 
และถูกยืมจนหายไป 
อ่านทีไรอยากโยนปากกาทิ้ง เลิกหัดเขียน 
เพราะชาตินี้บัวคงไปไม่ถึงไหน.... 

ปรมาจารย์ท่านนี้ 
ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี2535 
ปัจจุบันท่านอายุเกือบ70แล้วนะคะ....
 และได้ใช้ชีวิตสงบงามอย่างเรียบง่าย แสนสมถะ ที่บ้านไร่โคราช.... 

ส่วนอีกเล่ม กล่องไปรษณีย์สีแดง.... 
เป็นสารคดีเข้ารอบสุดท้ายของ ร้านนายอินทร์ 
บัวชอบใจมาก 
ที่เขาเขียนถึง เกาะพะงัน บ้านเกิดของบัว 
แม้บางแง่มุม จะไม่ชัดเจน 
เพราะเขาแค่นักเดินทางผ่าน 

แต่อยากขอบคุณ.... คุณอภิชาติ เพชรลีลา 
ที่ได้เปิดโลกของ เกาะพะงัน
ในบางด้านตามทัศนะคติของคุณ 
ที่คิดและมองเห็น....
 เพื่อให้ผู้อ่านอยากไปสัมผัส ด้วยตัวเอง.... 

บัวรู้สึกผิด ที่เกิดที่นั่นแท้ๆ รู้จักที่นั่น 
แทบทุกเม็ดทราย แต่กลับรอ รอ และรอ 
ทั้งๆที่สัญญาแล้ว สัญญาเล่า.... 
รออารมณ์ ที่อัดแน่น มากมายให้ระเบิดพวยพุ่ง 
เพื่อจะเขียนให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้.... 

จริงๆวันนี้บัวอยากเขียนถึง หนังสือ ฟ้าบกั้น 
ที่แสนรัก แสนประทับใจมาก.... 
หนังสือที่เขียนราวร้องทุกข์ 
เสนอภาพความยากไร้
 ความเสื่อมโทรม ความล้าหลังของชาวไร่ชาวนา 
ด้วยเจตนาจะเรียกขาน มโนธรรม ของ เมือง 
และนี่คือเจตนารมณ์ของลาวคำหอม.... 

บัวอ่านหลายครั้งหลายหน 
เพื่อซึมซับ ความทุกข์ยากของพี่น้องร่วมชาติ ทางตัวอักษร.... 
ที่แม้กระนั้น บัวยังน้ำตาซึม ด้วยสะเทือนใจ.... 

นี่คือเพื่อน คือพี่น้องไทยผู้ทนทุกข์ยาก 
และบางส่วนได้ตะเกียกตะกายเอา แรงงาน
เพื่อไปแลกกับเงินที่หาเข้ามาในประเทศ 
ที่ยังดีกว่าพวกคอรัปชั่น โกงกินแผ่นดิน 
และขนเงินไป เพลิดเพลินจำเริญใจที่เมืองนอก.... 
เท้าไม่ติดดิน.... ไม่พอเพียง และเพียงพอ.... 
ขอแค่สบายลำพัง ชาติจะย่อยยับ อัปราอย่างไร
ไม่เคยเหลียวแล

บัวคงต้องจบเพียงแค่นี้นะคะ 
รักฉบับนี้คือรักฉบับทุกข์ทนหม่นหมอง
ไปกับเรื่องราวที่ ลาวคำหอม รจนา ขึ้นมา
เพื่อเพื่อนผู้ร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน 
ที่เราเองยังโชคดีนักที่ไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนของเรา 
แต่จิตวิญญาณของเราคงเข้าใจและทุกข์ทนพอกัน 

เพราะเราคือ
พี่น้องที่เกิดมาในผืนแผ่นดินไทย เดียวกัน ด้วยกัน มิใช่ละหรือ.... 
 
********************
				
25 สิงหาคม 2547 15:32 น.

แก้วกระจาย!

พุด

urlhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=377
(กุญแจใจ)
เงามืดในดวงใจ
สะเทือนใจสะท้อนธรรม

********

ดวงรจนาเรื่องนี้
ในคืนฝัน
วันที่ฟ้าหนาวแสนหนาว
กับ
คืนเดือนเสี้ยวแสนโศก..ราวโลกมืดดำ


บทเพลงเนรัญชรา
ยังคงครวญคร่ำอำลา..คลอใจเหงา
พร้อม
กับบทเพลงนี้ที่กำลังตามมา


*กุญแจรักกุญแจใจ*
ที่ราวกำลังออดอ้อนวอนพ้อ..ขอขังใจเธอ
ด้วยดวงดอกกุญแจรักกุญแจใจ
กุญแจศรัทธาภักดิ์พลีอันยิ่งใหญ่
ด้วยดวงดอกความดี ความหนักแน่นมั่นคงจงรัก
อันหวานหวังเพียงเพื่อสร้างพลังให้มีกำลังใจ
พร้อมที่จะก้าวเดินไป
บนถนนสายฝันอันเปลี่ยวเหงาเศร้าดายเดียว
เพื่อสร้างสรรสิ่งดีงาม
*นามคุณงามความดี*พลีมอบให้ผืนพสุธา
ลบเหว่ว้ารักเข้าใจกันฉันท์มิ่งมิตรสนิทเนาใจ
ไปตราบชั่วกาลนานนิรันดร์


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=377
 ขอขังใจเธอ
เอาไว้ด้วยใจ ของ ฉัน
ส่วนใจฉันนั้น
สำคัญที่เธอ ช่วย ขัง
แล้วนำความซื่อ
ถือเป็นลูกกรง ระ วัง
ทรวง เหมือน คลัง
คอยจ่ายสายสวาท อา รมณ์
รักเหมือนตรวนทอง
คอยคล้องหทัย ให้ หวน
ต่างคนสมควร
ขังใจ ด้วยใจ ซื่อ สม
ถึงกายเราห่าง
ร้างกัน ผูกพัน นิ ยม
คอย ภิ รมย์
ร้อย ตรวน ใจ
เราถือกุญแจ
กันไว้คน ละดอก
แม้นใจ ดิ้นรนหาทาง ออก
ก็จงไข
กุญแจนี่หรือ มี ชื่อ
กุญแจใจ
เอาความรัก สร้างไว้ให้
เราไขมัน
ขอถือความดี
คอยรั้งให้ใจ ครวญ หา
หมื่นพันสัญญา
หรือมาสู้ใจ ใฝ่ ฝัน
แม้นใจเราซื่อ
ถือความมั่นคง ตรง กัน
กายสัมพันธ์ จน วัน ตาย...
*********


ผู้หญิงกมลละไม
ค่อยๆเดินทอดน่อง
ดูความงามล้ำของทุกสรรพสิ่ง
กับใจดวงนิ่ง
กับใจดวงงาม
กับน้ำตาใจ
กับน้ำตาดวงน้ำตาดาว
กับบทเรียนเศร้าสุข
กับทุกทุกเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ผ่านพบมาทายทัก
ที่ช่างงามนักสำหรับบทเรียนใจ
ที่ผันผ่านไป ราวพายุใจพายุจริง
ที่มักทิ้งทุกสิ่งไว้แบบไร้ปรานี
เสมือนบทเพลงนี้อีกบท


กาลเวลา...
และ
ขอฝากให้สุภาพบุรุษ
ลูกผู้ชายนามพายุ สุริยะ
ผู้รจนาบทรักจำลาพรากจากยอดขวัญยอดดวงใจ
ได้อย่างซาบซึ้งกินใจประทับใจเป็นยิ่งนักแล้ว
*น้ำตาผู้ชาย *


และขอ
ฝากให้ทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
นะที่แห่งนี้
ที่มากมายมากมีคนกมลละไม
ผู้มีรักฝันพลี
มีรักร้าวเศร้าระบมระทมทุกข์
ระกำช้ำเจ็บตรอมตรม
จนน้ำตาจะท่วมจอท่วมใจไปตามๆกัน


ผู้ยังหนีแรงรักแรงฝันแรงโลกย์
แรงโศกเศร้าหนาวรักหนาวใจยังมิพ้น
ยังวนว่ายในวงกรรมกระหน่ำซ้ำซัด
ยังต้องกระเสือกกระสนพาตนเพียรพ้น
เข้าสู่ร่มธรรมร่มทอง
ดั่งบัวทองผ่องผุดพิสุทธิล้ำ
รอนำน้อมจิตร่างบานตระการเหนือน้ำ
ลอยชูช่อรอรับแสงอรุณ


ให้หวานหอม
ให้หวานหวัง
ให้มีพลังใจส่องกระจ่างนำทางใจ
ให้ไม่ต้องวนว่ายรับแรงรักรอยกรรม
กับโลกอันหมุนวน
พลอยพาคนคนคนอลวลอลเวง
บรรเลงแต่เพรงกรรมซ้ำซาก
ตามบทเพลงเดิมเดิมเพิ่มแต่ตัวทุกข์ทน
ด้วยการต้องเพียรฝึกฝนสร้างสมาธิ
พาให้มีสติมีปัญญาหลุดพ้นทุกทุกข์รัก


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=413
กาลเวลา 
 ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ตัดสิน ชะตา ปัญหา หัวใจ
แม้ จะรักเธอ รักเธอ เท่าใด
แต่ หัวใจ ดวงนี้ มีสิ่ง ผูกพัน
ขอให้ เป็นเพียง การคอย
อย่างน้อย เรายัง เรียนรู้ ใจกัน
เพราะว่า หัวใจ ของเรา ผูกพัน
วันหนึ่ง วันนั้น
ความฝัน อาจ เป็นความจริง
เรารู้ การคอย คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา

เรารู้ การคอย
คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา...
*******



รอเวลา
ให้กาลเวลาช่วยตัดสินใจ
รอวันชื่นคืนแสนดี
หมุนเวียนกลับมาใหม่
เพื่อลบลืม
บาดแผลและร่องรอย
และ
นาทีนี้
อยากฝากถ้อยปลอบประโลม
ถึง
ทุกดวงใจที่มีหนี้รัก
ที่หนีวิบากกรรมหนีเจ็บช้ำระทมระบมด้วยพิษรัก
ไม่พ้นทั้งๆวางกมลงามเงียบมาแสนนาน


ให้หาญกล้า ให้คิดว่าในความทุกข์รักนั้น
มันมิใช่จักจะเลวร้ายเสียทีเดียว

ในความทุกข์อาจจะมีสุขล้ำลึกเล็กๆน้อยๆซ่อนเร้น
สอนให้คิดเป็นคิดได้ใช้สมาธิฝึกเพียรมีปัญญา
ด้วยความจริงด้วยความเจ็บ
รู้ดายเดียวสงบงามรำงับดับทุกสิ่ง
นิ่ง..ว่างปล่อยวางในทุกข์ในสุขในทุกสิ่ง


และ
สำหรับผู้สมหวังในรัก
เช่นเฉกเดียวกัน
ที่มักจะหลงลืมตัวว่าสุขใจสุขจัง
จงระวังใจให้ดี
หามีความจีรังไม่..เมื่อกาลเวลาพ้นผ่านไป
ไม่ว่าใครไม่ว่าเรา


ไม่ช้านาน
จะพานพบว่า
บ่วงรักบ่วงใจบ่วงใดใด
จากผลพวงในรักนั้นจักตามมา
เป็นดั่งโซ่กรรมโซ่ใจ
ดั่งคำคนเคยกล่าวไว้



คือน้ำผึ้งคือน้ำตาคือยาพิษ
คือหยาดน้ำอมฤตอันชุ่มชื่น
คือเกสรดอกไม้คือไฟรุม
คือความกลุ้มคือความฝัน
นั่นแหละรัก
********


ที่ดวงชะตาชีวิตคนในโลกนี้
มักหนีไม่พ้นพาวนเวียนรับกรรมรัก
อันจักมีทั้งสมหวังและผิดหวัง
มีพลัง
มีทำลาย
มีพรายพรากจาก
มีสนิทเนาแนบชิดสนิทเสน่หา
ตราบชั่วฟ้าดินสลาย


หากทว่าจำต้องจัก
รู้รักรู้ค่า
รู้เลือกคู่ ที่มีจิตวิญญาณเสมอเสมือน
มาเป็นดั่งคู่ธรรมคู่ทองคล้องมงคลใจไปด้วยกัน

ประคองงามประคองขวัญสรรสร้างสิ่งดี
รู้พลี รู้ให้ รู้อภัยเมตตา
และ
เหนือกว่าสิ่งใด...
ไม่สร้างกรรมใดกรรมใหม่
ให้กับใจผู้ใดผู้อื่น
ที่พบเจอเผลอละเมอหา


ให้ใจดวงหวานชื่นรู้อิ่มพอ
รู้เพียรมิท้อ
และ
รอสร้างกุศลใหม่
หากเลือกผิดไป

ไม่หวานดั่งหวัง
มิอาจฝังฝากใจจิตวิญญาณปานแรกพบ
ตราบจบสิ้นดวงชีวา
ตราบผืนดินกลบหน้า



ก็จักต้องรู้กลืนกล้ำ
รู้ดำรงร่าง
รู้ทน
รู้รักแบบกมลละไม
ที่มิหวังสร้างปัญหาใด
หากเลือกทางธรรมนำทางใจ
ให้ไสวสว่างกระจ่างพราวราวบัวบาน


สร้างงามหอมกรุ่นให้ดวงชีวี
ด้วยความเพียรมิท้อ
มิขอเลิกหวังสรรสร้างแต่กุศลดี
พลีพร้อมฝึกรับความงามความวางว่าง
ให้ก่อเกิดนะกลางใจ
จนกว่าจะสิ้นวิบากใจวิบากกรรม
พลีร่างวางกรรมกลางพื้นพสุธาตราบชั่วกาล


คนดี
ดวงระรินร่ำ
เพียรรจนาเรื่องนี้
หวังทุกรัก
จักเมตตาและหาทางออกพบ
ให้รู้จบรู้จาก
รู้จักรู้ใจ
รู้อภัยเมตตา
และ
รู้ค่ารักที่หนักแน่นมั่นคงงดงาม
ที่จักเป็นพลังให้โลกนี้ยังคงมีคุณธรรม
ดับความร้อนเร่า
ราวเพลิงจากความโกรธเกลียดเบียดบังใจ
ยามไม่มีใจไม่มีรักหมดสิ้นรัก
ยามที่จักโยนแต่ความใจดำห้ำหั่นทำร้าย
ด้วยความหลงตัวเองรักเพียงตัวเอง


จงรู้ว่ารักนั้น
คือความดีความงามคือนิยาม*ให้*น้ำใจ
ไม่ว่ากับโลกไพรโลกธรรมชาติหรือผู้คนที่วนมารักเรา
และ
มากล่อมเกลาให้เรียนรู้ความดีมีเมตตา
สอนให้รู้ค่ารักอันประเสริฐสูงส่งกับเพื่อนมนุษย์


จงหยุด
อย่าทำร้ายกันและกันด้วยกายวาจาใจ
เพื่อสร้างสิ่งงามอันยิ่งใหญ่คืนสู่ผืนดิน
และโลกในฝันอย่างจินตนาการจะไม่มีวันสูญสิ้น

จะมีสิ่งดีงามตามมา
อย่างบทเพลงนี้
ที่รอจะมีวันฝันเป็นจริงค่ะ
ขึ้นอยู่กับเรา
มวลมนุษยชาติผู้ฉลาดรัก..
จักรักเป็นเช่นไร
ใช่ไหมเล่าเจ้าดวงใจ เจ้าจอมใจ!!..

***********



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=5660
IMAGINE John Lennon : : Key C 

IMAGINE THERES NO HEAVEN
IT EASY IF YOU TRY
NO HELL BELOW US,
ABOVE US ONLY SKY
IMAGINE ALL THE PEOPLE
LIVING FOR TODAY AH
IMAGINE THERES NO COUNTRIES
IT ISNt HARD TO DO
NOTHING TO KILL OR DIE
FOR AND NO RELIGION TOO
IMAGINE ALL THE PEOPLE
LIVING LIFE IN PEACE
YOUYOU MAY SAY IM A DREAMER
BUT IM NOT THE ONLY ONE
I HOPE SOME DAY YOULL JOIN US
AND THE WORLD WILL BE AS ONE
IMAGINE NO POSSESSIONS
I WONDER IF YOU CAN
NO NEED FOR GREED OR HUNGER
A BROTHERHOOD OF MAN
IMAGINE ALL THE PEOPLE
SHARING ALL THE WORLD
YOUYOU MAY SAY IM A DREAMER
BUT IM NOT THE ONLY ONE
I HOPE SOME DAY YOULL JOIN US
AND THE WORLD WILL LIVE AS ONE...
*********



 ทุกแห่งหน! พุดพัดชา 

ฉันเห็นเธอในดอกไม้สายลมไหว
มวลนกไพร ในฝนพราย แมกไม้ฝัน
ในดวงดาว ในอุ่นแสง แห่งตะวัน
ในความฝัน ในยามตื่น ชื่นฉ่ำใจ..

ฉันเห็นเธอ ในดวงจันทร์ ฝันเคียงฟ้า
ในเมฆา ในเรียวรุ้ง กระจ่างใส
ในผีเสื้อ ในสายน้ำ ในขุนเขา ในเงาใจ
เธอสถิตอยู่กลางใจในเรียวตาในศรัทธาในรักนี้ มิมีวันจะลบเลือน!

***************


และขอแถมบทความนานมา
ในวันที่ลืมโลกเหว้ว้า
ด้วยงามแก้วแกมหอมนะกลางใจ
ที่สงบว่างนำทางส่องสว่างมานานวัน

*********

ดวงมีรักมากมายหลายรูปแบบ.... 
ซ่อนซึ้งไว้จ่ายแจก.... 
และหลั่งรินให้ใจทุกดวง.... 
ทั้งคนชิดใกล้.... ทั้งคนไกล.... 
และสำหรับเพื่อนมนุษย์ทุกทุกคน.... 
ที่ดวงได้รู้จักและผ่านพบ.... 

ในค่ำคืนนี้.... ท่ามกลาง
พระจันทร์สีหมากสุก ดวงโตลอยเด่น.... 
ลอยหน้าลอยตา.... ยิ้มแฉ่ง 
ทายทักอยู่บนฟากฟ้า.... แสนหวาน.... 

ดวงอยากแจกรักของดวงผ่านจันทร์ดวงงาม.... 
ถึงใจของเพื่อนผู้อ่านทุกดวง.... 
ให้จันทร์ดวงโตนั้น.... ดวงงามนั้น.... 
เป็นสื่อประโลมใจ.... 
ให้เรียนรู้ 
ที่จะหยุดพัก.... หยุดคิด.... 
ทุกสิ่งที่ปวดร้าวภายในดวงใจ.... 
แต่อย่าหยุดฝัน.... 

เพื่อต่อเติมใจให้มีพลัง
ที่จะได้ใช้ ใจดวงงามละมุนบริสุทธิ์ใส.... 
ลืมตาดูโลกอย่างมีความสุข.... ความหวัง.... 
และเมื่อใจเราแสนดี.... 

ก็จงอย่าลืม.... แจกจ่ายและแบ่งปัน.... 
ให้กับคนที่เรารัก.... 
เพื่อนของเรา ที่ยังหมองหม่น.... ทนเศร้า.... 
หาแสงสว่างไม่พบเจอ.... 
ด้วยโชคร้ายมากมายที่รายล้อม.... 

คนเราทุกวันนี้.... ใจไม่ละมุน.... 
เพราะเราอยู่ในป่าคอนกรีต.... 
ไม่มีเวลาแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ชื่นชมดาวเดือน.... 

ทุกนาที คือการแข่งขัน.... แข่งกับตัวเอง.... 
กับระบบที่บีบคั้น.... ตั้งแต่เด็กถึง การทำงาน.... 

ดวงเขียนเรื่องบางเรื่อง
ใช้ภาษาสวยงามตามฝันใฝ่.... 
เพื่ออยากให้ทุกคนรู้ว่า.... 

โลกนี้ ถ้ามีแต่ความ เร่าร้อน.... แย่งชิง.... 
โลกก็จะยิ่งร้อนรุ่ม....
 มนุษย์พันธุ์แบบดวงคงเหลือน้อยลง.... 
กลายเป็นคน ประหลาด.... 
คิดประหลาด.... พูดประหลาด.... เขียนประหลาด....
 และทำอะไรประหลาด ในสายตา ของคนรุ่นใหม่.... 

ดวงยากบอกว่า.... 
ดวงรักการภาษาไทยให้งดงาม....
 เพราะภาษาพูดคือภาษาใจ.... 
ถ้าใจเรางาม.... บริสุทธิ์ใส.... 

ภาษาพูดก็จะสื่อออกมาบริสุทธิ์ใสเพียงนั้น.... 
ขอเพียงเราซื่อสัตย์.... ต่อตัวเอง 
พูดสิ่งใดขอให้ตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ.... 
และจงใช้ปัญญา.... คิดก่อนพูด.... 
ให้พูดในสิ่งที่ดีงาม.... สวยงาม และจรรโลงใจ.... 
ไม่เพิ่มทุกข์ และทำร้ายผู้ใด.... 

ดวงอยากกลับไปเป็นครู.... 
สอนเด็กๆเหลือเกิน.... 
เพื่อสร้างแบบฉบับให้ทุกคนรู้จัก.... 
ที่จะรักโลก.... รักธรรมชาติ.... รักเพื่อนมนุษย์.... ให้เป็น.... 
และให้มากกว่านี้.... 

และให้รู้ว่า เราโชคดีนักที่ได้เกิดมา 
พบพระพุทธศาสนา....
 ที่เป็นที่พึ่งพาพักพิงใจ
ในยามที่เรา เดียวดายไร้หวังสิ้น....
 
เพื่อช่วยนำทางเราให้ไปถึง.... 
ที่แห่งหนึ่ง.... ที่ที่คนดี.... 
ที่ถึงพร้อมด้วยศีล.... สมาธิ 
และปัญญาเท่านั้นจะไปได้ถึง.... นิพพาน.... 

ดวงเขียนอะไร มักวกไปถึงศาสนาเสมอ.... 
เพราะดวงคิดว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะตามติด 
เยียวยาใจของเราเองได้ 
ยามที่เรา ทุกข์ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาของวัยใดในชีวิตนี้....

 คำสอนของพระพุทธองค์.... 
จะพร่ำบ่มให้ใจเรา เยือกเย็น.... สงบงาม.... 




ทุกคืนค่ำ.... ดวงสวดมนต์ให้.... 
เพื่อนมนุษย์ทุกคนให้มีดวงใจ 
และดวงตาสว่างใสมองเห็น.... ธรรม.... 
นำชีวิตเพื่อนำทาง.... 
และพาไปสู่ สิ่งที่เป็นสัจจะแน่นอนของชีวิต.... 
ด้วยดวงจิต.... ดวงใจ.... ที่ถึงพร้อม.... 

คืนนี้ดวงเศร้าอีกแล้ว.... 
ทุกคราครั้ง ที่ดวงพานพบ
กับโลกและมนุษย์ที่ดวงอยากช่วย.... 
และช่วยไม่ได้.... 

ดวงจะเกิดความหมองหม่นใจ.... 
ดวงพยายามแล้ว....
 และดวงคิดว่าพระเบื้องบนเท่านั้นที่จะรับรู้ และรับทราบ.... 


ค่ำคืนนี้.... เพื่อนดวงขับรถมาหา.... 
มาแลกทุกข์.... สุข.... ทุกปัญหา....
 ดวงนิ่งฟังด้วยใจสงบ.... 
เพื่อให้เพื่อนได้ระบาย.... 

เพื่อนรัก.... 
ผู้สูญเสียผู้เป็นที่รักสามคนในเวลาไล่เลี่ยกัน.... 
นี่คือโลกที่มีทุกข์ทุกอณู.... 
เตือนใจ.... เตือนสติ 

ให้เราอย่าได้หลงลืมความจริงแท้แน่นอนของชีวิต.... 
ให้เราเกิดปัญญายอมรับความจริงว่า.... 
โลกนี้ไม่มีอะไร แน่นอน.... แปรผันหยอกย้อน.... 
ได้ทุกคืนและทุกวัน.... 
ในทุกเวลาของชีวิตนี้ ที่อาจยืนยาวหรือแสนสั้น.... 
แล้วแต่ชะตาฟ้ากำหนดนัด 

เพื่อนรัก.... ใช้ทุกสิ่งเยียวยาความบอบช้ำใจ.... 
น้ำตาระบาย.... เป็นเดือน.... เป็นปี.... ยาวนาน.... 
ทำบุญ.... ฝึกจิต.... ล้างใจ.... 
สร้างกุศลเพื่อพ้นทุกข์.... 

จนกระทั่ง.... คืนหนึ่ง.... 
หลังจากที่เธอวนเวียน.... มืดมน.... 
กับทุกข์ที่ถมทับจนใจใกล้จะทานทน.... 
เธอสะดุ้งตื่นด้วยเสียงที่ก้องกังวานจากเบื้องบน....
 เป็นเสียงมากพลัง.... ทรงอำนาจ.... 
สะเทือนสะท้านสองหู.... สู่ใจที่มืดบอดริบหรี่.... 

เจ้าสวดคาถาชินบัญชร.... 
และพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเสีย....
 แล้วใจของเจ้า.... จะสงบ.... พาไปสู่ปัญญา.... 

นี่คือเรื่องจริงที่ดวง.... 
คิดว่าใจดวงที่สะสมบุญ.... บารมีเท่านั้น 
ที่เบื้องบนจะมีเมตตา.... มาเปิดใจ.... เปิดตา 
ให้พบกับแสงสว่าง 
นำทางชีวิตให้สว่างไสว.... พ้นทุกข์.... เฉกเช่นกัน.... 


เรื่องนี้เขียนด้วยรัก.... ปรารถนาดี.... 
มากล้นจากใจ ที่อยากให้เพื่อให้คน ทุกวัย.... 
รักและเข้าใจกัน ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อซึ่กันและกัน 
ไม่ว่าทางวัตถุหรือจิตใจ.... 
เพื่อเป็นหนึ่งที่จะช่วยกัน จรรโลงโลกของเรานี้.... 
ให้มีแต่ความดีงาม.... ดำรงอยู่สืบไป.... 
ตราบชั่วนิจนิรันดรนะคะ.... 
***************

ขอมอบดอกไม้ในสวน นี้เพื่อมวลประชา
จะอยู่แห่งไหน จะใกล้ จะไกลจนสุดขอบฟ้า
ขอมอบความหวังดั่งดอกไม้ผลิ.... สดไสวอาณา
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ
เป็นสิ่งเสนอให้มา.... 

ดวงตะวันทอแสง มิถอยแรงอัปรา
เป็นเปลวไฟที่ไหม้นาน เป็นสายธารที่ชุ่มป่า
เป็นแผ่นฟ้าทานทน.... 

ขอมอบดอกไม้ในสวน ให้หอมอบอวลสู่ชน
จงสบสิ่งหวัง.... ให้สมตั้งใจ ให้คลายหมองหม่น
ก้าวต่อไปตราบชีวิตสุด ดุจกระแสชล
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ
เป็นสิ่งเสนอให้คน
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจเธอ
เป็นสิ่งเสนอให้คน.... 

********************

				
21 สิงหาคม 2547 15:35 น.

โลกละไมกับใจเจ้าดวงดอกไม้งาม!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=198
(ปรารถนา)
*********

จันทร์แจ่มดวง
ทอทอดลอดโลมไล้ร่าง
ที่ห่มงามด้วยผ้าคลุมไหล่สไบแพรสีโศก
ผมสยายยาวทอสกาว
รับประกายจรัสเรืองจากแสงเดือนดาริกา


ดวงตาสะท้อนพราวน้ำเพชรพร่าง 
มิใช่จากความเสียใจ
มิใช่จากใจเศร้าโศก 
หากเป็นประกายเย็นใสจากปิติใจ ล้ำลึก
ที่ยากยิ่งอธิบาย
คล้ายว่าง..เสียจนกายพร่างพรูด้วยความสงบสว่าง
ในท่ามกลางธรรมชาติดิบเดิม
รายรอบกระท่อมน้อยปลายนา


กับบรรยากาศงาม
กับมวลหมู่ดารารายพรายพร่าง ในเวิ้งนภากาล
กับหวานหอมแห่งเรณูละอองดวงดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง
กับดงตาลโตนดเหว่ว้า
ที่มีลูกสีดำคลอลำต้นดกปกคลุม


หัวใจ..
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่างซึ้ง
ที่เกิดมาเพื่อพึงภักดิ์รักพลีทุกต้นไม้
ที่รักได้รักดี รักจนบางทีอยากจูบประทับรับขวัญ
โอบกอดไปตามลำต้น
ปุ่มปมขรุขระนั้น อันคงผ่านร้อนหนาวมายาวนาน
ผ่านฤดูกาลหลายฝนหนาวหลายเศร้าวสันต์ลา
ผ่านดวงตะวันกล้า
ผ่านจันทราเย็นฉ่ำ
ผ่านวันคืนอันแปรเปลี่ยน
จนปุ่มปมเปลือกนั้นซ้อนทับกัน
ราวจะสะท้อนทั้งเรื่องราวรื่นรมย์และเร่าร้อน


เหมือนดั่งละครโลกละครชีวิตคน
ที่หมุนวนสับสนมาฝากร่างกลางหล้าโลกนี้
ที่มิช้านานต่างก็จำต้องพรากลา
เมื่อละครชีวาชีวิตจำต้องปิดฉากลง


หาก
ต้นไม้ยังจักต้องดำรงคล้ายยืนเฝ้าดูผู้คนบนเวทีโลกนี้
ที่ยอกย้อนว่ายวนมารับรอยวนรับกรรมเวียน
เปลี่ยนเพียงหน้าตา
พามารับบทที่คล้ายๆกัน
ที่เรียกกันว่าโศกสุขทุกข์รักมิวายเว้น..


จากวันคืนสงบเย็น
ที่มีน้ำฟ้าปลาดาว
พราวหอมด้วยราวป่าใหญ่ไพรกว้าง
ที่มีสัตว์มากมาย
ดวงดอกไม้นานา 
ผีเสื้อหลากสี 
นกที่ผกโผผิน
เพื่อสืบมิสิ้นพันธุกรรมธรรมชาติชีวิตให้ดำรงอยู่
ที่จำต้องอาศัยการพึ่งพาพึ่งพิงอิงเอื้อคล้ายวัฎฎโลก


ที่นะบัดนี้
ทุกหย่อมหญ้าถูกมนุษย์ผู้คิดว่ามากสามารถฉลาดล้ำ
ได้พากันผลาญพล่าทำลายล้าง
ให้โลกแสนอ้างว้างห่างไกลจากวิถีเดิม
ที่ติดดินงามเงียบเรียบง่ายในการใช้ชีวิต
ที่มิคิดเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ในทุกสรรพสิ่งภายใต้ผืนหล้านี้


ช่างน่าเศร้าเสียใจ
ดั่งบทกวี*จากหนังสือ ปณิธาณกวี*
ของ..*ท่านอังคารกัลยาณพงศ์*
ที่นะวันนี้จะเทียบเชิญมาให้กระวีกระวาด
และนักอยากจะเขียนเพียรสร้างฝันขยันรจนา
ได้ประเทืองประทับใจที่แสนจะโดนใจ
ให้เราทุกดวงใจไหวตระหนักเรียนรู้
ที่จะปกปักพิทักษ์โลกให้ยาวยืน


*บริภาษสัตว์วิทยาศาสตร์คลั่งนิวเคลียร์*

แจ่มจันทร์เจ้าสกาวหนาวแสงทิพย์
ระยิบระยับวับวาวดาวระย้า
ลำนำอนันตกาลผ่านหน้ามา
สนธยาย้อยหยาดบาดดวงใจ

บนยอดผาเยี่ยมฟ้าว้าเหว่
ณ ชะเลเมฆวิเวกขวัญหวั่นไหว
หนาวปรโลกโตรกผาชลาลัย
นอนไพรโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวนัก..

กราบพระรัตนตรัยใส่เกล้า
น้อมกล่าวพุทธมนต์อันสูงศักดิ์
สวดก้องยอดผาบ่ากาลจักร
เพื่อหักห้ามขลาดหวาดผวาภัย

ไหว้ปู่เจ้าภูหลวงไศลทิพย์
สิบทิศรุกขเทวดาป่าใหญ่
ลูกนอบน้อมพร้อมกายวาจาใจ
บูชาไปสิ้นดินแดนดง

น้ำค้างพร่างพราวราวเพชรร่วง
ระยับยวงรุ้งจันทร์วิจิตรพิศวง
ม่านเมฆสลับลับแลลิ่วลง
ตรงโตรกชะโงกเงื้อมเลื่อมพรายดาว

เห็นจักรวาลอื่นหมื่นแสน
แว่นแคว้นทิพยโลกโศกเศร้าหนาว
มิติลี้ลับลิบพรายดาวพราว
เอกภพสกาวฟ้อนฟ้าทิพาลัย

แต่โลกมนุษย์สุดคลั่งนิวเคลียร์
เสียชาติมนุษย์สุดวิเศษสิ้นสมัย
จะย่อยยับดับดิ้นด้วยไฟ
ใหญ่กว่าอเวจีที่ปัจจุบัน

อนาคตดิ่งดับด้วยสรรพพิษ
อิทธิฤทธิ์รังสีร้ายแรงมหันต์
เส็งเคร็งกว่ามะเร็งกินวิญญาณกัน
อาถรรพ์สถุลยุคทุกอย่างระยำ

ทำลายโลกวิปโยคยิ่งใหญ่
หลงใหลคลั่งนิวเคลียร์บ้าระห่ำ
สัตว์วิทยาศาสตร์อุบาทว์ใจดำ
จงหยุดทำบัดซบจบงาน

เป็นขี้ข้ากากนัการเมือง
วางเขื่องเบ่งบ้าวิชาล้างผลาญ
ชั่วชาติสัตว์วิทยาศาสตร์สามานย์
น่าประหารตัดหัวทุกตัวไป..

************


ช่างเป็นบทกวีที่แสนงามล้นค่า
มาสอนใจมาเตือนใจให้รักษ์โลกรักฝัน
ทำสวรรค์ให้มีจริง
ให้มีโลกนี้ที่สวยใสด้วยดินไม้ไพรอากาศน้ำดี

และ
หัวใจดวงนี้ก็พาพลี
คิดถึง ยามโพล้เพล้เหว่ว้า
กับข้าวกล้าในนาที่เพิ่งหว่านดำ
คิดถึงคำ*ชิงช้าเมฆ*
ยามแหงนเงยมองวิเวกบนฟากฟ้ากว้าง
กับฟ้ากระจ่างลมจรุงปรุงปน
ด้วยมนต์หอมลอมฟาง
ท่ามกลางแสงกระจ่างพร่างด้วยดาวเดือนสุกใส


คิดถึงกุฎิไม้ในวัดที่ยังมุงด้วยกระเบื้องว่าว
ที่กว้างยาวแค่ห้าคูนห้าเมตร
พอให้พระกางมุ้งนอนได้
กับมีชานระเบียงพักไว้ทอดรับบันไดหินห้าขั้น
มีลานหญ้าหน้ากุฎิ
มีต้นอโศกอินเดียต้นใหญ่
ที่มีดวงดอกแดงไสวหอมพร่าง
ระย้าระยับจับใจ
มีกอไผ่นา มีฝูงวัวเลาะเล็มหญ้า


มีเณรน้อยเจ้าปัญญาอายุแค่14ปี
ที่คิดดีคิดได้หนีโลกวายวุ่นมาบวช
ท่านเพียรท่องหนังสือธรรมมะ
ใต้ต้นไม้มากมายที่สอดสานใบกันระยับระยิบ
และ
กำลังร่วงลอยปลิดปลิวลิ่วควะคว้างกลางกระแสลม
ลงมาถมทับทั่วบริเวณ


และ
ต้นไม้ที่พอจะจำชื่อได้มีประมาณนี้
มะฮอกกานี  กฐินณรงค์ ประดู่ สาละ ตะเคียน
มะหวด ตะแบก ชมพูพันทิพย์ ไทรสาลี่ นนทรี
ต้นจันทร์ หมากนานาพันธุ์ ต้นยาง ออฟจาไมก้า
แคฝรั่งและอีกมากมีมากมายไม้ประดับ
ที่นับแล้วจะมีเป็นพันชนิดไม่น่าเชื่อเลย


ที่ตรงนี้คือที่หน้าโบสถ์คร่ำ 
ที่สามารถนั่งระร่ำริน
ทอดนัยน์ตาดูความนุ่มความเขียวครึ้มเขียวแผกแตกต่าง
ที่ดั่งร่มฉัตรร่มธรรม ร่มธรรมชาติกางกั้น
ให้จิตวิญญาณชิดใกล้กับธรรมชาติชีวิตอันเป็นความจริง
เสียยิ่งกว่าจริงมิกลิ้งกลอกลวงหลอนหลอกใจ


ได้ดูดอกและใบไม้เสลาหล่นพร่าง
ให้เกิดกระจ่างแจ้ง
ราวมีแสงแห่งปัญญาพรายผุด 
ให้ใจดวงพิสุทธิ์
คว้าไม้กวาดสกดสติสมาธิ
อยู่กับการกวาดลานวัดให้สะอาด
ราวได้กวาดลานใจไปพร้อมกัน


ให้สว่างสงบพบพระธรรมนำดวงจิต
ให้สถิตเกิดใสล้ำปิติ
หยุดนิ่งคิดกังวลกับทุกสรรพสิ่งภายนอก


ดวงตาแลเห็นแสงรำไร
ดวงใจราวได้รับแสงทองที่ส่องสะท้อนสาด
มาจากพระพักตร์พระพุทธพิสุทธิ์งาม
ในโบสถ์ยามย่ำสนธยา
เกิดเรืองแสงแห่งปัญญาแม้นชั่วยาม
ยอมรับสัจจะความจริงนี้แห่งชีวีชีวิต


ที่
ในที่สุดไม่ว่า
จะสุขโศกเศร้าหนาวร้อนเบื่อๆอยากๆมากเรื่องราว
ก็ราวก่อกระจ่างให้วางลง
มิหลงยึดมั่นถื่อมั่นฝันไกลที่ตามไปไม่มีวันถึง


ให้พึงสดับยอมรับความไม่แน่นอน
ให้มองย้อนเข้าไปสู่ขุมทรัพย์นิรันดร์
อันเปรียบประดุจบ้านภายในในตัวตน
จนกว่าจะสิ้นแสงแห่งดวงชีวา
ร่างใจจะลาลับหล้าลาลับโลกลาดวง


ตะวันจริงกำลังสอนสัจจะ
ในขณะที่ตะวันในใจกำลังโชนแสงกล้า
กับวันคืนที่ได้มากับวัยวันที่กำลังจะเสียไป
ไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้ที่จะเป็นอนิจจัง
ไม่มีอะไรจะตั้งอยู่ มีแต่รู้ดับไป
นะเจ้าดวงดอกไม้..งาม  ให้เจ้าจงรู้ทำใจ..

*********


http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33165.php
ถ้าเราจะนัดพบกัน

ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันลับไม้ 
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไปสิจงฟัง 
ฟังสิฟังสักนิด แล้วอย่าคิดว่าฉันสอนว่าฉันสั่ง 
ฟังสิฟังกันเล่นเพลินๆ แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญลองจำ 

ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันพลบค่ำ 
ธรรมชาติชื่นฉ่ำ ฉ่ำชื่นชื่นใจ 
ใต้ร่มไม้ใบบางๆ แสงสว่างรำไรรำไร 
ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องระไว จะอายทำไมกับพระจันทร์ 
ถ้าเราจะนัดพบกัน จึงชวนให้จันทร์เห็นใจ 

ลมอ่อนๆพัดผ่าน ชูกิ่งก้านช่อใบ 
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว 
สะบัดใบไปตามลม ผสมน้ำค้างพร่างพรม 
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม 
ต่างเคล้าต่างคลอต่างล้ออารมณ์เรา ให้ชมให้ชื่นใจ 

นี่แหละที่นัดพบ...... 
แต่เรามิพบกับใคร 
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ แล้วเราก็อาจจะสุขใจ 
ไม่ต้องไปพบกับใคร...ที่ไหน..เพลินใจเพลินตา.... 




				
20 สิงหาคม 2547 17:23 น.

วอนนกพเนจรอย่ารอนแรมร้างรังรัก!

พุด


Url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=389
(ไฟรัก)
********
 

เจ้าบินไกลอยู่หนไหนในฟากฟ้า
หลงรอท่าให้คืนกลับรับอ้อมขวัญ
เจ้านกเอ๋ยไยพรากเลยตามตะวัน
ให้หลงฝันหลงคอยหลงน้อยใจ..

ฝากลมหวานผ่านแผ่วพลิ้วทายทัก
ฝากลมรักกระซิบร่ำคำหวามไหว
อย่าชาเฉยเลยลาลับนะดวงใจ
รู้ว่าใครคนนี้ที่เฝ้ารอ..

ยังจดจำคำซึ้งซึ้งตรึงใจฝัน
คำรินร่ำให้เกียรติใจมิไหวพ้อ
คำเข้าใจในไมตรีที่รู้พอ
คำวอนขอรอได้ให้น้ำใจ..

นานกี่วันฝันกี่ค้างห่างนกน้อย
ดาวก็คล้อยเดือนก็คลาฟ้าสิ้นใส
ไยพรากลาทิ้งรังรักเคยพักใจ
ตราบอุทัยหมุนโลกหวานรอผ่านมา..

หรือเจ้ามีรังใจใครให้รัก
อบอุ่นนักจนลืมสิ้นถวิลหา
หากยังมีใจถึงใจยอดชีวา
บินกลับมา..นะนกพเนจรเลิกรอนแรม..อย่ารอนรานให้รักโรย!

*************



ฝันสล้างกลางฝนพรำ พุดพัดชา 

ฝนตกพรำพรำ จนถึงย่ำรุ่ง..
ดวงตื่นนอนยามค่อนมืด..
ดวงดาวยังส่องแสงสุกใส
วาระแห่งทิวากาล 
แลเห็นเพียงแสงเรื่อเรื่อ 
ตามขอบฟ้าทิศตะวันออก
ได้ยินเสียงนก..รายรอบบ้านร้องระงมจอแจ 
และบินพรูพราว..
เสียงไก่โต้ง ขันอยู่เป็นระยะ 
จากบ้านชาวสวนละแวกข้างเคียง

ดวงค่อยๆแลลอดเห็นดาวประจำเมือง แขวนฟ้า 
กิ่งจำปีริมชายคากวัดแกว่งส่ายใบ
เห็นหยาดฝนพรำ สั่นไหวใบจำปีไปตามแรงลม....กระโชกกระชั้น..
ดวงหลับตา ฟังเสียงดนตรีธรรมชาติงาม 
ด้วยใจดวงเงียบ 

เสียงพริ้งพราวของสายฝน
ต่อสายฝันให้พริ้งเพริศตามไปด้วยคิดถึงใครบางคน ยามนี้..
บทเพลงแห่งธรรมชาติ 
ที่เป็นความยิ่งใหญ่หวามไหว 
ในใจดวงละมุนต่างๆกันไป
ตามสถานที่....... 

เคยฟังเสียงคลื่นราวดนตรีกระฉอกซัดสาด 
หาดแผ่วๆ ยามอรุณรุ่งที่เกาะพะงัน
ที่เป็นเสียงดนตรี กล่อมฝัน
กล่อมจิตวิญญาณ มาตั้งแต่ยามเยาว์ ....

ธรรมชาตินี้ที่ซึมซับ ให้มีเช้าที่หอมงาม 
ที่ตามติด ในทุกยามแห่งชีวิต
ให้รู้จัก เงี่ยหูฟัง 

มิใช่นอนฝัน เป็นผีดิบคลุมโปง จนสายโด่งแบบคนเมือง
วาระแห่งอรุณ..ที่สะอาดสะอ้าน มีชีวิตชีวา 
ที่คนบางคนไม่รู้ค่าปล่อยกาลเวลาให้ผ่านๆไป
ไม่ไยดี เอาเวลาแสนดีมาเป็น ผีตาโบ๋ 
นั่งสว่างคาตา หน้าจอคอม(ว่าใครกันนะนี่)
เอาเถอะนะ..คนเราต่างฝันต่างสุข นี่นา 
ก็ตัวใครตัวคุณแล้วกันนะที่รัก..

เปิดประตูออกไปสัมผัส 
ไอเย็นของละอองฝน และสายลมเย็น
แหงนมองฟ้ากว้าง 
ฝากดวงดาวและจันทราที่ค้างฟ้า ให้โลมไล้ร่าง
คนดี.....พรมจูบจากใจ 
แทนห่วงใย ส่งพลังใจหยิบผ้าห่มคลุมร่างให้
จูบแผ่วผ่านริมคางและแก้มสากๆ 
ก่อนซุกตัวหลับไหลไปด้วยกันในอ้อมฝัน
ที่อยากให้เป็นจริงและแสนดี ที่ฝันฝากใจไปทุกค่ำคืน..

พร้อมเปิดเพลง แผ่วรับอรุณ..Hello 
ของไลโอเนล ริชชี่ หวานแว่วแผ่วมาจากC.D
อยากฝากเพลงนี้แทนใจไปกระซิบบอก 

ขอให้มี..มหัศจรรย์วันแสนดี ทุกคืนค่ำ
วันที่เรายังมีเรา..กันและกัน..ในความเข้าใจ 
ในสายใยห่วงหาอาทร..มิรู้สิ้น
เพื่อปลุกปลอบใจ 
ให้มีหวังว่า วันจะไม่ดายเดียว เหงาเงียบใจ..ในโลกกว้างใบนี้
ที่แสนวุ่นวาย นะดวงใจ....
ซุกใจ ซุกฝันสล้างกลางใจฉันนะ คนดี 
ส่วนร่างนั้นคือหน้าที่แห่งชีวิต
ที่จักดำรงอยู่คู่กันไปกับโลกใบนี้ที่ยังหมุนวน..มิรู้สิ้น..........


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=389
 ไฟรัก   

ความ รัก เปรียบเหมือนดั่งไฟ
ถ้าแม้ว่าใคร เผลอเป็นไหม้ทุกที
ร้อน รน ทนเศร้าฤดี
โอ้ไฟรักนี้ เผาชีวีระทม

นี่ หรือ นี่หรือความรัก
พอฉันประจักษ์ หนักจนร้อนชีวี
รัก เอย ไม่เคยปราณี
ช้ำจนเหลือที่ แทบชีวีวาย
นี่ หรือ นี่หรือความรัก
พอฉันประจักษ์ แบกความรักเจียนตาย
ผลาญ ใจ แทบไหม้มลาย
รักเดียวมาหน่าย พ่ายเกมชีวี
ความ รัก เปรียบเหมือนดั่งไฟ
ถ้าแม้ว่าใคร เผลอเป็นไหม้ทุกที
ร้อน รน ทนเศร้าฤดี
โอ้ไฟรักนี้ เผาชีวีระทม
นี่ หรือ นี่หรือความรัก
พอฉันประจักษ์ หนักจนร้าวอารมณ์
รัก เอย ก่อนเคยชื่นชม
ช้ำใจเหลือข่ม แทบตรมใจตาย
ความ รัก เปรียบเหมือนดั่งไฟ
ถ้าแม้ว่าใคร เผลอเป็นไหม้ทุกที
ร้อน รน ทนเศร้าฤดี
โอ้ไฟรักนี้ เผาชีวีระทม
นี่ หรือ นี่หรือความรัก
พอฉันประจักษ์ หนักจนร้าวอารมณ์
รัก เอย ก่อนเคยชื่นชม
ช้ำใจเหลือข่ม แทบตรมใจตาย... 

				
20 สิงหาคม 2547 00:26 น.

ในเส้นทางรวงธรรมรวงทอง

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3102
(มนต์รักลูกทุ่ง)
*************

ไพลรจนาเรื่องนี้..
ริมคันนา..ยามอุษาฟ้าสาง
น้ำค้างทรงหยดเจิมจับยอดข้าวราวระบำเรียวรุ้งแก้ว
แพรวพรรณรายพรายพร่างพรม
ห่มหอมงามท่ามท่วมท้นใจดวงดิบเดิม
เติมงามใจไพลเพลินชมวิวทิวทัศน์
อันอ่อนไหวอันอ่อนหวาน
บ้านภายใน..จิตวิญญาณดวงนี้


ที่พลีรักท้องทุ่งไกลกรุงกรง
ที่ไพลมิพะวงพากายผันลี้
ผ่านวันคืนหลายทิวาราตรีกาล

มาเติมฝันเติมหวาน
เติมพลังงามงด..
ธรรมชาติสดแสนพิสุทธิ์ใจ
อย่างฝันใฝ่อย่างวาดฝัน
อย่างวาดหวังที่ยากยิ่งจะอธิบาย
ความงามง่ายที่ปรากฎอยู่ในคลองตา

นอกเสียจากว่า
อัญมณีไพรจำต้อง..
ขอผนึกจิตวิญญาณรักดั่งดวงเดียวกัน
ในงานงามฝันงามไพรพง
ดงดอกหญ้าดวงดอกไม้ป่าท้องทุ่งนา
ป่าเขาเงาละหานสายธารธารา
มาฝากฝันกำนัลแด่ทุกดวงใจ

โดยรวมใจขอหยิบยืม
บทกวีแสนรักจากบุรุษแห่งสายธาร
จากบุรุษแห่งไพรวัลย์*ลำน้ำน่าน*
บุรุษอันระรินร่ำระรินรส
หยาดหยดงามเงียบเรียบง่าย
ใช้ภาษาดินเดิมเติม..ละมุนละม่อมหลอมละลายละลนใจ
ให้ไหวหวาม
ให้งามคล้ายได้ลงไปคลุกบรรยากาศจริงเสียยิ่งกว่าจริง
ในโลกติดดินถวิลไพรพง..ไกลกรุงกรง..

มิพะวงแสงสี..
มีแต่นาข้าวขจี
มีแต่วัวแขวนกระดิ่งกรุ๋งกริ๋งๆ
มีแต่ดาวพรายพร้อยนับพันดวง
สุกใสสว่างกระจ่างเจิดจรัสฟ้าแสนสวย
มีแต่อรุณหอมระรวยกลิ่นลอมฟาง
ยามพรายพระอาทิตย์สถิตทายทัก
น้ำค้างวะวาววับจับดวงดอกข้าวมาแตะแต้ม
ริมเรียวแก้มคลอ..พนอพะเน้า
พราวพริ้งมาประกอบคำพรรณานะคะ
***********

ยามเช้าของชาวนา ลำน้ำน่าน 

หริ่งเรไรแผ่วเบาจวนเช้าแล้ว
เพลงไก่แก้วแซร่ศัพท์รับวันใหม่
เป็นเสียงหวานซ่านรินจากถิ่นไกล
ปลุกดวงใจมาตื่นรับกับเวลา

หยาดน้ำค้างหยดพราวราวริมรั้ว
แสงสลัวค่อยจางกลางอุษา
ดุเหว่าแว่วกล่อมคุ้งปลายทุ่งนา
เป็นภาษามนต์ไพรในความจน

หนาวยังหนาวน้ำค้างวางดอกร่วง
จับคอรวงต้นข้าวหนาวอีกหน
แม้นหนักหน่วงโน้มคอลงคลอตน
สอดซ้อนสานแซมปนบนใบภักดิ์

ริ้วใบขาวเกล็ดหมอกแต้มดอกนั่น
ราวสีสันสะท้อนใจให้รู้จัก
ความเรียบง่ายถักทอกลางกอรัก
โอบรวงหนักไหวชื่นทุกคืนคราว

ตื่นเถิดหนอตื่นเถิดยอดดวงใจ
มาก่อฟืนก่อไฟไล่ความหนาว
ตื่นจากฝันภวังค์ของค่ำยาว
มาหุ่งข้าวกลิ่นหอมพร้อมสู่นา

เสียงกระดึงวัวควายเริ่มส่ายแล้ว
คล้ายเสียงแก้วกรุ่งกริ่งกระดิ่งหนา
เป็นเสียงเก่าแก่คร่ำสั่นดังมา
เสียงวิญญาญ์ชาติญาณงานและคน

รินน้ำข้าวซาวเกลือเพื่อรองท้อง
เจียดใบตองรมไฟไล่เกร็ดฝน
ห่อก่องข้าวพริกปลาปิ้งมาปน
น้ำตาหล่นฟืนควันโรมรันตา

เจิมครรลองรุ่งเช้าเมื่อดาวเลื่อน
แบกไถเคลื่อนมุ่งไปในอุษา
หอมลอมฟางกองฟืนกลางผืนนา
ตรงฝั่งฟ้าตะวัน..ทอนั่นแล้ว

กระจาบจ้อยบินพรูสู่ดงดอน
ทิ้งคบคอนเดียวดายปลายตาลแถว
ดอกโสนร่วงรมพรมนาแนว
กลางทำนองเจื้อยแจ้วของอรุณ

นกกระยางบินลู่สู่หนองหน้า
บินข้ามป่าทุ่งโศกเมื่อโลกหมุน
ตะวันเช้าฉายรอพอเจือจุล
ธรรมชาติสมดุลเกื้อหนุนนั่น

ความสามัญปูทางกลางทุ่งทอง
เจิมครรลองให้เห็นเป็นทุ่งฝัน
เมื่อยามเช้าปลุกตื่นทุกคืนวัน
หวังสวรรค์ท้องทุ่งจรุงมิตร

เช้าชื้นแล้วดวงใจใครรู้เห็น
ความลำเค็ญโน้มหน่วงกลางดวงจิต
ผู้สืบสายเทือกท้าวข้าวชีวิต
เป็นดอกเหงื่อผลผลิต...เนรมิตเมือง..



และอีกบท
เส้นทางสู่ชนบท ลำน้ำน่าน 


เมื่อลมล่องข้าวเบาเงาเมฆเคลื่อน
ท่ามกลางเดือนฝนฟ้าจะลาล่อง
ริ้วรวงข้าวแตกดอกออกรวงรอง
มีเพียงฉันเที่ยวท่องล่องเรื่อยมา

จากถนนเมืองเก่าเงาโอฬาร
มีเพียงบ้านทอดนิ่งชินหนักหนา
ข้างนอกรุ่งในบ้านร้างทางน้ำตา
มองขอบฟ้าแคบนิดขังปิดไว้

เงาตะวันเคลื่อนคล้อนสะท้อนดวง
เมื่อฝนร่วงหล่นนานวิญญาณไหว
บ้านหลังเก่าทอดเผยเปรยรำไร
ติดปีกฝันวิญญาณไพรให้กระเซ็น

สู่เส้นทางรายล้อมด้วยกองฟาง
ถูกปล่อยร้างสีหม่นจนเลือนเห็น
เถาย่านางยอดสล้างกลางลำเค็ญ
ไม่เคยเว้นแตกช่อกอชีวิต

คือเส้นทางสายนั่นฉันเคยผ่าน
ทุกวันวานภาพเก่าเงาตามติด
ถือปิ่นโตตามแม่สูงแค่นิด
ดอกข้าวติดแตะแก้มแย้มทายทัก

ฉันเปียกโชกแล้วแม่แท้ไม่ทัน
แม่ยิ้มหันหัวเราะเพราะข้าวหนัก
หยุดเดินทางให้ฉันนั้นผ่อนพัก
หยิบปิ่นโตแห่งรักไปถือแทน

แม่บอกฉันนั่นคือลูกชาวนา
เกิดใต้ฟ้านาดินถิ่นหวงแหงน
ในความจนรากเหง้าเราขาดแคลน
แต่ดวงใจฉาบแน่นแผ่นทองทัน

รายริมทางพร่างพราวด้วยข้าวรวง
ฝนจากสรวงปราดหนึ่งตรงบึงนั่น
แม่บอกกล่าวฝนฤดูผู้กำนัล
โปรยฝนฝันไล่ล่องท้องข้าวเบา

หยาดน้ำค้างแต้มดอกหมอกตรงโน้น
เสียงตะโพนแว่วฟังดังหงอยเหงา
พระสงฆ์เดินฝ่าน้ำค้างย่างแผ่วเบา
ทุกยามเช้าบิณบาตรตามยาตรา

แม่และฉันสวนทางกลางครรลอง
พระท่านมองเงียบนิ่งยิ่งค้นหา
แม่บรรจงตักข้าวเคล้าแกงปลา
อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธพงศ์

ให้ลูกชายชาวนาทายาทหนึ่ง
ได้พบซึ้งรสธรรมนำสู่หงษ์
ถางเส้นทางร้างไร้ในกลางดง
สืบเกวียนกงบรรทุกข้าวชาวนาไป

ไปหว่านหวังกลางทางทุกย่างก้าว
ให้ข้าวขาวแตกดอกงอกไสว
ในสามัญสำนึกตรึกตรองใจ
สืบสกลคงไว้ความสามัญ

แม่วางข้าวช้าลงตรงบาตรพระ
ทุกผัสสะเงียบนิ่งคล้ายปริ่มฝัน
เรื่อลำแสงสะท้อนงามตามตะวัน
เส้นทางฝันสายรวงข้าว...ฉันเข้าใจ

------------------------


ไพล
เลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟสายกรุงเทพ-บัตเตอร์เวิร์ธ
หนีห่างไกลกรุงมาหลายร้อยไมล์
มาสัมผัสแดนดินในฝัน
อันบรรเจิดใจพิไลพิลาส

มาฝากชีวีกวาดลานวัดหน้าโบสถ์คร่ำ
มาวางดวงดอกไม้ไทย
ดวงดอกปีบกลีบดอกไม้มากละไมหอมละมุน
ถวายหน้าพระพักตร์พระพุทธผู้บริสุทธิคุณ
มาศึกษาพรรณไม้มากกว่าพันพฤกษาที่มากค่าอนุรักษ์
ภายในวัดที่จะน้อมนำมารจนาพรรณาทีหลังนะคะ

มาแหงนเงยเชยชมต้นจันทร์งาม
ลูกเหลืองพรายพร่างดั่งช่อทองคำ
มายืนร้องไห้ร่ำไรเดียวดาย
บนระเบียงโบสถ์เก่าบนเนินผา
เมื่อสายตาพาพานพบดงตาลเบื้องล่าง
ให้พลันพร่างดวงใจไหวงาม
ระลึกนึกย้อนรอยอดีตอันงามเรืองรุ่ง

มาเรียงร้อยร่ำรสบทกวี
ตอบถ้อยท่านพระครูเจ้าอาวาสวัด
หลังฟังธรรมยามเช้าหลังสนทนาธรรม

ด้วย*งามดวงใจใครจะรู้นี้*ที่ช่างแสนโชคดี
ที่ได้มาตักบาตรริมถนนสายรวงข้าวสายงาม
ริมทางชนบทแสนไกล
ยาม
พระบวชใหม่สองรูปเดินบิณฑบาตรด้วยกัน
และ
เบื้องหลังงาม..ราวภาพฝันนั้น
ได้สอนธรรมะอันยิ่งใหญ่
เมื่อมีสุนัขพันธุ์ไทยท้องโตแสนกตัญญู
ที่..
พระท่านเล่าว่า..ไล่เท่าไรก็ไม่ยอม
พร้อมที่จะไปแอบรอที่หน้าประตูวัด
รอ
ที่จะเคียงข้างตามรอยพระออกไปบิณฑบาตรทุกเช้า
ราวรู้หน้าที่
ราวมีความสำนึกลึกล้ำ
ในพระธรรมอันมากเมตตานามว่ากตเวทิคุณ
แม้นเสี่ยงกับการการที่รถจะเฉี่ยวชนทับ
กับเส้นทางอันแสนลำบากขรุขระแสนไกล
ไปตามท้องทุ่งนาบ้านชาวบ้าน

บทบันดาลใจ..
จึงบังเกิดนะกลางใจ
ให้ไพลรจนาบทกวี
ที่แสนจะซึ้งซาบดวงใจ

ในยามที่ใจได้สัมผัสภาพนั้น
จนต้องนำมาอ่านตอบท่านเจ้าอาวาสในศาลาวัด

ท่ามกลางชาวบ้านดวงใจอิ่มงาม
หน้าตาใสซื่อถือมั่นในหลักธรรมคำสอนใจ
ที่ยังยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีไทย
ที่จะทะนุบำรุงศาสนา
ยังพากันมาวัด..
พร้อมด้วยอาหารคาวหวานในปิ่นโตงาม..

ท่านพระครูถามไพลว่า
*มาที่นี่ได้เห็นอะไรบ้าง*
และ
ไพล
ก็เรียนขออนุญาติตอบท่าน
ด้วยบทกวีนี้ค่ะที่แต่งสดไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้นค่ะ
ทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
ที่ไพล
อดจะรีบนำมาร้อยเรียงฝากทายทัก
ในค่ำคืนนี้ไม่ได้
ทั้งๆที่
ยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง
อันระหกระเหิรราวนกปีกหัก
เพิ่งบินกลับมาจากรวงรังแสนรัก

ที่อยากฝังฝากใจไปตราบชั่วกาลนานนิรันดร์ค่ะ
ในผืนดินฝันอันไกลลิบทิวทิพย์ทุ่งรวงทอง
ปองขวัญสวรรค์ลอยเลื่อนขอบฟ้าขลิบทอง
และกับ
ละออละอองนวลหมอกคลี่คลุมห่มหอมท้องทุ่งรวงทอง
กับงามตะวันส่องเศร้า
ยามเข้าไต้เข้าไฟพลบโพล้เพล้
เหว่ว้าพาเปลี่ยวเหงา
ยามเงยแหงนเห็นมวลหมู่นกไพรผกโผผิน
บินกลับรังในยามเย็นย่ำสนธยาหวาน
ผ่านยอดตาล..เดียวดาย..ราวไร้สิ้นหวัง

และ
ในนาทีนั้น
กับค่ำคืนนี้
กับจันทร์เสี้ยวเกี่ยวกิ่งฟ้า
ไพลพร้อมพลีมาขอฝาก
ดอกพุดพิสุทธิ์หอมงาม
พร้อม
ดวงดอกเข็มขาว
ที่ยังบานพร่างบานพราวอยู่ตรงหน้า
ด้วยค่าคำกระซิบรักและคำว่าคิดถึงล้นใจแล้วค่ะ

และ
ไพล..ยังมีภาคสมบรูณ์
ในเส้นทางสายใต้
เส้นทางสายแสวงหา
เส้นทางสายฝนสายฝันนิรันดร์รัก
ที่ไพล
ตั้งใจจะใช้เดินทางกลับบ้าน*หลังที่สอง*
สิงคโปร์
แต่..ต้องตัดสินใจกลับ
เมื่อรถไฟที่จะเข้ามาเลย์ลงใต้นั้น
หันไปเห็นทหารคุมขบวนด้วยอาวุธค่ะ
สถานการณ์ยังอึมครึมอยู่ค่ะ
และทุกลีลาการค้นพบไพลได้บันทึกรักรจนา
นับจากวันแรกที่พรากลาไกลกรุงกรงค่ะ
อย่าลืมหลงพลาดตามติด
อ่านต่อนะคะ
*******


แสงแดดอ่อนในยามเช้าทอทอดจับ
จีวรวับเหลืองทองผ่องอุษา
ท่ามทุ่งข้าวเขียวไพลไกลสุดตา
ซึ้งศรัทธาปิติธรรมนำทางใจ..

สุนัขขาวท้องลูกอ่อนซ่อนคำสอน
ตามจีวรกตัญญูพระบวชใหม่
สอนธรรมะกตเวทิตาซาบซึ้งใจ
น้ำตาไหลเช้าวันนี้ปิติธรรม..

ในโบสถ์คร่ำพักตร์พระพุทธพิสุทธิ์กระจ่าง
สอนทางว่างสงบใจเลิศใสล้ำ
ให้พระธรรมนำทางห่างทุกข์ทุกเช้าค่ำ
หวังรินร่ำรสความดีที่เหนือคน..

วางและว่างวางแล้วว่างกลางใจใส
เหนือดวงใจเทิดพระพุทธิ์หยุดสับสน
ฝึกดวงจิตสว่างสะอาดสงบสยบโลกที่วกวน
กราบแทบเท้าสงฆ์นำทางใจใฝ่สร้างบุญ..

ถวายข้าวตามรอยนางสุชาดามธุปายาส
จิตสะอาดอิ่มงามตามเกื้อหนุน
รู้เมตตาเสียสละสร้างสมบุญ
ใจหอมกรุ่นราวมะลิขาวยามเช้านี้ปิติงามยามพบธรรม!
*******


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด