30 ตุลาคม 2547 14:25 น.

แด่พสุธาที่ข้ารัก

พุด


url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=5820
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6192
(ความฝันอันสูงสุด)

****************

ปริม..
กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
ตรงหน้าลูกผู้ชาย*คนดีศรีอยุธยา*
ผู้ชายผิวคร้ามแดดและนัยน์ตาโศก

ผู้ชาย
ที่ทำให้โลกหยุดหมุนราวย้อนยุคย้อนรอย
สู่อดีตเมืองเก่าของเราแต่ก่อน

ให้ย้อนคิดไปถึงภาพ
ในอาบเอื้ออาทรอาวรณ์อาลัย
*ถึงลูกผู้ชายไทยชายชาติทหาร*

ที่กำลังเปลือยร่างท่อนบน
ปล่อยให้ผิวคร้ามแดดนั้นสุกปลั่ง
ด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดพรั่งหยาดรินอย่าง
เททุ่มทุกพลังบรรเลงเคี่ยวกรำฝึกฝนเพลงดาบเพลงรบ
พร้อมออกทัพ..จับศึกกับพม่าข้าศึก



ที่จักให้สำนึก
หลั่งน้ำตารินรดหยดบนหลังเท้า..*ว่ามาผิดที่*
ตราบจนถึงวินาทีสุดท้าย
จนสายเลือดสิ้นหยาด

ว่าอย่าได้หมายมาดแม้เพียงคิด
จะมาข้ามศพลูกผู้ชายชาติไทย
หัวใจสิงห์หัวใจไทใครสักคนในผืนดินทองแห่งนี้

ที่จะยอมพลีทั้งร่างใจ
ยอมพลีสิ้นจิตวิญญาณ
เพื่อรักษาผืนแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
ไว้ให้ผองลูกหลานไทยได้ภาคภูมิ..
ได้หยัดยืนอย่าอิสรา..มิเป็นข้าเป็นทาสใคร!



ค่าที่เขาคนดีคนนี้นั้น
คือพี่ชายแสนน่ารักนัก
ที่มีรูปลักษณ์ดั่งชายไทยโบราณ
และ...
งามด้วยบุคลิกภาพชายในฝันในดวงใจ..

หากทว่าสำหรับปริม..
หาใช่เรื่องแปลกเรื่องเปลือกไม่
ที่ใจต้องห่วงพะวงหา


เพราะว่า
รู้จักรู้ใจเขามานานแสน

หากเป็นเรื่องงานมาก่อน

ที่ต้องมานั่งท้าวแขนแสนอ่อน
ฟังความ..ในคอนโดหรูคู่เคียงอ่าวสิงคโปร์
ที่มีสิงโตพ่นน้ำเป็นฉากงามอยู่เบื้องหน้านั่น
รับกับไฟพร่างพรึบพราวของราวตึกราวเมืองสวรรค์


และทำให้ปริม..
ต้องบินด่วนมาถึงนี่
สิงคโปร์..
บ้านหลังที่สองของปริม..
มานานเนาเช่นเฉกเดียวกัน
บ้าน..
ที่มีเส้นทางสายฝนสายฝันให้ดวงใจสงบงาม
ในทุกยามรำลึก..



ให้ปริม..
มารับฟังงานออกแบบบ้าน
ที่แผกคิดพิเศษพิสุทธิ์
หากทว่างามง่าย
เพราะเจ้าของคือ
สถาปนิกที่เป็นชาวเมืองเก่าของเราแต่ก่อน



พี่ชายที่ปริม..
แสนรักและนับถือคนดีคนนี้
ที่แสนหล่อล่ำ
ก่อนจะจบจากมหาวิทยาลัยหน้าพระลาน
แล้ว
จากจรไปจบมหาวิทยาลัยเยลในอเมริกา
และในที่สุดกลับมาใช้ชีวิต
ที่ประเทศสิงคโปร์นี้ 
ที่นานพอกันกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง



ปริม..
ได้รับโทรด่วน
บอกถึงเวลาอันควรแล้ว
ที่จะเป็นผู้ช่วยสถาปนิกควบคุมงาน 
เพราะ
เจ้าของบ้านมิสามารถทิ้งงานอันรัดรึงตรึงมือฉมัง
ในการออกแบบโครงการหลายร้อยล้านพันล้าน
แห่งแผ่นดินสิงห์โตทะเลพ่นน้ำมาได้



พี่ชายคนดี
จึงมอบหมายด้วยไว้ใจ
ให้ปริมทำหน้าที่แสนจุกจิกใจนี้แทน

ให้คุมช่างทำตามแปลน
ที่คาดว่าช่างจะแสนงง หลงทางคิด
ว่านี่กำลังจะก่อสร้างวัดโบราณหรือว่าบ้านกันแน่



ค่าที่แปลนบ้านหลังนี้นั้น
จะมาปลูกฝันปันหอมหวานริมแม่น้ำอยุธยา 

เป็นบ้านที่สวยมาก สำหรับปริม..
เพราะบ้านหลังนี้
พี่ชายคนดีตั้งใจออกแบบ
สร้างประยุกต์
ให้กลมกลืนและสอดคล้องกับวิถีไทย ..... 
ที่เคยสงบงาม เรียบง่าย ริมคลอง
ที่เคยมีเรือพายมาขายของ...



แม้แต่ต้นไม้ ใบบังก็ยังคงเก็บรักษาไว้ 
ห้องน้ำแลลอดเห็นดาวเดือนเกลื่อนฟ้า 


บ้านก่ออิฐเปลือย 
ให้พันธุ์ไม้เลื้อยคลุม...ราวบ้านร้าง สร้างไม่เสร็จ 

เพราะตั้งใจรักษา ทุกอย่าง ให้งามกลืนไป 
ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ 
ที่เคยร่มรื่นชื่นใจ ชื่นตา แต่ไหนแต่ไรมา.... 



เป็นวิถีไทย ในชนบท ที่งดงาม 
ราวมีขุมทรัพย์นับแสน 
ไม่ต้องวิ่งไปเสาะแสวงหา อย่างไร้ที่ติ 
ที่ธรรมชาติช่างมีเมตตา 
หยิบยื่นให้แก่ ผู้รู้ค่า ผู้รู้รักและเข้าใจในงามนั้น..... 


พี่คนดีอธิบาย
ถึงมโนภาพที่สร้างแรงฝันบันดาลใจว่า


ยามพระอาทิตย์ตก
จะได้ยินเสียงนกกาพากันขับขาน 
ราวอยุธยาเมืองเก่าก่อนลอยเลื่อนฟ้ามาเยือน 
ให้แย้มยิ้ม..ลืมสิ้นโลก
และ
ชีวิตที่วายวุ่นไร้สิ้นสุข แบบวิถีคนเมือง.... 



ที่อึงอลสับลน จอแจแต่กับเสียงรถรา
และ
การจราจรที่บ้าคลั่ง แข่งกันจะกลับรังของตน 
เฉกเช่นนก.....หลงทาง...สิ้นหวัง สิ้นทางเลือก 

จำต้องกระเสือกกระสนทนอยู่......ไปวันวัน... 

ไหนจะในยามเช้าตรู่
ก็ต้องพรูพรั่งออกมาจากรัง เวียนวน 
จนกว่าชีวาจะลาลับดับสิ้นไป..



และในยามค่ำ
กับจันทร์แจ่มดวงทอแสงสุกปลั่ง
ราวลูกจันทร์สีทองแขวนฟ้า

จะนอนนอกชานกว้าง 
ไม้กระดานแผ่นโต  
นับดาวพราวฟ้า พาใจให้ 
ละมุนด้วยกลิ่นดอกไม้ที่หอมร่ำ 
ให้ไหวหวามและแสนอิ่มสุข



ราวน้ำคำพร่ำฝากให้เรานั้นฝันถึง 
พาใจให้ใสเย็น ชื่นฉ่ำ 
ราวได้หยาดน้ำค้างกลางเวหาหาว 
ร่วงพราวมากับดาวดวงโต..สุกปลั่ง.... 
และ
ยิ่งชื่นฉ่ำ..ฉ่ำชื่น 
ถ้าคืนนั้นฝันเป็นจริง 
มีใครสักคนเคียงคู่ ดูดาวเดือนไปด้วยกัน..... 
พาหลับไหลไปด้วยความหวาน..หวาม ....ชื่นใจ..ไหนจะเทียม 



ปริม..
ภูมิใจในงานนี้ 
งานที่เราคนในวงการเดียวกันแสนจะเข้าใจ
ถึงความฝันถึงความบันดาลใจ
ถึงไอเดียอันยากยิ่งที่ผู้ใดจะตามทัน



ปริม..
จึงคลี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อ 
พี่ชายพยายามร่ายยาวถึงรายละเอียด

พร้อมอวดภาพเปอร์สเปคทีฟให้ดู
พร้อมย้ำ งามมั้ยๆบ้านในฝันที่กำลังจะเป็นจริงของพี่

*งามค่ะ งามมากกกก*



ปริม..
พยายามลากเสียงปนหัวเราะ
งามแบบแปลกพิสดารค่ะ
รับรองใครที่ผ่านมาต้องมาเมียงมองว่าพี่
มาแอบอาศัยในวัดร้างอย่างแน่นอนเลยเมื่อแล้วเสร็จค่ะ


และ
คงแสนจะแปลกใจ
หากรู้ว่าคนในโลกนี้ทำอะไรประหลาดๆค่ะ

ที่เอาเงินหลายล้าน
มาวาดฝันเนรมิตรสร้างบ้านให้เก่าย้อนยุค
ยิ่งเก่ายิ่งขลังให้ยิ่งวังเวงเหว่ว้าเดียวดาย
ให้งามเงียบแสนสุขสมถะสงบใจ
ที่ใครหนอจะเข้าใจ



ว่านี้คือยอดไอเดีย
ที่กลมกลืนผสานผสม
ทั้งร่างใจและจิตวิญญาณภายในของเจ้าของ

ที่เคยเติบโตเติบงามมาในยามวัยเยาว์
และ
ซึมซึบประทับใจในวิถีเก่าเดิมอันแสนเคยคุ้น
หอมกรุ่นตระการในงามเงาอดีตที่อยากย้อนคืน



ปริม..
ยิ้มหวานเอาใจอย่างเข้าใจ
และเข้าใจ
พี่ชายคนดี..หัวเราะแบบรู้ใจในทีกัน
ฉันท์น้องพี่มายาวนาน



รับรองค่ะ
ช่างคงไม่คิดหนีทิ้งงานไปกลางคันค่ะ
เพราะ
หลงคิดผิดแต่แรกว่า
ขั้นตอนบ้าน
ที่ไม่ต้องฉาบปูนนั้นแสนง่าย
หารู้ไม่ว่ารายละเอียดการก่อสร้าง
ให้ละม้ายแม้นบ้านเก่านั้นแสนจะยากยุ่ง..ยิ่งกว่าเสียอีก



ปริม..
พูดไปขำไป..
และ
ปริมคงต้องเตรียมใจ
เตรียมใส่หมวกกันน๊อคป้องกันภัยไปคุมงานค่ะ

ไม่ใช่กลัวอะไรตกมาใส่ดอกนะคะ
กลัวว่าช่างจะโกรธมากกว่า
ที่ไปจุกจิกให้เป็นไปดั่งแบบ
และแอบเอาก้อนหินขว้างใส่หัวเอาค่ะ



ปริม..
จึงเพียรตั้งใจฟัง
และหวังว่า
ไม่นานนี้
บ้านราววัดโบราณนี้จะงามปรากฏ
ในหนังสือระดับชาติ

ฝากให้ร่ำลือผลงานอันงามง่ายหากทว่า
แสนลึกล้ำในความคิด..
แผกพิศพิเศษ
มิแยกวิถีชีวิตจากธรรมชาติดินดิบเดิม



ปริม..
บินกลับมา
หลังจากพาตัวเอง
เที่ยวท่องออชาร์ดโร๊ดอย่างดายเดียว
ที่แทบหลับตาเดินได้ 

ข้ามเคเบิลคาร์ไประลึกอดีตเสียนิด
แวะทักทายเพื่อนสนิทเสียหน่อย
แล้ว...
ก็ค่อยๆลอยละลิ่วปลิวกลับมากับนกยักษ์ลำใหญ่
ที่ย่อโลกกว้างทางไกล
ให้กลับมาถึงกรุงกรงมิหลงทางภายในสามชั่วโมง



ปริม..
เก็บข้าวของและ
นอนงีบหลับไป
ในเตียงโบราณม่านมุ้งขาวไหวระบัด
รับสายลมยามเย็นรินร่ำ
และ
กับสายแสงแห่งดวงตะวันยามโพล้เพล้
กับเหว่ว้าอวลหอมหวานเศร้าร้อยรัดรึงใจ



ในเรือนไทยเรือนจำปี
เรือนริมน้ำหลังที่แสนงามของปริมเอง

ที่คือวิมานดินวิมานไพร
ชวนให้หลับไหลอย่างแสนสุข

ไปกับงามดอกลั่นทมจำปีจำปา
และกับดวงดอกการะเวกเหว่ว้า
ที่มีคนรู้ใจ
เด็ดมาวางเคียงใกล้หมอน
ให้นอนนุ่มอวลนวลเนื้อใจในทุกราตรีมิขาดเลย



ปริม..
หลับตาก่อนที่จะทำสมาธิให้หลับลึก

หากในจิตปริม..นั้น
พลันกลับผุดคิดนึกถึงแบบบ้านในฝัน
อันงามย้อนงามอ่อนโยนราวเป็นภาพจริงแล้ว



ปริม....ทอดถอนใจยาว
ค่อยประคองน้อมสติมารวมกันแล้วเพียรภาวนา
ท่องพุทโธๆ 

กำหนดลมหายใจยาวสั้นอย่างช้าๆช้าๆ

ค่อยๆใช้สมาธิตามลมให้ทัน
ให้ละเมียดละไมให้ละเอียดลึกลงๆ
จนเริ่มบางเบาๆ
พลางราวพาร่างจิต
ท่องไปในนิทรา
อันสิ้นไร้ฝันฝันฝันอันแสนหวานหวานหวาน



หากทว่า...
กับราตรีนี้..ไยเล่า..
ให้จิตกลายกลับมารับรู้รับเศร้าโศกสะเทือน

มาเตือนจิต
ในภวังค์พะวงฝันมหัศจรรย์รักมหัศจรรย์นัก

ให้ปริม..ไยมารับรู้รับฝัน
ที่รานร้าว
ที่ช่างเศร้าแสนเศร้าด้วยเล่าเจ้าดวงใจอันไหวละมุนงาม



ฉากฝัน
ที่แสนโศกสะท้านสะเทือนใจ
ให้หัวอกหัวใจ
ตระหนกอกสั่นขวัญหาย

ให้ตกใจตื่นในยามค่ำเลยแล้ว

ที่ยังแว่วได้ยิน
*บทเพลงแก้วสายน้ำนิรันดร์*ยังคงแว่วหวานมา

ที่ยังคงบรรเลงครวญคร่ำ
ที่เปิดรินร่ำไว้พร่างพรมห่มหอมห้วงใจ
ให้รับไหวหวามก่อนจะเข้าสู่ภวังค์นิทรา
.

กับดวงดอกแก้วพร่างกระจ่างเหว่ว้า
ที่กำลังได้รับพร่างฝนพรำในนาทีนี้
กับแสงเทียน
ในโคมตะเกียงโบราณยังระบัดวูบไหว..วูบไหว..



แสดงว่าปริมแค่งีบไปในนิทราไม่นานเอง

และ
นิทราที่ฝันเห็นนั้น

คือ...
ภาพฝันภาพนิมิตแสนงาม
ยามที่ตัวเองห่มสไบนวลสไบแพร
นั่งอยู่ในโบสถ์คร่ำ
หน้าพระพักตร์พระพุทธองค์โตงามปลั่ง



ที่กำลังนั่งเคียงข้างเคียงไหล่กันกับผู้ชายคนหนึ่ง
ที่ดูแสนตรึงเศร้ากร้าวแกร่งราวทหารหาญ
ในเสี้ยวหน้ารำไรรับไรแสงเทียนทองสุกปลั่ง
ให้พลังอันอบอุ่นอ่อนโยนเป็นยิ่งนักแล้ว



และ
วะแว่วแผ่วเสียงสวดมนต์ภาวนา
คล้ายภาษาบาลีโบราณที่แสนขลังวังเวงใจ
จากปากบุรุษและสตรีนางนั้น
ที่ปริมคิดว่าคือเธอเองใช่ใคร



สองเสียงก้องสะท้อนทบทาบ
อาบงามไปกับแสงสงฆ์พร่างแห่งจีวรพระประธาน
ที่ช่างงามพร่างงามพรายงามไหวเรืองรอง
งามผ่องผุดพิสุทธิ์พิลาสในท่ามแสงเทียนอันทอดทอทอง



หาก..
แล้วเสียงนั้น
ก็พลันค่อยๆแผ่วเบาแผ่วเบาลง...
พร้อม..
กับหยาดน้ำตาราวหยาดน้ำค้าง
ที่พร่างพรูสู่เรียวแก้มนวลหมอง



ชายในฝันหันมาโอบประคอง
พร้อมกับที่เขาหันหน้ามาซับหยาดน้ำตานวล
โลมไล้อย่าแสนรักใคร่แสนอาลัย
และ
ชวนกันน้อมกราบกรานพระพุทธา
อย่างช้าๆพร้อมกัน..



เขาค่อยๆประคองไหล่งามล้ำ
ที่พันพาดห่มรัด
ด้วยสไบแพร
ให้เห็นเพียงไรเนินเนื้อหนั่นแน่นเนียนแดด

ให้ออกมาไกลจากวัด 



แวะนั่งพักใต้ลานจันทร์ลานฝันในร่มลั่นทม
พลาง
ค่อยๆก้มลงดอมดมพรมจูบริมไรผมเรียวแก้ม
แล้วค่อยๆเก็บดวงดอกงามมาทัดแซมผมให้อย่างเบามือ


แกมโอบตระกองกอดปลอบประโลม
ให้ร่างน้อยๆราวลูกนกสั่นสะท้านค่อยๆซุกอกใจรับไออุ่น



และราว
กับภาพลาพรากที่เขาคนดี
กำลังจะจากไกลไปไหนสักแห่งในผืนแผ่นดินนี้
ที่ไร้สรรพเสียง
มีเพียงเงียบงันราวดวงตาสวรรค์กำลังร่ำไห้รับรู้
อยู่นะเบื้องบนเพียงนั้น!
.......................
........


กลับมา.....
ให้ปริมเห็นภาพตัวเอง
อีกภาพและอีกภาพ.....

กำลังพายเรือในลำคลองสายงามออกแรงโถมอย่างรีบเร่ง
ที่สองฟากฝั่งนั้นมีเรือนไทยโบราณตะคุ่มซุ่ม
ซ่อนซุกตัวอยู่ในแมกไม้อย่างเงียบงัน
อย่างขวัญเสีย

ราวตรึงโศกวิโยคสะเทือน
ไปทั่วถิ่นทุ่งคุ้งโค้งทุกลำประโดงท้องน้ำ


ภาพปริมหาได้ห่มสไบไม่
หากตัดผมเกรียนและซ่อนร่างเนียนงาม
ภายใต้ภาพผู้ชายชาตินักรบ



และ
กับอีกภาพในนิมิต

เธอ..กำลังไล่ล่าฟาดฟันทหารพม่า
ราวกับบุรุษอาชาไนยด้วยดวงจิตเกินร้อย
ราววิญญาณบรรพบุรุษร่วมรัดร้อยพร้อมพลีรบ


และ
อีกทีอีกภาพ
ที่หลังเธอชนหลังกับใครบางคน
เคียงไหล่เคียงบ่าประจัญ
ในพรายพร่าแห่งแสงตะวันกล้า
อันดุเดือดเลือดพล่าน


ตราบจนเกือบสิ้นแสงตะวันลาตะวันรอน
กับภาพทหารนอนก่ายกองมากมาย
เหม็นคาวเลือดคละคลุ้งในทุ่งนาไร้ร้าง..อ้างว้างเงียบงัน!!!!!


กับภาพไฟ... ไฟ...  ไฟ..!!!!!
ไฟไหม้โหมไปทุกที่...

ที่แสนสยองขวัญสลดใจนัก
ภาพซากปรักหักพัง...
พระพุทธรูปถูกบั่นเศียร..


ภาพเจดีย์งาม
ที่กำลังลามไหม้ลุกโพลงล้มระเนนระนาด
โอ้..แสนจะน่าอเนจอนาถใจ..
ว่าแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
อันแสนร่มเย็นจะสิ้นแล้วหรือไร..โอ้อยุธยา..

ไยฟ้าดิน..เมินหน้าหนีมิปรานีปล่อยให้อัปราชัยไฉนหนอ!*
...........


และ
ในพรายแสงแห่งตะวันโศกนั้น

ปริมหันเห็น
เขาคนนั้น
คือลูกผู้ชายในโบสถ์คร่ำ
ที่เธอร่ำรินหยาดน้ำตาซุกอกอุ่นนั่นเอง


เธอกับเขาเคียงบ่าเคียงไหล่เคียงจิตวิญญาณ
อย่างหาญกล้า 
พร้อมด้วยประกายตาลุกโชนช่วง
ด้วยดวงแสงจำรัสอันมิพรั่น


อันคือพลังแสนยิ่งใหญ่
ที่จิตภายในตรงกัน
รวมหลอมละลายทูนเทิดไว้เหนือเกล้าเหนือดวงใจ
ด้วยแรงแห่งหวัง
แห่งรักษ์จักพลีชีพสิ้นขอยอมด่าวดิ้นแดดับ
เพื่อปกปักบ้านป้องเมือง
รักษาผืนดินไว้ตราบสิ้นเลือดหยาดสุดท้ายรดพลี




ตาสบตา..คลี่ยิ้มเย้ยชะตา..พร้อมกัน
พร้อมทายท้าข้าศึก


*เข้ามาสิ! มารับคมดาบข้า..*

เข้ามาเลย..มา..เข้ามาสังเวยเลือด
ให้หยาดริน..รดเท้าข้า..!


ที่หวังฟ้าแลดินอินทร์พรหมยมพญา
จะมาเป็นสักขีโปรยพร..!
ให้แด่ดวงวิญญาณแห่งสองเรานะเจ้ายอดดวงใจอย่าพลั่นตาย
หากหมายมาดให้ผืนดินยังอยู่ให้ลูกหลานไทได้หยัดยืนยง*



และ
ราวมีพลังแห่งปาฎิหารย์รักมาร่วมรับรู้
ทุกครา..
ที่ฟาดฟันบั่นคอศัตรู
จะเกิดแสงพร่างฉายฉานวาบวับรับกับทุกคมดาบ
กระจายรายรอบเป็นรัศมีออกไป..,มิสิ้นสุด .!!!



ก่อน
ที่ทุกสิ่งจะค่อยๆหยุดลง..และ
พลันพร่าลางเลือน..ลางเลือน...ๆๆ......

เหลือ..
ให้เห็นเพียงสีแดงสีแดงและสีแดง
ท่วมท่ามบนผืนหญ้าผืนพสุธา
และ
บนตักงาม
ที่พลันนะบัดนี้มีร่างเขาซุกซบ
ในอ้อมตักอ้อมใจ

พร้อมกับอกอุ่นๆ
ที่หยาดเลือดรักยังระรินไหลมิหยุดยั้ง

ราวสายธารโศกให้โลกหยุดหมุนชั่วครู่

ดาวรุบหรู่มืดมิด ...

ลมหยุดพัดนิ่งงัน..

สวรรค์แลฟ้าดิน

กำลังครวญคร่ำร่ำไห้
ราว
กำลังพร่างน้ำตาสรรเสริญรักนิรันดร์อันแสนยิ่งใหญ่นี้

ที่ฝากพลีเทิดผืนปฐพี
ชะโลมหล้าชะโลมดิน
ให้ไทยยังคงเป็นไท..มิรู้สิ้นยังคงภาคภูมินาม



และ

ก่อนที่
ดวงใจที่เหลือเพียงน้อยนิด
ระริกๆริบหรี่ไหว
ของงามใจแห่งนางแก้วจะพรากลา

เธอคนดี
ค่อยๆจูบแก้มที่เริ่มชืดชาเฉียบเย็นในอ้อมตัก

เพียรพยายามโลมไล้ลูบใบหน้าอย่างละมุน
พร้อมปิดเปลือกตาให้ยอดรักยอดดวงใจ
ผู้อันเป็นที่รัก


ที่ราวกับยังแย้มยิ้มยินดี
กับชีพนี้ที่ได้พลีเลือกแล้ว

และ
ราวกับปลอบประโลมเธอ
ด้วยดวงตาหนักแน่นคงมั่นแทนคำมั่นสัญญา
แทนคำลาตราบชั่วนิจนิรันดร....


เธอ..
ปวดร้าวนักทั้งร่างใจ
หากหัวใจแสนปิติอิ่มเอม
ที่ได้ทำหน้าที่สุดท้ายอย่างสมภาคภูมิ

เธอค่อยๆทอดร่างลงเคียงข้างเขาอย่างช้าๆ
มือกุมมือมั่นกันแนบแน่น
แล้ว..แย้มยิ้ม..อิ่มเอม..รอ..และรอ..เวลา...

ใบไม้ไพร...ในราวป่า
พลันร่วงควงพลิ้วปลิดปลิวโปรย....ลงมาอย่างช้าๆช้าๆ..
ไปกับอวลอบอันแสนหวานเศร้ารานร้าวระทม
ของดวงดอกลั่นทม
กับสายลมเย็นในยามค่ำ...ราวร่ำไห้
...........
..............


ในยามนั้น

ที่มีเพียงดวงตาสวรรค์เบื้องบนพลันรับรู้

เห็นร่างคู่คลี่คลุมด้วยสไบแพรผืนเดียวกัน
ที่นะบัดนี้นั้นหยาดเลือดรักภักดิ์พลีได้หลั่งรินหมดสิ้นสายลงแล้ว

*ในเวิ้งฝันพสุธารักอันแสนเงียบงันเงียบงามไปตราบชั่วนิจนิรันดร...*

*******************



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6192
ความฝันอันสูงสุด   
เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key Eb  

ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย...

 
  


				
24 ตุลาคม 2547 10:05 น.

แสงเทียน.ส่องจิตพร่างสู่ลานสรวง

พุด


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=6194
URLhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=420
***********

คืนนี้...
จันทร์ครึ่งดวงพอกันกับใจดวง..ครึ่งเดียวดายเดียว
ราวเสี้ยวจันทร์แรม

ดวงเดินออกไปดูจันทร์ดวงงาม
ทอดแสงผ่านใบระยิบของต้นก้ามปูและจามจุรีที่สูงใหญ่
ใบงามพร่างกระจ่างท่ามกลางแสงจันทร์ทอทอดลอดโลมไล้
แม้จะหยาดสายหวานเพียงครึ่งเดียวตามเรียวจันทร์แรม

และกับ
ใจดวง ดวงดายเดียวที่เหลือเพียงครึ่งเดียวพอกัน
พลันนอนหลับตาฝันฝันบนเตียงโบราณและฟังเพลงนี้



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=169
เพราะขอบฟ้ากว้าง กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์ : : Key Eb 

ป่านนี้แก้วตา นิจจาคอยพี่
โอ้ป่านฉะนี้ คนดีคงทุกข์โศกตรม
คิดถึงคืนวัน ที่สองเรานั้นรื่นรมย์
ต่างชื่น ต่างชม ภิรมย์รักกันมา
บัดนี้พี่ยัง รักเธอไม่หน่าย
สู้อยู่เดียวดาย ไม่คลายความรักแก้วตา
รสรักยังตรึง ซาบซึ้งแน่นดวงวิญญา
ขอเพียงแก้วตา สัญญาไม่เปลี่ยนใจ
แต่เรานี้ต้องอยู่ห่างกัน ต่างคนต่างฝัน
ต่างคนตื้นตันทรวงใน
เห็นดารา นึกว่าเนตรน้อง
พี่หลงพี่จ้อง มองไป
เห็นเงากิ่งไทร พี่ยังเคลิ้มไป ว่ากานดา
อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย

อยู่ฟ้าเดียวกัน พระจันทร์ดวงหนึ่ง
แปลกใจสุดซึ้ง ไยจึงไกลน้องหนักหนา
ฟ้านี้ไกลไป ไม่เหมือนดังใจเสน่หา
อยากใกล้กานดา อยากให้ขอบฟ้า แคบแคบเอย....
......................


เลยอยากอดอ้อนฝากใจฝากจันทร์
พาตัวเองออกไปฝันพลี
ภายใต้เรียวแสงแห่งจันทร์แรมนี้

ที่ก็ยังหว่านหวาน
ให้ม่านเมฆและสายลมพร่างพัดผ่าน
คำซึ้งๆตรึงใจไปกระซิบฝากหมอน
หวังยามเธอคนดีคนไกลหลับตานอนหนุนให้คะนึงหา



จันทร์เอ๋ยจันทร์งาม 
ช่างทรงพลัง....ให้มนุษย์ฝันไกลได้ฝากใจได้แบ่งปัน
และได้โอบเอื้อฝันให้กับผู้คนบนพสุธา
ได้รับความงามอันแสนหวานเย็นยามราตรี
แทนฤดีที่เร่าร้อนแรงราวแสงตะวันในยามทิวาวัน

ดวงเดินทองน่องช้าช้า...ช้าช้า..
แหงนเงยแลฟ้าและหมู่ดาว
และเฝ้าหวังว่าคนไกลที่ดวงแสนรักเอยแสนรักในกมลนั้น
จะไม่ลืมคำมั่าสัญญาระหว่างเรา..ระหว่างไกล



วันนี้..ดวงรู้สึกสุขสงบมาก
ในยามบ่ายใกล้ตะวันโพล้เพล้
ดวงได้นอนดูกระรอกน้อยค่อยๆป่ายปีนต้นมะม่วง
และเฝ้าเอาใจช่วยยามกระโดดวับ
จับเกาะกิ่งแก้วอย่างคล่องแคล่วว่องไว

ดูใบไม้ยักษ์พลูด่างแล้วหลับตา
ว่าดวงกำลังอยู่ในป่าอัฟริกา..หรือพงไพรที่ไหนสักแห่ง
ที่แสนเงียบสงบงาม..



เพราะ
หันไปทางไหนก็มีแต่...ใบไม้พร่างพรายระยิบตา
รับนวลแสงสีทองส่องให้เกิดประกายพราวพร่าง
ดูนั่นซี..
สไบไพลใบตองอ่อน
กำลังร่ายฟ้อนอ้อนสายแสงงาม
ราวสไบนางฟ้าที่มาลีลาซัดส่ายไหว
ราวสไบแพรไหมใบไม้รอห่มร่าง
ให้นางนวลนางไม้ได้หอมห่มบ่มงาม



และ..
ดวง...ในท่ามกลางกองหนังสือมากมายหลายเล่ม
ที่กองไว้ยังไม่มีเวลาอ่าน
เริ่มค่อยๆพลิกอ่านเล่มแรก
*เมื่อหมอเป็นมะเร็งภาค2

ยุทธศาสตร์สุดท้ายในการต่อสู้กับมะเร็งพิมพ์ครั้งที่สี่แล้ว
ของศาสตราจารย์ นายแพทย์ ม.ร.ว ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จาการศึกษาและทดลอง
โดยใช้ชีวิตของท่านเองเป็นเดิมพัน



และนาทีนี้
ดวงขอกราบคารวะแด่ดวงวิญญาณ
อันแสนงดงามตราบจนนาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน
ผุ้สร้างคุโณปการแด่เพื่อนมนุษย์

ผู้ยังว่ายวนในวัฎฎอนิจจังสังขาร
และมิพานพบคำว่าสัจจธรรมแห่งชีวิต
อันหาความเที่ยงแท้แน่นอนหาได้ไม่
ให้ได้ตระหนักรำลึกรู้
ถึงนาทีชีวิตทุกนาทีว่าแสนมีค่า 
อย่าได้ปล่อยวันเวลาให้เปล่าเปลืองประโยชน์
หายใจไปวันวัน 



รอจนกว่าร่างนั้นใกล้สลายลาลับปราณแตกดับ
ถึงคิดทำความดี
เพราะบางทียามนั้นก็สายเกินไป

ท่านเป็นผู้เพียรสร้างกุศลจิตมาตลอดชีวิต
และตราบจนถึงนาทีสุดท้าย
และยามร่างท่านมลายอินทรีย์หายไปจากโลกนี้
ท่านก็ยังฝากคำสอนใจในหนังสือ
เพื่อเป็นอุทาหรณ์ไว้สอนใจ



ด้วยดวงใจคารวะ
และด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปิติใจ
ถึงนวลเนื้อใจของท่านผู้เป็นสุภาพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งผืนดิน
หนึ่งในหกสิบล้านราวฮีโร่ในดวงใจดวง



ดวงเพียงน้อมพลีขออนุญาตินำบางส่วนมาน้อมนำใจ
ถ่ายทอดความปิติใจความงามความดีของปูชนียบุคคล
ผู้กล้าผจญกับโรคร้ายอย่างมีสติ
อย่างกล้าหาญ อย่างมีอารมณ์ขัน
อย่างผู้ถึงพร้อมคำว่าตายก่อนตาย




ให้ความงดงาม..ความดีแห่งชีวิตหนึ่งนี้
ได้เผยแพร่เป็นบทเรียนเป็นดั่งวิทยาทาน
แด่ทุกดวงใจที่ได้อ่านผ่านตานะนาทีนี้
และ
แด่ผู้ป่วยมะเร็งหัวใจ
ที่กัดกร่อนให้น้ำนวลในหัวใจแล้งไร้คล้ายทะเลทรายก็มิปาน
และ
ที่ยังไม่ป่วยให้เข้าใจถึงคำว่าชีวิตยิ่งขึ้น
และ
จะหยิบยกคำนำจากสำนักพิมพ์ที่ท่านได้กล่าวไว้ดังนี้



*ถึงตอนนี้ผมคิดว่า ผมพบสัจธรรมในการรักษามะเร็ง
แล้วละ ผมสนุกมากับการเป็นมะเร็งครั้งนี้
เมื่อก่อนก็สนุกกับการร้องเพลงคาราโอเกะ
สนุกกับการเล่นปิงปองกับหลานๆ สนุกกับการอ่านหนังสือ
แต่การเป็นมะเร็งเป็นความสนุกที่สุดในชีวิต*



*ธันย์ โสภาคย์ *สรุปเอาไว้เช่นนี้ 
หลังการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่

 *ธันย์ โสภาคย์*
เขียนเล่าเส้นทางในการต่อสู้กับมะเร็งตลอดมา
ในนิตยสารชีวจิต 
เรื่องชุดแรกรวมเล่มและตีพิมพ์ไปแล้วในชื่อ
*เมื่อหมอเป็นมะเร็ง*
และต่อด้วย*ยุทธศาสตร์สุดท้ายในการต่อสู้กับมะเร็ง*
ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาคสอง เล่มนี้ที่ดวงนำมาแนะนำ
หลังจากที่พบว่ามะเร็งลุกลามไปที่ตับ



*ธันย์ โสภาคย์* 
ใช้เวลาหลังการผ่าตัดร่วมสองปี
ในการเรียนรู้เรื่องมะเร็ง

 เอาตัวเองเข้าทดลอง
ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนทางเลือก
ทำกงานหนักยิ่ง ทั้งเดินสายบรรยาย 
เขียนหนังสือ รักษาคนไข้



โดยเฉพาะคนไข้มะเร็ง 
และยังใช้เวลาที่เหลือหาความสุขให้ตนเอง
ทั้งเดินทางท่องเที่ยว วิ่งมาราธอน ขี่จักรยานเสือภูเขา ..

เป็นหมอ เป็นอาจารย์ 
ศึกษาและเขียนหนังสือเล่มนี้ให้เป็นคู่มือ
ของคนที่ต่อสู้กับมะเร็ง



อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง สรุปถึง*ธันย์ โสภาคย์* ว่า
*ความเป็นหมอ เป็นครู  ความเป็นนักวิทยาศาสตร์
ความกล้าหาญและความเสียสละของอาจารย์นั้น 
ยิ่งใหญ่เหลือเกินในโลกแคบๆของวงการแพทย์สมัยนี้*



ดั่งที่ดวงจะยกบางประโยค
มาน้อมนำใจให้ทุกดวงใจได้ปันแบ่งนะบัดนี้
จากตอนหนึ่งในหลายสิบตอน

ที่หวังว่าจะก่อเกื้อให้เกิดประโยชน์
ในทางด้านจิตวิญญาณ
มาน้อมนำทางให้สว่างกระจ่างใจ



เป็นบทเรียนสอนใจที่ยิ่งใหญ่
ให้เราทุกดวงใจได้คิดใฝ่ดี
มิยอมก้มหัวให้โชคชะตายอมแพ้พ่ายต่ออุปสรรคใดใด
และ
อย่าได้ผลัดวันประกันพรุ่ง
ที่จะเพียรสร้างนวลเนื้อหอมงามใจ
ทำความดีให้กับผู้อันเป็นที่รัก
และแด่เพื่อนมนุษย์
ก่อนที่จะสายเกิน
จากหนึ่งในหลายๆตอน
ที่น่าอ่านแบบสอดแทรกอารมณ์ขัน
**********



*ฑูตสวรรค์*
จากฝืมือรจนาของนักเขียนผู้วายชนม์
ผู้เพียรพลีจิตอันแสนกระจ่างพร่างพราว
ราวสายแสงเพชร
มาส่องสว่างนำทางใจให้กับเพื่อนมนุษย์
ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ผลงานงามอันแสนเลอล้ำค่าทางการแพทย์
และจิตวิญญาณผู้ให้ ผู้มิยอมแพ้ ผู้แสนหาญกล้า

อันเปรียบประดุจดั่งอัญมณีใจ
ที่แสนงามแสนยิ่งใหญ่เป็นยิ่งนักแล้ว
ในดวงใจดวงน้อยน้อยดวงนี้
ที่จะขอพลีคารวะ
น้อมนำมาฝากทุกสายตาทุกดวงใจ
นะบัดนี้ค่ะ



*ด้วยความไม่ประมาท 
ฉันสำนึกนึกเสมอว่า
ตนเองอยู่ไม่ไกลจากความตายมากนัก
เสมือนไม้ใกล้ฝั่ง 
สำหรับคนที่มีมะเร็งแฝงอยู่ทั้งในตับและปอดในขณะนี้



ฉันเกิดความคิดทีเล่นทีจริงว่า
น่าจะสำรองอาศรมบนสวรรค์ไว้สักหลังหนึ่งได้แล้ว

ฉันจึงเริ่มติดต่อกับฑูตสวรรค์ทางจิตวิญญาณดู
ไม่รู้ว่าสายการสื่อสารจะว่างบ้างตอนไหน
เพราะเท่าที่ทราบข่าวสารทั่วโลกวันนี้
มีคนตายมากมายเหลือเกิน



ทั้งแผ่นดินไหวที่เมืองจีน ตุรกี กรีซ ไต้หวัน
ทั้งน้ำท่วม พายุเฮอริเคนในอเมริกา
เครื่องบินชนกันกลางอากาศ
เครื่องบินชนคอนโดมีเนียม
และ
เครื่องบินตกด้วยเหตุต่างๆ
กว่าสิบเครื่องในเวลาใกล้เคียงกัน



โรงงานอบลำไยที่สันป่าตองเชียงใหม่
มีสารโพแทสเซี่ยมระเบิด
พาคนตายไปหลายสิบคน

หมอดูหลายท่านทำนายไว้ก่อนแล้วว่า
จะมีอุบัติภัยร้ายๆที่มากับY2K

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสวรรค์จะว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้



ต่อไปนี้เป็นการสนทนาโต้ตอบทางโทรศัพท์ทางไกล
ระหว่างเลขาฯของฉันกับเทวฑูต
ผู้เป็นเลขาฯของแดนสุขาวดี  
ตามที่จิตวิญญาณของฉันรับทราบ



*ฮัลโหล ที่นี่ที่ไหนคะ* เลขาฯของฉันถาม
*โยมเอ๋ย ที่นั่นมันก็บ้านเธอนะซี แต่ที่นี่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะจ๊ะ*
เสียงจากสวรรค์มีกังวานน่าทึ่ง *มีธุระอะไรมิทราบ*
*อ๋อ ดี ชั้นต้องการสำรองอาศรมให้เจ้านายสักหลังหนึ่งนะค้า
*อ้อ แล้วเจ้านายของโยมพร้อมจะมาเมื่อไร 
อาตมาจะได้ส่งจานบินไปรับ



*ก็คงเร็วๆนี้แหละค้า เพราะที่กรุงเทพฯ
เขาออกข่าวไปแล้วว่าเจ้านายของดีชั้นได้ตายไปแล้ว 
นายท่านจึงไม่อยากให้พวกนั้นผิดหวัง*
*เร็วๆนี้คงไม่ได้หรอกหนู เอ๊ย โยม..
เพราะอาศรมบนสวรรค์ชั้นนี้เต็มโม้ด  
ต้องอดใจรอโครงการสอง
คงจะเสร็จหลังวิกฤตการณ์วายทูเค*



*หมายความว่าไงหรือคะ ท่านตรีฑูต*

*เฮ้ย เรียกเทวฑูตพอแล้ว ไม่ต้องบอกซีเท่าไรก็ได้..อ๋อ
วายทูเค ก็แปลว่า เวย์ทูครายไงละโยม ไม่เห็นรึ
ชาวโลกตอนนี้ร้องห่มร้องไห้กันจ้าละหวั่น
เศรษฐกิจของสวรรค์ก็พลอยถูกถล่มไปด้วย
ค่าเงินบาทตกไปถึงหนึ่งดอลล่าร์ต่อสี่สิบบาท
 สงสัยการสร้างเจดีย์สวรรค์จะค้างเติ่ง*



*แต่เรามีเงินจะบริจาคให้นะเจ้าคะ
ขอท่านเทวฑูตโปรดพิจารณาด้วย*

*เอ้อ ดีซี ถ้าได้สักห้าล้านก็จะได้อาศรมเดี่ยว
สามห้องนอนสี่ห้องน้ำในหมู่บ้านสวรรค์นิเวศ



*ถ้ามีแค่สองล้านละเจ้าคะ*
*สองล้านก็ได้อาศรมแบบเฮเว่นเฮ้าส์ พออยู่ได้*
*ถ้าล้านเดียวล่ะเจ้าคะ*
*อ๋อ ก็อยู่ห้องแถวไปก่อนละกันนะโยม



*แปลว่าถ้าใครมีไม่ถึงล้าน
ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์เป็นความจริงหรือเจ้าคะ*
*ไม่จริ๊ง ไม่จริงจ๊ะ สวรรค์เป็นอัตตานะจ๊ะ
ใครทำกรรมดีก็ขึ้นสวรรค์ได้ทั้งนั้น
แต่กรรมดีนี่มันรวมถึงทานด้วยนะโยม
ถ้าไม่ทำทานสวรรค์ก็ยังไม่ว่าง NO VACANCY น่ะพอรู้ใช่ไหมล่ะ



*ถ้าเช่นนั้นเจ้านายของดิฉันยังไม่ยอมตายดีกว่า
ท่านจะสะสมทานบารมีให้มากพอก่อนนะเจ้าค่ะ
พร้อมแล้วจะโทรมาใหม่ สวัสดีค้า*

*เดี่ยวก่อน..*เทวฑูตขอปรับความเข้าใจ
*ไม่ยอมตายเฉยๆคงไม่ได้หรอกโยม 
ไม่ว่าใครจะตายเมื่อไรล้วน
มีประกาศอยู่บนสวรรค์แล้วทั้งสิ้น*



*อ้าวแล้วมีทางแก้ประกาศได้มั้ยละเจ้าคะ*เลขาฯของฉัน
ไม่ลดละความพยายาม
*ได้ แต่ต้องผ่านที่ประชุมของทวยเทพทั้งหลาย
ซึ่งมีพระอินทร์ผู้ทรงฤทธิ์เป็นองค์ประธาน*



*ใครเป็นผู้เสนอญัตติให้เปลี่ยนประกาศได้เจ้าคะ*
*อ๋อ เจ้าทุกข์เองก็ทำได้*เทวฑูตอธิบาย
*มีชาดกเรื่องหนึ่งในพระไตรปิฏก ใช้เป็นบรรทัดฐานได้
เปรียบเสมือนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความไง 
คุ้นเคยดีอยู่แล้วมิใช่รึ



*ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีกษัตริย์สองเมืองจะทำสงครามกัน
ฝ่านหนึ่งไปถามพระฤาษีมีฤทธิ์ ซึ่งติดต่อกับพระอินทร์ได้ 
ได้รับคำแจ้งว่าฝ่ายตนจะชนะ จึงประมาท
 ปล่อยเหล่าทหารสนุกสนานบันเทิง



ส่วนกษัตริย์อีกฝ่ายหนึ่งทราบข่าวทำนายว่าฝ่ายตนจะแพ้
จึงตระเตรียมการให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
ครั้นถึงเวลารบจริง 
ฝ่ายหลังนี้ก็เอาชนะกษัตริย์ฝ่ายที่มัวประมาทได้
พระอินทร์ถูกต่อว่าจึงกล่าวเทวคติออกมา



*ความบากบั่นพากเพียรของคน เทพทั้งหลายก็กีดกันไม่ได้*



*แปลว่าคนที่ถูกกำหนดให้ตาย
แต่ยังมีจิตใจต่อสู้ด้วยความบากบั่นพากเพียร  ยังมีสิทธิ์รอดได้
*เลขาฯ ของฉันขอคำยืนยัน
*แปลว่า สวรรค์ก็เป็นประชาธิปไตย*
*อ๋อ แน่นอน   เทวดาทุกประเภท
ตลอดจนถึงพรหมที่สูงสุด
ล้วนเป็นผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย 
เวียนว่ายในสังสารวัฎเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย



และ
ส่วนใหญ่ก็เป็นปุถุชน 
ยังมีกิเลสคล้ายมนุษย์
แม้จะมีเทพเป็อริยบุคคลบ้าง
ส่วนมากก็เป็นอริยะมาก่อนตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์



แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบโดยเฉลี่ยตามลำดับฐานะ
เทวดาจะเป็นผู้มีคุณธรรมสูงกว่า
 แต่ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
แต่ก็พูดรวมๆไปได้ว่าเป็นระดับสุคติด้วยกัน



*เทพชั้นดาวดึงส์เหนือกว่ามนุษย์ 3 อย่าง
คือมีอายุทิพย์ ผิวพรรณทิพย์ และความสุขทิพย์
*แต่มนุษย์ชาวชมพูทวีป
ก็เหนือกว่าเทวดาชึ้นดาวดึงส์3ด้าน
คือ กล้าหาญกว่า มีสติดีกว่า 
และมีการประพฤติพรหมจรรย์(การปฎิบัติตามอริยมรรค)



*มนุษย์อยากไปเกิดในสวรรค์ 
แต่เทวดาถือว่าการเกิดเป็นมนุษย์
ต่างหากคือสุคติของพวกเขา


*พุทธพจน์มีว่า
 *ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์นี้แล นับว่าเป็น
การไปสู่สุคติของเทพทั้งหลาย*



*ท่านเทวฑูตเจ้าคะ* เลขาฯ พหูสูตรของฉันอยากรู้ต่อ
*แปลว่าเทวดาชอบจุติไปเกิดในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย*
*ใช่แล้ว* ท่านเทวฑูตตอบ

*ว่าแต่โยมยังอยากขึ้นสวรรค์อยู่รึเปล่า*
*ท่านหมายความว่า ชาติก่อน ชาติหน้า
 และนรกสวรรค์มีจริงหรือเจ้าคะ



*ตามพระพุทธศาสนามีหลักฐานในคัมภีร์
ซึ่งแปลความหมายตามอักษรว่ามีจริง*

*แต่การพิสูจน์เท่านั้นยังไม่สิ้นสุด เพราะไม่มีใครรู้จริง
ก็เคยมีคนตายแล้วมาอธิบายที่ไหน 



ช้าๆนานๆเราได้ข่าวว่ามีคนระลึกชาติได้
มีเค้าเงื่อนให้คิดว่าจริง แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้นะโยม*

*ถ้าเช่นนั้น 
พระพุทธศาสนาสอนมนุษย์ว่าควรปฎิบัติอย่างไรคะ
ให้เชื่อหรือไม่เชื่อ*
*พุทธศาสนาไม่แนะนำให้มนุษย์ครุ่นคิดว่าตายแล้วไปไหน
ถือว่ายังเป็นอวิชชาเป็นเรื่องไกลตัว 



ไม่มีคำเฉลยแบบตรงไปตรงมา
พุทธศาสนาสอนให้มนุษย์สนใจการปฎิบัติ
ต่อชีวิตปัจจุบันเอาไว้ให้จงดีเท่านั้นเป็นพอ
กรรมดีทั้งหลายทั้งปวงจะเสริมบุญบารมี
ให้ผู้ปฏิบัติดีแล้วเดินทางไปสู่สุคติได้แน่นอน
.........................


เมื่อฉันได้ทราบความดังนั้นแล้ว
รู้สึกว่ากรรมทั้งหลายที่ฉันทำมา
ก็มีทั้งกรรมดีกรรมชั่ว หรือกรรมไม่สู้ดีนักอยู่มาก
อยากทราบต่อไปว่า 
จะสามารถลบล้างกรรมชั่วโดยการไถ่บาปได้หรือไม่
หรืออีกนัยหนึ่ง กรรมดีจะหักกลบลบหนี้กรรมชั่วได้หรือไม่



ฉันปรึกษาท่านผู้รู้เรื่องนี้ดีแล้ว
พอสรุปได้ความว่า
*กรรมชั่วของแต่ละคนไม่มีทางไถ่บาปได้โดยตรง
มีแต่ทำให้เจือจางลงได้ 
โดยหมั่นกระทำแต่กรรมดีในช่วงชีวิตที่เหลือ



พระท่านอธิบายว่า
กรณี้เปรียบเสมือนน้ำหนึ่งถังมีสีแดงของกรรมชั่ว
มองเห็นน้ำสีแดงชัดเจนอยู่ 
ไม่สามารถสกัดเอาสีที่เจือปนอยู่ออกได้

แต่ถ้าเราหมั่นเติมน้ำบริสุทธิ์ลงไปในถังนั้น
จะพบว่าสีแดงของน้ำจะค่อยๆจางไปๆ
จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ทั้งที่สีแดงก็ยังคงอยู่ในน้ำนั้นปริมาณเท่าเดิม
หาได้ลดลงหรือหายไปไม่ 



ฉันใดก็ดี
หากมนุษย์ผู้มีกรรมชั่วร้ายมาก่อน เช่น องคุลีมาร
ผู้เคยฆ่าคนเป็นว่าเล่น
ยังสมารถกลับเนื้อกลับตัว
ประกอบกรรมดีจนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้
แต่เมื่อเป็นอริยะแล้ว หากยังฝืนประพฤตินอกลู่นอกรอย
อยู่อย่างพระเทวทัต ก็มีสิทธิ์ถูกถอดถอนยศศักดิ์
และถูกลงโทษให้าสมถูกธรณีสูบได้อยู่......
.............................................
..........................................



ดวงจึงขอจบบทแนะนำหนังสือแสนดีมีค่าเล่มนี้
ที่สอนให้เราทุกดวงใจได้มรณานุสติ
หันมาคิดใฝ่เพียรสร้างแต่กรรมดีกุศลจิต 
ให้มีเมตตาจิตคิดอภัยแบ่งปัน
โอบเอื้อน้ำใจอันแสนใสพิสุทธิ์
เพื่อช่วยกันเป็นรวมเป็นพลังหยุดโลกร้อน..ให้ผ่อนเย็นสุขสงบ..



หวังทุกดวงใจคงได้อะไรไม่มากก็น้อยจากน้ำใจของดวง
ที่ปรารถนาดีและห่วงใยที่ทุ่มเทใจถ่ายทอดนำมามอบให้
หากอยากอ่านรายละเอียดก็หาซื้อได้นะคะ
และ
ด้วยจิตคารวะขอกุศลผลบุญนี้ได้ผ่านไปยังท่านผู้เขียน
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ม.ร.ว ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์
ซึ่งนะบัดนี้ท่านคงไปเสวยทิพยสุขในสวรรค์อันแสนสุคติเย็นแล้วค่ะ

**********************


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=6194
แสงเทียน   
เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key D  

จุดเทียนบวงสรวง ปวงเทพเจ้า
สวดมนต์ค่ำเช้า ถึงคราวระทมทน
โอ้ชีวิตหนอ ล้วนรอความตายทุกคน
หลีกไปไม่พ้น ทุกข์ทนอาทรร้อนใจ
ต่างคนเกิดแล้ว ตายไป
ชดใช้เวรกรรมจากจร
นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม
ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน
เชิญปวงเทวดา ข้าไหว้วอน
ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน
แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน

เปรียบเทียนสิ้นแสง ยามแรงลมเป่า
ชีพดับอับเฉา เหมือนเงาไร้ดวงเทียน
จุดเทียนถวาย หมายบนบูชาร้องเรียน
โรคภัยเบียดเบียน แสงเทียนทานลมพัดโบย
โรครุมเร่าร้อน แรงโรย
หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ
ทำบุญทำทานกันไว้เถิด เกิดเป็นคน
ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่
เคยทำบุญทำคุณ ปางก่อนใด
ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า
ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา
แสงเทียนบูชาจะดับพลัน
แสงเทียนบูชาดับลับไป...
*************




http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=101

รักกันวันนี้ดีกว่า
เผื่อว่าพรุ่งนี้มีอันเป็นไป
แม้เธอและฉันนั้นต้องพลันสิ้นใจ
ฉันจะหวังใครให้เป็นที่รักยิ่ง

รักกันวันนี้ดีกว่า
เผื่อว่าพรุ่งนี้มีใครมาชิง
ฉันอาจพลาดแพ้เหลือแก้คืนทุกสิ่ง
แล้วจะหมายอิงแอบอ้อนวอนรักใคร

พรุ่งนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
แปรผันยอกย้อน ลวงหลอนเปลี่ยนใจ
เผื่อว่าพรุ่งนี้โลกแตกสลายไป
วันนี้เล่าใครจะอยู่คู่ฉัน

รักกันวันนี้ดีกว่า
เผื่อว่าพรุ่งนี้จำใจไกลกัน
ฉันอาจสิ้นหวัง เหมือนดังสิ้นชีวัน
เหลือแต่เพ้อฝัน สุดกลั้นใจหมองตรม 

*******************



รักกันวันนี้ดีกว่า ..พุดพัดชา

ดวงเคยไปส่ง ดวงใจมากมายหลายดวง
ที่ดวงแสนรักเอยแสนรักในกมล
แต่..จำต้องพลัดพรากจากลา...
หลายสถานที่หลายสถานีชีวิต
ที่ฟ้าลิขิตให้เราต้องพบพรากจากลา..เป็นธรรมดา ธรรมดา โลก


บางครั้งก็ที่สถานีรถไฟ 
บางทีก็ไปถึงสนามบิน ...

ก่อนพรากไกล..ดวงจะกอดลาทุกดวงใจ...
จูบแก้มซ้าย..ขวา....
และกระซิบอวยพร ให้เดินทางปลอดภัย..
จนคนที่จากไปบอกไม่ต้องกอดแน่นมากก็ได้..
ไม่ได้ไปนานหลายปี เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว........
.

ดวงเลยบอกว่า..ไม่ได้สิ...
มันเป็นสิ่งแสนดีที่อยากมอบให้เธอ
เป็นสิ่งที่เสนอให้มา...

เพื่อแสดงว่าเรารู้สึกอาวรณ์อาลัย
รักและรอ ขอครบสูตรหน่อย.....
จริงมั้ยคะ..ขาดก็แต่พวงมาลัยคล้องมือ 
ที่ดวงมักจะถือเป็นประเพณีที่ชอบนำไปคล้องใจผู้มาเยือน.


แต่สำหรับบางคนแค่ใช้ใจคล้องใจ..ก็พอ
ไม่จำเป็นต้องลงทุนพ้อรอลาด้วยดอกไม้
ซึ่งมินานจะพานลาจะพาเหี่ยวเฉา

ดวงเป็นคน..ละเอียดอ่อน..กับทุกสิ่ง...
วัยวันสอนบทเรียนให้ดวงรู้ว่า.โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน.
กับทุกเวลาของชีวิตนี้ที่แสนสั้น.....ยิ่งนัก......
ความทุกข์..ความสุข..ที่ผ่านเข้ามาทายทัก สอนให้ดวง 
ใช้เวลาของชีวิตอย่างไม่ประมาท.....
และพยายามใช้อย่างมีคุณค่า...ต่อทุกคนที่ดวงรักเท่าที่ใจจะทำได้............


คุณๆคงไม่ทราบว่า ดวงเคยสูญเสีย..
ครอบครัวของคนที่ดวงรัก..ผูกพันยิ่ง..ราวน้องสาว.......
พร้อมกันทั้งสามคน พ่อ..แม่..ลูก......
เพราะเที่ยวบินที่ตกที่สุราษฎร์ธานี..
ในค่ำคืนหนึ่ง ที่ฝนตกราวฟ้ารั่ว....ร่ำไห้..เมื่อสองปีก่อน
พร้อมกับที่นักร้องยอดนิยม...เจมส์..ผู้โชคดี รอดชีวิตมาได้..........


ทุกครั้งที่ดวงไปสนามบิน..ดวงจึงมักจะเศร้าหมองใจ...
ดวงรอเวลาที่จะเขียนสิ่งดีดี.....
เพื่ออุทิศให้กับน้องสุดที่รัก ที่ลาลับไป ไกลสุดหล้า......
และดวงอยากบอกคุณๆว่า...ใจดวง..
ยิ่งแสนเศร้า...เพราะก่อนวันเดินทางลาจาก...
เธอได้โทรมาร่ำลาดวง...ด้วยเสียงหัวเราะ.....
อย่างมีความสุข........


ดวงพยายามเว้าวอนให้เธออยู่ต่อ ราวรู้.และราว.อยากยื้อยุด 
จากกำหนดนัดของฟ้าดิน..........

แต่.....คำที่เธอบอกดวงราวสังหรณ์ย้ำอาลา....
เธอต้องกลับพร้อมครอบครัว.....


ใช่เลย.......
เธอจึง...จากดวงไป...พร้อมทั้งครอบครัวที่อบอุ่น..
แสนรักของเธอจริงๆ..พ่อ..แม่..ลูก........
โดยทิ้งให้ผู้อยู่หลัง..เจ็บปวด ด้วยรัก อาวรณ์ อาลัย 
อย่างยากยิ่งที่จะทำใจ...เนิ่นนาน......


น้องรัก.....ดวงสัญญา...
วันหนึ่งเมื่อใจดวงพร้อม 
ดวงจะเขียนถึงคุณงามความดีราวตำนาน...
ที่เธอฝังฝากไว้ให้กับทุกคน..
ที่บ้านเกิด....บ้านเกาะ...ของเรานะ....น้องรัก....

ระหว่างเรา...กาลเวลา และทุกสิ่ง 
มิอาจพรากจาก ความทรงจำที่แสนดี แสนงาม.........
ตราบจนชั่วฟ้าดินสลายลับ.........................


ดวงเขียนเรื่องนี้ เพราะได้ตระหนักชัดว่า...

โลกนี้ไม่เคยมีอะไรแน่นอน
ให้เราเตรียมพร้อมทางจิตวิญญาณ ไว้เพียงนั้น 
ที่จะฝ่าฟันพาดวงใจอันผ่องแผ้ว
ไปสู่ฝั่งฝัน อันว่าง สว่าง สงบ และจบด้วยความสุขนิรันดร์..
ไม่มีภพมีชาติอีกต่อไป..
แม้..หนทางจะยังแสนไกลเป็นยิ่งนัก..ก็จักอย่าได้ละความเพียร..


และดวงคิดถึงเพลงๆนี้
พร้อมความทรงจำรำลึกที่เจ็บปวด...
.ดวงอยากมอบเพื่อเตือนใจ...
ให้ผู้อ่านที่ดวงรักยิ่ง ทุกทุกท่าน.........
ตระหนักคิด...และรู้ว่า.....

วันนี้....คุณได้ทำสิ่งดีดี...ให้กับคนที่คุณรัก....หรือยัง..........
ถ้ายัง....คุณทำเสียนะคะ....ก่อนที่.....พรุ่งนี้จะสาย......เกินไป........


ด้วยรัก...
จากใจ.....ดวงนี้..จากเนื้อใจดวงนี้..ที่ยากยิ่งที่ใครจะหยั่งถึง
ความรู้สึกมากมายมากมีที่ตราตรึงเงียบงาม สงบ สว่าง
พร่างพรมใจให้ใสสวยในทุกยามด้วยความภาคภูมิเป็นยิ่งนัก..
กับ..การให้..ให้..และให้..
ให้ความรักโลก รักผู้คน... บนผืนดินเดียวนี้
ที่ดั่งเพื่อนพ้องน้องพี่.ร่วมชะตากรรม


และ...
จนกว่าจะถึงวันตะวันลา..
วันที่ฝากร่างอ่อนล้าใจอ่อนแรงให้ผืนพสุธากลบหน้า..

และขอกล่าวคำว่า..ลาก่อนชั่วนิจนิรันดร์...ระหว่างเรา!นะคนดีนะดวงใจ!

				
22 ตุลาคม 2547 15:59 น.

ดวงดอกเศร้าพราวรวงใจ!

พุด


url http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=290
(รักเอย)
****************

เด็ดการะเวกเต็มตะกร้ามามอบให้
วางแซมไว้สายหยุดพุดซ้อนแสนอ่อนหวาน
พร้อมจำปีฝากพลีใจจำปีผ่าน
ลืมรักรานสีม่วงโศกโลกเฝ้าดู..

ดอกวาสนาช่อพราวเต็มราวกิ่ง
วาสนาจริงวาสนาใจไหวรับรู้
แก้วร่วงพราวราวสอนใจน้ำตาพรู
ระลึกรู้แก้วกลางใจดวงใสงาม

กุหลาบแดงแจ้งรักประจักษ์แจ้ง
เลือดรักแดงแฝงเศร้าหนาวโศกหนาม
หากรักแล้วอย่าเสียใจระทมตาม
รู้ทุกยามทุกทุกข์รักหนักแอกใจ..

เหมือนตะแบกแบกหวานบานชูเศร้า
ม่วงโศกพราวสายเศร้าให้ร้าวไหว
ตะแบกเอ๋ยไยชาเฉยดวงดอกใบ
ยังพร่างไหวโศกหนาวเศร้าริมทาง..

เล็บมือนางกางเกี่ยวเกาะเกิดรัก
ให้พลีภักดิ์ห่วงดวงใจแสนไกลห่าง
ป่านนี้หนอหนาวดวงใจหนาวน้ำค้าง
ฝากลมครางฝนครวญทวนสัญญา..

กล้วยไม้ไพรไหวกอหวั่นขวัญเฝ้าพ้อ
หวังแตกกอก่อรักมั่นฝันห่วงหา
กี่แสนรักกี่แสนภักดิ์คำสัญญา
พลีบูชาศรัทธานี้มีเพียงเธอ

ราตรีริมชานหวานอวลเศร้า
เรไรเฝ้าร่ำร้องพร้องพร่ำเพ้อ
ดวงดอกรักมาลัยร้อยสายให้ละเมอ
หวังไม่เก้อรอรักมั่นนิรันดร์รัก

ดวงจำปามะลิลามะลิซ้อน
วางเคียงหมอนดอมดมห่มหอมภักดิ์
ดวงดอกปีบปลิดกลีบหอมหลอมรวมรัก
กระซิบรักกระซิบคำย้ำสายใย..

โมกละออช่อกระจิ๊ดนิดนิดน้อย
พวงพราวพร้อยห้อยหอมหวานยอมรานไหว
พุทธรักษาริมรั้วบานสอนใจ
พุทธกลางใจพิสุทธิ์พุทธรักษ์

ลั่นทมเศร้าเฝ้าปลิดปลิวลิ่วควะคว้าง
จูบกลีบบางทัดแก้มแกมโศกหนัก
ลั่นทมเอ๋ยหยุดเผยเศร้าร้าวรานรัก
รอยอดรักพรากแสนไกลไปลับลา..

สวดมนต์กราบกรานหน้าพระพุทธ
ให้รู้หยุดรำงับดับเหว่ว้า
อย่าดายเดียวเปลี่ยวเหงานะยอดชีวา
คำสั่งลายังก้องกระจ่างกลางใจนี้

ฝากฟ้ากว้างรวงดาวบนราวสรวง
ห่มหอมห้วงหอมใจใครคนนี้
พุดไพรหนาวร้าวรานใจนะยอดชีวี
รอคนดีคืนอ้อมตักได้พักใจ..ไปนิรันดร์..!

***********




ดวงดอกไม้ไพรดอกไม้จริงกำลังหวานบานพราวเต็มราวกิ่ง
ดอกรักจริงกลับหุบกลีบน่าฉงน
ดอกไม้เพชรเด็ดแซมใจเคยพร่างพรม
ดอกระทมมาทอดทับรับรู้ใจ
ดอกเดียวดายเหว่ว้าบานสะพรั่งเต็มลานโศก
ดอกรักษ์โลกบานนำทางสว่างไสว
ดอกเคียงคู่จำพรากลาอย่าเสียใจ
ดอกดวงใจคงมั่นขวัญศรัทธา
ดอกความดีพลีบูชาพสุธารัก
ดอกแน่นหนักคงมั่นฝันห่วงหา
ดอกนิรันดร์รักจักมิมีวันโรยรา
ดอกเสน่หาสวาทหวามยามแรกรัก
ดอกพุดซ้อนหวานอ้อนใจแสนไกลห่าง
ดอกความว่างวางแอกใจไม่แบกหนัก
ดอกนิพพานบานรอพุดพร้อมพลีภักดิ์
ดวงดอกรักราวเพชรพรหมห่มหอมใจ ไปชั่วกาล!

......................



http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=290
รักเอย ศรีไศล สุชาติวุฒิ : : Key C 

รัก เอย จริงหรือที่ว่าหวาน
หรือทรมานใจคน
ความ รักร้อยเล่ห์ กล
รักเอยลวงล่อใจคน
หลอกจนตายใจ
รัก นี่ มีสุขทุกข์เคล้าไป
ใครหยั่งถึงเจ้าได้ คงไม่ช้ำ ฤดี
รัก เอย รักที่ปรารถนา
รักมาประดับชีวี
หวั่น ในฤทัยเหลือที่
เกรงรักลวงฤดี รักแล้ว ขยี้ใจ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮือฮื้อหื่อฮือฮื้อ
ขืน ห้าม ความรักคงไม่ได้
กลัว หมอง ไหม้ ใจ สิ้นสุขเอย
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ

หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮือฮื้อหื่อฮือฮื้อ
ขืน ห้าม ความรักคงไม่ได้
กลัว หมอง ไหม้ ใจ สิ้นสุขเอย
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ...
				
21 ตุลาคม 2547 20:37 น.

หลักไม้เลื้อย

พุด


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=77

ปริม..กำลังฟังบทเพลงนี้
หลักไม้เลื้อย

เพราะเธอเหมือนหลัก ไม้ตั้งตรงนั่น
ไม้เลื้อยอย่างฉัน ได้พันอาศัย
ขาดเธอเหมือนขาด หลักชีวิตไป
ก้าวเดินทางใด ขาดความมั่นใจ แน่นอน
เพราะเธอเหมือนสร้อย พระห้อย คอนั่น
คุ้มครองป้องกัน ภูตภัยหลอกหลอน
ขาดเธอหัวอก หวั่นไหวสั่นคลอน
แม้ยามจะนอน ประสาทยังหลอนตัวเอง
กลับ มา หาฉันเถิดนะคนดี
มาปลอบชีวี ฉันให้หายวังเวง
ฉันเหมือนพิณ ขึ้นสายรอเธอบรรเลง
ดีดเป็นเพลง ฟังชื่น ฉ่ำอุรา
ขอวอนเดือนเด่น และดาวลอยลิบ
ช่วยเตือนกระซิบ ให้เธอกลับมา
อยู่ชิดเคียงข้าง ดั่งคำสัญญา
คิดถึงเจียนบ้า ปิ่มว่า จะขาดใจ

ขอวอนเดือนเด่น และดาวลอยลิบ
ช่วยเตือนกระซิบ ให้เธอกลับมา
อยู่ชิดเคียงข้าง ดั่งคำสัญญา
คิดถึงเจียนบ้า ปิ่มว่า จะขาดใจ
ฮือฮือฮือ
ฮือฮือฮือ
ฮือ...
............



ได้ยินไหมคะคนดี

กลับ มา หาฉันเถิดนะคนดี
มาปลอบชีวี ฉันให้หายวังเวง
ฉันเหมือนพิณ ขึ้นสายรอเธอบรรเลง
ดีดเป็นเพลง ฟังชื่น ฉ่ำอุรา




คนดี..ปริมคิดถึงคุณ
นะยอดดวงใจ
คิดถึงอย่างมีสติ 
อย่างที่เพียรพยายามห้ามมิให้น้ำตาละหลั่งริน
อย่างที่คุณเคยสอนเคยกระซิบสั่งไว้



และ
ให้มีใจดวงดีดวงงาม
มีความรักแบบเมตตาปรานีปรารถนาดี
และ
ไม่ว่าร่างและหัวใจดวงนี้ของเราสอง
จะห่างกันแค่ไหน
จะไกลกันสุดขอบฟ้า

เราก็จะข้ามภพข้ามเวลา
มาหอมห่มบ่มหวาน
ราวดวงดอกไม้แก้วตระการนะกลางใจ..นะดวงใจ



ปริม...
ดูจันทร์เสี้ยวดวงเศร้าทุกคืนค่ำ
และได้แต่เพียรฝันฝากใจ
ส่งจิตไปปลอบประโลม



ใช่แล้ว..คนดี
คุณกำลังทำสิ่งดีงามเพื่อผืนดิน
ที่แสนยิ่งใหญ่นัก..

คุณ..บอกให้ปริมพาจิตตามติดคุณไปทุกถิ่นที่
ไปโอบเอื้ออ้อมกอดอ้อมใจ..
ปันแบ่ง
รินหยาดน้ำค้างหวานใส
ใส่หยาดน้ำใจหอมให้
หอมงาม

สร้างพลังใจกำลังใจ
ให้กับผู้ยากไร้ผู้ทนทุกข์ยาก
ที่ยังมีอีกมากมายนักบนผืนพสุธาแห่งรักเรานี้



คนดี..ยอดดวงใจ
ปริม..พร้อมแล้วค่ะ
ที่จะพลีจิตวิญญาณตามไปด้วยแล้ว
กับทุกนาทีที่เราไกลห่างกันด้วยหนทาง
และขอบฟ้ากว้าง ที่หาใช่สำคัญไม่



คุณก็รู้นี่นะ
นับจากนาทีที่เราได้มาพบกัน
ได้มาแบ่งปันฝันพลีเปิดใจเปิดจิตวิญญาณ

มาพันผูกถ้อยมารัดร้อยสร้อยโซ่ใจด้วย*คำมั่นสัญญา*

จิตวิญญาณทั้งสองดวงของเรานั้น
ก็พลันจักรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
และ
จะไม่มีวันเกี่ยวเก่าไปกับกาลเวลา



ไม่ว่า..ภายภาคหน้า จะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต
หวังในดวงตาในดวงจิต
จักพรายพร่างด้วยมหัศจรรย์แห่งรักนี้
ที่แสนปิติเกษม
และ
จักดำรงสถิตทอด
ดั่งผลึกเพชรพราวพร่างสว่างไสว
อยู่ณ.กลางดวงใจไปตราบชั่วกาลนานเนานิรันดร์
ที่จักมิมีวันมอดดับ ไม่มีวันพรายพลัดพราก



ร่างอาจจะดำรงไปตามหน้าที่
มีสิ่งเร้ามากมีมากมาย
มาให้รับรสรับรักรับสัมผัสรู้สึก
หากทว่าความล้ำลึกดื่มด่ำ
ใช่จะหาได้ ทั่วไป



ในท่ามกลางมากมายผู้คนนับพันล้าน
บนผืนโลกนี้
จะมีใครสักกี่คน 
ที่เหมาะสมราวพรหมลิขิตสวรรค์บันดาล
ฟ้าเมตตาสรรส่งลงมา
ให้ได้พบพานพึงใจต้องจิตกัน
ดั่งดวงนิรมิตงาม



มาพร่างหวาน
มาให้หอมห่มมาพรมพร่ำธรรม
มาส่องนำทางนะกลางใจดวงพิสุทธิ์ใสนี้ 
ราวบุพเพสันนิวาส

แม้นจะยังมิอาจฝ่าวิบากกรรมวิบากเก่าพ้น
ก็ใช่จะต้องพิรี้พิไรร่ำร้อง  เร่าร้อน 
มิจำต้องรักแบบขอครอบครอง
หรืออยากทายทักอยากรู้จักให้มากไปกว่านี้



เพราะในความคำนึงในฝันนั้น
จะหอมหวานไปนานเนานานเนิ่นนิรันดร์

หวานเกินกว่าหวาน
งามเกินกว่างาม
ดีเกินกว่าดี
ที่มิได้ยึดติดที่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส



คนดี..
ช่างเป็นความรู้สึกแสนดี แสนงาม ในชีวิตหนึ่งนี้
ที่ได้มาพานพบใจดวงหอมห่มธรรมดวงล้ำค่า

ใจดวงเพชรกล้ากระจ่าง
หนักแน่นราวแผ่นผาศิลามณีอันแสนมั่นคง
มิหลงโลกย์

ใจดวงที่ดำรงร่างดำรงรู้รำงับ ดับได้
ด้วยดวงดอกธรรมดอกความดีมาอบร่ำ
พร่ำบ่มมาน้อมนำใจให้ใสพร่างงาม



คนดี..ดวงใจ
ฟ้าปรานี สวรรค์เมตตา จงรักษา
ทะนุถนอมเก็บไว้
มาตรแม้นวันเวลาจะสลายลาลับ
ดับทุกสรรพสิ่งอันคือสิ่งจริงแท้แน่นอน..อนิจจังอนัตตา



หากทว่า ในทุกคราครั้ง 
รักนิรันดร์นั้นจักธำรงกระจ่างสว่างวาบ
ให้อาบเอิบอิ่มงามอยู่ภายในก้นบึ้งแห่งสายธารรักนี้
ที่จะมิมีวันเหือดแห้งหายสลายลาไปกับกาล

เพียงเพราะ
เราทั้งสองได้หลอมจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว
อันจักพรายพร่างโชติช่วงชัชวาลย์
ยามร่างและปราณเราจำแตกดับ



และ
จิต..อันพร่างไสวนั้น
ก็จักเหินหาวผ่านภพดาวดึงส์ดาวดวงรวงสรรค์
พากันประคองลอยละล่องละลิ่ว
ปลิวข้ามหอมห้วงแห่งห้วงมหรรณพมหานทีสีทันดร



หากเพียรสร้างกุศลให้พร้อมพลี
ดั่งที่เพียรอธิษฐานจิต
ดั่งอุทิศถือ..ศีลสมาธิภาวนามาตลอดชีวิต
และ
สวรรค์มีตาสวรรค์จะเมตตา 
พาเราไปสู่ภพภูมิเดียวกัน
ให้เสมอเทียมกันได้



ให้ได้พบงามว่างงามกระจ่างจิตสถิตทอดเย็น
ไปเป็นนิรันดร์ในว่ายเวิ้งฝันอนันตกาล
ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์
นะคนดีนะยอดดวงใจ..



แล
เพราะจิตเรานี้
คิดเหมือนกันราวถอดใจ
เพราะ
สายใยแห่งภพภูมิแต่ปางก่อนปางหลัง
ตามมาให้รักษาสัญญาระลึกรู้



สัญญาณ
แห่งหวานหอม
ที่จะคอยเคียงประคองกัน
หอมห่มพรมธรรมนำทางจิตไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่



ให้มีพลังปิติเกษม
เติมจิตให้อิ่มเย็นอิ่มเต็ม
ให้รู้ค่าคำรัก

อันจักดำรง
เป็นรักเหนือโลกย์โศกสุข
ที่มนุษย์ผู้มีจิตพิสุทธิใสเท่านั้น
ที่ฟ้าดินและสวรรค์จะสรรส่งมาให้



ให้มาสร้างปาฎิหารย์รักอันเอกอนันต์ค่า
ฝากให้โลกและมนุษย์ได้รับรู้ว่า
ในโลกนี้
ยังคงมีตำนานรักอันแสนหนักแน่นมั่นคง
และ
จักธำรงอยู่เป็นคู่ใจคู่จิตคู่ธรรมคู่ทอง
พากันประคองดวงชีวาชีวี*เรือชีวิต*
ให้ลอยล่องำแนสายธาราธรรม

น้อมนำไปพบฝั่งฝันอันงามเงียบว่าง*นฤพาน*
ที่เพียรใฝ่งาม
ตั้งจิตอธิษฐาน
เพียรทำเพียรสร้างแต่กุศลจิตดี
ประกอบชีวีให้ถึงพร้อม
และ
เพื่อขอรวงพรอันอบอุ่นอ่อนหวานจากทุกดวงใจ
ให้กับรักยิ่งใหญ่แห่งสองเรา
ได้สถิตไปเป็นอมตะรักมั่นนิรันดร....
				
20 ตุลาคม 2547 16:11 น.

สวรรค์ลา!

พุด


 url http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
(คำมั่นสัญญา)

ต่อจากภาคแรกค่ะ
http://thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_63890.php
ลอมบอค บาหลี ที่รัก!
**********************

บาหลีคลี่ยิ้มแบบตลกในใจ
ทั้งแปลกใจทั้งประหลาดใจ
ทั้ง งุนงง ราวฝันไป
และ
ยิ่งตลกกันเข้าไปใหญ่
เมื่อเธอนั้นต้องหันหน้ามาทำหน้าที่บอกทาง
ส่วนเขานั้นเล่าราวบทบันทึกที่แสนจะน่าจับใจจดจำ
ศึกษาภูมิประเทศและประวัติศาสตร์มาอย่างช่ำชอง
อย่างมากมายของเกาะแห่งนี้ไว้



ที่ราวกับ
นักเดินทางผู้มากล้นประสบการณ์
ผ่านมาบอกเล่าให้บาหลีได้พลอยรับรู้

ทั้งคู่ค่อยๆแบ่งหน้าที่กัน
บาหลีคอยบอกทางให้เขาขับช้าๆ
ในขณะที่เขาก็คอยเล่าถึงประวัติอันแสนงดงาม
ยาวนานของเกาะแห่งนี้..ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน



*เกาะแห่งนี้ราวเกาะบาหลี
ย้อนหลังไปราวห้าสิบปี
ค่าที่ยังมียังเหลือร่องรอยธรรมชาติ
ความสงบงามกว่าอยู่มาก
และสภาพภูมิอากาศจะแตกต่างกัน



ทางตอนเหนือนั้น
ยังอดุมสมบูรณ์คล้ายคลึงกับป่าทางซีกโลกตะวันตก
ส่วนทางใต้นั้นจะร้อนชื้นแห้งแล้งคล้ายป่าทางเอเชีย

นักท่องเที่ยวจึงพิศวงหลงใหล
ในมนต์เสน่ห์นี้
ที่ดูราวกับจะมีธรรมชาติผสานผสม
ให้มาทั้งสองแบบ 

ทั้งแบบป่าตะวันตก
ที่เขียวขจี มีทุ่งนาผืนใหญ่
มีโตรกธาร ลำน้ำสวยใส ไหลผ่านบึงกว้าง 
ผ่านท่ามกลางป่าทึบรกเขียวสะพรั่งไพร



และ
พลันในพริบตา
ก็อาจจะกลายเป็นภาพป่าเอเชียที่ร้อนแล้ง
เต็มไปด้วยต้นไม้แห้ง
แคระแกรนโกร๋นในทุ่งโล่งแลละลิบ
กับ
ความรกร้างราวเมืองทะเลทราย
ที่มีเพียงเนินหินระเกะระกะ
กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ



และ
ลอมบอคนั้น
ราวกับสวรรค์ราวกับบาหลีในสมัยอดีต
ที่ยังไม่มีมนุษย์มากมายมากมี
ที่พร้อมพลีกันมาทายทัก
ให้พากันมาพักใจมาเสพย์งาม
จนเป็นที่รู้จัก
จนกระทั่งดังกระฉ่อนไปทั่วโลก



ว่างามกว่างาม  
ราวสวรรค์สรวงราวโลกสามสวรรค์เยือน
และ
ความหมายของคำว่าบาหลี
ที่แปลว่าได้ความว่าแข็งแกร่งดั่งภูผาหิน
ราวกับกำลังหยัดยืนท้าทายสายลมแรง
รับแรงกระแทกจากโลกอารยะ

ด้วยศิลปะ  ชีวิต วัฒนธรรม
แรงศรัทธา ความเป็นอยู่
มีสาวงามทัดดอกลั่นทม
พร่ายพรมร่ายมนตราระบำบารอง

มีนาข้าวขั้นบันไดเขียวขจี
มีผ้าบาติก..หน้ากากไม้
มีทิวเขาทะเลสาบน้ำตก
มีป่าไพรยังรกนะกลางหุบเขากลางเกาะ
และที่สำคัญ
ประเพณี
อันแสนงดงามล้ำค่ากว่าที่ใด..



และสำหรับลอมบาค..
แม้นจะไม่ห่างไกลมากจากบาหลี
หากทว่าช่างมีความแตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์ใจ 


เช่นจากสัตว์ที่อาศัยและจากพืชนานาพรรณ
ในป่าดงดิบ
ที่มีนักธรรมชาติวิทยา
*ท่านเซอร์ อัลเฟรด วอลเลซ*นักสำรวจชื่อดัง 
ได้ตั้งชื่อเส้นทางแห่งการแบ่งกั้นนี้ว่า*เส้นวอลเลซ* 
ซึ่งเป็นเส้นที่แบ่งว่าบาหลีนั้นอยู่ในทวีปเอเชีย
ในขณะที่เกาะลอมบอค
คือจุดเริ่มต้นของอาณาจักรออสเตรเลเชีย



และ
สิ่งที่ทำให้นักผจญภัยผู้พิชิต
ต่างพากันมายังนะเกาะแห่งนี้
ก็เพราะมีสิ่งที่ตั้งตระหง่าน
เหนือศูนย์กลางของเกาะลอมบอคคือ


ปากปล่องภูเขาไฟรินยานี(Mount Rinjani)
ที่เป็นยอดเขาที่สูงอันดับต้นๆของอินโดนีเซีย
ที่ช่างงามท้าทายนัก



บาหลี...ฟังเพลิน
ราวกับฟ้างามกำลังเผยม่าน
ให้ได้สัมผัสละมุนหอมให้ซึ้งในคุณค่าของ
วิมานกลางผืนหล้า 
แดนดินกลางมหาสมุทรอันงดงาม
ท่ามกลางวิวทะเลงามสีสวยราวไหมมรกต


ท่ามกลางความซาบซึ้งดื่มด่ำ
กับธรรมชาติชายหาดที่ทรายยังขาวละเอียด
ช่างน่ายินดีนัก



ในขณะที่เขาเล่าไปพร้อมกับแนะนำตัวเองไป
ผม..ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยพืชครับ
และทำให้ผมสนใจที่จะศึกษาพันธุ์ไม้ทุกชนิด
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยเฉพาะในแถบนี้
*ประเทศอินโดนีเซีย*
ที่มีภูมิประเทศทั้งสองแบบในประเทศเดียวกัน



และ
ผม..ยังไม่ได้แต่งงานครับ
ชีวิตสงสัยมัวทุ่มเทกับงาน
และผมมีแนวความคิด
ที่ผุดเองมาตั้งแต่วัยหนุ่มแล้ว


ว่าความรักคือความทุกข์
ไม่อยากเวียนว่ายในความทุกข์นี้
ผม..จึงน้อมนำใจใฝ่เพียรไปทางสายปฎิบัติธรรมครับ
น้อมนำพุทธบารมีมาเป็นรัตนกลางดวงใจ
มาน้อมนำจิตผมให้กระจ่างให้รู้รำงับดับวาง
เพื่อรอพบว่างอันจักเป็นรักนิรันดร์



คุณอาจจะแปลกใจ
ที่คนหนุ่มอนาคตไกล
ยอมทิ้งความรักแบบครอบครัว
หากทว่าผมกลับมีความสุขดี 
กับชีวิตแบบนี้ที่ผมเลือกครับ



บาหลี..ทึ่งและงงงันอีกแล้ว
ในชีวิตเธอนั้น..มักได้ประสพพบเจอ
คนที่มักมีความคิดแผกผิดพิเศษพิสุทธิ์เสมอมา



ราวกับว่าเธอนั้นมีสัมผัสที่หก
หรือมีดวงตาที่สามราวมีฌาณหยั่งรู้
และคนไหนที่ไม่ใช่
ฟ้าดินก็มักมีอันดลให้ต้องพลัดพรากจากกันไป
ตามกาลตามกรรม..
.............



บทสนทนายุติลง 
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน
ที่ลดหลั่นกันไปตามเชิงเขารินยานี
ที่ราวภาพวาด กระจัดกระจายตัวลงมา
อย่างเงียบงามสงบสุข



เขาและเธอลงไปเดินดูงานเซรามิกที่ราคาถูกแสนถูก
ดูการวาดภาพที่แสนงดงามในผ้าบาติก

เธอได้ตะกร้าสานลายสวยฝืมือละเอียด
ไว้ทำเป็นเป็นประเป๋าสะพายใบใหญ่
เขาได้ไม้แกะสลักประดับบ้านฝืมือช่างพื้นถิ่น
ที่ตั้งใจจินต์ค่อยๆแกะออกมาเป็นหน้าเทพเจ้า



และ
เมื่อมาถึงตลาดปลาตันยุง ลูอาร์
 ริมฝั่งอันแสนคึกคัก
ก็ทำให้ได้บรรยากาศแสนงามอีกแบบหนึ่ง
ที่เห็นชาวประมงยังคงคอยลากอวนขึ้นมาจากทะเล



และ
จากถนนสายตะวันตกจากกูต้า 
กับยามที่ตะวันใกล้ค่ำแล้ว


เขาขับรถตามแผนที่
ที่เธอบอกทางมาจนถึงยัง *หาดมาวูน*
อันแสนงดงาม 
มีดงปาล์มเรียงขนานชายฝั่งทะเลที่ไร้ผู้คนพลุกพล่าน



มีเพียงเด็กออกมานั่งเล่นบนกองทรายกัน
ทุกสิ่งยังดูไร้ร้าง  ไม่มีโรงแรม  ร้านอาหารใดใด
ให้มาบดบังความงามสวยใสอย่างเป็นธรรมชาติ



ทันที่รถจอดเหนือชายหาด
ที่มีทรายเนื้อนวลละเอียดงามราวแป้ง
และ
กำลังสะท้อนแสงเปล่งปลั่งระยิบระยับราวทองคำ
รับพรายแดดสีทองในยามเย็น

ที่งามเกินรำพันรำพึงนั้น
และมีแหลมหินที่ยื่นออกไป
เกิดเป็นภาพที่น่าหลงใหล
ชวนพิศวงดั่งต้องมนต์สะกด



เขามองเธอ..นิ่งนาน
ในสายแสงตะวัน
ที่กำลังสาดส่องย้อนแสงมาตกต้องร่าง
ให้งามมลังเมลืองราวกันนางในฝัน
ให้ผมสีอำพันดูสว่างโพลง
สะท้อนพร่าง..พราวงามเกินคำรำพันรำพึง



เธอ..ผู้มีดวงตาเศร้าซึ้งแสนหวาน
ที่ดูดีมีบุคคลิกแสนเชื่อมั่น
ในขณะที่เขาสังเกตว่า
เธอมีความลึกล้ำลึกทางจิตวิญญาณ
ยามพาทียามเจรจาที่ช่างแสนน่ารักนัก 
ค่าที่ไม่มีอัตตาพาให้ใครใครรำคาญ



แม้นเธอจะยังดูมีความเป็นตัวของตัวเองสูง
หากทว่าบางครั้งก็นิ่งงันเงียบราวลืมโลกภายนอก

ยามที่เธอต้องการแยกตัวเอง
ออกจากโลกแห่งความจริงชั่วคราว
ราวตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ฝัน..



เขาแอบมองเธอแอบชื่นชม
และยิ่งรู้สึกดื่มด่ำวาบไหวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
เขายังจดจำได้ถึงบทกวีบางบท
ที่มักกล่าวถึงความรักงดงามรักแรกพบว่า



บางครั้ง
ไม่จำเป็นต้องอาศัยเวลาระยะทาง
หากเป็น..ลิขิตพรหม..
ถึงเวลา..
ฟ้าดินเบื้องบน
ก็จะส่งเขาและเธอให้มาพ้องพานพบกัน



ให้มาประสานต้องจิตต้องใจกัน
ราวรู้สึกรัดร้อยผูกพันกันมายาวยืนแต่ปางก่อนภพก่อน

ซึ่งผิดกับคนที่ทนฝืนใช้ชีวิตร่วมกัน
เพียงเพื่อชดใช้วิบากกรรม
ที่วันเวลามิเคยทำให้ได้รู้ค่าและได้รับความซึ้งใจ
นอกจากรอเวลาแห่งชีวิตให้ผันผ่านไป
หากยังรู้ทำใจอดทนเพียงนั้น



เขา..ถอนหายใจช้าๆ
เฝ้าคอยให้เธอเปิดใจรับอิ่มงาม

เธอพาตัวเองไปทรุดตัวนั่งเหนือเนินทราย
ในขณะที่เขาเดินเดียวดาย
ใกล้ๆไม่ไกลห่าง..ราวผู้พิทักษ์



ค่ำแล้ว..พระอาทิตย์ดวงโต
ค่อยๆโรยตัวลงเรี่ยเคลียผืนน้ำ

ทิ้งเพียงความอ้างว้าง
หากทว่ายังอาลัยอาวรณ์
ฝากแสงงามราวทองคำทาบทา
แทนคำอำลาอ้อนอาบฉาบฉ่ำไปทั่วทั้งผืนน้ำทะเล



ธรรมชาติงาม
ฟ้างาม ใจงาม
ทะเลงามและผู้หญิงงาม
จะหาไหนใดเล่ามาเทียม



มาตรแม้นจะเดียวดายร้างไร้
ราวอยู่ปลายโลกร้างก็ตามที

เธอ..ค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
และนะบัดนี้
นวลเนื้อผ่องผุดราวอาบทองทา
ร่างงามกลมกลึงงามจับตากลายสี
ราวประกายเพชรพร่าง
งามระยิบไปทั่งทั้งร่างทั้งตัว



เธอชวนเขากลับไปที่พัก..
และนัดกันดินเนอร์งามง่าย
ใต้แสงเทียนในค่ำคืนนี้



ในโรงแรมที่แสนสงบเงียบ
อย่างธรรมธาตินะกลางหาดสวย
ที่ถูกออกแบบให้ซ่อนตัวกลมกลืน
ผสมผสานไปกับทัศนียภาพ
โดยใช้สถาปัตยกรรมท้องถิ่นมาบันดาลใจ
ที่น่าจะได้รับแรงใจแรงฝัน
จาก*ลุมบุง*หรือยุ้งข้าวหลังคามุงจาก
ของชาวบ้านข้างเคียง..
******



ก่อนอาหารมื้อค่ำ
กับ
ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา
พร้อมกันกับที่ทางโรงแรมเตือนว่า
คืนนี้อาจจะมีพายุฝน..



เขา..คว้าแจ๊กเก๊ตขึ้นมาสวมใส่
และตั้งใจจะออกไปเดินเล่น
ตามชายหาดรอเวลาตามลำพัง



ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
จากนาทีสักครู่ที่ผ่านมา
ที่หวานแสนหวาน
ปานประหนึ่งสวรรค์ลอย
ราวสายรุ้งระเรื่อเจือสายแสงสีทองอันอ่อนอุ่น



กลายกลับเป็นสีเทานกพิลาป หมองหม่น 
ให้กมลพลอยโศกซึม
หากมิพึงระลึกรู้รำงับดับทุกข์ใจ
มิให้เศร้าใจไปตามฟ้าฝน



ฝูงนกพากันผกโผผินบินหนี
ราวกับรู้ว่าต้องหาที่หนีหลบภัย
ซ่อนซุกตัวจากโพยภัยจากพายุฝนและลมแรง



ก่อนที่เขาพลันจะหันตัวกลับ
ในเรียวตาเหลียวไปเห็น
ร่างๆหนึ่งนอนเงียบงามในเนินผาหิน
ที่ไม่สูงนักอยู่ในระดับสายตาเขาพอดี



ในเงาฝนเงาฝันที่ใกล้ๆกำลังจะระร่ำริน

เธอนอนเอนกายสยายผม
หลับตาพริ้มทอดทิ้งร่างใจราวกับนางไม้นางไพร
ไม่ขยับเขยื้อนไหวราวลืมโลกภายนอก..ไม่ไยดี



ด้วยความห่วงใย
ด้วยดวงใจอ่อนโยน

เขาจึงค่อยๆหันหลังกลับๆไปยืนเคียงใกล้
พร้อมกับกระชิบปลุกเธอด้วยเสียงอ่อนโยนเบาๆ
*คุณครับ..พายุ..กำลังจะมา..*
เธอ..คนนั้นค่อยๆลืมตา



และ
ในพรายแสงงามจากสว่างวาบ
ของสายฟ้าที่เริ่มคำรามแลบ
ทำให้ทั้งเขาและเธอต่างพากันหัวเราะเก้อ



*อ้าวคุณ..นี่เอง ตามฉันมาหรือคะ หรือว่าบังเอิญ..*
*ไม่ครับ ผมเพียงอยากมาเดินเล่น
เห็นเนินหินแถวนี้งามดี
คิดว่าจะมานอนเล่นเหมือนคุณนั่นแหละครับ
เขาหัวเราะ แต่คุณไวกว่า



และพอดีพายุมา..
กลับกันเถอะครับ 
เดี๋ยวเราทั้งคู่ต้องเปียกมะล่อกมะแล่กอย่างแน่นอน*

เขาหัวเราะ เพราะทันทีที่พูดจบ
สายฝนก็เริ่มพร่างสายพรายพลิ้ว 
พร้อมกับลมแรงจนหนาวเยือก



*อ้าวมาเลย ยังไม่ทันขาดคำ*
เขารีบกุลีกุจอถอดแจ๊กเก๊ต
มาบังร่างเธอ 
ที่นะบัดนี้
จำต้องเอียงเคียงไหล่เข้าไป
แทบซุกในอ้อมอกอ้อมกอดเขา
ด้วยแรงลมพายุ..แรงรัก
ที่กำลังหวานฉ่ำรอเวลาละหลั่งรินหยาด


หัวใจสองดวงต่างเต้นตึกตักๆราวกับรัวกลอง
โอ้ฟ้าดินหนอฟ้าดิน
หากหยั่งรู้จิตมนุษย์ภายในได้
คงเฝ้าหัวเราะตลกด้วยความเมตตา



เพราะทั้งเขาและเธอต่างคิดแบบตลกไม่ออก
เหมือนๆกัน
กับความรู้สึกลึกล้ำนี้กับฉากแสนหวานนี้
ที่*ไม่เอาพระเจ้าก็แจกราวให้ลองรัก*..ไฉนนะนั้นเลย


เป็นความพันผูกอบอุ่นอ่อนโยน
ที่ลีลาวสันต์พร่างมาทันเหตุการณ์

มาปันแบ่งมาปันหอมราวอยากหลอมละลาย
ให้ทั้งสองนวลเนื้อใจ
ของผู้พิสุทธิ์ใสแสนดีได้มาร้อยรัดกัน



ในวันที่พอเหมาะพอควรราวจับวาง
ราวสวรรค์เจตนาฟ้าดินร่วมรับรู้เมตตามาเป็นใจ
มาเติมต่อจุดใจให้พบไสวพร่างในทางสรรสร้าง

มิใช่เพียงหวังรสรักแลกเปลี่ยน
เพราะสำหรับบาหลี..ผู้มีชีวีงาม
ผู้เพียรบูชาความรัก
และผู้เป็นที่รักราวพระเจ้า



เธอ..เฝ้าทำดีเฝ้าให้น้ำใจรัก
หากทว่า..สิ่งที่ได้กลับมาคือความเลวร้าย
ที่ทำให้ให้หัวใจเธอมีบาดแผลและ
หมดหวังและหมดศรัทธาในรักอีกต่อไป



ไม่เคยแม้จะคิดแสวงหา
เพราะว่าเตือนตนมานานนักกับคำรักคือทุกข์
ดั่งคำสอนของพระพุทธองค์

ที่เธอเพียรนำมาพร่ำบ่มห่มหอมใจ
ให้มิไหวหวั่นกับรักนี้อีก
ที่เธอทราบว่า
ก็คือการวกวนว่ายเวียนให้รับวิบากกรรมย้ำรอย



หากทว่าเธอเคยคิด
หากฟ้าดินจะสั่งตรงคนดีมาให้เธอ
พร้อมพลีจิตบูชาอีกสักคราครั้ง

เธอหวังให้ดวงตาภายใน
จงนำทางใจให้เธอและเขา
ได้มาพบมารักกัน
แบบกัลยาณมิตรทางธรรม



ให้มาน้อมนำ
ความดีความรักแบบหอมงาม
หอมหวานจนเกินกว่าใครจะหยั่งรู้

แบบคู่ใจคู่ธรรมคู่ทองพากันโอบประคอง
ลอยล่องเหนือทะเลโลกย์โศกสุขนี้



ให้มีพลังใจทำสิ่งดี 
มีแต่พลีน้ำใจงามดั่งหยาดน้ำค้าง
มาพร่างพรมห่มรินให้แก่กันและกัน

ประดุจดั่งสายธาราใจไม่มีวันแห้งหายสลายลา
ตราบชั่วฟ้าดินสิ้นกี่ภพชาติ
ใช่พิสวาทเพียงเนื้อหนังอันไร้จีรังยั่งยืน



เพื่อเป็นพลังสรรสร้างสิ่งดี
คืนกลับให้โลกนี้ก่อนที่ชีวีจะล่วงพ้นบ่วงกรรม
ให้พบทางแห่งความงามอันว่างเปล่าเป็นนิรันดร์รัก
ตราบจนกว่าร่างจะแหลกจะลับลาลงสู่พื้นพสุธารัก
...............................



และ
ในท่ามกลางคืนฝันวันลมฝนปนพายุ
ที่ผ่านไปในราวสองสัปดาห์

ให้เธอและเขาได้ใช้เวลาร่วมกันได้ศึกษาใจกัน
ได้ตักตวงเกี่ยวเก็บประสบการณ์ทั้งจากสถานที่
มากมายภายในเกาะนี้



ไปเล่นกระดานโต้คลื่น
ไป ดำน้ำตื้น  ดูปะการัง
ไปดูการใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ
ไปดูภูเขาไฟรินยานีที่งามและหยุดพิโรธแล้ว
ดูนักผจญภัยปีนขึ้นไป
ที่ต้องเใช้เวลาราวสามวัน



ไปเที่ยวน้ำตกเซินดัง ยีเล่  ทางฝั่งตอนเหนือ
ดูแมกไม้นานาพันธุ์สัมผัสกับละอองน้ำอันฉ่ำเย็น

ดูเนินเขาแห้งแล้งราวลูกคลื่นสลับ
กับทิวทัศน์เส้นทางฝัน
อันงามคดเคี้ยวบรรเจิดใจ
ยามเอนไหล่พิงกันชมยามพระอาทิตย์ดวงสีไพล
กำลังจะลาลับฟ้า
เหนือเนินผาหินอันระเกะระกะกระจัดกระจายราวภาพวาด



ดูกระท่อมหลังคามุงจาก
ใน*ซาเดเมืองทางตอนใต้ของเกาะ*
ดูสุเหร่าเก่าแก่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง

ดูหมู่เกาะราวไข่มุกที่ซุกอยู่ท่ามกลางท้องทะเลไหมมรกต
แล้วไหนยังนั่งอิงกันดูเรือหาปลากลับคืนฝั่ง ยามค่ำคืน



นั่งดูโคมไฟถูกจุดขึ้นด้วยฝือนางฟ้าทีละดวงๆ
จนพราวพร่างไปทั่วทั้งผืนฟ้าระยิบระยับ

ไปนอนเคียงผาพากันนับดาว
คอยเฝ้าดูทะเลยามค่ำ 
ฟังเสียงคลื่นกระซิบ  
และสายลมที่พัดพากลิ่นหอมของดอกราตรี 
เบื้องหน้ามีดวงไฟเล็กๆหลายดวง 
ดุจประทีปลอยอยู่ริมขอบฟ้า 



ดูงามวิถีชีวิตของชาวประมงเริ่มต้นขึ้น   
ได้ยินเสียงกังสดาล
ที่แขวนลงมาจากชายคา 
ส่งเสียงกังวานแว่วหวาน 
ราว เสียงกระซิบของหญิงสาวคนรัก 


ยามที่พรานทะล
พาดวงไฟจากพรายท้ายเรือลาล่วง
ห่างจากฝั่งจากผืนดินไปทีละนิดๆ
ไปนั่งเชยชิดชมคลื่นคลอทราย
แล้วให้เขาร้องเพลงนี้ให้ฟังด้วยเสียงทุ้มนุ่มหวาน
ทรายกับทะเล




*จะเหนื่อยเพียงไหน  
จะทุกข์เพียงใด โปรดรู้ตรงนี้ยังมีฉันอยู่
พร้อมจะดูแลหัวใจ 
หากมรสุม จะทำให้เธอเหน็บหนาวใจ 
พายุจะแรงแค่ไหน  จะคอยอยู่ข้างเคียงเธอ 

*
หากมีวันไหน
ที่เธอไปไกลจากฉัน 
ในหัวใจไม่เคยหวั่น 
และจะคอยเธอย้อนมา  
ก็ใจมันรู้คลื่นลมจะคอยพัดพา 
คอยชัดทะเลเข้าหาหาดทรายแห่งนี้ดังเดิม 

*คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้
จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น 
อยู่เคียงข้างเธอไป ใจไม่ไหวเอน
 และยังคงชัดเจนอย่างนั้น 
หาดทรายยังสวย 
รายล้อมทะเลด้วยรัก 
คงไว้ด้วยใจแน่นหนัก 
ไม่หวั่นยามพายุผ่าน  
จะมีเพียงฉัน รักเธอตราบนานเท่านาน 
มีรักในใจผสาน ดังทรายอยู่คู่ทะเล 
*******




ให้เขาเห่บทกวีเจ้าฟ้ากุ้ง
ซึ่งซึ้งหรือไม่ซึ้งก็ตรึงใจจนน้ำตาริน

เอนอิงกันซึ้งใจ
ในลีลาการแสดง
ศิลปะอันศักดิสิทธิ์ของชาวซายัคและชาวบาหลี 
ในคืนฝันวันพระจันทร์เต็มดวง
ให้หอมห้วงฝันอิ่มเอมราวสวรรค์ลอย



ให้เขาเล่าถึงความหลังในเมืองหนาว
ยามพรากลาไปไกลบ้าน

ให้เขาเล่าถึงประสบการณ์แห่งชีวิต
ที่เลือกลิขิตเดินไปในร่มธรรม
แทนที่จะนำพาชีวิตไปว่ายวนในวงกรรมกาม



ฟังเขาฝากถ้อย
ร้อยรสบทพระธรรม
อันพึงเพียรนำมาน้อมใจให้ไหวปิติ
ให้คิดดีคิดได้ให้คิดเพียรภาวนา

ฟังความรู้สึกเหว่ว้าของดวงใจ
ยามที่ยังไหวไม่ทันมิรู้ดับทัน



ฟังความหวามหวานหวั่นในรสรัก
ที่จักต้องรู้หักใจ
ประคองใจ
รู้สร้างกระจ่างใส
ฟัง
ความงามความดี
ความมีสติระลึกรู้ดีชั่ว
เพื่อพาตนให้พ้นหมองมัวแบบโอบเอื้ออ่อนโยน



และ
ฉากสุดท้าย
ฉากร่ำลา..
กับทุกคำ
พูดให้รู้รักษาจิตรักษาร่าง
ที่ต่างพร่างรินร่ำ
ราวแทนทุกล้ำลึกความรู้สึก



ที่ต่างก็นึกแล้ว
ให้แสนภาคภูมิใจในกันและกัน

ที่สวรรค์ได้สรรส่งคนพิเศษพิสุทธิ์มา
ให้รู้คุณรู้ค่าคำรัก..ภักดิ์พลีจิต
และให้มีชีวิตรู้รักเย็นรักเป็นอย่าง
หนักแน่นมั่นคงมิหลงร่าง



ยอมห่างให้งาม..อย่างไม่ยึดมั่นถื่อมั่น
หรือตามกันคอยหึงหวง

มีแต่จะชวนกันประคองใจให้ไหวทันเท่า
ในทุกสรรพสิ่งที่วิ่งมากระทบในโลกนี้หากยังมีชีวา



และ
ฉากลาที่เขาทิ้งท้ายไว้ให้จดจำ
จำจดดั่งคำสอนมรณานุสติ

ราวกับว่าเขาจักรู้ว่าเวลามนุษย์เรานี้ช่างแสนสั้นนัก

ราวกับว่า
เขาจะหยั่งรู้ค่าเวลาแห่งชีวาชีวิต
ที่ฟ้าดลสวรรค์ลิขิต
ให้มาได้พบกันรักกันและเข้าใจ
อย่างมิอาจจะสามารถพรรณณา
ถึงที่มาที่ไปและในเหตุผลนี้



เขาคนดี..เพียงบอกสั้นๆซึ้งๆ
ฝากให้คำนึงนาน

ว่าคือคู่รักชั่วกาลกัปป์กัลป์
แต่ปางหลังแต่ปางก่อน
ที่ฟ้านั้นประทานพรให้มา



และ
กับคำลาสุดท้าย..ทิ้งไว้ให้บาหลีระทมนัก

หากนัดแล้วเขาไม่ไปตามที่นัด
หลังจากกลับสู่ชีวิตชาวเมือง
ก็ให้รับรู้ว่า...

คือ กายและลมปราณของเขาได้แตกดับไปแล้ว 
ณ ภพนี้ 

เมื่อวันนั้นมาถึง 
เขาไม่ปรารถนาให้บาหลีเสียใจ 

เพราะความพลัดพราก หรือ มรณา 
เป็นสิ่งที่ สรรพชีวิตไม่อาจฝืนลิขิตได้ 

ให้บาหลีพลีจิตฝึกใจไว้ให้พร้อม
ยอมรับความเศร้าดายเดียวให้ได้
อย่าได้โศกครวญโศกรานนานเกินไป
......................................



และ
กับวันนี้..นาทีนี้
ที่ลีลาวสันต์ปีศาจวสันต์
กำลังโปรยสายพรายพร่าง
ลงบนร่างร้าวของบาหลี
ที่นั่งรอเขามานานนับชั่วโมง
ในสวนขวัญสวรรค์ลา..

ท่ามกลาง
ดวงดอกลั่นทมเหว่ว้ากำลังค่อยๆปลิดปลิวๆๆ
ดวงดอกไม้แห่งคำมั่นสัญญาปาริชาติ...
ที่เขาบอกว่าจะพาเธอไปพบในสรวง

กับน้ำตาที่กำลังรินร่วงพร่างพรูมิขาดสาย
ราวสายฝนสายฝันสวรรค์ลา
ราวฟ้าดินกำลังรับรู้คำกระซิบเศร้า..จากใครบางคนนะเบื้องบน..!


*น้องรู้ไว้นะครับว่า พี่จากแต่กาย 
ใจพี่ไม่ได้จากไปไหน 
จิตไม่มีวันแตกดับ หรือ สลาย 
จิตพี่จะอยู่ดูแลน้องของพี เบื้องบนและรอน้องของพี่...

วันหนึ่งเราจะได้พบกัน 
เป็นการพบกันครั้งที่สองในอีกภพภูมิหนึ่ง 

บุญทุกอย่าง บารมีที่พี่บำเพ็ญ 
พี่ฝากกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้กับน้อง
ให้จดจำน้องของพี่ 
ให้ ติดตัวน้องของพี่ไปทุกๆชาติ 
และ คุ้มครองน้องของพี่ให้มีความสุข 

ทั้งหมดคือ ความในใจ คือคำมั่นสัญญา
คือความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของพี่คนนี้ครับ *


.........



***********


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
คำมั่นสัญญา   
พิ้งค์ แพนเตอร์ : : Key F  
ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป

แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...

 
  

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด