2 เมษายน 2548 00:49 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1064
(เพชรฆาตใจ)
..................
เย็นแล้ว
อาทิตย์ใกล้ลาลับฟ้า
ทอแสงผ่านพวงดวงดอกตะแบกแสนเศร้า
ที่หากมองพิศจะเห็นงามอะคร้าว
ที่ไล่โทนสีตั้งแต่ม่วงชมพู
ไปถึงนวลขาวพราวภายในช่อเดียว
แล้วหากเห็นบานตระการทั้งต้นเล่า
จะงามบรรเจิดสักขนาดไหน
ผู้คนต่างพากันทะยอยกลับบ้านเหมือนนกคืนกลับรังรัก
เพราะที่นี่คือสถานที่ราชการ
หากแบ่งพื้นที่สนามให้ประชาชน
ได้มาใช้สอยคอยออกกำลังกายกัน
มีทั้งสนามฟุตบอล
สนามเทนนิส
สนามแบดมินตัน
และ
มีบึงแสนงามให้พาครอบครัวมานั่งพักผ่อนในยามเย็น
มีดงดอกไม้มากมาย
มีลั่นทมหลากสีหลายต้น
ริมทางรายรอบทางรถยนต์
และ
ทุกเย็นจะมีใครคนหนึ่ง
คอยจูบไล้กลางดวงดอกในกอทุกวัน
เพราะต้นยังเล็กนักราวสาวแรกแย้ม
หากลั่นทมสาวเธอพูดได้
เธอคงบอกว่าอย่าไล้รอยจูบแรงนัก
ให้สงสารด้วย
อย่าหาญหักฝากรักแบบพิศดารแบบนี้เลย
เพราะไม่เคยมี..เคยมือใคร..มาไหวแหวกจูบ
มาฝากจูบ
ที่แผกรักพิศดาร
ราวจูบหวานแรกแทรกกลางกลีบกอ
แทบทุกช่อกิ่งรักทุกวัน..
แม้นแต่
คุณลุงยามยังพากันขำหันหน้าไปยิ้ม
กับ
ภาพ..อันแสนตลกสำหรับเขาล่ะกระมัง
ที่ร้อยวันพันปีจะมีคนบ้าสักคน
มาคอยหอมลั่นทมอย่างละเมียดทุกวันมิลืมเลย
จนวันหนึ่ง
เขาคงทนไม่ได้
เมื่อคนจูบหายไปไม่มาเต้นเพราะเว้นไปหลายวัน
เขาแหย่ว่า
*คุณไม่มารู้ไหมผมสังเกต
เห็นลั่นทมระทมจริงๆก็วันนั้น
มันสลดห่อเหี่ยวดูราวรอท่าคุณ
สมกันนามลั่นทมระทมรอเสียจริงๆ*
เธอ..คนดีได้แต่คลี่ยิ้ม
หันไปตอบว่า
*
ช่างเถอะค่ะ
เดี๋ยวจะไปกระซิบบอก..
ว่า..คนระทมมากกว่า...อย่าเศร้ารอเลย*
และ
ไหนจะยังมี
ดอกคูนบานระย้าย้อยไร้ใบ
ห้อยเป็นพวงพราวไสวราวสายฝนสีทองเหนือบึงกว้าง..
ที่มีร่างหนึ่งชอบนอนทอดตัวแน่นิ่ง
ในสนามหญ้าเขียวขจีทุกวันเช่นกัน
หลับตาปล่อยฝันปล่อยใจอันอ่อนล้า..ลำพัง
ฟังเสียงสายน้ำ..อ่อนหวานทายทักทุกดวงใจ
น่าแปลกดีจังที่
ที่เธอจะแอบขอ
เด็ดช่อพราวเหลืองทองของดวงดอกราชพฤกษ์
มาทัดแก้มแซมผมราวมีช่อมงกุฎทองผ่องพรายขับวงหน้าซีดเศร้า
ให้ดูนวลพราวขึ้นมา...
..................
ตาลเดี่ยวมิเหงาใจ ยืนต้นคู่กัน
ให้ผู้หญิงช่างฝันเห็นเต็มตาเต็มตื้นเต็มห้องหัวใจ
ทุกวันยามเต้น...คลอพ้อไปกับสายแสงอาทิตย์สีทองยามสนธยา
พาให้คิดว่ากำลังอยู่วิมานวนา ใช่กลางวนเมือง...
เสียงเพลงหวานแว่วแผ่วมาจากลำโพง
ที่รอให้นักเต้นวอร์มอัพร่างก่อนเริ่มออกกำลังกาย
คุณครูผู้ชายแสนสวยเรือนร่างบึกบึนหุ่นนักกีฬา
ที่มีดีกรีว่าเป็นเชียร์ลีดเดอร์
ของมหาวิทยาลัยมีชื่อมาก่อน
มาสอนวิธียักย้ายส่ายสะโพกโยกซ้ายขวา
ฝากลีลาได้เร้ารึงรัดใจ
ให้ไหวหวาม
อย่างมีทีท่าน่าเสน่หานัก
ให้ทุกดวงใจหลงรัก
ในท่าเต้นในร่างงามและในยามแย้มยิ้มแสนมีเสน่ห์
............
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1064
เพชรฆาตใจ สายัณห์ สัญญา : : Key Dm น้องเอ๋ย
ใครเขาเคยเหมือนพี่ บ้างไหม
ช้ำ สุดช้ำ เท่าไหร่
พี่เป็น แผลใจ ใคร จะเห็น
เจ็บ อย่างนี้เจ้ายัง ทรมาน
หรือเป็นพราน ล่า ชาย
ผลาญหัวใจ ชายเล่น
หรือเจ้าเป็น เพชรฆาต
ผู้เชี่ยวชาญ
โปรดฆ่า พี่เสีย
ถ้าหากเจ้าไม่ สงสาร
จง ประหาร
ถ้าแม้นว่าเจ้า ไม่รัก
ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮื้อ ฮื่อ ฮือ
อิเหนา เอ๋ย
เคย รักนุช บุษบา
พี่ หลงไหล ยิ่งกว่า
พี่สัญ ญาได้ ใน เรื่องรัก
ปวด และช้ำ ในดวง ฤดี
เหมือนดังมี มีดคม
ฝังใจจม เจ็บหนัก
รักของเจ้า ฆ่าพี่
อย่างเลือดเย็น
พี่เจ็บ จวนตาย
ก็ไม่มีใคร แลเห็น
เวร นี้เวร
หรือเห็นพี่เป็น เช่นไร
ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮื้อ ฮื่อ ฮือ
อิเหนา เอ๋ย
เคย รักนุช บุษบา
พี่ หลงไหล ยิ่งกว่า
พี่สัญ ญาได้ ใน เรื่องรัก
ปวด และช้ำ ในดวง ฤดี
เหมือนดังมี มีดคม
ฝังใจจม เจ็บหนัก
รักของเจ้า ฆ่าพี่
อย่างเลือดเย็น
พี่เจ็บ จวนตาย
ก็ไม่มีใคร แลเห็น
เวร นี้เวร
หรือเห็นพี่เป็น เช่นไร
ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮื้อ ฮื่อ ฮือ...
นี่คือมนตรา ของการออกกำลังกาย
ที่ทำให้ชีวิตสดชื่น
มีพลังกลายเป็นดั่งเพื่อนสนิทแสนรัก
ที่จักสอนให้เราเรียนรู้ที่จะรักสุขภาพ
และใช้ร่างกายอย่างชาญฉลาด อย่างคนสมัยใหม่
ให้จิตใจใบหน้าร่างกายเราสวยใสสดชื่น
ที่มีแต่คนทายทัก ให้กำลังใจไปทำอะไรมาถึงดูดี...ดูแข็งแรง..
และ
นี่คือเศษเสี้ยวหนึ่งแห่งกาลเวลา
ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่างแสนซึ้งเศร้า
กับทุกหนาวฝัน
ที่หันเห็นมองทุกสรรพสิ่งด้วยใจดวงนิ่งเงียบงามสงบสุข
ด้วยใจดวงไพรดวงนี้
ดวงที่หันไปเห็นโลกย์ลึกในทุกสรรพสิ่งรายรอบ
ที่มาฝากรักมากระซิบบอกให้รู้ค่าโลก
ที่แสนมีโชคได้เกิดมา
ใต้หล้าใต้ฟ้าไทยฟ้าทองด้วยหัวใจดวงผ่องผุด
ได้มาทายทักรับโอบเอื้อจากโลกอันแสนหอมกรุ่น
ไปถึงบึ้งใจให้นวลใจเนื้อใจหนาวคลาย
ราวได้รับพรทิพยจากสวรรค์เมตตาฟ้าปรานี
ใส่ดวงตาที่สามให้ได้เห็นงามในทุกนิยามแห่งธรรมชาติ
ตราบที่ยังมีดวงตาดวงใจ...
ดวงใสดวงธรรมดวงทองดวงที่รักเมตตา
ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างมิสิ้นสุดแสนนาน...
............
31 มีนาคม 2548 15:29 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=222
(ฉันรักเธอเสมอ)
................
ขอรจนากลอนสดสดสักบทหนึ่ง
ฝากใจซึ้งฝากใจเศร้าภูมิใจฝัน
กลอนบทนี้ให้ชื่อว่า*รักนิรันดร์*
ถึงทุกสตรี*วีรบุรุษทะยานฝัน*จาก..จิตอัญมณีไพร...
อัญมณีดินดอกนี้มีชื่อว่าดอกดวงขวัญ
ทะยานฝันหวังเพาะจิตสร้างโลกใหม่
โลกนิยามให้รักษ์งาม*ธรรมชาติไพร
สอนยิ่งใหญ่สัจจะแท้มิแพ้ตรม..
อัญมณีจิตรักชีวิตลิขิตฝัน
เพียรสร้างสรรเพาะพันธุ์ใจหวานหอมห่ม
แพร่ให้เขาลบลืมเหงาลืมระทม
แปรดอกลมเป็นดอกรักดอกภักดี...
เชื้อดอกฝันพลันสล้างกลางใจเหงา
กลายเป็นเงาช่องามท่ามชีพนี้
มาแตกช่อกอเพชรพร่างกระจ่างดี
แปรฝันพลีสอนสัจจะจริงงามยิ่ง*ธรรม*
อย่าสิ้นเชื่อเบื่อขวัญฝันนะยอดรัก
จงพลีภักดิ์ดั่งธารใจระรินร่ำ
พร่างรินรดดอกไม้จิตดวงดอกธรรม
ราวฝนพรำนำสวรรค์ลอยคอยฝากดี..
ขยับจิตมาสนิทมาชิดขวัญ..ฝัน..
รับหอมวันหวานคืนจากใจนี้
แล้วอย่าลืมแปรรอยฝันปลอบโลกจริงนะคนดี
สร้างศรัทธาชีวีพลีรักธรรม...ธรรมชาติ..วาดวิมานคืนผองชน...!บนแผ่นดินแม่มาตุภูมิทอง!
***********
ฟ้าวันใหม่ ยังคงเป็นสีฟ้า ..ฟ้า.. และฟ้า...
ยังคงงามตระการตา ตระการใจ ตระการหล้า
กระจ่างใจ.....
ฟ้าหลังฝน..หลงฤดู..!
ฟ้า...
ที่ยังคงมี..
ผืนกว้างสว่างไสว
รอรับสายแสงแรก...จากเทพเจ้าแห่งดวงใจ..เจ้าสุริยา..
อาทิตย์อุทัย...ไขม่านฟ้า
ยามอุษาสาง
ชักรถข้ามโขดเขินเนินไศล โตรกธาร สายน้ำระริน
ราวค่อยค่อยอ่อนโยน
ไล้ลูบ...ถวิลจูบจุมพิต ทุกกลีบใจ...ทุกบัวในบึง...
ที่ระริกระริกไหวไกวเกสร
ร่ายร่อนรอแย้มแกมอ้อนรอภมรมาว่อนอภิรมย์
ให้มาดอมดมดูดดื่มซึมซึ้ง
ถึงบึ้งหวานปานน้ำผึ้งรวงกลางเรียวรัก
มาทายทักดวงดอกไม้ไพรไหวกิ่งฝัน
ที่พราวพลันพรึบขยับบานรอรับหวังหวาน
ฝันแสนงาม
รับนิยามวันแสนดี
เพื่อเริ่มชีวีชีวิตใหม่
รับ
สายแสงแรกแห่งงามดวงใจ
ที่ราวเรียวรุ้ง..พุ่งแฉกแตกประกายพร่างสว่างจ้าจรัสจรุง
มาระเหยหยดหยาดน้ำค้างยามรุ่ง
กลางกลีบดอกไม้ไหวในไพรกว้าง
มิร้างแรมลาเลย...
มิเมินเฉยหน้าที่
ที่จะหมุนวนกลับมาพลีสอนสัจจะธรรมแห่งชีวีชีวิต
ให้รู้สนิทแนบเนารัก..ธรรม..ธรรมชาติทุกสรรพสิ่ง
ให้หยุดนิ่งดู นิ่งฟัง....
พลังแห่งงามเงียบรายรอบ...
ก่อนประกอบกิจประกอบกรรมในวันใหม่..
ที่สุดแต่ใจใครจะไขว่คว้ากล้าเลือกทาง ..
หรือทนรอ..รอและรอ..ไปไม่มีวันสิ้นสุด
พรายพระอาทิตย์แรกแย้ม
ที่มาแต้มนภา
ให้ค่อยๆคลี่ผืนฟ้าแจ่มกระจ่างจ้า
ราวสายรุ้งในยามสนธยา...เหว่ว้า
หรือว่า......
ในยามเช้า..ที่สาดสายแสง
จาก...ดวงแดงแช๊ด ส้มสุกจัด..ชัดแจ่ม
ในไพรพงกลางดงสวรรค์วนา
ที่...จะโผล่พ้นดงตาล
ท้องทุ่งนา วิมานรวงข้าว
ที่กำลังพรายพลิ้วรวงระบัดไหว
ให้หวงหอม..หอมหวานกว่าหวาน..จากรวงข้าวใหม่..
ในท่ามกลางเสียงร้องของกบเขียด..ดุเหว่าไพร
แล..
นกไพร...มากพันธุ์
ที่พากันผกโผผินบินร่อน
ว่อนภิรมย์ชมฟ้า..
อย่างอิสราไร้พันธนาใดพันธนาใจ
ฤา...
กับ..นกระยางสีขาว
ค่อยๆย่องหากินในนาเขียวไพล
นา..ที่ราวบึงใจบึงฝันนิรันดร์รัก
ให้...วัวควายได้นอนพักเอน...เคี้ยวเอื้อง...อย่างช้าช้า...ช่างน่าอิจฉาเสียนี่กระไร..
ฤา...กับ
แสงไสวแรก..
ที่ทอทอดลอดไล้ท่ามดงเรียวไผ่ ใบหนา
มีกองฟืน..ลอมฟาง..กระท่อมไพร
ดอกโสนไหวไหวริมหนอง
มาผ่องแสงดับหมองหม่นม่วง
ให้พวงดวงดอกตะแบกพราว
ที่แบกรักร้าวราน
หากทว่ามิยอมสิ้นหวาน
ไล่โทนสี ทีชมพูซึ้งเศร้ารับสายลมร้อน
อ้อนไสวโศกไปทั้งราวใจ...ราวป่า..
ฤา..
กับ
ฟ้าสีฟ้าครามยามอุษา
ที่ทอทอดท่ามเมืองกรุง..ตึกสูงแลละลิบเทียมเมฆ
ที่เศรษฐีเสก
ให้กลายเป็นป่าปูนมิพูนเพิ่มชีวี
หาก..ทุกดวงฤดียังมิปลอดหนี้เป็นไท ไปทั่วสารทิศ
เป็นดั่ง..
วิมานฝันสวรรค์ลวงเพิ่มบ่วงกรรม
ราววิมานอันเรืองรุ่ง
หากรุงรังด้วยพันธะจิตชั่วชีวิตมิหลุดพ้น
นามวัตถุนิยมตามค่าสังคมเมือง
ให้..
ดวงดอกแดด..ในยามเช้า...สายบ่ายเย็น
ต้องยอมแพ้พ่ายไร้ใครมอง
มิหมายครองคลายลบโศกตรม
ยามระทมท้อแท้นอนแผ่กาง
ด้วยวิถีชีวีเร่งรีบ
เร่งร้อน มิอาจผ่อนพัก ได้นาน
ต้องคอยตามใช้หนี้รักพันธะหัวใจ
ให้ดิ้นไปดิ้นมาราวปลาผิดน้ำ
บ้าง
ก็ต้องหามส่งโรงพยาบาล
ด้วยสาระพัดโรค..ที่มากับความเครียด
ที่มาเบียดบังดวงตา
จนไม่มีเวลา...
แม้นจะแหงนเงยมองคอยจ้อง
ทอดทัศนาพระอาทิตย์ไม่ว่าในยามไหน
ไร้สิ้นหวังหวานในหัวใจ
ให้อยากดูพระจันทร์ดวงงามในม่ามเมฆ
ที่
คิดไปคิดมา
ช่างแสนน่าถวิลเทวษในดวงใจเสียเป็นยิ่งนัก
ว่า
จันทร์ดวงงามยังทายทักฝากซึ้ง
จะยังคงขึ้นลงตรงต่อฟ้าไหม
หากคงคิด..มั่นใจเต็มร้อย
ในความสัตย์ซื่อตรงคงมั่นของธรรมชาติ..
อย่าง
มิจำต้องสงสัย
มิเสียเวลาเหงาแหงนคอรอคอยมอง..
มิหวังจ้องเอางามหางาม
มาประดับร่างประทับประเทืองใจ..
คงไม่จำเป็นกับโลกศิวิไลซ์กับคนไม่มีเวลา
กับคนไม่มีดวงตาที่สาม
ไร้วาบหวามหวั่นไหว
ไร้หัวใจดวงทองครอง
ที่ยังเพียรหวังมองหา*นิยามฟ้าดิน*
*บทกวี..ฤาแม้น*แต่ดนตรีบรรเลงเพลงพรหม*
ให้มาหอมห่มพรมพร่างสร้างงามเงียบในห้องหัวใจ..
เอาละนะ..
ถึงดวงสุริยันจันทรา...
จะผันดวงมาทางไหน
กลางดงเมือง
ท่ามดงไพร
ขอเพียงหวังให้
ทุกดวงใจใสใส..
ทุกบุรุษสตรีในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
ได้มีเวลาหยุดมองดู
ได้รำลึกรู้รับงาม กับทิวามหวามราตรีฝัน
รับความเป็นปัจจุบัน
ลืมโลกย์โศกสุขในอดีต
มิไห้หวนนำมากรีดใจมิให้นำมาเหงาใจ
อย่าได้ลืม
นำไสวของสายแสงสุริยา
พระอาทิตย์ดวงแรกแหวกหวาน
ให้มาคลี่บานแย้มแต้มใจ
มาทายทัก
มาปลุกปลอบใจ
เพื่อเพียรนำมาสร้างฝันสร้างพลังใจ
ให้ยังคงมีไฟฝันมิมอดดับ
รับพร่างแสงสว่างกระจ่างแจ้ง
มานำเส้นทางใจเส้นทางชีวิต
ให้ได้พบสุขสถิตเป็นนิรมิตรักนิรันดร์
ให้จิตใสพลัน!..
ได้แปรฝันเป็นจริง
สรรสร้างสิ่งแสนดี
ให้รักนิยามโลกแสนงามนี้ด้วยธรรม..ธรรมชาติ
ให้อย่างมิเสียชาติที่ได้เกิดมา
ในฟ้าพุทธภูมิ
ให้ได้มีดวงตาเห็น ธรรม ธรรมชาติ
ที่แสนพิลาสสะอาดสวยใส
แลเห็น
พิไลละไมกมลอย่างที่สุดแล้ว
แกมรับแก้วกระจ่าง
มานำทางใจให้ยิ่งใสพร่างสว่างหอม
*นามค่าคนคำกวี*
ที่..พุดไพรหวังทุกดวงใจยินดีพลีปิติเกษม
นำพรสวรรค์บวกพรแสวงมิแล้งไร้
มามอบฝัน
ที่ดั่งพรพรหม...
และ...
ที่เราพะวงเพียรปั้น
เสกสรรสร้างฝันรักอักษรามาด้วยเพียร
มาหลอมเนียนนวลเนื้อใจ
ให้หอมห้อมห่มให้ยิ่งไสวพราว
ราวดาวเดือนประดับฟ้าบรรณพิภพมิรู้จบรู้สิ้นทบทวีบมกวี
ให้สมที่ฟ้าปรานีสวรรค์เมตตา
สร้างดวงใจราวดาราสวรรค์ในขวัญสรวง
มามิลวงล้างโลกมืด
มาสืบทอดทอ
ให้ฟ้าไทย..ใจไทย..ใจไท
งามงดพร่างพราว
ให้ทุกดวงใจในทุกข์ผืนหล้า
ได้ฉ่ำชื่น
ได้ยืนยงดำรงดีไปตราบนาน
อย่างผู้กล้าผู้พากเพียรผู้รู้ตนผู้มีกมลรักธรรม
เข้าใจธรรมชาติ ที่คือสัจจะอันจะค้ำจุนโลก
ได้โปรด
รู้รักรักเมตตาสามัคคี
อย่างปรารถนาดีต่อกัน...อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ดั่งสายธารธาราใจ
ที่จะรี่ไหลรี่ไหลให้ฉ่ำใจไปนิรันดร์
อย่างมีน้ำใจไฟฝันฝันฝัน
อย่างคนที่สวรรค์พลันพามาให้พบ
และ
หวังทุกดวงใจที่รักรจนา
จัก..จารจบ..ด้วยบทกวี
ที่มีชื่อแสนรักแสนจริงใจนี้
ให้
.*แปรฝันปันหอมหลอมโลกให้รักธรรม..ธรรมชาติ..*
และ
หากยามใดที่ดวงหฤทัยจำพรากไกล
จำลาลับดับดวงวิญญาญ์.
ขออธิษฐานตั้งจิตต่อฟ้าดิน
ว่าจะถวิลเพียงงามใจ
ราว
*ดวงดอกไม้อัญมณีไพรอัญมณีใจ...ลงเคียงคืนพสุธา..*
ขอเพียงเพียร
ฝากงานงามล้ำค่าทางจิตวิญญาณสังเวยพลี
สานฝันนี้
ให้เป็นพลังแผ่นดิน
ตราบสิ้นลมหายใจแห่งความรักผูกพัน
ดั่ง..
*.สายน้ำนิรันดร์รัก*
*******************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=222
ฉันรักเธอเสมอ
ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล : : Key G
หากตราบใด สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง กระทบฝั่ง เป็นอาจินต์
เป็นนิจสิน ตราบนั้น ฉันรักเธอ
เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์
เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์...
29 มีนาคม 2548 19:55 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
(คำมั่นสัญญา)
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3337
(คู่ทาษ)
********
คืนนี้....
ไร้จันทร์เพ็ญเด่นดวง...ในท่ามกลางฟ้ามืด
แม้นจะเป็นคืนข้างขึ้นสิบห้าค่ำก็ตามที
ฝนหลงฤดูยังคงรินร่ำร่ายมนตราลีลาวสันต์
มิสร่างซามิขาดสาย
ราวนางฟ้ากำลังร่ำไห้ครางครวญ
กับนวลเมฆเทาทึมทอดทาบไปทั่วทิศทาง
ทั้งราวไพรราวเมือง
สไบนวล...
นอนนิ่งนิ่งในเตียงโบราณ
แสงเทียนในโคมแก้วพร่างระยิบ...
ระบัดไปตามแรงลม
ลีลาวดี ไหวดวงดอกระทมพวงพราว
เฝ้าออดอ้อนหยอกล้อพ้อสายฝนริมหน้าต่าง
ให้อวลระคนหวานเศร้า
มาสัมผัสพร่างมาให้หอมกับร่างงามในท่ามสายลมยามค่ำ
ม่านลูกไม้ รายรอบเตียงพลิกพลิ้ว
เผยให้เห็นร่างอรชร
นอนเหน็บหนาว...
ราวหัวใจจะปลิดปลิวลิ่วลอย..
สายฝนยังคงพร่างไอเย็นพราว
ราวมาลูบไล้ร่างซูบซีดบอบบางนั้นให้ชื่นฉ่ำอ่อนโยน
เงาในกระจกโค้งมน..ตรงข้าม
สะท้อนร่างราน
ที่นอนนิ่งขวางกลางเตียงเพียงลำพัง
ผมดกดำล้อมรอบกรอบเสี้ยวเรียวหน้ารูปไข่
แผ่สยายราวสายไหมกระจายบนหมอนนุ่มนวลขาวสะอ้อน
วงหน้าซีดเซียว
ถูกไล้ด้วยแสงเทียนทอ...ให้ยิ่งงามละออราวรูปสลัก
หากทว่าวงพักตร์ไยมิแจ่ม
แต้มด้วยคราบน้ำตาซึมซึ้ง
ที่กำลังสะท้อนพราววะวาววับ
จับแสงเทียนที่ทอทอด
ราวหยาดเพชรเม็ดใส
ประดุจหยาดน้ำค้างไพรบนใบบัว
ที่กำลังกลอกลิ้งทิ้งแสงพราย
ขับวงหน้าให้ยิ่งงามแอร่มหวานเศร้ารานร้าวจับใจ
ในภวังค์อันดื่มด่ำ ปิติเกษมล้ำลึก
เสมือนตกอยู่ในเงื้อมเงา
นิทราฝันอันแสนดี...
ฉับพลัน..!!!
มีร่างหนึ่งปรากฎพร่าง
มากับแสงพรายพราวรายรอบ
เขา....
ทรุดตัวลงนั่งริมขอบเตียง
ค่อยๆยกประคองใบหน้านวลละมุนมาวางไว้แนบตัก
ด้วยแสนรักเอยแสนรักในกมลละไมละเมอ
บุรุษผิวสีทองแดง....
มิได้เอ่ยปาก
หากทว่า...ทำไม..!
น้ำตา...สไบนวลไหลพราก..มิขาดสาย
ทันที่เห็น
ราวจิตสัมผัสจิตได้
ที่...ทั้งชีวีชีวิตสไบนวลมิมีวันเลือนลืม
เขา..คนดี..
ประคอง..ไล้ลูบจูบใบหน้า*สไบนวล.*..
อย่างนุ่มนวลอ่อนหวานอ่อนโยน
อย่างรักใคร่
ด้วยจิตวิญญาณรักภักดี
ที่ชายชาตรีพึงพลีสยบยอมมอบให้เพียงสตรีเดียว
มิเหลียวแลใคร
อย่างแสนซาบซึ้งใจ..ในฤดีในปฐพี..นี้..ที่มีค่าคู่ควรรัก..
ใบหน้าคร้ามแดด ดวงตาสีสนิมเหล็ก..รานร้าว
ฝากซึ้งเศร้าหวานโศก
ราวโลกจะลาล่วงดับดวงไปตรงหน้ามินาทีใดก็นาทีหนึ่ง
มี..แววออดอ้อนอาวรณ์อาลัยในน้ำเสียงนวลนุ่มทุ้มซึ้ง..
สไบ..ได้ยินเสียงเขา..
ราวเพ้อพร่ำคะนึง
กระซิบอยู่ริมหู..เรียวแก้ม
อย่างหนักแน่นอบอุ่นที่สุด
ราวอยากหยุดโลกให้เลิกวิโยคครวญตาม
ให้รู้หักห้ามใจ
*ไหนเจ้า เคยให้คำมั่นสัญญาต่อข้าไว้มิใช่ละหรือไร
เจ้า...สไบนวล...แม่ยอดรัก..
ว่า..
เจ้าจักไม่โศกราน
ให้ม่านน้ำตาพร่างหลั่งรินโหยไห้ ยามข้าสิ้นลมหายใจ*
*เจ้า..เคยสัญญาใจไว้กับข้า..ไว้มิใช่ดอกละหรือไร
ว่า....เจ้า...จักดำรงจิตใสหนักแน่นอดทน
รู้อยู่...อย่างเมียนักรบ..คนกล้าหัวใจแกร่ง..หัวใจไทยังไงล่ะ
แล้วไฉนเจ้า..จำมิได้แล้วล่ะหรือไร
ไยมามัวหมองตรม
ให้วิญญาณทรนงของข้า...ระทมเสียยิ่งกว่าเจ้า..เสียอีกเล่าแม่สไบยอดรัก*
*เจ้า..สัญญากับข้า*
*เจ้าจักไปวัด ทำใจมิไหวครวญมิหวนไห้..มิเหว่ว้า*
เจ้า..จักอยู่อย่างภูมิใจในทุกคราที่คิดถึง
ว่า....
เลือดรักยิ่งชีวิตของข้า
ได้หลั่งกล้า..รินทาฝากไว้จนหยาดหยดสุดท้าย
ฝากไว้ให้อาบหล้า
ไว้ปกปักพื้นพสุธาไทพสุธาทอง
แผ่นดินแม่มาตุภูมิ
ให้เจ้ารู้ภูมิใจในเกียรติศักดิ์รักยิ่งใหญ่ *
ที่....
ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
ก่อนพรายพลัดพรากเจ้านั้น
ข้าเฝ้าฝันเห็นเพียงร่างข้า
ทรุดตัวลงถวายคำสัตย์ปฎิญาณ
สาบานต่อหน้าฟ้าดินวิญญาณบรรพชน
ว่า...
จักถวายจิตถวายชีวิต
พลีภักดิ์เพียงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และ
สำหรับเจ้า
*ยอดดวงใจ*ที่ข้าแสนรักเอยแสนรักในกมลนั้น
เจ้าได้อ้อมแขนแห่งขวัญรักข้าไปครอง
ที่ข้ายินดีพลีปองมอบให้เมียขวัญและแม่
ส่วน
เกียรติศักดิ์รักแท้ของข้านั้นข้าขอมอบไว้แก่ตัว
เจ้าก็รู้..ดี
แล้ว...
ทำไม..!
วันนี้...นาทีนี้...ชั่วเดือนปีในรำลึกสัญญา
*เจ้า...ได้แต่เก็บตัวเก็บร่างในห้องหับ
ไม่ยอมรับรู้โลกและกาลเวลาภายนอก
ให้ใครใครเขากระซิบบอก
ปากต่อปากกันไป..
ว่า..
เจ้า...นั้นคือสาวโบราณกลับชาติมาเกิด
เจ้า..
ราวมารอเพียงฤกษ์คืนเพ็ญมารอข้า
มาทวงสัญญา
ราวรอเวลาในโลกทวิภพ
ไม่รู้จบรู้เลิก
จนร่างเจ้าแสนบอบบางผ่ายผอมราวลมจะพัดปลิว
เจ้า..นวลสไบเอย
ข้ากลับมาเผยจิตเผยใจ
เพราะทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าใช้ชีวิต
ในท่ามกลาง
ความดายเดียวเหว่ว้าอีกต่อไปแล้วนะ
แม่ดวงแก้วดวงขวัญเจ้าจอมใจ
ข้า..จึงจัก
จะมาพบเจ้าในฝัน
ค่ำคืนเพ็ญนี้ครั้งสุดท้าย
และ...
หมายให้เจ้ารำลึกจำคำมั่นสัญญานี้อีกที
ที่ข้า...จะพลีพูดเพียรบอกเป็นครั้งสุดท้าย
นะเจ้าสไบ..นวล*
*เจ้ารู้ไหม
ตั้งแต่นาที
ที่เจ้า...ค้นพบศพข้า
ท่ามกลางควันไฟไหม้โหมเวียงวังและหยาดน้ำตา
และ
เห็นเลือดข้าท่วมไหลนองพื้นปฐพี
มีเพียงสไบชุ่มเลือดเคลียร่างวางไว้แนบอกข้า...
ยามลาไกลเจ้า...!
เจ้า...
ก็เฝ้าได้แต่ซุกซบในอ้อมอกอ้อมใจข้า
หากทว่า
ไยเล่าเจ้าจึงมิร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
น้ำตาเจ้าคงไหลลง
ราวธารเลือดมิเหือดแห้งหาย
หากทว่ามันแสนร้าย
ที่คืนกลับไปฝากไว้ในสี่ห้องหัวใจเจ้าให้ยิ่งแสนโศกราน
ที่คนภายนอกพากันมองผ่านพากันกล่าวขาน
ว่า...
เจ้า..นั้นช่างเกิดมาสมศักดิ์ศรี
เป็นเมียชายชาตรีชายชาติทหารชาตินักรบ
ผู้เข้มแข็ง แกร่งกล้า มิไหวครวญ หวนไห้ราวรู้หน้าที่ดี
หาก..มีเพียง
ข้าและฟ้าดินอินทร์พรหมเท่านั้น
ที่เฝ้ารับรู้ว่าเจ้าแทบทนเทวษมิได้
หากแทบอยากพลีร่างตายตามข้าไป...ในบัดนั้น
หาก..
จะเช่นใดเล่าเจ้าสไบเอย
เจ้า...ก็เคยซึ้งคำข้าฝากไว้มิใช่ดอกละหรือ
*วิญญาณนักรบไท หัวใจทองอย่างข้า*
จะอยู่อย่างอัปราไร้บ้านขาดเมืองได้อย่างไรกันเล่า..!!
..
ข้าถึงยอมตายหมายแลกอิสรา
และ
มาตรแม้นโชคร้าย
ข้า..
ก็ยังดียังได้
หมายฝากความหาญกล้าไว้ในทุกธุลีหล้า..
ให้ลูกหลานไทได้ยลยินได้ภาคภูมิใจ
ยามเทวษถวิลถึง
ให้พวกเขามิเขลาสิ้น
ได้รู้ซึ้งถึงคุณแผ่นดิน
รู้พิทักษ์รู้รักษามรดก
ที่ปกป้องมาด้วยหยาดเลือดหยดน้ำตา
และยอมพลีชีวาชีวิต
ให้สถิตสถาวร
อย่างไม่อาวรณ์อาลัยร่างเลย
ไม่ยอมเฉยให้ไอ้ข้าศึกมันเหยียบย่ำบีฑา
ให้มันซึ้งว่าพวกข้าคนไทย!
มิได้ขลาดกลัวหวาดกลัว !!
สไบเอย..!
หัวใจข้าระทม..ระบมนักที่จำพลัดจำพรากจากเจ้า
หากทุกคราคราว ...
หัวใจข้าพราวด้วยความปิติภาคภูมิ
ที่ได้รักษาเกียรติภูมิแห่งผืนดิน
ไว้ให้เจ้าและลูกหลานไทได้รู้รักถวิลหยัดยืน
นะแม่สไบ...แม่ยอดดวงใจ
ผู้มีหัวใจดวงทองผ่องผุดพิสุทธิ์งาม
ของข้าสุภาพบุรุษชาตินักรบ
และ
*เจ้า...ยังตายไม่ได้
แม้นหัวใจเจ้าจะรานโศกราวโลกกำลังจะแตกดับก็ตามที
เจ้า...คนดีผู้ยอมผ่ายผอมตรอมตรมใจ
เจ้า...มิเจรจาพาทีเล่นหัวกับผู้ใด มาแสนนาน
มีเพียงใจนิ่งงันราวฝันร้ายไหม้โหมห้องใจเสมอมา
ที่ข้ารู้..ดี
ดวงใจเจ้าเย็นเยียบเหน็บหนาวเจ็บร้าวลึก
ให้เจ้านอนซม จนเป็นไข้
*สไบเอ๋ย
ข้า..ทนเห็นเจ้าอยู่อย่างทุกข์ระทมแบบนี้ไม่ได้
เพราะเจ้ายังตายมิได้
ยังไม่ถึงเวลาของเจ้านะแม่สไบนวล...
แม้นเจ้าจะหวนหาข้าสักปานใด
เจ้า..ยังต้องอยู่...
ครองร่างจิตครองชีวิตสร้างกุศลเพื่อข้า
เพราะ
เจ้ารู้ไหมว่า...สวรรค์ไม่มีที่ว่าง
รอรับร่างสุภาพบุรุษอาชาไนยหัวใจชายชาตินักรบอย่างข้า
เพราะ
ทุก*คมดาบของข้าที่ได้บั่นคอศัตรูได้ลิ้มชิมเลือด
ผู้มารานรุกบุกประชิด
หากทว่า
เจ้า...รู้ไหมทุกชีวิตไอ้ศัตรู
ที่มันมาหลั่งเลือดสังเวยคมดาบข้า
มันเองก็คือผู้มีหยาดเลือดบริสุทธิ์ไม่รู้ว่าพ่อลูกผัวใคร
มันเอง
ก็คงมีสำนึกในความจงรักภักดีต่อชาติมัน
ต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของมัน
เช่นเฉกเดียวกันกับข้า
ผู้ยอมเสียวิญญาญ์ทำทุกสิ่งเพื่อผืนดินเช่นกัน
หากเพียง
จิตวิญญาณเรานั้น
ต่างพลีฝาก..*ความฝันอันสูงสุด*คนละฝั่งคนละด้าน
ที่...
เราต่างก็จำต้องมาหลั่งเลือดรดหยดพลีชดใช้กรรม
มาละหลั่งเลือดชะโลมหล้า
เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินต่างถิ่นต่างที่รัก
*สไบเจ้าเอย...
ข้าจึงยังมิพ้นพงกรรมคำพิพากษาจากฟ้าดิน
ทางช้างเผือก
ที่จะรอทอดรับร่างข้าสู่สรวงสวรรค์ยังอีกยาวไกล
สไบเอย
จงอย่านิ่งเฉยนะแม่นวลสไบ*
*เจ้าจงฟังให้ดีดี
น้ำตาอุ่นๆ
ที่ข้าพลีรดบนอกใจเจ้านี้
คือคำร้องขอจาก
*ลูกผู้ชาย..คู่ทาษคู่พิสวาทพลี*
ที่จงรักภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าหญิงใดในปฐพีนี้
รอเวลา...
ให้เจ้าคนดีได้พลีเพียรสร้างกุศลทานบารมี
ภาวนารักษาศีลให้บริสุทธิ์
ให้จิตวิญญาณข้าได้หลุดพ้น
ได้พบพานเจ้า
*ดั่งที่สองเราได้เฝ้าอธิษฐานฝากคำมั่นสัญญา
ที่ทั้งฟ้าดินอินทร์พรหมสิ้นยมโลกต่างรับรู้
รอเอาใจช่วยเราสอง
ให้ได้ครองรักมั่นตราบชั่วนิจนิรันดร
เจ้า....
จงอย่ามัวแต่อาวรณ์อาดูรพูนเทวษถวิลถึงข้า
*ชายในดวงใจในฝันอยู่เลย*
เจ้าจงพาร่างและจิตใส
ถวายกายใจในร่มธรรม
ให้นวลใจงามล้ำได้ตั้งมั่นสัตยาพิษฐาน
กรานกราบเพียรภาวนา
พาให้จิตวิญญาณข้า
ที่รักรอเจ้า
ได้หลุดพ้นวงวนวิบากกรรม
ให้เราได้พานพบกันในแดนธรรม แดนทอง แดนไทย
แดนพระรัตนตรัย
ให้สว่างไสวเสียทีนะยอดรักเจ้าสไบนวล
หากเราสอง
มีบุญญาบารมีพอ
ขออีกคราครั้ง
เจ้าจงตั้งจิตตั้งใจ
และ
เจ้าจักรำลึกรู้
เมื่อวันหนึ่งเราได้กลับมาพบกัน
เจ้า....
จักจำข้าได้ตามรำลึกสัญญา
นะแม่สไบนวล สไบนาง
ที่มิเคยห่างอกห่างใจข้า
มิว่าชาติไหนภพไหน นะแม่สไบ สไบ ที่ข้าแสนรัก รักเอย....
และ
ก่อนข้าลาไกล ข้าจะจูบซับหยาดน้ำตาพลีรักภักดีบูชาแด่เจ้านะ
ขอเจ้าจงอย่าได้เศร้ารานโศกอีกเลยนะ
แม่ยอดดวงหฤทัยของข้า ....
..............
...........
..........
เสียงแว่วแผ่วหวานละมุน
อบอุ่นหนักแน่นมั่นคงค่อยๆจางหาย.....หาย..หาย...ไป.....
ในขณะที่ร่างสไบหนาวเหน็บราวจับไข้
เสียงสายฝน
ยังร่ำรินราวร้องถวิลกระซิบเตือนอะไรบางสิ่ง
บางอย่างให้สไบนิ่งฟังเสียงในความฝัน
ให้สไบผู้รักดายเดียวเหว่ว้า
ได้ลืมตาอย่างอ่อนล้า
ขึ้นมาอย่างช้าช้าแล้วพลันพาทบทวน*นิมิตฝัน*
อันพลันกระจ่าง
ราวเรื่องจริงกับสิ่งที่เพิ่งผ่านมา
*คำสัญญา คำมั่นสัญญา *
*คำว่าคู่ทาษ *
ที่สไบนวล..
แสนพิศวง...งงงัน..ฝันคว้าง...
ค่าที่มักมาผุดในฝันแสนกระชั้นถี่เข้าถี่ขึ้น
ราวจักเตือนให้ไหวรำลึกนึกรู้รำลึกถึงบางสิ่ง
ที่รอฝันเป็นจริง
ในไม่นานช้า
อย่างที่สไบยากที่จะบอกกล่าวเล่าให้ใครและผู้ใด
ได้รับรู้เรื่องราวราวเรื่องรักปาฎิหารย์นี้
กลิ่นกาย
หอมราวดอกไม้ไทย
ยังระคนในกมลนวลใจสไบ
ที่หัวใจช่างหวิวไหวหวิวหวั่นหนาวเหน็บเหน็บหนาวเสียไม่มี
..............
และ
ด้วย...
ดวงใจสลัวมัวหม่น
ที่อธิบายให้ใครสักคนรับรู้มิได้
นอกจาก...
มีเพียงเสียงเพรียก
ให้พาร่างมาถึงนี่
แดนดินเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
ที่จิตใจยังอาวรณ์อาลัยอย่างยากจะหาใครมารับฟัง
นอกเสียจากให้ซากศิลาทุกก้อนแห่งอดีตหนหลัง
ลั่นทมพราวกิ่งไกวไหวสะท้านสะเทือนได้รับรู้
.*.
สไบนวล ...
จึงมานั่งนิ่งพิงต้นลั่นทมอีกครากับฟ้าชิงพลบ
กับงดงามสงบแห่งพระพักตร์พระพุทธ
ที่ผุดสร้างขึ้นมาเพียงเศียรที่วัดมหาธาตุ
อันแสนพิลาสพิไล
มองดูแสนสุขสงบงามใจในทุกครา
ยามเฝ้าจ้องมองดูอย่างเงียบๆ
และ
สไบนวล...
แสนไหวหวั่นดวงใจ
ราวกับมีพลังลี้ลับกับบางสิ่งแฝงฝังรอเวลาแห่งพลังใจ
รอกาลเวลา....
ในท่ามกลางความเหว่ว้า
ใน..
สายแสงสนธยาสีทองอันอ่อนอ่อน
ที่ทอทอดยอดปรางค์ปราาสาทวิหารเก่า
ที่เคยงามอะคร้าวมลังเมลืองมาอย่างรำไรๆ
สไบนวล....
ก็เห็นใครบางคน
ค่อยๆก้าวออกมาจากเบื้องหลัง
พระพักตร์พระพุทธรูปปูนปั้นอย่างช้าช้า
ราวภาพฝัน
ร่างในชุดทหารหาญสีเขียวเข้ม
ขับใบหน้าคร้ามให้ดูขรึมขลังปลั่งสุกราวสีทองแดง
แสงเงาเน้นให้ร่างนั้นดูทรนงคงมั่นบึกบึน
หาก
ทำไมเล่า
ยามที่สไบนวลสบตาถึงกับสะดุ้ง
เขา...
คือคนคนเดียวคนดีกับที่สไบเคยเห็น
ที่ลานลั่นทมมานานแสนนาน
คนเดียวกับ
ผู้ชายที่ละม้ายแม้นในความฝัน
ที่ขยันมาปรากฎตัวบ่อยๆทุกวันพระ
แม้นกระมั่งยามนี้...ที่สไบแสนสับสน
ที่..
ทำให้หัวอกหัวใจสไบนวล
พลันระรัวด้วยทั้งตื่นเต้นแสนตกใจ..ไม่แน่ใจเอาเสียเลย!!!!
และ
ไม่อยากคิดไกลไปว่า
ว่าเขาคือ*ผู้ชายในฝัน*คนเดียวกันนั่นเอง
*เขา*...ส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนมาทายทัก
และแสนแปลกดีนัก
ที่สไบเห็นแสงน้ำพราวราวเพชรพร่างใส
ราวหยาดรุ้งในเรียวตางาม
สไบ...เพียงตามคิด..*ไย..!ผู้ชายชาติทหาร
ถึงมีนัยน์ตารานโศก
ราวจะหยุดโลก
ให้เหลียวมองด้วยสงสารได้ถึงปานประมาณนี้ด้วยเล่า
........
*เขา....เอง..ก็งง..
ราวหลงในดงฝันสวรรค์รอเช่นเฉกเดียวกัน
ที่...
พลันพามาพบ*ผู้หญิงร่างบอบบาง*
ที่ดูงามสงบอย่างแปลกประหลาดในยามพลบค่ำ
ใน..
สถานที่ราววิมานเมืองวิมานแมนเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
งในเงื้อมเงางามสถิตราวเมืองโบราณให้นิรมิตฝันพร่าง
ไสวกระจ่างราว...
กลับหวนทวนคืนอดีตอันเรืองรุ่ง
ด้วยมโหรีระทึกมาเยือนให้ประทับใจในอีกหนอีกครา
ที่ทำให้เขาจำต้องหลั่งน้ำตาระรินทุกครา
ยาม...ราวได้ยลยินด้วยจิตวิญญาณ
ทันที่ที่ร่างใจ
ได้มาสัมผัสเมืองนี้
ที่มี...
พลังลึกลับดึงดูดให้เขาหวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ราวรอคอยบางสิ่งแสนหวานแสนดี
ที่เขารอพลีพบมาตราบจนชั่วชีวิต
ทั้งๆที่เขาไปมาครบร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาแล้ว
เขา...มองเธออย่างไม่วางตา
เห็นความงามแผกพิศ
ร่างในชุดกางเกงผ้าปักชาวเขาสีเหลืองทอง
กับเสื้อแพรไหมบางเบาสีพยับหมอกไหล่ล้ำ
เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งรวงเนียนละออ
ที่บัดนี้เธอทัดดวงดอกลั่นทมริมแก้มงามสามสี
ขับให้ผิวแก้มระเรื่อด้วยดวงดอกและแดดดวง
ในยามตะวันลาฟ้าโพล้เพล้สีไพลแสนงามพราวราวรุ้งเยือน
เขา...
เห็นเธอใส่สร้อยร้อยเรียงด้วยหินสีสลับอย่างงามแปลก
และ...
เน้นให้วงหน้านั้น
ราวสาวพันธุ์โบราณย้อนยุค
ผุดมานั่งเคียงกับอลังการ
กับงามเงาเหงางามในอดีต
ที่แสนกรีดใจเขาในยามนี้
ยามที่ราวได้ยินเสียงเสภาขับกล่อมมาห้อมห่ม
ให้กมลเขาตกอยู่ในท่ามภวังค์ฝันอัศจรรย์รักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว
เขา..ตกในพะวงฝันสวรรค์หวานตระการจิตนานมาก
ก่อนที่..จะค่อยๆกระชากใจถอยกลับมาสู่ปัจจุบัน
และ...
กล่าวคำทักทายเธออย่างสุภาพชนพึงกระทำ
*ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณตกใจ
ไม่ให้ซุ่มให้เสียง..ด้วยคิดว่าตัวเองอยู่ลำพังครับ*
เพราะเย็นมากแล้ว
ผม...เพิ่งกลับมาจากราชการ
เลยมาแวะกราบพระนะครับ
แล้วคุณละครับ
เป็นผู้หญิงทำไมมานั่งนิ่งๆในยามเย็นๆอย่างนี้*
เธอ..
หันมายิ้มน้อยๆคลี่คลายบรรยากาศ
ยิ่งทำให้เขาแสนงงงันแกมประหลาดใจ
ในความคิด
*ผู้หญิงอะไรยามแย้มยิ้มราวโลกไสวพร่างราวดวงตายิ้มได้
ราวโลกพลอยแย้มแต้มหอมหวาน
ตระการพราวไปด้วยดวงดอกไม้
ก็แปลกดีแฮะ...
แต่...
สิ่งที่ได้ยินจากเธอ
ยิ่งทำให้เขาอึ้งอั้นงันงงเข้าไปใหญ่
*ฉันมาที่นี่บ่อยค่ะ มาตามฝัน คุณอย่าขำนะคะ
จะตลกกันไปใหญ่
เขา..ตกใจมากกว่าจะขำ
เพราะ
ทำไม..และทำไม..!
จึงเกิดมหัศจรรย์ใจ
ที่เธอคิดตรงกัน
กับความรู้สึกนะเบื้องลึกของเขาเสมอมา
ที่มีเพียงฟ้าดินรับรู้ลำพัง
เขานิ่งงัน
และพลัน...!!!!
ราวมีเสียงกระซิบจากเบื้องลึกแห่งจิตใสบ้านภายในของเขาเอง
เจ้า...อย่ามัวรอช้า..นี่ไงล่ะผู้หญิงในฝัน
ที่เจ้าถูกสวรรค์ส่ง
ให้ตรงลงมาคอยท่าเธอ
และรอพบเธอ
เพื่อมอบรักภักดีให้
ก็เจ้าเห็นเธอครั้งแรก
ก็สะท้านไหว
ราวหัวใจจะเต้นออกมานอกอกมิใช่ดอกละหรือ
เจ้าก็รู้ดี
อย่างที่หลวงปู่เคยบอกเจ้า
หากเจ้าไม่มีอาการทางใจอาการทางจิต
ทุกครั้งทุกครา
ที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตา
ที่พากันวนเวียนผ่านเข้ามาอยากทายทักรู้จักรู้ใจเจ้า
หากทว่าหาใช่ไม่...ด้วยเพราะหัวใจเจ้าแสนว่างเปล่า
แต่
หากหญิงใดในหล้าก็ตาม
ยามเจ้าพบเกิดอาการสะท้านไหว
วูบวับราวชีวีเจ้าจะดับดวงด้วยจิตรำลึกรู้
จากจิตใสเพียร
ฝึกมาอย่างหนักแน่นดั่งแผ่นผา
มิให้หวั่นไหว
ให้ทายท้ากิเลสของร่างจิตเจ้าเองแล้วไซร้
และบอกให้เจ้ารำลึกรู้ด้วยตัวของตัวเองว่า
นั่น...คือคู่บุญคู่อธิษฐานคู่บารมี
ที่เจ้าจักพบ
จบด้วยเกิดอาการสะท้านใจ
และ
จักได้ใช้ชีวิตครองคู่กันไปในร่มธรรมร่มทอง
ได้พากันลอยล่องไปสู่ดินแดนแห่งฝันนิรันดร์รัก
อันแสนสุขว่างสว่างกระจ่างพราวงามสงบเสียที
เพราะ
เจ้าและเธอคนดีกำลังจะหมดวิบากกรรม...แล้วในชาติสุดท้าย
แล้ว
เจ้า...
จึงจะยังหันหน้าหนีไปไหนอีกเล่า
อ้าว...แล้วจะมัวช้าอยู่ไย
เดินหน้าต่อไป...สิ
เมื่อเจ้าได้พบคนดีเจ้าดวงใจจอมใจในฝัน
ของเจ้าแล้ว
และ
ที่ได้รอกัน
*ราว..คู่ทาษคู่จิตคู่ชีวิต..มานานแสนนาน*
หากมิเคยสิ้นเสน่หาพิสวาท
เนื่องจากความรักภักดียังธำรงคงมั่น
หนักแน่นดั่งแผ่นผา
ดั่งคำสัญญา
ที่เจ้าทั้งคู่ได้เพียรสร้างสมบุญญาสร้างบุพเพกันมา
ข้าขออวยพรให้เจ้าทั้งสองโชคดี..มีสุข..ในรักนี้
ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์นะ.....
และ
หวังเจ้าจักมิกลับมาถามข้าแบบที่ผ่านมาอีก
ว่าดวงใจในฝันของเจ้า
จะพลันปรากฎเมื่อไรและจะมีไหมเล่านะ..
แล้ว..
นั่นเจ้าได้กลิ่นอะไรไหม
*ดวงดอกไม้แห่งสัญญาใจแห่งเจ้าทั้งสองอย่างไรละ*
ดวงดอกลั่นทม ในยามนี้
ที่พร้อมพลีบานรอรับรัก
เลิกระทมทับดวงใจเจ้าทั้งสองเสียที..ตั้งแต่วันนี้ไปตราบชั่วกาล!
**************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=3337
คู่ทาษ
แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ : : Key Fm
ขอครวญคำ
ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ
น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ
รักเราสอง สัมพันธ์
แต่รักนั้นอยู่ไกล
เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป
ฝากหัวใจลอยล่อง
ขอปรานี พี่หวัง จงฟังพี่ครวญ
เสียงในใจ ไห้หวล รัญจวนหม่นหมอง
รักเราเอ๋ย แม้ไกล แต่หัวใจประคอง
พี่หวัง ใจปอง
เนื้อนวลทอง ใฝ่รักปองบูชา
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน...
24 มีนาคม 2548 18:01 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=354
เงาไม้
.......
น้อมพลีบรรณาการ
แด่..
ทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
แห่งน้องพี่เพื่อนพ้องแห่งผองเรา
ให้พบเงาไม้เงาใจแสนงามในท่ามธารชลค่ะ
แม้
จะไหวหวามวกวน..
หากพุดไพร
หวัง..ใจ
ดั่งหยาดฝนโปรยโชยชื่นฉ่ำ
พร่ำพร่างรินให้ทุกฤดีแสนรักแสนถวิลถึง
แทน
ฤดูแล้งไร้..ฤดีเร่าร้อน
ไร้นุ่มเนื้อน้องเนื้อนวลแม่เนื้อเย็น
มานอนเป็นเพื่อนใจ
มานอนเคียงในเตียงเดียวกัน
ให้เลิกเปลี่ยวเปล่า
เหงาไร้
ขอ..
ให้
บทกวีหวานจัดยาวย้วยแทนยานอนหลับค่ะ
ด้วยรักภักดีพลีใจไสวหวานเย็น
มานานแสน..สองปีแล้วนะคะ..อย่าเบื่อเลย..ทนๆเอาหน่อยละกันอิอิ
****************
ผม...
นอน..อยู่เหนือทะเลสาบสีเงินแสนงาม
กับบรรยากาศรอบข้าง
ที่แสนงามเงียบเรียบนิ่ง..แสนสงบสุข..พอกัน
................
ผม..ลอยตัวนิ่งนิ่ง
ทิ้งร่างใจให้เบาสบายราวไร้ตัวตน
ในกมลราวแว่วได้ยินเสียง..
*บทเพลงแห่งสายน้ำนิรันดร์*ฝันดี
ที่กำลังพลีบรรเลงคลอ..พนอเคล้ากล่อมห้อมห่มร่างผม
พร้อมกันกับสายน้ำจริงในยามนี้
ที่หัวใจผม ไหวรับรู้ซึมซับได้ด้วยดวงจิตภายในใสงาม
นะนาทีนี้เช่นเฉกเดียวกัน
ผม..ค่อยๆหรี่ตาดู..เจ้านกไพร...
ที่เหิรบินไปเหนือฟ้ากว้าง....
อย่างอ้างว้าง...อย่างอิสระเสรี..
ที่
กำลังกางปีกสีเงินวะวาววับ
ตัดฉับกับท้องฟ้าสีฟ้างามเข้ม
และ
ที่นะบัดนี้...
กำลังขยับปีกซ้ายขวาถลาร่อนว่อนภิรมย์อ้อนสายลม
ในยามค่ำตะวันลาฟ้าใกล้โพล้เพล้ เหว่ว้า
หากทว่ายังให้งามใสในไพรกว้างมิร้างแสง
คงรอเวลาไม่นาน...
ที่....แสงสีเวทีฟ้าธรรมชาติ
จะมาวาดวงแตะแต้มท้องนภายามราตรีให้แปรเปลี่ยนเวียนผัน
เป็นส้มสุกดั่งแสงสวรรค์
อันพลันพรมอมชมพูทองผ่องผุดไปอีกแบบ..
ในยามตะวันลา
ยามฟ้าสีโศกโลกสีไพล อย่างงามเหงา...
ที่
คงเปรียบเสมือนดั่งชีวาชีวิตเราทุกคนทุกดวงใจ
ที่
มักจะบานไสวแสนสดชื่นกมลยามวัยแรกผลิ ..ยามเช้าของชีวี
และ..
ไม่นานปีก็ผันผ่านไปกลายมาเป็น
วันแห่งฤดีตรม
*ราวใบไม้พร่างพราย..ดายเดียวในราวเมืองราวไพร
รอสายลมฤาพายุพัดไกวให้กลายสี
กลายฤดูรับฤดีกรรม
รอเวลาตอกย้ำซ้ำวน
ร่วงกราวเกลื่อนกล่นรับ *วันลา
รอ
ฝากหอมน่าเสน่หา
ฤาเน่าปนไปในพื้นพสุธาไร้ค่าใด
กลายเป็นวัฎฎใจจิต
อันคือพรหมลิขิตสวรรค์วาง
ไว้อย่างจริงแท้อย่างแน่นอน..ยิ่งกว่าสิ่งใด
ที่ใครๆก็เลี่ยงหนีไม่พ้นคำว่าพรากจากลา..ตราบชั่วนิจนิรันดร์
........
แปลกดี..ที่ยามผมลำพัง
ปีกนกไพร ในใจในฝันผม
พลันจะกางปีกตาม อย่างไร้พันธนาการ
ผกโผผินบินไปทั่วหล้าฟากฟ้านภากาศ
วาดเวิ้งภิรมย์
สู่
สุดปลายสายรุ้ง เรียวรุ่งแพรไหมเมฆ
สู่
ความวิเวก แสนว่าง
ในท่ามงามลอยเหนือโลกย์โศกสุขราวไร้ตัวตน
แลเห็น..
นั่น..
ทุ่งข้าว แห้งผาก ฝากทุกข์ท่วม ท้อ
รอสายวสันต์ลีลามาพร่างโปรย
โน่น
คนหิวโหย...
รอฝนโปรยฟ้าฉ่ำให้กบเขียดร่ำร้องในเถียงนา
ให้ชาวบ้านนอกบ้านนา
ได้รอเก็บผักหญ้าหากินตามรึมบึง
พอประทังชีพชอบประกอบชีวีสุจริต
มิคิดเบียดเบียนใคร
แล้ว..
อ้าวนั่นใครเล่า
ขับรถเก๋งคันใหญ่ในเมืองหลวง
หากเบื้องหลังลวงโลกย์
ฆ่าคนนับไม่ถ้วนให้มอดม้วยมรณา
ด้วยเป็นนักค้ายา
แล้ว
นั่นอีกเล่า..
สาวไทย..หนีนาไสวไปค้ากามที่ต่างประเทศ
แล้ว..ไงเล่า ถูกแมงดาแประจำซ่อง
คอยจ้องสูบเลือดเนื้อเถือเจ็บปวดรวดร้าวแทบขาดใจ
เหลือแต่ร่างตายซากพรากจิตวิญญาณไป
ที่อุตส่าห์หนีนาร้างมาใช้นาในร่างน้อยคอยทำงานแลก
ยอมแบกบากหน้าตากหน้า..คิดลัดฟ้ามา
พยายาม..หาเงิน..
แล้วไงเล่าเจ้ายอดดวงใจจำต้องแบกร่างร้าวหนาวสะท้าน
ไปขอความเมตตาสงสารรับช่วยเหลือจากสถานทูต
ให้ส่งกลับมา
ใช้ชีวิตแบบพอเพียงเพียงพอ
โอ้ละหนอ..ทุ่งรวงทองและนาน้อยๆ
ที่แสนละห้อยเหี่ยวของสาวไทยใจดวงทอง
ที่เกิดมามิยอมท้อแท้แพ้พ่าย..พอกันเลย
หาก..ทว่าฟ้าดินมิเป็นใจมิเห็นใจ
ในที่สุด
ก็ต้องหยุดเกมกามตามเพรงกรรม
หันมาคิดใหม่ทำใหม่
กลับมาสร้างไสวรวงรักรังน้อยแต่พอตัว
ยังดีเสียกว่า เกลือกลั้วน้ำกาม
ขายกายาขายร่างและจิตวิญญาณแสนดี
กลับมายอมพลีตายๆไปแบบสาวทุ่งเสียยังจะดีกว่า
และขอรักความเงียบงามสงบในท้องไร่ท้องนา
ขอเวลาเพียงเพียรพบฝัน
รอสักวันได้เป็นจริงแสนดี
ให้รู้ว่าชีวีนี่ไซร้
แท้แล้วควรใช้ไปในทิศทางใดทางไหน
ที่เที่ยงแท้แน่นอน..ให้
นอนแล้วหลับฝันดีพอมีกิน..มีใช้แบบปลอดหนี้
ให้ชีวิตนี้ได้อยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
หันมาล้อมวงกินข้าว
กลางคืนมีดาวเดือนเป็นเพื่อนใจ
ดีกว่ามีแสงไฟราตรีที่คอยฆ่าน้ำจิตใส
ในเมืองศิวิไลไซ์จนในที่สุดตายไปแบบผ่อนส่ง
เพราะมัวหลงทางอยู่ในดงเมือง...อันมากเรื่องราวรกรุ่งริ่งรุงรัง
ราวดงขังใจ..ดีนักเชียว
............
และ
ทำไม.ละหนอ...ละนี่
ในดวงตาดวงใจผมดวงนี้
ถึงได้ชอบขยับปีกฝันขยันหาเรื่องเศร้า
มาฝันฝันคลุกเคล้า
ให้พบสุขเศร้าหมองปนเป
โอ้ละเห่ละช้า
ราวฟ้าดินสวรรค์แกล้ง
ให้ปลอบปลุกให้ลุกขึ้นมาสู้โลกรู้บทเรียน
มายอมรับความแปรเปลี่ยนรับความจริง
ที่วิ่งหนีไม่พ้นทุกตัวตนทุกคนไป
ที่ครองใจมนุษย์ยากหยุดหมุนเวียน
เปลี่ยนกฎแห่งกรรมนำพากันมา นับพันล้านดวงชะตากรรม
ให้ตกอยู่ในบ่วงรักอันหนักอกราวเหวลึก
และ
ทุกทุกข์ดวงชีวาชีวี
ที่คงมีเพียงวิธีเดียวจะหนีพ้นทุกข์ได้
นั่นก็คือใช้ยอดพระรัตนตรัยกำบัง
สั่งกายจิตให้ประคองชีวิตสู่ร่มบุญ
กรุ่นหอมใสด้วยดวงจิตระลึกรู้..
อย่าอยู่อย่างอยากไปวันวัน..
.........
ผม...
หุบปีกใจหุบปีกไพร
พาดวงจิตดวงใสดวงใจนิรมิต
ที่ใสพร่างสว่างเย็น ให้กลับเร้นมาคืนสู่ร่าง ว่างเดิม
ดล..ตัวตนให้กมลสั่ง
ให้กลับคืนจากภวังค์
มาลอยตัวตน อันราวไร้น้ำหนักเหนือผิวน้ำ
เหนือสายน้ำที่เย็นฉ่ำใสแทน
อ้าว..
แล้วทำไม ใจดวงร้าวลืมแล
เห็นหยาดละอองน้ำตานางฟ้าใสพร่าง
ราวละออดอกน้ำค้างกำลังพร่างพรม
โปรยปรายลงมาบนใบหน้าผมราวมากเมตตา
ราว
รู้ดีว่าผมนี้
กำลังร้อนรุ่มในดวงชีวาชีวิตสถิตไม่เป็นสุข
แสนทุกข์เศร้าเหงาใจกับโลกใบใหญ่ใบนี้ด้วยเล่า
แล้วนั่น..
ผม..ฝันไปละกระมัง
เมื่อเห็นนางฟ้าแสนงามกำลังขยับปีกขาว
และ
ราวกำลังภาวนาสาธยายมนตรา
ก่อนที่จะยกคฑายอดเพชร หมุนหมุนหมุน..เป็นวงกลม
จนเกิดรัศมีพรายพร่างามจับตาจับใจ
ให้เกลียวเมฆนุ่มนุ่มสีทองผ่องไสวพร่างพรรณราย
ราวสายหมอกสายเหมยสายไหม
ที่แสนงดงาม
ลอยวน..รายรอบ
ลงมาพร่างพรมห่มรัดร้อยรอบร่างผม
ให้หนาวลมหนาวร่างหนาวในรักสายน้ำนิรันดร์
กลายพลันเป็นอบอุ่นโอบเอื้อราวมีดวงตะวันอ่อนๆ
มาโลมไล้ให้หายเหน็บหนาวเศร้าทรวงนะบัดดลบันดาล
อย่างรักใคร่อย่างเข้าใจอย่างละไมละมุนเป็นที่สุดแล้ว
ให้ใจดวงดี ดวงฝัน ดวงงามของผมนิ่งงัน
สถิตทอดรับขวัญ
กับฝันหวานหวาน
ฝันงามงามฝันแสนดี
ที่เธอนางฟ้าใจดีมาพลีพรมห่มหอมให้
และ
ทำไมนั่น กับฝันแสนสล้างกลางเมฆพร่างสีสลับ
หลากสายราวเรียวรุ้งในยามตะวันลา
กับฟ้าแดงกับแสงแสนบรรเจิดพริ้งเพริศพราวพรรณรายฉายฉาน
ผม...
กลับเห็นใบหน้าแสนหวาน
นัยน์ตารานโศกราวหยาดน้ำผึ้งของใครคนหนึ่งกลางม่านเมฆ
ในเงื้อมเงาวิเวกฝันไกล
ให้ผมตะลึงตะไล
ใหลหลง
ให้ผมรู้ด้วยจิตพะวงว่า
เธอ..คือนางใจนางในฝัน
ที่ผมหลงใหลถวายจิตถวายใจด้วยรักภักดิ์พลีมาแสนนาน
หากทว่า แสนสุขสมรานร้าว
กับความดายเดียว
กับความผิดหวังที่เฝ้าหลงรอพ้อเพ้อมานานปี
หากทว่า..กับนาทีนี้ในยามนี้
ยามใกล้สนธยาต่อราตรี
ที่ผืนฟ้ากำลังคลี่แย้มแต้มด้วย
ดาวดวงทีละนิดละน้อย
ราวมือนางฟ้ามาพร่างโปรย
หัวใจดวงระโหยอ่อน ของผมกลับโชคดี
ได้พบกับ*ดาวใจนางใจนางในฝันสวรรค์หวานสวรรค์วนา*
ที่ผมหลงรอท่าเพ้อภักดิ์
และมิอาจหยุดรักเธอได้เลย..แม้สักนาที
เธอ..คนดีราวค่อยๆคลี่ยิ้มหวาน
ตามดาวเดือนดวงแสนจรัสชัชวาล
ให้มาตระการบานพรึบสว่างไสวในใจ..ในร่างรานของผม
เสียงละไมจากใจดวงงาม
แว่วหวานมากับฟากฟ้ากว้าง
ในท่ามกลางความเงียบฉียบเย็นของสายน้ำรักนิรันดร์
เอื้อนเอ่ยคำกระซิบรักรำพึง
ฝากซึ้งจิต...
ที่รัดร้อยรึงผูกพันกับผมมานานปี ให้ผม..นี้ได้ยินลำพัง..
*ที่รัก..ดวงใจ
อย่าไหวเศร้าเลยนะ
กับโลกและผู้คนเหว่ว้าแสนเหงานี้
ที่
ไม่นานช้า ..
สองเราจักได้พบกัน*ยังดินแดนสวรรค์ฝันพลี*
ดินแดนที่รอต้อนรับทุกจิตใสใจดวงดี
ที่สร้างกุศลมากล้นบุญทานบารมี
ที่ทุกคนดีและดั่งใจเราสองที่ได้วอน
ได้ฝากคำอธิษฐานภาวนา
ทุกคราที่ได้สร้างกรรมทำความดี
.
ให้ใจดวงจงรักภักดี
ได้ฝากคำมั่นฝากคำสัญญา..ต่อกันไว้ว่า
หากฟ้าดินทรงเมตตาเห็นใจเห็นในยามเราก่อบุญ
การุณย์ให้เราสองนี้พ้นว่ายวนบนเพลิงวิบาก
และ
ก่อนวันพรากคนดีเคยฝากบอกไว้
หากทำจิตได้
จะขอถวายร่างกายและดวงจิตใส
ไว้ภายใต้ร่มผ้ากาสาวพัตร์ใช่ไหมนะ
หากจริงดั่งว่า
ขอให้สุดที่รัก
ได้แผ่เพียรบุญกุศล
ให้ผองชนคนไทยและดวงใจดวงนี้ที่รักมั่นนิรันดรด้วย
แล้ว...
ไม่นานช้านะคนดีนะดวงใจ..
เราจะได้พบพานพิสวาทกันทุกชาติไป
หากยังไม่พ้นต้องเวียนว่ายมาชดใช้หนี้รักหนี้กรรม
ได้มาเป็นคู่บุญคู่ธรรมคู่ทองคู่บารมี.
จนกว่าจะจิตนี้
จะพลีเพียรพบทางสว่างไสวพบพระนิพพานดั่งคำอธิษฐาน
คนดี
มองดูดาวไสวดวงนั้นนะ
เพราะนั่นคือดวงตาแสนเศร้าที่เข้าใจโลกและเธอดีนะยอดรัก
ที่
หวังทายทักเฝ้าปลอบประโลมใจยามเธอไหวครวญ
และ
ดูเรียวรุ้ง...นั่นนะ
คือทางช้างเผือกรอขวัญรอสวรรค์วางรอรับร่างแห่งสองเรา
อย่าได้เงียบเหงาใจไปเลย..
และคนดี
ดูทุ่งขวัญท้องนาสิ
ที่คือดินเดิมสัญญาเดิม
มาเติมต่อจิตเราสอง
ให้จิตใสพร่างกระจ่างพราว
ราวรวงทองรุ้งทิพย์ดั่งดวงดอกฝันนิรมิตนะกลางใจ
ราว..
ดาวประจำเมืองในดวงใจในไพรพง
พงไพรที่พลีรักธรรม ธรรมชาตินิรันดร์
พลีฝันแสนดี
ที่บุพเพสันนิวาสทีเดียว
นำเรามาข้องเกี่ยวมารัดร้อยทอสร้อยรักอักษรา
ได้มาพบกันในเส้นทางฝันสวรรค์วาด
อันเพริศแพรวพริ้งพราย
คล้ายสายเพชรพร่างกระจ่างสว่างโรจน์..เป็นอนันตกาลจักรวาลดล
จงวางใจวางดวงกมลอันแสนงาม
ไว้ในเอื้อมหัตถ์แห่งศรัทธาของพระพุทธเจ้า
ให้
ทั้งฟ้าดิน..สิ้นอินทร์พรหม
สิ่งศักดิสิทธิ์ทั่วโลกหล้าได้รับรู้ได้เมตตา
ให้ดวงใจเราที่รักสวรรค์วนา มีจิตวิญญาณไพร
ได้รู้วางว่างใจ..
มียอดพระรัตนตรัยยอดธรรม
ได้น้อมนำมาหอมห่มสอนใจนำทางใจ
ให้ไสวสะอาดสงบ
พบความสุขนิรันดร์
อันคือสายธารใจ
ที่จะรินฉ่ำพรำพรมพร่างใสดับร้อนให้ดวงใจมิสิ้นสุดนะคนดี
ก่อนที่
จะคืนร่างเรานี้ลงในท่ามกลางพื้นพสุธา
อย่างไม่โศกโศกาอาวรณ์รำพึงรำพัน
เพราะได้ทำทุกทุกสิ่งแสนดี
พลีเพื่อผองชน
และโลก
ลบโศกอย่างดีที่สุดแล้วนะแก้วตานะดวงใจ..!
.........................
รอเธอ..
รับขวัญกลับคืน..กระท่อมใจ..กระท่อมไพร!
ราตรียังคงมีจันทร์คืนวันนี้
ให้ฤดีเราได้ฝากใจและฝากฝัน
คืนเดือนเสี้ยวเกลียวทองสายธารจันทร์
หยาดน้ำตาขวัญซึมซึ้งคะนึงครวญ
เสียงดวงใจในฝันพลันกระซิบ
ฝากดาวระยิบเดือนระยับยังไห้หวน
เจ้านกไพรยังซึ้งใจถึงนางนวล
รอวันหวนปีพบจบด้วยภักดิ์
คืนซึ้งซึ้งวันซ้ำซ้ำย้ำรอยเศร้า
อยากถามข่าวอยากเคล้าเคลียเจ้ายอดรัก
อยากหอมแก้มซุกซบในอ้อมตัก
อยากฝากรักภักดีพลีทั้งใจ
คนดี..คืนเดือนเสี้ยวใจดวงร้าวยังเศร้านัก
ซึ้งคำภักดิ์ดวงใจเอ๋ยเคยหวามไหว
คำสั้นสั้นคำซึ้งซึ้งสัญญาใจ
แล้วทำไมให้หลงคอยไร้รอยเงา..
ใจของเธอใจของฉันยังฝันค้าง
ยังอ้างว้างดายเดียวเปลี่ยวและเหงา
ได้แต่ฝากเมฆนวลนุ่มแนบนานเนา
ย้ำรักเรายังคงมั่นคำสัญญา..
ทุกราตรี....
ทิ้งตาเศร้าเฝ้ามองเทียนริบหรี่ไหว
เหมือนดวงใจใครคนนี้ริบหรี่หา
ลั่นทมขาวพราวหอมเศร้าอวลลมมา
ให้เหว่ว้านิ่งงันฝันค้างใจ
ในราตรีมีดอกไม้ใกล้ริมหมอน
คอยออดอ้อนให้ดอมดมใจรานไหว
เสียงนกเขาขันก้องดุเหว่าไพร
เพรียกแทนใจใครคนหนึ่งซึ้งลับลา
กระซิบคำฝันเพ้อถึงเธอนะที่รัก
ยังรอภักดิ์ยังรักอยู่ยังโหยหา
ยังคิดถึงคะนึงครวญทุกเวลา
ยังรอท่า..รอรับขวัญวันคืนสู่กระท่อมไพร..กระท่อมใจ..!
*****************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=354
เงาไม้
แสง จันทร์วันนี้นวล ใครชวนให้น้อง เที่ยว
จะให้ เหลียวไป แห่ง ไหน
ชล ใสดูในน้ำ เงาดำนั้นเงา ใด
อ๋อ ไม้ ริม ฝั่ง ชล
สวยแจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว
จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล
สวย แจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว
จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล...
22 มีนาคม 2548 11:35 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4086
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=19
...........
ผม.เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงครับ
และโชคดีได้ทำงานในหน่วยงานของรัฐที่น่าจะมีอนาคตไกล
แต่..
ทำไมก็ไม่รู้...ได้
ที่พระเจ้าเบื้องบนพระพรหมช่วยเสริมส่ง
ใส่ดวงชะตาและใจดวงโบราณมาไว้ในร่างผม
สงสัยคงปั้นร่างผมเผลอไปหน่อยและใจลอยไปนิด
ฤาแกล้งทำเป็นลิขิตชีวิตเล่นๆ
แล้วเจตนาเน้นเน้นสั่งตรงให้ผมลงมาเกิด
เพื่อให้โลกหล้านี้
ยังมีคนแบบพันธุ์ผมที่มิได้เลอเลิศ
หากแผกคิดพิเศษพิสุทธิ์
หลงเหลืออยู่บ้างในร่างหนุ่มรุ่นกระทง
ผมงง..มาก..กับหัวใจผม..ดวงนี้
ที่ราวแก่ไปล่วงหน้าหลายปี
แบบบางทีผมไม่อยากให้อภัยฟ้าดินเลยทีเดียวเชียว
และ
กับบางเวลา..
ที่ผมก็แสนเปล่าเปลี่ยวเหงาเงียบดายเดียว
แสนแห้งเหี่ยวหัวใจราวบัวคาบึง
ค่าที่ผมหาคนซึ้งใจคนเข้าใจ
มาควงมาเป็นคู่ใจได้ยากเย็นเต็มที
และถึง ผมจะงงๆเซ็งเซ็ง
กับชีวิต
กับความคิดแบบพิสดารในร่างเด็กของผมสักประมาณไหน
บางครั้งบางครา
ยามหัวใจผมพบสุขสงบงาม
ในท่ามกลางโลกร้อนระอุเส็งเคร็งในทุกลีลาใบนี้
ผมก็อดขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนเสียมิได้
ผม..คิดว่าท่านก็ทำถูกแล้ว
กับสิ่งที่ท่านประทานพรให้มา
หากผมยอมรับได้
และ
ที่ใครๆต่างก็พากันอยากได้ใคร่ดี
และแสวงหาสิ่งนี้กันจะเป็นจะตาย
สิ่งที่..เรียกกันว่า*พรสวรรค์*นั่นปะไร
ผม..ทราบมานานแล้วว่า..*ผมมี..ผมเป็น*
ทั้งๆที่ผมแอบซ่อนเร้น
พยายามไม่คลี่เอ่ยเผยบอกออกมาให้ใครทราบ
แต่..ก็นั่นแหละครับ..
ความลับเคยมีที่ไหนในโลกกันเล่า
ยิ่งกับคนชิดใกล้..ด้วยแล้วไซร้ยิ่งยากจะเก็บงำไว้
คนในครอบครัวผมถ้วนหน้าเลย
ต่างพากันมองผมตาค้างอย่างแสนอัศจรรย์ใจ
ยามผมคุยกับใครแล้ว..ดันไปสั่งสอนเขาเข้าให้ด้วยลืมตัว
ราวพระขึ้นธรรมมาสน์เทศนาประมาณนั้นประมาณนี้ก็มิปาน
ผม..เองก็บอกแล้ว
บางคราแม้นตัวเองผมยังเซ็งๆงง
แล้วจะไปห้ามคนอื่นไม่ให้งงไม่ให้เซ็ง
กับความแก่แดดแก่ลมของผมได้อย่างไรกันเล่า
ผมเลย..เติบใหญ่มาแบบพิสดาร
อย่างที่เล่าคร่าวๆ
เพราะหากเล่าละเอียดมากไป
คุณๆก็จะคงเดาออกนะซีว่าผมคือใคร..ใครคือผม..
ผมเพียงอยากย้อนรอยถอยหลัง
กลับไปในยามวัยเยาว์ของผมอีกสักนิดสักหน่อย
เพื่อประกอบคำพิจารณาคำสารภาพครับ
ว่าชีวิตผมนั้นแสนพิสดารพันลึกจริงๆเสียด้วยซี
ผม..เกิดมากับสวนยางท้องนา
กับฟ้าสีครามแสนงาม
กับกลิ่นโคลนสาบวัว
กับฟ้าหลัวจิ้งหรีดร้องระงม
ที่ยังพอหลงเหลือไม่ถูกจับไปใส่กระป๋องนมให้กัดกัน
อย่างที่พวกเด็กมือคันหัวใจบอนไร้ของเล่น
เพียรสรรหากีฬาทารุณกรรมสัตว์
สารพัดสารเพเฮละโลมาทำกันเป็นปกติวิสัยไม่ดี
เท่าที่เด็กบ้านนอกคอกนา
เด็กไกลปืนเที่ยงพอจะคิดกันได้
ให้ชีวิตมีรสชาติกรรมเวร
ตระเวณหาของเล่นธรรมชาติไปวันวัน
เช่นการยิงนกตกปลา
ที่ผมเองเมินหน้าหนี เลยกลายกลับเป็นว่า
บางทีชีวิตผม...นี้
ต้องกลายเป็นเด็กหัวเน่าในหมู่บ้าน
ให้เด็กอื่นๆพากันเสียดสี
ว่าผมนี้...*คือพระไม่ใช่คน *
และ
พากันให้สมญานามผมว่าท่านมหา
ทั้งๆที่ผมเองเพิ่งอายุได้แค่15
ยังไม่ได้บวชเรียนสักพรรษาหนึ่ง..สักกะนิดกะหน่อย
ผม..ก็ไม่รู้ครับ
ว่าทำไม...และทำไม
ผม..ถึงเกิดมามีหัวใจดวงแสนแปลกแผกแนวอย่างนี้
ทั้งที่...
ผมนี้...ก็เกิดมา
อยาก..อยู่..อย่าง..อยาก..แบบชาวบ้านชาวช่องเขา
ทำไมและทำไม
ผม..ถึง..ต้องมีดวงใจดวงเหงางามเงียบเฉียบฉ่ำเย็น
ยามได้ยินทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติไพร
และ
ทำไม
ผม..ถึงได้ยินราวเสียงไพรพงพนา
มาร่ำเรียกเพรียกหา
มาร้องก้องเชิญชวน
กวนกระซิบอยู่ริมหูริมใจตลอดเวลา
ให้ผมหลงใหล
จนใจราวนกไพรที่อยากผกโผบิน
ไปสู่ถิ่นเกิดแสนอิสราเสรี
ให้ผมนี้...ไปใช้ชีวีมีชีวามิพักพะวงโหยหา
อย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
ให้ผมมีใจดวงซึ้งซ่านหวานเศร้า
อยากเคล้าคลุกวัวควายกับโคลนเลน
กับไหวเอนของรวงเรียว
กับตาลเดี่ยวยืนต้น
กับกมลดวงนี้
ที่ช่างฝันฝัน..ฝันถึงกระท่อมไพรวัลย์
แสนผูกพันกับท้องทุ่ง..รุ้งเรียว
ข้าวเขียวไพลเหลืองทองสุกปลั่งในนา
กับวสันต์ลีลาหลั่งรินพร่าง
กับสายธารน้ำตานางฟ้า
ที่พร่างสายระรินราวสายฝนที่ตกต้อง
ให้สี่ห้องหัวใจผมร้าวระกำ
คอยย้ำรอย
ราวปีศาจวสันต์มาตกตีมาร้องครวญครางหวนไห้
ให้ผมกลับไปใช้ชีวิตติดดิน..
ทั้งๆที่..ผม..ก็ยังไม่เคยอกหักช้ำรักระบม
และ
ไม่มีใครทำให้ผมตรึงตรมตอกย้ำระทมสักกะนิ๊ดเดียว
หัวใจดวงน้อยดวงดีของผม...ยังไร้พันธนาการรัก
และ
แสนแปลกดีนัก
ที่ผมชอบอ่านหนังสือธรรมะ
จนสามารถถวิลรู้ดี
ถึงสวรรค์นรกอินทร์พรหมยมโลก
รู้สิ้น
ถึงคำสอนของพระพุทธองค์
ผู้ทรงนำทางสว่างไสว
ราวกับมาส่องเป็นแก้ววิเศษใสในใจดวงหนุ่มดวงนี้
ที่ยิ่งกว่าคนแก่วัดสักร้อยเท่าพันทวีเลยทีเดียว..
และผม..จึง
ไม่พะวงอยากใช้ชีวิตแบบงงงง
ในดงเมืองแบบไม่ประเทืองประทับใจ
และไม่อยากไม่ยอมหลงทางอีกต่อไปแล้ว
เมื่อ..
ผม...คิดว่า...ผม...ได้ค้นพบแก้ววิเศษนะกลางใจ
ให้หัวใจผมแสนไสวสว่าง..สุขสะอาดสงบ
พบโลกธรรมที่พร่างรินคำสอน
ราวหยาดน้ำค้างพิสุทธิ์ใสดั่งสายน้ำนิรันดร์
ที่ดับร้อนใจดับอาลัยอาวรณ์
มิอยากดำเนินชีวีชีวิตย้อนรอยกรรมตามๆกันไป
แบบคนในเมืองมนุษยโลกย์
ที่นับวันพบแต่โศกมีแต่ทุกข์ เหลือสุขน้อยนิด
แบบที่พระบรมศาสดาตรัสไว้
อย่างแท้เที่ยงซื่อตรงคงมั่นเป็นอริยสัจจธรรมเลยทีเดียว
ผม...ค้นพบตัวเองแล้ว
พบแก้วดวงชัชวาล
ประมาณ
แสงพร่างพรายโชติช่วงราวรวงดาวพรพรหมห่มพราวพรรณ
แตกแสงเพชรฉายฉันท์ฉัพพรรณรังสี
รายรอบครอบคลุมกระหม่อมให้ห้อมห่มคลี่คลุม
รู้คุมเกมกรรมเกมกามเกมใจ
ที่ผม..จะไม่หลงผิดหลง
ใช้ชีวิตเสียเวลาเดินตามใคร
ไปในทิศทางวิบากผิดแสนนาน
ในเมื่อ..ผม...ได้ใจดวงดีดวงตระการราวเพชรพราวราวทองคำ
อันส่องพิเศษพิสุทธิ์เป็นแนวทางให้ใช้ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร
และ
ไม่ครวญคร่ำปรารถนาหาพันธนาการรัก
มาเป็นโซ่พันจิตใส
พันใจให้ดิ้นราว..ถูกน้ำร้อนลวก
แสนปวดร้าวในคราคราวรักไม่หวานชื่น ไม่สมหวัง
ที่พากันประดังจะเป็นจะตาย
แบบไม่สิ้นสุดหยุดกรรมรักได้เลยใจเอ๋ยใจคน
ที่คนมากหน้า
พากันลอยคอในทะเลโลกย์ทะเลโศก
รอวันตายหายใจไปวันวัน
ไม่รักษาศีลพรหมจรรย์
เพียรภาวนาสมาธิให้พาพบสติปัญญา
พาแลไปเห็นฝั่งพระนิพพานลิบลิบ
จำต้องถูกลิขิตกรรมเก่า
ตามให้เวียนว่ายตายเปล่าๆไป
ในวัฎฎสังสารเอนกอนันตชาติกาลนานอสงไขยกัลป์
พบพยาธิชรามรณะวกวนวงไม่มีที่สิ้นสุด..หยุดเพรงกรรมได้เลย
หากมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ..
ที่..ผม...เพียรอยากจะฝากบอกให้กับทุกดวงใจ
คือตามรอยพระรัตนตรัย
สมัครจิตใสฝากไว้ในร่มเงาพระบวรพุทธศาสนา
สมัครเป็นลูกขององค์พระตถาคตเจ้า
ที่..
พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งให้ตายเปล่าให้เหงานาน
หากจะสอนให้รู้วางปล่อย
ค่อยๆฝึกจิตเรียนรู้มีครูธรรมเป็นดั่งคำสอน
ให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นฝันไกล
นอกเสียจาก..ทำปัจจุบันใจให้ใส
วางว่างวางทุกข์ทุกอย่างลง
อย่างไม่อาวรณ์อาลัย
ไม่ฝักใฝ่วัตถุใดให้ใจใสเกิดก่อกิเลส
ให้ใฝ่สร้างจิตใสแก้ววิเศษเฝ้าส่องมองภายในตัวเรา
พิจารณาพาสอนใจให้รู้รักงามเงียบเรียบง่าย
ให้ใช้ชีวิตแบบไร้ตัวตนเป็นอนิจจังอนัตตา
ที่จะพาให้เราไร้ทุกข์
พบปิติสุขเกษมไปตราบชั่วนิจนิรันดร์จริงๆ
ผม...ขอโทษนะครับ
ที่อดเทศนามิได้แม้นมิใช่พระมาเกิดก็ตามที
และนาทีนี้
ทุกท่านคงเข้าใจดีแล้ว..โดยไม่ต้องบอกอีกละกระมัง
ทุกดวงใจคง
ทำใจยอมรับผมได้แล้วใช่ไหมครับ
ไม่ต้องหาคำมาการันตีว่าดีชั่ว
ว่า...
นี่แหละคือตัวตนจิตวิญญาณโบราณ
ของคนอย่างผมล่ะ
เป็นคำยืนยันได้อย่างดีทีเดียวแล้วใช่ไหมละครับ
ผม..จึง..คิดว่าแค่มาทายทัก
มาฝากจิตฝากใจใส
ดวงรักดวงปรารถนาดีแด่ทุกคนดีทุกท่าน
มา..เล่าเรื่องวันวาน
มาแนะนำตัว ในวันว่างๆ
ให้ชีวีทุกท่านกระจ่างใสอย่างฟ้าไพรนะครับ
และ
เพราะอย่างที่เล่ามา
ชีวิตผมในวันนี้..จึง
มีสองอย่างให้ผมเลือกตัดสินใจครับ
หนึ่ง..จะเข้าวัดบวชถวายใจในร่มกาสาวพัตร์เสียเลย..ให้สิ้นเรื่อง
หรือว่า...
ใช้ชีวิตสงบงามในพงไพรวิมานไสววนา วิมานนา
กับทุ่งข้าวระย้าระยับรวงไหว
แล้วค่อยๆพาดวงใจไปนอนไกวเปลเมฆแสนสวยใส
ด้วยใจที่ยังรัก...ที่จะฝันฝันอยู่
แล้ว
จุดตะเกียงเคียงหัวนอนรจนาบทกลอนบทกวีทองกวีธรรม
มาพลีน้อมนำบูชาโลกและผองชนดับทุกข์ทนให้เพื่อนหล้า
มิเสียแรงที่ฟ้าดินประทานพรมา..
ถือว่าไม่ผิดต่อธรรมชาติ ไม่เสียชาติเกิด
ผม..
คิดไปคิดมาคิดหน้าคิดหลังหลายตลบ
กว่าจะจบก็หลายปีที่ทบทวน
และในที่สุด ผม..ก็พบทางออกบอกได้เลยครับว่า
ผม...ทนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองได้ไม่นานครับ
วันนี้ผมจึงพับเสื่อ หอบเสื่อหนีเสื้อนอก
ชีวิตหลอกตัวเองมานานปี
ที่ผมนี้ไม่เคยปรารถนา
หากจำต้องทำหน้าที่แห่งชีวีชีวิต
หลงว่ายวนทนสนิทเนาในเงื้อมเหงาเงาน้ำผิด
ราวปลาผิดน้ำดิ้นขลุกขลิกขลุกขลัก
แทบสำลักควันพิษ..ควันชีวิต..ตายเปล่าไปวันละหลายๆรอบ
บอบช้ำสิ้นดี
และเลยต้องตัดสินใจหันหลังลา
ลงมาปลูกเรือน กระท่อมดอกไม้ริมคันนา
ที่มีบึงบัวเหว่ว้า
มีดงดอกไม้พื้นบ้าน
ดาวรุ้งดาวเรืองดาวกระจาย เหลืองพรายพราว
มีดอกรักม่วงเศร้า
ดอกบานไม่รู้โรยที่โปรยปรายไว้เป็นดงหลากสี
มีโชยหอมในราตรีด้วยดวงดอกไม้ไทย
มีไสวหวานแจ่มแช่มช้อยให้ดวงใจสดฉ่ำ
ด้วยดวงดอกบานชื่น
ดอกไม้
ที่หมายถึงความเรียบง่าย
หมายถึง
การใช้ชีวิตแสนชื่นบานหวานงามในวิถีชนบท
ที่แฝงฝังสัจจะแห่งความงดงาม
ในท่ามกลางโลกไร้แสงสีศิวิไลซ์
หากให้งามใจผมอย่างที่สุด
กับรั้วกระท่อม
ที่เคียงล้อมด้วยยอดตำลึงพันเลื้อยไสว
เปลือยงามตามไปด้วยดงกระถินชูช่อล้อสายลม
ค้างถั่วฝักยาวพรมไล้ไปในแนวไม้ไผ่แตกพราว
เคล้าแซมด้วยยอดน้ำเต้าไทย
ไหนจะยังมีผักไร้สารพิษสารพัดสารพัน
ที่ผมลงแรงลงแปลงเพาะไว้ให้งามวันงามคืน
ไหนจะยังมีบัวผันบัวเผื่อนในบึงที่ขุดไว้เลี้ยงปลานานาพันธุ์
มีภู่ผึ้งภุมรินทร์ตามตะวัน
มาถาโถมตระโบมบุกรุกกลีบเกสรหวานหวาน
อย่างไม่ยอมลืมหูลืมตา
ยอมตายจนถึงฟ้า
คลี่แสงในยามสาย
ให้ใบบัวหยาดน้ำค้างระเหยหายวับ
ไปกับเรียวแดดอ่อนอุ่นละมุนงาม
และ
ในทุกยามที่มองไปในนา
มีวัวคลุกเลนเอนกายนอนเล็มหญ้าสดสดรสดีอันนี้ผมเดาเอา
มีหนองน้ำงามงด
ให้มีกุ้งหอยปูปลามาวางไข่
มีดงดอกหญ้าไสวเคียงเถียงนา
มีแคร่ไม้ไผ่ให้ไถลตัวลงนอนรับลมเย็น
รับฟ้าแสนงาม
อาทิตย์ยามเช้าทอดทอละออไล้โลม
รับพรายแสงสนธยาในยามตะวันลา
ให้นกกามาร้องเริงร่าถลาปีกเชยชมภิรมย์แมกไม้ริมชายคากลับรัง
ให้หัวใจดวงงามของผมมิเซซังสิ้นหวังหวาน
ราวบัวตระการโผล่พ้นน้ำ
ได้หายใจรับอากาศบริสุทธิ์ในท้องไร่ท้องนา
ได้ใช้ชีวิตแสนโสภาสถาพร..
ท่าม..
แสงทองแสงเทียนเสียงธรรม แสนพิไลล้ำ
ได้สรรคำเลอค่าพอกัน
ที่แสนงามล้ำย้ำซึ้ง
จากจิตสำนึกลึกล้ำ
จากรู้สึกถึงสัจจะธรรมจริงแท้
จากจิตแน่นอนงามเงียบนิ่งงันไร้ร้างว่างเปล่า
จากจิตวิญญาณดวงเหงาดวงใสหากให้งามใจจากบ้านภายใน
เผย..
พอใจพอเพียงเพียงพอ
ให้ฟ้าสิ้นดินอินทร์พรหมสวรรค์
โลกพลันได้รับรู้
ถึงชีวาชีวิต
ที่ทุกดวงใจมีสิทธิ์เลือกเดินดินอิงธรรมชาติไพร
ให้ผมได้วาดวงฝันใฝ่สร้างงานงาม
รจนาภาษาธรรมภาษาทอง
พาทุกดวงใจลอยล่องท่องสู่ทิพย์สถานวิมานเหนือโลก
ลบโศกสุขรัดร้อย
เพื่อคอยฝากไว้ในบึงใจ
เป็นดั่งหยาดน้ำใส..สายน้ำนิรันดร์..ให้พร่างรินดับร้อนเร่า
ด้วยรักด้วยเข้าใจ
ในวิถีทางไทยไททางแท้ทางธรรม...แด่ทุกดวงใจ..
ไปตราบชั่วชีวิตนิดหนึ่งน้อยนี้เป็นนิรันดร์..ตราบจนถึงวันชั่วฟ้าดินสลาย..
**********************************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4086
กระท่อมปลายนา
กระท่อมปลายนา หลังนี้
ไงล่ะเจ้า คือเหย้าเรือนหอ
ที่สร้างไว้รอ คอยนางนอ้ง
แม้นไม่ ใหญ่โต โอฬาร
ใช่ตึกสถาน วังทอง แต่ถัา
เจ้าครอง จะยิ่ง สวรรค์
กระท่อมปลายนา หลังน้อย
นี้ละเจ้า เทียบเท่า เมืองฟ้า
ถ้าได้แก้วตา มาเคียงขวัญ
น้องครองเป็นรา ชีนี ส่วนพี่
จะเป็น ราชันย์ร่วมกัน
สร้างสรรค์ วิมาน ปลายนา
จากแรงงาน หยาดเหงื่อ
พี่สร้างขึ้นเพื่อ นางน้อง
เพื่อเราทั้งสอง ร่วมครอง
วิวาห์ โปรดเห็นใจพี่ มาเป็น
เทพี กระท่อมปลายนา พี่รัก
แก้วตา ยิ่งกว่า ดวงใจ
กระท่อม ปลายนา หลังน้อย
ยังคอยเจ้า ยังเฝ้า คอยน้อง
เป็นผู้ครอบครอง กระท่อมไม้
แม้ย่าง เดือนออก พรรษา
เก็บเกี่ยวในนา เมื่อไร
จะไป สู่ขอ ตาม ประเพณี
กระท่อม ปลายนา หลังน้อย
ยังคอยเจ้า ยังเฝ้า คอยน้อง
เป็นผู้ครอบครอง กระท่อมไม้
แม้ย่าง เดือนออก พรรษา
เก็บเกี่ยวในนา เมื่อไร
จะไปสู่ขอ ตาม ประเพณี...
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=19
อาลัยรัก
ฉัน รักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น
ว่า สัก วัน ฉัน คง ถูกทอดทิ้ง
มินานเท่าไร แล้วเธอก็ไป
จากฉันจริงจริง
เธอ ทอด ทิ้ง ให้อาลัย อยู่กับความรัก
แม้ มีปีก โผบิน ได้เหมือนนก
อก จะต้อง ธ-นู เจ็บปวดนัก
ฉันจะบิน มา ตาย ตรงหน้าตัก
ให้ยอดรัก เช็ด เลือด และ น้ำตา
แม้ มี ปีก โผบิน ได้เหมือนนก
อก จะ ต้อง ธ-นู เจ็บปวดนัก
ฉันจะบิน มาตาย ตรงหน้าตัก
ให้ยอดรัก เช็ดเลือด และน้ำตา...