23 มิถุนายน 2548 11:42 น.

รอยรักรอยอาลัย!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song973.html

ดวงใจในฝัน

รำพึงรำพัน ฝันรัก รักเอยใฝ่หา
ยังจำติดตาชวนปลื้ม ฉันลืมไม่ลง
เป็นรอยพิศวาส ปักใจมั่นคง
ฝังใจพะวง หลงรอคอย
อาวรณ์ใจครวญ หวนคิด คิดจนพร่ำเพ้อ
พาใจละเมอหมองหม่น คิดจนเลื่อนลอย
ยามนอน ถอนสะอื้น ตื่นตาแลคอย
คิดจนดาวลอย คล้อยเมฆา
ฝันกอดเชยชม ภิรมย์รื่น พี่ชื่นตื่นผวา
จนใจ ไม่มีใครเมตตา
เพียงนิทรา นิจจานึกว่าสุขเอ๋ย
บางคืนมองจันทร์หรรษา นิจจาอกฉัน
บางคืนขาดจันทร์เยือนหล้า น้ำตาหลั่งเลย
ลมเอยพริ้วยังแผ่ว ไม่มีแววเลย
เหงาใจจริงเอย หลงเชยแต่เงา

บางคืนมองจันทร์หรรษา
นิจจาอกฉัน
บางคืนขาดจันทร์เยือนหล้า
น้ำตาหลั่งเลย
ลมเอยพริ้วยังแผ่ว
ไม่มีแววเลย
เหงาใจจริงเอย
หลงเชยแต่เงา...
.........




ฉันนอนฟังเพลงบทนี้ในเตียงโบราณ
แล้วหลับตานิ่งๆในยามอุษาฟ้าใกล้สาง

ที่ยังแลลอดเรียวกิ่งจำปีไกวไหวพร่าง
เห็นไรแสงดาวประกายพฤกษ์
ที่กำลังขับฟ้าสีกำมะหลี่ให้ยังมีนวลแสงพราว
บนราวฟ้ากว้างสุกปลั่ง



และ
เดือนเต็มดวง...ยังคงมีมนต์ขลังมนต์เสน่หา
ให้ฝังฝากใจเสมอมาแด่ทุกดวงใจมวลมนุษย์ในหล้าโลก

ราวรอให้พลีฝันปันรัก
ยามไกลภักดิ์ไกลตาพากันห่าง ราวคนละซีกโลก



และ
มิโศกเลยหากเฝ้าแหงนเงยมองจันทร์ผ่องเพ็ญนวล
ดวงเดียวกัน
เพื่อฝันฝากรักและฝากคำหวานแสนซ่านสุขนัก

คำสั้นสั้นคำซึ้งซึ้งว่า
*คิดถึงอย่างเหลือเกินอย่างเหลือใจอย่างล้นใจ...แล้ว!



นานมาแล้ว...
ที่เตียงโบราณนี้
ได้เคยพลีสละให้แขกหนุ่มน้อยชาวอเมริกัน
และ...
กับแขกมากมายจากแดนไกล
ที่ขอมาอาศัยสวรรค์ไพรวิมานดินเพียงชั่วครั้งชั่วคราว



เพื่อมาทายทักขอพักพิงใจ
มาเยี่ยมแดนดินถิ่นไทย
แดนแหลมทองที่เราแสนจะรักหวงแหน
และ
แสนปลาบปลื้มปิติ..ภาคภูมิใจ..
ใน* แดนดินสุวรรณภูมิของเราที่ช่างอุดมสมบูรณ์แสนงดงาม*
ด้วยความรักมิรู้สิ้นรู้จบ...



และ...
ช่างแสนเอมอิ่มใจ
ยามย้อนรอยอาลัยรำลึกนึกไปถึงอดีต

ที่เราได้ใช้ชีพนิดน้อย
ทำหน้าที่ด้วยความรู้สึกงดงาม

อย่างเจ้าของบ้านที่ดีอย่างดีที่สุดแบบวิถีทางคนไทย
*ที่ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับขับสู้ดูแลอย่างดีด้วยน้ำใจไมตรี*



ด้วยวัฒนธรรมประเพณีไทย
ที่อยากฝากให้คนต่างชาติ
ที่มาจากประเทศไหนไหนทั้งโลกหล้า
ได้พากันกล่าวขวัญสรรเสริญ

พากันเพลินพบภิรมย์
ยามได้รับหอมห่มจากหยาดน้ำใจที่สวยใสแสนงาม



ให้พากันคืนหลังกลับบ้านไปอย่างฝันดีมีสุข

ราวทุกคนดีทุกดวงใจ ได้ซึ้งใจตาม คำขวัญ
 *take home a thousand smiles*
ในทุกยามที่มาเยือนแดนดินแห่งฝันสวรรค์หล้า

และ
ในทันทีที่เท้าพลันพาสัมผัส
แดนไทยดินทอง....แดนแห่งผ่องไสวฟ้าพุทธภูมิ



ที่แสนงามพราว
ด้วยมากล้นท้นท่วมด้วยน้ำใจใสงาม

แล้ว
จะพากันถูกท่ามท่วมรัดร้อยด้วยสร้อยใจด้วยสายใยแห่งรักผูกพัน
มิมีวันรู้สิ้นรู้จบทบทวีคูณยามพรากลา
และ
จักพากันกลับมาอีกครา และอีกครา...นะทุกคนดี



และ...
ที่จักได้มาพบพานเพียงรอยยิ้ม น้อยใหญ่
จากหัวใจดวงไทไทยดวงทองๆดวงใสๆซื่อๆนับหมื่นพัน



ที่ฉันยังจำได้ ..
ถึงเพื่อนชื่อจอร์จที่ทำงานด้านพิทักษ์ป่าพิทักษ์ไพร

และ
มาหลงใหลมนตราเวียงจันทร์หลวงพระบางในลาว
จนไม่อยากกลับบ้าน..อยากย้ายถิ่นฐาน
มาพำนักเป็นการถาวร
ชั่วนิจนิรันดรแห่งชีวิตของเขาเลยทีเดียว..เชียว!



ฉัน...อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อย้อนรำลึกนึกถึง
ภาพเขาคนนี้

ที่หากตัดสินด้วยตาจากเสื้อผ้ายับยู่ยี่ภายนอกแล้ว
จะไม่มีวันที่ใคร..
จะได้พบอัญมณีจิตดวงใสใจดวงแก้วณ..บ้านภายในของเขาเลย



*เขา*....เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ข้ามไปลาว
และ
ทิ้งเสื้อผ้ากองสุมไว้ในห้องนี้
ห้องที่มีม่านใบไม้ลายดอกแก้ว..ห้องสีโอส์ลโร๊ด



ที่มีลายดอกแก้วสวยสะอ้าน..

ผ้าม่านลูกไม้สีงาช้างลายโปร่งละออ
ระบัดไหวไปตามสายลมแรงพัดพลิ้ว

มีนกน้อยๆ
บินมาคลอเคล้าคู่ร้องระงมทายทักดังจุ๊บจิ๊บๆๆๆ....



มีโมบายเงิน จากครีบแลนด์ แดนดินแห่งความฝัน

ที่สาวน้อยนามเอลิสัน
นักอนุรักษ์ปลาโลมา นำมาฝาก..ดังกรุ๋งกริ๋งๆ ตามแรงลม 
ชวนให้รำลึกนึกถึงเจ้าของ..ทุกคราคราว...



ที่มีหอมจำปี จำพราก 
ที่ออกดอกดกนวลขาวพราวต้น 
ทิ้งกลีบราร่วงโรยหล่นคาพื้นพราว..

ให้หนาวใจคิดถึงวันเดือนปีที่อาจจะจำจาก..
ที่ต้องจำพรากจากดวงใจ ...
..........



หลังจากที่จอร์จ
ผู้ที่เที่ยวท่องท่องเที่ยวในไทยไปๆมาๆหลายจังหวัด
ไม่ว่าภูเก็ตเชียงใหม่ทั่วแคว้นแดนสยาม
และ
หลงใหลอาหารไทย
จนต้องเข้าคอร์สเรียนหลังจากที่ไปพักที่โรงแรมในภาคเหนือ



ฉัน...ซึ่งเป็นเจ้าบ้าน
กลับต้องขออนุญาติอย่างไม่ถือวิสาสะ
ขอแค่เข้ามาทำความสะอาดเตรียมไว้ให้

หากเขาจะกลับมาอีกคราครั้งหลังหายไปไหนไหน
 และลาไปลาวครั้งสุดท้ายเกือบสองอาทิตย์



ฉัน..จำได้ถึงรอยยิ้มกว้างอย่างแสนดีใจ
ยามที่
เขาเห็นเสื้อผ้ากองใหญ่ของเขา
ถูกซักรีดพับเตรียมไว้ให้
อย่างสะอาดหอมกรุ่นด้วยใจละมุนดวงนี้..



และ..
แถมในห้องนอน
จะมีดวงดอกไม้ไทยไทย ....มิซ้ำสี

มีพวงมาลัยมะลิหอมพราว
ที่วางในพานทองเหลืองให้หอมแทบทุกค่ำคืน

ที่เคียงเคลียคลอไคล้แสงเทียนทอไล้ทาบทอง
กับพรายเงา
แมกไม้ที่ราววิมานไพรวิมานวนาแสนสงบงาม

ให้เขานิทราฝันดีกับชีวีแสนสุข
ด้วยกลิ่นอายและรายรอบด้วยวิถีคนโลกตะวันออก
.........



เสน่หาตะวันออก! พุดพัดชา 

เสน่ห์ตะวันออกบอกโลกรู้
ชีวีอยู่กับว่างห่างสะสม
มีชีวิตประจำวันดินน้ำลม
ตั้งอยู่บนพื้นฐานความพอดี..

มีกลิ่นหอมดอกไม้สยายกลีบ
ไม่เร่งรีบรับนวลเนื้อใจละไมนี้
มีธรรมชาติวาดเวิ้งฝันฝากชีวี
มีดนตรี นก น้ำไหล ไหวระริน

เป็นชีวีที่เรียบง่ายไร้และว่าง
มีใจร่างกลางพงไพรในถวิล
เรียนรู้โลกโศกไกลห่างว่างใจจินต์
มีเพียงดิน น้ำ ลมไฟ ในชีวา

ฝันฝากร่างห่างไกลโลกโศกสุกสุก(สุขสุข)
ขอเคล้าคลุกพสุธาข้าโหยหา
นอนนับดาวพราวสุกใสเอื้อมมือคว้า
เป็นปรัชญาหาเงียบงามตามตะวัน..

ตามฉันมาคนดีที่ฉันรัก
มีอ้อมตักมีอ้อมใจเติมไฟฝัน
มาเคียงข้างร่างและใจไปนิรันดร์
ให้อิ่มขวัญฉันสอนโลกโศกห่างเธอ...
............




เขา....บอกว่า..
เขาจะไม่มีวันลืม
ภาพมากมายหลายร้อยภาพหลากเรื่องราว
ที่ฝากตราตรึงให้ซาบซึ้งในทุกน้ำใจ



ที่เรานี้ได้หยิบยื่นให้ด้วยน้ำใจมากไมตรี
ด้วยสายใยแห่งรักนี้
ที่มิหวังสิ่งใดตอบแทน

เพียงแสดงออกมาจากความรักปรารถนาดี
จากใจดวงนวลดวงใสนี้


ที่แสนโชคดี
ได้เกิดมาในแดนดินแห่งฟ้าไทยฟ้าพุทธภูมิ

ที่สอนให้มีใจดวงให้
และ...
รู้พูนเพิ่มมากเมตตาแด่ทุกผองเพื่อนมนุษย์
ให้รู้รักรู้ฝากค่าคนให้คนพลัดถิ่น
ได้รำลึกถึงคะนึงหาพากันพึงจดจำ



และ...
สิ่งนั้นคือ..
หน้าตาและภาพพจน์แห่งประเทศเรานี้ที่แสนรัก

ที่เขาจักนำไปบอกกล่าวขาน
เล่าให้เพื่อนฝูงคนชิดใกล้ได้เข้าใจได้รับรู้รับฟัง
รับซึ้งตรึงใจในทางบวก..
.........



และ
สำหรับฉัน ผู้หญิงช่างฝันชอบการเดินทาง

ในทุกรอยอาลัย
ในหลายทิวาราตรี

ที่เรานี้
บางทีพากันจุดเทียนหอมๆและ
พร้อมกันมานั่งล้อมวงฟัง
ถึงฟากฝั่งที่เขาได้ไปพบประสบมา..


ภาพ...
ที่แสนงามในยามเช้า ยามที่พระออกบิณฑบาตร
และ
สาวลาวค่อยๆเยื้องกรายยุรยาตรมาในชุดผ้าซิ่นแสนงาม
พากันตักบาตรในท่ามแสงทองทอ.



ที่จอร์จบอกว่า
ราวกับพาให้โลกเรานี้
ย้อนยุคสุดมหัศจรรย์ที่ราวพลันหมุนช้าลงๆ..

ซึ่งแสนจะทำให้เขาราวหลง
ตกอยู่ในหอมห้วงแห่งห้วงฝันสวรรค์บนดิน
แอบกำซาบปลาบปลื้มดื่มด่ำ
แทบไม่อยากลืมตา


เพราะกลัวว่าภาพจริง
จะกลายกลับเป็นดั่งภาพมายาฝันสุดท้าย
ที่จักมลายหายวับไป..
ไม่เหลือรอดรอผู้คนบนผืนโลกแล้งไร้ โลกศิวิไลซ์



และ
ภาพบนหลังช้างที่เชียงใหม่
ที่ค่อยๆพาเขาเข้าไปในป่าไพร โยกไกวให้แสนหวาดเสียวสูง..

..........



และ
กับภาพก่อนหน้า

ภาพที่เราพากันขับรถราวเหาะ
เพื่อพาเขาไปให้ทันรถที่จะออกไปหนองคายในยามค่ำ

หลังจากที่เขาเสียเวลาไปทำวีซ่าที่สถานทูต
และเสียเวลามากมายทั้งวันทั้งๆเตรียมตั๋วไว้แล้ว
จนแทบขึ้นรถไม่ทัน



ฉัน..
จำได้ถึงค่ำคืนนั้นที่ฉัน
สวมวิญญาณนักวิ่งลมกรด
เพื่อไปขอให้รถทัวร์รอเขา
ในขณะที่เขาแบกเป้ทุลักทุเลวิ่งตามมาไม่ทัน



เขาบอกว่าคืนนั้น..
ยามที่เขานั่งทานข้าวห่อและผลไม้ รวมทั้งน้ำในรถ
ที่ฉันเตรียมไว้ให้
ด้วยฝืมือการปรุงของฉันเอง
ที่รู้ใจเขาดีว่าเขาชอบข้าวผัดไทยๆเป็นพิเศษ



เขาบอกเขาแสนจะตื้นตันใจ
ในน้ำใจไมตรี
ที่เขาเองเคยผ่านหล้าโลกนี้
มาหลายที่หลายทางหลายประเทศ

หากทว่าผู้คนมิเคยวิเศษ
มากล้นด้วยน้ำใจใสเย็นฉ่ำ
เท่าเทียมเทียบเทียมกับคนไทยได้เลย...



และ....
ยังมีมากเรื่องราวฝากตราตรึงซึ้งค่า
ที่ฝากรอยใจรอยจำฝากคำมากมายให้จำจด
ในเตียงโบราณนี้ ในห้องโบราณนี้...



ที่ฉันจะค่อยๆทะยอยเล่ามาให้ฟัง
ถึง...
คนที่ผ่านมาพานพบพ้องพานให้ผูกพัน
กับชีวิตฉัน
อันแสนรักว่างเงียบสงบงามในท่ามเงาไม้

กับสิ่งไม่มีชีวิตนี้*ที่เรียกขานกันว่าเตียงโบราณ
ที่สถิตเคียงข้างกันอย่างยอมปันพลี



อย่างฝากให้ฝันดี
อย่างมิมีเกี่ยงงอน
อย่างแสนประทับใจ


แม้นจะเป็นเพียงวัตถุที่สิ้นไร้ใจไม่มีชีวิต
หาก
ทว่ายังรักสนิทเคียงใจ
ราวมีจิตวิญญาณอย่างเพื่อนใจ
ได้ฝากอ้อมโอบเอื้อไออุ่นให้ละมุนใจ
เหนือกว่าคนเหนือกว่าใครที่ไม่รู้จักไม่รู้ใจไม่เข้าใจเราเอาเสียเลย



และกับในบางคืนในบางวัน
ในยามอุษา
ที่สายแสงสวรรค์เริ่มผันดวงมาเยือนหล้ามาส่องหล้า

ฉันจึงพร้อมตื่นขึ้นมารับพลังหวังหวาน
เริ่มรุ่ง..รับอรุณ..
ด้วยดวงใจหอมกรุ่นในเช้าวันอันแสนสุขใจ..



และ
ในยามค่ำ
ที่ยังมีดวงดาว ดารารายระดะฟ้าพากันพรายแสง
แตะแต้มกระพริบพราว..



และยังมี
พรายแสงจันทร์ให้หรรษา..
ที่หยาดสายแสงส่องมาอย่างแสนหวาน
ราวธารทองน้ำผึ้งจันทร์นำผึ้งฝันน้ำผึ้งรวง



ที่จักบันดาลตาพาดลใจ
ให้คิดถึงทุกคนดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
มาสถิตแนบเนาในดวงใจ
และ
กับคนไกลทุกคนดี


ที่ค่ำคืนนี้ อาจจะอยู่สุดหล้าฟ้าไกล
ในอเมริกา...
ตะวันออกกลาง.ตะวันออกไกล

และ
กับใครบางคนที่ฉันรักดั่งดวงใจ
ที่มีชีวินราวนกไพร
จำต้องเหินปีกตามนกเหล็กสีเงินไปทั่วทุกมุมโลก




ฉะนั้นเช้านี้ ..จึงเป็นเช่นฉะนี้

ที่พาให้หัวใจดวงดีดวงนวลดวงใสของฉัน
แสนสุขเกินรำพัน
กับทุกฝันดีทุกราตรีในรอยอาลัย..


ที่ยังมีมวลแมกไม้ไทยไหวกิ่งปลอบ
ให้ฉันนิทราไปกับพันธุ์ไพรรายรอบ

และ..
ยังมีเสียงนกเขาไพรขันแผ่วแว่วหวาน
อย่างแสนไพเราะมาขับขานปลุกฉันทุกเช้า
ให้สลัดทุกข์ทุกเรื่องราวไร้ขยะใจ



ให้ไม่ไหวหวั่นมิพรั่นใจ
มิไหวครวญรานร้าวเศร้าหมองหม่นกับคำคนคำใครนาน

นอกเสียจากเพียงทบทวน
เพียรเพ่งพิศพินิจจิตสร้างความดีผูกมิตรแด่น้องพี่



และ
หวังพร้อมพลีฝากไมตรีแห่งลมหายใจนี้
ที่อาจจะยังคงเหลือสั้นแสนสั้นมิรู้ว่าวันใดจะพลันหยุดลง



เพื่อสานฝันสร้างสรรทำความดีให้ชีวิตยิ่งมีคุณค่า
สวดมนต์ภาวนามิล้าถอย
คอยสร้างสิ่งควรคืนกลับพัฒนาใจ

และ
มิท้อใจมิพ่ายใจ
ที่จะยังคงสร้างนวลใจให้สวยใส..ไสวว่าง..สว่างเย็น
เป็นเช่นฉะนี้ในทุกทิวาหวามราตรีขวัญ



อันมิรู้ว่า
คืนและวันที่โลกและร่างเรานั้น
จะพากัน..
แตกดับลับลา ณ..นาทีใด ณ..วันไหนเลย...
นะทุกคนดี..นะทุกทุกดวงใจ...ที่แม่ดวงดอกพุดไพร
แสนรักเอยแสนรักเป็นยิ่งนักแล้วในกมล...!.
..................
..................





จูบแก้ม..แกล้มจันทร์! ...พุดพัดชา 

จันทร์ดวงเดิม จันทร์ใจดี จันทร์ดวงเดียว
จันทร์ครึ่งเสี้ยว จันทร์แกล้มเศร้า ใจสับสน
จันทร์เต็มดวง จันทร์ยิ้มหวาน ปลอบกมล
จันทร์ซุกซน จันทร์ล้อเลียน จันทร์รู้ใจ

น้ำผึ้งพระจันทร์ รอเราสอง นะยอดรัก
รอความภักดิ์ หนักแน่น ไม่หวั่นไหว
จันทร์รอเรา รักจริงจัง ไม่เปลี่ยนใจ
จันทร์เป็นใจ จูบแก้มขวัญ แกล้มจันทร์งาม 

..........




ใจกลีบดอกไม้! พุด 

หัวใจเธอหัวใจฉันหัวใจฝันใฝ่
หวานหรือไม่ใครเล่ารู้ใครเล่าเห็น
เพียงใจเราเพียงใจเขาคิดให้เป็น
ดวงตาเห็นดวงใจงามตามรู้ใจ...

หัวใจอ่อนโยนฤาอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง
อยากให้ซึ้งอยากให้เศร้าใส่สิ่งไหน
อยู่ที่เราอยู่ที่เขาอยู่ที่ใจ
อยากได้ใจเช่นไรใส่เช่นนั้นฝันได้มา...

อยากมีไหมกลีบหัวใจเป็นดอกไม้
ค่อยค่อยให้ค่อยค่อยวางกลางเหว่ว้า
มีสติที่เงียบงามทุกเวลา
กระซิบค่ากระซิบคำเลิศล้ำใจ..

ใจดวงเดิมใจดวงดีมีแต่ให้
ดั่งกลีบดอกไม้ค่อยวางซ้อนอ้อนอ่อนไหว
ให้ความรักให้ภักดีให้น้ำใจ
กลีบดอกไม้หัวใจก็หวานก็บานพราว...

กี่ภพชาติดอกไม้ใจไหวกิ่งฝัน
ดลเธอฉันพานพบลบใจหนาว
ชั่วกัปป์กัลป์หัวใจขวัญชูช่อพราว
หัวใจราวกลีบดอกไม้ให้ความดีให้รักนี้กับทุกคน!ทุกดวงใจ!





จินตนาการ..ตามพุดพัดชานะคะ
ภาพ...กลีบดอกไม้รูปหัวใจ..สีชมพูโอด์ลโรส..ชมพูอมส้ม
วางซ้อนกันเป็นดวงดอกไม้..
กลางเกสรนั้น..คือสุภาพสตรีหรือสุภาพบุรุษในดวงใจของเราเอง...นะคะ
ที่คุณรักเขาและเธอดั่งดวงใจค่ะ



สวนดอกไม้...เราใช้สมองสองมือสร้างงาม
และมองงามเห็นได้ด้วยตาภายนอก..

ส่วนริมใจกลีบดอกไม้...
เราใช้ดวงตาที่สาม ดวงตาภายใน..
เพาะปลูก จะให้งามแค่ไหน 
อยู่ที่ดวงใจเรา...ต้องเพาะหว่านด้วยการให้รัก..
ให้น้ำใจ ให้อภัย กรุณา มากเมตตา

ด้วยดวงใจอันโอบเอื้อ อันอ่อนหวาน อันอ่อนโยน
ต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น..

และยิ่งให้ได้มากเพียงใด
หัวใจเราก็จะนิ่มนวลดั่งกลีบดอกไม้ ที่ชูช่อฝัน ทีละกลีบละกลีบ
วางเรียงร้อยให้หวานหอมพราวพร่างริมใจเรา..
อย่างบางเบาอย่างอ่อนหวานอ่อนโยน..
ให้ใจกลีบดอกไม้...อิ่มฝัน สงบงาม
ตามผูกพันไปถึงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติไป..นะดวงใจนะคนดี!ที่แสนรัก! 
.................





จูบหัวใจ! พุดพัดชา 

นั่งนิ่งเงียบเหม่อมองฟ้า 
เอามือซ้ายขวา วางไว้ ใกล้ใจฝัน
ส่งความสุข ความรัก ไปในนั้น 
เพราะทุกวัน หัวใจเต้น ไม่หยุด ด้วยรักเรา.. 

ส่งความรัก ให้หัวใจ ตัวเองก่อน 
แล้วค่อยอ้อน ไขว่คว้ารัก คลายความเหงา 
จูบหัวใจ ละมุน เพียงเบาเบา 
หัวใจเรา รักเราจริง ใช่ใจใคร.. 

สำรวจดู ข้างใน ใจยังสวยอยู่ละหรือ 
หรือดึงดื้อเกลียดใครจนหวั่นไหว 
กระซิบบอกจงเมตตาและอภัย 
ให้เข้าใจ..ให้ความดี..แก่คนที่ผ่านผ่านมา ...... 

แล้วหัวใจ ดวงน้อยจะสงบ 
จะค้นพบ ความงาม ที่ตรงหน้า 
จะเรียนรู้ รักโลก รักผู้คน ไม่เหว่ว้า 
รู้คุณค่า เงียบงาม ในใจดวงนี้ ที่สถิตกลางใจ ไปนิรันดร์.....
................


จูบ!ลาเธอ ตรงไรผม พรมจูบนิ่ม! พุดพัดชา 


มองตาเธอ เห็น ความเหว่ว้า
มองหน้าเธอ เห็น ความใจหาย
ยิ่งใกล้วัน จำพราก ยิ่งเดียวดาย
ฉันจะตาย ด้วยสงสาร รานร้าวใจ

กอดฉันซี ให้แนบแน่น ด้วยแรงรัก
หยุดใจภักดิ์ คงมั่น อย่าหวั่นไหว
ฝากไว้ที่ ตรงนี้ ตรงกลางใจ
ถึงตัวไกล ทิ้งคำมั่น คำสัญญา

ฉันเชื่อเธอ เสมอมา นะยอดรัก
ศรัทธารัก จักคงอยู่ ให้โหยหา
กี่เดือนปี จำนวนนับ แค่เวลา
ระยะทาง ขวางหน้า แค่ท้าใจ

จูบ!ลาเธอ ตรงไรผม พรมจูบนิ่ม
จูบ!ทุกสิ่ง ที่เธอให้ จะได้ไหม
จูบ!แก้มหอม ฝากชีวิต ฝากดวงใจ
ขอคนไกล ฝากจูบ!นี้ พลีมัดจำ!
..................




จันทร์ดวงนวลทอม่านเมฆเสกสายไหม
หวานจับใจเพียงครึ่งเสี้ยวราวเรียวฝัน
จันทร์ครึ่งดวงใจครึ่งเดียวคงพอกัน
ดาราฝันพริบพราวปลอบหนาวใจ...

ฟ้าคลึงฝนจำปีหล่นร่วงพรูพร่าง
การะเวกคว้างปลิดกลีบสิ้นถวิลไหว
วสันต์เศร้าย้ำดายเดียวในดวงใจ
นอนซุกใจเรียวตาว้างพร่างฝนพรำ..

บทเพลงฝนหล่นพราวราวหยาดเพชร
ดอกฝนเด็ดจากราวสรวงระรินร่ำ
มวลพฤกษาแมกไม้ร่ายระบำ
เสียงขลุ่ยพร่ำพลิ้วหวานแว่วหว่านแนวไพร..

เวทีฝันเปิดม่านฝนกมลขวัญ
หยาดสวรรค์งามอะคร้าวละอองใส
ฟังเพลงฝนหล่นลาพรากฝากรอยใจ
ฤดีกาลผ่านไปฤดีใจเลิกไหวตรม...

ธรรมชาติฝนฝากสอนใจอย่าไหวรับ
ใจรู้จับรับเงียบงามให้หอมห่ม
คือสัจจะธรรมชาติฝากไว้เลิกระทม
ทิ้งขื่นขมทิ้งทุกอย่างวางนอกใจ...

ไม่ไห้หวนคิดอดีตอนาคต
รู้กำหนดกับปัจจุบันเงียบงามใส
เพียงลมหนึ่งลมนี้ลมหายใจ
พรมฤทัยพรมวิญญาณผ่านมายา...

เหมือนแสงเทียนตรงหน้าวะวูบวับ
มิรู้ดับวันไหนไยห่วงหา
วันนี้โชนพรุ่งนี้มอดดวงชีวา
เลิกเหว่ว้าหลงทางกลางโลกย์วน..

พาตัวเองลอยเหนือโลกโศกสุขสิ้น
มิถวิลมิอาวรณ์อ้อนสับสน
ใครจะรักใครจะชังคนคนคน
วนวนวนว่ายว่ายว่ายคล้ายวนวัง...

เงียบและวางร่างไร้คล้ายว่างเปล่า
ไมมีเราไม่เสียใจไม่สิ้นหวัง
เพียงสงบสยบใจสร้างพลัง
ก่อนชีพฝังหวังฝากดีพลีผืนพสุธา...

...........
				
22 มิถุนายน 2548 11:08 น.

หนึ่งในทรวง!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html

ขอรจนาด้วยหยาดน้ำตาพลีณ..เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธ
ณ..ลานวัดไชยวัฒนาราม..อยุธยา
ด้วยดวงใจเหว่ว้าไร้ใครเคียงใกล้เข้าใจ



เคยๆมั้ย....
ที่เธอเหน็บหนาวหนาวเหน็บในดวงใจเสียจนยากจะเอ่ยเผยใจ
บอกใครหรือแม้นอยากรำพึงรำพัน
นอกเสียจากนอนซุกร่างนิ่งงันนิ่งนิ่ง
อย่างอ้างว้างดายเดียวในดงหญ้า 
เฝ้ามองดูฟากฟ้าแสนสวยงามยามตะวันชิงพลบ
ยามสายัณห์ตะวันโพล้เพล้เพียงลำพัง
หรือนอนฟังบทเพลงแห่งวสันตฤดู 
ที่กำลังรินพร่างกลางกระท่อมดวงดอกไม้
ที่ไหนสักแห่งในหล้าโลก..ในโลกหล้า

ที่กำลังพร่างหยาดรินสายอย่างช้าช้า
กระทบหลังคาจาก
ฝากเสียงธรรมชาติพริ้งพราวเปาะแปะๆ
ให้ยิ่งหนาวใจ..จนสุดทน..แล้ว..!



เคยๆมั้ย....

ที่เธอแค่อยากหลบร่างห่างไกลผู้คน
ในวังวนวุ่นวาย ไปใช้ชีวิตอย่างเงียบงาม
ถีบจักรยานไปตามเส้นทางสายรวงข้าว
เฝ้าหยุดดูภู่ผึ้งบินว่อนร่อนถลา
ในบึงบัวหลากสีที่กำลังบานสะพรั่งพราว

หอมเร้าใจด้วยอวลแห่งเกสรไสว
ที่กำลังค่อยๆคลี่แย้มแก้มกลีบ
ให้ละอองทองผ่องพรายมากับสายลมในยามค่ำ
ที่นกไพรพากันร้องร่ำหาคู่
พากันโผผินบินกลับรังนอนอันแสนอบอุ่นพร้อมหน้า





เคยๆ...มั้ย

ที่เธอ..อยากเดินท่องไปในเส้นทางลูกรังสายเล็กๆ
ที่สองข้างคืองามแห่งทุ่งหญ้าไหวเอนระเนนล้อลม
ที่ราวกับเส้นทางทองทอทอดพาเธอให้ไปพลอดออเซาะ
กับละเมาะไม้..ใกล้ลำธารหวานระริน
คอยฟังเสียงระรินหลั่งของสายน้ำรักนิรันดร์

ที่กระซิกระริกรี่ไหลพร่างฝากเสียงที่ราวกำลังรำพันตัดพ้อ
 อ้อนเงื้อมผาโตรกธารฟัง ซู่ซ่า  เซาะไซร้ ซุกซิก ราวกระซิบคำรัก



เคยๆ....มั้ย

ที่เธอ..อยากไปนอนเงี่ยหูฟังเสียงสรรพสัตว์ระส่ำไพร
เสียงดนตรีธรรมชาติหวามไหว
ในเงื้อมเงาดวงตะวันสีแดง
แฝงให้หัวใจเธอแสนมีพลังหวังหวาน
ตระการด้วยความรักผืนหล้าผืนไพร 
ด้วยนวลใจที่แสนอบอุ่นกรุ่นด้วยความเข้าใจ


เคย..เคยมั้ย..!


ที่อยากเกิดมาเป็นผู้ให้
เป็นน้ำใจพร่างใสริน
ให้ผู้คนผองชนบนผืนโลกเดียวกันนี้
ที่มิได้มีดวงตาที่สาม 
งามดวงใจใครเล่ารู้ที่ช่อนชุกซึ้งสุขปิติอยู่ณ..ภายใน
เพราะมัวแต่ใฝ่หาเพียงปัจจัยสี่
เพียรเพียงหนีความยากไร้ ให้มีลมหายใจต่อไปวันๆ
ส่วนเธอนั้นแสนโชคดี 
ที่เกิดมากับดวงใจแผกพิเศษนี้
ที่ฟ้าดินสวรรค์เมตตาประทานมาให้
และ



เคย..เคยมั้ย..!

ที่เธอรู้คุณค่าของชีวิต 
รักความพอเพียงเพียงพอ
และราวกับรอเพียงพบฝั่งฝัน
รอพลีจิตนิรมิตราวบัวบานกลางบึงโลกเหนือโศกสุขทุกข์สิ้นทั้งปวง

มิหลงในบ่วงตมพันธนา 
มิหวังคว้าไขว่ในโลกวัตถุใด
อยากมีเพียงดวงจิตดวงใจดวงวาง ว่าง กระจ่างแจ้งดวงที่มิสิ้นแล้งไร้

หากอยากเพียงฝากไว้คือ ค่าแห่งความดี
พลีให้น้องพี่ทุกผู้
ที่คือพี่น้องร่วมโลกโศกชะตากรรมด้วยกัน
หวังพากันเพียรพบร่มแห่งยอดพระธรรมร่มพระรัตนตรัย
คืออัญมณีดวงใสดวงกระจ่าง
ดวงมากเมตตาอภัยแสนมีน้ำใจสวยใสแสนงาม
อันอยู่ภายในร่างใจเราเองใช่ใครใช่ไกล




เคยๆมั้ย....

ที่หัวใจดวงงามดวงดีดวงดิน
เพียงถวิลหวังแค่รจนางานงามใจงามธรรม
หวังระรินร่ำดับร้อนโลกรุนแรง
ให้เลิกพบเศร้า และได้พบพระพุทธศาสนา
ที่ดั่งคือดารารัศมีในกาแลคซี่
ที่แสนพร่างใสไสวสว่างฉ่ำเย็นเป็นอนันตกาล

ก่อนที่ร่างรานใจไร้จะฝากไว้
เป็นหนึ่งเดียวราวธุลีหล้า หาค่าอันใดมิได้
หากมิได้ทันไหวจิต
คิดเพียรพบพลังแห่งปิติเกษมบุญ
สร้างกุศลสมาธิรักษาศีลภาวนา
มิเบียดเบียนใคร 

นอกจากเฝ้าเพ่งเพียรสอนเพียงจิตใสในร่างใจของตัวเรา
ให้เลิกยึดมั่นถือมั่น
เลิกฝันเลิกหลงทางในทะเลโลกย์
ท่วมท่ามทุกข์ทนด้วยหยาดน้ำตา



เคยๆมั้ย...

ที่เธอ..เบื่อโลกโศกสิ้นเหลือใจแล้ว
อยากไปให้ไกลไกลแบบไม่พบพานผู้คน
ให้กมลได้อยู่กับความสงบเงียบงาม

ไปนั่งสวดมนต์ตรงหน้าพระพักตร์พระพุทธ
พิสุทธิปลั่งด้วยพร่างพราวรัศมีทองคำ
อันคือตัวแทนงามแห่งสัจจะธรรมล้ำค่าราวแสงธรรมธารทอง
ที่จะพาจิตเธอลอยล่องท่องสู่ฝั่งฝันอันคือนิรันดร์ว่างงาม

ราวสายธารธาราบุญกรุ่นหอมให้แสนพร่างใส 
ในน้ำพระทัยมากล้นพระเมตตาจากสายพระเนตร
ที่ทอดลงมาอย่างโอบเอื้อ ปลอบประโลม
ด้วย
ราวรับรู้ถึงจิตทิพย์และคำสวดมนต์อันแสนศักดิ์สิทธิ์
อันคือระรินร่ำอันฟังแล้วแสนไพเราะเสนาะโสตกว่า
เสียงจากคีตดนตรีกวีทิพย์บทใด 
ด้วยคือบทสวดจากนวลใจ
จากความถอดใจไม่ยินดียินร้าย
ฝากร่างไร้ใจราน
หวานโศกสุขทิ้งทุกข์ทุกอย่างวางไว้แทบเบื้องบาทจาริกา

หวังเกาะชายผ้าเหลืองเรืองรองผ่องผุด
เข้าสู่รอยธรรมรอยทางทอ
รอยแห่งวิมุติ
ที่จะพาหลุดพ้นจากวังวนแห่งบึงวิบาก

ให้ไปพบท่าทองลอยล่องไปสู่แดนดินแห่งงามว่าง
ไร้ร่าง
ไร้รักรัดร้อยใด
ไม่มี ไม่มี และไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีเราไม่มีเขา
ไม่มีเหงา ไม่มีเสียใจ ไม่มี ไม่มีและไม่มี
นอกเสียจากความสงบงามสว่างสะอาดราวจิตใสดวงแก้ววิเศษ




เคยๆมั้ย..

ที่เธอร่ำไห้อย่างมิอายฟ้าดิน
เมื่อเธอนั่งนิ่งนิ่งลำพัง ณ..เบื้องหน้าองค์พระปฎิมา
ที่มีเพียงแสงฟ้าราวเรียวรุ้งสีทองผ่องพรายพร่างที่ช่างแสน
พรรณรายฉายทับทอด..ทอจับเงางามณ เบื้องหลังพระปฎษฎางค์
ในท่ามกลางความสลัวมัวหม่นจากมืดหมอกแห่งตะวันลาแห่งพายุร้ายชีวิต
ที่แค่พัดผ่านมาทดสอบ
ความหนักแน่นอดทนแห่งจิตใสใจดวงงามของเราเอง
ใช่ใครที่ไหนเลย



ที่ราวกับ
กำลังมาสอนบทเรียนชีวิต
มวลหมู่มนุษย์ในโลกหล้าที่ยามพบดายเดียว
เหว่ว้าจากคำพิพากษาใด 
หากใจยังคงมั่นมิหวั่นไหว
ราวตะวันในดวงใจยังสว่างใสพร่างพราว
ก็จะยังเฝ้าหมุนอยู่..
มิมีวันแตกดับลับลาหล้าไปกับกาลเวลา
ดั่งคือค่าคนอันเพียงเพียรเพาะบ่มงาม
สร้างความดีพลีเมตตาอภัยอันจักเป็นดั่งงามใจอมตะนิรันดร์........

********************

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html
พราว แพรว อันดวงแก้วแวว-วาว
สด สี งาม หลายหลากมากนาม นิยม
นิล-กาฬ มุกดา บุษรา คัมคม 
น่า ชม ว่างาม เหมาะสม ดี
เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้ง จึงเป็น ยอดมณี
ผ่อง แผ้วสดสีเพชรดี มีหนึ่งในร้อยดวง
ความ ดี คนเรานี่ ดีใด 
ดี น้ำ ใจที่ให้แก่คน ทั้งปวง
อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง
เจ็บ ทรวง หน่วงใจให้รู้ ทัน
รู้ กลืน กล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบ ผล ร้อยคน มีหนึ่งเท่านั้นเอย

รู้ กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบผล ร้อยคน มีหนึ่ง เท่านั้นเอง...

				
21 มิถุนายน 2548 22:59 น.

ลูกควายสายน้ำ

พุด



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html(รังรักในจินตนาการ)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html(เดือนต่ำดาวตก)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html(กลิ่นโคลนสาบควาย)




น้ำค้าง

น้ำค้างพราววาวแววรับเรียวแสง
เรียวแดดแรงโลมใล้คล้ายปลุกฝัน
มวลดอกไม้สยายกลีบรับตะวัน
น้ำค้างขวัญพลันมลายหายวับไป
ดอกไม้หวานบานกลางไพรรอฟ้าสาง
หยาดน้ำค้างแตะแต้มแกล้มกลีบไหว
ดอกไม้เอ๋ยเจ้าได้เชยชุ่มฉ่ำใจ
อย่าเสียใจรอเวลาท้าอรุณ
กลางสายฝนลมแรงแกล้งกลีบเจ้า
ให้รานร้าวชอกช้ำขวัญว้าวุ่น
แต่ไม่นานดอกหนาได้ละมุน
หยาดพิรุณแพรวน้ำค้างพร่างพริบพรายใต้เงาจันทร์กับฝันดี....




วันที่ฟ้าเป็นสีฟ้าแจ่ม
ถูกแตะแต้มด้วยเมฆนวลกระจาย

ชายหนุ่มร่างเพรียว..คร้ามแดด 
หญิงสาวร่างงาม..อรชร
พาร่างและหัวใจแสนสะออนแสนอ่อนหวาน

ไปรับฟ้าสว่างกระจ่างใส
อวลอากาศพรายไหวอิ่มอุ่นด้วยดวงดอกแดดสีทอง
ด้วยดวงใจที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนพอกัน..พร้อมกัน


เขาพากันขี่จักรยาน...เคียงคู่ขนานกันเข้าไป
ในเส้นทางลูกรังสายเล็กๆ..
ที่ทอดยาวเข้าไปถึงเชิงเขาริมลำธาร
ผ่านนาข้าว เขียวขจี 
ที่มีบึงบัว สะพรั่งดอกหลากสีชูช่อชันบานตระการ
มีดงตาล นกระยาง คอยจดๆจ้องๆ
 ค่อยๆย่องเดินด้วยขายาวๆเก้งๆก้างๆ..
เฝ้ารอล่าเหยื่อ..หลังคืนฝนตก


ที่กบเขียดเรไรร่ำ 
พากันเริงร่าร้องฮึมฮัม
ไปกับสายฝนพรำกับสายฝนโปรย

ที่หยาดโรยละอองหยาดน้ำแสนงาม
ราวหยาดน้ำค้างเพชรน้ำค้างไพร
ให้พราวใสค้าง ตกตรงกลางใบกลมกลิ้งวะวูบวับ
จับตามยอดข้าว ใบหญ้า ใบบัวในบึงกว้าง


รออุษาสว่าง
รับพรายแสงพราว..รับแพรวแสงทิพย์อาทิตย์อุทัย...อรุโณทัย

ที่ค่อยๆมาเยือนหล้าสะท้อนไพร
สะท้อนพร่างลงนะกลางเรียวใบ
และ
ให้หยาดน้ำค้างใสน้ำฝนพราว
ได้กลิ้งกระทบรับวะวับวาว..
*ราวอัญมณีสีรุ้ง*หลากสีมณีนางฟ้าดวงจรัส

ก่อนจะค่อยๆกระจายพรายพัดแสงให้ระเหยหาย
กลายเป็นมวลหมอกเมฆวัฎจักรวน


ลมหลังฝน..เย็นชุ่มฉ่ำระร่ำริน
พรายพรมห่มพัดร่างจนหนาวเยือก
รับอรุณอุ่นอวลไอของหยาดละอองใสสายจากปรายฝน
จนต้องละเมียดกมลหายใจ
ให้...
ไอเย็นค่อยๆซึมซึ้งเข้าไปถึงบึ้งใจบึงใจ
ให้ยิ่งพร่างใสไสวหวานรับสายแสงสดชื่น
ปลุกร่างให้ตื่นตาตื่นใจไปกับมวลธรรมชาติชนบท
ที่ช่างแสนสงบงดงามเงียบงาม ณ..ยามนี้ ในยามนี้


ทั้งคู่หันมาสบตา..
แล้วพากันยิ้ม..รับเย็นเห็นงาม
ด้วยความสุขใจสงบใจ เป็นระยะ 
และ...
หากใครผ่านมาคนที่เฝ้าติดตามดูข่าว
อาจจะสงสัยว่าเขาทั้งคู่...จะใช่
คู่หนุ่มสาวไทยคู่หนึ่งที่มีใจดวงงามใช่หรือไม่ละหนอ
ที่ชื่อคุณฝ้ายกับคุณโอเล่
สามีภรรยาที่มีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน


แล้ว..
พากันสมัครใจลาออกจากงาน
ในบริษัทออกแบบก่อสร้าง

ที่ตำแหน่งหน้าที่และรายได้ไม่ธรรมดา
ยอมมาเป็นคนว่างงาน
เพื่อปั่นจักรยาน
ขอรับเงินบริจาคจากคนไทยแค่คนละบาท
ให้กับ*สถานที่รับเลี้ยงเด็กยากจน*บ้านครูน้อย..เป็นเวลาหนึ่งปี


ด้วยจิตดวงดีดวงงาม
มิได้หวังอยากดัง

แค่เพียงปรารถนาได้แสดงให้เห็นความมุ่งหวัง
มุ่งมั่นจะช่วยสร้างสรรจรรโลงสังคม
ด้วยแรงกายของตนนั้น

ที่ทุกคนบนผืนดินไทยนี้
ย่อมมีสิทธิที่จะร่วมด้วยช่วยกันทำได้
และ
หากมีกุศลจิตคิดดีคิดให้
คืนกลับแด่สังคมไทยผืนดินแม่มาตุภูมิ


ซึ่งณ..วันนี้ทั้งคู่ได้ปั่นไปทางภาคอิสาน
ก่อนขึ้นเหนือไม่ลงใต้
และ
ได้รับเงินที่ได้รับการร่วมมือประสานงาน
จากหลายหน่วยงานในจังหวัด
รวมทั้งชมรมจักรยานในพื้นที่
ที่แค่ภายในสามเดือนก็ได้เงินถึง130000บาทแล้ว


และ
เขาทั้งสองจะยังคงปั่นจักรยานเดินหน้าต่อไป
ให้ครบจำนวนวันที่หวังไว้ว่าจะเป็นหนึ่งปี
และ
เงินจำนวนนี้ก็จะโอนเข้ามายังบัญชี
บ้านครูน้อย ธนาคารกสิกรไทยสำนักราษฎร์บูรณะ
เลขที่745-2-11433-4 ทันที

และ
หากมีผู้มิจิตศรัทธาก็สามรถร่วมบริจาคได้
หรือจะติดต่อตามข่าวได้ที่เวบไซต์ให้กำลังใจคนไทยตัวอย่างได้ที่นี่
www.moobankru.com/bankrunoi/menu1.html
.................




ดงดอกข้าว...ยังคงพากันลู่ไหวเอนตามแรงลมล่องข้าวเบา

ที่พัดพลิ้วทอยทอดเป็นระลอกลงมาจากริมเชิงเขา
ใกล้เงี้อมเงาลำธารฝัน
พัดผันพร่างพรายทายทัก
ให้ยอดข้าวเขียวไพลราวพรมแพรแพรพรมแถมหอมงาม


และ
ราวกับเรียวรวงกำลังเริงร่ายซัดส่ายพลิกพริ้ว
ริ้วใบระบัดระริกระริกไหวร่ายระบำ
รับบทเพลงจากสายวสันต์ดนตรีไพร 

ที่ฝากฝันดีฝันงามในแดนดินแห่งอู่ข่าวอู่น้ำ
ยังคงมีม่านมนต์มนตราให้น่าเสน่หา

ยังฝากตราตรึงให้ลึกซึ้งดำดื่ม
ปลาบปลื้มปิติใจไปกับวิถีไทย
*ในแดนที่ราบลุ่มน้ำสุวรรณภูมิ พุทธภูมิ*


หญิงสาว...
หันมาคลี่ยิ้มหวานๆให้กับชายหนุ่ม
เมื่อเห็นเด็กเลี้ยงควาย
กำลังกรายร่างจูงแม่และฝูงลูกควายที่แสนน่ารักน่าชังนัก
จนอยากร้องทายทักออกไปว่าจะพากันไปถึงไหนจ๊ะ...


และ
เมื่อหันไปเห็นดวงตาลูกควายที่ซื่อใสและดวงใจคงแสนซื่อสัตย์
คงรู้จักรู้สำนึกกตัญญู
รู้บุญคุณคน พระคุณคนผู้ขุนข้าวให้หญ้าน้ำ
และ
ราวฝากตำนานดั่งบทเพลงคนกับควาย

ให้ชีวิตหญิงชายชาวนาไทย
ที่ได้เคียงชิดใกล้ราวมิ่งมิตร
พลีหยาดเหงื่อและหยาดเลือดรักจากชีวิต
อย่างแสนเททุ่มทอดถอดใจ
หวังหล่อเลี้ยงท้องคนไทยให้มิอดตาย


ให้สืบสานตำนาน*คนกับควาย*
ที่ราวเพื่อนยากได้รินรดเหงื่อแห่งความบากบั่นอดทน
ให้หลังทนทำ มิท้อ งอลงสู้ฟ้า..หน้าลงสู้ดินแล้ง
มิแหนงหน่ายกรายหนีสิ้น..ผืนดินทอง


ไปใช้ชีวิตในเมือง
ครองเปลืองเปล่าเหงาหนักขึ้นในเมืองวัตถุศิวิไลซ์
ที่พลีหยาดเหงื่อสักเท่าใด เท่าไร 
ก็หา หาเงิน ตามทันไม่ ไปตามแรงอยาก 
บ้างต้องบากหน้าทบทวนหวนคืนถิ่น
แดนดินแห่งรอยไถไม่แปร


 และ
มาตรแม้นแม้ควายแท้..จักมีชีวิตพ่ายแพ้ควายเหล็กมาพักหนึ่ง
จนถึงวันนี้ 
ที่น้ำมันกลับมาแพงแสน

ราวกับแกล้งหมุนโลกให้ย้อนรอยถอยหลังกลับไป
ให้รู้คิดใหม่ทำใหม่ หวังวาดรู้ฉลาด
ค้นพบสัจจธรรม...


ที่ฟ้าดินกำลังหมุนโลก
มาสอนบทเรียนสัจจะธรรม ธรรมชาติแด่มวลมนุษยชาติ
ที่หวังพิชิตโลก...ลืมดับโศกแล้งไร้ 
ให้รู้รักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ 

ให้อยู่ดำรงคงมั่นพร้อมกันไปแบบพึ่งพาพึงพิง
มิกลิ้งไปกับกระแสทำลาย
ให้โลกาวินาศเลวร้ายด้วยความไม่รู้ค่ารักธรรมชาติ


และ
ให้เราคนไทยไหวทัน 
รู้ค่าคำตำนาน..*คนกับควาย*อย่างแยกกันมิออก
บอกชาติศิวิไลซ์ก็ไม่เข้าใจ งามแห่งวิถี
ในชาติไทยในแดนแหลมทองผ่องผุด

ที่สร้างรอยรักพิสุทธิ์ใสระหว่างคนกับควาย
สร้างรอยใจรอยไถมิแปร
ให้มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมากมาย


ที่ได้อิงอาศัยวิถีไทยภูมิปัญญาไทย
สู่เส้นทางไสว..เส้นทางรวงข้าว

เส้นทางที่นำทางให้ชาวนาไทย
ได้พบหยาดฝนหลวงจากน้ำพระทัย
ที่ใสพราวราวรวงเพชร
จากพระผู้เป็นดั่งร่มฟ้าแห่งผืนแผ่นดิน
*พระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย*

ธ..ผู้ล้นพระเมตตตามากล้นนำพระทัย
และรู้เห็นเข้าใจค่าในเส้นทางสายนี้
ที่คือ...*ทางแท้ทางทองทางแห่งผองชนคนไทยพึงทำ*


เพื่อน้อมนำคืนกลับมารักวิถีไทยวิถีเกษตรกรรม 
ให้รู้การอยู่อย่างสงบสามัคคีธรรม
รู้สมถะพอเพียงเพียงพอ 

มิบ่าโหมหลอมร่างจิตวิญญาณ
ราวแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

ไปยอมพ่ายพะวงหลงแสงสี
อันคือไฟกิเลสโลก
ที่แสนนำไปสู่เส้นทางสายโศกสายเศร้า..ที่ทอดรอรับมิช้านาน


ให้ลูกหลานเหลนโหลนไทยในภายหน้า
หันกลับมา...ถิ่นนา ทำนา 
ทิ้งมือถือหรือรถเก๋งมาขึ้นขี่ควายแทน
แขวนเกียรติยศจอมปลอม 
ยอมมาแบกแอกไถใช้ชีวิตในท้องไร่ท้องนา

อยู่กับข้าวกล้าอวลอากาศสะอาดใส
ปราศจากพิษภัยมลพิษใดใด 

ไม่ต้องเหนื่อยล้าใจ...
วิ่งไปเติมสุขจากโลกทุกข์วัตถุ
ที่ออกใหม่ให้วิ่งไล่ไม่ทันเทรนด์ไม่ทันใจที่ไหวอยากมากมี


ให้กลับมารู้ค่าควาย
ที่มิหวังต้องง้อใช้น้ำมันแสนแพง
ราวแกล้งให้ชีช้ำใจ

ให้เจ้าสัตว์เพื่อนยากเพื่อนใจ
ช่วยกันแบกแอกไถด้วยใจพลีเพียรเต็มร้อย
ไม่ถอยแปรไปให้รอยไถไม่แปรไม่เปลี่ยนใจ

ให้วิถีแห่งภูมิปัญญาไทย
ยังคงอยู่คู่แดนดินแห่งลุ่มน้ำสุวรรณภูมินี้
 ที่แสนอุดมสมบูรณ์


ที่คือความรู้รักสงบ
จนค้นพบความเรียบง่าย
รู้ค่าการใช้ชีวิต
ที่มีวัดและร่มฉัตรพระรัตนตรัย

เป็นดั่งที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณ
ชีวิตชีวาได้พบวิมุตติธรรมมารินร่ำ
บ่มเพียรภาวนาพบปัญญา
พาพ้นน้ำดั่งดอกบัวทองผ่องผุดพิสุทธิ์ใสงามกว่างาม

ให้มิหลงผิดทางไปให้หัวใจแสนอ้างว้างเหว่ว้า
ดั่งลอยคอรอรับวิบากรรมนำร่างจิตลอยสถิตกลางทะเลโลกย์
พบโศกวนมิรู้สิ้นรู้จบ


ให้มีที่มามากมายมากมี
ที่ดั่งเป็นตำนานเรื่องงามเรื่องดี

ที่มีคนกับควายได้เป็นพระเอกแห่งท้องเรื่อง
ฝากตำนานให้คนรู้ค่าควายกับชาวนา
ผู้ยอมพลีร่างเหนื่อยล้ารอท่า
พระเมตตาจากพระพิรุณ


เพื่อให้มีข้าวพันธุ์หอมกรุ่นนานาพันธุ์
พาให้เคี้ยวกันอย่างหอมกรุ่น
ในทุกคราคำยามท้องร่ำร้องเพราะหิวโซ 

และ
ควรเลิกด่าว่าควายโง่...
นำมาเย้ยหยันเยาะชนชั้นรากหญ้ากันเสียที

ที่ช่างมิเหมาะสมมิบังควรเลย
กับสัตว์แสนดี ที่คือคู่ทุกข์คู่ยาก
ที่ทุกคนไทยฝากท้องไว้มาอย่างยาวนาน


ที่ร้อยวันพันปีมาแสนนาน
ต้องเสียสละตื่นมาแต่ย่ำอรุณรุ่ง
มุ่งลงนา 
พากันไปลากแอกแบกไถเทียมคราดรับแดดเปรี้ยง

มีเพียงเถียงนามุงด้วยใบจากหรือใบตาล
เฝ้าซมซานเหนื่อยยาก
ฝากหยาดเหงื่อพร่างรินเป็นสาย

ภาวนาไหว้ขอพร
ให้มีเพียงฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลยามหว่านไถ

พอให้รวงเรียวได้ไสวช่อ
รอออกดอกระย้าย้อย
ห้อยพวงพราวลงมาเคลียเคล้าคลึงคลอขอขอบคุณดิน
มิยอมทิ้งถิ่นทิ้งนา 

หวังฝากค่าคนค่าควาย
พร้อมพลีจนหยาดเลือดหยาดเหงื่อหยดสุดท้าย
ให้คนไทยได้มีกิน

ได้แข็งแรง 
มีแรงดำรงชีพชอบ
ประกอบเพียงกรรมดีสร้างกุศลจิต

แม้นชีวีชีวิตราวปิดท้องหลังพระ
ราวชั่วชีวามีแต่ยากไร้
ให้เพียงแค่อิ่มใจเกินบุญกุศลใดในหล้าโลกแล้ว


ที่ทุกดวงใจคนไทย
ควรสร้างจิตสำนึกตรึกตรองมองเห็นค่าคนค่าควาย..
อย่างมิให้ร้ายเหยียดหยามหมิ่น
ผู้มีพระคุณต่อผืนดินและผองชน..เราคนไทย
ไปตราบชั่วกาล

ให้เป็นตำนานทองแห่งการยกย่องเชิดชูคู่ฟ้าดิน..
.........



หญิงสาว..ชายหนุ่ม
จอดจักรยานไว้ใต้ตาลคู่ริมคันนาชายทุ่ง
ก่อนที่จะคว้าเสื่อผืนน้อยในตะกร้าหน้ารถมาพร้อมปู


และ
เปิดข้าวห่อด้วยใบบัวที่แนมมาด้วยน้ำพริกมะขาม
กับผักลวกริมรั้ว
และแถมยังมีปลาทูทอดตัวอวบงามวางเคียงข้างให้น่าลองลิ้มชิมรส

ให้เข้ากับบรรยากาศสดสดแสนงามในยามเช้า...รับอรุณ
ให้ท้องหอมอุ่นอิ่มด้วยกรุ่นกลิ่นข้าวแก่นจันทร์
ที่หุงสุกใหม่ๆ

ให้หอมเกินหอมใดในทุกคราคำ..
ย้ำกลืนหวานข้าวเคล้าต่อลมหายใจไปเป็นหยาดเลือดรัก


และ...
ก่อนที่จะหันมาคุยกันเบาเบา
หลังเสร็จสิ้นการรับประทาน
รับสายลมพรมพราย 
กับ..
ฟ้ายามเช้าที่แสนใสพร่างสว่างเย็น
ด้วยลมโชยชื่นระรื่นระร่ำ สดฉ่ำรินมาจากริมชายเชิงเขา
ผ่านเงาละหานห้วยหนองคลองบึง 
มารับเหงา  
หากให้งามเงียบแสนเฉียบเย็นใจ


ให้กบเขียดในนาได้เริงร่า ไปกับนาหลังฝน
ที่เพิ่งพรมพร่างมาในยามค่ำคืน

ให้ตื่นมาว่ายวนเริงร่าพากัน
ร้องประสานเสียงแข่งกันราวประชันขันแข่ง
พร้อมโหมโรงด้วยดนตรีไพรวงใหญ่
ไหวระส่ำพร่ำดังไปทั้งคุ้งโค้งทุ่งท้องนา


มากระโดดรับละอองน้ำใสไหลเย็น
ไปกับพรายแดดอ่อนอุ่น
ที่จะแทรกลงมาคลึงเคล้าสายน้ำในบึงกว้าง

ให้ได้รับพลังอันโอบเอื้อ
ราววงจรชีวาชีวิตแห่งมวลสรรพสิ่งสรรพสัตว์ไพร
อันคือวัฎจักรโลก
ที่พร้อมจะหมุนไปแบบไม่เบียดเบียนทำร้ายทำลาย


และจากสายแสงสีเงินยวง
จากรวงแสงพรายพระอาทิตย์ยามอรุโณทัย
จากขวัญฟ้าประทาน
ที่กำลัง..
มาฝากพร่างใสแสงสวยทอทอดลอดโลมไล้ทายทักทุกอณู
แห่งยอดไม้ยอดข้าวใบหญ้าและมวลมนุษย์ในโลกหล้า
ปลุกให้ตื่นฟื้นฝันมา...อย่าสิ้นพลังหวังหวาน


เฝ้าต่อเติมตาม..เพียรลบรอยฝันอันคือความทุกข์ทนมิสมหวังดั่งใจ
อันหากจำต้องสลายพ่ายชะตากรรม ชะตาฟ้า ชะตาพรหมลิขิต
และที่สำคัญเราสร้างกรรมเอง
คล้ายดั่ง..
เมฆหมอกร้ายให้พรายพัดผ่าน
ให้มลายหายไปกับวันวาร
ให้ผันผ่านไปทุกรอยอดีต
ที่กรีดรอยจำย้ำรอยใจให้เศร้ารานให้นานเศร้าหมองหม่นทนทุกข์ใจ


ให้อย่าได้ไปไหวครวญ
แล้ว
รอเพียงสร้างพลังใจลุกขึ้นมายืนใหม่หากล้มลง
คงฝากหวังสร้างพลังใจด้วยตัวเอง
อย่างมิเกรงกลัวผู้ใด ด้วยดวงใจ รู้วางว่าง

สอนให้รับเพียงสว่างสะอาดสงบสยบโลกย์ร้อน
เพื่อเริ่มปลอบขวัญรับวันใหม่..เริ่มใหม่..
อย่างมิท้อใจออย่างมิยอมทุกข์ทนทนทุกข์นาน
แบบ..*คนหัวใจไม่ยอมแพ้..*


ให้อย่าสิ้นหวังจงหยัดยืนร่างอย่าทรนงคงมั่น
ที่จะฝ่าฟันไขว่คว้าเพียรสร้างสรรทำเพียงความดี
และ
ราวรอรับพลังสัจจธรรม
จากสายแสงพระสุรีย์

ที่ยังมั่นคงตรงต่อฟ้าต่อหน้าที่
มิเคยหนีไปไหน
ยังคงมาพร่างใสใส่ทุกผู้คนบนผืนโลก


มาปลอบกมลให้คิดดีคิดเป็นคิดเห็นให้งามน้ำใจ
อย่างไม่เลือกแบ่งปัน ไม่มีที่รักมากที่ชัง
เพราะ
คือเพื่อนพี่น้องร่วมโลกจำมาพบเพื่อลงเรือโศกลำเดียวกัน
รอเพียงเพียรสมาธิภาวนาพบปัญญาดั่งหางเสือ 
พาร่างจิตไปพบฝั่งฝันอันคือแดนดินนิรันดร์แสนงาม


ที่น่าจะชวนกันเพียรพบ
จบด้วยให้น้ำใจอภัยเมตตาและรักกัน
ดั่งมิ่งมิตรน้องพี่  ที่จะพลีพร้อมฝันปันใจ

เพื่อฝากเพียงตำนานใจ 
จากดวงใจดวงทอง
ดวงผ่องผุดพิสุทธิใสราวอัญมณี
ที่รอจะฉายแสงใสเย็น
จากหยาดน้ำรักหยาดน้ำใสน้ำใจน้ำอมฤตธรรม


มา
จรรโลง..ชะโลมหล้า  ฝากฝันให้ชุ่มฉ่ำดับแล้งไร้
ก่อนวัน
ที่จะทิ้งทอดฝากร่างไร้ไว้เป็นหนึ่งเดียวกับพื้นพสุธาเป็นนิรันดร์
........



หญิงสาวเอ่ยถาม..ด้วยน้ำเสียงหวานเศร้าอย่างช้าๆชัดถ้อยชัดคำ

คนดี..คุณชอบมั้ยคะ 
ที่ตรงนี้ที่ดินผืนทอง
ในหอมห้วงใจในฝัน
ที่ราวสวรรค์วนา วิมานนา  ของเราไงคะ

ที่คุณเคยบอกเล่าถึงฝันนี้
ให้ฉันรับทราบมานานวันนานปี
จนมาถึงนาทีนี้
ที่เราเป็นเพื่อนกันจนครบรอบสิบปีเข้านี่แล้วนะคะ


และ
ที่นี่ไม่ไกลกรุงเทพไกลเมือง
ที่เรายังต้องอาศัยชีวิตดำรงอยู่เพื่อปากท้อง
และ
จำต้องพร้อมพลีประกอบอาชีพชอบตอบแทนคืนกลับ
แด่แด่สังคมเล็กๆที่เราราวเครื่องจักรฟันเฟือง
หากมิมีทางเลือกจำต้องกระเสือกกระสนทนอยู่ไปสักระยะ


ก่อนที่จะมีงานใหม่ที่ดีกว่า
พาเลี้ยงตัวและครอบครัวเราสองรอดปลอดภัย

ฉันเข้าใจว่าเราสองคงชอบในสิ่งเดียวกัน
วันเกิดปีนี้ฉันเลยชวนคุณมาใช้วันหยุดพัก
ที่โฮมสเตย์น่ารัก


ให้เรามีเวลามาท่องนาท่องไพร
มาเก็บไข่ไก่เหลืองนวลในเล้า
มาเฝ้าดูผักบุ้งตำลึงริมรั้วกระท่อม
ที่ทอดยอดสวยเลื้อยพันพร่าง


ให้ชีวิตได้หนีห่างจากดงเมืองมาหลายวัน
มาปันใจพลี
ให้กับสายน้ำเจ้าพระยา...
ที่ระรินไหลล่องอย่างช้าช้า
มาพากันนั่งสงบงามเบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธในยามค่ำ
เพื่อสมาธิสวดมนต์ภาวนา


และ
พากันเตรียมพวงมาลัยมะลิลาหอมงาม
ด้วยความรู้สึกปิติดำดื่ม
มากราบกรานถวายพลีเป็นพุทธบูชา
อย่างที่จะพาให้จิตเรายิ่งใสฉ่ำ
ได้นอนนิทราไปกับฝันดีในทุกคืนค่ำ
ที่ได้พลีจิตภายในมาทำในสิ่งที่รักศรัทธาปสาทะนะคะ



ชายหนุ่ม...
หันมายิ้มให้อย่างอบอุ่นอ่อนโยนเอมอิ่ม

เขาค่อยๆใช้มือแข็งแรงเขี่ยไรผมชื้นเหงื่อ
ริมเรียวแก้มใสสุกปลั่ง
ด้วยแดดแตะแต้มโลมไล้จนเนื้อนวลราวลูกตำลึงสุก


เขาเด็ดดอกผักบุ้งสีม่วงใส
ที่กำลังไหวดอกริมบึงดวงดอกโต
มาค่อยๆทัดแก้มแซมเสียบผมให้เธอ


ที่ณ..บัดนี้คลี่ยิ้มแสนหวานใส
ด้วยความขอบคุณ
อย่างคนลึกซึ้ง..สบตากันนิ่งนานอย่างรู้จักรู้ใจกันดี

เขาใช้หมวกฟางสานละเอียด
ค่อยๆพัดโบกวีให้เธอคนดีแสนงามใจได้คลายร้อน


และ
ทันใดราวแว่วหวาน
ผ่านแมกไม้สายน้ำสายธารกว้างมิร้างแรมราลาเลือนรัก

ได้ยินเสียงดั่งนกไพรดุเหว่าไพร
ละเมอเผลอทายทักด้วยบทเพลงในฝันในรังรักจินตนาการ
ในท่ามเงียบงามแห่งท้องทุ่งนาฟ้ากว้างชายชล ชนบท


คนดีคะ..มาค่ะ
ขี่จักรยานตามฉันมานะคะ
และอย่าแปลกใจที่ฉันรู้เส้นทางนี้ดี

เพราะ
คุณก็รู้ดีฉันชอบแอบหนีคุณมาแถวนี้ลำพัง 
หากคุณมาไม่ได้
อย่างกับสวมวิญญาณนักสำรวจมาตรวจเส้นทางใจเส้นทางฝัน
ไว้รอท่าวันที่จะพาคุณมาเซอร์ไพร์สอย่างไรเล่าคะ...


เอาค่ะนะคะ 
ฉันจะพาคุณไปที่หนึ่ง
พอใกล้ถึงแล้วจะให้คุณหลับตาสักห้านาทีนะคะ
แล้ว
ค่อยลืมตามาดูมหัศจรรย์ตรงหน้า
ที่ฉันพร้อมพลีจะนำเสนอ
มอบเป็นของขวัญวันเกิดในวันหยุดให้คุณค่ะ..นะคะ


และอย่ารีบคิด
รีบเดาล่วงหน้านะคะ
จะพาให้ไม่น่าสนุกตื่นเต้นค่ะ

เอาว่าไม่นานนาทีเองค่ะ
ในหนทางข้างหน้า
คุณจะได้สัมผัสเองค่ะ พร้อมนะไปเลยค่ะ
..

พร้อมกับที่เธอ นำทางเขา
ผ่านเข้าไปในดงดอกข้าวกล้าที่กำลังสะพรั่ง
เข้าไปในเส้นทางเส้นลูกรัง
ที่แคบแสนแคบเข้ากว่าเดิม

อย่างราวกับว่า
ไม่เคยมีใคร..
ได้เดินผ่านประตูไพรประตูดอกข้าวเข้ามาก่อนหน้านี้เลย


เส้นทางเล็กๆ...
ที่แหวกดงข้าวไพรเขียวไสวพร่างท่วมศรีษะ
จนแทบบังมิดศรีษะทั้งสองร่าง

ที่กำลังขับเคลื่อนจักรยานอย่างช้าๆ..ฝ่าเข้าไป

มีเสียงหอบหายใจ
กับเสียงโซ่จักรยาน...เอี๊ยดๆอ๊าดๆ..
ที่ค่อยๆหมุนไปๆ..ตามแรงถีบ..เป็นระยะๆ


จนใกล้จะมาสิ้นสุดหยุดลงณ..ลานกว้าง
ก่อนที่ร่างเขาจะพ้นไป
เธอได้หันมาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ผูกตาเขาไว้
และ


กำชับให้อย่าแอบดู 
แล้ว
เธอค่อยๆกุมมือแข็งแรง
เดินจูงให้เขาเดินตามมาอย่างช้าช้า

ราวกับว่า...
เขาคือเด็กน้อยหลงทาง
ที่ค่อยๆก้าวย่างไปข้างหน้า
อย่างมิอ้างว้างกลางป่าเปลี่ยวไพรกว้างทางรก
เพราะ
เขามีมือนวลนุ่มนุ่มนวลมีพลัง
มาเกาะกุมเกี่ยวไว้อย่างให้ความมั่นคงใจ


และถึงมาตรแม้น ณ..นาทีนี้
ราวกับดวงตาเขามืดบอด

หากหัวใจเขากลับหอมงาม
ด้วยความไหวหวาน
ยามได้รับกลิ่นจากร่างและเรียวรวงแห่งหอมข้าวใหม่ในนา

ที่อวลมาคละเคล้า
เร้ารึงรัดร้อยใจเขาอย่างที่สุดในเวลาเดียวกันในดวงใจ
ให้หอมหวานหอมห่มบ่มรักราวกับจะหลอมละลายละลนใจ


นาทีในโลกมืด 
ช่างแสนช้าทว่าแสนงาม
เมื่อมีมือเธอนวลนุ่มคอยจับจูง เขาไว้
ราวสายแสงแรกแห่งตะวันสว่างนะกลางใจกลางไพร


แล้วนาทีนี้ 
คนดี..ดวงใจของเขา
ก็คอยส่งเสียงสัญญาณหวานแว่วแผ่วมา

เอาละค่ะ...
ฉันจะเปิดตาคุณนะคะ 
ค่อยๆปรับสายตาพาสายใจให้ชินนะคะ ไม่ต้องรีบร้อนนะคะ



เขาค่อยๆกระพริบตาขับไล่ความมืด
และ
ปรับนัยน์ตาให้ชินกับแสงสว่างรำไรๆรายรอบ
ที่กำลังทอทอดลอดโลมไล้
มาพร่างพราวรายรอบร่างอรชรในยามอาทิตย์เริ่มสาย
เหนือปลายไม้ 


และ
จับที่ร่างสล้างของเธอ
ราวนางไม้ถูกล้อมรอบกรอบด้วยสายแสงทาบอาบทอ
ละออโอบร่างนวลจนละมุนราวทองทาทาบอาบไล้
อย่างเรียวรุ้งพร่างแพรวพรายพรรณราย
งามจนเกินบรรยายได้


และนั่น
ถัดไปในกรอบตาเบื้องหลังเธอ 

ที่มีโรงนาเก่า ในท่ามเงาไม้วูบไหว
ไม้ใหญ่ร่มครึ้มแผ่คลุมสานใบโอบล้อมจนเป็นวงโค้ง

ราวกระท่อมเล็กในป่าใหญ่ 
ในเรื่องของลอร่าอิงกัส์ล ไวเดอร์ที่เขาชอบอ่านมานานปี


ที่ทำให้ลมหายใจเขา
ราวกับจะขาดห้วง
ด้วยความมหัศจรรย์ใจ....ในสิ่งแสนงามยิ่งใหญ่!!!!

หากทว่าให้ความสงบงามแบบดิบเดิมตรงหน้า

เพราะ...!!!!!
เยื้องโรงนาไปทางซ้ายคือบึงกว้าง
ที่บัดนี้มีดอกบัว...
ดอกไม้..ที่ทั้งเขาและเธอ
แสนรักผูกพันพันผูกร่วมกันมานานปี 

ที่ ณ..บัดนี้กำลังบานพราวนับพันๆดอกสะพรั่ง
จนให้กลิ่นเกสรแสนจรัสจรุงใจไหวกรายพรายพร่าง
มากับสายลมอ่อนอุ่นละมุนใจเสียเป็นยิ่งนักแล้ว


และ
อีกด้านคือ
นาข้าวที่ทอดยาวราวพรมแพรผืนใหญ่ไปจนสุดเชิงเขา

และ
กับหลังบ้านหากตาเขาไม่หลอก
คือสายน้ำเจ้าพระยา
ที่กำลังไหลระริกระรินช้าๆ
เลื้อยผ่านอ้อมโค้งคุ้งเลี้ยวลัดไปตามแนวไม้น้อยใหญ่


ที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างไม่อยากเชื่อสายตาเลยว่า
ณ..นาทีนี้ วิมานวนา วิมานในฝัน
กำลังพลันมาปรากฎตรงหน้าเขาในหล้าโลก
อย่างมิได้หลับตาฝันไป

อย่างที่ดวงใจเขาเรียกร้องต้องการมาตั้งแต่ยามเยาว์
ที่จะมีเพียงกระท่อมทับหับห้องเล็กๆสักหลัง
ไว้สร้างฝันสร้างหวังหวานราวรังรักในจินตนาการ


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html

พี่ฝันจะสร้าง รังรัก สักหนึ่งหลัง
ณ ริมฝั่ง เจ้าพระยา อยู่อาศัย 
แม้ฝันของพี่ ไม่เกิดมี อันเป็นไป 
สองชีวี เราคงได้ ร่วมเสน่หา
รังรักในจินตนาการ 
วิ มาน รักอันบรรเจิดจ้า
ริม หน้าต่างปลูกซุ้มลัดดา 
ห้องนอนสีฟ้า ติดม่านชมพู
ความ รัก เป็นมนต์ดลใจ
ฝัน ไป พลังใจ ต่อสู้
คอย พี่หน่อยเถิดนะโฉมตรู
มินาน จะรู้ รังรักอยู่แห่งใด
รังรักริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา
สุขตราฝังตรึงซึ้งอยู่ในใจ
แม้ความฝันพี่เป็นจริงได้
พี่จะให้ชื่อว่า รังรักอนุสรณ์
ความ ฝันเป็นจริงวันใด 
หัวใจพี่จะบินว่อน คอย พี่ก่อนไม่ช้าบังอร
แม้ใจไม่ร้อน แน่นอนเราได้สุขสันต์...



เขาเดินเสมือนคนละเมอเพ้อ
ไปที่บึงบัวที่มวลหมู่ภมรภู่ผึ้ง
กำลังคลึงเคล้ากลางกลีบเกสรเพื่อดูดดื่มลืมตนกันน้ำหวาน
และ
นั่นตระการสีจากปีกผีเสื้อพรายพร้อยพร่างนับร้อยนับพัน
ที่กำลังร่ายฟ้อนอ้อนอวดลวดลาย
ราวแข่งขันประชันกันเองมิเกรงผู้ใดเกรงใครแอบมอง


เขา..งงงันงุนงง 
ราวหลงมาในป่าสีผีเสื้อสวยกลางทุ่งนา..
ที่หอมระรวยด้วยรวงเรียวสีทอง
ขนาบข้างไปกับท้องร่องบึงกว้าง
และ
ราวกับว่าเจ้าพระยาคือสายน้ำเนรัญชรา
หรือ
สายน้ำจากแดนดินแห่งฝันสวรรค์สรวงจากป่าหิมพานต์ในยามนี้


ที่พาให้น้ำตาจากปิติใจอิ่มใสดวงงาม
ที่หวังรอมาพบพานวิมานวนามาแสนนานได้กลายเป็นจริง

ที่เขาเฝ้าฉงนใจ 
เพราะเธอคนใกล้ร่างใจ
ได้บอกใบ้ว่าจะทำเรื่องตื่นเต้นให้ในวันเกิด

ที่เขาแค่คิดว่าเลิศสุดแล้ว
แค่ได้มาใช้ชีวิในท่ามทุ่งนาดูฟ้าแสนสวย
และขี่จักรยานไปด้วยกัน
มาปันพลีความเงียบงาม
อย่างคนรู้ใจกันที่ฝันเคียงคู่มานานปี


ที่เขาเคยเผยใจกับเธอเพียงคนเดียว
ที่อยากมีชีวิตใช้ชีวิตในบั้นปลายเช่นไร
ให้หัวใจดวงใสงามรักความสมถะพอเพียง
ได้เกี่ยวเก็บเพียงความงามแบบธรรมชาติ


ได้มีนากว้างมิร้างรัก
ให้เขาได้ถอยหลังกลับไปสู่อดีตยามวัยเยาว์ 
ยามลงนาไปกับแม่พ่อพี่น้องพร้อมหน้ากัน


และ
ในยามสายัณห์หลังเสร็จงานนา
ก็จะพากันมานั่งหลบแดดใกล้ลอมฟาง
มานั่งเคลียกลิ่นหอมหญ้ากลิ่นฟางใหม่

กลิ่นเหงื่อไคลแม่พ่อที่เขากลับไม่เคยคิดรังเกียจ
หากมาจากหยาดเหงื่อ
ที่แสนให้ความรู้สึกแสนดีแสนอบอุ่นอ่อนโยน
เมื่อย้อนรอยถอยหลังรำลึกไปในวัยวันนั้น


แม่..พ่อ  ผู้มิท้อต่อความยากไร้ ทุกข์ทนแบบคนรักนาคนทำนา
ขอแค่..
ได้ล้อมวงกินข้าวกันพร้อมหน้าครอบครัว
อย่างเอร็ดอร่อย
แม้นจะห่อใบตอง
รองมามีเพียงกับข้าวผักปลาพื้นบ้าน

หากคือใช่ฝืมืออื่นใคร 
เป็นฝืมือที่ใช้ดวงใจแห่งรักหุงหามา
ด้วยน้ำพักน้ำแรงจากเทพีไพรในดวงใจของเขาเอง


นาทีนี้...
แม้นดวงใจ เขายังสับสน
กับที่มาที่ไป

หากเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า
เงินทองที่เธอและเขาร่วมกันเก็บหอมรอมริบ
เพื่อรอเวลารอท่าทำฝันให้พลันเป็นจริงนั้น


เพื่อได้มามีวิมานดินวิมานนาเคียงธรรมชาติไพร
และ
ขอฝากเพียงบทกวีรจนาจากดวงใจที่แสนสวยใสแสนงาม
พลีดับร้อนโลกและผืนดิน


และ
หวังมีชีวิตติดดินเคียงนา
ได้อุทิศลมหายใจจนกว่าจะสิ้น

เป็นเพียงครูบ้านนอกในสังคมเล็กๆ
ที่เขาหวังจะเพียรถ่ายทอดต่อยอดทางความคิด
ผลิผลิตเด็กไทยในวันนี้ที่วัยยังเยาว์ 


ให้มิเขลา...มิลา..มิถอดใจ..ทอดทิ้งวิถีเกษตรกรรมไทย

ที่คืออารยะธรรมแห่งแผ่นดิน
คือรอยทางธรรมทางทองทางแห่งธรรมชาติ
แห่ง...
*แดนดินด้ามขวานทองแดนไทย*ให้เรามีนวลใจดวงใจ
แสนภาคภูมิ รู้รักความสงบงาม
ในท่ามเชี่ยวเกลียวกระแสโลกร้อนระอุ


ที่กำลังคุโชนด้วยไฟสงคราม 
สยบนิยามลมลม...มิงมตามประเทศอื่น 

เพียงสำนึกรู้ฟื้นพัฒนาสังคม
ให้เรียนรู้รักษ์รู้คุณค่าธรรมชาติ 
ดินน้ำลมไฟ  มวลธรรชาติรายรอบ อย่างชาญฉลาด


มิให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน
สิ้นวิถีเกษตรกรรมมานานนับพันปี
ที่จักดำรงธำรงไทย

ให้มีกินปลอดภัยไปรอด
ยิ่งกว่าไปพึ่งพิงพึ่งพาสิ่งใด..ที่กินเข้าไปไม่ได้ 
ที่ยามไร้น้ำมัน..
ทุกโรงงานผลิต..ก็สิ้นท่าไร้ค่า
ราวเศษเหล็กขยะมาวางกองสุม

ให้เรารู้ให้เกียรติชาวนารู้ค่าควายไทย..
ไปตราบกาลนานที่ควรคู่บ้านคู่เมืองเรา


เขา..เบือนหน้าแหงนเงยมองดูฟ้า
เพื่อซ่อนหยาดน้ำตา
ที่กำลังรอเวลาพร่างริน


น้ำตาลูกผู้ชาย
แห่งความปิติ
ที่กำลังอยากเททอดถอดใจ
อยากทรุดร่างลงไปวางแทบเท้านางใจ
 แล้วซุกซบกับอ้อมตักอ้อมใจร่ำไห้..อย่างมิอายฟ้าดินมิอายใคร


เพราะเธอคือ
สาวชาวดินชาวป่า
ที่เข้าใจเขายิ่งกว่าใคร...ราวมีหัวใจหลอมมาจากดวงเดียวกัน

เธอคนดี
ที่รู้ค่าคนค่าเขา
จากจิตดวงใสใจดวงให้ดวงอัญมณีไพร
ใจดวงงามดวงดีของเธอ
ที่ราวมีเกราะใส คอยกางกั้น
มีสายธารธาราขวัญ
สายน้ำนิรันดร์คอยพร่ำบ่มห่มหอมให้ห้องหัวใจ


เธอ..คงรู้ใจเขาดี...นาทีนั้น
เธอจึงพลันผันร่าง
มาชิดเคียงข้างตรงหน้า...พร้อมตาสบตานิ่งนาน
จนเขาเห็นหยาดสายหวานปานน้ำผึ้งรวง
ด้วยแรงรักภักดีพร้อมพลีจะรินร่วง


เขาอ้าแขนโอบกอดแม่ยอดรักมิ่งมิตรแนบแน่น
แทนใจสวามิภักดิ์ทั้งดวง
พร้อมกับที่น้ำตาลูกผู้ชายเริ่มรินร่วงหยาดริน
ไปกับริมเรียวแก้มหอมงาม
ในท่ามอ้อมแขนแห่งรักยิ่งกว่ารัก


เธอ...กระชับโอบกอดเขาตอบ
พร้อมคำกระซิบ
ดีใจมั้ยคะ 

วันนี้ฝันคุณได้เป็นจริงเสียที
ฉันจะได้หมดหน้าที่ห่วงใยห่วงใจคุณ


หากวันไหนฉันตายไปก่อนคุณ
ฉันคงนอนตายตาหลับ

มิพักเกรงว่าคุณจะบ่นทดท้อ
รอเวลารอท่าทำความฝันให้เป็นจริงทิ้งไว้นานไปนานเช้า
ให้ยิ่งเหน็บหนาวในดวงใจจนอ่อนล้า

ให้ไฟฝันสลายลามลายหายไปมิมีวันสิ้นสุด


ขอให้คุณรับรู้นะคนดี
ที่ชั่วชีวาชีวีนิดหนึ่งน้อยนี้
ฉันยินดีพลีใจได้ทำสิ่งแสนดีร่วมกันได้สานฝันร่วมใจ
จนถึงนาทีนี้


ที่มิอยากให้..อยากเห็นหัวใจ
ลูกผู้ชายชาติไพรชายชาวนา
ที่เติบโตมากับวัยเยาว์แสนงาม
ในท่ามทุ่งเขียวเรียวรุ้ง
ได้แตกยับดับไฟผันพลันพร่าง


เพื่อรอวันให้คุณแผ้วถางหนทางแห่งศรัทธา
ฝากไว้คืนโลกหล้าก่อนที่เราสองจะลาพรากไป
มิยอมพ่ายโลกศิวิไลซ์วัตถุ


เพียงเพียร
ให้ผองชนได้รำลึกรู้ตระหนักชัดถึงธรรมชาติ
ที่โลกกำลังจะหมุนกลับ

ให้ทุกดวงใจไหวรับให้ทัน
อย่าให้ฟ้าดินพลันหวน
มาลงโทษพิโรธลงฑัณฑ์ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนหนาวเหน็บในดวงใจเลย


มาคนดี 
ไปดูภายในกัน
ที่ฉันเพียรทิ้งฝาผนังให้แสงทอทอดลอดร่องไม้ราวกระท่อมเก่า
ใกล้ผุพังบังตาไว้ให้แปลกใจเล่น

ทั้งๆที่ภายในได้ออกแบบซ้อนทับ
ด้วยกระจกใสไว้แทบทุกจุด


คุณเห็นมั้ยคะเหมือนโรงนาโบราณ
ที่ให้งามเงียบสมถะ
เพดานยังมีคร่าวโคลงขื่อไม้ 

และ
รายรอบราวมีพันธุ์ไม้ใหญ่ไกวกิ่งวิ่งเลื้อยเข้ามาเปลือยเขียว
ให้เลี้ยวลอดทอดลายงามบนพื้นผนัง
ยามแสงเงาพร่างมากระทบ
ให้วะวิบวับงามจับตาจับใจจังเลยค่ะ


คนดี เห็นเตาผิงเล็กๆมั้ยคะ
ที่ฉันให้ช่างก่ออิฐเปลือยเอาไว้
เพื่อจะได้จุดไฟหอมฟืนในยามหน้าหนาว
ยามจะนอนทอดตา
ดูเดือนนับดาวเกลื่อนฟ้าจากณ..ที่ตรงนี้


ฉันรู้ดี คุณชอบลอมฟางคอกควาย
ฉันจึงจัดผังวางไว้ ณ.ภายนอก..ตรงตำแหน่งสายตาคุณ

ให้หัวใจคุณได้หอมกรุ่นยามฝนพรำ 
ได้ฟังเสียงลูกควายร้อง
ได้นอนราวเคียงลอมฟาง
ท่ามคอกควายได้ชิดใกล้วิถีแห่งวัยวัน
อันแสนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่สุดแล้วนะ


และ
ยามคุณทอดร่างเอนหลังจากที่ตรงนี้
คุณก็จะเห็นแสงเดือนรำไรและ
ฉันกำลังหวังว่า
นานี้นั้นเราจะฟังเพลงเดือนต่ำดาวตกด้วยกันนะคะ



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html

เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องกลางดึก ดวงจิตระทึก
พี่นึกว่าเป็น เสียงเธอ
ผวา มองจ้องตามเพียงครู่
รู้ตัวว่าเก้อ ต้องกลับมาเพ้อ รำพึง
เงาไผ่หรุบหรู่แหงนดูเดือนต่ำ
น้ำค้างร่วงกราว 
ใจยิ่งปวดร้าว ยามไร้เธอเคียง คนึง
ความรักที่เคยชื่นทรวงใจซ่าน
หวานดังน้ำผึ้ง
แปรเปลี่ยนบึ้งตึงเหมือนเดือนเลือนลา
แม้ท้องฟ้าไร้
ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้ 
ไร้คู่ชีวี นอนแนบนิทรา
เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา
เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องครั้งใด
พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง
ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง
พบเพียงหมอนข้าง
แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน

แม้ท้องฟ้าไร้
ทั้งดาวและเดือนก็เหมือนพี่นี้ 
ไร้คู่ชีวีนอนแนบนิทรา
เหมือนคนไม่มีหัวใจ ได้แต่ผวา
เสียงลมพริ้วมานึกว่าเสียงนาง
เดือนต่ำดาวตกเสียงนกละเมอ
เผลอร้องครั้งใด
พี่แทบคลั่งไคล้คิดถึงทรามวัย มิวาง
ผวากายหมายโลมเนื้อเกลี้ยง
พบเพียงหมอนข้าง
แทนที่แม่นางน้องเจ้าเคยนอน...
..............



ในยามอุษาฟ้าสาง
ที่ดาวประกายพฤกษ์ยังพร่างแสงทอฟ้าสุกสกาวพราวใส

ให้หัวใจได้ไหวหวาน
รับทิวาหวามหยาดน้ำค้างไพร
ได้ยินเสียงนกไพรละเมอ
ได้เดินเผลอออกไปย่ำหยาดน้ำค้าง


ในท่ามทุ่งกว้าง...
ยามฟ้าเริ่มอรุณเรื่อราง ดุเหว่าแว่วแผ่วหวาน
ผ่านดงกอไผ่ไกวเซาะละเมาะแมกไม้ไทยนานา

มากับสายธารลำประโดง
โค้งคดเคี้ยวเลี้ยวลอดเอื่อยเฉื่อยระเรื่อยระรินไหล


ให้คุณได้กระชับเสื้อหนาวไปสุมไฟตามคอกยามเดือนเพ็ญ
ให้แม่แลลูกควายสองตัวแทนรักแทนใจเราราวแฝดได้อุ่นไอ

ก่อนจะได้อวลกลิ่นหอมกรุ่นของดวงดอกไม้ไทย
ที่จะผลิกลีบกรายรอรับหยาดสายน้ำค้าง
ดั่งน้ำผึ้งพระจันทร์ให้สดฉ่ำนะกลางเกสรแห่งใจ


ให้คุณได้แบ่งเด็ดทนุถนอมอย่างเบามือ
เพื่อนำกอบกำกลับมาเสียบไว้ในแจกันดินเผา
บนโต๊ะไม้นั่น 


ที่ฉันสั่งทำจากไม้บานประตูเก่า 
มิให้เหงาหากแสนงามท่ามดวงดอกไม้รายรอบวิมานดินวิมานนา

ณ..ที่แห่งนี้ ที่จะออกดอกทั้งปี
ให้คุณได้สับเปลี่ยนเวียนชม
มาระคนอวลแกล้ม
ยามคุณรจนางานงามบทกวีงามๆ


และนั่นตะเกียงทองเหลือง
ที่ใช้แสงเทียนทองแทนจะวางแทนโป๊ะไฟ
ที่คงให้อารมณ์ไสวไฉไลกว่ากันเยอะเลยค่ะ


มาสิคะ ลองมานั่งตรงนี้ 
ที่โต๊ะตัวนี้เห็นมั้ยค่ะ 

ที่ฉันแขวนโคมเทียนทำเอง
แทนโคมแชนเดอร์เลียแพงแสน
ตามแบบอย่างคฤหาสน์มหาเศรษฐีมีเงิน
ที่ให้งามพอกันหากเราพอใจ 


ที่ฉันใช้เพียงเชือกมนิลา
มาถักร้อยห้อยแก้วเอาไว้
และ
มีชามอ่างใสไว้ใส่พันธุ์ไม้ดอกไม้เลื้อยให้
หอมระย้าระยับอย่างเล็บมือนาง ลีลาวดี ลำดวนดง


ฤาแม้นกระทั่งปีบ
ที่มีช่อกลีบกรีดกรายสยายย้อยห้อยพันพร่าง
เลื้อยพันพรายสยายลงมาอย่างสวยด่วยเคล้าแสงเงา
พร้อมด้วยหอมจับใจเลยทีเดียวเชียว


คนดี 
แล้วนั่นคอกควายน้อยแสนรัก
ที่จะให้คุณได้พักตาพักใจ

แล้ว
ทำให้นวลใจคุณแสนอ่อนโยนยามแลเห็น
ที่จะพาให้สายตาสายใจของคุณ
ยิ่งเย็นใสด้วยน้ำใจมากล้นเมตตา
ที่คุณแสนรู้ค่ารักเขา
ราวมิ่งมิตรมาชิดใกล้มาเคียงใกล้ 

ซึ่งดีกว่าคนที่หากร้ายก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์ป่าเสียอีก



คนดี..ฉันจะพาคุณไต่บรรไดแขวนขึ้นมา
ที่ออกแบบแสนธรรมดาเรียบง่าย
เพียงสนองใช้ประโยชน์ยามต้องการความสงบลำพัง



ณ..ห้องพระใต้หลังคา 
ยามคุณอยากฝึกสมาธิภาวนา
ให้แสนสงบงามในท่ามพระพุทธรูปปางสุโขทัย
องค์โต เพียงองค์เดียว 



เห็นมั้ยคะมีมาลัยเกลียวมงคล
วางพลีถวายเป็นพุทธบูชาค่ะ
ก่อนหน้าที่คุณจะพาคุณมาฉันเตรียมไว้ค่ะ 



และ
หวังทุกคืนค่ำ  
หลังนอนฟังเสียงสายน้ำนิรันดร์ระรินริมฝั่ง
ดูดาวเดือนจนหนำใจ
คุณคงมานั่งสวดมนต์ภาวนา
ณ..ห้องพระแห่งนี้



ที่มีเพดานใสสกาวพราวพร่าง
ไปด้วยดารารายพรายแสงจรัสจรุง
ราวมีมือนางฟ้ามาหว่านโปรยไว้ในท่ามผืนฟ้าสีกำมะหยี่ 
ที่จะขับราตรีให้แสนสวยยิ่งกว่าวิมานแมนแดนฝันสวรรค์สรวงเสียอีก



ด้วยรวงดาวนับพัน
จะพากันกระพริบตาล้อพ้อพร่าง
ราวรอเวลาจะร่วงลงมาประดับใจก็มิปาน
ให้เห็นเวิ้งงามแห่งอนันตกาล
อย่างบทกวีบันดาลใจ
จากท่านอังคาร
ที่รจนาฝากพลีไว้กำนัลแด่โลกหล้าฟ้าสยามนามแสนสวยนี้เอาไว้


คนดี..
และ
นั่นคือที่นอนคุณฟูกสีขาวธรรมดา 

ที่มีตั่งเตี้ยไว้วางหนังสือธรรมะดีมีค่า..ยามคุณจะอ่าน
โดยใช้แสงดาวพราวพร่างกระจ่างแจ่ม
แกล้มไปกับแสงเทียนทองส่องนำทางใจไปตามหาเส้นทางทอง


และ
ดูสิคะ
มีกระจกเงารายรอบห้อง
ให้คุณถูกจ้องมอง
ด้วยเดือนดารา
และ
ดวงดอกไม้ไพรที่จะพากันไหวกิ่งฝัน
มาเคลียเคล้ามาเคลียใกล้มาทายทัก
ยามร่างคุณเอนอิงหมอนขวาน
นอนพักตาพักใจราวอยู่ในไพรพงดงพนา


มีแมกไม้ทุกพันธุ์หอม
ที่จะหลอมละลายใจ

โดยเฉพาะลีลาวดี
ที่ฉันนี้เลือกให้มาฝากใจอ้อนกล่อมคุณ
ให้หลับฝันดีในทุกราตรีถึงริมที่นอนเลยค่ะ


คุณดูให้ดีสิคะ 
มีพันธุ์ไม้ที่คละสีสันดอกดวงนานาพันธุ์
ทั้งสะพรั่งแดงแรงร้อนของหางนกยูง
ทั้งราชพฤกษ์หรือคูนเหลืองพราวราวสายฝนสีทอง



แล้ว
ไหนจะชมพูพันทิพย์ดอกชมพูพราวหวานตระการช่ออมม่วง
รวงดอกแสนบอบบาง
และปีบหอมพร่างจนบีบใจให้แสนไหวหวั่นวาบหวาม
ในงามง่าย

และ
ทั้งหมดนั้นี่คือม่านฝันหลากสีสันจากหวานดวงพวงดวงดอกไม้
ที่จะพากันประชันขันแข่งแย่งกันเอาใจคุณค่ะคนดีที่รัก


เป็นดั่งม่านมนต์ขลังฝากฝังเสน่หา
ให้ชิดใกล้นัยน์ตาพางามใจให้เราทุกนาที
ราวมีมือนางไม้นางไพรที่ไหนมาค่อยจัดแต่งไกวไหวรอ
ให้เราได้พ้อชมภิรมย์รื่น...ชื่นใจเสียไม่มี


และ
เพื่อพลีทุกนาทีแห่งลมหายใจนี้ที่แสนดีแสนงาม
สร้างสรรงานฝันปันพลีแด่ผองชน

ก่อนตะวันแห่งดวงใจเราสอง
จะถึงเวลาหรี่แสงลับดับไปอย่างไม่เหลือร่องรอยใดฝากไว้

นอกจากความดีค่ะ คนดี ค่ะดวงใจ...!!!!

***************





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html

กลิ่นโคลนสาบควาย

อย่าดูหมิ่น ชาวนาเหมือนดั่งตาสี
เอาผืนนาเป็นที่ พำนักพักพิงร่างกาย
ชี วิตเอย ไม่เคยสบาย
ฝ่าเปลวแดดแผดร้อนแทบตาย
ไล่ควายไถนาป่าดอน
เหงื่อรินหยด หลั่งลงรดแผ่นดินไทย
จนผิวดำเกรียมไหม้ แดดเผามิได้อุธรณ์
เพิง พักกายมีควายเคียงนอน
กลิ่นโคลนสาบ ควายเคล้าโชยอ่อน
ยามนอน หลับแล้วใฝ่ฝัน
กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว
แห่งชาวบ้านนา 
ไม่ลอยเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์
หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน
กลิ่น กระแจะจันทร์
หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา
อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า 
เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา
บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย

อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า 
เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา
บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย...
				
21 มิถุนายน 2548 21:33 น.

น้ำค้าง..!

พุด



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html(รังรักในจินตนาการ)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song219.html(เดือนต่ำดาวตก)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html(กลิ่นโคลนสาบควาย)




น้ำค้าง

น้ำค้างพราววาวแววรับเรียวแสง
เรียวแดดแรงโลมใล้คล้ายปลุกฝัน
มวลดอกไม้สยายกลีบรับตะวัน
น้ำค้างขวัญพลันมลายหายวับไป
ดอกไม้หวานบานกลางไพรรอฟ้าสาง
หยาดน้ำค้างแตะแต้มแกล้มกลีบไหว
ดอกไม้เอ๋ยเจ้าได้เชยชุ่มฉ่ำใจ
อย่าเสียใจรอเวลาท้าอรุณ
กลางสายฝนลมแรงแกล้งกลีบเจ้า
ให้รานร้าวชอกช้ำขวัญว้าวุ่น
แต่ไม่นานดอกหนาได้ละมุน
หยาดพิรุณแพรวน้ำค้างพร่างพริบพรายใต้เงาจันทร์กับฝันดี....



				
15 มิถุนายน 2548 11:12 น.

ศรีตรัง..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
(บัวกลางบึง)


ศรีตรัง..ชื่อศรีตรังค่ะ

และเวลาศรีตรังถูกขานชื่อ
ไม่ว่าอยู่ณ..สถานที่แห่งหนตำบลไหน

ทุกคนก็มักจะหันมามอง ศรีตรังเป็นตาเดียวกัน
ด้วย
เหตุแห่ง*ชื่อนั่นสำคัญฉะนี้*
ที่แสนเแผกพิเศษพิสุทธิ์
ที่ศรีตรังแสนภาคภูมิใจ



ศรีตรัง..
เคยสงสัยถึงที่มาที่ไปของชื่อตัวเองเฉกเช่นกัน
และแอบแอบถามแม่ 

ที่แม่จะคลี่ยิ้มสวยสวยอย่างอารมณ์ดี
และ
เอามือชี้ๆไปที่ต้นไม้รายรอบเรือน
ที่สูงสักประมาณสิบเมตรได้..



และ
ให้ช่อดอกม่วงละมุน..
กลีบบอบบางอรชรแสนอ่อนหวานนุ่มนวล
ด้วยรูปดอกราวแตร
และ
จะมีเพียงกลีบดอกหนึ่งที่จะพับลงมาคล้ายปาก



และ
มีขนหนานุ่มปกคลุม
จะคลี่สยายกรายกลิ่น..
หอมหวานละมุนมากในยามอากาศเย็น

ทั้งยังเป็นไม้ดอกสลัดใบร่วงกราวยามพบแล้งไร้

ที่จะพลีผลิฝากดอกไว้
ตั้งแต่หน้าหนาวปลายปีธันวาคม
พร่างพรายพรมหอมไปจนถึงเดือนเมษายน ซึ่งยาวนานมาก




ต่อมาศรีตรัง ก็ทราบว่า

ต้นไม้ชนิดนี้ที่ราวคู่บุญบารมีคู่ชีวีชีวิตศรีตรัง
ที่ศรีตรังรักแสนรักราวมิ่งมิตร

ทั้งยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดตรัง 
กับทั้งยัง
เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกด้วย



ตอนเด็กๆ 
ศรีตรังเคยเบื่อชื่อตัวเองอยู่พักหนึ่ง

เมื่อเพื่อนๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
มิได้หวังเจตนาเบียดเบียน
ว่าร้ายกรายกล้ำศรีตรังให้เจ็บช้ำน้ำใจ

เพียงแค่แกล้งๆหยอก
แกล้งออกเสียงชื่อศรีตรังให้เพี้ยนๆไปเป็น*ขี้มูกกรัง*




ซึ่งมาวันนี้ 

ยามย้อนรำลึก
นึกไปถึงทุกเรื่องราวแห่งความทรงจำ
ใน วัยวันไร้เดียงสา

แสนพาให้นวลเนื้อใจศรีตรัง
แสนอบอุ่นอ่อนโยน 
กับเพื่อนๆไกลปีนเที่ยงเสียเป็นยิ่งนักแล้ว



ที่ได้เกี่ยวก้อยร้อยรัดรัก
รู้จักผูกพันกันมาอย่างยาวนาน 
ผ่านรุ่นปู่ย่าตายายลูกหลาน

และ
รู้แม้กระทั่งแม่พ่อ บ้านอยู่ที่ไหน
แบบแทบเข้านอกออกในไปขอข้าวกินได้แทบทุกบ้าน



และ
ยังคงสายสัมพันธ์แบบพื้นบ้านวิถีไทย
ที่ยังแสนโอบเอื้ออารีมากมีมีน้ำใจแบ่งปัน
มิหันหลัง ต่างตัวใครตัวมัน
แบบสังคมเมืองเรืองรุ่งริ่งแบบทุกวันนี้

ที่..
บางแห่งห่างตากันแค่รั้วกั้นกลาง 
แต่หาได้มีเวลาหันหน้ามามองกันก็หาไม่



ในยามนั้น ......
ยามที่ถูกเพื่อนล้อ 
ด้วยดวงใจอ่อนเยาว์ที่ยังแสนเขลา
จะร้องไห้ไหวหวั่นหวั่นไหวไป*ตามคำเขาว่า*

ต้องหันกลับไปพ้อแม่..ว่า..
ทำไมถึงตั้งชื่อให้แสนพิศดารพันลึกแปลกประหลาดอย่างนี้



และ
แม่คนดี..ก็จะเพียรเฝ้าปลอบประโลม
อย่างใจดีอย่างอารมณ์เย็นว่า

อย่าให้ถือสาคำพูดใคร 
จงให้อภัยเมตตา

คิดเสียว่าคำพูดคน*ก็คือลมลม
ไม่ว่าลมชมชื่นหรือลมให้ร้าย
ก็จงอย่าหมาย
ไปยึดมั่นถือมั่น จงให้ผันพัดผ่านไป
อย่านำมากักเก็บไว้ในใจให้โศกรานให้เศร้านาน



และ
จงเพียรเพียง
*รักษาใจดวงใสดวงงามของเราให้งามที่สุด

ให้รู้หยุดโกรธ 
และทำใจให้มิไหวหวั่นหวั่นไหว

เพราะในโลกกว้างทางไกลนั้น 
ยังอาจจะพบสิ่งดีร้ายมากมายนัก
ที่จักต้องกล้าหาญเข้มแข็งอดทน 



และเป็นดั่งพลัง
ทดสอบให้เราเรียนรู้ในการเข้าใจกมลคน

ที่มักหมุนวนคอยจับผิดผู้อื่น 
มิหยิบยื่นเมตตามากน้ำใจ
และ
เราเอง
จงอย่าไปคิดตัดสินเพื่อนมนุษย์ผู้ใด
อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผู้ที่คงมีงามพราวหวานคนละด้านคนละดี
*ผู้ที่คือดั่งมิ่งมิตรน้องพี่*
ร่วมโลกเดียวกันทั้งสิ้นทั้งนั้น

อย่าไปคิดพิพากษาใคร
หากยังไม่รู้ที่มาที่ไป

เพราะ
ตัวเราเองนั้นไซร้ก็ใช่สัพพัญญู
ผู้ที่จะหยั่งรู้ฟ้าดินรู้ใจใคร ใครไปเสียสิ้นเสียหมด

มิใช่ดั่งกระจกหกด้าน
นอกเสียจาก
เพียรเพ่งพินิจเพียงมองจิตวิญญาณภายในตัวเอง
เพื่อพัฒนาตัวเอง

ให้คิดดี พูดดี ทำความดี คบคนดี ไปในสถานที่ดี 
ก็จะมีแต่สิริมงคลคอยคุ้มเกล้าคุ้มกมล



อย่างที่หลวงตาเทศน์...ในโบสถ์คร่ำในทุกยามวันพระ

ที่คุณยายและเพื่อนๆชมรมวรรณคดีสัญจร
จะพากันไปรักษาศีลอุโบสถ

ในยามนั้นที่.
*ศรีตรัง*
จะเดินทูนกระเฌอใบน้อยน้อย
ร้อยสานถักสวยด้วยหวายละเอียด
จากภูมิปัญญาของน้ากอบแก้วเพื่อนบ้าน



ที่ณ.บัดนี้
ช่างหาคนสืบสานงานฝืมือแบบนี้ได้อย่างยากเย็น 

ศรีตรัง...ดอกนิด
จะติดสอยห้อยตามคุณยายไปวัดมิเคยขาด

มิประมาทกับการหลงทางห่างวัดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
ราวมีรอยบุญมาหนุนน้อมนำ



ได้มาพลีสร้างสมาธิภาวนาพาพบปัญญา
ที่จะค้นหาความสงบงามความสว่างสะอาด

ที่จะอยู่ในโลกแล้งไร้น้ำใจ
ให้พาพบปัญญาแสนสว่างพร่างใส

รู้ฝึกใจให้มีปัญญาเหนือดีร้าย..
ไม่คิดทำร้ายให้ร้ายไม่เบียดเบียนใคร



นอกจาก
เพียรมอบน้ำใจรักอย่างใสงาม

ให้อย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง..
อย่างมิสิ้นหวังหวาน

อย่างมิยอมท้อแท้แพ้พ่ายไปตามคำคน คำใคร
ที่อาจจะไม่รู้จักรู้ใจเข้าใจเรา

ที่คือคนคนคนวนวนวน
ว้าวุ่นวายวนวงอลหม่านอลวนเต็มม่านเมืองไปหมด




และ...ตราบใด

ที่เราจักจำต้องอาศัยโลกใบเล็กใบกลม

ก็จักพานพบระทมทอด
มาทดสอบจากกิเลสกมลของคน
ที่รายรอบตัวเราไม่รู้สิ้นรู้จบ  



ที่เราจักรู้หยุดได้
ก็ด้วยอาศัยหยาดน้ำพระธรรมน้ำอมฤตใส
มาคอยพร่างพรมห่มหอมใจ
ให้เมตตาอภัยลบลืมทุกเรื่องราว 

ไม่ยินดียินร้าย  ไม่เศร้าโศกเสียใจ
กับทุกข์ผัสสะมากระทบ...ให้นานวันฝันร้ายตาม..

ให้รู้ห่างรู้ถอย มิน้อยใจ.
หวังเพียงฟ้าดินอินทร์พรหมคงรับรู้
ด้วยเข้าใจ
ในน้ำใจใสหยาดเย็นแห่งเรานั้น
ก็เพียงพอก็พอใจ




และ...
ทุกสรรพสิ่งจักจบด้วยความ วาง ว่าง 
เพียรเพียงรักษาดวงจิตชีวิตเรา
ให้งามกระจ่างสว่างสงบเพียงลำพัง

ดับเมฆหมองหม่นมัวพายุแรงฟ้าสลัว.

ด้วยพลังธรรมแห่งงามปิติเกษม..นะภายใน..จิตใสของเราเอง

ให้โชติช่วงดั่งรวงแสงดาวราวแสนดวงในว่ายเวิ้งกาแลคซี่
ที่จะพลีพร่างรัศมีไสวฉ่ำเย็นชัชวาลย์ มิมีวันมอดดับ


เฝ้าพลี ดับร้อนเร่า
ในทุกดวงใจที่ได้มาเคียงชิดใกล้
ได้มารับหวังหวานพลังใจกำลังใจ
แห่งรักนิรันดร์ฝันพลีปันพลี
ดั่งมิ่งมิตรน้องพี่

ดั่งคำสาปสวรรค์แต่ปางก่อน
มาย้อนรอยจำมาย้ำรอยใจ..ให้ไม่แปร..
ให้รู้สัจจะธรรมชีวีที่แสนเที่ยงแท้แน่นอน 
ว่าเรามีเชิงตะกอนรอร่าง
มิห่างกันไกล สักกี่วันกี่เดือนปี..ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่



และ...จักไม่มีวัน..
ที่ใครจะล่วงล้ำก้ำเกินเข้ามาทำร้ายได้

เพราะเราดั่งมีเกราะบุญเกราะเพชร
คอยกางกั้นปกป้องดั่งร่มฉัตร
คุ้มผองภัยตราบไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์
.......................



และมาตรแม้น
ศรีตรัง..จะเติบโตมากับความยากไร้

หากรายรอบเรือน
ก็เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพรรณพื้นบ้านหลายชนิด



ที่ณ..วันนี้...ศรีตรัง..เริ่มเข้าใจแล้วว่า

ทำไมครอบครัว
ปู่ย่าตายายแม่พ่อศรีตรัง

จึงมีเรือนไม้ร่มรื่นมืดครึ้มด้วยพันธุ์ไม้ดั่งไพรพฤกษา



และ
ให้มีแต่เสียงนกกา
ที่พากันมาทำรัง

ไม่เว้นมวลหมู่แมลงภู่ผึ้ง 
มาร่อนร่ายกรายคลึงกลางกลีบเกสรบัวในบึง
เคียงวิมานดินวิมานไพร
*กระท่อมแสงทอง*




ได้มาอาศัยร่มไม้ใบบุญบังร่าง..
ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
แห่งโลกวัตถุศิวิไลซ์ 

*ที่หมุนไปหมุนมาชักมีแต่*ป่าปูน*ให้แสนอาดูรพูนเทวษ*

ให้โลกนี้ยิ่งนับวันแล้งไร้สีเขียว


ที่ราวไพรพฤกษ์
ให้ในยามดึก
ยังได้ยินเสียงดุเหว่าไพรแว่วหวาน

ให้จิ้งหรีดกรีดเสียงประสาน
เรไรร่ำคร่ำครวญครางหา..*ศศิวาริณ *
*สายแสงจันทร์จากสายน้ำรักแสนหวาน
ที่ปานประหนึ่งหยาดพรายจากธาราสวรรค์สายน้ำผึ้งพระจันทร์
............



และ
ราวอารัญไพรใน..แดนดินด้ามขวานทอง

ที่ยังมีป่าเขาเงาเงื้อมห้วยละหานลำธารใส
มี...วนอุทยานไพรหลากหลายชีวพันธุ์พืชที่หายาก




ที่ยัง
สามารถนำมาใช้
*เป็นสีธรรมชาติในการทอผ้าพื้นบ้าน*
อันคือ*งามละเมียด

ที่จักสะท้อนถึงวัฒนธรรมวิถี
ชีวิตสังคมและสิ่งแวดล้อม
มาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคนอายุขัย


ให้ยังคงค่าค้นหาค้นพบ
ไม่เพียงเพียรแต่ได้ภูมิปัญญา
ในเรื่อง..*พืชพันธุ์ที่ให้สีธรรมชาติ..*คืนกลับมา



เหล่าช่างทอ
ที่หันมาหาสีธรรมชาติยังเกิดความภาคภูมิใจ

ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสืบค้น
และการสานต่อภูมิปัญญาที่มีมาแต่ดั้งเดิม



และ...
ที่สำคัญ
คือพวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่าง
และ
ความหลากหลาย




*ใต้กฎกติกางามเงาเงื้อมของสีธรรมชาติ*
ที่ฟ้าประทานพรให้มา

ที่สร้างสรรให้ในแต่ละท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา 
หรือริมทะเล 

ต่างก็มีสีธรรมชาติ
 *สีของโลก*
ให้มนุษย์นำมาใช้ได้ทั้งสิ้น



พืช
ที่ศรีตรังแสนทึ่ง
และ
เมื่อยิ่งได้มาศึกษาสาขาสิ่งทอและ

ได้อ่านบทความ
*จากคุณเจียนละออ ยอดนักเขียนในดวงใจ*

ที่ได้พาไปสัมผัส ความงามยิ่งใหญ่
ในวิถีไทยพื้นถิ่นย่านบ้านเกิดเมืองนอนรังเก่าของศรีตรังเอง




ที่ทำให้ศีรีตรังพลอยได้รับรู้ข่าวสาร
ความงามที่สถิตตรึงตรารู้คุณค่างาม
อยู่ณ..บ้านภายใน

จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ยามวัยเยาว์
ในดวงชีวาของศรีตรังนี้
ที่นับตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาก็ว่าได้



กับ..*งามดวงใจใครเล่ารู้นี้*

ที่พลีภักดิ์ซ่อนซุก ทุกเรื่องราว
อันคือแสนหวานงามอะคร้าว
อย่างซาบซึ้งถึงบึ้งนวลใจ
ในรสชาติรู้สึก

ด้วยใช้เพียงดวงใจใสใสดวงนี้ร่วมดื่มด่ำรำลึก
ที่แสนประเทืองประทับใจ

ไปทายทักสัมผัสงาม
อย่างยากจะรำพันฝันฝากใคร
ให้เข้าใจได้อย่างละเอียดละออพอ




ขอเพียงแสนรักเอยแสนรักในกมล
ทุกงามวัฒนธรรมไทย..ขนบประเพณีไทย
ศิลปไทย..
งานผ้างานถักสาน งามแกะสลัก
ในทุกสาขาแขนง

อันคืองามกว่างาม
จากสมองสองมือนี้ที่แสนหยาบกร้านผ่านงานนา

หากทว่ายังมีพลังสรรสร้างโลกหมุนโลก
ดับแล้งไร้ จากมือที่สิ้นไร้ปูดโปนด้วยเส้นเอ็น
แห่งความเหนื่อยยากบากบั่นสู้ฝันสู้ทน



งานงามที่ถ่ายทอดถักทอ
มาจากพลังภูมิปัญญา จากความยากไร้
หากรู้คุณค่าการใช้ชีวิต
อย่างสงบงาม

อย่างพอเพียงอย่างเพียงพออย่างสมถะไทย
ด้วยหัวใจ ด้วยเลือดเนื้อและความรัก



ให้งามนักงามละมุนละเมียดให้
ทุกดวงใจได้สัมผัสที่จักร้อยรัดได้ด้วยใจต่อใจ

จนเกินจะหาคำกล่าวใดมาสรรเสริญ
คงเกินค่า   กว่าคำคารวะศรัทธา
และ
เกินค่าคำรักแสนรักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว





................


และ
ล่างนี้คือบทความของคุณเจียนละออ
กล่าวถึง*แม่สีในวิถีธรรมชาติในผ้าทอพื้นบ้านไทย*
ในวันนี้......



ที่ศรีตรังไม่เคยคิดเลยว่า
พืชสวนต่างๆนั้น
สามารถนำมาเป็นแม่สีธรรมชาติ
ในการย้อมมัดได้



เช่นสีเหลือง...
ที่จะได้จาก มะพูด ขมิ้นชัน ย่านขมิ้นฤษี
ย่านผ้าร้ายห่อทอง ว่านพระ



ส่วน...
พืชที่ให้สีดำต้นจิก ต้นเงาะ 
และมะม่วงหิมพานต์(หัวครก)
เปลือกต้นก่อ ลูกมะพลับ และใบจิกนา



สำหรับสีแดง 
ได้มาจาก ต้นชาด ต้นคำแสด 
และดินแดงและหินแดง
ซึ่งมีให้เห็นในงานจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์ในวัดโบราณ

และ
สีน้ำเงิน ได้มาจากย่านคราม ครามถั่ว ครามแดง(ฮ่อม)



และ
ที่บ้านเนินธัมมัง อ.เชียรใหญ่จ.นครศรีธรรมราช
ไม่ไกลจากบ้านศรีตรังนัก

ได้พบว่าการนำใบคุระมาย้อมบนเส้นฝ้ายจะได้สีดำสนิท

ส่วน
ต้นย่านมันแดง
ก็ให้สีเหลืองถึงสีเขียว..ซึ่งเป็นการพบสีธรรมชาติจากเขตป่าพรุ
ริมน้ำปากพนัง
ที่ยังไม่เคยได้รับการพูดถึงในวิถีดั้งเดิม



เช่นเดียวกับบ้านห้วยพุนที่สุราษฎร์ธานี

ซึ่งกลุ่มแม่บ้านไทยมุสลิมรุ่นใหม่
ที่รวมตัวกันทอผ้าฝ้ายยกดอกด้วยกี่กระตุก

ก็สามารถ
สร้างสรรสีธรรมชาติได้หลากหลายแปลกตา

จากพืชพันธุ์รอบตัวริมทะเลปากน้ำท่ากระจาย
ช่างทอได้สีแดงสวยจาก *ฝายจาก*และ
ตะบูนแดงส่วนสีเขียวสดนั้นได้จากใบสาบเสือ



ที่..*คีรีวง..*
ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำ
ในด้านการใช้สีย้อมจากธรรมชาติในภาคใต้

นอกจากเป็นแหล่งย่านครามและฮ่อม
ที่ให้สีน้ำเงินตามธรรมชาติแล้ว

ยังมี...
การทดลองนำพืช
*สวนสมรม*

(สวนที่ปลูกพืชผสมผสานกันหลายชนิด)
เช่นเปลือกลูกเงาะและเปลือกฝักสะตอ
มาย้อมสีให้ดำสร้างสีแดงครั่งผสมสีส้มแขกบนไหมเป็นต้น



บางอย่าง
ที่ช่างทอภาคใต้ค้นพบจากความพยายาม

*คืนสีธรรมชาติให้ผืนผ้า*นั้น
ก็เป็นการหวนกลับ
ไปหาภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เคยละเลยไป..



อย่างที่..
บ้านนาหมื่นศรี

ซึ่งยังคงสืบทอดการทอผ้า
ด้วยกี่พื้นบ้านทำให้ได้ผ้าที่เป็นเอกลักษณ์

*คือผ้า ยกดอกลายลูกแก้ว*
และ

*ผ้าลายชิงดวง*มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ

การย้อมเหลืองจากว่านพระว่า
ผ้าที่ย้อมจะได้สีเหลืองที่งดงาม
เมื่อผสมกับน้ำด่างขี้เถ้าต้นพริก รวมทั้งแก่นขนุนทอง
ยอบ้านและยอป่า



นอกตจากนี้ยังพบว่า
*นาหมื่นศรี*นั้น
เป็นแหล่งของ
*ย่านผ้าร้ายห่อทอง

ซึ่งคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ในชุมชน
เคยนำมาย้อมให้สีเหลืองและต้นมะเกลือซึ่งให้สีดำ



ส่วนที่ *ชุมชนบนคาบสมุทรสทิงพระ
*ซึ่งเป็นชุมชน..*คนขึ้นตาล*
อยู่ร่วมกับชุมชนชาวนา

และ
ชาวประมงพบภูมิปัญญา *ย้อมหมัก*
ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ผ้าพื้นบ้าน
มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทนทานขึ้น



โดยนำผ้าฝ้ายขาวทอมือเนื้อหนา
มาหมักแช่กับเปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ที่ตำละเอียด
อย่างน้อยหนึ่งคืนจนผ้ามีสีออกน้ำตาลไหม้

จากนั้น
*นำไปหยียบโคลนดินเหนียวหรือโคลนเล(โคลนทะเล)

และ
นวดผ้าให้เข้ากับโคลน
แล้ว
หมักผ้ากับโคลนหนึ่งคืน
ก็จะได้ผ้าย้อมดำจากการย้อมหมักมาใช้งาน



สำหรับกลุ่มชาวไทยมุสลิม
*บ้านท่ากระจาย

*ที่ยังรักษาสืบทอดการทอ*ผ้าไหมพุมเรียง*
อันลือชื่อก็ค้นพบสีธรรมชาติที่เคยเป็นภูมิปัญญา
ที่ขาดหายไปถึงสองชั่วคนคือ...*สีตะบูนแดงบนไหม*



บ้านท่ากระจาย
ยังมีผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

คือ*ผ้าซิ่นหน้านางไหมยกดอก*

ผ้าดอกจุ้ม(เทคนิคการจุ้มดอก
หรือยกดอกที่มีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่)
 และ
ผ้าขาวม้าราชวัตรโคม...
...........


ที่ภายในหนึ่งปี
ค้นพบมากมายจากสี*วิถีธรรมชาติ*

ที่พวกเขาเข้าใจถึงความแตกต่าง
และ
ความหลากหลายใต้กฎกติกาของสีธรรมชาติ..


ที่สร้างสรรให้ในแต่ละท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นป่าเขา หรือริมทะเล 
ต่างก็มีสีธรรมชาติ
 
*สีของโลก*
ให้มนุษย์นำมาใช้ได้ทั้งสิ้น
.......................




ศรีตรัง...รจนาเรื่องนี้
ด้วยซาบซึ้งใจ

และ...
ตั้งใจ
มอบพลีบรรณาการกำนัลแด่ทุกดวงจิตวิญญาณ

ที่ยังมีใจไหวหวามละเมียดละมุน
รู้ค่า รักงานงามผ้าไทยผ้าทอพื้นบ้าน



และ
ด้วยดวงใจใสงาม
ที่หวังด้วยใจ
ด้วยความรักปรารถนาดีมากมาย

อยากเห็นและให้กุลสตรีไทย
ได้หาโอกาสสวมใส่
และ
ช่วยกันรู้รัก..อนุรักษ์ไว้
เพื่อสืบสานเป็นดั่งตำนานแห่งแผ่นดิน




ที่ณ..วันนี้
มีแสดงนิทรรศการผ้าทอไทยจากภูมิปัญญาวิถีไทย
ที่แสนน่าจะภาคภูมิใจ ที่มิน่าจะให้ผ่านตา 
ที่ใกล้ๆพระที่นั่งวิมานเมฆ

ใครอยากไปสัมผัสงาม
อันมลังเมลืองจากสมองสองมือชาวนาชาวบ้านชาวไพร

และ
พาดวงใจใสใสไปซาบซึ้งซ่านเก็บเกี่ยวหวานงาม
ถึงวิถีภูมิปัญญาไทย 
*ในผ้าทอพื้นบ้าน*ที่งามตระการจรัสเจรืองจรุงใจ
ผ่านวันเวลา กาลเก่าก่อนย้อนยุคสมัย..



*ที่คือสะท้อนไทยสะท้อนทองจากเส้นทางสายไหมสายใยฝ้าย*

ให้ได้เคล้าคลึงใจ
ได้เคียงคู่คลอจิตวิญญาณทุกคนไทย
ให้คู่ใจคู่บ้านเมืองไปตราบนานเท่านาน




ก็จงอย่ารอช้า นะทุกคนดีทุกดวงใจ
แล้วอาจจะได้พบกับ...

*ศรีตรัง*
ผู้หญิงอ่อนหวาน
ที่รักเรื่องราวโบราณทุกราวเรื่อง

ซ่อนร่างในผ้าไหมไทยลายยกดอกพิกุลผืนงาม
จากช่างทอพื้นบ้านพุมเรียง..


พร้อม
ทัดดอกพุดซ้อนสีขาวเสียบริมแก้มแซมผมสยาย....
กำลังชมงานงาม
ด้วยน้ำตาซึมซึ้ง
ด้วยดวงใจแสนล้ำลึกด่ำดื่ม
อย่างแสนภาคภูมิ...ลำพัง..
..................
......................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง

อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ 
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด