22 สิงหาคม 2548 12:16 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html.........
เมื่อคืนนั่งดูไฟพริบพราว
เหนือม่านเมืองมนตรานามว่า*กรุงรัตนโกสินทร์*
เมืองที่มีที่ตั้งอยู่ริมลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ที่เห็นสายธาราทองไหลล่อง
ที่ในคลองฝัน..
ราวได้ย้อนยุคย้อนรอยถอยหลังคืนกลับไป
ในสมัยที่ยังเพิ่งอพยพมาตั้งกรุงธนบุรีใหม่ๆ
อย่างในฉาก..*เรื่องกำเนิดรัตนโกสินทร์..*
ที่บุญมาและสามสหายต่างพากันหนีตาย...!
พายเรือมาตามลำน้ำเจ้าพระยา
ที่ณ..นาทีนั้น...!!!!
เมื่อหันหลังกลับไป
ก็จะพบ....แต่ประกายไฟลุกโพลงฉายฉาน....!!
จับเหนือท้องฟ้าราวกลางวันก็มิปาน....
และ...
แผ่นดินอันแสนสราญร่มเย็นเป็นสุข
ราวกำลังถูกหลั่งชะโลมหล้า...
กลายเป็นสายธาราเลือด....!
มิสิ้นแดงเดือด...
ด้วยหยาดเลือดพลีบูชารักจากนักรบไทย....ต่อแผ่นดิน
ที่กำลังไหลรินมิสิ้นสาย.........!!!!!!
และ......
ด้วยหัวใจรานร้าวสลาย...
คล้ายมลายไปกับหยาดน้ำตาแห่งผู้แพ้...
ที่ไม่....แม้อยากแหงนเงยหน้ามองดูผู้ใด...ในปฐพี...!
ด้วยหัวใจแหลกสลาย....อายฟ้าดินราวธุลี..ไทย!
................
และ....
รำลึกนึกย้อนถึงวิถีแห่งผู้คน
ที่กมลเคยรักสงบเงียบงาม
ที่แม้นอาจจะยังขวัญเสียกับศึกพม่า
หากทว่า..
กลับมิยอมพ่าย....
ไม่ช้านาน
ได้เพียรพยายามที่จะกอบกู้ชาติ
และ
ไม่ยอมสิ้นชาติ..!...ขาดเมือง..!
หากทว่า
ได้ใช้ความกล้าหาญ
ที่แม้นดวงใจจะแสนเจ็บช้ำร้าวราน
ต้องพากันร่ำไห้...ระงมตรมทุกข์....ไปทั่วทุกถิ่นที่
กับการเสียทีสงคราม...
การพ่ายพม่า
การแตกสลายของกรุงศรีอยุธยา
ที่...
นำเอาความวิโยคโศกสะเทือน
มาเยือนอย่างยากจะเลือนลืม..ลบลา..
เป็นรอยแผล...
เป็นรอยพ่าย...
รอยไร้สิ้น..
ที่ต้องใช้พลังสามัคคีสมานฉันท์
จะต้องมีผู้นำอย่าง
*ลูกผู้ชายชาติทหาร...ชาตินักรบ*
ที่จะมิยอมสยบ ให้ผู้ใด...ได้เป็นเจ้าเข้าครองนาน
และ
นำบทเรียนนั้น
มาผลักดันสร้างเมืองใหม่
มาตรแม้นจะไม่มีวันเสมอเสมือนกรุงศรีอยุธยา
ที่เต็มไปด้วยยอดเจดีย์ระดะฟ้า
จนนกกาหาบินพลัดตกถึงพื้นได้ไม่
เพราะบ้านเมืองอันรุ่งเรืองไสวด้วยวัดวาอาราม
พระปรางค์ปรามณฑปที่นับทบยอดแทบไม่ถ้วน
อดีต..ผ่านไป
และ
เพียงเพียรนำมาสอนใจเตือนใจ
ให้ลูกหลานไทย
ได้ตระหนักชัด
ถึงความวิบัติหายนะ อันมาจากความประมาท
และไม่รู้รักสามัคคี ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ไม่สำนึกถึงภัยลึกอันแฝงเร้น
ที่รอวันรานรุก บุกโหมยามที่ไทยเราอ่อนแอ
และ
หมายยึดครองแผ่นดินแม่แผ่นพื้นพสุธาทอง แผ่นดินธรรม
อันคือความงามล้ำอุดมอนันต์ค่า
อย่างยากหาผืนดินไหนในโลกานี้เสมอเสมือน
และ
นี่คือ ...ปัจจุบัน
ที่โลกกำลังเฝ้าจับตามองด้วยความเป็นห่วง
ในสถาณการณ์ชายแดนสามจังหวัดภาคใต้
ที่...
เราทุกดวงใจไทยได้แต่มีหน้าที่เดียวคือ
ให้กำลังใจและเคียงข้างพี่น้องไทย
ที่หยัดยืน
ทำสิ่งถูกต้อง
มิให้ผองชนผู้บริสุทธิ์ได้ล้มตายไปอย่างไร้ความเมตตายุติธรรม
เรา
จักรวมใจทั้งหกสิบล้านดวงเข้าด้วยกัน
เพื่อสวดมนต์ภาวนา
และ..
เพียรตั้งจิตอธิษฐาน...
ให้ทุกหย่อมหญ้า
ในผืนดินไทย
มีแต่ความสงบสุข.ร่มเย็น..สืบไปเป็นนิรันดร์
ตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน....
ให้ได้มี...
ผืนดินธรรมแผ่นดินทองหยัดยืนอย่างทรนง..!!
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
แผ่นดินของเรา ...สันติ ลุนเผ่
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทยแผ่นดินของเรา
ใกล้ไกล
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
เลือดไทยไหลโลม ลงดิน
ใครหมิ่น ศักดิ์ศรี คนไทย
ย่อมมีวัน สักวัน ให้ไทย
ล้างใจ อัปรีย์
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน
สัก วันต้องคืนกลับมา
มั่นใจ เถิดหนา
ขอพลี ชีวารักษาชาติไทย
ชาติไทยคู่ฟ้า
เลือดทา แผ่นดิน...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
20 สิงหาคม 2548 20:35 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2008.html
ไพลนอนหลับตาเหนือต้นมะพร้าว
ที่โค่นงอหักเอนลงมาจนได้ระดับกับซอกหิน
ที่สายธารากำลังระรินสายพรายพร้อยลงมาจากแก่งผา
ที่พากันกำลังซัดเซาะพร่างพรมลงมาจนเกิดโพรงน้ำเบื้องล่าง
หว่างหินแง่งงาม จนเกิดเป็นแอ่งน้ำสายใสไหลเย็น
ให้มวลมัจฉาแหวกว่ายไปมา
ก่อนจะพากันไหลผ่านลงสู่ท้องทะเลเบื้องล่างห่างไปไกลลิบ
ไพลวางภาระทุกสิ่ง
ทิ้งร่างนิ่งมิไหวติง
เพียงคอยอิงตัวให้
รักษาระดับน้ำหนักตัวไว้ให้พอดีๆ
มิให้เอนไปทางใดทางหนึ่ง
แล้ว...
ผสานจิตภายในให้ใสนิ่งไปกับมวลสรรพสิ่งรายรอบ
เหนือกรอบกติกาโลกโศกสุข เหนือคำว่าทุกข์ร้อนมายาใด
หัวใจไพลไม่รู้ร้อน หนาว
ไม่เศร้าไม่เสียใจไม่ยินดีไม่ยินร้าย
มิหมองหม่นไหม้คิดถึงผู้ใด
นอกจากเพียงรับรู้ว่า...ยังมีลมหายใจเข้าออกเพียงนั้น
อีกครั้ง...
ที่ไพลกลับมาวิมานวนา
วิมานหล้าหากราวแดนสวรรค์สรวง
แห่งปวงรุกขเทวา
และ
แห่งดวงชีวาชีวีที่แสนดายเดียวเหว่ว้า
ของหญิงหนึ่งผู้ครองซึ้งเศร้ามายาวนาน
ราวกับ.*เทพีแห่งความระทม*
แต่...
ณ..นัยแห่งความเศร้าราวเบื่อโลกเวียนวน นั้น
ใจดวงช่างฝันที่มิเคยหยุดฝันของไพล.
กลับแสนมีความสุขกับความสงบเงียบ
กับชีวิตเรียบเย็นเหนือสายน้ำ...ลำน้ำสายเล็กๆลำพังนี้
ที่ไม่มีผู้คนมาวายวุ่นในวังวน วงวัน
นอกจากมีเพียงดนตรีจากสวรรค์ธรรมชาติ
มาคอยกล่อมบรรเลงเป็นเพื่อน
สวรรค์ไพร สวรรค์ของดวงใจไพล
ณ..ที่แห่งนี้ นาทีนี้
ที่ไพลรู้สึกดี กว่าการต้องสวมบทบาทวาดปั้นหน้าเจรจาพาที
กับคนโน้นทีคนนี้ที..พลาง แย้มยิ้มหวัว
หากหัวใจกลับแสนอ้างว้าง สลัวราวมีเมฆหม่น จนน่าตกใจ
และ
กับภาพความทรงจำในคืนวันหนึ่ง
ที่ยังไสวพร่างกระจ่างแจ้ง
ในคืนฝันวันพระจันทร์หวาน
วันที่ทะเลสีกำมะหยี่
มีเพียงแสงจากเรือเฟอรี่
ที่กำลังวิ่งฝ่าฟองคลื่นสีขาวเพื่อคืนไปยังฝั่ง
คืนที่ทำให้ใจไพลตื้นตันจนน้ำตาริน
ไพล ออกไปยืนรับลมทะเล บนระเบียงเรือ
เห็นหมอกควันไฟป่าจากหมู่เกาะอินโดนีเซีย
ที่พากันลอยข้ามมาปกคลุมไปทั่วทิศทาง
รวมทั้งสามจังหวัดภาคใต้
ที่ยามนี้มีทั้งภัยร้ายทั้งจากควันปีนและจากควันไฟ
ไพล..
ปล่อยให้ผมสยายยาวถูกลมพัดไปทางเบื้องหลัง
พร้อมกับกระชับผ้าคลุมไหล่
ด้วยหนาวละอองน้ำทะเล
และ
หนาวลมหนาวเนื้อหนาวใจไปพร้อมกัน
ในยามทะเลฝัน
พลันแปรเป็นสีเงินงามเวิ้งว่างราวไร้ขอบเขต
และ
ในท่ามม่านเมฆเทาทึมเต็มผืนฟ้า
พระจันทร์ดวงที่สวยที่สุดในโลก
สีทองสุกปลั่ง..ก็พลันกระจ่างลอยดวง...
เหนือห้วงน้ำมหรรณพ...
และ
หัวใจไพลดวงสงบพลันราวค้นพบบางสิ่งที่เหนือกว่า...!!!!
.............................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2008.html
ตลอดเวลา
พักสายตา เถอะนะคนดี
หลับลง ตรงนี้ ที่ที่มีแต่เราสองคน
ผ่านเรื่องราวผ่านงานผ่านคน
สับสน หลายความ
บางเวลาต้องการสักคน
ไว้คอย ปลอบใจ เข้าใจ พูดคุย
ความรักเอยงดงามอย่างนี้
จนชั่ว ชีวี โหยหาความรักไม่เคยพอ
อยากให้เธอเคียงข้างอย่างนี้
บอกรัก อีกที อยู่ใกล้กัน ตลอดเวลา
พัก กาย พักใจ หลับตา ฝันดี
รัก เอย รักที่ เข้าใจ ถึงกัน
พัก กาย พักใจ หลับตา ฝันดี
รัก เอย รักที่ เข้าใจ ถึงกัน
พัก กาย พักใจ หลับตา ฝันดี
รัก เอย รักที่ เข้าใจ ถึงกัน
พัก กาย พักใจ หลับตา ฝันดี
รัก เอย รักที่ เข้าใจ ถึงกัน...
14 สิงหาคม 2548 09:51 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5535.html
(ทะเลใจ)
..........................
ผม..
กำลังรื่นรมย์กับทัศนียภาพตรงหน้า
ฟ้าสีฟ้าใสกระจ่าง งามเข้ม
ทะเลกว้างมีเรือลอยลำ...รับอรุณไม่กี่ลำ
และ
ราวสระว่ายน้ำส่วนตัวกำลังรอคน..ลงแหวกว่าย
เม็ดทรายกำลังอ้อนสายลมและทิวคลื่น
เสียงทิวมะพร้าวซัดส่ายร่ายระบำราวรอวันเริ่มต้นใหม่ในชีวิต
ผม..พาตัวเองเดินไกลลิบ...มาจากระท่อมที่พัก
กับสุนัขผู้พิทักษ์ใจ*เจ้าอารี*
ลมทะเลพัดพรายให้ร่างและหัวใจผมหนาวสะท้านหากทว่าแสนสดชื่น
ผม..วิ่งล้อคลื่นเล่นอย่างแสนสุขสมกับเจ้าอารีเพื่อนยาก
แล้ว
หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจเมื่อเจ้าอารีเสียหลัก
แล้วต้องลงไปนอนแช่...ในน้ำทะเลอุ่นๆ
ผม...
ถอดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงชาวเลสีน้ำตาลออกจากร่าง
เหลือเพียงกางเกงในว่ายน้ำตัวจิ๋วแสนวาบหวาม
อย่างไม่กลัวว่าใครจะตื่นมาเห็น
เพียงอยากปลุกทะเล
ที่กำลังหลับไหลให้ตื่นมาดูคนกับสุนัข
ที่กำลังพากันมาทายทักทะเลงามในยามอรุณรุ่ง
ผม...ว่ายน้ำออกไปไกลจากฝั่งเรื่อยๆ
ราวทดสอบพลังคนหนุ่มนักกีฬา
ที่กล้ามเนื้อทั้งร่างและขาแสนแข็งแรง
อาศัยกีฬาในร่ม*แบดมินตัน*
ที่ผมชอบเล่นทุกวัน
กับสมาชิกพรรคคนหนุ่มวัยมันส์
ที่..พากัน
ไม่เสพสุนทรีย์ทั้งเหล้า ยานารี
หากหันมาสนใจเกมกีฬาแทน
หลายปีมานี้ ชีวีผมก็เวียนว่ายไม่กี่ที่
ที่ทำงาน และบ้าน
หรือคือ...
อพาร์ตเมนต์..เรียบโล่ง
ที่ผมทนมีสมบัติไม่ได้หากเกินกว่าของใช้จำเป็น
หนังสือธรรมะ ที่ผมแสนหวงแหน
และ
หนังสือท่องเที่ยวหรือหนังสือนานา
ที่พอล้นตะกร้าผมก็บริจาคออกทันที
เป็นเพราะผมไม่นิยมสะสะมวัตถุใดให้รกรุงรัง
ให้ต้องพะว้าพะวังห่วงหา
และ
ไม่แม้กระทั่งหยาดเลือดและร่างผม
ที่ขอบริจาคไปกับโรงพยาบาลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว...
และ
นี่คือ ผม..คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง
ที่จิตภายในราวกับ
พระเจ้าแกล้งให้ผมเกิดมาผิดยุค...
ผมน่าจะเกิดในยุคต้นๆรัตนโกสินทร์
ค่าที่ผมถวิลหา
แต่เรื่องโบราณบ้านเรือนที่ยังเงียบงามสงบสุข
ริมสายน้ำเจ้าพระยา
มีบางคราที่ผมนั่งเรือลอยล่องไปตามสองฝั่งฝัน
แล้วพลันเมื่อผมทอดทัศนาเห็นตึกโบราณ
ในจิตวิญญาณผมราวได้ยินเสียงมโหรีไทยขับกล่อม
ในยามมีงานมงคล ลอยลมแว่วมา
และ
ในคลองดวงวิญญาญ์
ผมมักจะมองเห็นภาพหญิงงาม
ใส่ชุดผ้าซิ่นไหมเรียบง่าย...มุ่นมวยผม
พันเกล้าด้วยดวงดอกไม้แสนหวาน
กำลังนั่งตรงชานไม้ในศาลาท่าน้ำ
ราวรอรับคนที่รักขึ้นมา..จากเรือกลับบ้าน
ผมสัมผัสได้กระทั่ง
คำพูดหวานๆกระซิบเบาๆ
ยามเธอพบคนที่รัก
ว่าเธอ..
นางในฝัน
นางใจแห่งความปราถนาอยากภักดิ์พลีของผม
คงจะทั้งงามใจ งามน้ำคำ งามกิริยาอันอ่อนละมุนนัก
และ
นี่คือเหตุผล..จนวันนี้
ที่ผม..หาคนรักที่รู้จักรู้ใจ
และ
รักความเป็นไทยโบราณหวานละมุน
อย่างใจดวงหอมกรุ่นละไมอย่างใจผมคิดหวัง มิได้
ช่างมันเถอะนะ
เพราะ
ตั้งแค่ผมหันหน้าเข้ามาศึกษา*ธรรมะอย่างเอาจริงเอาจัง
ผม..ก็ยิ่งไม่อยากมีรัก
อันคือแอกหนักทุกข์หนักยิ่งกว่าสิ่งใด ในหล้าโลก
แม้นพระพุทธองค์
ยังค้นพบทางสายโศกสายเศร้านี้ก่อนตัดสินใจหนีออกบวช
แล้ว..
ผม..ยังจะยอมเหน็บหนาว
เดินไปในเส้นทางสายพันธนา
ให้เสียเวลาทำไม...
ในเมื่อผม..ไม่เหงาใจ ไม่เคยเลยแม้สักครั้งเดียว
เมื่อเหลียวไปพบเห็นผู้คนรายรอบ
ที่กำลังเผชิญหน้าทายท้ากับความทุกข์มากสุขน้อย
ในทางสายโลก ที่หาใช่เป้าหมายแห่งชีวีผมไม่
ที่ขอเลือกชีวี
ให้ดำเนินแผกไปในเส้นทางสีขาวแทน
เส้นทางที่แสนสะอาด สว่างสงบ
และ
หวังพาพบฝั่งฝันในมโนคติ
ที่ผมมิเคยวาดหวัง ว่าจะนานสักกี่กัปป์กัลป์
ขอเพียงชาตินี้นั้นให้ผมได้เริ่มต้น
ราวปลาว่ายทวนน้ำเหนือกระแสกรรมกิเลสโลกย์
มิว่ายตามตามกันไป
สู่ห้วงมหรรณพใหญ่ ไปเป็นอาหารปลาในท้องทะเลลึกทะเลโลกย์
อย่างแสนน่าโศกเศร้า มิรู้จบรู้สิ้น....
................
ผม....
นอนลอยตัวเหนือฟองคลื่นอย่างระริ่นรมย์
แล้ว
ทำจิตใสผสานผสม
ราวลอยไปในสายลมและมวลเมฆบางเบา
อย่างมิเหงางาม
หากเงียบร้างไร้ ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้น
ผมหยุดความคิดทุกอย่างวางไว้อย่างวางว่าง
กับฟ้ากระจ่าง กับเมฆแสนหวานใส
กับลมระรวยระรินกับกลิ่นทะเลทะเล
และกับจิตไม่ไหวเหเรรวนไปกับคลื่นอารมณ์
ผม..นอน..ดูอณูละเมียดแห่งลมหายใจ
จนในที่สุด
ราวร่างผมไร้น้ำหนัก
ราวกับนกไพรใจอิสรา
กำลังยกตัวผกโผผิน
บินไปในฟ้ากว้าง อย่างอ้างว้าง หากสง่างาม...
เมื่อมองลงมา
ในท่ามทะเลโลกย์ที่ผู้คนนับอนันต์โศกลอยคอ
รอเพียงวันตายไปวันวัน...
อย่างมิรู้ทันเท่าในหนาวเหน็บแห่งบ่วงพันธนา...
ที่จะมัดพารัดรึง...ตอกตรึง
ให้ดวงจิตวิญญาณปานประหนึ่งนักโทษรอประหารเช่นฉะนั้น.....!!!!!!!!!!!
............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5535.html
ทะเลใจ แอ๊ด คาราบาว
แม้ชีวิตได้ผ่านเลยวัยแห่งความฝัน
วันที่ผ่านมา ไร้จุดหมาย
ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียงตัว และจิตใจ
เป็นมิตรแท้ที่ดี ต่อกัน
เหมือนชีวิตผันผ่าน คืนวันอันเปลี่ยวเหงา
ตัวเป็นของเรา ใจของใคร
มีชีวิตเพื่อสู้ คืน วันอันโหดร้าย
คืนนี้ตัวกับใจ ไม่ตรงกัน
คืน นั้น คืน ไหน ใจแพ้ตัว
คืนและวันอัน น่า กลัว ตัวแพ้ใจ
ท่ามกลางแสงสี ศิวิไลซ์
อาจหลงทางไปไม่ยาก เย็น
คืน นั้น คืน ไหน ใจเพ้อฝัน
คืนและวันฝันไป ไกลลิบโลก
ดังนกน้อย ลิ่วล่องลอย แรงลมโบก
พออับโชค ตกลงกลาง ทะเลใจ
ทุกชีวิตดิ้นรน ค้นหาแต่จุดหมาย
ใจในร่างกาย กลับไม่เจอ
ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอ ก็เป็นสุข
คืน นั้น คืน ไหน ใจแพ้ตัว
คืนและวัน อัน น่า กลัว ตัวแพ้ใจ
ท่ามกลางแสงสี ศิวิไลซ์
อาจหลงทางไปไม่ยาก เย็น
คืน นั้น คืน ไหน ใจเพ้อฝัน
คืนและวันฝันไป ไกลลับโลก
ดังนกน้อย ลิ่วล่องลอย แรงลมโบก
พออับโชค ตกลงกลาง ทะเลใจ
แม้ชีวิตได้ผ่าน เลยวัยแห่งความฝัน
วันที่ผ่านมา ไร้จุดหมาย
ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียง ตัวและจิตใจ
เป็นมิตรแท้ที่ดี ต่อกัน
ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียง ตัวและจิตใจ
เป็นมิตรแท้ที่ดี ตลอดกาล...
13 สิงหาคม 2548 18:52 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
...................
ผม...กำลังพายเรือ
อยู่ในท่ามกลางสายฝนพรำกับบึงบัวสีขาว
พราวดอกยังมิคลี่แย้ม
ในวันที่ริ้วฝนฟ้าฉ่ำด้วยม่านหมอกสลัวมัวหม่น
เป็นสีขาวพราวพร่าง..มาทุกทิศทาง
และ...
ที่นี่คือริมลำน้ำโขง
*สายน้ำรักนิรันดร์*
ที่เชื่อมโยงหัวใจไทยลาวมานับนานวันอนันต์ปี
วันที่เรียวฟ้าไร้กระจ่างมาตั้งแต่เช้า จนถึงยามนี้
ยามที่
ฟ้าใกล้ค่ำ..ตะวันลา ใกล้โพล้เพล้เหว่ว้าเต็มทีแล้ว
ใจดวงแก้วดวงแหลกรานร้าวเศร้าสุดแสนทานทน
กำลังหลงทาง....
กำลังหนีห่างร้างเมืองมาแรมไกล
พาใจดวงบอบช้ำร่ำไห้
ยิ่งกว่าสายฝนตกต้อง ณ ภายใน
ให้หนีไกลมาถึงที่นี่
ที่ที่เพื่อนคนดี บอกว่า
*เผื่อบางทีอาการผมจะดีขึ้น*
ให้สายน้ำโขงที่ทอดยาวไกล อย่างเงียบงามสงบใจ
ได้พลีปลอบประโลม
ให้ลำน้ำโล่งลิ่ว
ได้ทอดทอก่อความสุขสงบ ขึ้นบ้าง
ณ.. กลางใจผม...
ให้สายฝนพรมพรำราวพร่างพร
ให้หัวใจอ่อนแอแพ้พ่าย ได้ยอมลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกคราครั้ง
ผม..จึงได้มานอนฝากฝันปันพลีใจ
ใน..*กระท่อมไพรสไตล์ลาวโซ่งกึ่งบาหลี..*นิดนิด
ที่มีหลังคาจาก
ให้ฝากชีวิต พักพิง อิงใจไปสักสัปดาห์
จนกว่า
ดวงชีวาชีวีผมจะเข้าที่เข้าทาง
ให้กลับมาเหมือนเดิม
ให้มิหวังเพิ่มรัก..รอหวังหวาน..จากร่างและดวงใจใคร
ที่ช่างไม่แน่ไม่นอนเอาเสียเลย
ฉะนั้น...
จึงเป็นเช่นฉะนี้...!
ที่ผม..คนหัวใจไม่รักดี
ต้องมานอนคะนึงครวญ
รัญจวนจิต
ไปกับชีวาชีวิต...ที่แสนดายเดียวเปลี่ยวเหงาเหว่ว้าสิ้นดี
กับวันที่ฟ้าฉ่ำไปด้วยไอฝนพรำพราว
กับหนาวในเนื้อใจ
ราวปีศาจวสันต์มาร่ำไห้อย่างโศกสะเทือนแทน
ราวกับมาตกตี ณ..กลางใจผม
ให้ระบมระทมด้วยพิษรัก
ทั้งๆที่ผมหักใจตัดใจหนีภักดิ์รักใคร
ก็ยังมิวายได้มาได้มีวิบากกรรม
มาตอกย้ำซ้ำเจ็บให้ยอมชดใช้ แด่คุณ
คนดี ..ในดวงใจ
ที่ถึงวันนี้คุณจะทำให้หัวใจผมแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
ผมก็ยังฝังใจจะเรียกคุณ
ว่า..*คนดี..*ไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์
ระหว่างเรานั้น
ผมไม่โทษคุณ โทษใคร
ที่ฟ้าดินอินทร์พรหม
มิพากันเสริมส่งดวงชะตา
จัดสรรให้เรามาพบกันช้าไป
ราวบทเพลง
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6727.html
บอกอะไรป่านนี้...
ฉัน นั้นเคยรัก
ทุ่มเท ให้กับเธอ
รอ คอยให้เธอ ใส่ใจ
เธอ เคยตอบแทน
ด้วยการ มองผ่านไป
เหมือน ว่าโลกนี้ ไม่มีฉัน
แล้ว ถึงวันหนึ่ง
เธอนั้น ก็เดินมา
พูด ว่ามีใจ ให้กัน
รู้ ว่ามันจริง
แต่ฉัน ก็ไม่ดี ใจ
เพราะ มันสายไป สำหรับฉัน
มาบอก อะไร ป่านนี้
รู้ไหม ว่านาน เท่าไหร่
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
ตายด้าน จนเกิน จะรัก ใคร
เธอ จะเปลี่ยนใจ
มารัก ฉันวันนี้
ทำ ดีต่อกัน เพียงไหน
คง มีให้เธอ แค่คำ ว่าขอบใจ
คง ไม่มากมาย ไปกว่านั้น
ฉัน ก็ต้องการ
อยากรัก และให้ใจ
เหมือน เคยให้ไป ในวันก่อน
แต่ฉัน รู้ตัวดี
ตอบได้ชัด เจนและแน่ นอน
ว่า มันสายเกิน จะกลับไป
มาบอก อะไร ป่านนี้
รู้ไหม ว่านาน เท่าไหร่
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
ตายด้าน จนเกิน จะรัก ใคร
โฮ่ โฮ๊ โฮโฮ่โฮ๊ โฮ
มาบอก อะไร ป่านนี้
รู้ไหม ว่านาน เท่าไหร่
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
ตายด้าน จนเกิน จะรัก ใคร
บอก อะไร ป่านนี้
มาบอก อะไร เมื่อสาย
ที่ เธอเคย ละเลย
ปล่อย ใจฉัน ให้ตาย
จนไม่ มีทาง จะเหมือน เดิม
รู้ ไว้เลย ว่าสาย ไป
ไร้ อารมณ์ จะรัก เธอ...
................
ราวหนึ่งหญิงสองชายหมายใจ
ที่ไม่ก็ใครคนใดคนหนึ่งต้องจำบอกลา
ที่คุณละล้าละลังทำใจมิได้ว่าจะหันไปหาใครดี
คนนี้ก็ใช่คนนั้นก็รัก...
ช่างแสนวายวุ่นนักเจ้าคำว่ารัก..รักเอย
ไม่เป็นไรครับผม
คนดี ผม..เข้าใจ
เข้าใจครับว่า....
ในความรักนี้
จักไม่มีคำว่าเสียใจไม่มีใครถูก..ผิด
แม้นดวงใจและดวงชีวิตผม
จะแสนปวดร้าวราวกับกลัดหนอง
ผมก็จะบ่มร้าว คัดเลือดคัดหนองเอง
อย่างมิเกรงกลัวเจ็บใดใดทั้งสิ้น
จนกว่า.....
จะสิ้นถวิลโหยหา
สลัดตราแอกแบกรักอันหนักแสนหนักออกไปได้
ให้ผมได้พบเส้นทางธรรม
นำเอาน้ำอมฤตธรรมอันแสนใสฉ่ำเย็น
มาเป็นดั่งยารักษาใจ
ให้เดินตามรอยบาทพระศาสดาไป
อย่างประจักษ์แจ้งแทงตลอด
ถึงค่าคำว่า*ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์*
ผม..จึงรอเวลาให้หัวใจหยุดรักได้ด้วยตัวมันเอง
หากถึงเวลา
ที่ฟ้าเลิกลงฑัณท์ สวรรค์เริ่มปรานี
ให้ผม..ได้หมดเคราะห์กรรมสิ้นทุกข์เทวษเสียที
ผม..
คนที่หัวใจล้วนล้วนยามนี้ราวกับมีเข็มคอยทิ่มแทง
ราวกับแกล้งลวงหลอนหลอกใจ
ในยามที่ใจไหวหวั่นวอกแวกแหกสติสมาธิ
ให้มีเพียงเสี้ยวหน้าคุณมาลอยคว้าง
มาแย้มหัวระรัวยิ้มพริ้มเพรา
ราวกับวันแรกที่เราได้พบรัก
คนดี
ฝนยังพรำสาย ในท่าม..*สวนสีขาว*
ริมสายน้ำโขง
สวนไม้ดอกที่มีแต่ดวงดอกสีขาว ขาว ขาว
ไม่ก็พราวนวล นวล นวลพร่าง
กลีบหวานบานสะพรั่งพรึบไปหมด
สวน...ที่มีลั่นทม แก้วแพรวดอกพร่างกระจ่างงาม
จำปีนวล พุดซ้อนอวลกลิ่น ระรินด้วยมะลินานาพรรณ
กับ กุหลาบพันธุ์นอก
โมกที่ยังสะพรั่งดอกค้อมดวงลงสู่ดิน
และอีกหลายๆขาว
ที่ระรินปลอบใจให้แสนไหวหวาม
แวววาวพราวด้วยเกสรงาม
และ
ที่แสนทำให้โลกในนิยามคนเศร้าหนาวใจอย่างผม
ได้หยุดระทมทับชั่วคราวคือ
บึงบัวพราวด้วยดอกขาวล้วนล้วน
ที่เพื่อนผมเจตนาขุดเป็นบึงกว้าง
ให้ได้คลี่กลีบแย้มหวานไหวสล้างหลายไร่
ให้หอมชื่นใจ ในยามฝนพรำพรม
ที่พรายอวลอบมากับสายลมในยามค่ำ
ที่ราวกับภาพฝันของจิตรกรเอกของโลก
.............
ฝนพรำสายหนักหน่วงขึ้น
ให้ผมนอนมองดูรวงฝนด้วยเรียวฝันอันแสนบางเบา
ในเหงางามเงียบเฉียบเย็นรายรอบ
ผมเห็นสายฝน
ราวสายฝันสวรรค์พลีในนาทีนั้น
ราวดวงดอกน้ำค้างจากสวรรค์
จากฟ้ากว้างพร่างใสสด
หยดแตะแต้มให้โลกหล้าได้แย้มยิ้มปรีเปรมด์เกษมสุข
ให้ลบโศกรานในทุกถิ่นฐาน
ที่หว่านหวังเพาะพันธุ์ข้าวกล้า
ให้ หัวใจชาวนาไทยแสนเอิบงาม
ให้ดวงดอกไม้ได้คลี่กลีบแย้มบาน...
รอมวลหมู่ภู่ผึ้งภุมรินทร์
ให้ชาวดินได้มีน้ำมิสิ้นแล้ง
ให้แรงน้ำค้างจากฟ้า..กรายพร่างลงณ..กลางใบบัว
กลอกกลิ้งพริ้งพราวราวหยาดเพชร
และ...
ทันทีนั้น
พลันผมก็ตัดสินใจ
ที่ใครๆอาจจะคิดว่าผมบ้า
ที่พยายามพายพาเรือมาดลำน้อย
ออกมาค่อยๆไกลจากฝั่งแลละลิบ
และ...
ลอยละลิ่วปลิวไปท่ามกลางสายฝนพรำ
ไปลอยลำในท่ามกลางบึงบัวอ้างว้าง
ที่ผมรู้สึกดีกับความหนาวเหน็บในยามนี้
ยามที่
แหงนเงยใบหน้าทายท้า
ชะตาทั้งกับพสุธาฟ้าดินสิ้นอินทร์พรหมยมพญา
ให้สายฝนพรายพร่าพร่างพราวลงกราวกรายฝากเจ็บ
ให้ใจดวงหนาวเหน็บเจ็บร้าว
ราวได้ยินบทเพลง*เย้ยฟ้าท้าดิน*ขึ้นมาทันที
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song175.html
เย้ยฟ้าท้าดิน
ฟ้าหัวเราะเยาะข้า ชะตาหรือ
ดินนั้นถือ อภิสิทธิ์ ชีวิต ข้า
พรหมลิขิต ขีด เส้น เกณฑ์ชะตา
ฟ้า อินทร์ พรหม ยมพญา ข้า หรือเกรง
ฟ้า หัวเราะ เยาะเย้ย เหวยเหวยฟ้า
พสุธา อย่าครวญว่า ข้า ข่มเหง
เย้ย ทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน สิ้น ยำเกรง
หรือใคร เก่ง เกิน ข้า ฟ้า ดินกลัว
ข้า ขอ ลิขิต ชีวิตข้าเอง ไม่เกรง ดิน ฟ้า
อีก พื้นพสุธา พญายม พรหมอินทร์ ทั่ว
ข้า กระทำ แต่กรรมดี มีหรือจะกลัว
มิใช่ใจชั่ว ลืม ตัว หลง ลำพอง
อัน สวรรค์ อยู่ในอก นรก นั่น หรือ
ข้า ก็ถือ อยู่ในใจ ไม่ หม่น หมอง
ละ การ ทำ ชั่ว ควรหรือจะกลัว นรก มั่นปอง
หาก ทำดี ฟ้าดินต้อง คุ้ม ครอง เอย...
......................
ผมรู้สึกชาชิน
จนความหนาวเหน็บเจ็บที่ไหนไม่ว่าร่างรานหรือใจร้าง
กลับชาเฉยไปกับความอ้างว้าง เปลี่ยวเหงา ลำพัง
ที่พังสิ้นแล้วทั้งหวังหวาน
ไปกับม่านฝน ม่านฝัน
ไร้ใครมาปันพลีหัวใจ มาคอยห่วงใยโอบเอื้อให้อ้อมอุ่นไอรัก
ผมตระหนัก..ในนาทีนั้น
ถึงความหมดทุกข์ สิ้นทุกไฟฝัน
เหลือเพียงความว่าง อันคือ*ความหนาวนิรันดร์สำหรับผม*
ผม..นอนพาดตัวไปกับลำเรือ
เกลือกตัวไปมาราวสัตว์บาดเจ็บ ราวกับเด็กสิ้นไร้ อ้อมอกแม่
และ
กับพรายพร่าแห่งสายฝนพรำ
ที่พาให้ผมร่ำไห้ อย่างมิอายฟ้าดิน...!!!!!!!
.........................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
อายฟ้าดิน
จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน
ความหวังพังสิ้น ทางรัก มืดมน
เกิด มา ร่างกายเท่านั้นเป็นคน
แต่หัวใจปี้ป่น โดนรักขยี้แหลกราญ
จะเอ่ยรักใครให้เอือมระอา
เมื่อไร้คุณค่า จนมิ ต้องการ
ตราบ จน สิ้นคนมั่นรักยืนนาน
ต้องทุกข์ทรมาน ร้าวราน ฤดี
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ชอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความชอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ชอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความชอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน...
13 สิงหาคม 2548 14:33 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4682.html
(เทพธิดาผ้าซิ่น)
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
(บ้านเรา)
วันนี้...
ทิพย์ทอง..นุ่งผ้ายกทอง
ลายดอกพิกุล ที่งามมากไปวัด
แล้ว
ทัดดอกพุดซ้อนแซมผมพันทบที่ตลบเกล้าขึ้นไป
ใครบางคน...
ที่รู้จักทิพย์ทองในลานแอโรบิค
บอกว่าแสนประหลาดใจ
ยามที่..
ได้พบทิพย์ทองในวัดวันนี้
ที่เห็นทิพย์ทองคนแสนเปรี้ยวในชุดออกกำลังกาย
จะกลายกลับมา
เป็นสาวในร่างโบราณหวานแแฉล้มแช่มช้อยไปได้
จะประหลาดใจไปไยเล่า
เพราะ
สำหรับทิพย์ทองแล้วไซร้
ย่อมเลือกกาละเทศะในการสวมใส่เสมอ
สำหรับวันนี้
ทิพย์ทองมาวัดนี่นา
ที่ที่เราควรบูชาเคารพสถานที่
และ
ดวงชีวีของทิพย์ทอง
ก็รักแสนรักผ้าไท
เพราะ
ในชีวิตทิพย์ทองนั้น
เกิดมากับผ้าถุง ผ้าไท
ผ้าที่ดูงามละไมในเรือนร่างของสาวไทยทุกคน
คนใจดวงโบราณทุกร่าง
ที่ยังคงมีความหวานอรชร
ซ่อนความละมุนไว้ให้ได้ค้นหา..แสนน่าติดตาม
แสนตราตรึง..จนอยากฝากซึ้งใจ..
และ
ผ้าทอผ้าไท
ที่ยังฝากค่า
วัฒนธรรมภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ให้สืบสานไปนานเนาตราบไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
ทิพย์ทอง...
จึงต้องค้นคว้าหาข้อมูล
และ...
ฝากให้สำหรับทุกดวงใจสาวไทยคนรุ่นใหม่
ได้ซึมซับ รักในความงามละมุน
ฝืมือของบรรพบุรุษคนไทยโบราณ
ที่
สืบทอดกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคนจนถึงสมัยนี้
หาก
อยากทราบรายละเอียดแสนดี
ที่ล้ำเลอค่าทางจิตวิญญาณ
ให้ตระการหวานหอม
ก็จงลองค้นคว้าหาอ่านดูได้
จากเวบไซท์
ที่ทิพย์ทองค้นหามาฝากให้
แค่ใช้ปลายนิ้วคลิ๊ก
ให้หัวใจไหวหวามได้ไปสัมผัสงานงาม
ที่จะทำให้เรา
ได้เข้าใจวิวัฒนาการแห่งผ้าไทมากขึ้น..
ที่
สำหรับทิพย์ทองแล้วคิดว่า
ผ้าไท ไหมทอง ผ้าทอ
ล้วนแล้วก่อเกิดมาจากความรัก
จากวัฒนธรรมพื้นถิ่น
จากแผ่นดินที่แสนเงียบงามสงบสุข
ด้วยทุกชีวิตได้ชิดใกล้
กับสายน้ำ
และ
ท้องทุ่งนาข้าวกล้าเขียวใส
เรียวรวงระบัดไหวสีทอง
วิถีที่เกษตรกรรมไทย
ที่พาให้ใจเราทุกดวงแสนรักสงบและพบแต่ความ
ละเมียดละมุนกรุ่นวิจิตร
ได้ชิดใกล้ธรรมชาติ
ได้สืบสานความเป็นไทย
ที่มีใจดวงรักอิสราเสรี
ได้พลีฝันได้รังสรรค์ผลงานงาม
จากพลังสมองและสองมือแม่นี้ที่สร้างโลก
ที่หมุนโลก ลบโศกราน มาอย่างนานเนิ่น เนิ่นนาน..
ทิพย์ทอง...
เห็นว่าการทอผ้านั้น
มาจากมือธรรมใจทอง
เพราะเป็นงานต้องอาศัยความประณีตละเอียดอ่อน
รักความอ่อนช้อยสวยงาม
มีความคิดสร้างสรร
ที่จะรู้จักนำสมุนไพรพื้นบ้าน
มาทดลองทำการย้อมลองผิดลองถูกจนกว่าจะพอใจ
และต้องผ่านขั้นตอนมากมาย
กว่าจะเป็นผ้าไหม ไทยทอสักผืนสวย
เป็นหัตถกรรม
ที่แสนงามฝากนามเอกลักษณ์ไทย
ที่ยากที่ผู้ใดจะเลียนแบบได้
เป็นดั่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำเลอค่า
ฝากมาถึงโลกปัจจุบัน
ที่แม้จะมีเครื่องจักรมาแทนที่
ผลิตของออกมามากมายมากมีราวพิมพ์เดียวกัน
หากทว่า
คุณค่าของผ้าไทอันเอนกอนันต์
หาได้มีวันด้อยค่าลงก็หาไม่
กลับเพิ่มพูนทวีค่า
เนื่องจากว่าคืองานงามมือที่มีหนึ่งเดียวในโลก..!
และ...
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
ทรงมีวิสัยทัศน์อันยาวไกล
ได้ทรงเป็นผู้สืบทอดและทรงนำ
มาแต่งกายในชุดไทยพระราชนิยม
ได้ทรงนำ ผ้าไหมไทยออกสู่สายตาชาวโลก
จนกระทั่งทุกวันนี้
ใครใครก็รู้จักผ้าไหมไทย
พระองค์ทรงเป็นผู้นำ
ในการแต่งกายชุดไหมไทยพระราชนิยม
เริ่มตั้งแต่ในคราวตามเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป
ทำให้ผ้าไหมเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายไปทั่วโลก
ทิพย์ทอง...น้ำตาซึมในราตรี
ที่ผ่านมาและทุกคราคราว
ยามเมื่อเห็นภาพย้อนหลัง
*พระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์..*
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า
ที่ทรงพระราชดำเนินเคียงพระบาทกัน
ออกไปทำสงครามกับความลำบากยากไร้ในแผ่นดิน
ด้วยหยาดพระเสโท มิรู้สิ้น
ด้วยหยาดน้ำพระหฤทัยมิท้อแท้
ภาพที่
สมเด็จพระนางเจ้าทรงพระสิริโฉม บอบบางอ้อนแอ้น
ในเครื่องแต่งกายแบบไทยไทยเรียบง่าย
ที่ไม่ว่าจะย่างเยือนไปที่ไหน ทุกไทยทั่วหล้า
พระแม่ฟ้าก็จะฝากงามประทับใจ
จนราษฎรได้เห็นจนชินตางามใจมาหลายทศวรรษแล้ว
ความงามล้ำเลอค่ากว่างาม ใดในปฐพี
เพราะ...
ทรงงามจิตงามชีวี
ที่ทรงรักความเป็นไทย
รักความปราณีต อันแสนละไมละเมียด
ที่คนไทยผู้มีใจดวงอ่อนโยน
และ
มีศิลปะเท่านั้นจึงผลิตและฝากผลงาน
มากมีอมตะประณีตเอาไว้ให้โลกได้ประจักษ์
มิใช่จำเพาะเพียงงานผ้า
หากทว่า
ไปถึงงานจักถักทอสาน...
งานเครื่องถมเครื่องทอง
งานประดิษฐ์ร้อยมาลัยดอกไม้..ใบตอง
งานที่ต้องใช้ใจดวงพากเพียร
ใช้เวลาบ่มเพาะเรียน
และมาจากเนียนเนื้อนวลใจ
ที่ยังรักความละไมละเมียดวิจิตรบรรจง
*และที่
*สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ *
โปรด ฯให้ก่อตั้ง..*วิทยาลัยในวัง*
ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ
ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นตามพระประสงค์ในปี พ.ศ.2529
ที่ทรงเล็งเห็นว่า
งานฝีมืออันเป็นประณีตศิลป์
ของคนไทยส่วนใหญ่จะมีอยู่ในพระบรมมหาราชวังแทบทั้งสิ้น
และ
นับวันมีแต่จะสูญสิ้นไปตามอายุขัยของผู้มีความรู้ความสามารถ
หากไม่มีการสืบทอดอย่างถูกต้องต่อคนรุ่นหลัง
ซึ่งสภาพความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป
ส่งให้การสืบทอดแบบเก่านั้นไม่สามารถกระทำได้ *
จึงโปรดให้ใช้บริเวณอาคารเรือนห้องเครื่อง
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นสถานที่เรียน
ต่อมาจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นทำให้สถานที่คับแคบ
จึงโปรดฯ
ให้ย้ายมาสู่สถานที่ใหม่ในปี พ.ศ.2532
ยังอาคารพระตำหนักพระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภาฯ
พระตำหนักแห่งนี้
จึงมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง และทรงความสำคัญยิ่ง
ด้วยเป็นเสมือนหนึ่งสะพานเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน
มิให้ขาดจากกันไปโดยสิ้นเชิง*
จากที่มา...
(http://www.homedd.com/HomeddWeb/homedd/home_magazine/frontweb/know_past_20.jsp)
เพราะ...
มาตรแม้นทุกวันนี้
จะมีเครื่องจักรมากมายมาผลิต
สนองความต้องการของการดำรงชีวิตของพลเมืองโลก
แต่เครื่องจักรก็คือเครื่องจักร
ที่มิได้ใช้ใจรักละมุนผลิต
ไม่ได้มีชีวิตที่จะผสานสอดใส่ ความวิจิตรอลังการ
ความงามมลังเมลืองแบบมีชีวิตชีวาได้
ต่อให้งามกว่างาม
ก็งามได้แค่เครื่องจักรทำ
อันคือความด้านไร้สีสันแห่งชีวาชีวิต
ทิพย์ทอง...จึงฝังฝากดวงชีวาชีวี
รักงานงามศิลปอันเลอค่าในทางจิตวิญญาณ
ผ่านงานงามอันประณีตทุกสิ่งอัน
ไม่ว่างานประณีตศิลป์ใด...
ที่ใช้มือไทยทำ
มือที่หมุนโลกอันแสนเร่าร้อนให้เย็นฉ่ำลง
ทิพย์ทอง
ได้แต่หวังธำรงรักษ์
และให้สาวไทยกุลสตรีไทยหันมารัก
เชิดชูรู้ค่าในงานอันละเมียดละมุนนี้
ทุกผ้าไทที่ทอสวย
ด้วยใจดวงงามดวงทองดวงผ่องผุด
ดวงที่ได้อาศัยอยู่ในในโลกบริสุทธิ์ใส
วิถีนาวิถีป่าไพรวิถี....
ที่ไม่ศิวิไลซ์
หากคือ..
วิถีแห่งธรรม วิถีที่ทำให้ใจแสนสงบสุข
หยุดทะยานอยาก
ฝากเพียงใจสวยใสฉ่ำเย็น
ยามเว้นงานนา
ชีวีที่ได้อยู่เคียงกับข้าวกล้านาหอมข้าวใหม่
วิถีที่
ยังได้ยินบทเพลงลูกทุ่งสะท้อนสะท้านสะเทือนทุ่ง
ยาม
พร้อมใจกันหมายมุ่งร่วมลงแรงทั้งหว่านเกี่ยว
ให้ฝากใจดวงดายเดียวที่แสนจริงใจ
ให้
หวานแว่วแผ่วมากับฟ้ากว้างและลำประโดง
ที่ยังมีปลาชุกชุม โดดโผงรอกินเหยื่อ
หรือให้สาวแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
มีตาลเดี่ยวเหว่ว้ายืนต้นรอปลอบประโลม
มีโสนเอนโอนเหลืองพราวริมบึงบัว
มีตะแบกนา
บานระรัวระริกพลิกม่วงพราวราวรออ้ายคืนกลับ
มีความรักแบบใสซื่อ ถือมั่นค่อยเป็นค่อยไป
มีความวาบหวามใจ
แบบรู้รักในขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งกุลสตรีไทย
ที่จักแหนหวงร่างใจไว้พลีมอบให้เพียงชายเดียว
อย่างรักเดียวใจเดียว..
ทิพย์ทอง...
จึงได้แต่หวังใจ
และ
ได้แต่ฝันไปในอากาศ
ที่จะวาดเวิ้งฝันปันพลี
ด้วยภาษารจนานี้
ให้..
ทุกคนดี ได้หันกลับมารักวิถีไทย
ประเพณีไทย การแต่งกายงามละไมละมุนแบบไทย
มีใจดวงนวลใส
รู้รักความประณีต
จากงานอันมาจากใจหอมกรุ่นพิสุทธิ์
ให้ไทยยังคงมิหยุดความเป็นไทย
ที่ไม่เหมือนใครในความมีเอกลักษณ์
อันคือ
งามยามแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ด้วยรอยยิ้มไมตรีจิต
วัฒนธรรมและวิถีชีวิต
ที่จักไม่มีวันสูญสิ้นไปกับกระแสโลกย์ที่แสนวิโยคร้อน
ให้
ทุกดวงใจอรชร...เพียรรู้ค่า
และ
ช่วยกันอุดหนุนสินค้าไทย
ใช้ของไทย ไม่นิยมของนอก
และ..
หัดเป็นตัวของตัวเอง
ใช้ผ้าไทยบ้าง
เพราะเดี่ยวนี้ทุกอย่างได้ดัดแปลงดีไซน์ให้เข้ากับยุคสมัยแล้ว
และ
กลับเป็นสิ่งแสนแปลกเก๋เท่ห์ไม่หยอกหากเรา
ทำสิ่งแสนดีนี้
ที่มิใช่งามเพียงภายนอก หากยังงามแผก
และแปลกกว่าใคร น่าพิศมัยอย่างที่สุด
และ
ที่แสนพิเศษพิสุทธิ์
คือการได้อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
อันแสนล้ำค่าดั่งอัญมณี
ฝากประดับหล้าประดับไทยไปตราบชั่ว..กัลปาวสานต์...!!!!!!!!
..................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4682.html
เทพธิดาผ้าซิ่น
ว่างจากงาน หว่านไถ
จะร้อยมาลัย ใบข้าว
ห้อยคอสาว จำ ปา
เจ้าเป็นเทพ-ธิดา ของบ้านนา บ้านทุ่ง
นุ่งผ้าถุง ไทย เดิม
หน้า สวย ด้วยแดด แรง
แก้ม แดง ไม่แต่งเติม
เจ้าไม่เคย เห่อเหิม เติมต่อ ดินสอพอง
ช่างขยันการเรือน มิแชเชือนหน้าที่
สิ่งที่ดี ที่ควร
เฝ้าถนอมออมอวล หอมหวลอวลลมทุ่ง
หนุ่มก็มุ่ง หมาย ปอง
ค่ำ ลง ก็เข้าเรือน
ฟังแม่เตือน ให้ไตร่ตรอง
หากมีชายหมายปอง ระวังเจอของ เหลือเดน
แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ
จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณร
ถ้าบาน คอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอน เพล
คอยได้ไหมคนดี
พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน
เชื่อโบราณ ดี แล
หากเลือกวัว ดูหาง แม้นเลือกนางดูแม่
นั่นแหละแน่ เข้า ที
บ้าน เรือน สะอาดตา
พูด จา เสนาะดี
ตำน้ำพริกทุกที เสียงตำถี่ จนทุ่งสะเทือน
แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ
จะบานคอยพระ หรือบานคอยเณร
ถ้าบาน คอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอน เพล
คอยได้ไหมคนดี
พ่อเคยพูดหลายที คิดจะมีแม่บ้าน
เชื่อโบราณ ดี แล
หากเลือกวัว ดูหาง แม้นเลือกนางดูแม่
นั่นแหละแน่ เข้า ที
บ้าน เรือน สะอาดตา
พูด จา เสนาะดี
ตำน้ำพริกทุกที เสียงตำถี่ จนทุ่งสะเทือน.
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บ้านเรา
บ้าน เรา แสน สุขใจ
แม้จะอยู่ ที่ไหน
ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา
คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้า
คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์
รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง
พริ้วแดดส่อง สดใส
งามจับใจ มิใช่ฝัน
ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน
ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น
หอมทุกวัน ระบือ ไกล
บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้
จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า
เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม
ลอยล่องไป ยังบ้านเขา
จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย...