เรือนหลังน้อยในดงดวงดอกไม้ ริมสายธารระรินระริกไหล เจ้าของจุดเทียนทองบูชาไพร เทพไทแห่งขวัญหล้าพสุธาภักดิ์ กราบองค์พระปฏิมาอธิษฐาน ให้พ้นผ่านพันธนามายารัก ในแสงเทียนทองทอพุทธพักตร์ ให้แน่นหนักลั่นดาลใจไม่หลงวน น้ำผึ้งพิษจารให้จิบแท้ระทม เพียงสายลมพัดพรายให้หมองหม่น หวานชั่วคืนชื่นชั่วคราวหนาวทุกข์ทน บันดาลดลให้เวียนว่ายชดใช้กรรม เรือนดอกไม้ให้อ้อมใจเจ้าพิงพัก ให้อ้อมตักหยาดน้ำใจใสเย็นฉ่ำ ให้เมตตากรุณาน้ำค้างคำ ให้สายธารธรรมนำเรือชีวิตนิจนิรันดร์ .............................. เรือนบุษบา! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) ครั้นอิเหนาพรอดน้อง บุษบา ราชนิพนธ์มณฑา- รพไล้ สุวรรณศิลป์รัมภา รังเรข รำนา กลอนละครละม้าย มกุฎร้อยกรองสวรรค์ฯ ................. เสียงซอซอซาบซึ้ง ศศิมนตร์ โสมส่องทองมณฑล ทิพย์หล้า บุหลันเลื่อนลอยยล ยศยิ่ง พ่อนา ซอเซ่นสามสายฟ้า- ฟาดฝ้าโศกสลายฯ ............... บุษบาชื่อบุษบา บุษบาที่แปลว่าดอกไม้นั่นแหละ...ใช่เลย..! และ.... เป็นบุษบาไพร มิใช่บุษบาเมือง และก็ คงมิใช่นางเอกบุษบานารีในเรื่องอิเหนา เพราะบุษบาคนนี้ เบื่อเรื่องรักรัก เสียนักเสียหนา จนถึงกับได้อธิษฐานภาวนา แทนเสี่ยงเทียนที่จะ*ให้อิเหนาเขามารักข้า* เป็นว่าเกิดมาชาตินี้ชาติไหน ขอให้ดวงใจพ้นพันธนารัก เสียได้จะเป็นดี ทุกวันนี้ บุษบา มีความสุขกับชีวิต กับธรรมชาติ กับความสว่างสะอาดของจิตดวงใส ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ได้พิงพักกับมวลดอกไม้รายรอบเรือน *เรือนบุษบา* ที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน อย่างที่ฝันเอาไว้มานานปี เรือนที่หนีไม่พ้นบึงบัว มีแสงไฟสลัวจากเชิงเทียนแก้วแทนไฟนีออน มีชานให้นอนเอนอิงพิงพักใจ..ได้ดูดาวเดือน เป็นเรือนที่มีมวลดอกไม้ไทยหวานหอม มาเคลียเคล้าในภวังค์ฝัน...ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เรือนที่ยังได้ยินเสียงเรไรร่ำ ดุเหว่าร้อง พร้องแผ่วแว่วเสียงหวาน ปานนกโกกิลาในตำนานพุทธศาสนา และ... ราวได้ยินเสียงนางโกกิลา ที่คร่ำครวญหวนหา*พระอานนท์... ............ เรือนริมบึงตรึงใจวิมานฝัน บัวหลากพันธุ์บานชูช่อล้อแดดใส จิก..ดอกหวานหว่านดอกลำธารไพร นั่นต้นไทรไหวเอนลู่คู่นกกา.. ตะวันสีไพลชิงพลบหลบเงาเมฆ ธรรมชาติเสกใจภิรมย์ชมมัจฉา มีชานฝันอันรื่นรมย์ชมพนา ตะวันลาโพล้เพล้เหว่ว้าใจ.. พายเรือน้อยลอยคว้างกลางสระกว้าง นอนอ้างว้างมองดูดาวพราวสุกใส โอ้ดาวน้อย ลอยเด่นดวง สุดแสนไกล ราวสอนใจไม่มีวันฝันเป็นจริง.. จุดตะเกียงเคียงหัวนอนเขียนกลอนฝัน นวลแสงจันทร์ลอดโลมไล้ลืมทุกสิ่ง เคียงหมอนขาวพราวดอกไม้หอมงามยิ่ง หลับตานิ่งดิ่งหัวใจไม่ตรอมตรม... พอยามดึกพงพฤกษ์ไพรไหวน้ำค้าง ใจว่างว่างลืมโลกลืมโศกสม เรือนหลังน้อยกับจิ้งหรีดร้องระงม เนื้อใจบ่มเพาะฝันดีที่งอกงามยามเงียบงัน... ....................... และ..สำหรับ บุษบา มีความสุข ที่ได้ชีวิตแสนสงบสุขแล้วเพียรภาวนา และ... หากค่ำคืนไหน ที่บุษบา คนนี้...ลุกขึ้นมาจุดเทียน ก็คือเทียนทองผ่องแผ้วถวายเป็นพุทธบูชา มิใช่..!มาเสี่ยงเทียนตามหารัก เพื่อเพียรฝึกหนักให้มีสมาธิภาวนา เกิดปัญญา รู้รักษาจิต ใสใจดวงงาม มิให้หวั่นหวามหวั่นไหว หลงใหลไปตามกระแสโลกย์ ที่แม้นแต่พระพุทธองค์.. ยังต้องดิ้นรนให้พ้นโศกสิ้นทั้งปวง มิต้องตกลงในบ่วงแห่งพันธนารักนั้น ที่รักกันได้กันดี ... หากพอถึงวันหนึ่ง เมื่อดวงชีวาชีวี และสังขารจำใกล้จะถึงเวลาโรยร่วง โปรยปลิดปลิว เป็นหนึ่งเดียวกับดินน้ำลมไฟ ก็ต่างพากันตระหนักว่า... เกิดมา ชาติหนึ่งนั้น วันเวลาแห่งชีวีช่างแสนสั้นเป็นยิ่งนัก.. และ ทุกสิ่งที่ผันผ่านมาคือทุกขังอนิจจังอนัตตา ที่หายึดมั่นถือมั่นได้นานไม่..! แม้แต่...*คำว่ารักนิรันดร์* จริงๆแล้วคือความทุกข์ ทั้งสิ้นทั้งนั้น ไม่ว่า เกิด แก่..เจ็บ..ตาย และ... จะต้องกลับมาวนว่าย อีกนับอสงไขยชาติ .. ให้น่าเหนื่อยนัก มาสู้รบกับความรักความชัง ทั้งหวังหวานและขมขื่น ที่ถึง..แสนชื่นฉ่ำ..ก็คงไม่นานปี... รอเวลาที่จะพ่ายแพ้สังขาร พรากลาโลกโศกสุขทุกข์ร้อน นอนไม่หายใจ กันทั้งนั้น ไม่เลือกวัยวันอายุขัยให้เตรียมใจไว้ได้เลย และ ในท่ามราตรีนี้... ที่เป็นราตรีคืนเดือนเสี้ยว จันทร์เสี้ยว..ดวงเศร้า..ที่ดูแสนงาม... ปานประหนึ่ง... ราวเรือทองกำลังลอยล่องท่องไป ในแดนดินแห่งความฝันสวรรค์สรวง ในท่าม รวงเรียวเกลียวเมฆหวานแสนหวาน บุษบา.. ได้กราบกราน ถวายมาลัยมะลิพวงโต หอมกรุ่นละมุนมงคล พลี แด่องค์พระพุทธคุณ ด้วยจิตดวงใสดวงคารวะ จุดเทียน..พร่างพราว แล้ว... ใจดวงงามพลันรำลึกนึกไปถึง เรื่องราว... ที่พระยาสุรสีห์ได้พลีดาบ ที่กรำศึกอย่างโชกโชนถวาย เป็นราวเทียน ให้จุดถวายเป็นพุทธบูชาในโบสถ์คร่ำ ก่อนวันที่ดวงชีวาท่านจะลาลับ ราวแทนคำสัจจะอธิษฐานภาวนา ที่ยอมพลีชีวาและทุกหยาดเลือดหลั่ง ให้พลั่งรินจนหยาดสุดท้าย เพื่อปกบ้านป้องเมืองเอาไว้ ใช่อยากเข่นฆ่าใคร หากทว่านี่คือสงครามเพื่อแผ่นดินไทย ที่บรรพบุรุษผู้เก่งกล้าเกริกไกร จำต้องรักษาอิสรา เพื่อให้ลูกหลานไทย ได้มีผืนหล้าไว้หยัดยืนอย่างทรนง..! ........... บุษบาจึ่งได้แต่ ก้มลงกราบกราน..ณ..เบื้องหน้า พระพักตร์พระพุทธทองคำสุกปลั่ง..นิ่งนาน แล้ว น้อมศิระกรานอธิษฐานจิตแด่ องค์พระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนา..*สวดคาถาพาหุง * ตามด้วยมนตราอิติปิโสภควา อุทิศให้กับ มิ่งมิตรทางจิตวิญญาณ ของบุษบาในค่ำคืนนี้ ที่เป็นดั่งคนดีเป็นสุขนิรันดร์ฝันแสนงาม และ... หวังไม่นานช้า ... เขาคงไขว่คว้าดาวดวง มาสู่อุ้งมืองาม รจนางานมากมาย ฝากไว้เพื่อพลีบรรณาการดับแล้งโลก ลบโศกคลาย ให้มวลมมุษยได้เลิกใจร้ายคอยห้ำหั่นกัน ให้ดั่งสายน้ำรักนิรันดร์ ได้นำทางไปสู่ฝั่งฝันฤาสวรรค์ .. จนถึงพระนิพพาน ตราบนานแสนนาน.. ตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ.. บุษบา.. ได้กลิ่นดวงดอกพิกุลหอมพราว มาเคล้าใจดวงงามในยามนี้ แล้ว... ใจดวงดีก็ประหวัดไปในค่ำคืนหนึ่ง คืนแห่งความซึ้งสุขนิรันดร์งาม ในต้นยามรัชสมัยรัตนโกสินทร์ คืนแห่งเบื้องบนนภา.. ที่รัศมีดาราส่องแสงพรายพร่างสว่างนวล สะท้อนทอละออม่านเมฆ........ เดือนแฝงเร้นซ่อนละมุนละไม. ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม.. ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย เมฆชมพูหวาน ราว สายไหม เกาะกลุ่ม ละเมียด เป็นช่อชั้นราววิมานเมฆ นวลละออน่านั่งน่านอนเล่น ดั่งทิพย์สวรรค์ ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.. ทายทัก..พักสายตา.. พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม.. .ตะลึงใจ..ตะไลฝัน กับงามล้ำของม่านเมฆ. มนต์ขลังแห่งฝันแสนงามนั้น และ นั่นคือจินตนาการที่บุษบาได้สานฝัน ต่อจาก... บทประพันธ์อันตราตรึง *ในเรื่องรัตนโกสินทร์กำเนิดกรุงเทพ..* *ของ..คุณปองพล อดิเรกสาร* ที่เพิ่งได้อ่านผ่านตา หากยังอวลตราล้ำลึกเกษมในบึ้งใจ *ในยามที่บุญมา(เจ้าพระยาสุรสีห์) ยืนเคียงคู่เจ้านางศรีอโนชารับลมเย็น บนระเบียงบ้านไม้สองชั้น ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านบางกอก เจ้านางศรีอโนชา โอบกอด เด็กหญิงอายุได้สี่เดือน ไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม บุญมา โอบเอวเจ้านางศรีอโนชาไว้เพียงเบาๆ เขาดูสบายใจในชุดโจงกระเบน สีเขียวเข้มสวมเสื้อคอกลมสีขาว สายตาที่มองดูภริยาและลูกสาวบ่งชัดถึง ความรักและความเอ็นดู ของผู้ที่เป็นสามีและเป็นพ่อ ท่าทางที่ยิ้มแย้มเบิกบานของบุญมาขณะนี้ กลบกลืนความเป็นนักรบที่เก่งกล้าดุดัน กับความเป็น แม่ทัพชาญศึกที่สุดคนหนึ่งของกรุงธนบุรี ซึ่งทั้งข้าศึกและทหารของเขาเอง ต่างเกรงกลัวและยอมรับนับถือฝืมือ* *พี่จากไปเกือบปี เจ้ารู้ไหมหรือไม่ว่าพี่คิดถึงเจ้าตลอดเวลา และนับวันรอให้ลูกสาวคนนี้เกิดมาด้วย* *เจ้านางศรีอโนชาเงยหน้าขึ้นมองสามีของเธอ ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งในใจถามตัวเองว่า... *นี่หรือคือพระยาเสือ ที่ใครๆกลัว* นางยิ้มอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นบุญมายื่นหน้าออกไปรับลม และหลับตาสูดอากาศที่สดชื่นสบายใจ* ................ .................... *ลมโชยแรงมาจากสวนรอบบ้าน พากลิ่นดอกพิกุล ที่ปลูกไว้ไม่ไกลจากบ้านมาด้วย *บุญมา..*ผ่อนลมหายใจสูดกลิ่นดอก ไม้ที่เขาชื่นชอบเข้าไปช้าช้า ในใจหวนนึกถึงเครื่องประทิ่นของชาววังกรุงเก่า ที่ทำจากดอกพิกุลอบแห้ง ที่บรรดานางในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา เคยชอบใช้กันหนักหนา* ........... .................* และ...สำหรับดวงจิตบุษบา ก็ได้แต่ร่ำไห้อย่างโศกครวญแทบทุกบรรทัด จิตนั้นพลันพลีเทิดทูนคารวะ แด่ทุกดวงวิญญาณบรรพชน วีรบุรุษลูกผู้ชายชาติไท หัวใจหาญกล้า ราวชายชาติอาชาไนย ที่มิเกรงกริ่งหวั่นภัย ยอมพลีเลือดเพื่อปกป้องผืนดินตราบจนสิ้นใจ ตราบจนหยาดสุดท้าย..!!!!! และ.. ฝากไว้ให้เรา ลูกหลานไทยทุกดวงจินต์ในวันนี้ ให้ยังมีแผ่นพื้นพสุธาไทยพสุธาทอง ให้ยังได้ครองหยัดยืน ครองขวัญ ฝัน ก็จงอย่าลืม... สร้างสรรปันพลีความดีความงาม คืนกลับแด่แผ่นดินแม่มาตุภูมิ แด่ผืนโลก ให้สมภาคภูมิ ก่อนที่...ลมหายใจ จะมอดดับลับลาไปราวอาทิตย์อับแสง..!!!!!! ............................ ........................ เธอคือเมฆเสกสายหวานมาห้อมห่ม มาพร่างพรมขวัญเจ้าคราวเหน็บหนาว เธอคือสร้อยร้อยสวยด้วยรวงดาว คล้องฝันพราวรับขวัญพลีราตรีเพ็ญ.. ราวสายลมพรมผ่านลุกขึ้นสู้ โลกยังอยู่ดอกไม้หวานบานให้เห็น แม้นดายเดียวเปลี่ยวร้าวใจเยียบเย็น เธอยังเป็นเช่นเทียนทองส่องกลางใจ ราวรุ้งเรียวเกี่ยวฟ้าทางช้างเผือก ลบหนาวเยือกให้อุ่นพร่างสว่างไสว รจนาบทกวีที่งามงดหมดจดใจ ระรินไหวลบโลกร้อนสอนกมล... เธอคือสายธารหวานพรมห่มหอมร่าง ให้ฉ่ำพร่างฉ่ำชื่นดุจสายฝน เธอนั้นหรือคือน้ำค้างกลางกลีบรสสุคนธ์ เธอคือคนของสายธรรมนำชีวี.. เธอคือตะวันอันโอบเอื้อมนุษยชาติ สว่างวาดรจนาร้อยสร้อยศักดิ์ศรี เธอนะหรือคือยอดงามยอดความดี เป็นสร้อยสีสร้อยแสงสร้างแรงรัก.. เธอคือไม้ไพรในป่าเมืองมนุษย์ สร้างพิสุทธิ์ดุจร่มธรรมล้ำค่านัก เธอคือใครใครคือเธอเล่ายอดรัก ยอมพลีภักดิ์ศรัทธารักศรัทธาใจในวันนี้.. ................................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) เทียนจุดเวียนพระพุท-ธา ตัว ข้า บุษบาขออธิษฐาน เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน อ้า องค์พระพุท-ธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ... .................
ดวงดอกฝนแตกช่อจากกอเมฆ หว่านสายเสกเสน่หามายาฝัน ให้เวียนว่ายทะเลโลกย์โศกวนวัน เป็นนิรันดร์นานมาปาฏิหารย์ใจ เพราะเพรงกรรมกำหนดทุกข์บทบาท ให้หมายมาดปรารถนาหลงคว้าไขว่ ดาวลอยดวงเด่นหล้าเวิ้งฟ้าไกล งามไสวลบมืดมนหนทางชีวิต กระพริบระยิบระยับดับหมองหม่น กลางกมลนำทางสว่างจิต มิหลงทางเหน็บหนาวดั่งเข็มทิศ นิรมิตให้เห็นเส้นทางทอง เกี่ยวก้อยรัดร้อยให้รู้สึก ล้ำลึกจิตเกษมงามผุดผ่อง ตามรอยบาทพระศาสดางามเรืองรอง ในจิตปองสุขนิรันดร์ใช่ฝันลวง....! ........................... ระเบียงบนฝนพรำพรำค่ำคืนนี้ ระริบหรี่ด้วยแสงดาวหนาวสลัว เห็นไผ่กอพลิ้วไหวอยู่ริมรั้ว นั่นดอกบัวบานรอเพ็ญพุทธบูชา การเวกยังหวานเศร้ากี่หนาวฝน กลีบพร่างหล่นเกลื่อนพรายบนพื้นหญ้า นวลมะลิตูมตั้งยังให้หอมทุกเวลา วาสนาไร้ดอกร้างอ้างว้างใจ จำปีพ้อกี่ปีแล้วเจ้าแก้วขวัญ ยังเศร้าวันรานคืนนานแค่ไหน มายาโลกย์โศกเสน่หานะดวงใจ ดับเยื่อใยพิสวาทวายตายจากกัน พิษน้ำผึ้งซึ้งพอแล้วรู้ทันเท่า มากเรื่องราวรัดร้อยสร้อยโศกศัลย์ หันหลังลาเส้นขนานตราบชั่วกัลป์ ลืมคำมั่นมายาลาชั่วกาล....
ตามฉันมาพบฟ้างาม เป็นนิยามมหัศจรรย์แห่งความฝัน เป็นโลกธรรมชาติวิถีวัน ราวสวรรค์เยือนหล้าสงบใจ ห่างจากภัยไกลแสงสี มีเพียงชีวีบริสุทธิ์ใส ลบลืมโลกย์วายวุ่นไป คือโลกไพรใจเลือกแล้ว แลเห็นดวงตะวัน ทอแสงขวัญน้ำค้างแก้ว ป่าสนสูงเป็นแนว วะวับแววส่องแสงทอง กระท่อมริมลำธาร รักโปรยหว่านงามเรืองรอง เรือน้อยลอยละล่อง พาเที่ยวท่องสู่แดนทิพย์...! ....................... วันนี้ฉันนั่งนิ่งๆดูพายุฝนพัดไผ่ไหวเอน ฟ้าปรายโปรยสายพิรุณรุนแรง ละอองน้ำทิพย์หยาดเย็นไปทั่วทุกทิศทาง พร่างพรายหมายปลอบโศกพสุธา เมตตาฟ้ากรุณาดิน สอนถวิลให้มวลมนุษย์เรียนรู้ การดำรงอยู่กับวิถีใจวิถีไพร ที่แสนบริสุทธิ์ใส สอนให้พบไสวสว่างสงบงาม ภายในดวงใจ ให้รู้สยบกิเลสเหตุแห่งเพทภัย ที่พายพัดดวงใจผู้คนให้ทนทุกข์เทวษ ในวังวนแห่งวิบาก มากด้วยความรักความต้องการ ..............................
ติดปีกดวงใจ แล้วบินไปสู่เสรีแห่งความฝัน แสวงหาอิสรภาพตราบนิรันดร์ อย่าติดขวัญไขว่คว้ามายาลวง ฟ้าก็คือฟ้า ไม่เหว่ว้าแม้นจันทราจำลาล่วง ไม่ยึดมั่นดารารายงามเด่นดวง เพราะทั้งปวงเป็นธรรมธรรมดา เราแค่ผู้เฝ้าดูแล้วรู้วาง จิตเป็นกลางสร้างสุขอุเบกขา ไม่ติดรักรสน้ำผึ้งพิษดั่งภุมรา ที่จักพร่าดวงชีวาให้เปล่าดาย เจริญสติตามดูรู้นึกคิด ตามติดลมหายใจยังไม่สาย ทุกข์ใดไหนเล่าจักกล้ำกลาย ช่างแสนง่ายเพียงพริบตาพาพบธรรม.....! ............................................... เจ้านก..นิรันดร์..ในดวงใจ...! เจ้านกไพรในใจนวลมณี มาวันนี้ข้าจะปลดปล่อยเจ้า ให้โผผินบินจากดินสู่ดวงดาว สู่พร่างพราววิมานเพชรหฤทัย ข้ายอมเหน็บหนาวราวไร้จิต พลีชีวิตให้เจ้าสู่โลกกว้างใหญ่ พเนจรรอนแรมเรียนรู้อ้อมกอดไพร ดื่มน้ำค้างใสแทนน้ำทิพย์จิบนิรันดร์ จงเป็นนกที่กล้าหาญ รักดอกไม้บานรักอิสรารักฟ้าฝัน รักโลกนี้พลีทุกสิ่งเอื้อโอบปัน โลกจินตนาการขวัญรอดวงใจไม่รวนเร ให้ปีกใสใจดวงงามบินเหนือโลก ไกลจากโศกจากสุขเสน่หา รู้ทุกข์สรรพสิ่งรายรอบเราคือเหว่ว้า ชั่วพริบตามายาฝัน... วันสองเราก็หายไป..วันรักเราก็หายไป....! ..........
พระพิรุณพร่างสายหมายสอนโศก ให้กับโลกเรียนรู้ฤดูฝัน ว่าเพลงฝนหล่นลาอาลัยวัน เสมือนขวัญรอใครพรากทุกฉากตอน หลับตาเฝ้าตามดูในรู้สึก เงียบล้ำลึกฟังเสียงวสันต์สอน แม้นดายเดียวลำพังนิรันดร ใจดวงอรชรเงียบงามยามสนธยา สายฝนเฝ้าครวญคร่ำร่ำแด่โลก วิปโยคสังเวยชนทุกข์ทั่วหล้า ด้วยดวงใจมืดดำจึงเหว่ว้า รินน้ำตาบูชาแม่พระธรณี ดังสายธารจากสวรรค์สรวง พรายร่วงราวเพชรมณีศรี มิสิ้นรักฝากงามให้ทุกชีวี สร้างความดีพลีฝากไว้ก่อนสายเกิน...! ........................... ทรุดตัวนั่งนิ่งนิ่ง..ณ..ที่เก่า กับเก้าอี้เหงาสีแดงในแสงฝัน ฟังเสียงฝนกระซิบรำพึงรำพัน ฟ้าไร้จันทร์ขวัญไร้ใครใจว่างวาย เสียงสายลมกระซิบอยู่ริมหู เกิดดับอยู่ทุกขณะยังมิสาย อย่ายึดมั่นฝันรักใดใจเปล่าดาย แค่ร่างไร้มายาเปลือกอย่าเลือกครอง ดวงมณีจิตของเจ้าแจ่มกระจ่าง มาสว่างไปสว่างอย่าหม่นหมอง ลารอยกรรมย้ำระทมมิคิดปอง สู่ครรลองทางธรรมย้ำสอนตน โลกชีวิตผ่านมาได้ชดใช้ ทั้งดีร้ายให้สิ้นทุกข์สุขสับสน อโหสิกันและกันวิบากวน ล้างกมลวางว่างหยุดสร้างภพ..ลบด้วยลืม..!.