22 กันยายน 2548 21:18 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song354.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html
(เรือนแพ เงาไม้)
...............................
กับฟ้าโพล้เพล้
ผมกำลังเหว่ว้าดวงใจสุดทน
เหน็บหนาวกมลด้วยหลายข่าวสารที่ประดังมา
พาให้หัวใจผมแสนปวดปร่าปวดร้าว...
ผม....จึงพาตัวเองมานอนเดียวดาย
ณ...ริมชายชล...ณ..เรือนริมคลอง...
ให้สายนทีทองโอบหอมอบร่ำให้ดวงกมล
ของผมนั้นได้พบฉ่ำเย็น...
เรือนริมคลอง...ที่ชะตาพาต้อง...
พามาให้ผมได้เป็นเจ้าของอย่างบังเอิญ
เมื่อวันหนึ่ง...
ผมขับรถเพลินเดินหลงเข้ามา
ริมแม่น้ำนครไชยศรี
เพื่อทอดทัศนียภาพดู ต้นลำพูคู่ใจ
หากใช่รอใคร
แบบในหนังเรื่อง*คู่กรรม*ก็หาไม่
ผม..
ชอบมานั่งทอดตา
ดูลีลาสายน้ำไหลเอื่อยๆระเรื่อยระริน
ที่ทอดโอบมิรู้สิ้น...ไปตามสองข้างลำประโดง
ที่มี...บ้านเรือนเรือกสวนริมฝั่ง
อย่างงามเงียบสมถะน่านั่งนอน
มีศาลาท่าน้ำ ..อันทรุดตัวอ่อนยวบโย้เย้
หากทว่านั่นคือ...
ท่าเทียบเรือเผื่อคนมาเยือนเรือนริมฝั่ง
อาจจะเป็นทั้งเรือโดยสาร...เรือมาดลำเล็กก็ได้
หรือ..
เรือที่
พระภิกษุวาดพายมา..ในยามแรกอุษาฟ้าสาง
ในท่ามควันไฟจากทุกหลังคาเรือนครัว
ที่กำลังลอยฟ่องเหนือปลายไผ่..
เป็นริ้วรายพรายพลิ้ว
ปลิวไปกับสายลมแห่งอรุณ
ที่ทุกดวงใจกำลังตระเตรียมสำรับกับข้าวหอมกรุ่น
เพื่อเฝ้ารอใส่บาตร....
ให้หัวใจดวงทอง
ผ่องพิลาสแบบพุทธศาสนิกชน
ได้สะอาดสวยใสพอกันกับศรัทธาปสาทะ
และกับกลิ่นข้าวมะลิใหม่จากนาหอมๆ
แล้วจึง...
น้อมดวงใจ...
อธิษฐานภาวนา
ถวายบัวบูชา ฤาว่ามาลัยมะลิ
ที่รัดร้อยเอง
ฤาไม่ก็...
ดวงดอกไม้พื้นบ้านนานาพรรณ
ดาวเรืองบานไม่รู้โรย
แซมโดยดวงดอกบานชื่น
แทน..
ความชื่นบานหวานฉ่ำใสแห่งดวงชีวาชีวิต
และ
แสนละมุนกลิ่นพอกัน...
แล้ว..
ขอตั้งจิตมั่น ให้ชาติหน้าชาติไหน
ได้เกิดมาทันศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย์
ให้ดวงใจใสสะอาดสว่างสงบ
พบพระนิพพานด้วยเทอญ...
ผม...นั่งเพลินจนใกล้ค่ำ
จนตะวันรอนรอนอ่อนแสงสวย
ลงโลมไล้เรียวไผ่ ใบไม้ ทายทักดอกผักบุ้งริมบึง
อย่างอ้อยอิ่งออดอ้อนอำลา
จนกระทั่ง ....
คุณลุงเจ้าของร้านเล็กๆริมคลอง..
ต้องมาเตือนให้ผมออกจากภวังค์ฝัน
มหัศจรรย์รัก อันแสนดำดื่มลืมตนนั้น
พลันตื่น..เสียที
คุณลุง...ที่จดจำผมได้ดี
ไม่ว่าจะมากี่ที ๆ
เพราะ...
คุณลุงคนดีคนใจดี...
ต้องมีหน้าที่ช้ำๆ...
คือต้องคอยย้ำคอยเตือนให้ผม
คืนหลังกลับรังนอนของตัวเองได้แล้ว..เสมอมา
และ...
ด้วยความเกรงใจ
หากไม่เชิญให้นั่งโอภาปราศัย
คุณลุง...จะไม่เคยถือวิสาสะเข้ามาชวนคุย..
ปล่อยให้...
หัวใจผมติดปีกฝันกระจายกระจุยไปกับเวิ้งน้ำ
กับฟ้ากว้างแสนกว้าง....
ที่เล่นแสงแปลงสีสวยในยามค่ำ
จนกว่า...ตะวันจะพลบจะลับฟ้า
จนกว่านกกาจะพากันผกโผผินบินกลับรัง...
และ..
ที่ผมประทับใจนักประทับใจหนา
กับร้านแสนน่ารัก...ที่สงัดสงบสมถะนี้
คือ...
วิถีความเอื้อโอบอ่อนโยน
มากล้นน้ำใจไมตรีแบบคนไทยโบราณ
ที่ยังยึดถือประเพณี ว่า.
*ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ*
และ...
อีกทั้งคุณลุงยังทำกับข้าวอร่อยอีกต่างหาก
ร้าน...
ที่มีหญิงชราคือคุณลุงและคุณป้า
ทำทุกอย่างเอง บริการเอง และอย่างเป็นกันเอง
และ....
บางทีอิ่มท้องแล้ว
ยังยินดี ให้นอนเขลง...ตรงชานท่าน้ำ
ที่มีชายคาบัง...
ทั้งยังมีทั้งหมอนขวานให้นอนนั่งตามใจนึกชอบ..
จนกว่า..
จะอยากกลับรังตัว...
กลัวมืดค่ำ
ราวนกน้อยนั่นแหละถึงค่อยลากัน..และกัน
วันนั้น..
หลัง..
อิ่มหนำสำราญ
กับเมนูแกงส้มปลาช่อนกับผักชะอม
และผมสั่งไก่บ้านคั่วแห้งกรอบแกมมาแนมเพิ่มแล้ว
ผมก็เลย..
นั่งจนนาน...จนพาลจะง่วงนอน
จนตะวันใกล้ลับลา
จนฟ้า..รอนอ่อนแสงสาดสายเรี่ยปลายไม้นั่นแหละ
และ...
เหมือนเคย
ที่คุณลุงต้องมาแวะเตือนตามธรรมเนียม
ให้เตรียมตัวกลับเสียที....
แต่..
คงเป็นนาทีทอง ..สำหรับผม
ฤาว่าพระพรหมท่านสรร
สวรรค์ช่วยพา..ให้ผมได้พบโชคก็ว่าได้
เมื่อคุณลุงเอ่ยขึ้นมา...แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า..
*สนใจจะซื้อเรือนริมคลองมั้ย*
มีเจ้าของเขาเบื่อเรือกสวนไร่นา
จะย้ายชีวาชีวิตไปสถิตเเป็นคนเมือง
อยู่ในตึกให้ระทึกฤาว่าระทมก็ยังไม่รู้
อย่างคนผู้ที่...
อยากแปรเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน
แบบเบื่อความจำเจซ้ำชาก...เสียบ้าง
และ
เพราะ..จากคำถามนั่นเอง..
ที่คือวิบาก...
ให้ผมได้มี...
เรือนแสนสุขเรือนใจเรือนในฝัน
เรือนสวรรค์ริมคลอง
อย่างบทเพลง ที่คุณลุงชอบเปิดให้แขกฟัง
*เรือนแพ...*
เรือนที่ผมไม่มีแม่ย่านางมาคอยเคียง
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html
เรือนแพ ชรินทร์ นันทนาคร
เรือน แพ
สุขจริง อิงกระแสธารา
หริ่งระงม ลมพริ้วมา
กล่อมพฤกษา
ดังว่า ดนตรี
หลับอยู่ใน ความรัก
และความชื่น
ชั่ววัน และคืนเช่นนี้
กลิ่นดอกไม้ รัญจวน
ยังอบอวน ยวนยี
สุดที่จะ พรรณา
เรือน แพ
ล่องลอย คอยความรักนานมา
คอยน้ำค้าง กรุณา
หยาดมา จากธารา
แหล่งสวรรค์
วิมานน้อย ลอยริมฝั่ง
ถึงอ้างว้าง เหลือใจรำพัน
หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน
ชีวิต กลางน้ำสุขสันต์
โอ้สวรรค์ ใน เรือน แพ.
และ...แถม..
ต้องให้..เงิน
จากความยากลำบากตรากตรำ
ที่จำทนอดออมมานานปี
ย้ายที่....ไปตุง
อยู่ในกระเป๋าเจ้าของเรือนคนเก่าแทน..
ที่..
เขา...อยากแขวนเรือนชีวิต
ขอไปสถิตใช้ชีวิต
แบบคนเมืองกรุงเมืองรุ่งเรืองรุ่งริ่งรุงรัง
เมืองในฝันศิวิไลซ์..
ที่..
เช้าต้องตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันจะโห่
ต้อง...
พาร่างสะโหลสะเหลไปสะลึมสะลือแทบมิรู้ฟื้น
เพื่อไปนั่งสัปหงกบนถนนที่รถราติดยาวเป็นพืด
ค่อยๆกระดื๊บๆกระดิ๊บๆไปได้ที่ละนิดทีละหน่อย....
ให้..หายอยาก ...
ที่อยากทดลองพรากจากวิมานคนยาก
ไปเป็นคนลำบากกว่าเสียอีก...
แต่....
ก็ช่างเถอะนะดวงใครก็ดวงคนนั้น..
เพราะ...
พระพรหมจัดสรร
*สวรรค์ริมคลองเรือนริมคลอง*
มาให้ ..
ผมได้ครอบครองเป็นจ้าของแล้ว
ดวงชะตาที่หนีไม่พ้น
ต้องชักนำโชคมาให้ผมจนได้..
เพราะ...
ผมนั้นฝันใฝ่ มานานแสนนานนัก
ปานเกือบตลอดทั้งชีวิตเลยที่เดียว
เป็นฝันแปลก
ที่ราวอยากแลกฝันกับเจ้าของเรือนคนเก่า
ที่..
ผม...อยากกลับมาใช้ชีวิตแร้นแค้นแบบวัยเยาว์
ที่นานเนาในทรงจำ..ให้ผมฝันหา มานานปี
และ
นี่คือ.....
พรหมลิขิตชะตาแห่งฟ้าดิน...
ที่ทำให้ผมมานอนหายใจระรินระริน
ด้วยความรู้สึกล้ำลึกดำดื่มอย่างแสนสงบสุข....
ชีวิต......
ที่คือ ผม..
มิใช่ร่างคนร่างใครในคราบคนทำงานแบบคนเมือง
ที่ไม่ประเทืองประทับใจ เอาเสียเลย
ที่จำใจทนทำทนอยู่ไปวันๆ แบบหาเช้ากินค่ำ
แบบเหนื่อยหนักเสียเป็นนักหนา
จน...
ไม่มีเวลานอนนับดาว
หรือมานอนฟัง
เสียงเคล้าคลอกระซิบของสายน้ำรักนิรันดร์
มิได้ฝันฤามาปันพลี ดวงชีวี
กับเสียงปลาฮุบเหยื่อเหนือสายน้ำแห่งรัก
มิได้นอนพักใจ....ได้ยินเสียงใบไม้ไหวระบัด
กับลมพัดคราง
ท่ามกลาง
เสียงสายฝนหล่นลา
ลงในบึงบัวตระการแสนหวานหอมให้ห้วงอารมณ์
ฤา...มานอนมอง
ฟากฟ้ากว้าง...ที่พร่างพราย
ไปด้วยดวงจันทราดาราราย
ที่
กำลังกระพริบพราวหว่านสายแสง
สะท้อนกระทบลง ในดงผักตบชวา
กับ..
ฟ้าโพล้เพล้
ที่ได้เดินเหว่ว้า ไปตามคันนา คูคลอง
ดูควายนอนคว่ำหงายใช้ชีวิตในปลัก
ได้ทายทัก...
ดวงดอกโสนสีเหลืองทองสะพรั่งพราว
ได้เฝ้าแหงนเงย
ดูตาลเดี่ยวเกี่ยวกรีดกรายใบ..ไหวเปลี่ยว
ยามต้องลมพรมพราย
คล้ายลมไล่ท้องช้างพัดข้าวให้วาบวับปราดปราย
คล้าย
ลอนคลื่นไหวระริก...พลิ้กพลิ้วเป็นระลอก ระลอกลอน
จนใจดวงสะออนบรรยายบอกงามไม่ถูก...
จะปลูกในจิตใคร..
ให้เอมอิ่มซึ้งซ่านซึ้งซาบใจ
ก็ยากเหลือใจจะรำพึงรำพันให้ฝันตรึงตรา
ให้ถึงบึ้งนวลใน ใจดวงรักเหว่ว้า
ดวงละไมละม่อมละเมียดแบบนี้ได้..
ผม..จึงแสนสุขกมล
แม้นจะแสนจน จนกระเป๋าแบน
แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่กลัวแฟนจะทิ้งจะทอดไป
ในเมื่อ....
หัวใจดวงดินดวงเดิมดวงรักดายเดียว
มิเคยหวัง
ใช้ชีวิตติดข้องเกี่ยวพันธนารัก..
อยากร่วมหอลงโรงกับใคร
ที่...
ผมคงค้นพบอิสรา...
จนยากที่จะ...
อยากก้าวขาลงไป
ในบ่วงล่วงล้ำให้ร้อยรัดมัดตรึงขึงแน่น
จนยากจะถอนออกได้ ตราบจนวันตาย
ที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชายที่ดี
หากรักจะมีครอบครัวต้องสละทั้งร่างตัวรู้รับผิดชอบ
ผม..คนร่างแลหัวใจแสนเสรี
จึงมีความสงบสุขเช่นฉะนี้
ได้มีเวลามานอนลอยล่องท่องธรรมชาติ
ให้ดวงใจผมได้รับสวยใสพิไลพิลาสในทุกวันหยุด...
มา...
พบทุกสิ่งที่แสนดีให้ดวงชีวาชีวี....
ได้ค้นพบ..*อัญมณีจิตใสสว่าง*..ณ..กลางใจ
ในท่ามเรือนไทยริมคลอง...
ที่...
ผมคอยจ้องรอ...ให้ถึงวันเสาร์อาทิตย์
จะได้มาสถิตนอน...อย่างสมถะ
มาชิดใกล้สายน้ำ...
มาต่อตามเติมใจไฟฝันให้พลันพร่าง
ให้...
ได้พบกระจ่างงาม
แห่งความสงบสงัดอันแสนวิเวก
ราวเสกโลกภายใน
ให้หัวใจผม..
แสนบรรเจิดเพริศพริ้งเสียยิ่งกว่าใด..ในหล้าแล้ว..
และ....
นี่คือ ที่มาที่ไป
ว่าทำไม..ผมถึงมีเรือนใจ
เรือนริมคลองวิมานที่สอง
นอกจากคอนโด..ที่ผมเช่านอน
เพียงเพื่อใช้ชีวิตทำงานในเมือง
........
ผม..ขับรถมาเมื่อฟ้าโพล้เพล้ใกล้ค่ำแล้ว
เรือแจวยังเทียบท่าน้ำ
ฟ้า....กำลังเรื่อรางด้วยสายแสงสีส้มอมชมพู
ต้นลำพู...ยังคงรอหิ่งห้อยนับพัน
มาพลันพร่างพริบพร้อย
มาคอยรักมาทายทัก...ราว..*คำมั่นสัญญา*
ระหว่างโกโบริกับอังศุมาลิน
ที่...
จำสิ้นชีวีร้างลาแบบ..*คู่กรรม *
นวนิยามอมตะงามล้ำ
ที่ให้แง่คิดถึงรักนี้ที่หนีลิขิตชะตาไม่พ้น
และ..
ทิฐิใดไหนเลย จะพาคนสองคน
ให้รอดพ้นจากหอมห้วงแห่งรัก...
จักจนได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจ..*ยามสายเกิน*
............
ผม...จุดตะเกียงเคียงหัวนอน
วาง...
ดวงดอกพุดซ้อนอรชร
แสนหอมหวานไว้ริมหมอน
เห่กล่อมริมแก้มให้นอนหลับฝันดี
หัวใจ...ดวงใสใส
พราวไสว
ราวนางฟ้าเทวดามาใส่พรให้
อันแสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน...
ผมอ่านบทกลอน...รจนาบทกวี
ในท่ามแสงดาวเดือนในยามราตรี
ที่พลีทอดหวานหว่านสายน้ำผึ้ง
อัน...
แสนซึ้งเศร้ามาโลมไล้ปลอบประโลม
เสียงสายน้ำ...
กำลังออดอ้อนกระซิบรัก...
เซาะไซ้ซุกปลุกฝัน...
ให้แสนรัญจวนใจเป็นยิ่งนัก
เสียงสายลมทายทักยอดไผ่ไหวระริกๆ
กระซิกๆกระซี้...เสียดสี ซัดส่ายร่ายมนต์เสน่หา
พาให้ราวสายเสียงแห่งท่วงทำนองดนตรีสวรรค์
เสียงใบไม้....
คล้ายรำพันฝันหา
สายฝนและหยาดน้ำค้างแห่งรักละมุน
รอผลิช่อ...จากกอกรุ่น
แย้มกลีบกลางเกสรรอมวลหมู่ภมร
ให้...
ร่อนถลามาลองลิ้มชิมรสหวาน
แห่งปวงสุมามาลย์สุมาลี
ที่พลีพร้อม
ยอมแย้มเผยอเผยกลีบตระการ
อย่างมิกลัวรานด้วยรัก...
ผม..หลับตา...
ผสานใจไปกับธรรมชาติเงียบงาม
หากในท่ามความนิ่งสงัดสงบนั้น...
ผม....
กลับดำดิ่ง...ลงสู่ความจริง ...
สามารถทิ้งบางสิ่งบางอย่างและวางว่างได้
ผม...
ค้นพบความกระจ่างแจ้ง
แฝงด้วยความมหัศจรรย์ใจ
ที่มี...
เพียงดวงใจและ จิตวิญญาณบ้านภายใน
ของผมแต่เพียงผู้เดียวได้รับรู้...
แล้ว...
จู่จู่...พลันพา....
ให้หยาดน้ำตาจากพลังปิติเกษมภายใน
จากใจลูกผู้ชาย
ได้ไหลถั่งละหลั่งรินอย่างมิสิ้นสาย
ไปกับสายฝน.....
ที่กำลัง...
เริ่มพร่างพรมพรมพรำ
ลงกระทบผืนน้ำ..อย่างงามเงียบ......
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song354.html
เงาไม้ นภา หวังในธรรม
แสง จันทร์วันนี้นวล ใครชวนให้น้อง เที่ยว
จะให้ เหลียวไป แห่ง ไหน
ชล ใสดูในน้ำ เงาดำนั้นเงา ใด
อ๋อ ไม้ ริม ฝั่ง ชล
สวยแจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว
จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล
สวย แจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว
จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล...
22 กันยายน 2548 09:19 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6192.html
ช่อเอ๋ยช่อดอกโศก
ไทยวิปโยคสิ้นสุขทุกข์วิถี
ดอกประดู่มาร่วงพราวหนาวเหน็บในฤดี
สิ้นสุมาลีเหลือเพียงโศกโลกสะเทือน
ช่อเอ๋ยช่อดอกเศร้า
บุปผาร้าวรานสิ้นทุกถื่นเถื่อน
ลาจากช่อทิ้งกอเศร้าหนาวดาวเดือน
เลือดมาเยือนแดนใต้ไร้เสรี
ช่อเอ๋ยช่อดอกรัก
แสนภูมิภักดิ์ซึ้งเศร้าในวันนี้
พลีหยาดเลือดฝากพสุธาธรณี
น้ำตาพลีศรัทธาธาราริน
ช่อเอ่ยช่อดอกขวัญ
ฝากโศกศัลย์ทุกข์หย่อมหญ้ามิรู้สิ้น
ดวงดอกโศกโลกสะเทือนด้วยราคิน
ฟ้าระรินหลั่งน้ำตาอีกคราแล้ว...!
......................
กับฟ้าหนาว
กับดาวเดือน...ที่ดูพร่าเลือนในราตรีวิปโยค!
ทุกดวงใจไทยโศกสะเทือนหนาวน้ำตา...
กับการลับลา....ของดวงดอกประดู่จากแผ่นดิน
ที่ค่อยๆ...ปลิดขั้ว...
ทิ้งหนาวเหน็บเจ็บร้าวอย่างไร้เข้าใจ..ไทยด้วยกัน!
จาก....
พายุอันแสนร้าย...
หมายเพียงคอยเข่นฆ่า
อย่างหาความยุติธรรมมิได้แล้ว..
ทุกหยาดเลือดแดง ....
ทุกแรงรักพลีเพื่อปกบ้านป้องเมือง
ทุกราวเรื่องแสนเหน็บหนาว...
ร้าวรานในดวงใจ....
ที่สิ้นไร้น้ำใจเมตตาปรานี...
ขอ..ธงไตรรงค์ได้คลี่ห่ม..ลงบนร่างแห่งผู้กล้า
ฝาก...
อวลอุ่นแห่งศรัทธาภาคภูมิของคนทั้งผืนดิน...นะคนดี..
หลับให้สนิทนิทราสถิตในสวรรค์สรวง..นะดวงดอกประดู่
ฟ้าและโลกรับรู้ ...
เดือน..และ..ดาราราย....
กำลังร่ำไห้พร้อมปรายโปรยสดุดี...!!!
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6192.html
ความฝันอันสูงสุด ...เพลงพระราชนิพนธ์
ขอฝันใฝ่ ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้ เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้าง สิ่งที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรม อันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เพราะมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังคงหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทิดผองไทย...
21 กันยายน 2548 13:07 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song92.html
(หนีรัก)
............
ใกล้บุญ...กำลังยืนอยู่ในท่ามฝนพรำ
กับหยาดน้ำตานางฟ้าจากสวรรค์
ที่กำลังโหยไห้ครางครวญ..
ราวปีศาจวสันต์ ในยามค่ำ
กับพายุฝน
ฟ้าหม่นมัว..
สลัวด้วยหมอกเมฆเทาทึมทอดทาบไปทุกทิศทาง
เธอ..มาคอยใครคนหนึ่ง
คนที่เคยฝากรักซึ้งซึ้ง
ให้ตรึงตราใจ
ให้แสนไหวหวามหวิวหวั่น
ให้หัวใจเธอ
ฝันกระเจิงกระจุยกระจายมานานหลายปี
คนที่เธอพ้อเพ้อละเมอหาแทบทุกนาที
ด้วยลมหายใจแห่งความคิดถึง
แล้ว...
ไม่นาน
ซึ้งก็แปรเศร้า
รักก็แปรราน
หวานก็แปรขม...
เหลือก็เเพียง....
ลมลมลม
ตรมตรมตรม
ระทมระทมระทม...เพียงนั้น...
เมื่อคืนฝันวันน้ำผึ้งจางจรจาก
ที่อ้อนออดอย่างไรๆ ...
เขาก็ไม่ย้อนกลับ
ฤดีช่างผิดกับฤดูนักที่จักหมุนวนมาใหม่
หากนี่...
คือกังหันใจกังหันสวาท
ที่เหลือเพียง..
หมุนมาพิฆาตบั่นคอ
รอ...
การประหารให้ชีวิตรานไร้..
ราวหลงทางกลางทะเลทรายลำพัง
เธอ...กำลัง...รอเวลานั้น
รอเลือกพิพากษาหัวใจตัวเอง
อย่างมิเกรงกลัวใคร
ให้ฟ้าดินสิ้นอินทร์พรหมยมพญาเป็นพยาน
กับ...
กาลเวลานี้
ที่มีเพียงใจดวงที่แน่วแน่
มิแพ้ทางมิหลงทาง พลีรอ....
...............
เขาอยู่นั่น...แล้ว!
เพชฌฆาตใจ..
ยังหล่อให้สาวๆ
เหลียวไปหวิวไหวหวั่นหวามในทุกท่วงทีลีลา
ที่ราวกับว่า
เกิดมาเพื่อใช้ร่างพรางตน
*เป็นพราน...ผู้ผลาญพร่า*
ราวกับ
เกิดมาเพื่อเกมกลเกมกามโดยเฉพาะ
ที่หวังเจาะแล้วจาก...ฝากเจ็บ
พรากเอาน้ำใจรัก
จากหลายดวงใจ
ที่แสนบริสุทธิ์ใสงามในทุกวัยเยาว์
ผู้หลงเขลา โง่รัก โง่ภักดิ์ โง่นัก...!
ไปเหยียบหยามย่ำขยี้
ในธุลีดินใต้ฝ่าเท้า...!
ด้วยพราวภูมิใจ...ในตัวตน
แบบคนหลงทางคนหลงโลกย์...
เห็นโศกแสนทุกข์...คือสุขแบบอิ่มเอม...
ใช่...เขาอยู่ตรงนั่น..!
ที่เก่าเวลาเดิม
เพิ่มมาคือ
แววตาใหม่ที่กระด้างร้างไร้
คล้าย..ดวงตาซาตาน ผู้เลือดเย็น
เธอ..ก้าวเข้าไปยืนตรงหน้า
*ตาสบกัน*
แววหวานฉ่ำแบบคำในนิยายรักประโลมโลกย์
ยามรักแรกพบหายวับไป...
ไม่เหลือรอยอาลัยให้เห็น..
*เขา..*ยิ้มเย็นเชือดใจ
รอเวลาเธอ..คงทรุดตัวลงไป
ครางครวญหวนไห้เฉกเช่นเคย..
หาก...ทว่า
เธอ..เพียง
กล่าวคำช้าช้าชัดถ้อยชัดคำ
ขอ*ฉันพูด...คุณฟัง..ครั้งสุดท้าย*
*ระหว่างเรา...
เรื่องกาลเก่าก่อนนั้น
ในวันนี้ให้ธรณีเป็นพยาน
ให้สายแสงแห่งฟ้าพร่างเป็นสักขี
ให้สายฝนนี้เป็นสายธารชำระบาป..
นับจากนาทีนี้...
สำหรับฉัน..คุณคือสัตว์ในร่างคน
คน...
ที่มิมีวันจะได้กมลนวลจากใคร
เพราะ..
หัวใจคุณ...มืดดำต่ำตกเสียจน
แม้แต่นรกโลกันตร์ชั้นต่ำสุดยังจะเมินหน้า...
อย่า...!
เข้ามาใกล้ฉันอีก
แม้นปลายเล็บไม่มีสิทธิมากลายกล้ำ
และ...
กี่ภพชาติกัปป์กัลป์...
ไม่มีทาง..ที่เราจะได้พบกัน..
นับจากนี้ไป...ไม่มีวัน...*
............
เธอ..หันหลังลา
ไม่มีน้ำตา...
ไม่มีเสียใจ ...
มีเพียงดวงใจใสกระจ่าง
ส่ว่างวาบราวอาบด้วยน้ำทิพย์จากหยาดฟ้า
และ......
กับวิบากลา วิบากลับ...ดับเกมกลเกมกาม
ดับอย่างไม่เสียดายเสียใจ...ไปตราบนาน...
กับนิยามรักนี้...
ที่คือทุกข์ทน...วนว่าย...คล้ายไม่เหลือ..ซึ่งเชื้อไฟ...!!!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song92.html
หนีรัก ...สวลี ผกาพันธ์
ตะเกียกตะกาย
หนีรักไม่พ้น เสียที
ทั้งๆที่
เข็ดรัก เหลือหลาย
สู้หลีกลี้หนีพ้นเพียงกาย
แต่ใจไม่วาย
จะคิด จะใฝ่
หนักจิตกระโจน
พลัดลาหวังรัก นิจจา
ล้ำลึกกว่า
ห้วงเหว ไหนๆ
ตอกห้วงรัก
แล้วยังหายใจ
ตายก็ไม่ตาย
ทรมาน ทรมาน
ถ้ารักสมรัก
สมปรารถนา แห่งใจ
รักไม่เปลี่ยนไป
รักไปชั่วกาล
ถ้ารักไม่หนี
คงไม่หนีรัก ซมซาน
คงรักกันนาน
ตราบวันวอดวาย
เบื่อโลกเต็มทน
เพราะรักไม่พ้น รักราน
ถึงตั้งหน้า
มุ่งหนี รักร้าย
อยากหลีกหนี
ทั้งใจทั้งกาย
อยากให้โลกทลาย
ตายๆ เสีย ที
เบื่อโลกเต็มทน
เพราะรักไม่พ้น รักราน
ถึงตั้งหน้า
มุ่งหนี รักร้าย
อยากหลีกหนี
ทั้งใจทั้งกาย
อยากให้โลกทลาย
ตายๆ เสีย ที...
21 กันยายน 2548 10:17 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song302.html
(สายชล)
...............
ผม..พาใจดวงรักงามเงียบ
ออกมาไกลจากเมืองศิวิไลซ์
มายังบึงใหญ่ไพรกว้างในท่ามอ้อมโอบแห่งรัก
ที่ที่..หัวใจอันแสนสุขสงบ
จะได้พบกับ...
ทัศนียภาพอันแสนสดชื่นรื่นรมย์สมถะ
เพื่อผ่อนพักจิตวิญญาณ*บ้านภายใน*
ให้ยิ่งแสนสวยใสสว่างกระจ่างงาม
ตามผม..มาสิครับ มาสัมผัสความงามนี้
ที่จักหล่อหลอม...
ให้ดวงใจเราอ่อนน้อมถ่อมตนต่อธรรมชาติ
อันแสนยิ่งใหญ่พิไลพิลาสแห่งดินน้ำลมไฟ
ที่ให้ที่พึ่งแด่เรา....
*มวลมนุษย์ในโลกหล้า.*...มานับเป็นพันๆปี
ฟ้า...
ที่สอนให้เรารู้ว่า...โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก
ให้ปีกแห่งรักเรา
ได้ผกโผผินบินไปตามใจอิสรา ...มิติดพันธนาใด
ไปให้ไกลแค่ไหนตามใจฝัน
จะเวิ้งอนันตจักรวาล
จินตนาการเห็นกาแลกซี่
ที่มีดวงดาราพราวพร่าง..สว่างโรจน์นับแสนล้านดวง
ฤา สวรรค์ลอย...คอยรอให้พบพาน
อย่างตำนานพระไตรปิฏกที่ยังยกมากล่าวไว้
ฟ้า..ที่หมายว่า...
คือการคว้าไขว่ ในเดือนดาวพราวพรายแสง
ที่สอนสัจจะใจให้มนุษย์เดินดินทุกถิ่นที่
ได้มีรัก...
ได้พักใจ
ได้พบไสวสว่าง...
แห่ง...
พลังสายแสงอันแสนจรัสชัชวาลย์จากดวงสุริยา
ที่หมายมาเตือนให้ตระหนักค่า...
ว่า...
ยังคงทำหน้าที่ซื่อตรงคงมั่น
ยังหมุนวัน...ผ่านคืน
ให้..
มวลมนุษย์....
รู้ตื่นรู้เบิกบาน..
ราวบัวในบึงรอบานมาเริ่มต้นใหม่
มาพบ..
อาทิตย์อุทัยไขแสงไปทั่วทุกแหล่งหล้า
เพื่อเป็นขวัญหล้า...ให้ชีวิตยังดำเนินต่อไป
ไม่มืดมิดสถิตหนาวเหน็บไปเป็นนิรันดร์....
ไหน..
ในยามค่ำยัง
ยังได้พลีฝัน..
*ฝากใจไปกับจันทร์ฝากฝันไปกับดาว..ทุกคราคราวคะนึง
ให้..
แสนซึ้งซาบอาบเอิบอิ่มใจ
ในหวานเศร้าฤาคลุกเคล้าด้วยความรานร้าวระทม
ยามคิดถึงใครสักคน ที่จำพรากกันไกลเกินครึ่งฟ้า
ได้มีเวลาเหว่ว้า
ได้เรียนรู้ค่าคำ..*คนคนคน*
ที่ต้องว่ายวนทนทุกข์มารุกล้ำก้ำเกิน
หากยังมัวเพลินเดินหลงทาง..
มิตามรอยบาทพระพุทธองค์..
ฟ้า..
ที่ยังคงหลั่งสายธาราระริน
หยาดน้ำตามิสิ้นเมตตาจากนางฟ้าผู้ใจดี
ที่พลีวอน..สอนวันแล้ววันเล่า...
ให้เฝ้าพินิจคิดดู...
ไม่มีฟ้า ไม่มีน้ำ ไม่มีป่างาม ไม่มีสรรพสิ่ง
โลกคงนิ่งงัน แล้งไร้ ราวทะเลทราย
คล้ายแดนวิปโยคโศกสนิทสถิต..
ทอดทับดับดำไปทั่วทุกข์ทนทุกถิ่น...
รักฟ้า..รักน้ำ..รักฝน...
ที่ให้กมลได้สัมผัสงามตามธรรมชาติ
รักสอาดหอมแห่งอวลอากาศ
ที่ขาดวันใด....
โลกพิไลก็จักเหลือเพียงซากมนุษย์ทับถม
ให้ระทมสะเทือนไปทั่วหล้า
หากมวลมนุษย์
ยังบ้าระห่ำทำร้ายทรัพยากรมิเลิกรา
พากันสร้างมลพิษ ที่จักวนฤทธานุภาพ
มาเป็นดาบเชือดชีวิตเราเอง....ใช่ใคร
รักดิน...ดวง ปวงป่าไพร ดอกไม้งาม
ดินทีมีเพียงหนึ่งในสี่
มีเพียงเท่าเดิม..มิเพิ่ม
หากมีเพียงพบพรากจากน้ำซัดกัดเซาะ
เลาะเปลือกโลกให้ทรุด หยุดยั้งมิได้
ให้พายุพัด แผ่นดินไหว
มาสอนสัจจะใจสัจจะจริงทิ้งความพินาศไว้
ครั้งแล้วเล่าเฝ้าพิโรธสอนสั่ง ตั้งใจเตือน
หากมนุษย์..ยังแชเชือน..
จะ..พบวิบากซ้ำกรรมหนัก
จะได้พบกับมหันตภัย
ที่ไม่ว่าหน้าไหนฤาจะทายท้าฟ้าดินได้
ช่างน่าเศร้าสะเทือนขวัญนัก..
และ
วันแห่งโลกดับ...ตราบอนันตกาล
ราวกำลัง..
ค่อยๆคืบคลานใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา อย่างช้าช้า
อย่างน่าแสนสะพรึงกลัว
มาเตือนคนชั่วคนเลว
ที่กินหินดินทรายป่าไม้
ทำลายอวลอากาศ
ให้ได้สำนึกตรึกตรอง
ฤา..จะให้ครองความพินาศความโศก
สิ้นโลกสิ้นหล้า
สิ้นฟ้าแลดิน...
ไปกับกาลวิปโยคโศกตรมตราบชั่วนิจนิรันดร์..
ผม....
ร่ายรจน์ความรู้สึก คิด สำนึกลึกล้ำนี้
ที่...เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว
เพื่อ..
ให้ทุกคนที่ผ่านมาข้องเกี่ยว...เหลียวมาฟัง..มารับรู้
เพื่อตอกย้ำ
การรู้อยู่..รู้เป็น...รักเย็นเห็นงาม
ให้รู้ผสานดวงใจ
ไปกับโลกธรรม ธรรมชาติ
วาดวง ชีวิตดวงจิตวิญญาณ
ให้เติบตามต่อโต
เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอย่างมีความรับผิดชอบ
มิประกอบกรรม...
ข่มเหงแม้แผ่นดินตัวเอง...
ที่ให้สองขาได้หยัดยืน...อย่างทรนง..คงไท..
คนดี...
ตามผมมา..
มานอนฟังเสียงความเงียบเฉียบฉ่ำเย็น
ผสานจิตดวงชีวาชีวิต
ไปกับ...
เสียงกระซิบแห่งสายน้ำรักนิรันดร์
ที่..จัก..
สอนให้ปันพลีความดี
มีชีวี..มีดวงตา..เพื่อเห็นธรรม
มอง...ฟ้างาม...ดินสวย
ด้วย
สายแสงสีทองแจ่มจรัสจากดวงสุริยา
ที่คอยสาดส่องมาอาบไล้ละมุน
มาหมุน..สอนโลก..ให้หอมกรุ่น
ให้ไออุ่นเอื้อรัก
ให้พลังผักผลไม้พืชพรรณทั่วหล้า..ได้เติบโต
ให้ทุ่งข้าวมิโรยราลารวง... ได้เลี้ยงปวงชนบนผืนโลก
ให้ดวงดอกไม้..
ยังค่อยๆผุดผลิ คลี่กลีบเกสรอันอรชรอ่อนหวาน
บานตระการ ประดับหล้า ประดับใจ..ประดับไพร
ให้ฟ้า...
ยังมีมวลหมู่นกกา
ภู่ผึ้งภุมรินทร์มาบินตอมหอมอวล
มวลบุปผา นานาพรรณ
ให้สวรรค์หล้า
ยังมีสีเขียวขจี ..
มีดนตรีแห่งธารธาราทอง..
ค่อยเซาะไซ้ไหลล่องไปตามหมู่บ้าน
ในท่ามงามเงียบแสนสงบสุข
ได้ปลอบปลุกวิถีวัฒนธรรม
อันล้ำเลอค่า วิถีนาวิถีไทย
วิถีประเพณียิ่งใหญ่
ที่รักแสนรักความสงบสมถะ..
รู้สัจจะความพอดีพอเพียง...
ดวงใจ...
ตามผมมา....
กับ...ฟ้าในยามโพล้เพล้
กับ..ตาลเดี่ยวยืนต้นเหว่ว้าดายเดียว
กับ...นาเขียวไพลไสวสว่าง
ราวผืนแพรพัดโบกโยกพลิ้วระบัดไปตามแรงลม
พร่างพรายพรมคล้ายแพรไหม
และ..
ได้ยินเสียงทุ่งข้าวเห่กล่อมหอมข้าวใหม่
ได้ยินเสียงนกไพรเรไรร่ำ
ได้ฟังจิ้งหรีดกรีดก้องร้องดังทั่วพนา
ได้ยินเสียงนกกากบเขียดอึ่งอ่าง
ต่างพากันประลองร้องร่ำระงม...
ในท่ามสายลมระรินแห่งทิวาวัน
ได้ยิน
เสียงไพรพงดงดิบกระซิบกระซาบแก่กันและกัน
ได้..ยินเสียงแห่งความฝัน
ความงามเงียบในลมหายใจเข้าออก
ที่...
คอยบอกคอยสอนเราว่า...
วันเวลาแห่งชีวิตของเราทุกคนนั้น
..*ช่างแสนสั้นนัก*
จง..อยู่อย่างรู้รักษ์...รู้คุณโลก...
รู้ดับโศกดับทุกข์...
ดำเนินรอยตามเบื้องบาทแห่งองค์พระบรมศาสดา
ที่ล่วงหน้านำทางแสนไสวสว่าง
ให้ไปตามทางทองทางธรรม...อันแสนล้ำเลอค่า
ให้สมกับที่โชคดี...ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
มีร่างกายบริบูรณ์...
ได้พูนเพิ่มสติปัญญา..ด้วยบารมีสมาธิภาวนา..
สร้างกุศลทาน...ด้วยการให้อย่างไร้ร้องขอ
ให้ได้พานพบ..เส้นทางสว่าง
*เส้นทางแห่งพระนิพพาน*
อันคือความรู้วาง ห่างทุกข์
รู้หยุดรู้พอ มิท้อแท้แพ้พ่าย..เพียร.....
ดวงใจ...
ในสายลมแห่งรัก.......
ในลมหายใจ...แห่งขวัญ
อันแสนไสวสว่างกระจ่างเย็นละเมียดละมุนนั่น
คือ
เสียงกระซิบจากสวรรค์..ฟ้าประทาน
สอนให้พบความวาง ว่าง
เพื่อ ....
พบจิตกระจ่างใส
ไปกับสายน้ำรักนิรันดร์......ตราบชั่วดินฟ้า...!
..........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song302.html
สายชล ...จันทนีย์ อุนากูล
เหม่อมองดูสาย น้ำ วน
เหม่อมองสายชล ที่ไหล ริน
เหม่อมองดูนก ผก ผิน บินลับ ไป
ยาม เหงา เราถอนใจ บิน ไป ไม่กลับ มา
เปล่าเปลี่ยวจริงหนอ หัว ใจ
อยากจะรักใคร เศร้าใจทุกครา
หมดแรงกำลัง อ่อน ล้า และหลง ทาง
เจ็บ นั้น ยังเจ็บไม่จาง อ้าง ว้าง ดังสาย ชล
แม้ใจจะเจ็บ เก็บมาคิดคิด
อดีต ช่างงามล้ำล้น
มิเคยลืม ภาพเราสองคน
มิเคยลืม ยังหลอกลวงตน มิเคยลืม
ว่าเคยรักเธอ สาย ชล
หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ
เหตุการณ์ผ่านไป ยัง เพ้อ พะวงทุกวัน
อก เอ๋ย ขมขื่นตื้นตัน จาก กัน หรือฝัน ไป
มิเคยลืม
ว่าเคยรักเธอ สาย ชล
หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ
เหตุการณ์ผ่านไป ยัง เพ้อ พะวงทุกวัน
อก เอ๋ย ขมขื่นตื้นตัน จาก กัน หรือฝัน ไป.
19 กันยายน 2548 00:12 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
(คิดถึงพี่ไหม )
.......................
จุดเทียนทองบูชาหน้าพระพุทธ
เดือนพิสุทธิ์หยาดสายหวานหว่านจากสรวง
คืนพูนดวงจันทร์แจ่มฟ้ารักลาล่วง
คนในทรวงมาแรมไกลในราตรี
ช่อเอ๋ยช่อดอกรัก...
แสนภูมิภักดิ์ในรักเราช่อศักดิ์ศรี
ท่ามโลกแล้งแฝงเงาเศร้ามานานปี
สร้อยชีวีผ่านเงาฝันฉันและเธอ
ดอกความดีผลิช่อจากกอซื่อ
ผ่านคำลือคำลวงใช่ห่วงเพ้อ
เพียงรักมั่นนิรันดร์ธรรมใช่ละเมอ
มิใช่เผลอหลงกลกามแห่งความรัก
และ...
คือสายใจสายใยคอยรัดร้อย
คือโซ่สร้อยอักษราคล้องแน่นหนัก
คือซื่อตรงคงมั่นนะที่รัก
คือสลักแห่งงามดีพลีเพื่อกัน
ฝันให้ไกลไปให้ถึงซึ่งฝั่งฝัน
โลกหอมวันหอมคืนยื่นสวรรค์
มีเงาใจมีน้ำใจพลีกำนัล
มีเธอฉันมาปันพลีดีแด่ชน
แล้ว..
นิทราในราตรีที่หวานหอม
กับพะยอมเคลียกิ่งไหวหนาวลมฝน
ฉันมีเธอราวจันทร์แจ่มกลางกมล
ทุกแห่งหนคอยตามติดสนิททรวง
เธออยู่ไหนในไพรพงคงฝันถึง
ย้ำความซึ้งตรึงใจใครคอยห่วง
ร้างแรมไกลใจกับจันทร์อย่าแรมล่วง
จันทร์เต็มดวงหมือนดวงใจใครคนนี้พลีรักเธอ..พลีรอเธอยังเพ้อครวญ..!
.............................
ดวง..
จุดเทียน..วะวับแวม
วางในตะเกียงทองเหลืองโบราณ
อ่าน*กวีนิพนธ์ นิราศจักรวาล*
แกล้มสายแสงจันทร์
ที่กำลังหยาดสายหวาน
หว่านพลีพรายลงโลมไล้ร่างนวล
ให้นอนดูพระจันทร์สวยสุดใจในราตรีนี้
บนเรือนจำปี...
หวังทุกดวงใจในฝัน
ที่จำพรากกัน
จำแรมร้างห่างไกลกัน..คนละครึ่งฟ้า
ทิ้งให้หนาวเหว่ว้าลำพัง
ได้อธิษฐานฝันปันพลี
กับดวงพระจันทร์หวาน...ในราตรีงาม..นี้..รอหวัง...
ให้ราตรีหวานทิวากาล
หมุนวนกลับมา
รอ...
คืนที่...ใจจะมิต้องดายเดียวเหว่ว้า
ฟ้าจะมีทั้งจันทร์...มีทั้งดวงใจในฝัน
ให้ได้คืนหลังกลับมาในเรือนใจ
ได้ถวายหทัยทองพลีเป็นพุทธบูชา
ได้พากันเป็นมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม
แบบรักไม่รู้จบ....
ดวง..
จึงร่ายระรินรส..รจนาสด
ขอพลี..
บทกวีบทเพลง
และ
บทความแสนดี
จาก
*ดวงจันทร์ถึงดวงใจ*
ถึง
กมลละไมทุกดวงใจ
ในร่มรักในเรือนไทยเรือนทอง
แห่งมิ่งมิตรน้องพี่
ไปกับราตรีแห่งงามเพ็ญผ่องนี้
ด้วยรักล้นใจค่ะ...
................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html
ความรักไม่รู้จบ ....จิตราวดี จิตตเกษม
ถึงจะอยู่สุดหล้าฟ้าดิน
แม้จะสิ้นสิทธิ์และเสรี
แต่วันนั้น ใจฉันยังคงที่
ความรัก ความภักดี ไม่มีสิ้นสลาย
ถึงโลกแตกแหลกเป็นผงคลี
รักเต็มปรี่ ไม่มีรู้คลาย
ชีพถูกฝัง ความรักยังเวียนว่าย
เคียงคู่เธอมิคลาย
ฝากวิญญาณ ไว้เตือน
ด้วย ความรักไม่รู้จบ
แม้ผืนดินกลบ ยากเพราะความรักเลือน
จะเนิ่นนาน กี่วันกี่ปี กี่เดือน
ดินฟ้าจะคล้อยเคลื่อน ใจมิเลือน รักเธอ
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด...
..................................
*จากดวงจันทร์ถึงดวงใจ! *
กวีหรือนักเขียน ศิลปินหรือผู้สร้างงานศิลปะ
ประชาชนคนเดินดินธรรมดาๆทุกๆคน
ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นอาร์ติสก็ได้
ขอเพียงแค่ให้ มีใจดวงละมุน..
มักจะใช้จันทร์ฉาย จันทราจากฟากฟ้า
เป็นแรงฝัน แรงบันดาลใจ
ทั้งดาว เดือน ดาริกา ผีเสื้อ
และมวลหมู่ดอกไม้ ท้องฟ้า ผืนดิน
ธรรมชาติรายรอบ ที่งามสิ้นในโลกหล้าจักรวาล
คือสิ่งที่หล่อหลอมให้บรรดาศิลปิน
และผู้อยากจะเป็นได้ฝันใฝ่ไม่รู้สิ้น
มีจินตนาการอันบรรเจิด..เพริศแพร้วมลังเมลือง..เกินธรรมดาๆ
ถ้าเอาแต่มองน้ำครำ
หรือมีชีวิตลำเค็ญท้องกิ่ว ไม่มีจะกิน
ก็คงคิดอะไรไม่ออก
ถ่ายทอดออกมาเป็นจินตนาการได้ยากยิ่ง
เพราะคงได้ยินแต่เสียงท้องร้องจ้อกๆ
แทน ท้องทุ่งนา ป่าเขา ลำเนาไพร
ข้าวรวงเรียว ที่เห็นก็อยากแค่เอามาเคี้ยว
แทนการเขียนบรรยายให้เห็นแค่งามนะซี....
มีเหมือนกัน ศิลปินไส้แห้ง
ที่มีอุดมคติ ที่ทำงานด้วยใจรัก แต่มักจะอยู่สร้างฝัน
ไม่ได้นานรีบ ตายเสียก็เยอะ
เพราะโรครุมเร้า เล่นงาน จนทุกข์ทน..
เหมือนดั่งพระพุทธองค์
ที่ทรงแสวงหาทางสู่นิพพาน ความว่าง
ความตรัสรู้ ด้วยการบำเพ็ญทุกกริยา
เพียรทรมานทรกรรมร่างกายจนผ่ายผอม
จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็หาได้บรรลุไม่..
เพราะเป็นทุกข์ใจกับสังขารจนไม่มีสมาธิ...
พระองค์จึงหันกลับมาเดินทางสายกลาง
ทางสายที่พอดีๆไง ไม่หลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียง ตู้เตียงฟูกหนา
หรือแม้แต่กามโลกีย์ เพียงแต่ปล่อยวางเพื่อพบความว่าง
จากทุกสิ่งที่จะทำให้ไม่ยึดติด และไม่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป..
อดหยากมากไป
ใจของเราก็จะกระวนกระวาย สับสน
คิดแต่เรื่องหาใส่ปากใส่ท้อง
ที่ร้องจนน่าตกใจ พาให้รบกวนสมาธิ และพลังงาน การสร้างฝัน
ใช้ชีวิตสุดหรู เกินไป
ไม่ ติดดินเอาเสียเลย ก็เป็นศิลปินยาก
เพราะต้องอาศัย ความโดดเดี่ยว
ให้มีสมาธิ ที่ต้องนำมาใช้เขียน
ใช้คิด ใช้จินตนาการ ให้งานออกมาจากแก่น
แห่งความจริงแท้แน่นอนของชีวิต
ที่มีความคิด คิด คิด เป็นเครื่องมือ
ตอนสมองว่างๆ อย่างผู้ที่หวังผลิตงาน
คือการเขียน เป็นเป้าหมายและผลผลิต.....
ถ้าร่างกาย ทรุดโทรมมากเกินไป
ด้วยโรคภัย สมองที่ไหนจะมาสร้างฝันแสนสวย แสนดีอยู่ได้
เพราะฉะนั้น สัจจธรรมที่แท้
ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน หรือนักอะไร
ต้องมีความเป็นกลาง ความรู้จักคำว่าว่าง รู้จักคำว่าพอดีๆ..
ถ้ายอมทรมานตัวเอง เพื่อค้นหา
ยอมทิ้งความสุขทุกสิ่งอย่าง
มันก็ดี แต่ต้องมีขันติ และอดทนเป็นเลิศ
กว่าจะไปถึงดวงดาว
อาจจะยอม ท้อแท้ แพ้พ่ายเสียก่อน..
กว่าจะไปถึงคำว่าศิลปินใหญ่
น่าจะมีสองสิ่ง คู่กัน คือพรสวรรค์ พรแสวง...
สำหรับดวง
มาพลีใจฝันขวัญที่ซ่อนซุกสุขซึ้งไว้นานวัน
ฝันไว้นานปีด้วยความรักรจนานี้ราวกับ
เป็นหนึ่งเดียวจิตวิญญาณ
และ..
ที่เขียนด้วยความรัก
ความสุข สบายใจ จะดีหรือไม่ ก็คิดว่านั่นคือผลพลอยได้
เหนือสิ่งใด คือเราต้องทำด้วยใจ ด้วยความรัก ความสุข
ฝากบอกทุกดวงใจวัยฝันที่เพิ่งเพียรเริ่มต้น
ตั้งใจเขียนนะ แสวงหาแนวทาง
และค้นคว้าอย่างตั้งใจซี
ทำมันให้ดีด้วยชีวิตด้วยดวงใจทุ่มทั้งดวง
เพื่อเก็บดาว.....พราวพรายฟ้า มากมี
ที่ทอแสงรอท่า นำมาประดับใจ
ประดับเกียรติ ให้ภาคภูมิ
อ่านให้มาก คิดให้มาก
และเปิดใจกว้าง กับทุกเรื่องราว ให้เข้ามาเป็น
ประสบการณ์ชีวิต ไม่ว่าร้ายหรือดีก็มีคุณค่า
ถ้านำมาเป็นบทเรียนสอนใจ
ให้มองโลกเป็น เห็นงาม เห็นความว่าง ความพอดี....
และ
จงพลีจำไว้
คุณ*ทมยันตี*
นักเขียนระดับชาติ
ผู้แสนจะรจนาทุกราวเรื่องได้อย่างพิลาสพิไล
แสนบรรเจิดใจ..จิตวิญญาณได้กล่าวว่า
*นักเขียนที่ดี
ต้อง
อ่าน ฟัง และค้นมาก
แล้วจึงจะคว้ามาเขียน*
และ...
ที่สำคัญ
ใจต้องสวยใสงามเนียนนวลละไมพอ
ที่จะมาพ้อเพ้อสร้างฝันสร้างสวรรค์
สรรมอบสิ่งดีดี ที่จักจรรโลงโลกให้ฝันดีพลีให้แด่ผองชน
บนผืนโลกนี้ได้
บางที เวลาดวงเข้าร้านหนังสือ
จะได้สัจจธรรม นำมาสอนใจนะ
ว่าโลกนี้มีหลายเส้นทาง
เพราะหนังสือยังมีหลากหลายรูปแบบ
และแนวทาง ของใครของมัน..
ทั้งวรรณกรรมเพื่อชีวิต ทั้งข้อเขียนขำขัน
ให้ความบันเทิงใจ ทั้งศาสนา ปรัชญา
นวนิยาย งานแปล งานประดิษฐ์ มากมายรายเรียง
และสุดแท้แต่นักเขียนจะถนัดแนวไหน
ให้เลือกหามาอ่านตามรสนิยม....
ดูแต่งานเขียนของ คุณอุดม แต้ สิ
ที่เขียนจนสนั่นเมือง เพราะสามารถถ่ายทอดเรื่องราว
สนุกสนานใกล้ตัว มาปรุงรสชาติ
ให้มันส์ ให้ถูกใจวัยรุ่น ในวันนี้
จนขายดีต้องพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ดวง....อ่านงานหลากหลาย
และแม้แต่นิยายประโลมโลกย์ ประโลมใจ
ในวัยวันหนึ่ง ของชีวิต
เพราะเวลานั้นอ่านแล้วมันแสนจะโดนใจ
ในเวลานี้
หันมาอ่านหนังสือศาสนา ปรัชญา
และวรรณกรรมเพื่อชีวิต
และค้นพบว่า จริงๆ งานที่ดี
ที่ชอบคืองานที่เรียบง่าย ใช้ภาษาบริสุทธิ์ใสใส
ทั้งที่ตัวเองแสนจะยอกย้อน เวลาพรรณณา....ในงานเขียน
แม้ใจอยากเขียนแบบนั้น
แต่ก็เขียนไม่ได้ ไม่ถนัด
และพยายามไม่ฝืนใจ
แปลกดีไหม ที่เขียนได้แค่นี้
และ..
ยอมรับคำว่า นักเขียนเรื่องน้ำเน่า....
ที่เป็นทัศนะของท่านผู้อ่านบางคน....
ถ้าเป็นน้ำเน่า
ก็ขอแค่ ให้ข้อคิด ในงานเป็นดั่งสะพาน ดั่งบันไดไม้ที่มากมีรัก
เพื่อให้ผู้อ่าน ข้ามผ่าน ไปสู่สิ่งที่ดี
ที่สร้างสรรกว่า..ของชีวิต และให้ปีนขึ้นไป
พบความสวยงาม ที่รอท่าต้อนรับ
ผู้ที่รักงานเขียน และมีความเพียรพยายาม
กับงานที่ต้องขับเคี่ยวกับตัวเอง
บนความว่างเปล่า ของหน้ากระดาษ ที่รอให้รจนา
ออกมายังประโยชน์แก่โลกใบนี้ ที่บิดเบี้ยวขึ้นทุกๆวัน....
ขอให้พบกับโชคดี ที่ฝัน ที่ต้องการนะคะ
จากดวงจันทร์ ถึงดวงใจ และจากผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อดวง..
ที่พร้อมจะเคียงข้างเป็นกำลังใจ
ด้วยรักและปรารถนาดีนะคะ ...
.....................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
คิดถึงพี่ไหม... โอภาส ทศพร
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจพี่
ห่างกัน อย่างนี้
น้องคิดถึงพี่ บ้างไหม
อย่าลืม อย่าลืม อย่าลืมสัจจา สัญญาที่ให้
ว่าตัวห่างไกลหัวใจชิดกัน
คิดถึง พี่ก่อนน้องนอนก็ได้
เมื่อยาม หลับไหล
น้องเจ้าจะได้ นอนฝัน
ข้างขึ้นเมื่อใดแก้วใจโปรดมอง
แสงของนวลจันทร์
เราสบตากัน ในแสงเรื่อเรือง
คืนไหน ข้างแรม ฟ้าแซมดารา
น้องจงมองหา ดาวประจำเมือง
ทุกคืนเราจ้องดูเดือนดาว
ทุกคราวเราฝันเห็นกันเนืองเนืองถึง
สุดมุมเมือง ไม่ไกล
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจเจ้า
พี่ตรม พี่เหงา
เพราะคิดถึงเจ้า เชื่อไหม
ฝากใจกับจันทร์ ฝากฝันกับดาว
ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกัน...