8 ตุลาคม 2548 11:37 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4718.html
(น้ำกรดแช่เย็น)
.............
ผม...นั่งนิ่งนิ่งทิ้งตาโศกโศก
นั่งดูโลกชายทุ่ง..ริมปลายนากับฟ้ายามโพล้เพล้
ดูปลาตะเพียนฮุบเหยื่อกระโดดโผงผึง
จนเห็นเกล็ดจับแดดสีทองวะแวววับ
เคียงกัน
บัวดอกตึงตูมตั้งกำลังชูช่อในบึงกว้าง
ทั้งดอกสล้างดอกเริ่มผลิ
ดอกที่ตระการอวดงามเต็มที่กำลังรอราโรย
ให้โหยอ่อนคาบึง ...
ผม..มานั่งทอดตาซึ้งซึ้ง
เพียรภาวนาดึงจิตจับกับลมหายใจในขณะปัจจุบัน
และให้ธรรมชาติรายรอบอันแสนอ่อนโยนอ่อนหวาน
ได้ผสานไปกับความเป็นธรรมดาชีวาชีวิตผม
ทุกวัน...
ที่ผมจะพาตัวเอง
มานั่งใต้ต้นหว้าสูงใหญ่ใบดกหนา
ที่ดูไม่เปลี่ยวร้าง...เนื่องจาก มีดงตาลเคียงขนาน
มีดงดอกโสนสะพรั่งพราว เหลืองพราย
ขับให้เขียวข้าวเริ่มตั้งท้องละออละอองกระจ่างแจ่มราวแซมด้วยสีทองสุก
ผม...ชอบบุก*เส้นทางสายข้าว
*ที่มีโค้งใบครอบโอบกอดศรีษะผมไว้
ราวได้เล่นซุกซนซ่อนหาจากเพื่อนมากหน้าในวัยเยาว์ด้วยกัน
หนีจากโลกอันแสนสับสนอลวนวุ่นวายภายนอก
ที่หัวใจดวงใสภายในคอยย้ำบอกว่า
*มิพึงปรารถนา*มาได้แม้นเพียงสักชั่วครู่ชั่วคราว
เสียงนกกากำลังพิรี้พิไรกัดกินลูกหว้าสีดำ
กันอย่างเอมอิ่มปรีย์เปรมปากและขยอกเมล็ดไว้กราดเกลื่อน
ผม...ค่อยๆเอนตัวนอนลงพิงต้นหว้า
หลับตานิ่งๆ..
แล้วทิ้งใจให้ดำดื่มไปกับสรรพสิ่งรายรอบ
ความเป็นปุถุชนคนหนุ่มธรรมดาๆ
กำลังพาอารมณ์อาวรณ์ถวิลมากรายกล้ำล่วงล้ำแทรกซึม
ณ..กลางจิตว่างผม ณ..กลางใจดวงนวลของผม
ผู้ชายที่ยังมีเลือดเนื้อและลมหายใจของคนหนุ่มไฟแรง
แม้นผมจะกำลังเพียรพาจิต
ให้รู้หยุดคิดรู้เพียรภาวนา
รู้หาทางออกให้พบปัญญา
พาพ้นทุกข์ จากรัก
ที่มนุษย์น้อยคนนักจักหลุดพ้นได้จริงจนแจ่มกระจ่าง
จนละวางได้หมด จนเลิกวกวนในโลกมายา
ได้หันหน้าเข้าสู่แดนแห่งร่มกาสวพัตร์
อันคือรักนิรันดร์
อันคือเส้นทางสว่างสงบ
พบโลกเย็น ดั่งธารธาราธรรม
ได้พายพาเรือชีวีอันแสนสั้นลอยลำข้ามหานทีสีทันดร
เข้าเขตแดนวิมุตติ พบโลกุตระธรรม..
อันแสนใสฉ่ำเย็นเป็นเวิ้งว่างอนันตกาล
ผม..วาง..ว่าง ได้เป็นระยะ
และ
นั่น..ผมก็ถือว่าคือชัยชนะเบื้องต้น
จากเราพบผจญกับเกิเลสมาร
ทุกผลาญผัสสะทั้งรูป รสกลิ่นเสียง ที่ยากเลี่ยงได้
หากเพียงใช้ขันติธรรม คอยน้อมนำใจให้มีอุเบกขา
กลับมา..
เวลานี้ นาทีนี้
ที่หัวใจดวงดื้อ กำลังต้าน
กำลังเลือกเสพพิษหวานหากฝากรสขมไว้ณ..กลางใจ
แบบเศร้าลึก..ที่ยากใครจะหยั่งถึง
ในมโนนึก
ผมรำลึกนึกถึงบทเพลงนี้
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4718.html
หัวอกระทม ซานซมมาถึงที่นี่
ได้ฟังวจี แจ่มใสไพเราะชวนฟัง
ฝ่าแดดร้อน มาพบร่มไม้ใบบัง
เริ่มมีความหวังเริ่มมีชีวิต ชีวา
หวานชื่นน้ำคำ ยังจำประทับดวงจิต
เรื่องเบื่อชีวิต เลิกคิดมาหลายเวลา
ปล่อยเรื่องช้ำ ปล่อยทิ้งแม่น้ำคงคา
สองเราสัญญา ร่วมชีวาก่อร่างสร้างตัว
ที่แท้ ไม่มีแค่เพียงเราสอง
ยังมีหุ้นใหญ่หุ้นรอง
หลายสาขาเสียจนน่ากลัว
รักแสนรัก สุดหักใจจะถอนตัว
ใจร้าวระรัว สุดรักสุดหักให้หาย
น้องยื่นน้ำเย็น พี่เห็นก็คว้ามาดื่ม
ด้วยจิตใจปลื้ม ว่าร้อนคงถอนคงคา
กว่าจะรู้ ว่าน้องให้ของกินตาย
ทุรนทุราย ด้วยพิษร้าย "น้ำกรดแช่เย็น"
ที่แท้ ไม่มีแค่เพียงเราสอง
ยังมีหุ้นใหญ่หุ้นรอง
หลายสาขาเสียจนน่ากลัว
รักแสนรัก สุดหักใจจะถอนตัว
ใจร้าวระรัว สุดรักสุดหักให้หาย
น้องยื่นน้ำเย็น พี่เห็นก็คว้ามาดื่ม
ด้วยจิตใจปลื้ม ว่าร้อนคงถอนคงคา
กว่าจะรู้ ว่าน้องให้ของกินตาย
ทุรนทุราย ด้วยพิษร้าย "น้ำกรดแช่เย็น"...
....................
บทเพลงที่ผมแสนซึ้งตรึงตรมระทมระบมใจแต่เพียงผู้เดียว
ในทุกยามที่เหลี่ยวไปไม่พบร่างเธอ
คนที่ผมเผลอหลงในมนต์มายาพิสวาท
ที่ถูกหนามเสน่หา
ราวน้ำผึ้งพิษในดอกกุหลาบได้บาดเชือดดวงใจ
จนวิ่นไหวไม่มีชิ้นดี
หัวใจดวงไม่รักดีกำลังดื้อ
กำลังนอนสลึมสะลือ
คิดย้อนรอยถอยหลังไปถึงวันแรกเจอ *เธอ*
ผู้หญิงงามพราวราวดอกไม้ไทยกลีบบาง
เธอสวยพร่างราวดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจรุงอย่างมิได้ปรุงแต่ง
ปากคอคิ้วคางแก้มใสที่บริสุทธิ์ใสราวดวงดอกไม้ป่า..
และ
ที่ผมรักเธอเสียเป็นนักเป็นหนา
คือเพราะเธอมีหัวใจดวงดี
ดวงที่ใสว่างกระจ่างงาม
มาตร แม้นภายหลัง
หัวใจดวงนั้นของเธอจะถูกฝานปันออกหลายเสี้ยว
ไว้จ่ายแจก ไปตามชายที่มาหมายปองเธอมากหน้า
อย่างยุติธรรม อย่างไม่เลือกที่รัก จักจนกว่าจะถึงเวลาตัดสินใจ
*ราวมาลัยเสี่ยงรักจากนางรจนา*ก็มิปาน
และ..
นี่คือที่มาแห่งความช้ำชอก
ที่ผมต้องบอบช้ำด้วยแรงกรรมเหวี่ยงวิบาก
ให้มาพบเธอเพื่อพรากลา
ให้ผมต้องมานอนเหว่ว้าใต้ต้นหว้า
ต้นไม้แห่งความฝันวันวัยเยาว์
ที่ยามผมเหงาใจทีไร
จักหอบหิ้วดวงใจมาร่ำไห้แม่หว้าฟังอย่างเซซังซมซาน
อย่างรานร้าวอย่างเศร้าสร้อยสุดถวิลเทวษ...เกินใครจะล่วงรู้ได้
มีเพียงฟ้าดิน..
ที่บางคราจะหยาดพลีสาย
คล้ายร่วมร้องไห้หลั่งน้ำตาแด่ผม..*ผู้ชายหัวใจขม*
หากผมก็พอใจ ..
และ..
ขอขอบใจทุกบทเรียนที่เวียนรักวนมาสอนสัจจะ
เพราะมิฉะนั้น ป่านฉะนี้ผมคนนี้คงยังไม่พบคำว่าร่มพระรัตนตรัย
อันคือที่พึ่งทางใจทางจิตวิญญาณ
*อันคือพลังปิติเกษมสูงสุด*..ของพุทธศาสนิกชนแล้ว
ฟ้าหลัว...ทุกที
ม่านราตรีกำลังคลี่คลุม
เสียงจิ้งหรีดเรไรกำลังประสานเสียงก้องร้องกังวานหวานแว่ว
ไปทั้งราวป่า กบเขียดในนาต่างพากันปรีดาร่ายรำยามตะวันรอน
ที่น้ำในหนองเริ่มอ่อนอุ่น คืนละมุนเย็น
ในเหงางามเงียบยามใกล้ค่ำย่ำสนธยา
ลมข้าวเบาค่อยๆพัดลอยล่อง
มากับฟ้ากว้าง..ที่เริ่มฉ่ำชื่นด้วยเมฆหมอก
แล้วไล่ระลอกสาดสายพรายพลิ้วพัดโบกโยกไหวให้ข้าวในนาไหวระบัด
ดั่งลอนคลื่นแพรไหม เขียวไพลขจีระรี่ระริก พลิกพลิ้วไปตามแรงลม
ผม..ลุกขึ้นอย่างช้าช้า
แหงนเงยใบหน้ารอรับหยาดฝนที่กำลังเริ่มพร่างสายระรินระริน
ในความสูญสิ้น
ในความอ้างว้างว่างใจ
ผมกำลังพบกับสัจจะใจจากธรรมชาติ
ธรรมะ ธรรมดาๆ
ฤดูกาลกับฤดีระกำ กับวิบากกรรมช้ำรัก
แท้ถ้วนแล้วไซร้ ก็แค่ผ่านมาผ่านไป
ในคลองจิตอันซึ้งเศร้า
ที่ผมหนาวแสนหนาวและแสนเจ็บปวดใจ
เมื่อ กระพริบตาผ่านไปเพียงไม่นาน
แค่กาลผ่านเลย
ก็คือไร้ ผมคนเคยมายืนนิ่งตรมระทมทอดอยู่ ณ..ที่นี่
และ..
บางที..
ทุกสรรพสิ่ง ที่มิเคยหยุดนิ่งเคลื่อนไหว
ก็จักอันตรธาณหายไปในบัดเดี๋ยวหนึ่งแห่งกาลเวลา...
ผม..แย้มยิ้มด้วยหยาดน้ำตากับสายฝนกับต้นหว้าแห่งรัก
กับโลกดินน้ำลมไฟ
กับทุกสิ่งรายรอบที่กำลังพร่างผสานไสว
ไปกับลมหายใจแห่งชีวิตนี้ที่แสนสั้นเป็นยิ่งนัก...
และ
กับรักนี้...ที่คือทุกข์พันธนา
ที่ผมเพิ่งเชื่อในคำสอนพระบรมศาสดาอย่างเข้าถึงแก่นธรรม
อันงามล้ำด้วยบทเรียนจากตัวผมเอง...ใช่ใคร...!
..........................
4 ตุลาคม 2548 23:44 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
(อายฟ้าดิน)
ผม..กำลังยืนตัวสั่นเทาริมชายคาตึก
หลบสายฝน....
ที่กำลังซัดสาดพรมพร่างพรูกรูกราวมากับสายลมแรง
อย่างหนักหน่วง..
จนก่อเกิดม่านหมอกหม่นมัวเทาทึมไปทั่วทิศทาง
ร่างผม..เริ่มหนาวสั่น ขึ้นทีละนิดๆ
เสื้อยืดสีขาวเริ่มเปียกชื้น
ด้วยละอองฝนที่ถูกแรงลมพัดหอบมามิพ้น
ผมเพิ่ง..ฟื้นไข้..
และเพียรไปออกกำลังกาย
เผื่อได้เหงื่อแล้วอาการจะดีขึ้น
แปลกดีจัง..
ในพลังฝนภวังค์ฝันอันเศร้าล้ำ..
ทุกยามฝนพรำ..
ผมจะรำลึกนึกถึงใครบางคน
*ผู้หญิง...*
ที่สอนกมลภายในให้ผม
ได้เรียนรู้ความอ่อนหวานอ่อนโยนในหัวใจ
ได้มากกว่า วันเก่ากาลก่อน
ก่อนที่...โลกยอกย้อน.
จะหมุนมาให้เราได้พบกัน..ได้รู้จักรู้ใจกัน..
กี่ปีแล้วนะ...ระหว่างเรา
ที่เธอ ซุกซ่อนอยู่ในความเหงางามเงียบ
ความละเมียดละมุนให้ไออุ่นอวลเอื้อ
เบียดแทรกราวเรามีเลือดเนื้อและใจดวงเดียวกัน
ราวเงาขวัญเงาใจ กันและกัน
ผ่านคืนฝันวันหวาน
ผ่านสัจจะสอนบทเรียน
ให้...รู้ค่าคำ..รักเมตตาอภัย
รู้ทำใจรู้หน้าที่
รู้ความดีรู้การพลีเสียสละ
รู้การให้ รู้ได้รับ
รู้จักเจ็บปวดยามพรากลา
รู้ค่าความเหว่ว้าดายเดียว
ยามเหลียวไปไม่มีกันและกัน..
ผ่านคืนฝันวันมายา
ที่รอท่า
ให้ทั้งสองดวงใจได้หลอมละลายฝ่าฟัน
ได้รู้ปันพลีที่จักเคียงประคอง
สร้างทางทองทางธรรม ดั่งพลังจิต
นิรมิต..
สะพานข้ามปราการมหานทีสีทันดร
ข้ามสิงขรพ้นพันธนา..
สร้างปิติเอมอิ่มภาคภูมิ..คืนโลกหล้า
ฝากผืนฟ้าพสุธาทองพสุธาไทย
ก่อนตะวันในดวงใจจะมอดดับ
ก่อนจะกระชับเกาะกุมมือพากันลอยล่อง
ท่องไปสู่แดนดิน
*แห่งความกระจ่างสว่างสงบไปตราบชั่วนิจนิรันดร์....*
ผม...คิดถึงเธอ..
และ...
ในความพลั้งเผลอมากมาย
ที่ฝากรอยรานร้าว
ให้ใจดวงงามเศร้าของเธอ
พบ...เพียงความระทม
อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผม..เคยตะโกนใส่หูเธอ..
ผมเคยเผลอ..
ตอกย้ำรอยแผลเป็น...ที่เธอซ่อนไว้ลึกเร้น
ให้ตายแตกดับแหลกยับไปกับตัว
หากผม..ก็เพียรที่จะสะกิด
สาดน้ำกรด..รดรินราด...ลงบนบาดแผล
ให้ใจดวงสลัวยิ่งหมองหม่นทุกข์ทนทบเท่าทวี
เธอ..คนดี
ที่..
ยินดีเมตตาอภัยให้ผมเสมอมา
แม้นเธอ..
จะหลั่งน้ำตาเสียยิ่งกว่า*ฟ้าร้องไห้*อย่างดายเดียวลำพัง
มานับครั้งไม่ถ้วน...
กับ..
โศกสะเทือนใจ..
ที่ผมหยิบยื่นราวเพชฌฆาตใจ
คอยประหัตประหาร..
เธอ..
ที่รักผมอย่างหมดหวังใด
ไม่..แม้อยากจะสนิทชิดใกล้
ไม่แม้นจะกรายกล้ำ..ให้ผมลำบากใจ
ผม...เสียใจ..เสียใจ..และแสนเสียใจ
ใน..
ทุกยาม ยิ่งได้ยินเสียงฝนครางฟ้าครวญ
และ...
กับหวนไห้โหยหา..ในยามนี้ ที่...สิ้นไร้ร่างเธอ..
ผู้หญิงที่เพ้อพร่ำคอยรำพันรำพึง
ฝากซึ้งคำหากแสนเจ็บ
บอกผมเสมอมา..
*แม้นตราบวันตายอย่าได้มาชิดใกล้เธอ..*
ผู้หญิง..ที่ผมเผลอตะโกนก้อง
*คุณไม่ใช่คนพิเศษ พิสุทธิ์*
*คุณก็มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาๆ*
ที่จนณ..บัดนี้
จักกี่ปีที่ผ่านมา..
ผมก็ยังมิเคยพานพบ...ผู้หญิงที่เธอทายท้า
ให้ผมค้นหา ..
และ
มากล้นค่าน้ำใจ..สวยใสแสนงามเสียยิ่งกว่าเธอ
คนที่ละเมอพึมพำ...
อย่างรวดร้าวใจว่า*ฉันจะพร้อมพลีอวยพรให้*
และ...
กับ...วันฝนพรำย้ำรอยใจ
ที่ไม่มีเธอ อีกต่อไป...
ผมได้เพียง...
ปล่อยให้หยาดน้ำตาลูกผู้ชายรินไหลอย่างมิสิ้นสาย
อย่างมิอายฟ้าดิน.
อย่างสิ้นแล้วทุกสิ่ง...ทุกอย่าง
อย่าง...คนหลงทางเหว่ว้า
อย่าง..คนที่..หาฝั่งฝันฝั่งใจ
มิมีวันได้พบเจอ...ตราบจนชั่ววันตาย...!!!!
...........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1931.html
อายฟ้าดิน พาวเวอร์แบนด์
จะบอกรักใครก็อายฟ้าดิน
ความหวังพังสิ้น ทางรัก มืดมน
เกิด มา ร่างกายเท่านั้นเป็นคน
แต่หัวใจปี้ป่น โดนรักขยี้แหลกราญ
จะเอ่ยรักใครให้เอือมระอา
เมื่อไร้คุณค่า จนมิ ต้องการ
ตราบ จน สิ้นคนมั่นรักยืนนาน
ต้องทุกข์ทรมาน ร้าวราน ฤดี
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ซอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความซอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน
ชีวิตต้องสิ้น ความหมาย วิง วอน ไหว้
ฟ้าดินก็ไม่ปราณี เจ็บ ปวด รวดร้าว ชีวี
ดวงฤดี มีแต่ ซอกช้ำเรื่อยมา
ไม่อยากรักใครให้อายฟ้าดิน
กลัวเขาจะสิ้น ความรัก เมตตา
สู้ กลืน เก็บความซอกช้ำอุรา
ไม่รักใครดีกว่า เดี๋ยวเขาจะอาย ฟ้าดิน....
4 ตุลาคม 2548 15:51 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song503.html
(ให้)
...........
พลีลั่นทมรัดร้อยแทนสร้อยรัก
ศรัทธาภักดิ์ยังคงอยู่ตราบคู่ฟ้า
คืนและวันผันผ่านเนิ่นนานมา
ใจเหว่ว้ายังดายเดียวเปลี่ยวระทม...
เพียงซบหน้าในอ้อมกอดแล้วร้องไห้
ได้ชิดใกล้ได้กลิ่นแก้มไม้แซมผม
ได้ดอมดมพรมจูบลืมตรอมตรม
ได้กลิ่นผมกลิ่นเกศเกล้าเจ้าจอมใจ
กี่ปีเดือนเลื่อนลอยหลงคอยขวัญ
แสงตะวันส่องหล้าเยือนฟ้าใหม่
น้ำผึ้งหวานยังหยาดสายร่ายมนต์ใจ
หากทำไมใจดวงร้าวยังหนาวนัก
พลีเทียนหอมหลอมละลายหมายสร้างฝัน
ท่ามคืนวันอย่าท้อพ้อที่รัก
เศร้าล้ำลึกนึกเหนือโลกย์โศกประจักษ์
คือทุกข์รักให้หยุดรู้ดูมายา
ท่ามแสงเทียนเสียงฝนภวังค์ฝัน
ในเงียบงันนิ่งงามยามโหยหา
ไม่มีเราไม่มีเขากาลเวลา
แค่ผ่านมาผ่านไป..ไยระทม
หลับตานิ่งทิ้งใจไปกับฝน
วางกมลกระจ่างให้ว่างห่ม
คือดวงใจใสงามวางทุกข์ตรม
ไม่ระทมไม่สุขเศร้าดับหนาวใจ
คือความจริงสิ่งไม่มีที่รายรอบ
แค่ประกอบกรรมวิบากฝากหวั่นไหว
ราวสายลมพัดแผ่วจางร่างหายไป
ลมหายใจเพียงนิดน้อยชรอยบุญ
ให้..หัวใจให้ความดีพลีแด่โลก
การอยโศกใจเจ้าคลายหนาวอุ่น
ให้น้ำใจใสพร่างน้ำค้างคุณ
ฝากหอมกรุ่นดั่งดวงดอกไม้ดับไร้รอ...
.................
ใกล้ค่ำ.........
จุดตะเกียงเพียงแสงเดียว
ล้อเรียวจำปีเขียวใสใบระบัด
วิบวับ วูบไหว กลางกระท่อมใบไม้...
กังหัน..เหนือชายคาหมุนวน ตามแรงลม...
แต่..ใจคนที่นอนเฝ้าดูกลับนิ่งงันเงียบงาม..
โมบาย..กระทบกันกรุ๋งกริ๋ง..ๆ
หรีดหริ่ง จิ้งหรีด พากันกรีดปีกร้องระงม..
เสี้ยวจันทร์แรม..
ราวเคียวสีทองส่องทอทอดลอดริ้วเรียวไผ่
โผล้พ้นกลีบเมฆ เหนือทิวไม้ตะคุ่ม..
ดาวดวงละออ ทอแสงแข่งกันพริบพรายฟ้า..
มนต์จันทรา..พาให้นวลใจ..นุ่มเนียนนึกลึกล้ำ.....
ใช้กิ่งไม้แทนตะเกียบ..คีบก๋วยเตี๋ยวในชามกะลา
อาหารค่ำง่ายๆ ใต้แสงตะเกียงเพียงลำพัง...
ท้องอิ่ม..
หลับตานิ่งๆ
ทิ้งหน้าที่
ทิ้งสรรพสิ่ง สรรพเสียงไว้ภายนอก..ร่าง...ใจ มิไหวรับรู้
จิตจับ กับความว่างเปล่า
เบาสบาย คล้ายสายลมบางเบา
พัดร่างให้ลอยละลิ่ว..ปลิวคว้าง..
เหนือโลกย์..เหนือโศกสุข ของทุกข์ผู้คน
และ..
บางครั้งครา
ราวกับว่า ได้ถอยจิต ทอดร่าง
ไปวางไว้บนฟองคลื่น
เหนือริ้วทะเลสีคราม น้ำใสใส..
ปลดปล่อยดวงใจ...
ปล่อยผมสยาย แผ่พลิ้วพราย คล้ายสาหร่ายงามละเลื่อม
กับร่างไร้น้ำหนัก
ที่มีเพียงรักจากผืนฟ้า คลุมร่าง
พร่างพรมด้วยลมรำเพย โลมไล้แผ่วเบาละเมียดละไม
เหนือนับ..กับ
นาน..นี้..ที่ใจ..เพียรพยายาม ...ใฝ่หางามภายในใส่ตัว
แม้นานนับชั่วกับป์กัลป์ มิถึงไหน
หวังเพียงขณะ ที่นวลใจพบนิ่งงันนั้น
พลันพอเพียง ได้ปิติ ดื่มด่ำ กับความว่างเปล่า เบาสบาย
ไม่ว่าใจดวงนี้
จะผ่านดี ผ่านร้าย ผ่านร่ำ ผ่านรวย
ผ่านสวย ผ่านงาม ผ่านหวาน
ผ่านสุข ผ่านทุกข์ ผ่านโศก
ผ่านโลก..ที่โชคชะตาเลือกหยิบยื่นให้..
ก็ใช่จะนานนักหนอ
กับชีวีนี้ที่..รอวันโบกมือลา ..มิช้านาน..มิยาวยืน
แล้วอะไรกันเล่า
จะช่วยเราได้ เท่าจิตวิญญาณ
ที่จะตามติดให้งาม
กับเนื้อนวลใจเราทุกผู้ ทุกภพ ทุกชาติไป.....
ใช่ไหมเล่าทุกเจ้ายอดดวงใจ
ในเรือนใจเรือนไทยในร่มรัก
ผู้พร้อมเต็มไปด้วยน้ำใจ เนื้อใจงามละม่อม
พร้อมพลี..ที่จักหวังได้ครองจิตวิญญาณแห่งงามนั้น
ขอเพียงโอบเอื้อฝัน ปันอ้อมอุ่น
กรุ่นกลิ่นรักสามัคคี
ด้วยความงาม ด้วยความดี
ที่ล้ำค่านี้แด่กันและกันทั้งฉันเธอ นะดวงใจ!
................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song503.html
ให้ ...สวลี ผกาพันธ์
หญิงมีสิ่งที่หวงห่วงใย
สิ่งนั้นก็คือหัวใจ
เปี่ยมในรักมั่น
หัวใจใช่จะมีไว้แบ่งปัน
ถ้าใจไม่รักผูกพัน
จะปันใจรักอย่างไร
ฉันจึงไม่อาจขายสิ่งหวง
ถ้ารักยอมพลีทั้งปวง
มอบของหวงให้
ฉันจึงต้องยอม
กระเทาะเปลือกใจ
มอบสิ่งที่หวงให้ไป
แต่ไม่ยอมขายแลกเงิน
ให้ทองนั้นกองท่วมฟ้า
อย่ามาล่วงล้ำกล้ำเกิน
แม้ทองมากมาย ใจฉันเมิน
แม้เงินท่วมโลก หรือจะโยกจิตคลอน
หัวใจซื่อ ใครซื้อไม่ขาย
ไม่รักจึงต้องหวงกาย เก็บใจไว้ก่อน
แม้ปลงหทัย ในรักแน่นอน
อาจให้โดยมิต้องวอน
อย่าทำใจร้อนวู่วาม
ดนตรี
ให้ทองนั้นกองท่วมฟ้า
อย่ามาล่วงล้ำกล้ำเกิน
แม้ทองมากมาย ใจฉันเมิน
แม้เงินท่วมโลก หรือจะโยกจิตคลอน
หัวใจซื่อ ใครซื้อไม่ขาย
ไม่รักจึงต้องหวงกาย เก็บใจไว้ก่อน
แม้ปลงหทัย ในรักแน่นอน
อาจให้โดยมิต้องวอน
อย่าทำใจร้อนวู่วาม...
3 ตุลาคม 2548 21:04 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song359.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2551.html
(ไกลบ้าน..เดียวดาย)
ฟัง*ไกลบ้าน*
และ..บทเพลงบรรเลง
*ชุด..เสียงเพรียกจากสายลม*
ในยามดึกดื่นดายเดียว...แล้ว..นอน..นับดาว
บนโซฟาผ้าฝ้ายตัวใหม่
สีขาวนวลนุ่มที่แสนอบอุ่นอ่อนโยน...
หัวใจเงียบงามสุขสงบ...
เมื่อยามได้ยินเสียง
ลมรำเพยพรายพร่างพรมแผ่วผิวปลิวมากระซิกกระซี้
ระริกระรี้รำพึงรำพัน...
ปลุกปลอบมอบฝันหวานหวานให้..
หากไยเล่าดวงใจเจ้ากรรมจึงย้ำรอยราน..
รายรอบบ้านเงียบ...จน..ได้ยินเสียงใบไม้หล่น
เทียน..กำลังวะวับแวม..แข่งกับแสงดาวรำไรรำไร
ที่..
เริ่มจะพร่าเลือนไปกับหมองมวลเมฆฝน
เสียงพายุหวีดหวิว...
ใบไม้ปลิดปลิวละลิ่วลอยควะคว้าง
อย่างอ้างว้างในคืนแรม..ไร้เดือน
ฟ้าครางครืน...
หัวใจตื่นเพรียกหาลมหายใจแห่งนิรันดร์รัก
ใกล้..แค่ริมหู ...
เสียงมาสิงสู่ราวมายาฝันมิใช่ความจริง
หากเป็นเพียงมั่นภักดิ์นิรันดร...
หัวใจดวงอรชร ...
หลับตาช้าช้า..อย่าง
ล้าอ่อน..
และ..
น้ำตาแห่งความคิดถึงคะนึงหา
ก็...พร่างริน..อย่างมิสิ้นสาย
ในคืนนี้..คืนที่ฟ้าสิ้นไร้ดาว
และกับคนใน..อารมณ์อาวรณ์ถวิล
จำพรากลาไกล..ไปสุดหล้า..ฟ้าดิน..อีกคราคราว..แล้ว...
ดวงดอกแก้ว ยัง...หวานหอมหากไยอวลเศร้า
สายลมหนาว...หลังฝน..ยิ่งหนาวเหน็บกว่าเคย
ดวงดอกเล็บมือนาง...หยุดเฉยมิกางฟ้อนอ้อนหาใคร
การะเวกมิไหวกิ่งพราวราวดายเดียวเต็มประดา
มะลิลา ลาระรินระริน กลิ่นระรวยระรวย...ระทม..
กล้วยเลิกสบัดไกว..
ไม่อยากโบกพัดพลิ้วไหวรับลม อีกเลยแล้ว
ทิวจำปีรายรอบเรือนหยุดเริงร่าย
ฟ้าคล้ายมืดมนอนธกาลกว่าเคย
ใจดวงนิ่งเฉย ยิ่งเงียบงัน..
ฟ้าร่ำไห้..
ราวหลั่งพลีเพื่อใจดวงนี้ที่จำพรากขวัญ
จันทร์เจ้าหลบหลังม่านเมฆ
วิเวกทับไปทั่วในวิมานดิน
พุดซ้อนหุบกลีบ...
มิยอมแย้มเผยอกลิ่น
ราวสิ้นแล้ว..ทุกรสชื่น..สุคนธา...!!!!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2551.html
เดียวดาย พัณนิดา เศวตาสัย
เดียว ดายอาดูร สิ้น สูญแล้วทุกทุกสิ่ง
เธอ มาทอดทิ้ง จากไปแสนไกลสุดไกล
จำ ใจจำทน หม่น หมองเพ้อร้องร่ำไห้
โอ้ ยอดดวงใจ แสน เศร้า โศก ตรม
จำ ใจจำฝืน กล้ำ กลืนชอกช้ำเหลือเอ่ย
เธอ ทำเมินเฉย ห่าง เหินทำเมินไม่มอง
ยาม ใดใจเหงา เฝ้า ดูนวลแสงจันทร์ส่อง
ใจ คอยร่ำร้อง เรียก หา แต่ เธอ
ทอดทิ้ง ทอดทิ้ง ฉัน ไป แสน ไกล
สุด อาลัย ในรัก หัก หาย
ปวดร้าว ปวดร้าว เหลือใจ หมอง ไหม้
หมด เยื่อ ใย มิหวน คืน มา
คอย คอยหา ตั้ง ตาคอยเธอคืนกลับ
เธอ ไปลาลับ จาก ฉันคืนวันผ่านไป
คอย เธอหวน กลับ มาเคียง ชิดใกล้
ไย เป็น ไฉน คอย เก้อ เดียว ดาย
ทอดทิ้ง ทอดทิ้ง ฉัน ไป แสน ไกล
สุด อาลัย ในรัก หัก หาย
ปวดร้าว ปวดร้าว เหลือ ใจ หมอง ไหม้
หมด เยื่อใย มิหวน คืน มา
คอย คอยหา ตั้ง ตาคอยเธอคืนกลับ
เธอ ไปลาลับ จาก ฉันคืนวันผ่านไป
คอย เธอหวน กลับ มาเคียง ชิดใกล้
ไย เป็น ไฉน คอย เก้อ เดียว ดาย
ไย เป็น ไฉน คอย เก้อ เดียว ดาย...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song359.html
ไกลบ้าน ชรินทร์ นันทนาคร
วิปโยคโศกใจ เหมือนเมื่อไกลบ้าน
ไกลสถานพักพิง ยิ่งใจเหงา
ห่างไกลหัวใจจำเศร้า เจ้าอยู่ดีเป็นไฉน
พลัดที่พึ่งที่พิง ทิ้งที่พำนัก
ไกลที่รักพักพา จะอาศัย
เจ้ามีเพื่อนชมคนใหม่ แล้วทิ้งพี่ให้ชอกช้ำชีวี
อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า
เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี
อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี
ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง
เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า
จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง
ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง
ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล
อันรักกันอยู่ไกล ถึงสุดขอบฟ้า
เหมือนชายคา เข้ามาเบียด ดูเสียดสี
อันชังกัน นั้นใกล้สักองคุลี
ก็เหมือนมีแนวป่า มาปิดบัง
เพราะไกลบ้านซ่านมา โถนิจจาเจ้า
จะเงียบเหงาแล้วลืม ซึ่งความหลัง
ฝากเพียงเสียงกระซิบสั่ง
ขอน้องอย่าชัง คนร้างแรมไกล...
2 ตุลาคม 2548 09:42 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song716.html
(บ้านเรา..บ้านคือวิมานของเรา)
ดวงดอกไม้สยายกลีบยามเช้านี้
เมื่อคนดีคืนกลับให้รับขวัญ
จันทร์ดวงงามก็แย้มหวานกว่าทุกวัน
ราตรีฝันช่างหอมงามในท่ามรัก..
คือสายใจสายใยรักถักทอทอด
ให้โอบกอดยอดดวงใจแนบแน่นนัก
คือรักเรานะดวงใจรักเกินรัก
โลกประจักษ์เกินกว่าค่าคำใด
เจ้าแย้มยิ้มเพริ้มเพราเหงาเลือนหาย
เหมือนดอกไม้กรายกลีบเกสรไหว
เหมือนเรียวรุ้งแตะแต้มฟ้างามกว่าใด
เหมือนธารใสไหลระรินมิสิ้นรอ
โลกเดียวดายกลายอุ่นละมุนหวัง
ลืมใครฝังความทุกข์ระทดท้อ
มีเพียงคืนและวันไร้เพ้อพ้อ
มิหวังรอขอสุขใจจากใครคน....
แตะริมแก้มด้วยแก้มนี้พลีเพื่อเจ้า
ลบรอยหนาวให้อุ่นไอไปทุกหน
ถึงกายไกลใจหลอมรวมเกื้อกมล
ทั่วเวหนเหินเวหาคว้าเก็บดาว...นะเจ้ายอดดวงใจ...
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=716
วิมานดินพุดพัดชา
มีคุณผู้อ่านน้อยนิดที่รักเหนียวแน่น
ตามติดและเป็นแฟนภาษาย้วยๆของ..
พุดพัดชา ท้วงทักมาว่า อยากให้พุดพัดชา
เขียนให้ภาษากระชับๆหน่อย
เพราะว่า อ่านไปอ่านมาชักจะ..เสพแทนยานอนหลับได้เลย...
ยิ่งยามวิเวกวิเหวโหว..ตอนดึกๆ
อ่านอ่านไปจะออกอาการ ง่วงงุนโงกเงก
เอาศีรษะเขกโขกจอคอมได้ ถ้าไม่ทันระวังนะคะ.....
จริงๆเป็นคนที่มีความดันทุรังสูงมาก
กับความเป็นตัวของตัวเอง
ที่เขียนคือภาษาที่ตั้งใจใส่เจตนาที่คิดว่าสวยสุด
สะท้อนสะท้านสะทือนไหว ในใจในความเป็นตัวเอง..ให้สุดฤทธิ์ สุดเดช
แต่มาบัดนี้..กริ่งเกรงว่าไปๆมาๆไม่นาน
คงต้องอ่านเองอยู่คนเดียวเป็นแน่แท้....
ขนาดบางคน..ที่สู้ฝืนทนกล้ำกลืนชื่นชม
พยายามให้กำลังใจมาตลอด ยังอดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้..
ว่าถ้าหากย้วยยานอยู่อย่างนี้
ใครที่ไหนนี่จะอยากมายื้อยุด
ให้เลิกหย่อนยานมาเอาหวานแหววแต๋วจ๋าใส่หัวใจ
ยื้ดเยื้อซะไม่มีน่าเบื่อเหลือจะทน.
จนต้องทนๆทำเอาใจไปเซบไว้ทิ้งถังขยะ ใช่!จะสนใจอ่าน
ใช่!..จะไยดี
เฮ้อ..รู้น่า กำลังจะบอกนะคะ
ว่าที่เขียนๆนี่ไม่มีตำราวิทยายุทธิ์เลยนะ
เขียนตามใจแบบไม่มีที่มาที่ไป
ไม่มีไคลแมกซ์ ทะลักล้น ตอนสุดท้าย
ให้ได้อย่างนักเขียนปากทองปากกาฝังเพชร
ทั้งหลายทั้งปวงในยุทธจักรนักเขียน..
เพราะพุดพัดช้าชอบใช้แค่ปากกา Pilot Feed GP2 0.7
จากร้านLoft ที่ชอบซื้อมาตุนเอาไว้เขียน เพราะว่ามันลื่นดีจัง
และที่บ้านพุดพัดชาจะมีตะกร้านักอยากจะเขียน
ทั้งที่สานด้วยลวด ดีไซน์หรู และที่ถักด้วยเชือก..
ไว้ทั้งทิ้งและเก็บงานเขียนที่ยังไม่แล้วเสร็จ..
ให้หิ้วไปหิ้วมา ยามเคลื่อนที่ไปเขียนตามมุมต่างๆ.
.และไว้ขยำขยี้ทิ้งขยะ ที่เขียนไม่ดีไม่ถูกใจ ถึงใจ..
แถมจะมีกล่อง (หีบไม้) ใบใหญ่ ลายปลาสวยตัวใหญ่ยักษ์ข้างหีบ
เป็นกล่องเก็บรัก ไว้เก็บงานเขียนอันเป็นดวงใจ
ยิ่งกว่าเพชรพลอยมากค่าซะอีก.
ซึ่งตอนนี้มีเป็นร้อยๆเรื่องรอสำนักพิมพ์ปีกฟ้า
ติดต่อมาอยู่นะคะนี่.. ไม่รวมในไทยโพเอมที่มากมีมากมาย
กระจายกระจัดไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ..
ซึ่งกำลังตามพยายามนำมาเซบไว้ให้ได้มากที่สุด..
มาวันนี้..
ขอขอบคุณคนดีในดวงใจทุกท่าน.
ที่พยายามปลุกปลอบมอบกำลังใจให้เสมอมา
สอนให้พัฒนาเป็นนักเขียนที่มีสาระ
พยายามทั้งผลักทั้งดันทั้งเข็นทั้งกระชากใจ
ให้ยอมรับว่า หากจะเอาดีเอาได้ทางการเขียน
ก็ควรจะขยันศึกษาหาความรู้
อย่างคุณหมอวฤกหรือคุณม้าก้านกล้วย
ปรมาจารย์ทางด้านกานท์กลอน...
ทั้งๆที่..ใจดวงนี้ มิเคยหวังสิ่งใด
นอกจากตั้งอกตั้งใจรจนาสนองความอยากส่วนตัว..แค่นั้น....
วันนี้สบายใจดีจัง..เปิดเพลง.บรรเลงจากเปียนโนแสนไพเราะ
เลยมีอารมณ์ เล่าสู่กันฟัง.. อย่ารีบเบื่อนะคะ
คนดีที่รักทั้งหลาย(เอาอีกแล้วที่รัก ที่รักๆๆๆ)
เพราะพุดพัดชากำลังมีความสุขมาก
และกำลังเปิดหนังสือบ้าน....
Falling Water ของ Frank Llyd Wright ยอดสถาปนิกโลก
ที่ออกแบบบ้านพร้อมธารน้ำตกระรินไหล
ราวออกมาจากตัวบ้าน ซอนเซาะผ่าน
แอ่งหินงามเบื้องล่าง งามเลอล้ำและ
กลมกลืนกับป่าไม้ผลัดใบสีทองทั้งราวป่า
ที่งามดั่งภาพฝัน ในจินตนาการ
ในพงพฤกษ์ไพรจนน่าไหลหลง ดูไม่เบื่อเลย..
และอีกหลัง..Glass House ของ Philip Johnson
ที่เป็นกระจกทั้งหลังในราวไพรเฉกเช่นกัน
ให้นอนสัมผัสฝัน สัมผัสธรรมชาติ นอนนับดาวเดือน..มิรู้เบื่อเลย......
ทำให้พุดพัดชา......มีความสุขมาก
และหันมามองวิมานดินของตัวเอง..ในวันนี้....
พุดพัดชาจะมีโต๊ะเขียนหนังสือสไตล์โบราณ
ไว้นั่งเขียนหนังสือ. .และที่บ้านพุดพัดชา
จะมีกระจกรายรอบบ้านเลยสามารถปล่อยให้
ธรรมชาติลื่นไหลเข้ามาทายทักสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด..
ยามเหนื่อยล้าจากงานเขียน
พุดพัดชาซื้อต้นโมก ดอกหอมกระจิ้ดริด
ที่ขณะนี้กำลังบานพราวหวานขาวนวลไปทั้งต้น
ที่สูงแผ่ก้านกิ่ง เหนือโต๊ะที่ใช้เขียนหนังสือ
เพื่อว่าให้งานฝัน ของพุดพัดชาทุกบรรทัดอวลไปด้วย
หอมงามละมุน ลองอ่านไปดมไปนะ...
บางทีจะได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยล่องมาปลอบประโลมใจ
ให้เลิกดายเดียว เหงาเศร้า..ไปด้วยกันทุกอณูแห่งใจรัก
ที่พุดพัดชายินดีรินรดให้ด้วยจริงใจและ
ด้วยรักมากมีมากมายต่อทุกดวงใจ
ให้ใสงามสดชื่นแสนสุข....ทุกอารมณ์รู้สึกสุขเศร้าเคล้าไหว...ในงามงาน..
จากแนวตา ที่เขียนนี้จะมีซุ้มการะเวก และบ่อปลา ..
ในยามเย็นจะมีกลิ่นการะเวกส่งกลิ่นแกล้มมาประชัน
ให้งานเขียนงานฝันบรรเจิดใจเป็นยิ่งนักแล้ว...
เวลาเขียนงาน พุดพัดชาจะชอบมีดอกไม้สดหอมๆเคียงข้าง
ในโถลายครามบางที่จะเต็มไปด้วยกุหลาบๆและกุหลาบ
และจะจุดเทียนหอมงามตามมุมต่างๆวางไว้ในยามค่ำ
และบางค่ำคืนจะจุดตะเกียงโบราณ
เขียนหนังสือ หรือไม่ก็เขียนกับแสงเทียนให้วับวับแวม..
ให้งานหวามไหวด้วยใจดวงนี้ที่สุขล้ำ..เกินรำพัน
นี่คือชีวิตจริง..ของนักอยากจะเขียน..
ที่พากเพียร เขียนเรื่องรักโรแมนติก คนนี้
ที่เกิดมากับใจดวงนี้ที่มิได้เสแสร้งแกล้งทำ
เป็นผู้หญิงช่างฝัน อ่อนไหว
จนใครๆบอกว่าสมแล้วที่ใช้นามปากกาว่าพุดพัดชา
หรือทะเลที่มิเคยหลับไหล ผันแปรเอาแน่ไม่ได้ในบางครั้งครา
ยามอ่อนล้าใจเจอพายุร้ายพัดผันผ่านมา..
พุดพัดชาเขียนมาเล่า..กันฟังแค่อยากฝากฝัง
ฝากฝันฝากกายใจ ให้รักและเข้าใจพุดพัดชา
ว่ามีชีวิตติดดินและงามง่ายเพียงใด
ในโลกสับสนเร่าร้อนนี้ ที่ตามไม่ทัน
และเขียนเพื่อบอกว่า พุดพัดชาโชคดีนัก
ที่มีบ้านไว้ซุกกายใจ ในยามเจ็บช้ำกับสังคมห้ำหั่น
ที่ยังตามมาถึงบ้าน แต่ใจดวงนี้ไม่เคยท้อนะ
แม้บางทีจะพ้อกับโลกกับคนที่รัก
ด้วยเสียใจชั่ววูบวับแล้วดับหาย
ด้วยอาศัยใจดวงดีนี้ที่คิดอภัย ไม่เคยคิดร้ายใคร...
และบ้านคือวิมานของเราอย่างแท้จริง
ที่เราจะใส่ฝันสวยงามอย่างไรก็ได้
เพื่อให้กายใจเราสวยใสสดชื่นตามไปด้วยกัน.....
นะคนดี..
ค่ำคืนนี้..พุดพัดชาจะสร้างฝัน นอนกางมุ้งบาหลี
และจะจุดเทียนเวียนวนเขียนเรื่องรักงดงาม
ให้หวามไหว ฝากถึงดวงใจในฝันทุกคน
ให้อย่าเลิกฝันสรรสร้างสิ่งงามงดมอบให้แก่โลกในใจในฝัน
และโลกจริงของเรานี้ให้ลดเร่าร้อนรุนแรง แย่งชิง..
หวังใจว่าคงไม่หลับไหลจนเทียนไหม้มุ้งเสียก่อนนะ...
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song716.html
บ้านของเรา ...สวลี ผกาพันธ์
บ้าน คือวิมานของเรา
เราซื้อเราเช่า
เราปลูกของเรา ตาม ใจ
ย่อมเป็นสถานทิพย์วิมานพอหาได้
เป็นที่เกิด ที่ ตาย
ที่เราสร้างเอาไว้คอยท่า
บ้าน คือวิมานของ คน
ถึงแม้ยากจน
ก็ต้องดิ้นรน
อย่าจนปัญญา
หาบ้านสักหลัง
ที่พอประทังชีวา
เพื่อสนิทในนิทรา
ให้ตื่นมามองโลกชื่นใจ
บ้าน ฉัน มีเพลงฝันให้ฟัง
มีเสียงระฆัง
จากกังสดาลพริ้งไป
มีสวนไม้ดอก
ผลิบานก้านกอช่อใบ
มีความรัก มีน้ำใจ
มีให้อภัย มีกรุณา
บ้าน คือวิมานของเรา
ยามพบความเศร้า
รีบกลับบ้านเรา
จะเปรมปรีดา
เพราะบ้านมีรัก
น้ำใจอภัยกรุณา
คอยเราอยู่ทุกเวลา
ในชายคาเขตบ้านของเรา
บ้าน ฉัน มีเพลงฝันให้ฟัง
มีเสียงระฆัง
จากกังสดาลพริ้งไป
มีสวนไม้ดอก
ผลิบานก้านกอช่อใบ
มีความรัก มีน้ำใจ
มีให้อภัย มีกรุณา
บ้าน คือวิมานของเรา
ยามพบความเศร้า
รีบกลับบ้านเรา
จะเปรมปรีดา
เพราะบ้านมีรัก
น้ำใจอภัยกรุณา
คอยเราอยู่ทุกเวลา
ในชายคาเขตบ้านของเรา...
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บ้านเรา ...สุเทพ วงศ์กำแหง
บ้าน เรา แสน สุขใจ
แม้จะอยู่ ที่ไหน
ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา
คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้า
คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์
รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง
พริ้วแดดส่อง สดใส
งามจับใจ มิใช่ฝัน
ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน
ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น
หอมทุกวัน ระบือ ไกล
บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้
จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า
เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม
ลอยล่องไป ยังบ้านเขา
จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย...