26 พฤศจิกายน 2548 21:53 น.

ลั่นทมบนลานใจ..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
(คิดถึง)
......................



สนามบินสุราษฎร์ธานี

หญิงสาวสูงโปร่ง วงหน้ารูปไข่  
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางใด
นอกเพียงจากเครื่องประดับหน้า 
ที่ดูงามใสเด่นคือนัยน์ตาสีอำพัน
ที่ดูราวกับทะเลเร้นลับอันแสนล้ำลึกเงียบสงบ 

 
และ..
กับผิวสีน้ำผึ้งรวง 
ที่ดูแสนโดดเด่น..ยามเธอก้าวล่วง
ออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า
ก่อน..
ที่เธอ..จะแย้มยิ้มยินดี ..เมื่อหันมาพบ..
สบตากับใครคนหนึ่ง...ใครบางคน..
ในกมลที่หลงเฝ้ารอมาแสนนาน..นานแสน


ร่างสูงเพรียว..ผิวสีทองแดง
ในเสื้อยืดขาวและกางเกงทหารพรานสีขี้ม้า
 ที่ยืนเอามือไพล่หลัง อย่างเจนตา คุ้นใจ
ในท่ามผู้คนอลหม่านอลวนแสนวุ่นวายวายวุ่นรายรอบ 
ในยามตะวันรอนรอนดวงอ่อนอ่อนแสง ...


เขา....ผู้ชายนัยน์ตา..น้ำตาลโศก 
ที่ดูราวโลกจะหยุดหมุนหากยามจ้องผู้ใดนานๆ
ค่อยๆ...
ก้าวผ่านผู้คนเดินตรงมาที่เธอ..อย่างช้าช้า..
พลังกระแสอะไรบางอย่าง...
พร่างแผ่สร้านเรืองรองรายรอบร่างของคนทั้งคู่ 
ที่สัมผัสด้วยตาเปล่า ...คงมองมิเห็น..
เป็นความเย็นฉ่ำ สว่างไสวราวสายกระแสธารใจ
ที่เขานำติดตัวมา..ติดตามมา..


เป็นดั่งพลังรัศมีแห่งรัก เมตตา อาทร
อันแสนอุ่นเอื้ออ่อนหวาน
เสมอเสมือนดอกไม้..
ที่กำลังค่อยๆผลิแย้มบานดวงดอกตระการ
ในท่ามพงไพร ที่แสนบริสุทธิ์ใส ไกลห่างโลกมายา
พอกันกับ..
เกรียวเมฆบางเบา..
ที่แสนเหงางามรอรับพรายสายแสงสว่าง
จากรัศมีสีทอง..อันแสนละไมอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง..พอกัน


น้ำนัยน์เรียวตาสีอำพันวาบวับวิบวาว
ดั่งประกายดาว ....
ที่กำลังส่องแสงในฟากฟ้ายามคืนเดือนมืด
ราวมุกมณีนางฟ้า..ที่พร่างพ้อ ปริ่มรอริมเรียวตา
เพื่อหยาดหยด
รับมิ่งขวัญหล้าขวัญไพร
ขวัญในดวงหฤทัยแห่งการถวิลรอ
ด้วยความรู้สึกยากพรรณณา..


เมื่อ...
 เขาก้าวเข้ามาชิดใกล้...ใกล้เสียจนได้กลิ่นเหงื่อรำไร
จากหนุ่มเจนไพร ..
ผู้มี..โลกละไมหอมกรุ่น
ในทุกอณูละมุน
แห่งสายเลือดรักดิบดินดายเดียวเดียวดายสมถะ


กับ..
ฟ้าพรายแสงสีครามกระจ่างไสวกับ
นิยามใจหอมงามแห่งความรักท้องทุ่งเรียวรวงสีทอง
และ...
กับหอมห้วงแห่งดวงดอก ไม้ป่าดอกไม้ไพร
ราวกับเกสรพิสุทธิ์ใสแห่งดวง ดอกกล้วยไม้ดิน 


ที่...
เขาเพียรมิสิ้นท้อ..เฝ้าปลูกกอพ้อเถาวัลย์
ณ..เรือนแห่งความฝัน เรือนริมธาร 
กระท่อมหวานแห่งกาลเวลา..


กับ..
สายธาราระรินๆระริกระริก
เฝ้ากระซิบกระซาบกับโขดหินอย่างแสนรักในทุกยามค่ำคืน
ใน..ยามดึกดื่นใต้เงาดาว อย่างหวานเศร้าหนาวใจ 
ระรินไหล..อย่างเนิบช้า 
เสมือนลีลาท่วงท่ายามนี้...ที่เขากำลังก้าวเดิน..ตรงมา


เขา..ค่อยๆเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก
ทั้งที่เธอคล้องบ่าและหิ้วไว้..อย่างสุภาพ

มืออบอุ่นทาบกับมือเรียวบาง
ให้ทั้งเขาและเธอชะงัก นิ่ง..ในท่ามกลางความวายวุ่น
ให้สัมผัสละมุนถึงพลังกระแสแห่งความเอื้ออุ่นอ่อนโยน


*ตาสบตาอีกครา*
ก่อนที่เขาจะกระซิบถาม
*เหนื่อยไหมครับคนดี*
เธอ..คลี่ยิ้มใสใสก่อนจะกล่าวคำ
*ไม่ค่ะ ดีใจตื่นเต้นเสียมากกว่าที่ได้กลับมาที่นี่ค่ะ*


เขา..ยิ้มตอบ ..
ก่อนนำเธอออกไปยังลานที่จอดรถ
แล้ว...หันมาบอกกับเธอ..
*มอ..คู่ใจคันเก่าครับ 
ยินดีต้อนรับครับเจ้าหญิง
แล้วเขาก็ทำท่าผายมือเชิญ ให้เธอหัวเราะ..*
*ยังงามดีใช้การได้ดีนะคะ
ฉันคิดถึงมันค่ะ และอยากนั่งซ้อนท้ายไปกับคุณ

*คิดว่าสมบุกสมบันพากันท่องไปไหนๆจนล้อหลุดเสียแล้ว..*
เธอ..กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ...


*รับรองครับ 
คนดีว่าจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
และ
ไม่มีวันที่ผมจะให้มีริ้นไรกลายกล้ำเท่าปลายก้อย
ด้วยเกียรติลูกผู้ชายชาติไพรครับรับรอง


*ว่าแต่ว่า ..คนนั่งซ้อนนะซี
จะไหวมั้ยนี่ หนทางไกลนะครับ*
เอานะ..เพราะว่าคุณไม่มีทางเลือกแล้ว*

*มาครับ
ให้ผมมัดกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะดีกว่า
 คุณจะได้นั่งสบายๆ*


เธอ..ล้วงหยิบผ้าคาดผมสีส้มสดออกมาพันทบ
รวบเก็บผมไว้ก่อนทิ้งชายสยายล้อลม
พลางสวมแว่นตากันแดดลมอันเล็กกระทัดรัด
ขับใบหน้านวลให้ยิ่งเก๋ไก๋หวานแฉล้ม
ยิ่งแสนชวนมองในยามย่ำสนธยา


เขาขึ้นประจำที่คนขับ
กับอานใหญ่เบาะกว้างของเจ้า*บลูเบิร์ด

เสียงรถ..
ฮอนด้าสปีด400ครางกระหึ่มก้อง
พร้อมกระชากตัวตามแรงบิดชนิดไม่เห็นฝุ่น...
หากต้องการ ตามใจทะยานแห่งเจ้าของ


หากเที่ยวนี้ เขาคนดีคงไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงภัย
ด้วยร่างนางในดวงใจกำลังซ้อนซบไหล่
ให้หัวใจเขาแสนสะทกสะท้าน..อยู่ ณ..เบื้องหลัง


ร่างแนบร่าง ไร้สิ่งใดขวางกั้น
หัวใจเขา...กำลังทะยานหาญกล้า
พาร่างใจทะยานราวเหนือโลกโศกสุข 
รอบุกสู่ป่าใหญ่ไพรกว้าง 
เทือกเขา สวรรค์หวาน
ริมลำธารสายงามที่กำลังทอดตัวนิ่งรอ..อย่างแสนรัก


เขา..คนดี
ขออนุญาติเธอ..เพื่อเร่งเครื่องทำความเร็ว
หวังจะพาเธอให้ไปทันดู....
พระอาทิตย์...ที่กำลังจะลาลับเหลี่ยมผา ในบางที่
ที่มี..
อาหารทะเลสดรสดี 
มีดนตรีแห่งความฝัน
กำลังรำพันรอ ..ระหว่างทาง ก่อนจะเดินทางสู่
*กระท่อมริมธาร* วิมานไพร*.. ที่กำลังจดจ่อรับ


เธอ..แย้มยิ้ม 
กับพลังสดฉ่ำ จากสายลมที่กำลังไล่ประทะหน้า
กับแมกไม้ไพร
ที่กำลังโบกสะบัดราวกับคอยกวักมือเรียกเธอ


กลิ่นหอม...
ของพวงพะยอมดวงดอกไม้ป่า..
พากันแย้มเผยอกลีบ..
ออดอ้อนสายลม..มาทายทักอาคันตุกะจากแดนไกล
ที่....
พร้อมเปิดจิตวิญาณภายใน.ซึมซับรับหวานงาม


กับ..
ฟ้ากว้าง..ที่กำลังแปรสี*เป็นรัศมีสีรุ้ง*
พุ่งพรายฉายฉานตระการไปทั้วทั้งราวป่าราวไพร
เรี่ยยอดไม้ยามใกล้ตะวันลับลา


ฟ้าพยับแดดละมุน..
ค่อยหมุนกลายสีเป็นไพลโศก
ตามแรงวนของโลก...สู่ราตรีกาล 
ให้ดารารายได้พรายพร่าง
มากระพริบแย้มเยือนยามราตรี 
ตราบชั่วนาตาปี มิมีนาทีสิ้นสุดหยุดได้ลง..!


เขา..ค่อยๆเอื้อมมือมาจับมือเธอ..
ให้เกาะเอวเขาแนบแน่นเข้า
อย่างนุ่มนวล...

มือสัมผัสกัน
ใจดวงนวลดวงงามของทั้งคู่
เริ่มหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีขอบเขตสิ่งใดมาขวางกั้น 
*นอกจากพลังแห่งความรัก*
อันสูงส่งงดงามเกินหานิยามใดมาเปรียบเปรย


รักที่...ผ่านเลยจุดแห่งความสวาทหวามเสน่หา 
เหนือมนตราแห่งมายาครอบครอง
มีเพียงพลังแห่งรักเมตตาปรารถนาดี 
ดั่งมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม


ที่..
หวังเพียงรินร่ำน้ำใจรักให้อีกฝ่าย
ได้มีแต่ความสุขไร้ทุกข์สิ้นพันธนาจิต
ได้..
พลีมอบชีวิตณ ภายใต้ร่มพระรัตนตรัย
ที่..
แสนร่มเย็นเห็นงามเงียบสงบสะอาดสว่างไสว..
ไม่เหน็บหนาว...ไม่ร้าวราน..
ดั่งดอกบัวบานพ้นน้ำเหนือโคลนตม


รอรับสายแสงวิมุตติธรรมผสานผสมสู่จิตวิญญาณ
ให้งามพราวดั่งอัญมณี
ดั่งมีพลังสายแสงทอง
ให้สาดส่องนำทางใจ..
ไปสู่ความสว่างไสวตราบชั่วนิจนิรันดร์


เขา..
อยากจะร่ำไห้...เมื่อได้พบเธอนางใจในละเมอ
ของดวงใจพ่อนกไพรพเนจร
ที่..หวังพลีเคียงคอน...
สร้าง..*กระท่อมเรือนรังแห่งรัก*
ไว้ให้เธอได้พักพิงอิงอุ่น 
สร้าง..*โลกธรรมหอมกรุ่น*..ไปด้วยกัน


ที่..
เขาเพียรพร่ำวอน ให้เธอย้อนมาเยือนที่นี่
ที่ที่เขาคนดีกำลังรอพร้อมพลียินดี..
ที่จะพาเพื่อนตายคนดี ไปพบสายแสงธรรม


จาก..
*พระภิกษุสงฆ์ชรา *
ที่ท่านธุดงค์มาปักกรดคร่ำ ณ..ในผาถ้ำ 
แห่งเทือกเขาไพรที่แสนไกลห่าง
และ...
มีเพียงเขาผู้เดียวไปพานพ้อง
ราวได้พบกับ*อัญมณีสีทอง..*
ทันที่...ที่เห็นจีวรผ่องพราย
ในท่ามแสงเทียน
และ ม่านระย้าย้อยของหินงอกในถ้ำ


จากหลายค่ำคืนหนึ่งที่ผ่านมา...
พาเขาแปลกใจ
เมื่อพบ...
แสงเรื่อเรืองรำไรรำไร
ราวมีหิ่งห้อยพร้อยพราวแสงในเงื้อมเงาถ้ำไพร


ที่..
ร้อยวันพันปีจะไม่เคยมีสรรพแสง...สรรพเสียงใดลอดออกมา
นอกจาก...เพียงเสียงน้ำตกภายในเวิ้งผาถ้ำ
ที่จะพากันระรินระรินไหลอย่างเงียบๆ
อย่างเฉียบฉ่ำเย็น 
จน...กลายเป็นกระแสธารผ่านออกมา
สู่ห้วยละหาร
เป็นลำธารสายบริสุทธิ์ใสในกลางไพรทรวง..


เขา...
จึงตัดสินใจพาตัวเข้าไปค้นหาความจริง
และ..
ด้วยดวงใจนิ่งงัน
ที่พลันแสนสุกใสสว่าง..ราว*ดาวดวงประกายพรึก*
ในยามดึก...
 เมื่อพบภาพพระสงฆ์ชรา
หากทว่าใบหน้าแสนอาบเอิบอิ่มบุญ
ด้วยแสงเทียนทองผ่องพรรณราย
ที่กำลังพรายแสงทอกระทบดูแสนสมถะสงบงาม



ท่านนั่งสมาธิบนเนินหินเตี้ยๆ..เหนือสายน้ำ
ที่..ช่างงามแสนงาม มลังเมลือง..เกินจะกล่าว
ราวกับมี...
พลังรัศมีสีทอง
ฉายฉานทรงกลดโชติช่วงรายรอบร่างท่าน


เขา...
เฝ้าหมอบกราบนานนาที
กว่าที่ท่านจะเอ่ยคำ..ทั้งๆหลับตา
โยม..มาถูกที่แล้ว
รอสักพักนะ
อาตมาจะสวดมนต์ภาวนา..ต่ออีกนิด
แล้วเราจะได้มาคุยกัน*


บทต่อจากนั้น..
เขาจักไม่รำพันเผยเอ่ยออกมา
เพราะทุกปุจฉาจากองค์สมณะ
ที่เพียรพาให้เขาค้นหาคำตอบ
ได้ฝากศรัทธาปสาทะ 
ให้หัวใจเขาที่ร้อนรุ่มเยือกเย็นลง



ราวได้พบสายธาร..น้ำอมฤตธรรม
ผ่านล้ำล่วงเข้าไปในกระแสจิต 
บึงนิรมิตแห่งทิพยแห่งใจ
ที่ทำให้ เย็นใสสว่างพร่างพราย
ราวได้รับพลังแห่งอมตะนิรันดร์สวรรค์ว่างวาง
จากการที่ท่านหยิบสัจจะธรรม
บางคำสอนจากหลวงพ่อท่านพุทธทาสที่ฝากคำล้ำเลอค่า
เอาไว้ใน*นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้*

เมื่อไรจะได้...?

ท่านอาจารย์
เมื่อไร ผมจะได้ดวงจันทร์นั่น?
ตอบ..เมื่อแกรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะได้ ไม่ควรได้ ป่วยการ

เมื่อไร จะได้นิพพาน?
ตอบ..เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ควรอยากได้
ไม่มีอะไรที่ต้องได้...

ไปนิพพานทางไหน?
ตอบ..ไปทางทะลุตัวเอง

ไกลเท่าไร?
ตอบ..แค่ยาววาหนาคืบ
แต่คนไม่รู้นึกว่าเดินทางหมื่นกัลป์แสนกัลป์

ทำอย่างไร?
ตอบ..ดูทะลุปรุโปร่งตัวเอง
ในทุกแง่มุม แห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ตถาตา






และ..
นี่คือที่มา..ในวันนี้
ที่เขา..คนดีได้พลีใจ
เฝ้าเพียรเวียนวอนขอรอวันว่าง
ให้เธอได้เดินตามเขามา...หา*รอยธรรม*
อันล้ำเลอค่านี้
หากเธอยังมี..กุศลจิตบุญญาบารมีพอ..
ขอให้เธอตัดสินใจ
และ..
ในที่สุดเขาก็ไม่ผิดหวัง


เธอ..
อยู่ตรงหน้าเขานี้แล้ว..
แม่ดวงแก้ว ดวงขวัญ แม่จอมใจ
และ..
โลกในหัวใจเขาก็พลันแสนไสวสว่าง
เมื่อเขาเห็นร่างเธอมาปรากฏกาย
มานั่งชิดใกล้แค่เอื้อมมือคว้า
กำลังนั่งนิ่งๆทอดตา...ดูพรายพระอาทิตย์สนธยา
กับฟ้าใกล้ค่ำ...กับเสียงระร่ำรินภายในดวงใจเขา
ที่แสนเอมอิ่มเป็นสุข ในทุกนาทีอุทัยโลกหมุน


เธอ..
ตกอยู่ในภวังค์ฝัน 
กับพรายแสงอาทิตย์
ที่..
กำลังสาดแสงสีทองกระทบยอดไม้
จนเกิดประกายวะวิบวับ
ไปทั่วทั้งท้องพนาท้องทะเล


เสียงนกกาเริ่มร่ำระงม
กับ..
สายลมรำเพยหอมหวานเย็นฉ่ำ
ราวกับมีฝนหลงฤดู
พรายสายมาจากที่แห่งใด ไม่ไกลจากที่แถวนี้


ณ..
ที่เธอทรุดตัวนั่งลง..ณ..ที่แห่งนี้
คือที่ที่เขากระซิบบอกเธอว่า
*คนดี..ผมจะพาคุณแวะบางทีก่อนนะ
ระหว่างทาง...
ก่อนที่..
จะพาเธอลัดเลาะลดเลี้ยวเข้ามาในท่ามทิวสนดงตาล


ก่อนจะ..
ค่อยๆเลียบเส้นทางเคียงขนานไปกับทะเล
ที่ เบื้องบัดนี้
แปรสีรับพรายแสงจนทั่วทั้งท้องน้ำ
แวววาวราวถูกโปรยปรายโรยด้วยกากเพชร จรัสจรุง


เขา..พุ่งรถ.. 
มาจอดยังหน้าร้านริมชายชลเล็กๆ
ที่หลังคามุงจาก..
หาก..ด้านหน้าจะมีชานไม้ยื่นออกไป
ชิดเคียงใกล้โอบกอดโค้งทะเลไว้อย่างรักใคร่
ให้ได้..
ฟังเสียงคลื่นคลอ พ้อลมคราง 
ให้ดู..
นางนวลถลาโฉบล่าเหยื่อเหนือฟองคลื่นขาวนวล


และ..
มีแมกไม้ไทยประดับรายรอบ
ทั้ง...
โมกดอกพราว..
ทั้งหอมอวลเศร้าของลั่นทมพราวเต็มราวกิ่ง
ที่กำลังทิ้งตัวระย้าพวงดวงดอกดก 


ทั้ง..
จำปี..ที่ยังเยาว์ดรุณ
หากให้ดอกหอมกรุ่น 
ให้ทุกดวงใจแขกผู้มาเยือน
คงตามติดเตือนให้จำเดือนจำปีจำนาที
ที่มานั่งนะที่ตรงนี้ได้ไม่มีวันเลือน


ไหน จะแปลกนักที่ยังมีช่อฉัตรปาริชาติ 
แสนพิศสวาทโรจน์แรงแดงเพลิงไปทั้งต้น
แทบมองไม่เห็นใบ

ให้ในคลองตารื้นชื้นตา
เมื่อคิดถึง เรื่องรจนากามนิตวาสิฎฐี 
ที่ทำให้ระลึกชาติได้..
คล้ายมาย้อนวอนเตือน
ให้รำลึกจดจำเรื่องในหนหลังที่เคยได้ฝังฝากใจ


มีโต๊ะเก้าอี้ไม้ไผ่..วางไว้
ใต้ซุ้มแมกไม้ใบบังอันให้หอมเหล่านี้
ที่..
ในยามนี้ต่างประชันขันแข่งกัน
อวดหอมพรายมากับสายลมทะเล
ที่..
กำลังเพ้อละเมอคราง 
ให้มิร้างแรมรักลาเลือนไปไกลตาอีกคราครั้ง


และ...
นั่นพระอาทิตย์ดวงโต..
สีแดงฉ่ำก่ำสุกเท่ากระด้งฝัดข้าว
กำลัง..
อวดองค์ทรงรัศมีสีรุ้งพรายฉายฉาน
หาก...
ให้สีประกายหวานส้มแสดทองเจือชมพูดูพริ้งพราว
ให้มองแล้ว..
ยิ่งงามหนาวใจราวกับมาสอนสัจจะใจ



ให้..
ทุกชีวิตและทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งดู
ให้รู้ทันเท่า ...เฝ้ารอวันเวลาแห่งตะวันใจ
ที่จะรอลาลับดับไป
*ราวตะวันตกดิน*
มิวันใดก็วันหนึ่ง..ซึ่งก็จะมาถึงสักวัน
คง..ไม่นานช้ากับกาลเวลาที่เวียนวน
กับลมหายใจแสนสั้นในวันนี้
ที่ใครกันนะจะหนีพ้น..



บทเพลง..*แห่งท้องทะเล..*กำลังเพ้อครวญ
มากับ..
คลื่นฝันรัญจวนยามย่ำสนธยา
กับนาทีนี้ที่แสนสุขสงบงาม...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2461.html
ทะเลไม่เคยหลับ ....ดิอิมพอสซิเบิ้ล

มอง ซิมองทะเล
เห็น ลม คลื่นเห่จูบหิน
บาง ครั้งมันบ้าบิ่น
กระแทก หินดัง ครืน ครืน
ทะเล ไม่เคยหลับไหล
ใครตอบ ได้ไหม ไฉน จึงตื่น
บาง ครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่น อยู่ร่ำ ไป
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไวั
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเล ครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับ ทะเล

ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไว้
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเลครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับทะเล...
...................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4858.html
ตะวันลับฟ้า พุ่มพวง ดวงจันทร์

แสงสุริยาจวนลาเหลี่ยมโลก
ลมเย็นไผ่เอนไหวโยก
ลมโชยโบกพัดพริ้วลิ่วมา
จักจั่นเรไร หริ่งร้องก้องพนา
จวนสิ้นแสงสุริยา
ประหนึ่งว่าดนตรีสวรรค์
แสน
สุดเสียดายมองไปใจเต้น
ยามเมื่อตะวันเย็นๆ
เคยว่ายน้ำเล่นเคียงคู่ร่วมกัน
ตะวันลับฟ้าเสียงน้ำซัดซ่า
ไหลเซาะลำธาร
เคยเด็ดดอกบัวสาบาน
เห็นทุกวันแล้วเศร้าใจ
โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง

โอ พี่จ๋า พี่ เอย
ลืมง่าย จังเลย
เปลี่ยนคู่เชยโอ้ใจหนอใจ
ลืม สัญญาที่เคยว่าไว้
กอดหมอนนอนเดียวดาย
คิดถึงแทบตายน้ำตาไหลริน
เห็น หมู่นกกาถลาลมล่อง
จับคู่จู๋จี๋ประคอง
เหมือนพี่กับน้องเคยร่วมอยู่กิน
ตะวันลับฟ้า พี่จ๋าน้องเฝ้าถวิล
จะคอยจนชั่วชีวิน
ตราบชั่วฟ้าดินน้องลืมไม่ลง...
.........................



น้ำตาเธอ ค่อยๆไหลเอ่อซึม
เธอ...
ปลดผ้าผูกผมออก 
ปล่อยให้..
สายลมพัดสยายปลิวไปทางเบื้องหลัง..อย่างไร้พันธนาใด
ปลดปล่อยดวงใจ...
ให้โล่งลิ่วปลิวคว้างเหนือขอบฟ้ากว้าง..น้ำจรดฟ้า



ราว..
นกนางนวลที่กำลังถลาร่อนบิน 
อย่างมิถวิลอาวรณ์รอผู้ใดในท่ามโลกสีน้ำเงินงาม 
ที่เวิ้งว่างร้างไร้ ....ราวแสนยินดีในดายเดียวลำพัง..ลำพัง
แม้นมิพบฝั่งฝัน ..
หากมิเคยสิ้นหวัง..ที่จะติดปีกโผบิน..มิสิ้น.เพียร


เขา..
สบตาเธอ...
ในสายลมละเมอครวญ 
อวลด้วยรอยยิ้มเอื้ออุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน


*ไร้คำพูดใด*
สองดวงใจ..ปล่อยให้...
สายตาคือภาษาเงียบงาม
ที่..
งามเกินงาม..
เกินกว่า..นิยามค่าคำใด..
ที่จะเผยใจให้หลุดออกมา


ที่ไม่อาจแทนค่าความซาบซึ้งล้นใจ
เพราะถึงสักหมื่นแสนพันคำใดเล่า
ก็หาจักแทนค่าความห่วงใยเมตตาปรารถนาดี
มาอย่างยาวนานเหนือกาลกัปเวลานี้ได้ก็หาไม่..!


เธอ...
หันมายิ้มด้วยน้ำตาแทนคำว่า..
ขอบคุณซ้ำๆ
หยาดน้ำเพชร..
ที่เรียวตาคือหยาดน้ำภักดิ์ล้นค่า
ที่เธอ..คนดี..ยินดีพลีมอบ
ตอบแทนคำมากมาย ...
ที่..เขา..คงใช้ใจเพียงนั้น..สัมผัสได้


สายลมทะเลพัดละมุน
หยอกล้อพ้อลั่นทมดอกหนึ่ง..
ให้ปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง
อย่างอ้างว้างเหว่ว้าลงมาตรงหน้า*เขา*คนดีพอดี


เขา..ค่อยๆเอื้อมคว้า
และ..
ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตรงหน้า
ชิดใกล้ริมเรียวแก้มของเธอ
ที่..
กำลังคลี่แย้มยิ้มให้เขา...อย่างแสนเอื้อเอ็นดูรักใคร่ผูกพัน


เขา..ค่อยๆใช้นิ้วแข็งแรงนั้นไล้เลียบเสียบแซม
*ดอกไม้ในฝันนิรันดร์รักนิรันดร์ภักดิ์*
ทัดผมให้เธอ ..อย่างแสนทะนุถนอม..
พร้อม..พลีจูบแผ่วผิว..
ที่ปลายผมนิ่งนาน............


โลกงามเงียบงัน..!
 มีเพียงคนทั้งคู่ลำพัง
กับ..
ฟากฟ้าทะเลฝัน
กับ..
เพียงพระจันทร์ ดาวดวงงาม..พลอยรับรู้..
เป็นพยาน...
ในรัก...
อันแสนงดงามงามงด..เกินกว่าผู้ใดจะล่วงรู้ได้


เธอ..ไล้ลูบมือเขานิ่งนาน
อย่างแสนอ่อนหวานอ่อนโยนพอกัน
ก่อน..
ที่จะค่อยๆยกขึ้นมาประทับรับขวัญ
ด้วยรอยจูบละเมียดละมุน...
ให้...โลกทั้งโลกหยุดหมุน..เฝ้ามอง...!
........................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
คิดถึง กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์ 

จันทร์ กระจ่าง ฟ้า
นภา ประดับ ด้วยดาว
โลก สวย ราว
เนรมิต ประมวล เมืองแมน
ลม โชย กลิ่น
มาลา กระจาย ดินแดน
เปรืยบ มี แสง
คนึง ถึง น้อง นวลจันทร์

งาม ใด หนอ
จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง
เจ้า งาม ต้อง
ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน
ถ้า หาก น้อง
อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน
โลก จะ เหมือน
เมืองแมน แม่นแล้ว
นวลเอย...



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html
ฉันรักเธอเสมอ ..ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล

หากตราบใด
สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง
กระทบฝั่ง ดั่งอาจิณ
เป็นนิจสิน ตราบนั้นฉันรักเธอ
เช่นตะวัน
นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน
มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์

หากตราบใด
สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง
กระทบฝั่ง ดั่งอาจิณ
เป็นนิจสิน ตราบนั้นฉันรักเธอ
เช่นตะวัน
นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน
มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์...
				
2 พฤศจิกายน 2548 08:27 น.

เสียงสายฝนสายฝัน..สวรรค์..ในดวงใจ

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5719.html
RHYTHM OF THE RAIN 
.............



เธอ..โทรมาหาผม..
ขณะที่..
ผม..กำลังเบื่อโลกตรงหน้ายิ่งกว่าวันไหนๆ
และ..
เบื่อเสียยิ่งกว่า...เมื่อได้ยินเสียงเธอ
เพ้อร้องไห้รำพึงรำพัน
ราวกับใครสักคนกำลังจะตายจาก
ณ..บัดเดี๋ยวนั้น...!



*เค้าทำกำไลขวัญ นิรันดร์รักหาย *
ใช้ให้คนงานค้นทั้งบ้านแล้วไม่พบเจอ

เค้า..ไม่เคยเสียดายอะไรมากมายกระทั่งเงินทอง
แต่ทำไม..
เค้าถึงต้องใจหายราวกับหัวใจจะหลุดลอย
กับกำไลเงินแค่นี้...ก็ไม่รู้ได้*



ผม..
ได้แต่ทำใจเย็นปลอบประโลม
ช่างมันเถอะครับ อย่าไปยึดติดเลย
แค่กำไล...
และ...
ยังไม่ทันจะต่อให้จบประโยค..

เธอรีบย้อนกลับด้วยน้ำเสียงรานร้าวเศร้ากว่าเดิม
*ใช่ดิ..ตัวเองให้เค้าแบบถูกบังคับนี่
มันจะมีค่าอะไรเล่า
ไม่เหมือนเค้าที่รักมันราวเพื่อนตาย
เค้าเคยคิดให้มันมลายไปกับร่างเค้าจะดีเสียกว่า*
*แต่..
แค่นี้ฟ้าดินยังไม่เวทนา ให้เค้าไร้วาสนา
ไม่สามารถรักษาของมีค่า
ทางจิตวิญญาณนี้เอาไว้ได้เลย..*



แล้ว..
เธอก็วางหู
ทิ้งให้หัวใจผมแสนหดหู่เศร้าหมองด้วย..
ราวกับแสนใจดำ
ที่ยังไม่ทันย้ำคำหาคำแสนดี
มาปลอบประโลมใจเธอ
ว่า..
ยินดีจะพลีใจ หาวงใหม่ มามอบให้แทน...



และ..
ทำไมนะ
คนดี...
ผมถึงมักปล่อยให้สิ่งดีดี
ที่จะพลีมอบแด่คุณมักสายเกิน

สายไปแล้วใช่ไหม
กับทุกสิ่ง 
กับ..
น้ำใจ ...กับคำสารภาพ

ที่ผมมักเมิน
และหันหลังหนีไป
ไม่ยอมเผชิญกับการที่จะยอมรับ
น้ำใจรักภักดีจากคุณ 
ที่แสนแผกคิด แสนพิเศษพิสุทธิ์



ผม..จำได้..
ยามที่คุณเล่าเรื่องราวบางเรื่อง
ที่มีคนเตือนว่าคุณจะลำบาก
หากยังบำเพ็ญตัวราวกับ*การให้*
คือสายธารที่มิมีวันหยุดไหล
และให้ให้ไป..

จนใครๆ..ที่ชิดใกล้และหวังดี
มักเตือนว่า ไม่ช้านานนี้คุณจะเหลือแต่ตัว
ทรัพย์สินเงินทอง
ที่กองมากพอเลี้ยงตัวได้ตราบวันตาย
จะมลายหายไป...
ด้วยนิสัยที่ช่างมากเมตตากับความสงสารคน
จนในที่สุด..คุณจะตกที่นั่งระกำลำบาก



แต่...
ผมจำได้..ยามคุณสารภาพแบบปลงๆ
กับการรู้ทันอารมณ์ตัวเองนิสัยตัวเอง
ที่คุณก็หวั่นเกรงเช่นกัน
จนกระทั่งยังเคยย้อนถามผม
*หากเค้าจนยาก จะเลี้ยงเค้าได้มั้ย
เค้าใช้เงินน้อยมากไม่กี่บาทเอง
และ..
ผมเองยังตอบแบบหัวเราะๆไป
สงสัยต้องไปบิณฑบาตรมาเลี้ยง..



และ..
มารู้ในภายหลังว่า
คำนี้..ทำให้คุณนอนหลั่งน้ำตาระริน
ด้วยความซาบซึ้งใจ...

คุณบอก..
นี่คือความเป็นมิ่งมิตรทางจิตวิญญาณ
ที่ยิ่งใหญ่ระหว่างคนสองคน
ที่จะพากันร้อยกมลเคียงฝันฝ่าฟันกันไป
ไม่ว่าจะทุกข์ทนยากสักเพียงใด
ก็จะไม่มีวันทอดทิ้งกัน..




วันนี้ผม..เองกลับเดินน้ำตาริน
ในท่ามผู้คนต่างชาติ
ที่ไร้ใครไยดีใครสนใจใคร

คุณรู้ไหม..ผมกลับมาเมืองนี้
มาหากำไลขวัญคู่ใหม่ให้คุณ
แต่มันก็สายเกิน
เมื่อผมมัวแต่เพลินวุ่นวายกับภาระกิจสำคัญ
กับวารวันที่ผ่านมา..

จนกระทั่ง...
คิดว่าแค่เรื่องกำไล นั้นคุณคงรอได้



ใช่..คุณรอได้....!
แต่...
กับ...ร่างไร้ลมหายใจ...แทนที่..
ไม่มี..รอยแย้มยิ้มยินดี 
ไม่มี..เสียงเริงร่าแบบเด็กๆที่แสนบริสุทธิ์ใส
ไม่มี..คำซึ้งใจยามได้รับของแสนรักแล้วถูกใจ...



จะเหลือก็เพียง..
*รอยอาลัย* ประทับตราไว้ในใจอันลึกล้ำ
ถึง...ทุกสิ่งอย่างระหว่างเรา
ที่แสนมากมายความทรงจำ
อันแสนงดงามหวานหอม
ถึงน้ำใจ ถึงใจดวงงามดวงให้ของคุณ

ที่ไย..
ในวันนี้ฟ้าดินสิ้นเมตตาสิ้นปรานี..
มาพรากคุณคนดีไป...
จากอ้อมใจรัก อ้อมใจภักดิ์แห่งผม..



ปล่อยให้..ผมหลงทาง อ้างว้าง
เหว่ว้า ตรอมตรม ...
ราวกับ...โลกกำลังจะถล่มทลาย
กำลังจะแหลกสลาย..!
กับ..
ใจดวงแสนปวดร้าวหนาวเหน็บ .เหน็บหนาว จนเกินทน..
และ..
ตราบ..จนสิ้นลม..
คุณไม่มีวันจะมาออดอ้อนวอนขอผม
และร่ำไห้ราวเด็กๆที่สูญเสียของรัก...อีกต่อไปแล้ว




คนดี...
ผมทราบ..ระหว่างเราสองคน
ในกมลนั้น ..
มีแต่เพียรวางว่างรู้การสละออกสลัดออก 
ที่เราผลัดกันเตือนสติมาอย่างยาวนาน
ในท่ามโลกนี้...
ที่..
เราหวังเกี่ยวก้อยกัน
เข้าสู่แดนดินแห่งความฝัน
อันคือ
*นิรันดร์เกษม *ที่แสนยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งใด



แต่...นี่คือสิ่งสุดท้าย
ที่คุณบอกใบ้กับผม
ว่า..
ดั่งเป็นเครื่องลางบ่งชี้
ให้จิตดวงดีของคุณยัง
มีความฝันความหวัง 
ว่า*สักวันเราจะได้พบกัน*
ราวคือ *นิมิตสัญญา..*
และ...
ถึงมาตรแม้นว่า..คุณจะมิได้หลงยึดมั่นในวัตถุใดเลย
หากทว่า
คุณเชื่อเรื่องวิบากกรรมและการกลับชาติมาเกิด



คุณเชื่อว่า..
คนเรากว่าจะพบพระนิพพานนั้น
อาจจะต้องใช้เวลานานไม่รู้สักกี่กัปกัลป์
และ..
หากเรานั้นจำต้องกลับมาชดใช้วิบากกรรมอีกคราครั้ง
ก็น่าที่จะ..ได้มาพบคู่บุญญาบารมี

ที่จะเป็นดั่งคู่ชีวีคู่ธรรมคู่ทอง 
ที่จะช่วยกันเพียรพาประคอง
ให้พ้นน้ำ..เหนือโลกย์ พ้นโศกสุข 
จนหยุดการว่ายเวียนวน..
ต้องทนกลับมารับวงกรรมวงเกวียน
ที่เวียนทุกข์ให้มิรู้สิ้นสุด



คนดี...นาทีนี้
ผมพลีน้ำตาราวฟ้าร้องไห้
กับ..
เสียงใบไม้สุดท้าย..ที่กำลังค่อยๆผลอยร่วงปลิดปลิวไป
กับสายลมในยามค่ำ..
เสมอ...เสมือน..
ดวงใจผมยามนี้...ที่สิ้นไร้คุณ

เสียงบทเพลงแห่งสายฝนกำลังบรรเลงกระหน่ำ 
จนราวกับ..
หัวใจผมกำลังร่ำไห้.. คล้ายจะหลุดลอย....ตาม...!

.....................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5719.html

RHYTHM OF THE RAIN The Cascades 



Listen to the rhythm 
Of the falling rain
Telling me just what a fool
I've been
I wish that it would go,
And let me cry in vain,
And let me be alone again
The only girl I care about
Has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know
That when she left that day
Along with her she took
My heart
Rain please tell me now
Does that seem fair
For her to steal my heart away
When she don't care
I can't love another when
My heart's somewhere far away
The only girl I care about
Has gone away
Looking for a brand new start
But little does she know
That when she left that day,
Along with herShe took my heart

Rain won't you tell her
That I love her so
Please ask the Sun to set
Her heart a glow
Rain in her heart
And let the love we knew
Start to grow
Listen to the rhythm 
Of the falling rain
Telling me just what a full
I've been
I wish that it would go,
And let me cry in vain,
And let me be alone again
Oh, listen to the falling rain
Pitter Patter Pitter
Patter,Oh, Oh, Oh,
Listen, Listen,
To the falling rain
Pitter Patter Pitter
Patter,Oh, Oh, Oh,
Listen, Listen,
To the falling rain
Pitter Patter Patter
Patter,Oh, Oh, Oh,... 







เสียงสายฝนสายฝัน..สวรรค์..ในดวงใจ				
31 ตุลาคม 2548 20:35 น.

คิดถึง..เจ้าจันทร์แจ่มในดวงใจ..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
คิดถึง กุ้ง กิตติคุณ เธียรสงค์

จันทร์ กระจ่าง ฟ้า
นภา ประดับ ด้วยดาว
โลก สวย ราว
เนรมิต ประมวล เมืองแมน
ลม โชย กลิ่น
มาลา กระจาย ดินแดน
เปรืยบ มี แสง
คนึง ถึง น้อง นวลจันทร์

งาม ใด หนอ
จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง
เจ้า งาม ต้อง
ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน
ถ้า หาก น้อง
อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน
โลก จะ เหมือน
เมืองแมน แม่นแล้ว
นวลเอย...
..................





ใจดายเดียวดูจันทราฟ้ามัวหม่น
กับลมฝนหลงฟ้านภาหมอง
หอมจันทร์นวลดวงงามน้ำตานอง
นภาผ่องไยจันทร์เศร้าเหน็บหนาวใจ

จันทร์เอ๋ยเคยคลี่แย้มแต้มโลกหล้า
ทุกราตรีมาคลี่ดวงให้หวามไหว
น้ำตาเดือนรินพร่างร้างรานหฤทัย
โอ้ดวงใจไฉนเลยเคยหวานงาม

ยังหลงเพ้อละเมอรักภักดิ์เพียงเพ็ญ
อย่าหลีกเร้นพรายแสงแรงวาบหวาม
ยังรักรอยังรอรักทุกโมงยาม
ราตรีงามรอจันทร์เพ็ญลอยเด่นดวง

กระจ่างฟ้าลบมืดหม่นคนใจร้าว
หยาดหวานพราวเสน่หาอย่าลาล่วง
คืนสู่ฟ้าคืนสู่ใจในอ้อมทรวง
เจ้าขวัญดวง..ดวงขวัญฟ้า..อย่าลาไกล..อย่าแรมใจ..ไปนิรันดร์
				
30 ตุลาคม 2548 10:46 น.

.....

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
(เสน่หา)
.................				
26 ตุลาคม 2548 20:41 น.

มุกมณีจิต..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(หนึ่งในร้อย..ณ..วันนี้เรือนมยุรา)
.....................

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
(เสน่หา)
.................


คืนนี้....
ผมฟังบทเพลง*เสน่หา*
ที่กำลังขับขาน
ด้วยน้ำเสียงแสนหวานเศร้ามีเเสน่ห์
แบบเซ๊กซี่ๆของนักร้องในดวงใจ 
*คุณนัดดา วิยะกาญจน์*

แล้ว..
น้ำตาลในเลือด 
และพลังแห่งรัก Power of love 
ก็พลันพร่าง..โชนช่วงในดวงใจ..
อย่างช่วยไม่ได้แล้วละครับ..



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song11.html
เสน่หา..

ความ รัก เอย
เจ้า ลอยลมมาหรือ ไร
มาดลจิต มาดลใจ เสน่-หา
รัก นี้จริงจากใจหรือเปล่า
หรือ เย้า เราให้เฝ้าร่ำหา
หรือแกล้งเพียง แต่แลตา
ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ
หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อหื่อ ฮือ ฮือ ฮือ
หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ
สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง
รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง
รักแรกช้ำ น้ำตานอง
ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย...
............




ราตรีที่ผ่านมา
ผม..ล่องเรือไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
ที่สงบเงียบแสนงาม
ราวกับ
กำลังย้อนยุคกลับไปในต้นสมัยรัตนโกสินทร์

ลำน้ำเจ้าพระยา..ทอดตัวคดเคี้ยว
*ราวพญานาค*
เลี้ยวเลาะไปท่ามสองฟากฝั่ง
ที่ไฟสะพรั่งพริบ
วะวิบวาววะวับแวม..
ประดับวัดวา บ้านเรือน ไปทั่ว



เดือนเสี้ยวดวงเศร้า แขวนฟ้า
ขับให้...
ราตรีแสนน่าเสน่หา
เสียยิ่งกว่ายามกลางวันเป็นไหนไหน

ผมยืนดายเดียวพิงกราบเรือ
แล้ว..
แหงนเงยฝากใจไปกับจันทร์ฝากฝันไปกับดาว
ที่..
กำลังกระพริบพราว
ราวกับการได้อยู่ลำพังกับสรรพสิ่งรายรอบ
นั้นก่อพลังสุขล้ำลึกเสียยิ่งกว่าสิ่งใด...



หัวใจผม..
ได้ยินเสียงบทเสภาก้องลำน้ำ

ในคลองใจผม 
ราวกับเห็นภาพ
*ขบวนเรือพยุหยาตรา*
กำลังลอยเลื่อนมา
ราวกับ
*พญาหงส์ทรงพรหมมินทร์ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม*
เลยทีเดียว...


หัวใจผม...
ลอยละล่องท่อง..ไปตามสายนทีทอง
ย้อนยุค..
กลับไปในสมัยเก่าก่อน
ที่..
บ้านเรือนยังซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ริมสายน้ำ
หรือไม่ก็ริมชายทุ่งท้องนา



และ..
กับความงามสว่างแห่งวัดวาอารามดาระดะ
เต็มไปด้วยเจดีย์สีทองสุกปลั่ง
และ
แฝงฝังฝากลีลาธรรมชาติ
ที่..
แสนงามสงบเงียบ
เรียบง่าย ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสมถะ

ให้สาวๆชาวไพรได้ตื่นเช้าไปวัด ทำบุญ
หุงข้าวใหม่หอมกรุ่นห่มสไบผืนสวย
ที่..
ทอด้วยมือตัวเองยามว่างนา..



พาจิตดวงสวยใสดั่งอัญมณี..
ไปน้อมดวงชีวี..
พลีศรัทธาปสาทะในร่มธรรม..รับธรรม
อันดั่งน้ำอมฤต
ให้..
ดวงจิตดวงชีวียิ่งงามล้ำเลอค่า
ราวเพชรกล้า
ยิ่งกว่าทองคำอันแสนผ่องผุดพิสุทธิ์เสียอีก..


พลัน..
บทกวีแสนหวาน..
จาก
*ดวงใจเจ้าฟ้ากุ้ง*
ที่..
กล่าวถึง..ความงามของนางอันเป็นที่รัก
ก็..สะท้อนลอยลมมากับฟ้ากว้างกับสายน้ำ
ที่...
กำลังระรี่ไหลระรินไหล..
อย่างใสเย็นอย่างช้าๆ...
...................




จำปาหนาแน่นเนือง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคนึงถึงนงราม ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง
(เห่ชมไม้ )
พุ่มพวงดวงดอกฟ้า ในใต้หล้าหาใครเทียม
โฉมงามทรามเสงี่ยม เรียมรักเจ้าเท่าดวงใจ
(เห่บทสังวาส)
ต้นกลายเหมือนนางกราย เดินหิ้วชายหมายตาคม
น้อยนาฎผาดผายสม พี่รักเจ้าเท่าตัวเรียม
(กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง)
..........................




ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกจะหมุนพา
ผ่านคืนฝันวันแห่งวิถี
ที่แสนเป็นสุขใจเร็วรี่เสียนี้กระไร

จนมาถึง..
วันนี้ นาทีนี้กับโลกยุคนี้
ที่มี..
ภัยจากผู้คนมากมายทุกมุมโลก
ที่บ้าสงครามช่างทำลาย
กลายกล้ำ ห้ำหั่นกัน
และ
แม้นจนกระทั่งแผ่นดินแม่
ที่ตัวเองอาศัยหยัดยืนอยู่
มาอย่างยาวนานก็ยังมิวายเว้น



ไหนจะภัยที่เกิดจาก
*เชื้อโรค *ที่มองไม่เห็น

หากคือภัยแฝงเร้น
ที่น่าหวาดวิตกกว่าสิ่งใด
เพราะ..
หากเกิดพิษภัย
แล้วจักผลาญพร่าคร่า
ชีวิตพลเมืองโลกนับเป็นร้อยๆล้าน
ก่อนที่จะค้นพบหนทางแก้...




นี่คือสรรพสิ่ง
ที่กำลังราวปีศาจรอล่าเหยื่อ
ให้มิเหลือสักผู้เดียว
หาก..
ยังมิเหลียวแลและเคารพความเป็นธรรมชาติ
อันคือความพึ่งพาพึ่งพิง
ใช่วิ่งทำลายล้างเขาข้างเดียว
และ
เพราะจากน้ำมือคน..คน..คน
ผลกระทบนั้นจึงย้อนรอยคืนหลังมา
ให้แสนน่าโศกเศร้าสะเทือนใจ..!




ผม...น้ำตาซึม..
คิดถึงโลกและชีวิต
และ..
ทุกสรรพสิ่งแห่งธรรมชาติ
ดินน้ำ ลมไฟ ที่สถิตทอดในนิมิตผมเสมอมา

พลังธรรม...
ที่..
สอนสัจจะให้ผมรู้ค่าของลมหายใจแห่งการมีชีวิตอยู่..



ผม..เพียงหวังและคิดว่า* โลกนี้น่าจะดีกว่า*
หาก..
ทุกดวงชีวา
เริ่มสร้างค่านิยมใหม่
นับจากเริ่มแรกปฎิสนธิ

ให้มีความรู้รักธรรม ธรรมชาติ
ให้รู้ว่าแค่ชั่วเวลาหนึ่งที่ได้เกิดมา
มีดวงตาเห็นถึงพลังแห่งรักอันแสนยิ่งใหญ่
ของทั้งพระพุทธศาสนา
และ
ธรรมชาติท้องนาท้องไร่ป่าไพร 
ห้วยละหานลำธารใส ก็แสนบุญใจนักแล้ว



ผม...
ดายเดียวในดวงกมล
และ..
พลันราวได้ยินเสียงสายนทีทอง
กำลังร้องเพลงให้ผมฟัง..
..................




http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
ลุ่มเจ้าพระยา..

ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน

เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน
...................





หัวใจผม...พลันราวนกไพร
ที่กำลังเหิรบิน
ไปในทุกถิ่นสวย แสนงาม 
ป่าใหญ่ไพรกว้างหนทางเถื่อน 
ห้วงดาวเดือน หมู่เมฆ ในเวิ้งอนันตกาล
ชม..
ดวงดอกไม้ไพรดอกไม้ป่าผลิแย้มบาน
ดู..
กระท่อมเรือนชานในท่ามท้องทุ่งนา
ดู..
ฟ้าแสนงามในทุกยามไร้มลพิษ



ดูชีวิต 
ชาวนาชาวป่าในแดนดงพงไพร
ที่ค่ำมา..ก็ยังมีฟากฟ้า
และ..ดวงดาราสุกสว่าง
มานำทางใจ.แสนสวยใสสงบกระจ่างพร่างพราว
ไร้กิเลสอยากได้วัตถุใด..




มีเพียงหัวใจดวงทอง 
ที่ยังผ่องผุด
ยังอยากสร้างโลกละมุนกรุ่นหอมด้วยเรียวรวง
ให้หอมไสว..
ในนาสีทองสุกปลั่งดั่งเพชรพราวพราย
ฉายฉันท์สวรรค์บ้านไร่สวรรค์บ้านนา
.



ให้โลกร้ายได้กลายกลับคืนดี
สู่วิถีที่สงบพบเพียงฝันดี
ที่ทั้งหล้าโลกนี้ 
แม้นไร้แสงสีความศิวิไลซ์
หากไยเล่า ..
ถึงช่างงามพราวหอมนักในรู้สึกอันแสนลึกซึ้ง




ผม...ฝันไกล
ฝันด้วยใจดวงโบราณ 
ที่..
ใครจะหยามเหยียดว่างายงมอย่างไรก็ตาม
หาก..
ผมแสนปิติภาคภูมิใจ
ที่ได้ครองอัญมณีใจดวงไพร
ดวงรักดินถิ่นพุทธภูมินี้...
อย่างที่มิมีวันจะแปรผัน



ไม่ว่าโลก...
และ
ผู้คนจะผันแปรแพ้รอยไถ 
ไร้หัวใจรักวัวควายไร่นาสักเพียงใดก็ตามที

ผม..ก็จะดำรงชีพนี้
ด้วยความมั่นคง 
ซื่อตรงกับความเป็นตัวของผมเอง
มิยำเกรง..ให้โลกวัตถุใดมาทำลาย
คล้าย..
ดั่งมีเพชรดวงกล้าแกร่งที่แฝงฝัง
ในร่าง..อย่างแนบสนิทสถิตไปเป็นนิรันดร์รัก..
..............



คืนนี้..
ท่ามลมโชยพลิ้วฉ่ำ
และ...
ท่ามนทีทองนทีฝัน
ผม..
รอท่าพาทั้งร่างและจิตวิญญาณ
ผ่านภพจบชีวิตในชาตินี้
ที่ผมเลือกแล้ว...



ที่..จะก้าวย่างไปในเส้นทาง
แห่งธรรม และธรรมชาติ

และจักดำรงจิตภายใน
อย่างสวยใสกระจ่างงาม
อย่างว่าง วาง 
อย่าง ...
ผู้พบทางเหนือโลกโศกสุขทุกข์มายาวนแล้ว...!!!!





ผม...หลับตานิ่งๆ..
และ..
น่าแปลกนัก...

ที่ในมโนนึกราวกับผมพบ
ภาพตัวเอง..กำลังนั่งเรือมาดลำน้อยๆและ
กำลังเทียบท่าค่อยๆพาผมก้าว
ไปสู่...
เรือนไทยริมชายน้ำในเงาดาว
กับหอมพราวของดงดอกสายหยุดพุดซ้อนอรชร
และดวงดอกราตรีริมชานเรือน




ผมเห็น..
*นางหนึ่งในฝัน.ในใจ 
ในจิตวิญญาณราวผ่านภพ*
ใน..
ชุดผ้าซิ่นไหมสีฟ้าอมโศก
และ..
เสื้อผ้าลูกไม้ไหล่ล้ำสีนวล
ทบมุ่นมวยผมเกล้าตลบขึ้นไปรัดร้อยไว้
ด้วย..
ดวงดอกลั่นทมและพุดซ้อน
เผยให้เห็นต้นคออรชรระหงและไรผมระร่าย
ช่างแสนงามอ่อนหวานเป็นเสียยิ่งนัก...



เธอ..คนดี 
กำลังนั่งเอนอิงพิงหมอนขวาน
ตรงกลานชานไม้แผ่นโต 

ตรงหน้ามีชามแก้ว ใส่ดวงดอกมะลิ กุหลาบ
ที่..
เธอกำลังตั้งใจร้อยเรียง 
ท่ามมีเชิงเทียนทองเหลือง
ที่กำลังพรายแสงวูบไหว ไปตามแรงลม
ให้..
พรายพร่างจับร่างงามจนเกิดเงาแสงสีทอง
ให้ผิวผ่องนั้นงามดั่งทองทา



เธอ..ค่อยๆหันมาคลี่ยิ้มหวาน
และยกขันเงินงาม
ที่มีน้ำลอยดอกมะลิเย็นฉ่ำค่อยๆส่งให้ผม

*ตาเราสบกัน..ในเงาดาว*
แสงนัยน์ตาพราวด้วยหยาดน้ำผึ้ง
สะท้อนสะท้านใจ..
ด้วย..*แรงรักแรงเสน่หา*




ผม..
ค่อยๆเอนหลัง..ลงนอนเหยียดยาว
เอาศีรษะซุกในอ้อมตัก
อันแสนอบอุ่นอวลหวานหอม
ก่อนที่จะ..
ยกมือเธอขึ้นมาดอมดมพรมจูบละเมียด
ที่ละนิ้วอย่างแสนรัก

เธอ..ค่อยๆลูบไล้ใบหน้าผม
คืนกลับอย่างรักภักดี
และราวกับว่า
กำลังเห่กล่อมทะนุถนอมเด็กทารกน้อย
ไว้ในอ้อมกอดอย่างแสนรักใคร่..




เสียงสายน้ำระรี่ระรินไหล
กล่อม..
ให้ดวงใจและร่างผม...
ค่อยๆนิทราหลับไหลไปกับ

มวลแมกไม้ในราตรีที่แสนหวาน
กับ..
ร่างนวลนางณ..กลางใจ
ที่แสนบริสุทธิ์ใส 
ท่ามกลางโลกแห่งความเงียบสงบงาม...
...........





ชมดวงพวงนางแย้ม บานแฉล้มแย้มเกสร
คิดความยามบังอร แย้มโอษฐ์ยิ้มพริ้มพรายงาม
จำปาหนาแน่นเนื่อง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคนึงถึงนงราม ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง
ประยงค์ทรงพวงห้อย ระย้าย้อยห้อยพวงกรอง
เหมือนอุบะนวลละออง เจ้าแขวนไว้ให้เรียมชม
พุดจีบกลีบแสล้ม พิกุลแกมแซมสุกรม
หอมชวยรวยอารมณ์ เหมือนกลิ่นน้องต้องติดใจ
สายหยุดพุทธชาติ บานเกลื่อนกราดดาษดาไป
นึกน้องกรองมาลัย วางให้พี่ข้างที่นอน
(กระบวนเห่ชมไม้เจ้าฟ้ากุ้ง)
............................




พิกุลบุนนาคบาน กลิ่นหอมหวานซ่านขจร
แม้นุชสุดสายสมร เห็นจะวอนอ้อนพี่ชาย
เต็งแต้วแก้วกาหลง บานบุษบงส่งกลิ่นอาย
หอมอยู่มิรู้หาย คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู 
มลิวันพันจิกจวง ดอกเป็นพวงร่วงเรณู
หอมมาน่าเอ็นดู ชูชื่นคิดวนิดา
ลำดวนหอมหวนตระลบ กลิ่นอายอบสบนาสา
นิกถวิลกลิ่นบุหงา รำไบเจ้าเศร้าถึงนาง
รวยรินกลิ่นรำเพย คิดพี่เคยเชยกลิ่นปราง
นั่งแอบแนบเอวบาง ห่อนแหห่างว่างเว้นวัน
ชมดวงพวงมาลี ศรีเสาวภาคหลากหลายพรรณ
วนิดามาด้วยกัน จะอ้อนพี่ชี้ชมเชย.....

(มูลละเห่ เจ้าฟ้ากุ้ง)
.......................


มุกมณีจิต..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด