1 มกราคม 2549 06:09 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง
............
เรือลำน้อย..
กำลังค่อยๆพาผมลอยล่อง
ท่องเหนือม่านน้ำนทีทอง
ที่...
ณ.บัดนี้...แดดเช้ากำลังสาดส่องทาบทา
ให้เวิ้งน้ำไกลสุดตาจนจรดขอบฟ้า
แสน..ละมุนหวาน
ด้วย..*ดวงดอกบัวแดง*นับพันนับแสนดอก
ที่..
สายแสงแรกแสนสวย..กำลังพรายพราว
กรายกลางกลีบเกสรบัวสดสล้าง
พร่างไปด้วยกรุ่นกลิ่นหอมอวล
ให้..
จนทั่วทั้ง..*วังบัวบาน*..
พากันพลีพร้อมบานสะพรั่งพรึบ..
ราวกับจะนัดกันไว้
และมา..
ปันพลีให้ดวงใจผมดวงนิดน้อยนี้..แสนมีความสุข
ใน..ท่ามเวิ้งน้ำนับหลายร้อยไร่
ที่เรียกว่า
*ทะเลบัวแดงที่หนองหาน*ภุมภวาปี อุดรธานี
หากมิหารใจ
คงเพียงให้งามในยามนี้...ที่เพิ่มสุขเสียมากกว่า
ที่..
ทำเอาหยาดน้ำตาปิติ
ภายในดวงใจของผมแทบล้นหลั่ง
เมื่อ..
ได้รับพลัง..หวังหวานกับตระการจิต
ที่..
กำลังหว่านโปรยให้ดวงชีวิตผมต้องนิ่งขึงตะลึงงัน..!
ราว..
*กับภาพฝัน....*
ที่ผมมิเคยคาดว่า
จักได้มาพบพานพ้องพา
ในโลกแห่งความเป็นจริงได้เลย..
หนองหาน...
ที่..
ระหว่าง...เรือแหวกดงหญ้าและกอบัว
แล้วจำต้องลอยลำอย่างช้าช้า ช้าช้า
ให้ผมแทบจะละสายตา
จากภาพ..ทะเลบัว..แสนงามตรงหน้าไม่ได้
กับแสงแดด
ที่แรงร้อนขึ้นเป็นลำดับ
จนผมต้องเพียรใช้ใบบัวมาบังศรีษะ
แทนร่มกันร้อนคลายแดดสาย
ที่..
เริ่มกรายร้อนมาทุกขณะ
หากทว่า..ไฉนเล่า..
หัวใจผมจึงยังเย็นงามในท่ามบึงฝันพลันพร่างนั้น..
ที่นั่น...
มีดอนหลวง..
ซึ่งเป็นเกาะกลางน้ำในหนองหาน
ที่ชาวบ้านเชื่อว่า
*เป็นบริเวณวังหลวงของขอม *
นอกจากนี้..
ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
และเคารพนับถือของชุมชน
ในลุ่มน้ำหนองหานมากมาย
แล้ว
ไหนที่นั่นยังมีโบสถ์คร่ำตรงกลางละหาร
และ..
มีองค์พระประธานองค์งามให้กราบไหว้
เมื่อเรือได้ล่องร่ายวาดวนมาถึงฝั่งที่นี่
ที่ๆ..
ชาวเรือหาปลาได้หลบร้อนจากแดดกล้ามาพิงพัก
มาพิงพัก
...............
และในยามนี้..
พาให้ผม..คิดถึง
รัตนมาลี..!
ที่คือ..
ไม้งามในวิมานสรวงแห่งปวงสวรรค์เทวา
และ..จาก
ทุกทั่วแคว้นทุกแดนหล้าแดนดินถิ่นไทยธรรมทอง
ดอกไม้..
ที่..พระพุทธองค์..ทรงนำมาสอนสัจจธรรม
อันแสนล้ำเลอค่า
มา
น้อมใจให้ซึ้งทราบว่า
มวลมนุษย์เรานี่หนา..ช่างมีชีวิตชีวา
มาผุดผลิมาคลี่บานกันมากมาย
ดั่งคล้ายบัว
ที่มีทั้งยังหมกมัวอยู่ณ..ใต้โคลนตม
และ..
ที่โผล่พ้นน้ำมาชูช่อสล้าง
รอท้าแสงธรรมแสงทองให้ส่องนำทางใจ
ไสวว่างไปสู่เส้นทางแห่งความสว่าง สะอาด สงบ
พบพลีพระนิพพาน
อันคือความวาง ว่าง จนจิตแจ่มกระจ่าง
ดั่ง
*บัวบานเหนือโลกย์สิ้นโศกสุข..*กระนั้น
ผม..
จึงแสนคิดถึง..เธอ..คนดีในนาทีนี้
ทันที่สายตาพาสายใจผม
มาพบบัวบานนานาพรรณ
ในบึงฝันสล้าง
ที่กำลังชูช่อดอกพร่างไสว..จนเต็มไปทั้งวังบัว
เธอ..คนดี
ที่เคยกระซิบบอกผมเสมอมาว่า
แสนดายเดียวในดวงใจเป็นยิ่งนักแล้ว
ด้วย..
จำต้องทน
อยู่ในวังวนกิเลสเมืองแห่งมนุษย์เสียมากกว่า
เธอ..
ที่สุดแสนรักธรรมชาติ
หาก..ทว่า..
ผู้คนในเมืองพิลาสพิไล
กลับเพียรทำร้ายจิตใจเธอ
ให้..
ราวละเมอ...เสมอเสมือนหลง
ในแดนดินถิ่นแห้งแล้งราวทะเลทราย
ที่ทั้ง..แล้งไร้ใจแล้งไร้จิตวิญญาณ
เธอ..
ที่เพียรใช้เนื้อดินทุกตารางนิ้ว
ให้มีแมกไม้ไพรให้งามอาศัย
ได้..
ร่มเงาเหมือนท่ามอยู่ในพงไพรพฤกษ์
หาก
หัวใจคนที่อาศัยในตึกกลับ
มืดบอดไม่รักธรรมชาติ
รักเพียงความสะอาดโล่ง..แลแล้ง
ที่ยิ่งพาให้จิตใจแสนแห้ง..ร้อนทุรนทนทุกข์ตาม
เธอ......
จึงเบื่อหน่ายโลกมายานี้..
ที่..
นับวัน
จักเหลือดวงใจคนรักพันธุ์ไพรน้อยเต็มทีเต็มทน
โลกที่..
ยังคงมีคนทำลายธรรมชาติ
โลกที่..
ผู้คนฉลาดคิด..
หากไม่เคยใช้ชีวิต
ยอมแนบเนาสนิทกับสัจจธรรมจริงแท้..
เธอ..
ที่คงอยากมานั่งเรือน้อยลอยวน
และ
คงอยากมาร้องเพลง
ด้วยน้ำเสียงหวานแสนเศร้า
เพลงอมตะ ให้งามใจ..*บัวตูมบัวบาน*
ให้ผมฟัง
และ..
ปลุกให้บัวทั้งวังให้สะพรั่งระริกระรื่นชื่นฉ่ำตาม..
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1504.html
บัวตูมบัวบาน
ลงเรือน้อยลอยวน
ในสายชลห้วยละหาน
มีทั้งบัวตูมบัวบาน
ดอกใบไหวก้านงามตา
เมื่อลมพัดมาชื่นใจ
ผึ้งตอมหอมบินดมกลิ่นบัว
ซ่อนตัวรำพันฝันใฝ่
เหมือนดนตรีชะโลมกล่อมใจ
ฟังยิ่งฟังไป รุมเร้าฤทัยลำพอง
ปองจะเด็ดบัวบาน
ครวญคิดนานหวั่นเจ้าของ
ใจหมายดึงโน้มโลมรอง
หากบัวไม่มีเจ้าของ
จะชมทั้งสองปทุม
เอื้อมมือหมายดึงเพียงดอกบาน
ก็เกรงสะท้านถึงก้านดอกตูม
แสนเสียดายเหมือนชายหมดภูมิ
จะเด็ดดอกตูม
ยังนึกเสียดายดอกบาน
เรือเร็วไปหน่อยค่อยค่อยทวน
บัวหอมชวนอกสะท้าน
งามทั้งบัวตูมบัวบาน
เทพไททุกแดนพิมาน
ประทานสมดังตั้งใจ
เอื้อมมือหมายดึงดอกตูมก่อน
ดอกบานก็ค้อนแสนงอนไปใย
จะเด็ดดอกบาน
ดอกตูมก็สั่นแกว่งไกว
จะเด็ดดอกไหน
กันหนอบัวตูมบัวบาน
จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่
ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน
พอดอกตูมแย้มตระการ
ดอกบานก็คงแห้งโหย
กลีบราร่วงโรยน่าชัง
ต้องลาแล้วหนอบัวช่องาม
บาปเคราะห์และกรรมประดัง
แล้วจ้ำเรือน้อยค่อยเข้าฝั่ง
ไม่ยอมกลับหลัง
หมดหวังทั้งตูมทั้งบาน
จะเด็ดทีเดียวเสียทั้งคู่
ครวญคิดดูอยู่ไม่นาน
พอดอกตูมแย้มตระการ
ดอกบานก็คงแห้งโหย
กลีบราร่วงโรยน่าชัง
ต้องลาแล้วหนอบัวช่องาม
บาปเคราะห์และกรรมประดัง
แล้วจ้ำเรือน้อยค่อยเข้าฝั่ง
ไม่ยอมกลับหลัง
หมดหวังทั้งตูมทั้งบาน...
..............
และ...
ราวกับใจเราตรงกัน...
ในนาทีนั้น
ที่ผมแสนคะนึงหา
ในท่ามบึงบัวงามล้นหล้าหลากพรรณสีสัน
กับ..
ดวงชีวีเธอ..
ท่ามม่านเมืองกับม่านน้ำตา
ที่บ่าโหมด้วยความโศกสะเทือนใจ
แห่งดวงใจเธอในวันนี้
ที่..
เธอจำต้องพลีถอดใจ
ตัดใจ..ต้นไม้ใหญ้ไม้ไพรรายรอบวิมานดิน
แทบเหี้ยนสิ้น เพื่อตัดความรำคาญหู
ให้เหลือเพียงตอไว้ดูต่างหน้า
ไม่ว่าจะจำปีต้นสูงใหญ่
ที่ให้หอมในนวลใจมานานช้า
ฤาว่า..
ต้นมะม่วงที่กำลังให้พวงระย้าย้อย
ด้วย..
คนพาล...พาคิดไปว่า
จะพาให้บ้านเขาอัปมงคล
โอ้คนหนอคน..ใจหนอใจ
กระไรเลย..!
เธอ..
ที่มีผมเพียงคนเดียวเท่านั้น
ที่จะฝากฝังฝัน
หรือ..
เอ่ยรำพึงรำพันทุกฝันร้ายได้
จึงได้โทรมา...
ในขณะที่ผมเองก็คิดถึงเธอพอดี
เธอ..สารภาพว่า..
นาทีนี้..
หากตามผมมาได้
จะไม่ยอมกลับไปว่ายเวียน
เสมือน...
นกหลงฟ้า ปลาผิดน้ำ
ข้าวผิดนา ควายไร้ค่า
และเธอคนที่ ไร้ใครไร้คนเข้าใจไยดี
เธอ..
บอกอยากสะอื้นร่ำกับอกผมให้ปลอบประโลม
จิตวิญญาณดวงรานระทม
ที่เธอบอกว่า..
ยับเยินจนเกินทนแล้ว
ทั้งๆที่..
เธอเพียรพยายามเมตตาเพื่อนมนุษย์
ใจดวง..ดายเดียว
ที่..ล้ำลึกรู้รักความสงบเงียบงาม
วิถีความเรียบง่าย
ได้ชิดใกล้ป่าไพรหรือไม่ก็ท้องนาบึงบัว
กับ...
แสงตะเกียงแสงเทียนสลัว
ในยามค่ำ มีเรไรร่ำจิ้งหรีดร้อง
มี..
ลอมฟางกองฟืน
ให้ตื่นขึ้นมาดูดาวพราวฟ้านับแสนนับพัน..ดวง
นั่นดาวไถ ..
ไหนละ...ดาวแม่ลูกไก่..
และ....
นั่นไงดาวประจำเมือง
แสนสุกใสสว่าง ณ..กลางเดือนแจ่ม
อย่างที่
เธอมักจะแย้มยิ้มพริ้มพรายยามผมเพียรพรรณนา...
เธอ..
ที่อ่อนล้าจนอยากลาเมืองหลวงเมืองลวง
วันละหลายครา
หนีหน้า..
คนต่างพันธุ์ ฝันต่างจิต...ใช้ชีวิตต่างกัน
และ..
ที่สำคัญ..
เธอ...ยังทำยังตัดสินใจไม่ได้
คล้าย..ยังคงต้องมีกงกรรมกรงกรรมต้องทำหน้าที่
มีภาระหลายสิ่งให้ต้องรับผิดชอบ
ที่คอยประกอบกันเป็นสายโซ่ร้อยรัดพันธนา
และ...
ทว่าระหว่างเรา ทุกครา
แม้นไม่มองตา...
แค่ได้ยินได้ฟังคำรำพัน
กับทุกทุกข์ฝันร้าย
หัวใจผมก็รานร้าวราวดวงเดียวกัน
ดวงที่..
สามารถปันพลี ทุกความรู้สึกล้ำลึกดายเดียวนี้
ที่บางครั้งยากยิ่งจะมีใครเข้าใจ
และ...
ที่อยากถอดใจเปิดใจระบายคลายทุกข์
ให้เราได้ปลอบปลุกกันและกัน
ให้ใช้ใจดวงธรรม พลิกฟื้น
เพื่อหยัดยืนฝืนสู้
ในดงโลกย์กับโศกสะเทือนใจนี้
ให้มีเพียงปล่อยวาง..ให้ดวงจิตแจ่มกระจ่าง
จนกว่า
ตะวันแห่งดวงชีวี จะลาลับดับสิ้น
ทิ้งทุกสิ่งทั้งดีเลวไว้เบื้องหลัง
อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น
ทิ้ง..
ชะตาขวัญ ให้พระพรหมทรงพระเมตตา
ทรงค้นหาทางออกประทานพรให้ดั่งปรารถนา
ซึ่งหวังว่า...
คงไม่ต้องรอตราบจนชั่วฟ้าดิน...สิ้นสลาย.......
..............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song347.html
บัวกลางบึง..สุนทราภรณ์
อนาถเหลือล้ำ บัวบานเหนือน้ำ
อยู่ห่าง คน
ลับตาอยู่จน กลางบึง
ได้แต่ชะเง้อ ละเมอ รำพึง
เจ้าอยู่ถึงกลางบึง ปล่อย ให้ผึ้ง เชยชม
แดดส่องผิวน้ำ บัวพลอยหมองคล้ำ
ด้วยแดด เผา
สีเจ้าก็เศร้า ด้วย ลม
ตกดึก น้ำน้อย นอนคอยคนชม
เจ้าต้องคลุกโคลนตมกลีบ ที่บ่ม โรย รา
บัว น้อย ลอยอยู่กลาง บึง
ครั้นคนเอื้อมไม่ถึง มีฝูงผึ้งบินมา
อยากพักพิงบนหิ้งบูชา
เขาไม่ปรารถนา แล้วจะว่าเขาแกล้ง
โธ่ อยู่ไกล หนักหนา
ดั่งซ่อนหลบตา แอบแฝง
หากปล่อยทิ้งไว้พอใจแมลง
สิ้นกลิ่นสีโรยแรง
แล้วคงเหี่ยวแห้ง คา บึง...
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4725.html
ตะวันรอนที่หนองหาน
โอ้ละเน้อ โอ โอ โอ โอ้ ละเน้อ
ผู้สาวภูไท ใช่มีแต่ที่เรณู
ได้ฮักแล้วพี่ได้ฮู้ คือสาวภูไทสกลนคร
ครั้นไปเที่ยวงานพระธาตุเชิงชุม
ได้พบบังอร
เหมือนเคยร่วมบุญปางก่อน
ที่สุดขอบฟ้าก็มาพบพาน
แดดอัศดงค่ำลงที่ฝั่งหนองหาร
เฮาสองเคยเที่ยวด้วยกัน
มนต์ฮักสายัญห์สวาทวาบหวาม
สายลมโชยชิ้วทิวสนลิ่ว
โอนสอดเสียงกังวาน
เหมือนเสียงใจเฮาสาบาน
ให้หนองหารได้เป็นสักขี
โอ้ละเน้อ หัวใจดังเหมือนต้องมนต์
ท้าวผาแดงและนางไอ่ดล
ให้เจอน้อง ณ แดนแห่งนี้
วอนจ้าวช่วยคุ้มฮักยั่งยืน
อย่าได้หน่ายหนี
เหมือนนิยายมีอยู่คู่หนองหาร
คนขานกล่าวชม
แดดอ่อนคราใดหัวใจพี่สั่นสะท้าน
คิดถึงเคยฮักผูกพัน
คิดถึงหนองหารที่เคยรื่นรมณ์
ความหลังฝั่งหนอง
ที่เคยประคองนวลน้องแนบชม
หัวใจยังครางระงม
โอ้แม่สาวสกลที่รัก...
31 ธันวาคม 2548 06:46 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
คนเดียวในดวงใจ
...............
ลมหอมหอบพัดมาจากแดนสรวง
พัดพราวรวงทองใจยิ่งไหวหวาน
ปลอบขวัญหล้ารับภิรมย์แจ่มตระการ
พุดซ้อนหวานบานเหนือโลกย์โศกมายา
แว่วเสียงนกไพรจากผาเทิบเอิบอิ่มจิต
ดั่งน้ำทิพย์พร่ำรินสายธารป่า
ติดปีกขวัญอันแสนงามอิสรา
ประดับฟ้าประดับใจแจ่มจรัส
ลมหวานหวานล่องผ่านนทีทองธารสวรรค์
แล้วฝ่าดั้นเนินไพรสสงบสงัด
สู่วิมานลอยวิมานวนาป่ารกชัฎ
ดั่งเพชรรัตน์คล้องดวงหฤทัยไปตราบกาล
เป็นสร้อยใจสร้อยธรรมจากเทวา
ของขวัญฟ้าประทานผ่านทิพย์สถาน
พลังรักโอบโลกภักดิ์ผลิตระการ
ดั่งดอกไม้หวานมาร่ายมนต์มาดลดวง
ดุจน้ำคำล้ำค่าวารีทอง
ระรินล่องลบโลกโศกสิ้นหวง
หว่านน้ำใจใสพิสุทธิ์จากบึงทรวง
มารินร่วงกลางกลีบใจเพชรน้ำค้าง
เพชรน้ำค้างกลางกลีบบัวราวอัญมณีพฤกษ์
ตกผลึกดั่งหยาดแก้วแพรวพริ้งพร่าง
รออุษาทองไสวส่องยามเรื่อราง
มลายสู่นภางค์ไร้ยึดมั่นฝันถึงใด
ปลอบแมกไม้คล้ายหยาดฝนในวันหนึ่ง
พลีความซึ้งใสหวานสนานสมัย
ให้ดวงดอกไม้ป่าคลี่แย้มบานประดับใจ
ประดับไพรวัฎฎโลกลืมโศกสราญ
ดั่งน้ำตานางฟ้าหลั่งมิสิ้น
ถึงนวลดินนวลใจสวยใสหวาน
เทพีไพรเทพีข้าวยิ้มเบิกบาน
เลี้ยงอุทรจากสายธารน้ำนมทิพย์
ผลิเรียวรวงระย้าย้อยดั่งทองทา
รอข้าวกล้าคมเคียวเกี่ยวจากจิต
สวรรค์หล้าชาวนาทองนิรมิต
จากน้ำทิพย์น้ำใจไทนที
ปลามากมายว่ายวนรอรวงพราก
ดับเกิดฝากครรลองตามวิถี
สัจจะธรรมอันเที่ยงแท้ภูมิชีวี
กี่พันปีไม่มีวันอันตรธาน
หากรู้รักษ์รู้ภักดิ์พลีชีวิต
มีน้ำจิตมีน้ำใจสวยใสหวาน
พร่างพลีพรมดั่งพรขวัญนิรันดร์กาล
พรหมสถานวิมานไหนหนึ่งในทรวง
ดอกไม้เพชรบานกระจ่างสว่างไสว
ดอกไม้ใจดอกไม้จิตพร้อมลาล่วง
มิแตกดับนับอนันตกาลอัญมณีดวง
ถึงลาล่วงเหนือพรหมโลกโศกสิ้นแล้ว..!
.............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันไม่เคยคิด รู้ แต่บัดนี้ เธอมาสถิตย์
มาอยู่ใกล้ชิด ในดวงใจฉัน
เธอมาจากไหน จากดินผืนใด
หรือจากสวรรค์ ฉันก็จะรัก
รักเธอเท่ากัน ไม่เคยจะหวั่นแม้คำนินทา
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบ อุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบอุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอมาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม...
30 ธันวาคม 2548 11:43 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4603.html
หัวใจถวายวัด
..............
ปริม..
กำลังนอนฟังเพลง
*lonesom town* ...ในวันนี้
เพราะ..
ยังไม่มีที่ไป
ยังไม่ได้ตัดสินใจ ..ที่จะไปไหนสักที่
ไปส่งท้ายวันสิ้นปี
ไปเฉลิมฉลองวันดีพลีใจรับขวัญวันปีใหม่
ที่ใครใครคนคนคน
หลากหลายผู้คนนับพันๆล้าน
กำลังสาละวนอยู่กับงานเลี้ยง
ที่..กำลังรอ
จะสนุกสนานสำเริงสำราญกันสุดเหวี่ยง
รอวันเถลิงศกศักราชใหม่
ในวันวาดวนมา
ให้พบพานหวังหวานฤารานโศก
เป็นวงวัฎฎโลกเป็นวันใหม่
ที่..
นานๆวันไป...
นานๆเดือนไป...ก็จักกลายเป็นเก่า
เหมือนชีวิตเรา ที่ต้องเกิดแก่เจ็บตาย
และ...
ไม่นานก็ต้องแบมือ...
วางร่างไว้..
อย่างปล่อยวางอย่างไร้ยึดมั่นถือมั่น
ไร้สิ้นฝันใด ไฟใด
ที่..
จะมอดดับลับลาไป ไม่มีโอกาส
แม้นอยากปันพลีที่ยังปรารถนา
จะคืนดีคืนงามใด แด่ใครแด่โลก
เพื่อลบโศกเพิ่มสุข
ให้หมดสิ้นทุกข์ ..อีกต่อไป
ฉะนั้น...
เมื่อยังมีวันคืนมาให้ชื่นให้ฉ่ำ
มาระร่ำริน
มารับกลิ่นดวงดอกไม้ไพรดอกไม้ป่า
ยัง...พอมีวันเวลา
มีลมหายใจ
ให้ตื่นฟื้นมารับชื่นอวลอากาศบริสุทธิ์ใส
มีวันหยุดยาวไปหลายวัน..
ก็..
น่าจะพลันขอโบกมือลาล่วง
อย่างสิ้นห่วงใจ ห่วงใด
ลาไกลไปจากเมืองลวง เมืองหลวง สักสองสามวัน
แล้ว..
ค่อยๆผันร่างคืนกลับมาทนรับกรรม
รับระกำจำทนเป็นปลาผิดน้ำว่ายวนวิบาก
ลากสังขาร ทำงานในกรุงกรงห้องแอร์แพ้มนต์เมือง
ที่มิประเทืองประทับใจอีกต่อไป
ปริม..จึงกำลังจะตัดสินใจ
หิ้วกระเป๋าก้าวเดินออกไป*แสวงหาโลกไพร*
ท้องทุ่งนาฟ้าเกษมใส
แสนไสวพร่างกระจ่างแจ่ม
ที่ไหนสักแห่ง...
ในผืนดินทองแผ่นดินไทยนี้
ที่..
ยังคงมากมีธรรมชาติสิ่งงดงามมากมาย
ให้เราได้ใช้ชีวิตจิตวิญญาณ
ไปสัมผัสค้นหา...ไปทอดสายตาพักใจ
ไปสัมผัสความงามยิ่งใหญ่
ให้สมค่า
กับ
ที่ได้เกิดมาในแผ่นดินทองอันแสนผ่องผุด
สุดอุดมด้วยทรัพย์ในดินสินในน้ำ
เพราะปวงเราต่างมีกรรม
ที่จำต้องทิ้งถิ่นเรียวรวง
มีบ่วงวิบากห่วงปากท้อง
มีกรรมต้องทนทำหน้าที่
ซึ่ง..
บางทีแต่ละดวงชีวี
ก็ต่างมีเหตุผลองค์ประกอบมากมาย
ให้หันมาตะเกียกตะกายไขว่คว้า
*หาหินแทนดาว*
มา..
ใช้ชีวิตแบบมิชอบมิรัก..
คล้ายเป็นกรรมเก่านัก
ที่เราจำจักต้องทนชดใช้ ...
แม้น..
ดวงใจจะรักชีวีวีถิอิสรา..ไร้พันธนากิเลสใด
ไม่ชอบการแข่งขัน แย่งชิงวิ่งหัวซุกหัวซุน
ต้องมาหมุนหาเงินตัวเป็นเกลียว
อยู่ในเมืองเปลี่ยวกรง
ใน..
วังวน แห่งโลกมายาวัตถุ
ราวกับต้องทนสู้หมดหนทางไป
ชีวีปริม...
เองก็เช่นเฉกเดียวกัน
ได้แต่ฝันมาจนถึงวันนี้
ทั้งๆที่พระเบื้องบนได้ประทานพร
ให้หัวใจดวงอรชร
มีทรัพย์ในดินพลีสิ้นล้ำค่านับมากกว่าแสน
ก็..
ยังต้องทนแขวนชีวิตสถิตเบื่อเพื่อหน้าที่
จำทนอยู่ในแดนเมืองที่เรืองรุ่งนี้
หากมิใช่ที่ที่ปราถนา
มิใช่...
ให้งามพราวราวรัศมีรุ้งจรัสจ้าภายในดวงใจ
อันเป็นดวงใจ...
ที่จัก..
พาพบสุขสงบเงียบเรียบง่ายได้ชิดใกล้ธรรมชาติ
ได้ทิ้งทอดถอดใจ
ให้พบเพียงห้วยหนองลำคลองใสลำธารใส
ในท้องทุ่งนาป่าเขาลำเนาไพร
อย่างใจรัก อย่างใจภักดิ์
ว่าแล้ว..
เมื่อจำจัก..ต้องทน..วนว่ายยังมิได้ไปไหน
ในวันนี้ นาทีนี้
ปริมก็จะพาร่างใจ
ลุกขึ้นขับรถไปนั่ง..ยังริมฝั่งฝันสวรรค์หวาน
*ริมสายน้ำเจ้าพระยา*จะดีกว่า
ไปทำบุญกุศลปล่อยปลา
และ..
นั่งทอดทัศนาวิวทิวทัคน์
อันแสนงามในมโนนึก
ด้วย..
รำลึกถึงเสียงลำนำ
จากอดีตอันแสนเงียบงาม
ราวย้อนกาลกลับไปในท่ามเมืองโบราณ
นาม*สุโขทัยธานี*
ที่..
ทุกถิ่นที่...ยังมีทุ่งนาข้าวกล้าสีทองผ่องไสว
มีแมกไม้ไพร
สายน้ำใสบึงบัวพร่าง
มีผู้คนรักความงามเงียบสงบเย็น
ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขในร่มเงาพระพุทธศาสนา
มี...
ฟ้าที่แสนสว่างกระจ่างใจด้วยอวลอากาศสล้าง
มี..คลองลัดเลี้ยวหลบเข้าไปยังเรือนริมน้ำ
ในท่ามทิวไผ่ลำประโดง
และ..
แลโล่งละลิบเป็นลำคลองสายสวย
ด้วยดวงดอกโสนสีเหลืองพราวริมชายนา
มีข้าวกล้าระย้าย้อยห้อยพวงเคลียดิน
มีพวงดวงดอกผักบุ้งผักลิ้นประดับน้ำ
มี..
โบสถ์คร่ำวัดวาเจดีย์สีทองระดะยอด
ดั่งหลอมให้ทุกดวงใจชาวสยามสมัยนั้น
พลันพร่างสว่างงามดั่งทองแท้..ที่รักธรรม
ปริม..จึงมีฝันมีจินตนาการ
มีใจดวงนวลดวงหวาน
ที่ฟ้าประทานสวรรค์เมตตา
ฉะนั้น..
ในทุกยาม..
ที่เหนื่อยล้า เหว่ว้าเดียวดายสิ้นไร้ใคร
และ
ตราบใดที่..
ปริมยังมี*ดวงตาภายใน*ดวงใจดั่งอัญมณีไพร*
ที่..
แสนงามไสวเช่นฉะนี้
ดวงใจปริม...ดวงที่คิดดี คิดให้
ก็จะมิมีวันให้เศร้าหมองครองหม่นนาน
จะเพียรตามทุกข์ผัสสะให้รู้เท่าทันทันเท่า
และ...
เฝ้าฝึกจิตให้เกิดทิพย์กระจ่าง
เพียรผันพาร่าง
ไปรับพร่างหอมแห่งอวลเนื้อดิน
ได้จากทุกถื่นที่
ไม่ว่าใจดวงนี้จะอยู่ ณ.แหล่ง.แห่งหนใด
และ
มาตรแม้น
บางครั้งจะสิ้นไร้หวังหวานใด
และแสนเวทนาคนใครมากมาย
ยาม..
ไปพบความล้นแล้งจนล้าใจ
ไปพบพานกิเลสมืดบอดแห่งใจเพื่อนมนุษย์
ผู้ยังมิหลุดพ้นจากวังวนแห่งเงินงาม
ที่..
ถึงจะท่ามท่วมท้นล้นตัวก็ยังมิรู้จักพอ
ยังมิปันแบ่งผันพลีให้แด่ทุกคนดีผู้ยากไร้
ผู้รอโอกาส...
ขอแค่ได้อิ่มท้องพอประคับประคองชีวิตรอด
นี่คือโลกนี่คือชีวิตที่ปริมคิดและเพียรพลีทำ
ใช่แค่ร่ำพร่ำบ่นเบื่อ
เหลือเพียงจิตดวงดี
ที่..
เคยพลีจิตอธิษฐานภาวนา
ตั้งสัจจาธิษฐานไว้
ณ ..ภายในโบสถ์คร่ำ
ที่วัดบ้านเกิดบ้านเกาะ
หน้าพระพักตร์พระพุทธพิสุทธิคุณ
ให้..
ท่านทรงรับรู้รับทราบ
และมากพระพรเมตตามหากรุณา
ได้โปรดเปิดทางปรารถนา
หาหาทางออกให้ลูก
ได้..
หว่านปลูก
*เพาะต้นจิตฝากต้นชีวิตต้นใจ*
เพียรฝังฝากรากยิ่งใหญ่แห่งการให้ทาน
ในสวรรค์วิมานบ้านเกิด
ได้เนรมิต
ยกที่ดินอันแสนงามสุดล้ำเลิศเลอค่า
ดั่งอัญมณีไพร
ให้ได้ถวายวัด
ให้เป็นที่สงบสงัด ใจ
ให้..
ผู้คนจากทั่วทั้งทุกมุมโลก
มาพิงพักภายใต้ร่มเงาแห่งพระรัตนตรัย
แห่งพระบวรพุทธศาสนา
มาพาตัวค้นหา
จนพบพระสัจจะธรรม
*คำสอนอันแสนยิ่งใหญ่*
ที่จักสว่างไสวพร่างใจ
ดับทุกข์ร้อนทุกข์รักใด...
ไปตราบชั่วกาลนานเนานิจนิรันดร์..ด้วยเทอญ..!!!!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4603.html
หลวงพ่อ เจ้าขา
ช่วยแผ่เมตตาลูกหน่อยได้ไหม
ลูกนี้อาภัพอับโชคหรือไร
มีรักครั้งใด หัวใจเหมือนไฟร้อนรน
หลายคน ที่พบ
พอเขาได้ซบต้องหนีหลบล่องหน
ขว้างทิ้งดังเศษดินข้างถนน
น้ำตาร่วงหล่น หาคนรักแท้ไม่มี
เข้าวัด ทุกวัน
ใส่บาตรทำทานบนบานขอให้โชค ดี
แต่ผียังตามหลอนหลอกย่ำยี
วันหยุดพักไม่มี บวชชีดีไหม
หลวงพ่อ เจ้าขา
ลูกหมดปัญญาเหนื่อยจังหัวใจ
สิ้นหวังรักทุกข์ครั้งสุดวุ่นวาย
จึงพร้อมมอบกาย หัวใจถวาย วัดเลย
หลวงพ่อ เจ้าขา
ลูกหมดปัญญาเหนื่อยจังหัวใจ
สิ้นหวังรักทุกข์ครั้งสุดวุ่นวาย
จึงพร้อมมอบกาย หัวใจถวาย วัดเลย...
29 ธันวาคม 2548 14:10 น.
พุด
ด้วยมิอาจอยู่ด้วยกันวันปีใหม่
จึงส่งใจมามอบให้เป็นของขวัญ
พร้อมขอบคุณปีเก่าให้เราได้พบกัน
สำหรับขวัญปีไหนไหนไม่ลืมคุณ...(ค่ะ)
ทุกดวงใจ
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองแห่งมิ่งมิตรผองเรา
มานานเนาหลายขวบปี
ที่
วันเวลาราตรีกาลทิวาหวานเศร้าฤาโศก
ก็แค่ค่านับที่โลกเลือกหยิบยื่นให้นึกรักนึกย้อน..!
ด้วยอาวรณ์อาลัยถวิลห่วงใยเสมอมา
ตราบชั่วฟ้าดิน..มิสิ้นภักดิ์...มิสิ้นรัก....
.......................
ดึกดื่นดายเดียวกับเสี้ยวจันทร์
ฟังเพลงรักนิรันดร์ฝันคว้างหว่างโลกฝัน
คิดถึงคนดีเคยพลีคำร่ำรำพัน
*ไม่รักกันไม่ว่า*พาโศกนัก
ดวงใจเอ๋ยอยากจะเผยใจในวันนี้
ซึ้งคนดีพลีน้ำใจเคยฝากภักดิ์
ขอกระซิบคำฝากเธอนะที่รัก
*ถึงไม่รักไม่ว่า*อย่าลาไกล
วันเวลาลมหายใจช่างแสนสั้น
รอคืนวันได้พบเธอมิห่างไหน
ได้ชิดใกล้ให้หนาวคลายนะดวงใจ
แล้วแค่ไยเพียงคำลาหาไม่มี
กระซิบฝากดาวเดือนเกลื่อนฟ้าคอยเฝ้าดู
ได้รับรู้ความจริงใจใครคนนี้
ฝากอ้อมกอดปลอบประโลมนะคนดี
หวังชาตินี้มีวันขวัญพบเธอ
หนาวเหน็บเจ็บแค่ไหนให้ไออุ่น
ทุกอุทัยโลกหมุนฝากลมรักมาพ้อเพ้อ
ว่ารักรักรักห่วงใยราวละเมอ
หวังมีเธอกลับมา..*จะไม่ว่า.แม้ไม่รัก...*
..........................
ผมกำลังฟังบทเพลงแสนงามใจ
งามคำงามล้ำโศกสะเทือนนี้
*ไม่รักไม่ว่า*
ที่..*เรือนไม้ริมชายสวน*
ร้าน....
ที่รายรอบล้วนเต็มไปด้วยบึงบัวหลากสีสัน
เรือนที่ทำให้ผมคิดถึงหลายเรื่องราวในโลกมายาฝัน
ในค่ำคืนนี้...
คืนที่....
โลกผมราวกำลังเป็นสีน้ำเงินอีกคราครั้ง..
ในรอบปี..
เมื่อผม..จำต้องงร่ำลาคนดีในดวงใจ
ที่จำจักจะต้องพรากลา
*ดั่งนกไพร*พรากรวงรังแห่งรักไปอีกหน
จนสุดหล้าขอบฟ้าไกล
บทเพลง
ที่ดลดวงฤดีผมให้แสนเศร้า
ที่ผมเคยได้รับเกียรติ
จากใครบางคนในกมลขวัญฝัน
เคยพลีใจร้องกำนัลพลีมอบให้
น้ำตาผมกับน้ำตาดาว...จึงพราวแสงแข่งกัน
เมื่อหันไปไม่เห็น
ไม่ได้รับรู้แม้ข่าวคราว
ราวกับโลกสิ้นไร้แสงตะวัน
กับ..
สิ่งที่หลงเหลือคือ
เสียงหัวเราะ
เสียงเพลงที่เคยพ้อรำพันฝันฝากใจ
ในยามหนึ่งแห่งลมหายใจของชีวิตที่แสนสั้น
*ราวพรหมลิขิตมายา*
สะท้อน...
ให้แสนโศกสะเทือนใจไปกับโลกมายาฝัน
เมื่อ...สุดจาบัลย์กับ
*มิ่งมิตรในฝัน *
ที่
เคยปันพลีปรารถนาดีกันและกัน
แล้ว...
ดวงแก้วนั้นพลันลอยลา
ราวกับว่า...
จะทิ้งแสงพราย
ให้..
สายน้ำตาหยาด..ในทุกยามรำลึก
คิดถึงค่าคำ อันล้ำเลอค่า
มิตรภาพตราบชั่วดินฟ้า
อย่างที่ชาติหนึ่ง
ถือว่าเป็นเกียรติเป็นบุญ
ที่ได้พบเธอนะคนดีนะดวงใจ...
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song48.html
ไม่รักไม่ว่า
รู้รู้อยู่ มิควรคู่ กับจอมใจ
วาสนาเราแสนไกล หนักหนา
แต่ความรัก หักฉันใดไม่เลือนลา
แค่เพียงไม่เห็นดวงหน้า เหมือนว่าจะบ้าตาย
สุดเหลือ จะบอกเขา ให้เข้าใจ
ว่าเรา รักเท่าใดจริงแค่ไหน ทั้งใจและกาย
ให้คิด เลิก รัก ไปเหมือนให้ตาย
มันโหดร้ายเกินไปแก้วตา
จอมใจไม่รัก ก็ไม่ต้องรัก ต้องฝืน
จอมใจไม่ชื่น ก็ไม่ต้องฝืน เวทนา
เพียงแต่ขอ ให้พี่รักภักดีสุดา
ก็สุขอุราเป็นวาสนา พี่นัก
ใจเธอนั้นจะรักชอบมอบผู้ใด
จะเป็นของใครเมื่อไหร่ ไม่ห่วงเลยที่รัก
ชาตินี้ พี่ น้อย บุญนัก เจียมตนสู้ข่มรัก
สร้างกุศล รอชาติใหม่มี
จอมใจไม่รัก ก็ไม่ต้องรัก ต้องฝืน
จอมใจไม่ชื่น ก็ไม่ต้องฝืน เวทนา
เพียงแต่ขอ ให้พี่รักภักดีสุดา
ก็สุขอุราเป็นวาสนา พี่นัก
ใจเธอนั้นจะรักชอบมอบผู้ใด
จะเป็นของใครเมื่อไหร่ ไม่ห่วงเลยที่รัก
ชาตินี้ พี่ น้อย บุญนัก เจียมตนสู้ข่มรัก
สร้างกุศล รอชาติใหม่มี...
................
29 ธันวาคม 2548 10:34 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song51.html
อันเป็นดวงใจ..เนื้อทองของพี่
...............
เนื้อทอง..
ถูกปลุก...ด้วยเสียงสายฝนพรำสายเปาะแปะๆ
ที่กำลังพรายกระทบแมกไม้ไทยรายรอบเรือนลีลาวดี
ประดุจดั่งเสียงดนตรีสวรรค์
อันแสนพริ้งพราวจากราวสรวงยามฟ้าใกล้สาง
น้ำค้าง..ยังหยดเย็น
ดาวประกายพฤกษ์ยังทอดวงแจ่มจรัส
เคียงจันทร์ประดับฟ้า
เนื้อทองหนาวนวลเนื้อใจ
ไร้เนื้อใครห่ม
หนาวลมอุษา....
ที่พากันพัดพราย
คล้าย..
มาพลีร่ายลมหายใจสดชื่นคืนให้แด่โลก
ลบโศกแด่ผู้คนผู้รักษ์งามเงียบ
ได้ใช้ชีวิตเรียบง่าย ใกล้ชิดท้องไร่ท้องนา
และ..
ที่สำคัญรู้คุณค่าเทิดบูชา
*อกแผ่นดิน*
ถิ่นรวงทองแห่งแหลมสุวรรณภูมิพุทธ..
เนื้อทองนอนหลับตา
พร้อม...สูดลมหายใจฉ่ำๆ
ที่..
อบร่ำพร่ำอวล..มาด้วยมวลกลิ่นดวงดอกไม้ไทย
ไม่ว่า..
จะเป็น วาสนาช่อพราว
ขาวนวลของมะลิซ้อนมะลิลา
กุมาริกา แก้ว แววประภัสสร
พุดดอกหวานอรชรที่บานสะพรั่ง
ฝากหวังหวานให้บานเบิกใจ
รับขวัญ...
วันปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามา...
เสียงบทเพลงปีใหม่...
หวานแว่ว...
ลอยลมมาจากโค้งคุ้งในยามรุ่งสาง
กับ..
ฟ้ากว้าง
กับสายลมหนาว..
จากเรือนไหน...กระท่อมไพร..ใครก็ไม่รู้..!
ไผ่ริมคลอง....
ครวญเพลงอ้อนออด
สอดเสียงซัดส่ายพร่างใบไหวซู่ช่าซู่ซ่า
ท้าสายลม
ราว...
ลีลาดนตรีผสานผสมในยามเช้า..
เฝ้ารอ...ทายทัก
พระอาทิตย์ชักรถมากับลมละมุน
อันอ่อนอุ่น
ให้ไออวลรับอรุณเบิกฟ้าหวานตระการ...
.............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song202.html
เสียงดุเหว่าแว่ว ...ทูล ทองใจ
เสียงดุเหว่าแว่วมาเหมือนเตือนให้
สอง เรา ผวา จาก กัน
ค่อน คืน ตื่น ฝัน เราเกี่ยวแขนกัน
เที่ยวในแดนฟ้า พบวิมานเทวา
ผ่านดาราน้อยใหญ่ปราสาทสีทองงามผ่องอำไพ
โอ้เพลินใจในแดนสวรรค์
กอดกัน กระซิบกระแซะกัน
ชวนชมนั่นดาว ระยิบระยับตา
เพลินอยู่จนเสียงดุเหว่าแว่วมา
เป็นสัญญาให้เราจากกัน
อิงแอบ แนบ ปลอบใจ
เสียงสะอื้น ยังจำได้ ร่ำอยู่จนใกล้ สว่าง
ฟ้าสางแล้วเรา ต้องพรากจากกัน
เสียง ดุเหว่า แว่วร้อง อยู่
กระตู้วู้ เมื่อครู่ เลือน หาย
แสนเสียดาย สุดจะหมาย กลับ คืน.
.....................
นกกาเหว่าร้องเศร้าตู้วู้ ๆ ๆ
ช่างให้บรรยากาศ
ราวมีบทเพลง..*ครูทูลทองใจ*
มาคลอพ้อกระซิบที่ริมหู
คู่เรือนไทย..คนรักเพลงอมตะ
ดุเหว่า..
นกกาพากันผกโผบินไปทั่วทุกถิ่นไทย
แม้นใครๆจะพากันเกรงกลัวไปทั่วหล้า
ว่านกไพร ทั่วท้องนภา
จะทำให้ร่างมลาย
ตายได้ด้วยโรคไข้หวัดมรณะก็ตามที
แต่..
จะห้ามนกนี้มิให้บิน ขังกรงสิ้นอิสรา
ก็คงหาใช่ธรรมดาธรรมชาติฤาก็หาไม่..
หาก..
นกนี้ยังต้องมีปีกพลีปีกบินไปบนฟ้า
ควาย...
ยังคงรอท่าเทียมเกวียน
เสมอเสมือน*คน.*..
ที่ยังคงต้องวนเวียนหาเช้ากินค่ำ..รับวงวิบากกรรม
ให้โลกนี้..ยังมีพลังหมุน ไปๆไม่สิ้นสุด
ไม่ว่าจะไปในทิศทางใด
เพียง..
หวังให้ทุกดวงใจช่วยชะลอช้า
มิให้...ฟ้าดินดับดิ้นสิ้นลับลา
พาพบโศกวิปโยคแหลกสลาย
กลายเป็นฝุ่นผงธุลีเร็วเกินไป
ด้วย..
มรณานี้...ที่รอท่ามากับไฟสงครามนิวเคลียร์..
หากมวลมนุษยชาติ
ยังคงมิเข็ดหลาบจำจดกับทุกข์บทเรียน..
หากยัง...
คงเขลาประมาท.ให้เตรียมรอพลาด
รับโศกสะเทือนวิปโยคไปตราบชั่วกาล.!
เนื้อทอง..
นอนหนาวนิ่ง...
ทบทวนทิพย์นิมิต*ในฝัน*เมื่อราตรีกาลที่ผ่านมา
หลัง..
สวดมนต์ภาวนา
ณ..เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธสุกปลั่ง
ใน..
ท่ามแสงมลังเมลืองของแสงเทียนพราว
ในเรือสุพรรณหงส์ทองคำ
ที่จำลองมาเป็นราวเทียนเชิงเทียน
ใจดวงพิสุทธิ์..
ได้น้อมพลีถวาย...ดวงดอกไม้มาลัยแสนงาม
มาลัย...
ที่รัดร้อยด้วยมะลิตูมตั้ง
รายรอบนั้น..พร่างด้วยกลีบกุหลาบหอมพราว
และ..
จุดเทียนทองเก้าเล่ม...ท่ามความเงียบงามสงบใจ
และ..
นั่งสมาธิ พลีจิตใส ให้แสนสว่างกระจ่างแจ่ม
ด้วยพลังศรัทธา
ที่ปรารถนาเพียงรักษาจิต...
ให้..
รู้สลัดตัดความคิดทุกสิ่งอย่าง ...
ไม่ว่าดีร้าย
คล้าย..
หมดสิ้นแล้ว...ถึงความยึดมั่นถือมั่นใดใด
มิมี..ดวงใจไหวโศกตรมระทมท้อ
ด้วยห่วงพันธนารักใด..รักใครอีกต่อไป..เลยแล้ว..
และ..
ในม่านราตรี
ยามที่เนื้อทองนอนบนเตียงโบราณ
กับจิตดวงตระการก่อนนิทรา
เนื้อทอง
จะท่องคาถากำกับสมาธิ
ที่ทำให้นิทรารมย์ด้วยความสงบงามเงียบ
ในทุกค่ำคืน มิให้ตื่นมาด้วยฝันร้ายใดๆ
หากไยเล่า..!..
ราตรีที่ผ่านมา
เนื้อทองจึงนิมิตแผกพิเศษ
ฤา..
อาจจะเป็นเพราะว่า
ในมโนนึก..ก่อนหลับตา
เนื้อทอง..
ราวได้ยินเสียงเพรียก
จากราวฟ้าเบื้องบน
ที่..
หม่นเมฆหวาน...กำลังค่อยๆเผยม่าน
คลี่ตระการ ผืนนภา สีกำมะหยี่
ที่มี...
มวลดวงดาราต่างพารอ
ขอออกันมาออดอ้อนกระพริบตาล้อมวลมนุษย์
อยู่แทบทุกค่ำคืน...
และ.....
เนื้อทอง ..อาจจะอ่านภพภูมิสวรรค์มากไป
แถม..ยังดูสารคดีสิบตอน
*ตามรอยพระพุทธเจ้า
จนเคล้าจิตจับไว้คล้ายดั่งได้เห็นภาพจริง
และ..
สิ่งที่เนื้อทองนิมิตเห็น
คือ..
ภาพ*เนื้อทองผ่องเพ็ญ*
ในชุดส่าหรีสีทอง..
งามเฉิดฉายพรรรณรายพราวแพรว
คล้ายดั่งนางแก้ว..เกิดมาในสมัยพุทธกาล...!
มี..กำไลงามรัดร้อย
เป็น..
สร้อยสายเสียงกระทบกัน*กรุ๋งกริ๋งๆ...
ยามก้าวเดินบนลานหญ้า
มุ่งหน้า..
ไปริมบึงบัวในยามพลบค่ำสลัว
ที่มีโบสถ์คร่ำ...ในท่ามลานโพธิ์..พิกุล
หอมละมุนละไมมาในคลองฝัน
และ..
บัวบุญในบึงฝันนั้น
มีบัวขาวนับพันดอก โผล่พ้นน้ำ
และ..
งามพราวราวเป็นบัวดวงดอกพิเศษพิสุทธิ์
เพราะคลี่ผุดกลีบแย้มหวาน
ปานประหนึ่งบานพร้อมกัน
ทั้งวังบัว
สะพรั่งพรึบราวนึกนัดรอรับแม่นวลเนื้อทอง...
เนื้อทอง..
จ้องมองภาพนั้น ...
แล้ว...พลัน..!
ราวกับเห็น
ภาพโบสถ์คร่ำนั้น...
มีแสงสว่างเป็นลำพร่างออกมา
ให้..
เนื้อทองเดินพาร่าง.....
ตามแสงไสวสวยเย็นใสราวอัญมณีรุ้ง
ที่..
พุ่ง...รัศมีฉายฉาน...ปานประหนึ่งเรียวรุ้งโชติช่วง
ประดุจดั่ง..รวงดาวนับล้านในกาแลคซี่
ที่มี..
พลังแสงแรงโรจน์หมุนวนจนแตกประกาย
คล้าย..
ดั่งดวงดอกไม้หมุนวนหวานบานบานบาน
ปานประหนึ่งรัศมีดาวดาราราย
วนพราย...พลิ้ว..พริบพร่าง..
ก่อพลังสว่างกระจ่างจ้ารายรอบ
เป็น..
วง...ทรงกลดอันแสนสดสีดงามเกินบรรยาย..!
เนื้อทอง..
ค่อยๆ...ก้าวช้าช้า...ช้าช้า...
พาตัวเดินไปตามลำแสง..ใสพร่าง
แล้ว ...
จึ่งทรุดร่างลงตรงหน้า *พระสงฆ์ชราองค์หนึ่ง*
ที่นั่งภาวนา...
อยู่ณ..เบื้องหน้าพระประธานสีทองอร่ามองค์โต
แสงสงฆ์จากจีวร
และ..
พลังแสงสุกปลั่งจากงามเงาองค์พระบรรเจิดจ้า
ราวพาให้ทั่วทั้งโบสถ์นั่น
ทาบทาด้วยรัศมีทองคำอันแสนจรัสเจรืองตาม....
งามจนสุดพรรณนา...
ในฝัน...
เนื้อทองพลีน้ำตาปิติเกษม
และ
ก้ม..ลงกรานกราบแทบบาทพระสงฆ์
พร้อม
ได้ยินเสียงมากล้นพระเมตตา
ทั้งๆที่ท่านหลับตา
ดังก้องกังวานมากระทบ
ราวลอยล่อง..มาจากแดนดิน
ที่ไกลแสน...แสนไกล..ในห้วงอนันตกาล..
เหนือกาลเวลา..เหนือหล้าโลกย์..นี้
*อย่าหยุดทำความดี
รู้พลีจิต...ฝึกสมาธิ
รู้รักษาศีลมีสติ
ที่จักพาให้เจ้านี้มีปัญญา
มาตรแม้น..
ดวงชีวีเจ้า....
ต้องวนมารับวิบากกรรมอีกสักกี่ชาติ
ก็..
จงเพียรทำ
ถึงพบระกำระทมทดท้อ..อย่ายอมแพ้พ่าย
โลก..ใกล้จะแตกดับ
จะทิ้งคนนับพันๆล้าน
ให้..
มอดมลายสลายหายไปเป็นอากาศธาตุในไม่นานช้า
ราวสุสาน อันร้างลาไร้ร้าง
อันแสน..อ้างว้าง เงียบงัน..!
น่าโศกสะเทือนใจ..!
จะเหลือ..เพียงผู้คนผู้ยึดมั่น
ในร่มศีลธรรมและร่มพระรัตนตรัย
และ
พระอรหันต์
ผู้มากล้นบุญญาบารมี
ที่เพียรพลีสะสมกุศลผลบุญ
มานานนับอนันตชาติ
ได้เกื้อการุณย์
ขนเหล่ามวลมนุษย์สรรพสัตว์
เพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายให้
ว่ายพ้นวังวนกิเลสโลกโศกสุข
ให้พ้นทุกข์..รู้ดับ
ได้
พลีธรรมทานฝากไว้กับ
ผู้รู้รักความดีรักษาความดี
มีเมตตา
มีศีลธรรม
เพื่อ
ได้น้อมนำจิตพลีมาผุดผลิในโลกใหม่
ที่..
จักงามไสวราวสวรรค์สรวง...
มี..
เพียงปวงธรรมชาติ เทวาอารักษ์
และผู้ปฎิบัติธรรมเท่านั้น
ที่จัก..
ได้ผันผ่านภพ
มาพบวิมานหล้า วิมานลอย
ยาม..
จิตดวงน้อยดวงใสไสวเย็นว่างกระจ่างแจ้ง
*ราวอัญมณีแก้ว*
แสนเพริศแพร้วสงบเย็นนั้น
ได้ถึงกาลเวลา.
พลันลอยลา...คล้อยเคลื่อน
เสมือนยามเดือนดวงแห่งชีวาชีวิต
ถึงลิขิต..กาลแยกต้องแตกดับ
และ..
มารับภพภูมิใหม่
*ภูมิวิลาสินี* ที่พลีรับเพียงคนดี เพียงนั้น
เจ้าจงตั้งมั่นทำความดี
และ
มีน้ำใจพลีช่วยผองสัตว์
ที่..ยังมืดบอด ต่อยอดบุญ
ผู้ทนทุกข์ยากมิพ้นวิบาก
ยังมิพ้นวังวนพ้นโคลนตมดั่งบัวมิพ้นน้ำด้วย..เถิด
จักประเสริฐสุด ..
ให้สมกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ในร่มเงาพระพุทธศาสนาพระรัตนตรัย
ได้พบพระธรรมคำสอนอันแสนเกษมใส
แห่งพระบรมศาสดา
พร้อม..
ได้มาอยู่ณ..ภายใต้ร่มฉัตร
*พระมหากษัตริย์*ผู้ทรงบุญญาทรงทศพิธราชธรรม
ธ..ผู้ทรงมีพระจริยธรรมงามล้ำล้นเลอค่า
หามี..ซึ่งผู้ใด จะเทียมเทียบได้ไม่..
พระองค์...
ผู้ทรงพลีร่างใจเสียสละ
อย่างแสนยิ่งใหญ่
มาอย่างตรากตรำแสนยาวนานนัก
ถึงหกสิบพระชันษาแล้ว
จง..อย่าลืม...
เพียรเพียงทำความดี ความดี เท่านั้น
และ..
อย่าหลงยึดมั่นถือมั่นคาดหวังใด
แล้ว
สักวันวิบากกรรม
ที่เจ้าเคยทำไว้จะสิ้นสุด
และจะหยุดการเกิดดับนับนิรันดร..*จงจำไว้
...................
เนื้อทอง...สะดุ้งตื่น..!
ในค่ำคืนอวลอากาศใกล้อุษา
ในราตรีแสนหนาว
ท่ามกลิ่นแมกไม้ไทยดอกหอมเศร้า
กับนวลใจ
ที่แสนไสวพราวราวรวงเพชรพร่าง..
เมื่อ..
เนื้อทอง นอนย้อนรำลึก
นึกถึงนิมิตแผก
หัวใจ..
ก็ราวได้ไออุ่นมาโอบแอบเอื้อประโลม
ให้สิ้นทุกข์ท้อระทมที่เฝ้าโหมจากชะตาพรหม
และ
กับเนื้อกมลดวงนวล ดวงดี
ที่ผ่องพรายคล้ายดั่งชื่อแม่เนื้อทอง
ช่างหอมพราว
รับสายลมหนาว
กับพรายฝนสั่งฟ้า
พาให้ดวงจิตยิ่งไสวเย็นเป็นยิ่งนักแล้ว....!!!!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song51.html
เนื้อทองของพี่
เนื้อ ทอง ของ พี่ เจ้าหนี พี่ ไป
แรกเจ้ารัก พี่ก็รัก ปัก ใจ
แต่เจ้าพลาด พลั้ง ไป ให้ใครสุดชม
เนื้อ ทอง ของ พี่ พี่นี้ ต้อง ตรม
กลับเถอะหนา อย่าไปหา อื่น ชม
เจ้าให้พี่ ภิ รมย์ ชม ขึ้น ใจ
หวัง อยู่ เคียง ข้าง นาง นอน
สุดโศกศัลย์ เจ้าเท่านั้น บั่นทอน
อ้อมกอดพี่ร้าว รอน หรือ อย่าง ไร
รัก จึง ลา ล่วง ดวงใจ
พี่อ้างว้าง ด้วยเจ้าร้าง ห่าง ไกล
หลงอ้อมกอด ของใครใคร สุด ตรม
พี่ซิเฝ้าคอย คอยหา เนื้อทองไม่ มา ยิ่ง มอง
คอยแต่เธอละเมอใจปอง ขอให้คืน คง ครอง
พี่จะคอย เนื้อ ทองครอง คู่ เอย
หวัง อยู่ เคียง ข้าง นาง นอน
สุดโศกศัลย์ เจ้าเท่านั้นบั่นทอน
อ้อมกอดพี่ร้าวรอน หรือ อย่าง ไร
รัก จึง ลา ล่วง ดวงใจ
พี่อ้างว้าง ด้วยเจ้าร้างห่าง ไกล
หลงอ้อมกอด ของใครใคร สุด ตรม
พี่ซิเฝ้าคอย คอยหา เนื้อทองไม่ มา ยิ่ง มอง
คอยแต่เธอละเมอใจปอง ขอให้คืน คง ครอง
พี่จะคอย เนื้อทองครอง คู่ เอย...
..............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song206.html
ฉันมีเธอนั้นอันเป็นดวงใจ
โอ้เป็นความรักยิ่งใหญ่
เหมือนดาวรักใคร่ฟากฟ้า
เหมือน ดังแสงสุริยา
สาดแสงส่องพื้นภพหล้า ลงมาจูบทานตะวัน
เห็นใจเถิดฉันนั้นยังดำรง
เทิดทูนความรักสูงส่ง
ซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปรผัน
หวัง ใจได้คู่เคียงกัน
ตราบนิรันดร์มั่นหมายสวาท
เป็นทาสความรักเสมอ
อันเป็นดวงใจมานานแรมปี
เป็นราชินี แห่งใจฉันนี้คือเธอ
ทุกๆ ค่ำเช้าเฝ้าละเมอ
จิตใจพร่ำแต่เพ้อว่า รัก รักเธอรักจริง
ฉันรักเธอเหมือนดังดวงชีวา
ไม่เคยจะคิดเลยว่า สัญญาแล้วจะทอดทิ้ง
เห็น ใจฉันบ้างยอดหญิง
มอบหัวใจให้แล้วทุกสิ่ง
ด้วยความสัตย์จริงเสมอ
แด่เธอ ผู้เป็น ดวงใจ...