30 มกราคม 2549 08:19 น.

นวลปรางนางหมอง..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song213.html
(น้ำตาเทียน)

อีกราตรี..
ที่...ดวงจุดเทียนทอง
ให้ส่องพราวพราย..ณ..ภายในวิมานดิน
กลิ่น..ดวงดอกแก้วการะเวกยังคงให้หอมอวล
ดวง..เดินไปเด็ดนวลดอกเข็มขาว
ที่พราวต้นมาแซมผมช่อหนึ่ง
ให้ติดซึ้งตรึงใจริมเรียวแก้ม..

เสียงเพลงบรรเลง..ยังหวานแว่วมาคลอใจ
ให้เย็นใสแสนงาม..
ในท่ามความสงบสงัดยามดึก


วันนี้..
ดวงได้ไปเดินในตึกกลางดงเมือง
ที่ชื่อว่า*สยามพารากอน*

หัวใจดวงอรชรมีนัด
เพื่อไปบำบัดจิตใจ
*ใครบางคน*ที่กำลัง*หัวใจสลาย*
ให้..คลายเศร้า
ให้..
พลังใจและหวัง
มิให้เธอหลงทาง
มิให้อ้างว้างหนาวเหน็บลำพัง
สิ้นหวัง..เสียจนคิดตัดสินใจอะไรผิดพลาด 
ในยามที่เธอพบวิบากรักวิบากกรรม

ดวง..คิดว่า..
นี่คือโอกาสที่จักแสดงน้ำใจ


ตราบใดที่
เรายังหันไปเห็นเพื่อนร่วมโลกพบโศกมากกว่าสุข
มีทุกข์เป็นสัจจะ...
และ..
ยังมีวันเวลาหลงว่ายวนในห้วงรักเหวลึก
ให้ได้นึกคิดตระหนักชัดว่า ...
ไม่มีใครดอกหนา ที่ชีวิตจักลิขิตได้ดั่งใจหวัง
ดั่งคาดหวัง...
ให้..
พบสุขสมบูรณ์แบบไปทุกสิ่งอันที่ต้องการ
นอกเสียจาก..
เพียรพยายามหักห้ามใจตนเอง
ให้รู้เพรงกรรม 
ให้รู้รักธรรม รักธรรมชาติ
ที่..
คือความพิสุทธิ์สะอาด สงบ 
สยบกิเลสโลกย์ที่คือโศก มิรู้สิ้น


ดวง..
ไปนั่งดูผู้คนเดินกันขวักไขว่อย่างมดปลวก
ไม่มีใจอยากเดินดูอะไร 
นอกจาก..
นั่งพินิจพิจารณาทุกข์กิเลสสรรพสิ่ง
ตรงหน้า กับความแสนเหว่ว้าในดวงใจ


จิตวิญญาณดวงไพรเหินลอยติดปีก
บินไปในท่ามท้องทุ่งนากับฟ้ากว้าง 
ไปวิมานลอย วิมานวนา
พาร่างไปเดินดายเดียวในป่าพงไพรพฤกษ์
มิใช่ดงตึกอย่างนาทีนี้...

ไปนอนนิ่งงาม..ในกลางกระท่อมหอมข้าวใหม่
รึมบึงบัวสวยไสวนับพัน
ที่..
กำลังพรรณรายพรายผลิแย้มดอกดวงแดง
กับสายแสงสีฟ้ายามสลัวมัวหม่นด้วยม่านหมอก
หยอกล้อกอข้าวเขียวเรียวรวงยามโพล้เพล้


ด้วย..
ดวงใจที่ถูกกล่อมเห่
ด้วยบทเพลงธรรมชาติ อันแสนงามล้ำ
สุขว่างกระจ่างแจ่ม..แตะแต้มให้หอมห้วงในดวงใจ
อย่างที่สุด

และ....
ให้..หลุดพ้น
เลิกมีชีวี..
เสมือนนกไร้ฟ้า 
ข้าวหลงนา ปลาผิดน้ำ อย่างวันนี้..นาทีนี้..!
................


ลำนำข้าว ..พุดพัดชา

ลมพาฝนหล่นพราวราวรวงเพชร
ดั่งหยาดเพชรรวงผลิรอละออฝน
ริ้วรวงหอมหอมพร่างใจผู้ทกข์ทน
หยาดเหงื่อปนหยาดน้ำตาฟ้าเห็นใจ..

เส้นทางเก่าไร้รอยรับคอนกรีต
ราวคมมีดกรีดใจจนหวั่นไหว
ไม่เหลือรอยงามทุ่งรุ่งกลางใจ
มองฟ้าไกลไยหมองเศร้าเคล้าน้ำตา..

ตะวันเดิมเริ่มรับอรุณรุ่ง
คนมัวยุ่งจนลืมล่วงคอยห่วงหา
ไม่เคยเลยเงยแหงนดูดวงจันทรา
ใจเหว่ว้าวิญญาณไพรในกรุงกรง...

เส้นทางหอมรายล้อมด้วยกลิ่นดิน
ร้างถวิลสิ้นเสน่หาพาลืมหลง
กองฟางน้อยคอยอ้ายเอนกายลง
โพล้เพล้ลงก่อไฟรุมสุมคอกควาย...

คือความงามเรียบง่ายใช้ชีวีอย่างสงบ
พอยามพลบเข้าไต้ไฟมองเดือนหงาย
ครวญเพลงขลุ่ยลุยทุ่งบนหลังควาย
ฝากใจอ้ายคล้ายรอรวงหวงบูชา...

เป็นเส้นทางสายรักที่ถักทอด
เงางามยอดชีวีขวัญวันห่วงหา
มีแม่พ่อพร้อมหน้าอุ่นอุรา
มีเวลาเล่านิทานหวานล้อมวง..

เทพีไพรดวงใจงามนิยามแม่
คือรักแท้ยิ่งใหญ่ใจราวหงส์
หวังจอมขวัญจอมใจสืบเผ่าพงศ์
พบรักตรงคงมั่นขวัญงามใจ..

ด้วยหัวใจลูกชาวนาหน้าใจซื่อ
ให้ยึดถือความดีดั่งแก้วใส
ถึงจนยากขาดแคลนแสนภูมิใจ
ด้วยหัวใจเป็นทองผุดผ่องนัก..

ในเส้นทางทุกย่างก้าวพราวหยาดเหงื่อ
คือเลือดเนื้อแม่พ่อผู้ภูมิภักดิ์
ราวรวงเรียวรอคมเคียวเกี่ยวรวงรัก
เฝ้าฟูมฟักผลิช่อคลอคู่ดิน

หยาดน้ำค้างหยอกข้างแก้มแต้มเรียวหญ้า
ระฆังลาหวานแว่วแผ่วมิสิ้น
พระสงฆ์เดินทอดทางธรรมอย่างอาจินต์
มิรู้สิ้นสายธารทองส่องทางใจ..

เทพีไพรใจงามนิยามแห่งยอดหญิง
ก้มกราบนิ่งทิ้งโลกเศร้าหนาวเพียงไหน
บรรจงวางบัวดอกงามบูชาใจ
อธิษฐานใจยิ่งใหญ่เพื่อลูกชาย..

ให้หัวใจทองลูกชาวนางามผ่องผุด
รู้จักหยุดจักรักภักดิ์มั่นหมาย
พบหญิงดีดั่งหงส์ทองคู่เคียงกาย
ตราบวันตายเป็นพลีภักดิ์รักนิรันดร์...

หว่านดวงดอกปัญญาสมาธิ
หวังเพียรผลิดั่งข้าวหอมในทุ่งฝัน
กลางดวงใจดวงดอกเพชรพร่างนิรันดร์
สานความฝันสืบความดีด้วยงามใจ

จบขันข้าวทูนเหนือเกล้ายิ้มละม่อม
จูบกระหม่อมหอมแก้มเจ้า น้ำค้างใส
หวังแสงทองส่องกระจ่างนำทางใจ
พาหัวใจดวงทองล่องธารธรรมนำสู่ฝั่งพระนิพพาน.. 



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song213.html
น้ำตาเทียน... ทูล ทองใจ

คืนหนึ่งฉันนอนสะท้อนดวงใจ
เห็นน้ำตาเทียน หยดไหล
เหมือนใครหลั่งน้ำ ตานอง
ในกระท่อมเหมือนดังเป็นวังเวียงทอง
ฉันนอนทอดถอนใจมอง
น้ำตาเทียนนอง หยดไหล
เพียงหยดหนึ่งน้ำตาเทียนเวียนวน
เหมือนน้ำตาใครหนึ่งคนเข้าดลสู่สิง ดวงใจ
ครั้นเราคู่พนอเดินคลอกันไป
ฉันเคยเศร้าช้ำใจได้ 
ว่าเธอร้องไห้คร่ำครวญ
เทียนหลั่งน้ำตาไหล ลงมา
หยดหนึ่งเทียนเสียน้ำตา ยิ่งพาให้มีแสงนวล 
น้ำตานางไหลคราง คร่ำครวญ
อาบลงแก้มน้องเนื้อนวล ยิ่งชวนฉันรัญจวนใจ
อดีตไม่ลับดับลงสักที
เห็นเทียนเรืองรองต้องมีทวีโศกหวลครวญไห้
มองเทียนหลั่งน้ำตาลงมาคราใด
ฉันทนปวดร้าวดวงใจ
จากไปแล้วแก้วตาเอย...
				
29 มกราคม 2549 09:21 น.

หัวใจสลาย...

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song112.html
(หัวใจสลาย)


ในราตรี..
ที่ไม่มีหยาดฝน..มี..เพียงหยดน้ำตา

ดวง..
จุดเทียนอ่านหนังสือ
*สปา*
ที่มีคนซื้อมาฝากจากอังกฤษ
เป็นหนังสือที่สวยงามมาก
และ..
ทำให้ดวงมีความฝัน
มีไอเดียอันแสนบรรเจิดจิต
จนอยากไปเนรมิตร
*วิมานวนา*ให้เป็นดั่ง..สปาแบบธรรมชาติ..


และ..
คิดว่า
ถ้าหากวันนั้นมีจริง
และ
มีแขกมาพัก..
ดวงคงได้ฝากแง่คิดเกี่ยวกับ
อาหารชีวจิต หรือแมคโครไบโอติกท์
และ..
การใช้ชีวิตติดดินถวิลไพร 
ให้มีจิตดวงใสรู้รักธรรม 
ฝึกสร้างสมาธิ ให้ทุกคนดี
มีชีวิตที่แสนเงียบงามสงบสุข...


ดวง..
ต้องหยุดความคิดความฝันอันแสนพร่างพราว
ราว..สายแสงเทียนทองทอทอดตรงหน้า
เมื่อ..
ได้รับโทร...จากใครบางคน
ที่..
กำลังอกหักรักราน
ปานประหนึ่งโลกจะกำลังแหลกสลาย..
เธอ..
พร่ำพรรณา..มาด้วย
ความเศร้าหมองครองโศกแสนวิปโยค
ในน้ำเสียง..จนแสนน่าสงสาร


เธอ..
ผู้หญิงคนดี คนที่แสนน่ารัก
คนที่มีความรับผิดชอบ
คน..
ที่ไม่น่าจะมีใครมองข้าม

หาก...
ในทุกนิยามรักมักไร้เหตุผลเสมอ..ไป
เพราะ..
เรื่องรัก*คือเรื่องหัวใจ*..ใช่เรื่องสมอง
ที่
ถูกผิดใครเล่า..จักลิขิตหนีครรลองพรหม..พ้น


ใน..กมลดวง
จึง..
ราวมีสายฝนตกต้องในห้องใจ
หลัง..
ปล่อยให้เธอพร่ำพิไรรำพัน
ซึ่ง..
คือขั้นตอนแรก...
ของการฝ่าดั้นให้ผ่านพ้นคืนวัน
อันเหน็บหนาวร้าวใจ
อย่างมนุษย์ปุถุชน
คนเดินดิน ที่ยังถวิลรัก มิพ้นบ่วงพันธนา
ที่..
ยังต้องอาศัย..*กาลเวลา*เพิ่มภูมิคุ้มกัน
เพิ่มธรรมะ เพิ่มน้ำอมฤตธรรมมาเยียวยา
มาร่ำริน..
ให้รู้รักษาจิตใส..ใจตัวเอง
ให้..
ผ่องแผ้วพ้นผ่านพายุร้ายพายุรักมิพักแพ้ใจ..พ่ายใคร


ดวง..
มีเพียงน้ำใจใสเย็นช่วยปลอบประโลม
อย่างเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก
ยาม..
พบคนโศกเวียนว่ายในทะเลโลกย์ทะเลน้ำตา
ด้วยคำว่า
*เมตตา*ที่มิมีวันสิ้นสุดหยุดให้
จาก
*สายธารธาราธรรมอันใสเกษม*
จากดวงใจด้วยจริงใจ*

อย่าง..
ไม่เลือกใครเลือกคน
อย่างคนที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
ที่..
ยังต้องว่ายวนปนไปในเงาบุญแรงกรรม
และ..
เพื่อพัฒนากมลเราเองให้งามล้ำค่า
ตราบจนกว่า..จะถึงวันสิ้นลม...
.......



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song112.html
หัวใจสลาย ....เดอะ ฮอทเปปเปอร์ ซิงเกอร์ 


ดัง แก้วบาง เขา ทุบ ทิ้ง แตก
ใจ ฉันแหลก เพราะน้ำมือเธอ
ปวด ช้ำ คร่ำครวญ พร่ำเพ้อ
เคย ไหมเธอ จะเหลือบเหลียวมา
คำ ทุกคำ ล้วน ซ้ำ หยาม เหยียด
คำ รังเกียจนั้นเหลือระอา
เทอด ทูนเธอ ดั่งเจ้า ชีวา
ไย ถึงฆ่า ฉันลง
คงเป็นสุขอุรา ที่สม ดัง ใจ
ลวงคนให้คลั่งไคล้ เหมือนนก เพลิน กรง
เธอช่างฆาตกรรม ได้แสน บรรจง
เกินดวงจิตพะวง ไหว ทัน
ดั่ง เหมือนถูก ทับ ไว้ ใต้ โลก
น้ำ ตาตกทุกค่ำคืนวัน
สุด โทษใคร ให้คน ขบขัน
ใจ ฉันมัน ง่าย เอง

คงเป็นสุขอุรา ที่สม ดังใจ
ลวงคนให้คลั่งไคล้ เหมือนนก เพลิน กรง
เธอช่างฆาตกรรม ได้แสน บรรจง
เกินดวงจิตพะวง ไหว ทัน
ดัง เหมือนถูก ทับ ไว้ ใต้ โลก
น้ำ ตาตกทุกค่ำคืนวัน
สุด โทษใคร ให้คน ขบขัน
ใจฉันมัน ง่าย เอง... 
 
  
				
26 มกราคม 2549 07:35 น.

คือรัก..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song302.html
(สายชล)


มิใช่..น้ำผึ้ง..หากเป็นเช่นน้ำอมฤต
หยาดให้จิบดั่งน้ำค้างอนันต์ค่า
คือน้ำใจใสงามเนิ่นนานมา
คือน้ำตาแห่งปิติพลีแด่กัน

จากใจทองครองขันธ์อันวางว่าง
เพียงแผ้วถางทางเหนือโลกย์ลบโศกศัลย์
ถือเป็นโชคโลกเมตตามาพบกัน
ดั่งคู่ขวัญคู่บุญสร้างทุนทาน

ในเส้นทางเลือกเคียงเลี่ยงกิเลส
รู้ดับเหตุแห่งทุกข์สุขแสนหวาน
รสใดเล่าจักคงอยู่นิรันดร์กาล
เท่าสายธารธรรมธาราสัจจะรัก

วันเวลามิประมาทอาจเช่นนั้น
จึงฝ่าดั้นคว้าดาวแม้นหนาวนัก
มาหว่านโปรยประดับใจทุกที่รัก
ให้ประจักษ์แด่ผองชนคนร่วมชะตา

เจ็บแลตายคล้ายเส้นทางยากเลี่ยงหลบ
ตะวันพลบรอชีพดับไปกับหล้า
มากผู้คนเวียนว่ายทะเลน้ำตา
สูญเวลาไปชั่วกาลหวานวัฎวน

สู่เส้นทางสายสงบพบกระจ่าง
สุขในว่างสุขนิรันดร์ฝันเพียรพ้น
ดั่งบัวบานเหนือน้ำค่าเหนือคน
กลางกมลดอกบุญบานตระการใจ

ฝันพาจิตลอยล่องท่องนทีทิพย์
ข้ามสีทันดรไกลลิบสู่สวรรค์ไสว
ปาริชาติบานรอรับขวัญนะดวงใจ
คือยิ่งใหญ่เหนือชีพชนม์สั้นวันมรณาในโลกามนุษย์..!
..............



คำพระสอน 
แสงสว่างหรือแสงอาทิตย์นั้นทำให้เราเห็นชีวิตที่แท้จริง ได้อย่างไร  

ท่านจ้อย หรือพระมณเฑียร มนทิโร แห่งสวนโมกข์ 
ตั้งคำถาม
ในคืน สวดอภิธรรมของ โกศล กลมกล่อม และแฟนสาวผู้ลาลับ
 
มนุษย์หลายคนกลัวว่าตัวเองจะไม่มีเงา 
แต่เมื่อถูกแสงสว่างหรือแสง อาทิตย์
 เงาเริ่มถูกทอดออกไปเป็นทางยาวหรือสายยาว 
นั่นทำให้เรา เห็นชีวิตในตัวเราอันแท้จริง เห็นความรู้สึกอันแท้จริง 

หลายคนนอนหลับอยู่ ไม่มีเงาแต่ยังไม่ตาย 
มีความรู้สึกว่าพรุ่งนี้ต้อง ทำหน้าที่ต่อ 
ทำชีวิตให้มีคุณและค่าต่อไป 
ยังไม่ตาย แต่หยุดการปรุง แต่ง
 เรามีการพักผ่อน เราหยุดการคิด 
หยุดการพิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 
แล้วหลับอย่างมีความสุข 
และพรุ่งนี้ต้องตื่นมาอีก 

ถ้าใครหลายคนคิด ว่าพรุ่งนี้จะไม่ตื่น 
ท่านจะหลับตาลงไหม 
แต่ถ้าคิดว่าพรุ่งนี้ไม่แน่อาจ จะไม่ตื่น 
ผู้นั้นมีพระธรรมพระพุทธเจ้าอยู่เต็มหัวใจ 


ลองคิดดูนะ ว่า ต้องไม่ประมาทในชีวิต
 ไม่ประมาทในวัย ไม่ประมาทในเวลา 
ทำให้ ถึงที่สุด ให้ดีถึงที่สุด 
แล้วนอนหลับอย่างดีที่สุด

ท่านจ้อย เทศนาถึงการเกิดขึ้นแห่งธรรมชาติล้วนๆ 
การสืบสานต่อ แห่งสังขารล้วนๆ 
พร้อมยกประโยคที่ท่านพุทธทาสเขียนไว้ว่า
 ใดๆ ในโลกล้วนแต่สิ่งสมมุติ (วิมุตติ) มิใช่เรา มิใช่ท่าน 
มิใช่การอยู่ มิใช่ อะไรทั้งสิ้น
นี่คือธรรมชาติแห่งนิพพานของสากลจักรวาล 
นิพพานคือ ความถูกต้อง วิมุตติคือความถูกต้อง 


ความตาย  จึงมิใช่การจาก หรือการพลัดพราก
 เป็นเพียงการทำ หน้าที่เท่านั้น 

ในวันนี้ ท่านทั้งหลายและอาตมามาเจอกันด้วยเวลา 
แต่เป็นเวลาแห่ง การสูญเสีย 
ทุกคนไม่อยากให้เวลานี้เกิดขึ้น
 ไม่อยากให้เวลานี้มาถึง 
แต่ใครล่ะจะห้ามได้ 
แล้วท่านมองดูต่อ 


ถ้าเราบอกว่า หลายคนเคยรู้ ไหมว่า
ท่านทั้งหลายในจิตใจท่านมีอะไรบ้าง
ที่ท่านคุมไม่ได้ ท่านรู้สึก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 
คือการปรุงแต่งของสังขารล้วนๆ
 ในภาวะ ของอารมณ์ทั้ง 6 


นี่คือ 6 ทางแห่งเงาตัวเอง อย่าให้สะท้อนออกไปสู่ ภายนอก 
ความรักก็ดี ความโกรธ ความเกลียด ความหึง ความหวง
 เคียดแค้นอาฆาตพยาบาทก็ดี 
เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในเงาท่าน 
อยู่ในบ้าน น้อยๆ ของท่านนี้  


การที่จะคุมอารมณ์ทั้ง 6 นั้นได้ ท่านจ้อยบอกว่า
 ต้องใช้วิธี เอาความสงบสยบความเคลื่อนไหว  
ความสงบสยบอะไร  
สยบเงาที่จะออกไปตีโพยตีพาย 
สงบเงาตัว เองที่จะออกไปสร้างปัญหาของสังคม 
สร้างปัญหาของครอบครัว 
ให้พ่อ แม่ต้องน้ำตาไหล 
ให้พี่น้องต้องเดือดเนื้อร้อนใจ 
นี่คือเอาความสงบ สยบเงาตัวเอง

แล้วท่านจะมีความสุข 
บ้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
แต่มี 
ความสุขตามอัตภาพที่เราอยู่ได้ 
ท่านจะรู้สึกว่าไม่มีตัวฉัน 
ในที่สุดแล้ว
 ฉันก็ไม่มี ผู้ใดเห็นอยู่อย่างนี้ 
ความกลัวไม่ปรากฏแก่ผู้นั้น 
ความกลัวของมนุษย์คือ
 ความตาย และ ความพลัดพราก
 พระ พุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
 สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความกลัวเป็นธรรมดา (กลัว ตายมากที่สุด)
 ถ้าไม่มีฉันก็จะไม่มีเงา เมื่อไม่มีเงา
 ความตายก็จะทำ อะไรท่านไม่ได้ 
มัจจุราชก็จะตามหาท่านไม่พบ 


สรุปแล้วมนุษย์เหนือกว่าสิ่งใดในโลกนี้
แม้แต่เทวดายังอยากเกิดเป็น มนุษย์เลย 
เพราะว่ามนุษย์นั้นสำเร็จพระอรหันต์ได้ 
มนุษย์สำเร็จโสดา 4 ขั้นได้
 เทวดาได้แต่เหาะไปมาจนสับสนวุ่นวาย

 แต่มนุษย์รู้ชีวิต เห็น ความทุกข์ เห็นชีวิตอันแท้จริง 
และเริ่มเรียนรู้ตัวเอง ควบคุมเงาตัวเอง
ให้อยู่ในความสุข ความสงบ  


ท่านจ้อย ฝากข้อคิดเตือนใจ 


 เราทุกคนคือแขกผู้แปลกหน้า
 เราเยี่ยมเยือนโลกามิช้านาน
 เราแสดงบทบาทที่ขาดเกิน
 เราเพลิดเพลินพลัดพรากตายจากไป
 เราทุกคนคือแขกผู้แปลกถิ่น
 จงถวิลเตือนจิตเป็นนิสัย 
จงเป็นแขกที่ดีมีน้ำใจ
 จงยับยั้งระวังระไวในชีวิต 
จงอ่อนน้อมถ่อมตนทุกหนแห่ง
 จงสำแดง กาย วจี ไมตรีจิต 
จงยิ้มแย้มแจ่มใสดับไฟพิษ
 ทำ พูด คิด สิ่งใดเกรงใจคน 
...........................


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song302.html
สายชล ..จันทนีย์ อุนากูล 


เหม่อมองดูสาย น้ำ วน
เหม่อมองสายชล ที่ไหล ริน
เหม่อมองดูนก ผก ผิน บินลับ ไป
ยาม เหงา เราถอนใจ บิน ไป ไม่กลับ มา
เปล่าเปลี่ยวจริงหนอ หัว ใจ
อยากจะรักใคร เศร้าใจทุกครา
หมดแรงกำลัง อ่อน ล้า และหลง ทาง
เจ็บ นั้น ยังเจ็บไม่จาง อ้าง ว้าง ดังสาย ชล
แม้ใจจะเจ็บ เก็บมาคิดคิด
อดีต ช่างงามล้ำล้น
มิเคยลืม ภาพเราสองคน
มิเคยลืม ยังหลอกลวงตน มิเคยลืม
ว่าเคยรักเธอ สาย ชล
หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ
เหตุการณ์ผ่านไป ยัง เพ้อ พะวงทุกวัน
อก เอ๋ย ขมขื่นตื้นตัน จาก กัน หรือฝัน ไป

มิเคยลืม
ว่าเคยรักเธอ สาย ชล
หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ
เหตุการณ์ผ่านไป ยัง เพ้อ พะวงทุกวัน
อก เอ๋ย ขมขื่นตื้นตัน จาก กัน หรือฝัน ไป...
				
24 มกราคม 2549 09:04 น.

บัวบานในบึงใจ..

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html
(ฉันรักเธอเสมอ)


อุษาวดีคลี่ฟ้าอีกคราแล้ว
ดวงดอกแก้วหอมพรายริมหน้าต่าง
นกเขาไพรปลุกดวงใจฟ้าเรื่อราง
ริมหน้าต่างกลางดงดอกจำปี

นอนคลี่ยิ้มแอบดูเจ้านกน้อย
เพื่อนผู้คอยเคียงขวัญยามเช้านี้
ไกวเปลหวานแกว่งไกวพร้อมดนตรี
ธรรมชาติชีวีธรรมดาเช้าเฝ้าทายทัก

หอมมะลิระรินที่ริมหมอน
กับที่นอนนวลนุ่มน่านอนนัก
ขอนิทราหลับตาฝันอีกนิดนะที่รัก
ฟังเพลงภักดิ์ในยามเช้าเคล้าอรุณ

โลกหอมหวานภายในใจดวงแก้ว
รับหวานแว่วสรรพสิ่งพร้อมโลกหมุน
เปิดดวงใจบ้านภายในงามหอมกรุ่น
สร้างละมุนพบละไมกลางใจธรรม

แล้วสวดมนต์ช้าช้าอย่าเพิ่งลุก
เพื่อปลอบปลุกพลังใจหวังรินร่ำ
แผ่เมตตาขอบคุณโลกโชคน้อมนำ
ได้มีวันทำความดีนาทีทิพย์

ทุกลมหายใจที่ยังมีช่างมีค่า
ขอบคุณฟ้าแลดินที่ยื่นหยิบ
ได้ชื่นใจในรสพระธรรมอันล้ำค่าน้ำอมฤต
ใสสนิทจิบซ้ำซ้ำพรำพร่างริน

ดั่งน้ำค้างหยาดสายกรายสู่หล้า
ดั่งน้ำฟ้าหยาดพรายมิรู้สิ้น
สู่บึงบัวรอบัวบานเหนือวาริณ
เพียงถวิลรับอาทิตย์อุทัยในเวลา

ดั่งนาฬิกาชีพชนม์คนแสนสั้น
ลืมตาฝัน พลันตื่นล่วง บ่วงเสน่หา
ที่รัดร้อยสร้อยห่วงหวงพันธนา
สร้างศรัทธาเดินตามรอยบาทมิวาดวน

พาจิตใสตั้งใจตรงคงสัจจะ
มิลดละภาวนาบุญสร้างกุศล
เพียรฝึกสมาธิมีปัญญาคุ้มค่าคน
ก่อนที่ลมหายใจจะไม่มี..!นะคนดี นะดวงใจ..
..................................



ดวงตื่นมากับฟ้าหนาว...
ยามเช้านี้

จิต...ราวกับมี..บทกวี
หวานแว่วลอยลมมาขับกล่อม..จากโพ้นฟ้าไกล
ให้...
ไม่ยอมท้อแท้แพ้พ่าย กับทุกสรรพสิ่ง..ในมายาเวลา
เปิดเมล์..มา..
แล้วน้ำตาเริ่มซึมซึ้ง...รอพร่างพรู
น้ำตาปิติเกษม
ที่คู่กับใจดวงนวลดวงน้อยดวงนิดนี้มาเนานาน
ใช่..!
จะเป็นดั่งน้ำตาแห่งรานร้าวเศร้าหมอง..ฤาก็หาไม่..


นิ่งงัน.....
กับทุกภาพงาม..เงียบ
ผ่านเลนซ์เฉียบคม..
จากดวงกมลใสงาม..ของผู้รู้ธรรม รักษ์ธรรมชาติ
รู้ปล่อยวาง...ในท่ามโลกอ้างว้างเหว่ว้าดายเดียว
ได้อย่างล้ำลึก
จาก..
*รู้สึกภายใน ที่ยากยิ่ง..
ที่ใครจะหยั่งถึง*บึ้งใจบึงใจ
ที่ราว..
บัวดอกพิไลโผล่พ้นน้ำแล้ว..พร่างงามไสวไกลตา
ในท่ามป่ารกชัฏสงัดเงียบ...


ภาพจาก..
ผู้มี*ดวงตาที่สาม*
ตามมากอบเกื้อเอื้อกมล
ให้..รู้อดรู้ทน
กับการรอคอยมิน้อยใจรัก
กับ..
นาทีนี้..ที่ปลายหางตา
หยาดน้ำเพชรกำลังรอท่าทำหน้าที่
ค่อยๆพลีหยาดรินอย่างช้าๆ
อย่างรู้ค่าอย่างแสนซึ้งนัก...


น้ำตา..แห่งพลังศรัทธารักภักดี
ที่ยินดีพลีมอบ *ให้* 

เหนือหล้า..
เหนือกว่าความเข้าใจใดใด..
ยิ่งใหญ่...
จนไร้คำใดมาอธิบายร่ายรจนา
ดั่งราวว่ามี*จิตเป็นหนึ่งเดียว*


* มีเพียงฟ้าดินรับรู้*
ถึงเงางาม..ที่ซ่อนอยู่..
ราว..*สายธารหวานนิรันดร์*
เป็น..
*ดั่งขวัญทิพย์เทียนทอง*ส่องนำทางใจ
ให้...
แสนใส..ไสวพร่างสว่างเย็น..สงบสยบทุกข์มายา
ตราไปตราบชั่วนิจนิรันดร...
.................





http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html

ฉันรักเธอเสมอ ทิพย์วรรณ ปิ่นภิบาล 

หากตราบใด สายนที ยังรี่ไหล
สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์
เกลียวคลื่นยัง กระทบฝั่ง เป็นอาจินต์
เป็นนิจสิน ตราบนั้น ฉันรักเธอ
เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์

เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา
แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ
เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ
ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ
ชั่วนิจนิรันดร์...



				
22 มกราคม 2549 22:30 น.

สายฝนหลงฤดู..ในฤดี..!

พุด


http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html


ใครคนหนึ่ง
ซ่อนซึ้งน้ำตาราวสายฝน
แหงนเงยมองฟ้าเบื้องบน
กลางกมลมีบทกวีรักนิรันดร์

ทิวไม้เหว่ว้าฟ้ากว้าง
อ้างว้างเดียวดายสิ้นฝัน
ตะวันรอนใจรอนตามตะวัน
โศกศัลย์เหน็บหนาวเศร้านัก..!
..................


ดวงเดินดายเดียว
ในท่ามงามสายัณห์ตะวันรอนอีกวัน
ลานโล่ง..ฟ้ากว้าง แลไกล..รึมบึงฝัน
พลันเห็น..
เครื่องบิน..ลำใหญ่ยักษ์บินทะยานผ่านไป..ไกลตา
สายธาราจึงเริ่มพร่ารินไหล
ในห้วงใจราวสายฝนพรำ
ด้วย..
คิดถึงใครบางคนสุดหัวใจ
ในแดนดิน*ฟ้าจรดทราย*

แหงนเงยหมายซ่อนหยาดน้ำตา
และ..
เดินช้าช้าพร้อมอ่านบทกวี
ที่กลับพาให้น้ำตายิ่งพรูพร่าง
อย่างไร้เหตุผล

นานนักในนึก
กี่หนาวเหน็บในฤดูกับฤดี
ที่ราวมีปีศาจวสันต์มาพลันพร่างพรม
ห่มห้องใจในทุกทิวาวันราตรีกาล

หากมาตรแม้นคืนวันไร้ชื่นบาน
หากคือการได้รับบทเรียนสอนสัจจะใจ

*ไม่มีสิ่งใดฤาใครคน*ที่ดวงกมลเรา
จะยึดมั่นถือมั่นได้แม้สักผู้เดียว
และ...
กัปกาลเวลา
ที่ต้องรอท่าอย่างมิเคยสิ้นสุดหยุดรอ..หยุดรักได้เลย...!
........................



http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html

เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว... 
 
  



				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด