21 กุมภาพันธ์ 2549 09:26 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html
( แสนแสบ..เรือนแพ )
..................
http://www.thaipoem.com/forever/poem.php?poemid=81429
เรือนริมคลอง..ภาคแรก
.......................
ผม..กลับมา..
*เรือนริมคลอง*อีกครั้งหนึ่งในวันหยุด
มานั่งทอดตานิ่งนิ่งริมท่าน้ำ
ดูสายน้ำ..ไหลไปไหลไป...ไม่หวนทวนย้อนคืน
เสมอเสมือน..
วิถีชีวิตผู้คนบนผืนโลกนี้
ที่..
ไม่ว่าจะมารับบทดีร้ายเฉกเช่นไฉน
ในวันหนึ่ง.ละคอนโลกย์.*ละคอนชีวิต*
ก็จักปิดฉากลง เท่าเทียมกัน
อาจจะ...
ต่างกันก็เพียงแค่วันเวลา
ที่จะนานช้า..ก็คงไม่เกินร้อยปีสักผู้เดียว..!
ผมเห็น...*ดอกผักตบชวา*
สีม่วงละมุนหมุนเกรียวไปตามสายน้ำวน
ราวกับการดิ้นรนต่อสู้
หากทว่า..
ในท้ายที่สุด...ก็ต้องยอมหยุด..ยอมพ่าย
ยาก...ฝืนกระแสน้ำเชี่ยวกราก
ที่..
พร้อมพรากลาทุกสรรพสิ่ง
ให้ลอยไปตามกระแสน้ำ กระแสกรรม
ผม...คว้าเรือมาดลำน้อย
แล้ว..
ค่อยๆ..พายพาผมไป..ตามลำคลองสายเล็กๆ
ที่..
ตัดผ่านท้องร่องสวนแสนรกเรื้อ
หากให้งามเหลือ..
แบบธรรมชาติๆ..ธรรมดาๆชีวิต...
ผม
หยุดพักพาย..
และ..
แวะซื้อผลไม้จากชาวบ้านแถวนั้น
ตั้งใจจะใส่บาตร...
กับ..
พระที่วาดพายเรือมา ในยามอุษา
กับ
ม่านฟ้าที่ยังสวยสลัวด้วย
ม่านหมอกบางๆ..
ราวภาพวาดสีน้ำที่แสนงามซึ้ง
และ
ค่อยๆชัดขึ้นชัดขึ้น..ตามแสงสีแห่งทิวาวัน
แสงทอง..อันส่องสว่าง
เพื่อ..
นำทางไสว..
แด่..
ทุกมวลหมู่สรรพสัตว์
ทั้งผู้คนและนกกา
เป็นดั่งสัญญาณว่า*ชีวิตใหม่เริ่มอีกวันแล้ว*
ผม..
น้อมนมัสการพระภิกษุชราด้วยน้ำตาซึมซึ้ง
หลัง..
ใส่บาตรและท่านให้ศีลให้พร
ให้..หัวใจดวงดายเดียวอ่อนโยนของผม
แสนดื่มด่ำอย่างลึกล้ำ
จนเกินคำพรรณา ในทุกครายามอิ่มงามปิติบุญ
เหมือน..
บัวน้อย ณ..กลางบึงใจผมค่อยผุดผลิคลี่บาน
รับหยาดน้ำอมฤตธรรม
คลี่เกสรใจ
ให้งามไสวไปตามสายแสงธรรมแสงทอง...
ที่มาส่องให้ชีวีแสนเกษม ..
ผม...
พายเรือ มาหยุดนิ่งกลางบึงบัว
ที่ยังมิแล้งน้ำ ยังให้ดวงดอกงามบานพราว
และ..
ในท่ามแสงฟ้าพรายพราวเริ่มอาบจับ
ไปทั่วทั้งกลีบใบ
หยาดน้ำค้างใสเริ่มส่งประกายวับแววกลิ้งไปมา
หยอกล้อ...นัยน์ตาผม
ให้เห็นสายแสงเพชรพร่างแสนงาม
ราว..
นั่นคือหยาดน้ำทิพย์น้ำทอง...
ผม..ราพาย...ค่อยๆทิ้งตัวนอนนิ่งนิ่งในเรือ
เหนือสระบัวบานสะพรั่งที่ราวกับสระ
แห่งแดนสรวงสวรรค์สุขาวดี
ที่..
กามนิตวาสิฎฐีได้ไปผุดผลิ..ยามสิ้นชีพในภพหล้า
ผม...หรี่ตามองท้องฟ้า
ที่กำลังเล่นแสงแปรสีแสนสวย
ให้มวลมนุษย์ทั่วหล้า
ต่างพากันรับพลังใจไฟฝัน
เพื่อเติมต่อดวงชีวีชีวัน ไปอีกวันและอีกวัน
ตราบจนกว่า ...
จะไม่มีวัน...ตื่นขึ้นมารับสายแสงสวรรค์อีกต่อไป..!
หยาดน้ำตาผมกำลังรินไหล
ด้วยใจดวงดายเดียว เปลี่ยวเหงา
ราว..
โลกอันยิ่งใหญ่นี้
กำลังพลีสอนสัจจะใจให้ผมค้นพบว่า
แท้แล้วนั้น...
เราก็แค่ธุลีหล้า และ..ช่างมีวันเวลาแสนสั้น
หาก...
แล้วทำไมเล่า ...
เรายังเกิดมาห้ำหั่น ให้ร้าย
หลงทำลายจิตใจกันและกัน
แทน..
จะหันหน้ามาทำความเข้าใจ ให้อภัยเมตตา
และ..
เรียนรู้ค่ารัก
อันจักกว่าจะได้มาต้องใช้วันเวลา
และ..
รอท่ามานานแสนนาน..ราวชั่วกัปป์กาลก็มิปาน
ผม..
ทิ้งถอดใจกับโลกภายนอกแสนนาน...ราวอยู่ลำพัง
จนกระทั่ง..
ได้ยินเสียงปลากระโดดฮุบเหยื่อเหนือสายธารนทีทอง
ไปตามครรลองวิถีแห่งการดำรงอยู่...
และ
ชีวีผม...ก็คงเช่นเฉกกัน
หากตราบใดสายนทียังรี่ไหล
ดวงตะวันในนวลใจ...ยังไม่แตกดับ
ด้วยความตรมตรอมหมองไหม้
ผม...
ก็คงต้องดำรงร่าง
เพียรสร้างความดี ทำหน้าที่พลีแด่ผู้เป็นที่รัก
จนกว่า..
กายและจิตจะแตกดับ...
ลาลับหล้า ไปในวันหนึ่ง
ซึ่ง..
ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน..นาทีไหน...
ผม...พายเรือกลับมา
และ..
กับค่ำคืนนี้
ผมจะจุดเทียนวะวับแวม
สวดมนต์หน้าองค์พระปฎิมา
ด้วยหยาดน้ำตา
ที่..
จะไม่ยอมพ่ายเพียรพลีทำความดี
ตราบชั่วชีวีแบบ*ปิดทองหลังพระ*
แม้น..
ใครจะไม่ซึ้งค่าในน้ำใจไมตรีนั้น
และ
นอนนับดาวเดือนนอกชานเรือน
กับ...
มวลหอมอวลแห่งดงดวงดอกไม้ไทย
ลำดวน ลีลาวดี
และ..
ฟังเสียงสายน้ำที่ระรินร่ำ ไหลฉ่ำเย็นอย่างช้าๆ
กับ..
ใจดวงงามเหว่ว้า..แม้..เงียบงัน
และ..
มาตรแม้น..
จะเป็นสุขสงบอย่างอ้างว้างลำพัง...ก็ตามที....
....................
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5.html
เรือนแพ
เรือน แพ
สุขจริง อิงกระแสธารา
หริ่งระงม ลมพริ้วมา
กล่อมพฤกษา
ดังว่า ดนตรี
หลับอยู่ใน ความรัก
และความชื่น
ชั่ววัน และคืนเช่นนี้
กลิ่นดอกไม้ รัญจวน
ยังอบอวน ยวนยี
สุดที่จะ พรรณา
เรือน แพ
ล่องลอย คอยความรักนานมา
คอยน้ำค้าง กรุณา
หยาดมา จากธารา
แหล่งสวรรค์
วิมานน้อย ลอยริมฝั่ง
ถึงอ้างว้าง เหลือใจรำพัน
หิวหรืออิ่ม ก็ยิ้มพอกัน
ชีวิต กลางน้ำสุขสันต์
โอ้สวรรค์ ใน เรือน แพ.
19 กุมภาพันธ์ 2549 22:35 น.
พุด
สวัสดีครับคุณพุด
คุณเชื่อไหมครับ
กับเพื่อนบางคน
แม้ไม่ต้องเอ่ยเลยซักคำ
เราก็รับรู้หัวใจของกันและกัน
ที่ทางกับเวลาของชีวิต
บางทีก็ไม่เอื้อให้เราได้พูดในสิ่งที่หัวใจของเราปรารถนา
จึงได้แต่เก็บงำไว้ไม่น้อย
ผมเอง
ติดนิสัยเขียน
ผมเขียนความรู้สึกเหล่านั้นออกมา วันแล้ววันเล่า
ทุกวันที่เขียน ก็มีความรู้สึกสุขอยู่ลึกๆ
การได้ทักทายกัน
ทักทายเพื่อน
ดูเหมือนเป็นของขวัญ
จากวันเวลาอย่างหนึ่งในหลายอย่าง
ที่เราได้รับจากการที่เราเกิดขึ้นมาบนโลก
ผมเชื่อว่าคุณพุดเองก็มีความสุขที่ได้เขียน
ใช่ไหมครับ
สุขสันต์วันเกิดนะครับ
จากมิตรของคุณพุด
ก่อพงษ์ 20 ก.พ. 49
.........................
พุดซึ้งใจค่ะ
ทั้งๆลบงานไปคุณก็เข้ามาให้กำลังใจ
ทำให้พุดน้ำตาซึม
เพราะวันเกิดพุดไม่ค่อยมีใครทราบ
ไม่มีดอกไม้และคำอวยพรมากมายจากใครค่ะ
พุด
มีเพียงใจดวงเหงางามเงียบ..ลำพัง
พุด
จึงไม่ทราบจะกล่าวคำใดแทนใจดวงดายเดียวของพุด
นอกจากคำว่าขอบคุณค่ะ
......
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song112.html
หัวใจสลาย
17 กุมภาพันธ์ 2549 18:09 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1965.html
(คู่กรรม)
ฟ้ากำลังหลั่งน้ำตา
เป็นละอองฝนโปรยสายลงมา
ปรายปลอบหล้าแลผองชนคนไทย
ในยามปลายวสันต์....ลา...
และ..
กับค่ำคืนนี้..
ที่เป็นวันสำคัญทางศาสนา
วันมาฆบูชา..วันมาฆมาศ
ที่ดวงจันทราสีทอง รอสาดส่องสายแสงแสนหวาน
ลบรานโศก...หวังเพิ่มสอนสัจจะใจ
ให้กับพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกคน
บนผืนดินแห่งความงามสงบสุข
มาเนิ่นนาน หลายยุคสมัย
ให้..
ยิ่งพบความ..เย็นฉ่ำใส..ราวหยาดสายพระพิรุณ
ที่กำลังพรายพรมลงมา..จากหอมห้วงนภากาศ
คุณ..
คนดีที่*ใบบัว*แสนรักภักดี
โทรมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุภาพ
*ผมจะมารับคุณไปกราบพระประธานหลายวัดนะครับ*
*ในวันแห่งความรักของสองเรา*
*ที่..
คงไม่เหมือนใคร..
แบบคนใจดวงโบราณเสมอเสมือนกัน
ที่คงยึดเอาวันสำคัญทางศาสนา
มาเป็นวันแห่งความรักอันแสนหนักแน่นยิ่งใหญ่
ตามรอยองค์พระบรมศาสดาไป
ในเส้นทางทอง
ที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินไปก่อนหน้านี้แล้ว..
และ..
เพียรฝากอริยสัจจ์สี่
ที่คือสัจจธรรมอันแสนล้ำเลอค่าเอาไว้ให้เรา
ได้นำมาพิจารณา..
ค้นหาเหตุ..หาผลแห่งทุกข์
และ
บอกทางอริยมรรคให้รู้หยุดรู้วาง..ว่าง
ให้พบความกระจ่างสว่างสะอาดสงบ
เพื่อสยบทุกข์เกิเลสตัณหาที่จักพาให้จิตหมองมัวมืดดำ
เธอ...ใบบัว
จึงเตรียมตัวนุ่งผ้าถุงผ้าซิ่นไหมงามแผก
และ..
ใส่เสื้อแพรไพลเปิดไหล่ล้ำ
ให้เห็นนวลเนื้ออันผ่องผุดพรรณรายดั่งทองทา
พันทบผมสวยเป็นเกรียวสูงแล้ว เสียบด้วยปิ่นปัก
อันแสนรักที่เธอเคยได้รับของขวัญนานมา
เขา..
มารับเธอตรงเวลา
เพ่งพิศดูร่างงามอย่างมิวางตาด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลโศก
ที่ราวโลกจะหยุดหมุนได้..หากจ้องใครนานนาน
หาก...ยามนี้
กลับดูราวมีรอยแย้มยิ้มแบบอิ่มเอมเบิกบาน
ชื่นชม..ผสมแกม
เธอเอ่ยถาม..
ฉันแต่งตัวถูกกาลเทศะมั้ยคะ
เพราะ....ว่าวันนี้เราไปวัดกันนี่คะ
เลยคิดว่าคงสุภาพดี..
เขาไม่กล่าวคำใด
นอกจาก..
เอื้อมมือไปเด็ด
ดวงดอกเล็บมือนางหอมหอม
ที่กำลังกางฟ้อนพร่างสวยรวยช่ออรชรราวรออยู่ ณ..ริมรั้ว
มาเสียบแซมผมให้เธออย่างทะนุถนอมเบามือ
ก่อน..
จะกระซิบว่า
คุณก็ทราบ..ผมชอบผู้หญิงนุ่งผ้าถุงไปวัด
เพราะ..ดูงามจรัสกว่าการนุ่งยีนส์เปิดสะดือ
ให้พระหวาดเสียวเป็นไหนๆ
เราคบกันมาตั้งนานสองนานแล้ว
ทำไมคุณยังไม่รู้จักรู้ใจผมอีกล่ะหรือ..คนดี..
แล้ว..
คุณก็งามนัก
ในผ้าถุงแบบพันทบอย่างมีรสนิยม
เป็นการประยุกต์แต่งให้งามในท่ามโลกสมัยใหม่
ได้อย่างลงตัวที่สุดแล้วละครับ..
ว่าแล้ว..
เขาก็ยิ้ม..อย่างอิ่มเอมใจอย่างภาคภูมิใจในตัวเธอ
ก่อน..
ที่จะขับรถไปตามจุดหมายปลายทาง..
..
เขา..แวะวัดแรก...
*วัดเทพธิดารามใกล้วัดราชนัดดา*
พร้อมกับ..
เล่าประวัติความเป็นมาว่า
คำว่า* เทพธิดา หมายถึง กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ *
หรือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองศ์เจ้าวิลาส
พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ ๓
ซึ่งมีพระสิริโฉมงดงาม
ทรงได้รับใช้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของพระราชบิดา
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
ทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์
เพื่อร่วมในการก่อสร้างวัดเทพธิดารามด้วย
วัดเทพธิดารามมีสถาปัตยกรรมเป็นแบบจีน
ในวัดมีตุ๊กตาจีนจำหลักทั้งรูปสัตว์และรูปคน
ที่น่าสนใจ คือ
บางตัวสลักเป็นรูปหญิงไทยไว้ผมปีกแบบโบราณนั่งอุ้มลูก
สุนทรภู่เคยมาจำพรรษาที่นี่ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๘ - ๒๓๘๕
และ..
ได้เขียนบทกลอนเรื่องรำพันพิลาปขึ้น
มีบทพรรณนาลักษณะปูชนียสถานปูชนียวัตถุของวัดอย่างละเอียด
บรรยายถึงความงามของพระอารามไว้
และเรียกว่า "กุฏิสุนทรภู่"
มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงกวีเอกผู้นี้ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน เป็นประจำทุกปี
.............
และ..
หลังจากนั้น..ก็...พาเธอไปที่*วัดสุทัศน์เทพวราราม *
ที่ตั้งอยู่ที่ถนนบำรุงเมือง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มีพระราชประสงค์
จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับ วิหารวัดพนัญเชิง
เป็นศรีสง่าแก่พระนคร
ได้พระราชทานนามไว้ว่า "วัดมหาสุทธาวาส"
แต่สร้างยังมิทันสำเร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสี ยก่อน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงดำเนินงานต่อ
และ
พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม"
สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ
เพราะมี...
*สัตตมหาสถาน*
เป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่อยู่แล้ว
สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่
พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต)
พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากว ิหารหลวง
วัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย
และ..
บานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิลปกรรมชั้นเยี่ยม
ทางด้านการแกะสลัก ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระ หัตถ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ตามมาด้วยไปกราบ
พระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐาน
ณ..ภายในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
และ..
ยังมีพระที่นั่งอื่นๆที่งามนัก
เช่นพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย..พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร
พระที่นั่งทักษิณาภิมุข..พระที่นั่งวสันตพิมาน
พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข..และพระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข
ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
และ..
ในวันนี้ใบบัวโชคดีที่ได้มาน้อมดวงจิตอธิษฐาน
ด้วยใจดวงเบิกบานราว*บัวทิพย์บัวทอง*
ดั่งบัวพ้นน้ำ..ในท่ามม่านน้ำตาซึมซึ้งตื้นตัน
เมื่อยาม..
ใบบัวแหงนเงยดูภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ภาพเขียนพุทธประวัติตอนเทศนา
โปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และภาพเทพชุมนุมที่ยังทรงคงคุณค่า
และ..
พร้อมกับที่เขาคนดีที่เธอแสนรัก
ได้เล่าถึงประวัติความเป็นมา
ของพระพุทธสิหิงค์
ว่า..
เป็นศิลปะสุโขทัย สำริดกะไหล่ทอง สูง 166 ซม
ที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้มาจากลังกา
แล้วนำขึ้นไปถวายพระเจ้ากรุงสุโขทัย
จากนั้น...
ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานหลายเมือง
เช่น กรุงศรีอยุธยา กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่
ใบบัว
อธิษฐานจิตนิ่งพร้อมภาวนาสมาธิ
ด้วยจิตดวงดีดวงใสใจดวงรักเงียบงาม
และ..
ท่ามความปิติล้ำเหลือจนน้ำตาซึม
เมื่อแหงนเงยเห็นพระเนตรแห่งพระพุทธสิหิงศ์
ที่งามมลังเมลืองในบุษบกทองคำงามล้ำค่า
ทอดพระเนตรลงมาราวทรงมีพระเมตตากรุณา
อย่างที่สุดให้กับดวงใจใสพิสุทธิ์
ราวกำลังได้รับหยาดน้ำอมฤต..ธรรม.
และ.
กับวัดสุดท้าย
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า
*วัดพระแก้ว* นั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
พร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗
เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง
ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา
วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก
มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ
เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา
ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง
และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าให้เป็น
ที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
หรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย
มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้
ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว
ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล ..
เพราะ..
เป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก ๕๐ ปี
คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และ
สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ที่ผ่านมา
การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา
มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม
อันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ
ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลปไทย
ไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้
อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป
พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑
เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน
มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก
ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ
มีหลังคาเป็นพาไลคลุม
รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น
พนักระเบียงรับเสานางราย
ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน
ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง
ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง
มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน
*ใบบัว*จึงแสนซึ้ง
สำนึกในความเป็นไทย
ในทุกวัฒนธรรมประเพณี
ผ่าน...
ความงามที่สอนให้เรารู้จัก
รักความปราณีตละเมียดละไม
ที่มาจากใจช่างไทยผู้รักสมถะ
รู้ค่า..
ของคำสอนแห่งพระบรมศาสดา
ที่ทรงกล่าวว่า...
*ความสุขใดจักเกินกว่าความสงบเย็นเป็นไม่มี*
ใช่แล้วสินะ
ที่ไม่ว่างานงามพุทธศิลป์ใด
ก็มักก่อเกิดมาจากความสงบร่มเย็นในทุกภูมิวิถีไทย
และ..
ในทุกความมลังเมลืองละเมียดละไมในฝีมือ
ของวัดวาอาราม
ต้องใช้ใจดวงใสดวงงามดวงรักสมถะพอดีพอเพียงเพียงนั้น
ที่..
ยังคงมั่นในวิถีชีวีอันไม่เร่งร้อนรีบเร่ง
ของช่างโบราณในหลากด้านหลายสาขา
ไม่ว่าจะด้าน
จิตรกรรม ปฎิมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม
และมากวัฒนธรรมประเพณีไทย
ก็ต้องมาจากใจที่เพียรฝึกปรือความชำนาญ
ฝากไว้ให้กับผืนแผ่นดิน
ที่คงต้องใช้ใจดวงใสแก้ว
ที่แพรวพรายฉายฉานดั่งอัญมณีอันแสนงามเย็น
*ใบบัว*
จึงรู้สึกดื่มด่ำแสนปิติใจ
ในทุกครา..
ที่ได้ทอดทัศนาวัดวาอาราม บ้านเรือนไทย
และ..
พระที่นั่งอันแสนงามไสวด้วยประวัติความเป็นมาที่มากล้นค่า
พาให้ย้อนรำลึก
นึกไปถึงความสงบงามในอดีตเนานาน
ที่ผันผ่านลาเลยอย่างยากหวนย้อนคืน....
และ..
สำหรับสัจจธรรมชีวิต
ไม่ว่าเราทุกคนจะสนุกสนานกันสักปานไหน
ในวัยวันหนึ่ง
หากแล้ว..
ไม่นานเราทุกคนก็ราวกลับจะซึ้งคำที่ว่า
ในที่สุดแล้ว
เราก็ต้องพ่ายแพ้ต่อสังขารอันจักร่วงโรยรา
ราวดอกไม้รอท่าปลิดปลิว ไปกับกาลเวลา
อันค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
โดยบางคราเราหารู้ตัวไม่...
เพราะ..
มัวหลงใหลได้ปลื้มดื่มด่ำกับความสนุกสุขสันต์มันส์เมา
จนราวคนเขลาหลงโลกโศกมายา
มารู้ค่าแห่งวันเวลาอีกที
ก็..
เมื่อถึงนาทีเห็นความเจ็บความตายตรงหน้า
หากทว่า...ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ที่จะแผ้วถาง พาจิตวิญญาณให้พบความสว่างใส
ให้จิตไสวได้ทันสะสม*เสบียงบุญ*กันเอาไว้
ใบบัว..
แวะหยิบลั่นทมริมทาง
ที่ดอกยังสดสะอ้านนวลกลีบยังงามงด
ราวสาวสวยยังสดโสภา
แห่งทว่ามิอาจเอาชนะชะตากรรมได้
เมื่อถึงเวลาย่อมร่วงปลิดปลิวลงมา
เช่นเฉกเดียวกับดวงดอกลั่นทมดอกนี้..
และ..
บางทีอาจจะ
ก่อนถึงกาลเวลาอันควร
ราวกับมากมายล้วนหมู่มนุษย์ในวัยหนุ่มสาว
ที่มิอาจผัดเพี้ยนพญามัจจุราชได้
และ..
กับนาทีนี้..
ที่ใบบัวได้รับทราบข่าวว่า
คุณกนกพงศ์ สงสมพันธ์ ได้พรากลาวงวรรณกรรม
ไปอีกหนึ่ง
ทั้งๆ...
ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น
ก็ยิ่งทำให้ได้บ่มร่ำถึงคำว่ามรณานุสติ
ที่คือความแน่นอน ...ยิ่งกว่าแน่นอน
ใบบัว..
ค่อยๆคลี่ปอยผมที่พันทบคลายร้อนออกอย่างช้าๆ
ก่อน..
ที่เขาจะทัดดอกลั่นทมให้
และ..
ด้วยใจดวงเหว่ว้าพอกัน
ที่จิตมองเห็น..
*ครรลองลาของสัจจะธรรม...พรากจาก*
ทุกธรรมชาติ
ที่รายล้อมสอนใจให้รู้รักเงียบงาม
ใบบัวและเขา..นั่งนิ่งนิ่ง
พิงเก้าอี้ริมสวนสาธารณะ
ที่มีฝูงนกพิราบบินลงมามากมาย
ผู้คนทั้งไทยเทศราวฝูงมดปลวก
ต่างพากัน
มาสัมผัสความงามในสถาปัตยกรรมอันแสนทรงคุณค่า
ที่แสนมหัศจรรย์นัก...
..........................
ค่ำแล้ว...
พร้อม..
เสียงสวดมนต์ดังก้องรอบลานโบสถ์
เขากับใบบัวประคองอัจกลับโคมแก้ว
ที่แวววามพร่างพร้อยด้วยแสงเทียน
และ..
ร้อยรัดพันทบด้วยมาลัยพวงหอมกรุ่น
กับ..
ละมุนด้วยบัวดอกสวยในมืองาม
ที่ใบบัวเลือกพับกลีบ
อย่างแสนประณีตละเมียดละไมบรรจง
ด้วยใจดวงศรัทธาปสาทะ ในวันสำคัญแห่งศาสนานี้
และ..
หันมาแย้มยิ้มยินดีปรีย์เปรมในปิติเกษมบุญกันและกัน...
......................
ฝนโปรยสายหนักขึ้น
ขณะเขาฝ่าฟันการจราจร*กลับบ้าน*
เขาเปิดเพลงซึ้งซึ้งคลอสายฝนที่กำลังพร่างพรม
จนแทบมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า
ฟ้าราวกำลังร่ำไห้
และ..
ในท่ามดาวเดือนที่มืดมนไร้สิ้นแสงในเงาฝนคืนฝัน
วันสิ้นไร้พระจันทร์..
พลัน..!!!!
เสียงดังสนั่น..อย่างกับฟ้าคำรามตามมา..!!!
พร้อมกับรถที่เขาขับ..แล่นถลาออกนอกเส้นทาง
อย่างควบคุมไม่ได้..!!!
เขา..ร้องบอกกับเธอด้วยสติที่ยังพอมี
ให้หลบลง .!!!!!!ราวรู้ว่ารถกำลังถูกชนอย่างรุนแรง..!!!
ก่อน..
นาทีแห่งความเป็นความตายจะหมายรอณ..ตรงหน้า..!!!
กับ..
ฟ้าที่มิหยุดสุดสิ้นกำสรวลหวนไห้..คล้ายดั่งหยาดน้ำตา
ใบบัวเซซวนด้วยแรงปะทะ กัมปนาท..!!!
ศีรษะราวถูกฟาดด้วยบางสิ่งแสนหนักอึ้ง
หาก..
ยังพอมีสติ...รู้สึกตัว....
...................
...........................
เธอ...เพียรควานไขว่คว้าไปในม่านฝนสลัว
ด้วยหยาดเลือดเต็มนัยน์ตา...
และ...
ได้ยินเสียงเพรียกหาเธออยู่ใกล้ๆ....
ใช่แล้ว ..!!!
เขาคนดี ที่เธอแสนรัก
ที่เพิ่งได้พักพิงไออุ่นอวลอกอ่อนหวาน
เพิ่งผ่านนาทีอันแสนงามแสนดีมาด้วยกัน
อยู่ตรงนี้เองใต้ซากรถนี้เอง
เธอ..ได้กลิ่นน้ำมัน
ปนไปกับกลิ่นเลือดที่กำลังหยาดรินอย่างมิสิ้นสาย..!!!
หาก..
ด้วยพลังแห่งรักที่มี
เธอ..
ค่อยๆเพียรพยายามดึงร่างเขาคนดี
ที่เธอแสนรักออกมาจนได้...
.................
...........................
แล้ว.....
ค่อยๆ...
วางศรีษะเขาไว้ในอ้อมตัก
พร้อม..
ร่างที่เริ่มหนาวเหน็บ..
ก่อน...
จะลูบไล้ใบหน้าอย่างแสนรัก
พร้อมจุมพิต...แนบแน่นริมแก้มเย็น
กระซิบ...
บอกเขาริมหูพอได้ยิน..
*จิตจับไว้ที่ดอกบัวทิพย์นะ..คนดีนะดวงใจ
ที่ๆ..
เราจะไปผุดผลิพบกัน..
ณ ...แดนขวัญสวรรค์สรวง
อย่าห่วงสิ่งใดเลยนะยอดรัก
หลับให้สบายนะที่รัก..นับจากนี้ไป..ตราบจนชั่วนิจนิรันดร์...
.........................................
.........................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1965.html
คู่กรรม..
ช...ดังนรกชัง ฤาสวรรค์แกล้ง
แกล้งทรมาน ให้ฉันได้เจอ
ญ...เกลียดชิงชัง สุดท้ายรักเธอ
แต่พอเผลอ พรากเธอดับสูญ
ช...เวรกรรมหรือไร แต่ปางไหนนั่น
ญ...สุขเพียงชั่ววัน แต่ช้ำทวีคูณ
ช...ให้ห่างไกล สุดฟ้าอาดูร
ญ...สูญสิ้นเธอ ตลอดกาล
ญ...อธิษฐานจิตใจหากเกิดชาติไหน
ช...ฐานันดรใดใด ทุกสถาน
ช-ญ...ดลให้เรา ได้พบเจอเป็นคู่กัน
วอนสวรรค์ ได้ไหม
ช...วิญญาณฉันรอ ที่ทางช้างเผือก
เลือกเธอรักเธอ ได้ร้างลาไกล
ญ...ดั่งหิ่งห้อย เฝ้าคอยจนชีพวาย
ใต้ลำพู รอคู่กรรม
ญ...อธิษฐานจิตใจหากเกิดชาติไหน
ช...ฐานันดรใดใด ทุกสถาน
ช-ญ...ดลให้เรา ได้พบเจอเป็นคู่กัน
วอนสวรรค์ ได้ไหม
ช....วิญญาณฉันรอ ที่ทางช้างเผือก
เลือกเธอรักเธอ ได้ร้างลาไกล
ญ...ดั่งหิ่งห้อย เฝ้าคอยจนชีพวาย
ใต้ลำพู รอคู่กรรม...
12 กุมภาพันธ์ 2549 22:24 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3408.html
(ความรักไม่มีวันละลาย)
ไรแสงแสนหวานแห่งอรุณแรก
แทรกใบไม้พร่างระยิบ
มา..
พรายพริบโลมไล้ร่างดายเดียว
ให้..
พลันตื่นมาฟังเสียงแสนสดชื่นระรื่นร่ำ
แห่งส่ำสรรพสัตว์ถึงเตียงนอนนวลนุ่ม
ที่มาพร้อมกับอวลอุ่นแห่งสายลมยามเช้า
มาเคลียเคล้าดวงใจ
ดั่งดนตรีไพรทิพยสวรรค์ประทาน
ม่านฟ้า...เริ่มคลี่
ราว..
ม่านเวทีละครโลกย์โศกสุข
แห่งมวลมนุษย์พร้อมคลี่เผยตาม
ให้..
ทุกดวงใจ..
ได้รับแสงใสงามแห่งดวงตะวัน
พลี...หวังหวาน
ดั่ง..
ได้เติมไฟฝันพลังใจ
ให้...พลันตื่นชื่นบานอีกครา
และ..
อีกครา...
ได้ลุกขึ้นมาหยัดยืนสู้โลก ไปอีกวัน และอีกวัน
ตราบจนกว่า..ลมหายใจแสนสั้น..จะสิ้น!
เธอ..
นอนนิ่งนึกนับ
ณ..วันนี้แล้วสินะ
วันมาฆมาศ วันสำคัญทางศาสนา
ที่..
ทุกดวงใจพุทธศาสนิกชน
ถือว่าคือวันแห่งความรัก
อันแสนหนักแน่นยิ่งใหญ่
ที่..
*องค์พระบรมศาสดา*
ได้แผ้วถางทางบุญการุณย์ธรรมไว้
ให้..
เหล่าผองชนคนในชมพูทวีป
ได้เดินตามรอยบาท..อย่าคลาดคลา
อย่าให้เสียเวลาเสียชาติเกิด..!
วันที่...
พระจันทร์..วันมาฆมาศ..บานเต็มดวง
เหลืองทอง สุกปลั่ง
ค่อยๆ..
ลอยเรี่ยทายทักฟ้างาม
ในยามค่ำ อย่างอ่อนโยน นุ่มนวล.....
แสงจันทร์งามละออ หวานปานสายน้ำผึ้ง
ราว..
จะหยาดลงมาประโลมใจทุกๆคนบนผืนโลก
ให้เยือกเย็น งดงาม หวานฉ่ำพอกันกับจันทร์เจ้า....
แสงเทียน ในมือ เสียงธรรม
ก้องสองหู จากเสียงสวดของพระสงฆ์...
ขณะ ก้าวเดินอย่างช้าๆ.... ไปรอบโบสถ์งาม.....
ตามกันไป ในเส้นทาง
ของพระพุทธองค์ ผู้ทรงนำทาง ก่อนหน้า
พาใจให้บานเบิก
ราว
บัวชูช่อรอรับ แสง อรุณรุ่ง...
แห่งชีวิตนี้ที่ค่อยๆสว่างไสว...
ไป..
กับตะวันเปล่งแสงเจิดจ้า
จนกว่ายามสนธยา จะมาเยือน....และ
จนกว่า..
แสงแห่งชีวีนี้
ที่จะเลือนหาย ไปกับสายลม ในยามค่ำ
กลิ่นพิกุล หอมเศร้า
เคล้าแสงเทียน วับแวม
พิกุลร่วงพรูพราว รอคนรู้ค่า
นำมาร้อยเป็นมาลัยหอมงาม ไว้ดอมดมชมชื่นใจ
ประเพณีไทย ประเพณีงาม
ในยามค่ำนี้
วันแสนดีของพุทธศาสนิกชน
วันเพ็ญเดือนสาม
ที่..
พระอรหันต์เอหิภิกขุ
จำนวนหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป
มารวมกันที่เวฬุวนาราม
อย่างพร้อมเพรียงกัน
โดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน
และ..
พระพุทธองค์
ได้ทรงแสดงธรรมโอวาทปาฎิโมกข์
เรียกว่าจาตุรงคสันนิบาต
ให้พุทธศาสนิกชน
ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่าย
ในวัฏสงสาร ยาวนาน มิรู้สิ้น
เช้า..ตักบาตร ฟังธรรม
น้อมนำใจ ให้ใสเย็น
ตั้งจิตอธิษฐาน กราบกราน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ให้ได้..
พบแสงธรรมนำทางทุกๆชาติไป
ถ้ายังไม่หลุดพ้น ต้องเวียนวนมาเกิดชดใช้กรรม
ค่ำ..เวียนเทียน
นำดอกไม้ ธูปเทียน
เป็นมาลัยแทนใจ
แทนความดี ที่ศรัทธา น้อมบูชา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
ผู้นำทาง สว่างไสว มาสู่ใจนี้ ที่ยังไม่มืดบอด..
อธิษฐานเพิ่ม เติมต่อ
ขอให้สุขภาพดี มีคนดี
ที่มีใจรักมั่นคง มาเคียงครอง คุ้มผองภัย
หวังสิ่งใด ก็ขอให้สมหวัง ถ้าเป็นสิ่งดี ที่คิดปอง
กลับบ้าน
มานอนดูพระจันทร์
ด้วยฝันเห่กล่อม
ใน..
อ้อมแขนของดาวเดือนเพื่อนผู้รู้ใจ ให้ไม่ว้าเหว่....
นอนฟังเสียงลม
เสียงจิ้งหรีดเรไร..ในความงามเงียบ
แกล้มกลิ่นหวานเศร้า หอมร่ำรวยริน กลิ่นดอกลั่นทม
จันทร์ดวงงาม ใจดวงดี
ไม่มีอะไรสุขเท่า
ขอเพียงคิดเป็น
ให้ธรรมชาติร่มเย็น หยิบยื่น
ขุมทรัพย์ล้ำค่ามาสู่สายใจ
ในทุกวันเวลา ถ้าเพียงรู้คำว่า..เปิดใจ..
ฝากสายลมยามค่ำ ไปกอดเธอ
ฝากมวลหมู่ดาว พราวพร่างฟ้า
ยามราตรีนี้
กระซิบบอกว่า.....
อย่าร้องไห้นะทุกคนดี ที่คิดถึงฉัน
ฝากแสงจันทร์ โลมไล้ ดวงใจให้ไม่สิ้นหวัง
โลกและคืนวัน แสนดี ยังมีอีกยาวนานนัก..
และ
ทุกสิ่งจัก..แพ้พ่ายใจ ดวงดีที่มั่นคง
ไม่ว่าจะรอนานสักเท่าใด
ขอเพียงอย่าหวั่นไหว ในรักนิรันดร์นี้แห่งสองเรา ..
..............
และ...สำหรับ..
เธอ...ศศิมาฆะ..
กำลังเตรียมตัวเดินทาง
ข้ามไปสู่ฝั่งฝันพะงันงาม
แดนดินที่เธอได้ยินมาว่า
มี..
สำนักวิปัสสนา
ที่คนที่มีดวงตาเห็นธรรมพากันหลั่งไหล
มามิขาดสาย
แทนที่จะพาร่างว่ายวน
เพื่อข้ามทะเลโลกย์
อันแสนโศกวน
มาเพียงเลาะเลียบอยู่ริมชายฝั่ง
อัน..
เต็มไปด้วยผู้คนนานา
สารพันไฟกิเลสตัณหาพาแผดเผาให้เร่าร้อน
ราวกับ..
ไส้เดือนกิ้งกือถูกน้ำร้อน
พากันเต้นรำรับขวัญวันพระจันทร์หวาน
กันอย่างหามรุ่งหามค่ำ
ให้..
จันทร์..เจ้า
อยากหยุดหยาดสายหวาน
และหันมาฝากรานโศก
อยากร้องไห้ไปกับโลกแห่งเวทนาแทน..
เมื่อ..
เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
*ของเหล่าภมรดอกไม้..บัวใต้น้ำ*
ที่
ยังมากมีมายมายนัก..
ยังมองไม่เห็นหนทางชีวี
หนทางที่จะหนีวังวนแห่งบ่วงวิบาก
ยอมพรากจากรัก
อันจักหายาวยืนไม่
ในที่สุด..
ทุกมนุษย์ก็ต้องเดินก้าวเข้าสู่เชิงตะกอน
ไปนอนร้อนร่าง ไร้รับรู้กันทุกหมู่คน
ทั้งจนรวยเสมอเสมือนกันอย่างยากจะหนีพ้น...
เธอ...
จัดข้าวของใส่กระเป๋าใบย่อม
ที่ไร้เครื่องประทินผิว อาภรณ์ให้งามใด
เธอ..
ที่มีเพียงใจดวงใสใส ดวงกระจ่างสว่างวาบ
ที่กำลังใช้บทเรียนแห่งสัจจธรรมมรณานุสติ
มาเป็นทางฉลาดเลือกหนทาง..
สู่..
ทางสายธรรม อันแสนสว่างสงบ..สยบทุกข์สุข
หยุดว่ายวนพ้นเพียรพาร่างให้ห่างไกลวิบาก
ฝ่าขวากหนามแห่งความทรมาน
เพื่อ..
ได้เดินตามรอยพระพุทธองค์
มิหลงทาง แม้อาจจะต้องใช้ระยะเวลา
แสนยาวนานแสนห่างไกลอีกสักหลายสิบชาติ
เธอ..
ก็มีสติปัญญาฉลาดพอ
ที่จะไม่ขอพลาดอีกแล้ว...
เพราะ..
จิตดั่งแว่วคำว่า ชีวิตนี้ช่างแสนสั้นนัก...
...........
เขา...
เจ้าของรีสอร์ทรูปงามนามเพราะ
ที่เพียรอยากต่อเติมเพิ่มไมตรีกับเธอ
หาก..
ทว่าเธอมิได้หลงละเมอให้เขาเข้าใจผิด
นอกจาก..
เพียงเผยจิตให้เขาทราบ
ถึงความว่างวางในทางโลกโลกีย์
และ..
หวังจักพาร่างนี้..
ไปพบทางสายกระจ่าง
ห่างไกลโช่ตรวนบ่วงพันธนารัก
เขา...
ยังอุตส่าห์ใจดี
ไม่ลืมสัญญาที่ว่าจะพาเธอข้ามไปยังฝั่งฝัน
ที่..
เธอหวังสักวัน..
เขาเอง..
ก็อาจหยุดเพลิน
เดินตามรอยตามใครใคร
ไปในกระแสหนทางแห่งกิเลสโลก
หยุด..
โศก..ทิ้งทั้งทุกข์สุขทุกรัก
อันแสนหนักหนาราวศิลา...
มาเดินในเส้นทางทองเช่นกันกับเธอ
อย่าง..
ที่มิยอมให้ชีวี*ใกล้เกลือกินด่าง*
อย่างชาวต่างชาติและคนไทย
ที่..
มาหลงบ่วงใจ
มิพ้นพันธนาวิบากกรรมอยู่แถวริมชายฝั่ง
สนุกกันทั้งวันทั้งคืนแบบเมาดื่มหัวราน้ำ
อย่างขาดสติสิ้นสตังค์..
จนจะหลงเหลือ
คนที่รู้ตื่นรู้เบิกบาน
พากันมาปีนเขา
สู่หนทางสวรรค์*สำนักวัดเขาถ้ำ*
ก็เพียงแค่หยิบมือเดียว
ที่..
มิอยากหลงข้องเกี่ยวสิ่งทุกข์ใด
ให้ใจเร่าร้อน
ดั่งไฟฟอนแผดเผาอีกต่อไป
ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด
เลิกหลงมายาฝันมายาโลก
ที่จะรับเพียงโศกใจ
หากมิรู้วาง..
ไร้สุขจีรัง..ไปอีกนานแสนนาน
และถึงมาตรแม้น
ต้องฝ่าหนทางขวากหนาม
ยามเพียรภาวนาอย่างแสนทรมาน
ให้..
พ้นผ่านทุกข์ด้วยวิธีรู้หยุดรู้วาง
เลือกทางสายกลาง
รักษาศีล..ภาวนาสมาธิ
หาวิธีพบปัญญา โดยผ่านการวิปัสนากรรมฐาน
ให้..
จิตพ้นม่านกรรม ม่านเปลือกกิเลสอันมัดหนา
ที่มาบังจิตบังใจ
พร้อมทุ่มเททั้งร่างใจ..
และแล้ว....หากมีบุญญา
เคยสานแผ้วทางธรรมมาก่อนในขันธสันดาน
ก็จะได้พบว่า...
มีดวงแก้วแววมณี
ที่พร่างไสวอยู่ณ..กลางจิตใสกลางใจเราเอง
รอ..
เพียงส่องนำทางให้พบความกระจ่างแจ้ง
ไปพบบาน ประตูพระนิพพาน..ที่เปิดแง้มรอ
อย่ามัวคิดท้อยอมแพ้พ่ายเลิกรา
แม้น..
บานประตูนั้น อาจจะยังมองเห็นว่า
แสนไกลลิบ..
ให้ยังคงตั้งจิตมั่น ตั้งสัตยาธิษฐาน
พาดวงวิญญาณบานตระการชูช่อ
รอสายทองแสงธรรมดั่งบัวพ้นน้ำ..เช่นฉะนั้น..
...................
เธอ..
จึงมานั่งดายเดียวเดียวดายในเรือ
ลำที่มีนายท้ายเป็นชายหนุ่มรูปงามผิวคล้ามแดด
เจ้าของรีสอร์ทไพรบุรี
ที่แสนใจดีมีเมตตาสู้อุตส่าห์พาเธอข้ามฝั่งมา
ให้....
พบพรายแสงพระอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้า
กับเรือเร็วที่กำลังวิ่งฝ่าทะเลแสนสงบงาม
*ทะเลสีทอง*
ที่กำลังงามผ่องผุดระยิบระยับราวอาบด้วยเกล็ดเพชร
เธอซ่อนหยาดน้ำตา
ด้วยการแหงนเงยหน้ามองฟ้า
สีหวานราวเรียวรุ้ง
หวัง..หมายมุ่งให้พลังนิมิตแห่งธรรมชาติ
ที่แสนพิลาสพิไล
ได้โอบเอื้อดวงใจให้หนาวคลาย
บทเพลงคู่กรรม
ดั่งคำมั่นสัญญา
หวานแว่วลอยลมมากับลมทะเล
ราว..
กับใครบางคนที่พรากลาไปไม่มีวันกลับ
กำลังขับครวญผสมฝากมาด้วยลมหายใจแห่งรัก
ให้ย้อนรำลึกคิดถึงวันคืน..
ที่ผันผ่านมาราวเพิ่งเกิดตรงหน้านาทีนี้..
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3408.html
ช...ดั่งขอบฟ้าไร้แสงตะวัน
หากใจฉันไม่มีรักของเธอ
ญ...ตั้งแต่วันแรกเจอ
ก็มีเงาร่างเธออยู่ในใจ
ช..หนึ่งชีวิตให้เธอผู้เดียว
จะไม่เหลียวไม่แลผู้ใด
ญ..หนึ่งความรักให้ไป
จะเนิ่นนานเท่าไรยังซื่อตรง
คู่...ตราบอาทิตย์
และดาวที่พร่างพราย
คู่...เลือนหรี่ดับลับไปจนมืดลง
ญ...แต่สายใยแห่งรักจะมั่นคง
กว่าลมหายใจที่เรามี
ช..หากวันไหนสองเราจากกัน
อย่าหวั่นไหวเพราะใจเธอรู้ดี
ญ..กี่แสนวันหมื่นปี
ความรักเราไม่มีวันละลาย
คู่..ตราบอาทิตย์
และดาวที่พร่างพราย
คู่..เลือนหรี่ดับลับไปจนมืดลง
ญแต่สายใยแห่งรักจะมั่นคง
กว่าลมหายใจที่เรามี
ช..หากวันไหนสองเราจากกัน
อย่าหวั่นไหวเพราะใจเธอรู้ดี
ญ...กี่แสนวันหมื่นปี
ความรักเราไม่มีวันละลาย
...............
เสียงกระซิบแสนเศร้า
ราวดังมาจากราวฟ้าแสนสวย
*พี่จะรอเรานะคนดี
พี่จะสร้างกระท่อมไพรไว้ให้รจนาภาษาฝัน
ให้มีแรงบันดาลใจบรรเจิดจิต
และ..
วันหนึ่ง..พี่สัญญา
พี่จะมารับคนดี
ไปเป็นเทพีไพรประจำใจพี่นะ
พี่...
หวังจะพายเรือพาเราไปนั่งเป็นแม่ย่านาง
ท่ามกลางบึงบัวในท่ามฟ้าสลัวโพล้เพล้
แล้ว..
คอยกล่อมเห่ไปกับฟ้างาม
เราจะอาบน้ำด้วยกันในบึงรักบึงฝัน
ใน..
ท่ามคืนฝันวันพระจันทร์หวาน
ที่จักมาแย้มเยือนทายทัก
มาหยาดสายน้ำผึ้งภักดิ์
มา..
พลีโอบรัดร้อยเราไว้
ด้วยสายสร้อยโซ่พิสวาทมิคลาดคลา
ให้ฟ้าดินเมตตาได้รู้เห็นเป็นใจ
ให้..
เธอคนดีที่พี่สุดแสนรัก
ได้เด็ดบัวงามดอกไสว
ในท่ามบึงไปถวายพระในยามค่ำ
แล้ว..
เราสองจะน้อมนำจิตดวงใส..พลีเพียรภาวนา
ให้
ทวยเทพเทวาฟ้าประทานพร
ให้รักเราดั่งรักตราบชั่วนิจนิรันดร
ดั่งคู่ทองคู่ธรรม
ไปจนตราบวันตาย....
และ..
ต่างพากันเกี่ยวก้อยลอยล่อง
ท่องไปสู่แดนดินแห่งความว่าง
อันแสนกระจ่างแจ่ม... ที่หมายรอ
และ..
พี่จำได้นะครับว่า * ศศิรักตะวันตกดิน*
รักดาวสวย รักมวลดอกไม้ไทยอรชร
รักแสงทองยามจับรวงเรียว
เมื่อ..
เราเคย..เกี่ยวก้อยกันเข้าไป
*ในหุบเขาฝนโปรยไพร*
และ..
ไปพบภาพฝัน*มหัศจรรย์ใจ
*ราวฉากในทิพย์สวรรค์*
ที่งามสะพรั่งราวผืนพรมแพรในไสวพร่างพราย
ฉายฉาน
ราว..
จิตรกรธรรมชาติได้มาสาดสีทองฉาบไล้ไว้..
คนดี..
สักวันนะครับ
เราคงได้อยู่ในอ้อมใจกันและกัน
ที่พี่คงแสนมีความสุข
ได้โอบกอดร่างน้องน้อยแนบแน่น
ในนาทีแสนงามนี้...
พี่..
จะชี้ชวนให้เราดูสิ่งที่แสนสวยงามที่สุด
ให้ฟ้าดินอินทร์พรหมยมพญาที่นี่
เป็นพยานรักแห่งสองเรา
ดั่ง..
เพลงคำมั่นสัญญา.
ที่พี่จะครวญสั่งฟ้าฝากนวลหอมๆแห่งศศิไว้นะครับ*
และ...
คนดี..อย่าร่ำไห้..
ตราบใด...
ที่พี่ยังมีลมหายใจ
ในจิตวิญญาณพี่จะไม่มีวันลืม
ใน..
ทุกหอมห้วงแห่งช่วงความทรงจำที่แสนดี
แสนงามงดนี้..ไปตราบชั่วกาล
จำไว้นะคนดี..ดวงใจ..
ทุกรอยเชยรอยชม
ที่พี่ฝากไว้บนแก้มกาย
คือรอยรักอันจักมิมีวันเสื่อมสลาย
ตราบชีพพี่วาย
ขอเพียงให้รู้ถนอมขวัญถนอมนวล
นะยามเราไกลกัน ...
.................................
นั่นคือ..
ความทรงจำ..
ที่เธอตราไว้ในรอยใจมิมีวันลบเลือน
และ....
กับนาทีนี้..
ที่ใกล้ถึงฝั่งฝันตรงหน้า
แผ่นดินที่เธอรำพึงรำพัน
อยากมาฝากฝังร่างและจิตวิญญาณเพียรภาวนา
ให้ผ่านภพเพียรพ้น...ทุกข์....ในทุกรัก..
น้ำตาเธอ..
จึงล้นหลากอยู่ภายในบึ้งใจเพียงลำพัง
อย่างมิอายฟ้าดิน กับรอยอาลัยถวิล
ที่แสนงดงาม..ในทุกกาลเวลา..
กับ..
เกรียวเมฆที่เล่นแสงแปรสีเป็นรัศมีรุ้ง
ให้นภานทีงามจรัสเรืองดั่งทองทาบทา
ที่..
ช่างแสนอ่อนหวานอ่อนโยนอาบเอิบอิ่มซึ้งค่านัก
ในกมลนวลดวงนิดน้อยนี้
*ของลูกผู้หญิงคนดีที่ชื่อศศิมาฆะ*
กับ..
ใจดวงที่แสนบอบบางว้าเหว่
ที่..
ช่างแสนรักดินเดิมดายเดียวนัก
และ..
รักแสนรัก ในทุกยาม
ที่ได้นอนเหยียดยาวเหนือเนินผา
ใต้ร่มไม้ชายนาใต้ตาลเดี่ยวไหว
ฟังบทเพลงจากเรียวรวง
ราวกำลังคร่ำครวญ..
เสียงกระซิบจากฟากฟ้า
นานเท่าไรแล้ว
ที่ความหลังผันผ่านมา...
นับจากคำลา
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ฝากไว้แด่..ดวงใจ
ใน..
วันหนึ่งที่เธอแสนยังตราตรึงใจ
ในเมื่อ..
เขาคือ..สุภาพบุรุษไพรผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง
ที่จะรักภักดีมั่นคงทุกธุลีดิน
อันคือ..
สิ่งแสนหวงแหนของคนในชาติ
ที่จักได้สืบทอดฝากต่อไป
ยังลูกหลานเหลนโหลนในภายหน้า
เพื่อทำความดี...
ให้ดวงชีวีราวคืออัญมณีแห่งผืนดิน
*หนึ่งในหกสิบล้านดวง*
เพื่อ..
ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
ที่ทรงเป็นดั่งฉัตรแก้วแห่งปวงชนชาวไทย
กางกั้น..
ให้พบเพียงความร่มเย็นเป็นสุขไปทุกหย่อมหญ้า
และ..
อย่างที่ทรงให้สัจจาธิษฐานไว้
*เราจะครองแผ่นดินนี้โดยธรรม*
ที่..
นับมาถึงวันนี้แล้ว..
ทุกดวงใจไทยทุกชนชั้น ข้าในแผ่นดิน
แสนซาบซึ้งประจักษ์ในน้ำพระราชหฤทัย
อัน..
แสนใสเย็นราวสายธารแสนเกษม..
เสียยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้า
ให้ทั้งทั่วฟ้าดินอินทร์พรหม..
ได้พลีบูชาสรรเสริญ..
จนเกินกว่า..
จะหาค่าคำใดมาเทิดทูนศรัทธา
ในพลังพระบรมเดชานุภาพ..
ที่...
แผ่รัศมีเมตตาไพศาล ปกบ้านป้องเมือง
ให้แสนมั่นคงรุ่งเรือง ในท่ามโลกแล้งไร้
ที่..
มากมายดีร้าย..
เต็มไปด้วยปัญหาความขัดแย้ง
ที่แรงร้อนด้วยความไม่รู้ธรรม ไม่รักธรรม ธรรมชาติ
ไม่เพียรใช้ชีวิต..
และ..
ลมหายใจอันแสนนิดน้อยหนึ่งนี้
พลีเพียงต่อสู้ความอดอยาก
และพลีปันแบ่งแด่ผู้ทุกข์ทนยาก
อย่าง..
เพื่อนผู้มากเมตตาอย่างกรุณาปราณีกัน
อย่างยุติธรรม..
แล้ว..
หันหน้ามาปรองดองสานสมานฉันท์สามัคคี
ดั่งน้องพี่
ผู้คือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหมดทั้งสิ้นทั้งโลก
และ..
ช่างแสนน่าโศกสะเทือนนัก
หากยังไม่รู้จักคุณแผ่นดิน*ที่ให้ข้าวให้น้ำ*
ไม่..รู้ค่าว่าโชคดีนักหนาแล้ว...
และ..
สำหรับชีวิต
เธอ...ที่เกิดมาดั่งธุลีหล้าใต้ฟ้าทองฟ้าไทย
ใต้ร่มบุญญาศาสนาแก้วแววประภัสส์
จึง..ยินดีนัก
ที่..
อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เธอ..จะได้พบกับ
*แดนดินแห่งความฝันนิรันดร์รัก นิรันดร์ภักดิ์*
เพื่อ..
ใช้ชีวิตในร่มรัตน์อันแสนเย็นราวเพ็ญผ่อง
ให้ส่องนำทางใจไปตราบกาล
และ...
เธอเพียงหวังวอนเพียรพลีทำ
ให้..
ดวงจิตรักรอยธรรม รอยทอง
เดินไปตามครรลองแห่งความดีงาม
อย่างถูกต้องถูกทาง......
ไปตามเบื้องพระยุคลบาทและพระบรมศาสดา
ที่...เป็นดั่งร่มฉัตรเพชร
ยอดพลังศรัทธาแห่งฟ้าดินสิ้นแล้ว...
...............
และ..
เพราะเธอ..เคยอ่านผ่านตา
ที่มีนักอยากเขียน..เพียรฝันค้างนาม*พุดพัดชา*
ได้ร่างรจนา..
เกี่ยวกับสถานที่นี่ไว้ในหลากเรื่องราว
เธอ..
จึงพลีจิตพลีร่างใจ
มาแสวงหาบุญอันแสนยิ่งใหญ่
และ..
ในที่สุด..
เธอก็ได้พบเห็นสถานที่นี้แล้วตรงหน้า
ที่ตั้งอยู่บนเนินผาราวลอยเลื่อนมาจากสวรรค์สรรเสก
ที่..
เธอ..เห็นชาวต่างชาติมากมาย
มาปลีกวิเวกนั่งสมาธิถาวนา
และ
ท่ามทะเลโลกย์เหว่ว้า
ที่ผู้คนราวหมู่มวลแมลงเม่า
บินเข้าสู่ทะเลไฟ ทะเลใจที่แสนเร่าร้อน
ด้วย..
พิษรักบ่วงพันธนาอย่างมากมายที่ต่างดาหน้า
กันมาแสวงหาสุขเพียงภายนอก..ไปวันๆ
...............
กับฟ้าใกล้ค่ำ
เสียงระฆังหวานเว่วจากวัดเขาถ้ำ....
ที่ตั้งบนชะง่อนผาสูง....
ที่มี..
ทัศนียภาพรายรอบที่แลเห็น...
จากลานหินกว้าง..
ที่ข้างล่างคือถ้ำ จะมีทางเล็กๆ เลาะลัดเลียบทอดลงไป..
แลไกลออกไป คือโลกสีคราม กว้าง ไกลสุดตา
เวิ้งทะเล สีน้ำเงิน เขียวมรกต..
และ..
โทนสีทะเล
ที่ค่อยๆไล่สีอ่อนจางลงมาตามลำดับ
แทรกด้วยฟองคลื่นสีขาว เป็นระลอกงาม
เรือเร็วลำน้อย
ค่อยๆวิ่งฝ่ากระแสชล
แตกฟองขาวนวลตรงมายังอ่าวท่าเทียบเรือ
ตรงหน้า..
จะมี
เกาะสมุยชิดใกล้ขนาบด้วย เกาะแตนอก แตใน
ราวกับจะห่วงว่าเกาะพะงัน จะเหว่ว้า
แลลงไปเบื้องล่าง
จะมองเห็น...
ทิวมะพร้าวสลับซับซ้อนเป็นหมื่นหมื่นต้น
บ้านเรือนซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ เงียบสงบ
มี..
ก็แต่ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง ขับฟ้างามอย่างช้าๆ
บนหน้าผาชะโงกง้ำ ลอยเลื่อน ราวทายทักเมฆ
จะมีหอระฆัง และพระพุทธรูป
ให้กราบไหว้ อธิษฐานจิต
มี..
ลั่นทมขาวออกดอกพราวไปทั้งต้นบนชะง่อนผางาม
ส่งกลิ่นหวานเศร้า อบร่ำให้ใจ นิ่ง..เยือกเย็น ล้ำลึก
อวลมากับสายลมเย็น
กับบรรยากาศ
เงีบบงาม..ที่รายล้อม...
....................
ร่างๆหนึ่งในชุดขาว
นั่งนิ่งเงียบในท่าสมาธิภาวนาเหนือชะง่อนผา
ที่ลอยยสูงลิบแทบเคลียทิวทิพย์เมฆ
ราวกับโลกนี้มีเธอเพียงลำพัง...
กับ..
จิตตั้งมั่นในลมหายใจเข้าออก..
และ..
นั่นคือ..
โลกเลือกสำหรับเธอ..แล้ว
แม่จอมแก้วจอมใจคนดี
ผู้หญิงคนที่...มีชื่อแสนงาม
นามแสนสิริมงคลวว่า*ศศิมาฆะ..เพียงนั้น..!
********************
พลีพร้อม
เรื่องราวประกอบ..ฉากสุดท้ายค่ะ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem33679.html
ตะวันลา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem33905.html
เพชรพะงัน
http://www.thaipoem.com/forever/poem.php?poemid=71592
มาฆบูชาน้อมดวงใจให้ใสเย็น
พุดพัดชาลบออกในตอนแรกเนื่องจากจะ
รจนาตัดทอนใหม่ค่ะ แต่เนื่องจากไฟฝันมอด
เลยต้องนำมาลงทั้งหวานวน
ให้ทนอ่านไปพลางๆนะคะ
มีเวลาค่อยแก้ไขค่ะ
แต่สำหรับใจพุดแล้ว..
อยากฝากไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นแหละค่ะ
ศศิมาฆะจึงจะสมบรูณ์สิ้นในวันมาฆมาศค่ะ
11 กุมภาพันธ์ 2549 23:52 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem86350.html
แด่เธอคนดีที่ชื่อศศิมาฆะ.. ตอนที่1
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem86384.html
ศศิมาฆะน้อมดวงใจใสเย็น...ตอนที่2
และ..
ตอนที่สาม..ศศิมาฆะว้าเหว่
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
(เธอคนเดียว)
ดึกแล้ว...
น้ำค้างแก้วเริ่มหยาดเย็น
เธอ..หยิบผ้าฝ้ายผืนงามมาคลี่คลุมไหล่
ค่อยๆเดินลัดเลาะเลียบเนินผากลับที่พัก
แสงจันทรานวลนุ่มสาดสายมาทายทัก
ให้..
ดวงใจยิ่งแสนสวยใสสงบงาม...
หยาดน้ำผึ้งจันทร์ช่างแสนหวานนัก
และ..
ช่างมีบทบาทให้มวลมนุษย์ทั้งหล้าต่างพากัน
หลงฝันหลงมายา
หลงรอท่ารอคอยฝันฝากใจ
อย่างมิเคยสิ้นสุด
หยุดคิดถึงในมนตราเสน่หาได้เลย
หาก..
ตราบใดดวงใจยังมิสิ้นฝันสิ้นหวัง
เธอ..
แหงนเงยวงหน้าซูบหากงามเศร้า
รับหยาดสายพรายแสงจันทรา
ที่มาแตะแต้มโลมไล้ให้คลายเหงาใจลำพัง
ทั้งๆ..
ในใจเธอนั้น.แสนสงบงัน
ไม่เคยฝันเคยหวัง..ถึงใครและสิ่งใด..
มานานวันมานานปี..แล้ว
......................
นับตั้งแต่นาที..
ที่เธอ..ได้รับข่าวร้าย
คล้ายๆกับในคืนค่ำเช่นนี้
หาก..
เป็นคืนที่..
ฟ้าไม่มีจันทร์..
โลกมีเพียงมืดมิดหมองหม่นเงียบงัน
ดั่งสีน้ำเงิน..สิ้นไร้งาม
รับรู้...โศก...สะทือน
เป็น...
คืนฝนปลายวสันต์
ที่หยาดสายพรายพรมหนักมาก
ราวหยาดลา...
และ
เสมือนหยาดน้ำตาละหลั่งรินมิสิ้นสาย
ไปกับเธอ
ยาม...ที่ทราบว่า...
คนดีที่เธอแสนรักนักรักหนา
ได้พรากลาไปแล้ว..กับอุบัติเหตุ..!
อย่างไม่มีวันหวนคืน.........
คืนที่..
ก่อนหน้าไม่กี่นาที
เขาคนดียังโทรมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า
กระซิบบอกเธอว่า....
*เขาแสนคิดถึงเธอ..จนล้นใจ จนทนรอไม่ไหว
ต้องตัดสินใจขับรถบึ่งมาจากกระท่อมกลางไพร
ให้...
เธอเตรียมเสื้อผ้าไว้
เขา..ตั้งใจจะมารับเธอ
ไปสัมผัสกับบางสิ่งที่แสนยิ่งใหญ่
ในคืนฝันวันพระจันทร์เพ็ญที่กำลังรอท่า..
หากทว่า*เขามาไม่ถึง...**มาไม่ถึง...
วันที่มี..
ความหมายล้ำค่า*วันมาฆมาศ*
วันคล้ายวันเกิดเธอ..
เพราะ...
ทุกคราที่*เขา*มองจันทร์
*เขา*
ก็จะฝันเห็นเธอละเมอหมาย
*ดั่งกระต่ายน้อยหลงคอยจันทร์ *
เมื่อ..
เธอยังละล้าละลังใจไม่ยอมตัดสินใจ
รับคำขอแต่งงาน ที่เขาเพียรคุกเข่าเฝ้าขอ
รอคอยมานานนับเกือบสิบปี..
เพราะ..
เธอ..บอก..
ยังหนีพันธะชีวิตและภารกิจหน้าที่มิพ้น
เขา..
จึงได้แต่ทน...รอ รอ และรอ
ให้กับกาลเวลาได้พิสูจน์ว่า
เหนือคำพูด..คำมั่นสัญญา
เหนือปรารถนาใด...
ระหว่างคนสองคน
คือ
*ความเป็นพื่อนทางจิตใจทางจิตวิญญาณ*
ที่คือรักแท้ยิ่งใหญ่เหนือค่ากว่าการครอบครอง
หลายครา..
ที่เธอคิดว่าเขาคงทนความเหงาไม่ได้
เมื่อไร้เธอเคียง
และ..
คงเสี่ยงพวงมาลัยรับหญิงสักคน
ไปเป็นนางใจไพรเทพีแทนที่เธอ
ผู้หญิง..
ที่เขาเคยเพ้อ ตราบวันตายจะไม่มีวันลืม
ผู้หญิงที่ติดดินจนเขาปลื้มนักปลื้มหนา
ว่าช่างหายากหาเย็น
หาคนที่เป็นทุกสิ่งในชีวิตเขา
ให้เขามีพลังมิสิ้นฝันว้าเหว่
คนดี...
ที่เธอ..ได้แต่กล่อมเห่เขาคนดีในอ้อมตัก
ยามที่เขายังมีลมหายใจและรักแสนรัก
เธอเป็นยิ่งนัก...
ชี้กันชวนชมดาวพราวไสว
ยามดึกดื่น ให้ตื่นตาชม
ในยามน้ำค้างพรายพรม
ยาม..
*เขามีเธอมาแนบสนิทชิดใกล้
มาใช้ชีวิตในวันหยุดทุกฤดูฝนที่ปรายปรน
พร่างโปรย..ให้หอมงามใจ
ณ..กระท่อมกลางป่าไพร
ที่..
ได้หลอมรวมวิญญาณทั้งสองดวงให้ราวหนึ่งเดียวกัน..
เขาเพียรลงแรง นำร่างห่างไกลความศิวิไลซ์แสงสี
มาพลีหยาดเหงื่อ เม็ดเงิน
เนรมิตรผืนดินอุดมริมบึงธารหวานใส
ที่ไหลรินมิสิ้นสายมาจากเทือกเขา
ที่..
รายเรียงโอบล้อม
ดั่งปกป้องอาณาเขตแห่งรักแห่งฝัน
ให้..
พลันแปรเป็นทุ่งทองรวงเรียวระย้าระยับ
ดั่งอาบทองทา ไปจนไกลสุดตาดั่งผืนพรมสวรรค์
ที่...
นับนานวันนานเดือนนานปี
ที่เขาเททุ่มสุดตัวสุดใจ
พลิกฟื้นป่าไพร ให้มีชีวิตชีวา
ด้านนึงคือบึงบัวกว้างไกล
ที่มีแดงดอกนับหลายพัน
เป็นเวิ้งน้ำธรรมชาติเขตป่าสงวน
อีกด้าน...
ชิดเชิงชายเขาเป็นไร่สวนผสม
มีผลไม้หลากพันธุ์
ให้เก็บกินไม่ทัน ผลัดกันป้อนปรน
จนเขาต้องนำมาใส่ชะลอมหอมหวาน
ไปไล่แจกญาติมิตรเพื่อนฝูง
ไหนทั้ง..
ผลไม้พันธุ์ยืนต้นที่ให้ผลราวทองคำน่าอัศจรรย์ใจ
เช่น..
ทุเรียน เงาะ ลองกอง มังคุด กระท้อน มะม่วง
และ
ยังมีสวนสมุนไพรแทบทุกชนิดที่หายาก
จนพ่อค้าคนกลาง..ต่างพากันมารับซื้อ
ส่งเป็นสินค้าออก...
ไม่ว่าเปล้าน้อยรากต้นหางกระรอก.....
หัวอัญชันป่า ..
พนมสวรรค์(ดอก, ต้น) ใบบุนนาค
ประยงค์ป่าใบผักคราดทะเล ใบผักบุ้งทะเล
.................
และ...
อีกมุมหนึ่งริมเรือนกระท่อม
เขาเพียรปลูกดอกไม้ไทยหอมๆ
แล้วน้อมเด็ดมาวางไว้ริมหมอน
ให้เธอดอมทุกคืนค่ำ..ได้ระร่ำรินแสนชื่นใจ
ไม่ว่าจะ..
ลำดวน..ปีบ..จำปีสูงใหญ่ เคลียชายคา
มะลิวัลย์...มะลิลา..ลีลาวดี
โมก...
ที่พลีน้อมให้หอมดอกค้อมลงดินแบบถ่อมตัว
บัวดอกบานในบึง
พวงชมพู...
ดอกกระจิ๊ดนิดน้อยห้อยย้อย
แสนน่ารักนัก
ไหน..
จะมาลัยสวรรค์ นมแมว รสสุคนธ์มาทายทัก
ถึงเตียงนอนนวลนุ่ม
ที่..
ให้หอมอวลปนมากับดวงดอกราตรีกลิ่นการะเวก
ที่เสกมนต์หวานหว่านงามไปทั้งกอ
พ้อพร่างมากับเล็บมือนางสามสวยสามสีสลับ
ไหน..
จะยังมีกุหลาบนานาพันธุ์ดอกใหญ่กลีบหนา
ที่มีทั้งตูมตั้ง
ทั้งเบ่งบานตระการตาตระการใจ
พากันแย้มบานไสว
ทั้งเหลืองแดงชมพูสีโอลด์โรส
ที่..
ต่างพากันชูช่อล้อลมไพรมาทายทัก
ยามเธอนอนหนุนตักหนุนแขนเขาอย่างแสนรัก
ณ..นอกชานเรือน..
ไหนจะยัง
แม่ดวงดอกพุดซ้อนกลีบอ่อนหวาน
ให้ซาบซ่านซ่อนซึ้งหอมให้ค้นหา
ให้เขาคอยเด็ดมาเสียบริมแก้มไรผม
แล้ว..
คอยเวียนดอมดมแกล้มอย่างแสนชื่นใจ
ไหนจะดงผักพื้นบ้านนานา
ทั้งค้างแตงกวา แตงร้าน แตงไทย
ฟักแฟง บวบ ลูกอวบใหญ่ห้อยย้อย
ตำลึง ผักบุ้งในท้องนา
ทั้งปลาในหนองน้ำ
ที่..
มากมายวนว่ายอย่างแสนเสรี
ที่เขาให้ชีวีมันทุกตัวได้เริงร่า
ใช่เลี้ยงไว้บริโภค
เพราะเขา
เลือกมีชีวินกินเพียงข้าวผักถั่วแทนโปรตีนแบบชีวจิต
เขาคนดี..
ที่พลีไถ่ชีวิตวัวควายที่ใกล้ถูกเชือด
ให้เลือดแดงที่เคยพลีหลั่งรินเคียงคู่มิรู้สิ้น
กับหยาดเหงื่อชาวนาไทย
ในพื้นพสุธา
ได้ยังคงดำรงธำรงวิถีข้าวกล้ายังมานาหว่านไถ
ใช่แปรไปเป็นผืนดินของนายทุนพลิกเป็นทิวตึกไสวแทน
จน..
หมดเงินทองที่เคยสะสม
หากเธอกับเขาต่างมีอุดมคติ
ที่คิดว่าชีวีของสัตว์เพื่อนยาก
ย่อมสำคัญกว่าทรัพย์อนันต์ค่าใด
ในเมื่อ..
ตราบใดยังมีลมหายใจ
ชีวียังไม่สิ้น ต้องดิ้นไป หากยังมีเรี่ยวแรง
มีสมองสองมือมีปัญญา ไม่ตายก็คงหาใหม่ได้
เพราะ.....
ชีวิตวัวควายที่อยากไถ่
คงไม่รอหายใจ...หวนมาให้ได้ทำสิ่งแสนงาม
อย่างน่าภาคภูมิปิติใจ
สิ่งที่จะตามติดเป็นรอยบุญหนุนใจ
นำทางใจให้แสนสวยไสว
อิ่มเอมแสนปิติเกษมเป็นยิ่งนักยามหวนคิด
และ...
จักสถิตทอดเป็นนิรันดร์ในดวงใจอันใครยากแย่งยื้อ
............
และ..
นี่คือวิถีสุภาพบุรุษไพร
ที่แสนยิ่งใหญ่ในดวงใจเธอ
ดั่งคู่กรรม คู่ธรรมคู่ทอง ...
หาก..
มิทันได้ครองคู่...
ราวสวรรค์ไร้เมตตารับรู้..
มาพรากลาคนดีที่เธอประจักษ์ค่า
และถึง...
มาตรแม้นว่าจะมิได้เคียงร่าง
หาก
ทุกอณูนึกยังเต็มพร่างในหอมห้วงหัวใจเธอ
อย่างยากที่จักหาใครมาเทียบเทียม
............
วันที่*เขา*พรากลาไป...กับคืนฝนพรำ
แม้นฟ้าดิน
ยังมิสิ้นโศกศัลย์กำสรวลสะอื้นไห้
ราว..
หยดเลือดหยาดน้ำตาระร่ำรินมิสิ้นสาย
รวมกับจิตแลกายเธอ ..
ที่เทวษถวิลทุกข์โทมนัสเกินกว่าจะมีน้ำตา
มี..
เพียงชุกตัวเหว่ว้า ลำพัง
จนใครๆพากันเป็นห่วงเป็นใย
ทุกคืนค่ำ...ที่วัด
ทุกคน..
จะสัมผัสร่างบอบบางราวลมจะพัดปลิว
ในชุดดำนั่งนิ่งเงียบสนิทราวรูปสลักไร้ชีวิต
ทอดตาสงบงันไปยังผู้เป็นที่รัก
ใน..กรอบรูปอันงามนัก
ในจำหลักพักตร์พริ้มรอยยิ้มซื่อใสแสนไร้เดียงสา
หนุ่มชาวนา
ผู้เกิดมากับท้องฟ้านากว้างแสนกระจ่างแจ่ม
กับในอ้อมแขนมีเพียงฟางข้าว
หมวกสานผานไถ
และ..
กับหัวใจที่แสนซื่อใสบริสุทธิ์
พอกันกับหยาดน้ำค้างจากฟ้า
หยาดน้ำฝนหล่นลา
ไหลรวมบ่ามากับสายธารระริน
มาฝากรอยถวิลให้อาวรณ์เทวษ
อย่างยากจะเลือนลืม
*เขา*
ผู้ชายชาติไพร
ที่มีนวลเนื้อใจแสนพิเศษพิสุทธิ์
หาก..
ทว่ามิอาจหยุดเพรงพรหม
เพรงกรรมมาพรากลา..จากฟ้าดินเบื้องบนได้...
.............
นั่นคือ..
อดีตทรงจำ... ที่ฝังใจ
ที่แสนงดงาม
เมื่อกาลเวลาผันผ่านลาเลยล่วง
รอยแผลใจ..
ที่..
กลายเป็น*แผลเก่า*ฝากเพียงเหงาให้งาม
ในทุกยามรำลึกนึกย้อน
มาตรแม้น..
ทุกฉากตอนมิหวนกลับ
หากคือ..
ความรักภักดิ์พลีที่แสนดีที่แสนสว่างไสว
ใช่...จะเศร้าใด
เมื่อเธอมีธรรมในดวงใจ
มานำทางพร่างสว่างไสว...
สอนสัจจะให้ระลึกถึง
คำว่า**มรณานุสติ*
เสมือนคำ..
ที่เขาเคยคอยย้ำเตือนเธอเสมอมา
*อย่าละเมอหลงไปวังวนในทุกข์กระแส
อย่ายอมแพ้พ่าย
อย่าตกหลุมพรางที่ขุดล่อบ่อบ่วงกิเลสไว้
ลวงหลอนมวลมมนุษย์มากมายมากมี
ให้..
หลงติดกับความยึดมั่นอยากได้ใคร่ดี
มีเพียงโลภโกรธ หลง พะวงเพียงสุขภายนอก
ที่มายวนยั่วหยอกเย้า
ให้ได้ก้าวเท้าไปสู่บ่วงห่วงพันธนา
และ...
สุดท้าย ทุกชีวาชีวี
ใช่หมายผัดผ่อนพญามัจจุราชได้ฤาก็หาไม่..
หาก...
ใช้ชีวิตเปล่าเปลืองไปโดยประมาท
ยัง..
.มิทันหันมาวาดวง รับ*สายทองแสงธรรม*
พร่ำเพียรภาวนา
หาหนทางก้าวข้ามห้วงมหานทีสีทันดร
ก่อนวันที่สายเกิน...
มิมัวหลงเพลินรูปรสกลิ่นเสียงเพียงนั้น..
และ....
ให้รู้ปันร่างใจใฝ่งามธรรม ไปด้วยกัน
มาตรแม้นยังมีวังวนมิพ้นวิบากรัก
อันหนักแสนหนักราวศิลา ..
ก็
เพียงให้รู้ค่า..
รู้จำรู้จัก เลือกเส้นทางธรรม
นำชักพาคู่ชีวิต...
ให้..
นำพาดวงจิต
มาสถิตฝากไว้ในเอื้อมหัตถาแห่งพระพุทธาสวรรค์
อันคือ..
เส้นทางกระจ่างพร่างพรายสู่ความว่างนิรันดร์เกษม
อันคือรักที่แสนอิ่มเอม อย่างยากหารักใดเทียมเทียบ..
................
ณ..ราตรีนี้
ที่แสงเดือนยังแจ่มจ้า
ยังคงหยาดมาโลมหล้า ปลอบประโลมเธอ..
*ศศิมาฆะคนนี้*
คนที่เพียรเพียงรอวันเวลา
ที่จะข้ามมหานที
เพื่อไปสู่ฝั่งฝันสำนักวิปัสนา
ที่..
รอท่าเธอเลือกตัดสินใจ..
จะ
*ฝากชีวิตเลือดเนื้อจิตวิญญาณดั่งอัญมณีไพร
อันแสนไสวพรายพร่าง
เลือก..สู่เส้นทาง...
*สายสว่างสะอาดสงบ*
เพียงรอพบบานประตูพระนิพพาน
ที่แย้มบานรอท่า...
ทุกผู้มีบุญวาสนาใต้หล้าโลกไปตราบจนชั่วชีวิต
ให้ลืมโศกลืมสุข
สิ้นทุกข์หยุดคิด...
ตั้งใจอธิษฐานภาวนาจิต
ดั่งบัวบุญ ในทิพยนิรมิต
ผ่องพราวราวบัวเพชร
ยอมเด็ดกิเลสทิ้ง
แล้ว..
ผลิบานตระการชูช่อพลีรอสายแสงธรรม
อันคือ
*ความเป็นนิรันดร์เกษม...*
มาตรแม้นหนทางยังแสนห่างไกล
ที่..
ถึงอย่างไรอย่างไร
เธอมิเคยท้อใจ
ที่จะเพียรภาวนา ตราบจนกว่าลมหายใจจะสิ้น....
..................................
ติดตามตอนต่อไป..
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
เธอคนเดียว
เธอรู้ไหม
ฉันอยากให้ย้อนเวลา
ให้เดินช้าช้า
ให้อยู่ด้วยกันนานนาน
อยากมีเวลา ทำสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว ฮืม...