5 มีนาคม 2549 10:51 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song591.html
(ฝากหมอน)
.................
คืนเดือนเสี้ยว...ที่จันทร์ดูแสนเศร้า
และ...
ใจดวงร้าวของมวลมนุษย์ในหล้า ยังคงมากมายมากมี
ที่รอ..*ฝากใจไปกับจันทร์ ฝากฝันไปดาว *
เคล้า...ไปกับสายลมระริน..ระริน
ให้..
บินโบก ไปเหนือทางช้างเผือก เหนือโลกย์โศกสุขนี้
ไปสู่
แดนดินแห่ง*ฝันพลี*
ที่แสนว่างงามแสนกระจ่างสงบสุข
ให้..
หยุดทุกข์กับความคิดถึงใดใด..
ไม่อยากมีแม้นใครสักคนเคียงข้าง
ไม่ต้องอ้างว้างกับการ..รอรักใครมาเติมเต็ม...
สำหรับ..
ใจดวง..ราวได้ยินเสียงเพลง*เดียวดาย*ในคลองจิต
ราว..
ใครที่อยู่แสนไกลลิบมากระซิบร้องร่ำพร่ำบอก
ท่าม..ฟ้ากว้างเดือนเสี้ยว...
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song718.html
เดียวดาย
ขวัญ เอ๋ย
เคยภิรมย์ชิดชื่น สุขสันต์
หลง เพ้อฝัน
รักมั่น มิทันจะเนิ่น
เธอ เมินหมาง
โอ้ อ้างว้างอารมณ์ ฤดี
เหมือนโนรี
จากคอน หลงรังนอน
ลืม พี่ เหมือนชีวี
เดียวดาย เอกา
โอ้ ดึกเดือนคล้อย
เดือนเจ้าจะลอย จากตา
มอง นภายังเห็นดารา
เรียง ราย
เหลียวหา จนทิวาโฉมเจ้า แล หาย
หรือ รักแล้วแหนงหน่าย
รักเอ๋ย ลืมง่าย
ใย เมินเฉย
โอ้ ใจเอ๋ยใจเลย แรมรอน
ฉันยังจำ ติดตา
ทุกทิวาคืนก่อน
เหลืออาวรณ์ใจเอย ค่ำลง
โอ้ ใจสะท้อน
จะหลับจะนอนพะวง
ลืมไม่ลง
มันเหมือนมีมนต์ ดล ใจ...
...............
ตะแบกคงแบกบานหวานตระการเต็มราวกิ่ง
ก่อนจะพรากลา..
ทิ้งกลีบโปรยปลิดปลิวไปตามสายลม
เมื่อทำหน้าที่บานให้โลกชม ลืมหมอง..แล้ว..
แก้ว..
คงครองขาวพราวนวลไม่นานช้า
แล้วก็เช่นเฉกกัน
ก็จะพลันโรยร่วง ไร้รอยให้ใครมาหอมดอมชม..
ลั่นทม ชูดอกไร้ระทมดั่งชื่อ
หากไม่ยึดมั่นถือมั่น
ก็...
แค่ดอกไม้งาม ที่ประดับโลกหวาน
ให้น้อมนำมา...
เปรียบประมาณทุกข์
ยาม...
หัวใจไร้สุขพบขื่นขมตรมตรอม
และ..
หอมเศร้าดั่งเจ้าลั่นทมเทียบ
จำปี..ทีผลิดอกมิมีจำ..
ว่ากี่ปีกี่เดือนกี่วัน
ที่ยังเฝ้าคงมั่นจงรักภักดี
และ
ไม่ยอมจำปี จำเดือนจำวัน
มีเพียงภักดิ์มั่นเพียงนั้นเพียงนี้
พุดซ้อน..
ซ้อนซ่อนกลีบขาวพราวสดสุดสะอาดพิลาสพิไล
หาก..
ไยชื่อราวกลางกลีบใจมีอะไรซ่อนไว้อย่างล้ำลึก
ให้..
รู้สึกน่าค้นหาตามติด
ราวเสน่หา...คอยมัดจิตมัดใจ
ให้หวนหามิสร่างซา....
........
และ
ทุก..ดวงดอกไม้พรายพร้อยพราวประดับหล้า
หาก..
ยามใดถึงเวลา..
ก็จำต้องลากิ่งทิ้งต้น...อย่างมิอาจฝืนพ้นธรรมชาติธรรมดาๆ
..............
ผ่านรักผ่านรานผ่านร้าว
ผ่านเศร้าผ่านสุขมิอาจฝืน
ผ่านเวลาติดปีกฝันมิหวนคืน
ถึงจะชื่นถึงจะช้ำวันผ่านไป
อะไรเล่าคงเหลือเมื่อวันพราก
ที่จะฝากประดับโลกให้สวยใส
นอกจากดีนอกจากให้นะดวงใจ
อย่าท้อใจรีบสร้างเสบียงบุญ
ลืมเรื่องราวหนาวรักไร้สาระ
อธิษฐานสัจจะใจหอมกรุ่น
เพียรมิท้อก่อสร้างดี ด้วยละมุน
ตราบโลกหมุนวิปัสสนาพาพ้นกรรม..
...................
และ..
ในท่ามวันที่ฟ้าสีฟ้าสดกระจ่าง
ดวง..
พาร่างไปเดินในท่ามผู้คนอลหม่านนับหมื่น
ไปยืนดูนักดนตรีริมถนน
ที่ใช้มนต์เสียงเพลงเรียกรอยยิ้ม
ไปยืนนิ่งๆฟังเสียงไวโอลิน..พริ้งพราว
ที่..
กำลังบรรเลงครวญคร่ำ*เงาไม้*และ
พาให้ใจดวงสะท้อนสะท้านจิต
ไปกับวันเวลาแห่งชีวิต..ที่พรากลาไปนานนับหลายปี
ที่ใจดวงนี้..
ได้เพียรฝาก
*บทเพลงอมตะโบราณ*ไว้ในงานมากเรื่องราว
เพื่อ..
ปลุกวิญญาณแห่งค่าคำอันแสนล้ำล้นเลอค่านั้น
ได้กลับมาสนองเสนอคนรุ่นหลัง
ที่..
ยังมีพลังใจไฟฝัน
รักร่ายรจนาอักษราภาษาไทยอันแสนละไมละมุน
ที่นับวัน...
จะหลงเหลือคนสมาธิมั่น
ที่ยังพอมีเวลามาพลีแบ่งปัน
มาเททุ่มใจให้รักการอ่านเรื่องราวยาวๆ
เพราะ..
โลกทุกวันนี้ คลุกเคล้ามากมีเทคโนโลยี่ที่มาป้อนปรน
จนสบายให้รู้สึกเบื่อง่ายกับการทำอะไรนานๆ
.
ดวง...เดินเข้าร้านเครื่องแต่งบ้านโบราณ
ที่ผู้คนว่างวาย..
ราวได้ถอยหลังกลับไปในยุคเก่าก่อน
นั่น..
ตั่งไม้ ที่ในสายใจดวงเห็นหมอนขวานวางไว้
ให้เอนอิงพิงร่าง เคียงข้างด้วยเชี่ยนหมากทองเหลือง
ไม่ก็ลายฉลุเงินงาม..
โน่นบุษบกทองคำ
ภายในมีองค์พระพุทธรูปสุกปลั่งมลังเมลือง
ให้..ดูแสนอลังการในงานแกะสลักเสลา
เพรางามด้วยพลังศรัทธาปสาทะ
นั่น ระฆังแขวนไว้
ราวให้รำลึกนึกไปถึงโบสถ์คร่ำในวัดบ้านป่า
ที่..
พระสงฆ์ในจีวร งามแจ่มจ้ากำลัง ลงโบสถ์ทำวัตรในยามค่ำ
ให้..
จรัสรัศมีสีทองอันสว่างไสวนั้น ราวเส้นทางนำพาจิตวิญญาณ
ให้ผ่านภพภูมิแห่งทุกขเวทนา
อย่าได้วนมารับวิบากกรรมอีกเลย
ดวง...ยืนนิ่งงัน
กับมากสิ่งอันพันละเล็กละน้อย
ที่..
พาให้ใจดวงถอยหลังโหยหาเงางามในบุพกาลก่อน
ใจดวงอรชร ราวมีน้ำตาปิติล้นหลั่ง
ยามดวงใจ...
ได้อบร่ำด้วยกลิ่นไออวลแห่งนวลเนาในอดีตนั้น
............
ดวงได้..เสื้อผ้าไหมดีไซน์เก๋
ที่ใส่ได้สองด้าน
มีสีเขียวไพลและสีดำ
และ..
ยามใส่นั้นคงจะงามล้ำหากเกล้าผมสูงสวย
แล้ว..
เสียบแซมด้วยดวงดอกไม้ไทยไทยในวันมงคลงาน
กับ
ได้เชิงเทียน ที่มีสองอันในโลก
เพราะเป็นงานไม้ไผ่สาน
มาทดลองวางขายดูในตลาด
ที่ใจดวงเกิดพิสวาทและได้มา
กับได้
ดวงดอกกล้วยไม้งามแจ่มจ้า
บัวหลากสีมาพลีตระการ
ให้..
วิมานดินวิมานดวง... ได้ประดับ
และ....
ให้กับ...ใจดวงนี้ที่ยังรักความดายเดียวตลอดไป...
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song591.html
ฝากหมอน...
คืน วัน นี้
ถ้า พี่ นอน หนุน หมอน น้อย
ใจ จง คล้อย
คิด ถึง น้อง เจ้า ของ หมอน
รอย แก้ม นิ่ม
ริม เขนย น้อง เคย นอน
หนาว หรือ ร้อน
หมอน คง เอื้อ อุ่น เจือ จุน
น้อง เคลีย แก้ม
ฝาก ไว้ ก่อน ให้ พี่
ซ้ำ กราบ ที่ กลาง หมอน
เคย นอน หนุน
ยาม พี่ แนบ หน้า นอน
หมอน ละมุน
จง หอม กรุ่น
แก้ม และ กราบ กำ ซาบ ทรวง
น้อง เคลีย แก้ม
ฝาก ไว้ ก่อน ให้ พี่
ซ้ำ กราบ ที่ กลาง หมอน
เคย นอน หนุน
ยาม พี่ แนบ หน้า นอน
หมอน ละมุน
จง หอม กรุ่น
แก้ม และ กราบ กำ ซาบ ทรวง...
.............
3 มีนาคม 2549 07:36 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song496.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5303.html
(ดอกหญ้า..หยาดรุ้ง)
.....................
เป็นวันในฤดูร้อน
ที่..
ดวงดอกไม้อรชรหลากสีสัน
ทั้ง..
ส้มแดงเหลืองชมพู ร่ายฟ้อนอ้อนฟ้าสีน้ำเงิน
แสนสดใสสว่างกระจ่างแจ่มไปทั่วทั้งผืนดิน
ผม..ลาพักร้อนและได้คืนกลับท้องทุ่งนา
ราวกับปลาผิดน้ำได้คืนถิ่น
ดงดอกกระถินยังไหวระบัด
โสนเหลืองพราวยังงามชัดตัดกับท้องทุ่งสีเขียวไพล
ตาลเดี่ยวยังยืนต้นสงบ สยบสายลมร้อน
มี..
เพียงบางคราวคอยพัดโบกโยกไกวเสียงแกรกกรากๆ
นาผืนนี้
ที่*รอยไถยังไม่แปร*
ยังไม่แพ้ นายทุนเงินงามงาบ
ที่ผมพลีเพียรซื้อไว้
เพราะ..
ไม่ใกล้ไม่ไกลเมืองที่ผมทำงาน
ให้..
ใจดวงละมุนหวาน
ที่รักนาข้าว สายธารและบึงบัวเป็นชีวิตจิตใจ
ได้มาเดินดุ่มดายเดียว
ในท่ามม่านหมอกสลัวในยามเช้า
ให้..
ดวงดอกน้ำค้าง..ดอกข้าวพราวพร่างเคลียระริมแก้ม
และ
เฝ้านอนตะแคงดู
ดวงตะวันสีไพลดวงใหญ่เท่ากระด้งฝัดข้าว
ที่
ค่อยๆลอยระเรี่ยเคลียยอดตาลทิวไผ่
แล้วค่อยๆทิ้งตัวหายลับฟ้าไปในยามค่ำ
ทิ้งไว้เพียงสายแสงตะวันรอน
อันแสนอ่อนอุ่น..
ไว้เอื้อโอบโลก
ดั่งสอนโศก สอนสัจจะ ชีวาชีวิต
ว่า..
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ
ก็
ต้องตื่นมารับพลังใจไฟฝัน
เพื่อสรรสร้างสิ่งแสนดีแสนงาม
คืนกลับให้..
แด่ผืนดินนี้
ที่แสนร่มเย็น ให้ข้าวให้น้ำให้ปลา
ให้ได้ต่อเติมดวงชีวาชีวินมิรู้สิ้น
ผม...
จัดการทำความสะอาดกระท่อมดอกหญ้า ที่แสนงามง่าย
ที่ผมปลูกไว้เหนือเนินนา
ด้านหนึ่งจะมีเรียวรวงข้าวกล้าสุกปลั่งสีทองในคลองตา
อีกด้านหนึ่งนั้น
คือดงดอกหญ้าที่งามไสว
ชูช่อรับแสงตะวันสีไพล..โอนเอนไหวอ่อนในยามสนธยา
กับ..
มากมีมวลหมู่นกกาภมรบินว่อนภิรมย์
ให้ผมนอนชมราวกับอยู่ในท่ามป่าดงอัฟริกา
และ...
กับ..
เครื่องเรือนภายใน
ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ลำใหญ่แบบโบราณ
ฝีมือช่างชาวบ้านดิบหยาบ
หากแสนดูดี
ที่ช่างงามติดดินเสียนี่กระไร
กับ
เสื่อผืนหมอนใบ และตั่งเล็กๆข้างเตียงเคียงหัวนอน
ที่..
ผมวางอุปกรณ์การเขียน
กับเชิงเทียนที่สานด้วยไม้ไผ่
ที่ผมจะใช้จุด
ให้..
พลังไฟฝันพลันบรรเจิดยามรจนาภาษาฝัน
ใกล้ค่ำ
ผม..
จึงเดินไปนอนเดียวดายใต้ตาลนา
หยุดคิด ทิ้งทุกข์ทุกสรรพสิ่งไว้ณเบื้องนอกบึงใจ
ไม่ไหวครวญหวนหา
ในม่านตา
มีเพียงม่านฟ้าแสนสวยแจ่มจรัส
งามราวภาพฝันสีรุ้ง รับเรียวเมฆ
ที่..
เสกสายแสนหวานหว่านฉาบอาบไปทั่วทั้งท้องนภา
บึงนาของผม ยังพอมีน้ำ
เพราะระบบชลประทานจะกักเก็บน้ำ
เอาไว้ให้พอเพียง ตั้งแต่ฤดูฝนพรำ
แล้ว..
ค่อยๆปล่อยมาในยามสายวสันต์ลาช่วง
ในยามหน้าร้อน
ผม..
เห็นช่อผักบุ้งอรชรทอดยอดโอบพรายงามเขียวไปทั่วทั้งบึง
เห็น..
ลูกควายสายน้ำนอนเคี้ยวเอื้องอย่างช้าๆ
ในปลักโคลนแสนเย็น
เริ่มเห็น..
จันทร์เพ็ญทอดวงแย้มบาน..หวานเหนือราวฟ้า
ขับนภาสีกำมะหยี่ให้งามพลีด้วยพรายแสงสีทอง
ที่..
กำลังจะสาดส่องมาโอบหล้าแทนพระอาทิตย์
เห็น..
ความมืดมิดค่อยคลี่คลุม
มาให้ทุกดวงใจได้ไหวร่างหลับนอนผ่อนพัก
เพื่อสู้ฝันรับวันใหม่
เป็นวัฎฎใจวัฎฎจิตวัฎฎชีวิต ที่ยากจะหนีพ้น
หากตราบใดยังต้องมีหน้าที่มีความรับผิดชอบ..
เห็น..
ดงตะแบกออกพวงม่วงละมุนพราว
ไปทั้งราวกิ่งจนแลไม่เห็นใบ
พาให้..
หัวใจผมแสนสุขนัก..ในยามนี้
มาตรแม้น...
ผม..
คนเบื่อโลกเมืองลวงเมืองหลวงเมืองบ่วงกิเลสมาร
เมืองที่ยังต้องหมุนไปตามกระแสโลกภายนอก
หาก..
มิใช่โลกภายใน โลกแห่งงามจิตใจ จิตวิญญาณ
บ้านภายในของผม
ที่..
ต้องการเพียงแค่ความสมถะสงบงาม
ท่ามโลกวายวุ่น
ชุลมุนด้วยกรุ่นกลิ่นการเมืองเรื่อง
ที่เราพลเมืองหนีไม่พ้น
ต้องทนๆไปวันวัน
รับรู้รับฟังเรื่องราว ที่ราวยากจะทวนกระแส
ที่..
มากแรงบ่าโหมให้ทุกข์มวลมนุษย์ยากหยุดนิ่ง
อยู่กับความพอดีพอเพียง
เลี่ยงกิเลสแห่งความอยากมากมี
ที่...
บางทียากจะเติมเต็ม
หากไร้ใจดวงใสเย็น
ดวงรักเงียบงามรักความสุขสงบมาแต่ดั้งเดิม
ผม..นอนทบทวน
หลากเรื่องราว มากมายในโลกหล้าใต้ฟ้าเมืองไทยเมืองทอง
เมืองธรรม แดนดินแห่งพุทธธรรมแห่งการพ้นทุกข์
ที่..
กำลังสุดแรงร้อนด้วยกระแสการเมืองที่วนไปวนมา
ราวกับจะกลับไปหวนหาเหตุการณ์ในอดีตอีก
ที่หาความสงบไม่มี
ที่ทำให้แผ่นดินนี้ยากที่จะพัฒนา
เพราะ...
ปัญหาสารพันอันเกิดมาจากความไม่สมานฉันท์
ไม่รู้รักสามัคคี ไม่มีความพอดีพอเพียง
ผม...
หนาวเหน็บในใจนัก
เบื่อโลกเต็มทน เบื่อคน เบื่อทุกสิ่งอย่าง
ใจดวงอ้างว้างของผมได้แต่ละเมอเพ้อรำพัน
ฝันหา...
เพียงแต่ชีวิตสงบเย็น
ภายใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตร แบบคนโบราณแต่กาลก่อน
หากยากเข็ญที่จะเป็นไปได้...
ผม...
จึงแสนเดียวดายแปลกแยก ยิ่งขึ้นทุกวัน
จะมีก็ที่นาในฝันแห่งนี้
ที่
ให้ผมพอมีที่หลบซ่อนตัว
มา..เติมไฟฝัน
และ...
นอนนิ่งงันรับงามเงียบได้ในทุกยาม
ผม...
เดินไปตัดกล้วยน้ำว้าเครืองามและ
เก็บมะม่วงเขียวเสวยลูกโต
ตั้งใจ..
จะนำไปฝากเพื่อนร่วมงาน
ให้ได้ลิ้มรสอันแสนสดสุดมันส์จากสวน
แถมได้วิตามินล้วนๆ
เพราะผมปลูกตามวิถีธรรมชาติ
วันนี้..
ผมจะนอนฟังเสียง..ความเงียบ
ฟังเสียงกบเขียดเรไรจิ้งหรีดกรีดร้องผสาน
พร้อม..
กับนอนนับดาว ดูเดือนดวงหวาน
หยาดสายน้ำผึ้งพราย
ตรงนอกชานเรือนเพียงลำพัง
และ..หวังจะร่ายบทกวีสักบท
พลีกำนัล..
แด่ผืนดิน ด้วยความดายเดียวเงียบงามสงบใจ....
....................
เมื่อวันนั้นแปรผันเป็นวันนี้
ความรู้สึกดีดีที่เกิดก่อ
เป็นต้นไม้แตกฝันพลันแตกกอ
แตกต้นตอผลิฝันพรั่งเงาใจ
เงาตะวันเงาใดใคร่รู้จัก
เป็นเงารักอบอุ่นกว่าเงาไหน
ยัดหยัดอยู่สู้ท้ากว่าเงาใด
เป็นเงาใจแฝงฝังกับวันวาน
ดั่งดอกไม้เบ่งบานกลางขุนเขา
สะท้อนเงาดอกฝันอันไหวหวาน
เหมือนต้นกล้าเพาะไว้เพิ่งไม่นาน
ฤดูกาลผ่านมา...กล้าเติบโต
พร้อมตะวันระวีคลี่สาดส่อง
เป็นครรลองประกายให้ท้าโถม
ยังงามงดแม้อ่อนแสงแรงประโคม
อัสดงชมเงางาม....ว่าพร่างพราว...ราวตะวัน
.............
เพชรน้ำค้างวูบหล่นพรมไพรพฤกษ์
ยิ่งยามดึกหรีดหริ่งยิ่งสรวลสันต์
ขับแสงนวลชวนใจในเงาจันทร์
หยาดสวรรค์พร่างมาจากฟ้าไกล
หอมระรินกลิ่นบัวทั่วคุ้งน้ำ
สายชลงามร้อยดาวพราวไสว
จิตดึกด่ำล้ำลึกผลึกเงาใจ
หมู่มวลไม้ร่ายรำจันทร์เดือนเพ็ญ
ดั่งน้ำค้างกลางฟ้าที่ปรากฏ
หล่นงามงดกระทบใจในแรกเห็น
ชโลมโลกพรมฤทัยให้ฉ่ำเย็น
รักระเด่นรออุษามาเนิ่นนาน
จนดาวเลือนเดือนลอยคล้อยเคลื่อน
ยิ่งย้ำเตือนมั่นรักอักษรสาสน์
จะอยู่เคียงเรียงข้างนางนงคราญ
ดุจน้ำค้างเกาะเกี่ยวเรียวบุษบง
ตราบอรุณทอแสงแห่งขอบฟ้า
สกุณาเจื้อยแจ้วแว่วเสียงหลง
มวลดอกบัวคลี่ใบในแดนดง
น้ำหล่นลงบ่มงามกลางบ่วงใบ
เผยผลิค่าน้ำฟ้าอุษาส่อง
ตามครรลองระเหยเปรยรักไว้
จากหยดน้ำเกาะพรายกลายเป็นไอ
น้ำค้างไพรดั่งรักร้างตามเตือนมา
เห็นดวงจิตเห็นสัจความพลัดพราก
รอยร้างจากพรากไปให้ห่วงหา
แม้นงามหยดรดใจให้ตรึงตรา
ถึงเวลาต้องปลิดพรากไปจากใจ
อีกความนัยซ่อนเร้นเช่นหยดน้ำ
ระบัดงามครองทั่วบัวน้ำใส
กลิ้งเกลือกกลอกยอกย้อนบอนบัวใบ
ล่อดวงใจให้หลงตามนานชั่วกัลป์
..............
ณ..คิมหันต์วันระวี...ที่ผันผ่าน
ดอกหญ้างามบานรับ...กับวันใหม่
ดอกต่ำต้อยร้อยไออุ่น...กรุ่นพงไพร
อวลอุ่นไอไล่ลมหนาว...ร้าวดงดอน
เป็นดอกหญ้าน้อยนิด...จิตคิดหวัง
ฝันถึงวันพันธนา.....ท้าผยอง
จะโรยกลีบหว่านไหว...ไรละออง
ไปเกลือกกลอนรอยไถ.....ในดงดิน
จะยืนหยัดท้าสู้.....อยู่บนฝัน
บ่มเพาะพันธุ์เมล็ดงาม....สืบสานกิ่ง
ระบัดใบระยับย้า..... หญ้าแผ่นดิน
ชุบชีวินผองคนจน....ระทมกาล
มิใช่หรือคือดอกหญ้า.....ที่กล้าแกร่ง
สู้ลมแรงแผ่วแผ่วว่า.....ล้าความหวัง
คืนเหน็บหนาวพราวน้ำค้าง...นานเนิ่นวัน
ดอกหญ้านั้นฝันไปว่า......ฟ้าคือดิน
.........................
บทกวีโดย*ลำน้ำน่าน*
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4721.html
ข้าวคอยเคียว
ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้ คือสาวบ้านนา
พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย
คอยเช้า คอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย
ปีเคลื่อนเดือนคล้อย
รักเอ๋ยจะลอยรักเอ๋ยจะลอยแรมไกล
อีกเมื่อไรรักจะคืนรื่นรมย์
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5303.html
เพลงดอกหญ้า
ดอกหญ้า ดอกนี้
ไม่มี คนปอง
สายตา ที่มองต่างชั้น
ต่ำต้อย เจียมตน
เพราะความจนกั้น
ก็เพียงแค่ชั้น ดอกหญ้า
ไม่มีกระถาง
เพชรทองรองรอ
ต่างกันกับกอ ดอกฟ้า
ประดับ พงไพร
ท้องไร่ท้องนา
ตามวาสนาที่ มี
สาวบ้านนอก
อย่างฉันนั่นหนา
คล้ายดอกหญ้า
ริมบาทวิถี
แมลงคงหอม
ตอมบ้างบางที
แต่กลิ่นและสี
ไม่เคยเผลอให้แทะเล็ม
เก็บซ่อน ความสาว
แผลคาวไม่มี
ไม่มี แม้เท่าปลายเข็ม
หม้อแกง หม้อนี้
น้ำเนื้อยังเต็ม
ชอบหวานหรือเค็ม
ต้องเต็มใจเติม
เก็บซ่อน ความสาว
แผลคาวไม่มี
ไม่มี แม้เท่าปลายเข็ม
หม้อแกง หม้อนี้
น้ำเนื้อยังเต็ม
ชอบหวานหรือเค็ม
ต้องเต็มใจเติม...
1 มีนาคม 2549 20:44 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
แล้ว...
ดวงแก้วแสนงาม..
ก็กลับมาสู่อ้อมอกผมอีกคราครั้ง
เธอ..
ผู้หอบความงามความหวัง
พลังรักอันแสนแนบแน่น
มาสู่อ้อมแขนอ้อมใจผม...ในวันนี้
วันที่...ฟ้าทอแดดสวยไสว
สายลมร้อนเริ่มพัดไกวไหวระรวยระริน
ให้กลิ่นดวงดอกไม้ไทยในวิมานดินแห่งเรา
หวานยิ่งกว่าหวาน...หอมเสียยิ่งกว่าหอม..
ให้..
ดวงดอกพุดซ้อนอรชรบานเต็มราวกิ่ง
ผลิกลีบประดุจดั่งกุหลาบขาวพราวสะพรั่ง..เฝ้ารอรับ....
ดวงดอกตะแบก..
กำลังฟ้อนอวดสวยสี...ม่วงชมพู..
ดูตระการไปทั่วทั้งสองฟากฝั่งถนน..
และ...
ปนเปไปกับบรรยากาศการเมืองในเมืองกรุง
ที่กำลังร้อนระอุ..ยิ่งกว่าอุณหภูมิ..เสียอีก..
นกเขาไพร ตัวเก่าเจ้าประจำใจ
ยังคงเฝ้าจับกิ่งจำปีไกว
ไหวร้องพ้อรอรับขวัญเธอเสมอมา
และ
เฉกเช่นเดียวกับใจดวงดายเดียวเหว่ว้าของผม
ที่ได้รักเติมเต็มกลับคืนมา ณวันนี้ ในวันนี้...วันที่เธอกลับมา...
เธอ..คนดี..ที่ผ่านมา..มากเมืองทั่วทุกมุมโลก
ได้เล่าเรื่องราว
ที่..พลอยพาให้ผมสุขใจไปด้วย
เธอ...
นอนซุกตัวนิ่งนิ่งแล้วยิ้มพราย
ก่อนจะเล่าถึงบางสิ่งแสนมหัศจรรย์
ถึง...
วันหนึ่งในยามเช้าตรู่อุษาสาง
เหนือม่านฟ้าพุทธชมพูทวีป..
ขณะที่..
นกเหล็กสีเงินกำลังกางปีก
ที่ระดับความสูง38000ฟุต
ขณะ..
ที่เธอได้มีโอกาสเห็น
ดาวดวงหนึ่งลอยดวงแสนสุกใส
สกาวพราวพร่างด้วยรัศมีสีรุ้ง
งามปานประหนึ่งเนรมิตด้วยทิพย์สีแสง
อันหาคำมารำพันได้ยากแม้นเหมือน
ราวเธอกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน
และ..
พลัน..
ตื่นขึ้นมาในอ้อมขวัญแห่งสวรรค์สรวง
ทันทีที่เห็นดาวดวงนั้น..
ลอยมาอวดโฉมประโลมใจอย่างสุกไสวแสนใกล้
ในยามนั้น..
ผู้โดยสารในเครื่องบินแบบแอร์บัส320
ที่กำลังมุ่งหน้าสู่เนปาล แดนดินแห่งฝัน
*สวรรค์หล้า..เทือกเขาหิมาลัย*
แดนดินที่จะมี*กุหลาบพันปี *
พันธ์ไม้ที่หายากหากจะพบแถบเทือกเขาหิมาลัย
เนื่องจากจะเติบโตได้ดีหากอยู่บนความสูงตั้งแต่ 1,300
เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
และ..
ดอกไม้ชนิดนี้
มักจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
และ...
จะมีสีสันต่างๆ อาทิ แดง ขาว ชมพู ..
................
ในยามนั้น...
ทุกคนกำลังสนิทในนิทราจนเงียบสงบไปทั้งลำ
ยานบุญกำลังลอยล่องพาเธอท่องเข้าไป
ในเวิ้งฝันแห่งไรแสงมวลเมฆแสนหวาน
ราวปานประหนึ่งสวรรค์เหนือหล้า...เพียงลำพัง
และ..
เธอมาทราบจากกัปตันทีหลังว่า
ดาวที่เธอเห็นแสนสุกสว่าง
เหนือม่านฟ้าพุทธชมพูทวีปนั้น
เรียกว่า
*ดาวเทพวีนัส หรือ ดาวประจำเมือง*
ดาวที่เธอบอกเป็นดาวรักนิรันดร์
ดาวคำมั่นสัญญาของ
มนุษย์ใต้หล้ามากมายมากมี ที่พลีใช้แทนฝันฝากใจ
แทนความห่วงใยคิดถึงคะนึงหากันและกัน
ยามชีวีชีวันพบกับการพรายพลัดพราก
ดาว...ดวง
ที่จะเห็นแจ่มชัดจรัสแสงยิ่งกว่าที่ไหนในโลก
ก็แถวประเทศทางแดนดิน
ถิ่น*ที่อยู่ของหิมะ(หิม+อาลย)
ที่เป็นเทือกเขาทอดยาวพาดผ่าน
พื้นที่ของ 5 ประเทศ
ปากีสถาน อินเดีย จีน ภูฎาน และเนปาล
เและป็นเทือกเขาในทวีปเอเชีย
ที่แยกอนุทวีปอินเดียทางใต้ ออกจากที่ราบสูงฑิเบตทางเหนือ
เป็นที่ที่มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
เช่นยอดเขาเอเวอร์เรสต์
และ
ยอดเขาคานชังจุงกา (Kanchenjunga)
เป็นจุดกำเนิดของระบบแม่น้ำที่สำคัญของโลก 2 สาย
แอ่งแม่น้ำสินธุและแอ่งแม่น้ำคงคา-พรหมบุตร
พื้นที่ลุ่มน้ำของแม่น้ำหิมาลัย
ที่เป็นที่อยู่ของผู้คนราว 750 ล้านคน ซึ่งรวมถึงชาวบังกลาเทศ
.............
ว่าแล้วพาให้เธอรำลึกถึงบทกวี
ชื่อ*มิตรสนิทของหมู่เมฆ*
โดย
โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ)
ร่างของมหาบุรุษ นอนนิ่ง เหยียดยาว ดังหิมาลัย
ขุนเขาเย็นเยือกด้วยหิมะ งามลึกล้ำ
ในโมงยามอันเงียบสงัดนี้ มีเสียงกึกก้องของสำนึก
มาแล้วสู่โลก กระทำภาระกิจด้วยใจสมัคร เปี่ยมอิสระ
แม้ปฏิญญาตนเสมอเพียง "ทาสแห่งพุทธะ"
ชี้นำโชคชะตาตน เพียงเป็นผู้ประกาศธรรมนอกทำเนียบ
ดุจดังม้าป่าเผ่นโผนร้องเริงไปในท้องทุ่งแห่งญาณทรรศน์
ไม่ปรารถนาเครื่องทองและลาภยศมาเป็นอานและบังเหียน
คิดอิสระเพื่อแผ้วถางทางแห่งพุทธะ อันรกชัฏด้วยหยากไย่แห่งกาลเวลา
ทดลองความจริงของชีวิต ทวนกระแสโลก บูชาธรรม อุทิศแด่พุทธะ
พระผู้ทอดร่างเหนือพื้นดินแห่งกุสินครา
ตำนานชีวิตของผู้ประพฤติตนประหลาด ในหกทศวรรษที่แล้วมา
ประชาชนเล่าลือว่าเป็น พระบ้า วิกลจริต
บัดนี้ท่านนอนทอดร่างเหยียดยาวดังหิมาลัย มิตรสนิทของหมู่เมฆ
เปิดเผยความจริงแท้ งดงาม ลึกล้ำ เกินพรรณนา
มาจากแหล่งใดไม่มีใครรู้ จากลาไปหนไหนไม่มีใครทราบ
ช่วงมีชีวิตอยู่ ต่อสู้ชูประทีปธรรมคำสอนของพุทธะ
ประสานศาสโนวาทของปวงศาสดา เผยแผ่ให้แลเห็นเป็นเอกภาพ
ถูกสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสี อกุศล ก็ไม่นำพา
ปีเดือนผ่านไป ยังคงมั่นดังขุนเขา หนักแน่นเสมอแผ่นดิน
เหินฟ้าพุทธธรรม ดังพญาเหยี่ยวเริงลมบน
ร้องประกาศธรรมท้าทายภูมิปัญญาตราบถึงวันนี้
วันที่ฝากความทรงจำไว้ในสายลม วันที่อายุขัยถึงกาลล่วงลับ
วันที่สังขาร แตกดับ ยุบแยก แทรกซึมสู่ที่มา
วันแห่งการทอดร่างสู่อ้อมอกแม่ธรณี
วันที่โลกสูญเสียมหาบุรุษพุทธทาส
ศิษย์เพียงฝากใจไปกับสายลม สู่หิมาลัยมิตรสนิทของหมู่เมฆ
อันยืนหยัดท้าทายอยู่ชั่วนิจนิรันดร์
...........................
และ
พร้อมกันนั้น...ยามดวงใจเธอ
เห็นดารารายดวงนั้นในยามอรุณรุ่ง
พลันเธอจึง
คิดถึง..ผม..และบทเพลงดิบเดิมที่ผมชอบร้องให้ฟัง
บทเพลง...
ที่..
จักตราจำ..
ไว้ใน...ความทรงจำแห่งสองเรา...
ที่...จะไม่มีวันลืมเลือนตราบชีพวาย...!
............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4658.html
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจพี่
ห่างกัน อย่างนี้
น้องคิดถึงพี่ บ้างไหม
อย่าลืม อย่าลืม อย่าลืมสัจจา สัญญาที่ให้
ว่าตัวห่างไกลหัวใจชิดกัน
คิดถึง พี่ก่อนน้องนอนก็ได้
เมื่อยาม หลับไหล
น้องเจ้าจะได้ นอนฝัน
ข้างขึ้นเมื่อใดแก้วใจโปรดมอง
แสงของนวลจันทร์
เราสบตากัน ในแสงเรื่อเรือง
คืนไหน ข้างแรม ฟ้าแซมดารา
น้องจงมองหา ดาวประจำเมือง
ทุกคืนเราจ้องดูเดือนดาว
ทุกคราวเราฝันเห็นกันเนืองเนืองถึง
สุดมุมเมือง ไม่ไกล
คิดถึง พี่หน่อย นะกลอยใจเจ้า
พี่ตรม พี่เหงา
เพราะคิดถึงเจ้า เชื่อไหม
ฝากใจกับจันทร์ ฝากฝันกับดาว
ทุกคราวก็ได้ เราต่างสุขใจเมื่อคิดถึงกัน.
.............
เด็ดพุดซ้อนอ้อนน้ำค้างเสียบข้างแก้ม
แล้วก็แย้มยิ้มรับกับเช้าใหม่
คิดถึงคนแสนรักในดวงใจ
แล้วดอกไม้ในหอมใจก็ไหวบาน
ตระการแก้วพร่างพราวราวสายรุ้ง
จรัสจรุงมีใครหนอพ้อคำหวาน
ทุกทิวาราตรีปีผันผ่าน
ดั่งบัวบานกลางบึงกว้างมิร้างรัก
หยาดน้ำค้างดั่งเพชรพรมห่มให้ชื่น
ปลุกให้ตื่นฟื้นมาสู้นะยอดรัก
โลกเรานี้มีโศกสุขคลุกเคล้าหนาวเหน็บนัก
ร่มพุทธพักรักษาใจหยาดน้ำใสอมฤตธรรม
ทางสายงามทอดยาวเคล้าธรรมชาติ
ทางสะอาดแสนว่างกลางชีพร่ำ
ชีวิตเราแค่ลมหายใจมาใฝ่ธรรม
เลิกสร้างกรรมทำความดีพลีมอบรัก
เมตตาทุกดวงใจณ.ตรงหน้า
ทุกเวลาอภัยใจแน่นหนัก
รู้การให้ต่อสายใยสายใจภักดิ์
คือสลักแห่งงามตามตรึงใจ
ไม่มีเขาไม่มีเราไม่มีร่าง
ทุกสิ่งว่างมาเพียงพบแล้วหลับไหล
ในนิรันดร์สวรรค์ชั้นฟ้าวิมานใจ
ทิพย์นิรมิตใดไหนเล่างามเท่านี้
งามดวงใจจิตวิญญาณเพียงผ่านหล้า
มิหลงฟ้าหลงฝูงมายาสี
บินเหนือโลกโบกใบบุญนะคนดี
เพียรพร้อมพลีจิตร่างกลางธารธรรม..
ลมหายใจเหลือน้อยค่อยหรี่ดับ
ราวตะวันรอลับฟ้าในยามค่ำ
โลกชีวีหมุนเวียนชดใช้กรรม
อย่ารอทำความดีพลีผองชน..กมลเรา...!!
24 กุมภาพันธ์ 2549 14:47 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
(สีแผ่นดิน..ณ..วันนี้)
บัวกนกผลิบานวิมานสรวง
หอมดั่งดวงทิพยชาติประดับสวรรค์
กนกพงศ์ ฝากนามเป็นนิรันดร์
แห่งหุบฝันฝนโปรยไพรในใจดวง
เป็นตำนานเลือดโนราห์คนปักษ์ใต้
เป็นดั่งสายธาราแห่งเขาหลวง
เป็นไม้งามไม้ไพรกุดั่นดวง
ประดับสรวงฝากมาลาคำย้ำนิรันดร์
นิทราให้สนิทสถิตทอด
ดาวโอบกอดเดือนเห่กล่อมนะจอมขวัญ
ให้พรายแสงศรีกวีรักจักสืบทอดชั่วกัปป์กัลป์
ดั่งรอยธรรมรอยทองแห่งผองชน
อวยพรให้*แผ่นดินเรา*ยังคงอยู่
ให้ร่มรัตน์ฉัตรคู่เคียงเวหน
ให้*สายน้ำรักนิรันดร์*จากดินเดียวกันเกื้อกมล
หวังชีพชนม์คนไทใจคงทอง...
โปรยพิกุลหอมหอมดวงดอกไม้หวาน
เหนือสายธารหุบเขาหลวงพร้อมลอยล่อง
วิญญาณกวีแก้วรัตนโกสินทร์สู่แดนฝันอันเรืองรอง
โลกแซ่ซร้องสดุดี..เป็นที่รัก...แห่งผืนดิน..!
...................
พลีด้วยคารวะและอาลัยสุดซึ้งจากใจพุดค่ะ
และ..
พรุ่งนี้....
เป็นวันที่นกไพรในใจนวลดวงงาม
จักถูก*ประชุมเพลิง*
ที่..
พรายแสงคงเริงโรจน์โชติช่วงตระการ
จิตวิญญาณดั่งดวงเพชรมณีรุ้ง
คงพุ่งสู่สวรรค์สรวงที่เฝ้ารอ...
ฝากรัศมีแห่ง..ความงามให้..ความดี..ความเพียร
เพื่อ..
เป็นดั่งบทเรียนแด่
ทุกดวงใจในแวดวงวรรณกรรม
ให้มิสิ้นไฟฝัน..หวัง..หวาน
เขาคนดียอมพลีจิตวิญญาณไพร
ทำงานหามรุ่งหามค่ำ...
ฝากไว้กับผืนหล้าพสุธาไทยพสุธาทอง..
ไว้ให้ได้รำลึกจดจำ
ให้...
เป็นแบบอย่างแด่ชนรุ่นหลัง ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์
เขาคือ..*คนดีของแผ่นดิน*ถิ่นปักษ์ใต้บ้านเรา
ที่พุดแสนศรัทธา
และ..
หลงรักชื่นชมในงานงาม มานานนักหนา
มาหลายปีแล้วค่ะ
และ..
กับสิ่งสุดท้าย...
ที่ใจดวงนี้..ผู้รักแสนรักอักษราวรรณกรรม
และโลกบรรณพิภพ
จะพึงทำได้
คือ...
นำบทความสดุดี แสนงาม
จากยอดนักเขียนซีไรต์ถึงซีไรต์
มาวางพลีกำนัล
ให้..
ทุกดวงใจ
ในร่มรัก เรือนไทยมิ่งมิตรน้องพี่ ได้ร่วมปันอ่าน..
เพื่อ..
ผนึกจิตสืบสาน..ตามรอย..ผู้เป็นดั่งตำนาน
*วีรบุรุษนักเขียนแห่งพงไพร*
ที่..
ได้เททุ่มถอดชีวิตจิตใจ
เพื่อรจนาเรื่องราวอันแสนยิ่งใหญ่
มอบคืนกลับให้กับโลกใบนี้ ดั่งของขวัญ
ก่อน..
ผืนดินจะกลบหน้า
ก่อนที่ฟ้าจะแปรสี
และ
ก่อนที่สายนทีจะหยุดไหลล่อง..ก่อนวันที่จะสายเกิน...
.............................
บทความจากหนังสือพิมพ์*มติชน*
คอลัมน์ประชาชื่น หน้า33
ฉบับวันที่24 กุมภาพันธ์ 2549
จาก..ซีไรต์..ถึง...ซีไรต์
....................
การจากไปของ *กนกพงศ์ สมสมพันธุ์*
นักเขียนเรื่องสั้นรางวัลซีไรต์
เป็นเรื่องที่ญาติมิตร เพื่อนฝูงในวงการและนอกวงการ
ไม่คาดคิดมาก่อน แต่เมื่อ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก "
สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
การสูญเสียกนกพงศ์
จึงเป็นธรรมดาของความเสียใจที่ไม่อาจบรรยายได้
...นอกเสียจากเสี้ยวของความรู้สึกที่เพื่อนแต่ละคน
ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือจารไว้เป็นอนุสรณ์ในวาระสุดท้าย...
.......................
ปากกากนกพงศ์...เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
น้ำตามาตกเหย้า
ที่หุบเขาฝนโปรยไพร
กลางควันอันอวลกระไอ
"โลกใบเล็กของซัลมาน"
มาอยู่มายงยุค
มายงยามเป็นตำนาน
ให้เห็นหัวใจหาญ
แห่งผู้คนบนแผ่นดิน
ดูดั่ง "แผ่นดินอื่น"
แท้ดินเดียวในธรณิน
คือชนอันชาชิน
ยังหยัดอยู่สู้พาลา
ขุนน้ำทะเลใต้
แลขุนไพรแห่งภาษา
ขุนภูเหยียบเมฆา
จักโปรยปราณหว่านภูพง
ตื่นแล้วในโลกนี้
แลโลกหน้าอย่างทระนง
ฝากนามสำคัญคง
"กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"
หุบเขาฝนโปรยไพร
โปรยดอกไม้มาลาวรรณ
บานอยู่คู่กัปกัลป์
กับปากกา "กนกพงศ์"
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
*******************************
เสียดาย...*ชาติ กอบจิตติ*
ชีวิตเริ่มต้นเมื่อสี่สิบ
เชื่อว่าเราหลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้
ผมเองก็เช่นกัน แต่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า
กนกพงศ์ของพวกเรา
จะเริ่มต้นชีวิตในวัยสี่สิบของเขาด้วยหนทางนี้
เมื่อรู้ข่าวการจากไปของกนกพงศ์
ผมเชื่อว่ามีคนตกใจ
และไม่อยากเชื่ออยู่หลายคน ผมเองก็เช่นกัน
ต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นความจริง ก็ต้องทำใจ
เพื่อลบล้างความเสียใจที่มี
แน่นอน
เรายังเป็นปุถุชนอยู่
ความเสียใจจึงยังไม่ยอมจากเราไปง่ายๆ
แต่นอกเหนือจากความเสียใจ
ที่มีต่อการจากไปของเขาแล้ว ผมยังรู้สึกเสียดาย
ผมเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า
งานเขียนของกนกพงศ์จะต้องพัฒนาต่อไปอีกไกล
เพราะ
ความเป็นคนช่างคิดและฝีมือของเขา
ต่อเมื่อมาถึงวันนี้ (ในวัยสี่สิบ)
ร่องรอยในการเปลี่ยนถ่ายงานเริ่มปรากฏออกมาบ้างแล้ว
และผมคิดว่ากนกพงศ์ก็รู้ดีว่าเขากำลังทำอะไร
ถ้าทอดเวลาให้เขาอีกสักนิดหนึ่ง
เราอาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น
ในวงวรรณกรรมไทยก็เป็นได้
ผมจึงรู้สึกเสียดาย
สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในวันนี้คืองาน
และวิถีชีวิตของเขาที่กลมกลืนกับการทำงาน
อาจเป็นแบบอย่าง (หนึ่ง) ให้นักเขียนรุ่นหลังได้ศึกษา
หรือมองแนวทางในการดำเนินชีวิตได้
นับเป็นประโยชน์ที่เขาทิ้งไว้ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
สำหรับผมแล้ว นอกเหนือจากเสียดาย
ที่จะไม่มีโอกาสได้อ่านงานของเขาอีกต่อไป
ผมยิ่งเสียดายมากขึ้นเมื่อนึกถึงเขาว่า
ต่อไปนี้ใน "วง" ของเราจะไม่มีกนกพงศ์อีกต่อไป
ใครที่เคยอ่านงานเขียนของกนกพงศ์แล้ว
คิดเลยเถิดว่าเขาคงเป็นคนเคร่งเครียดไม่น่าคบ
เป็นความคิดที่ผิดครับ กนกพงศ์ในวงเป็นคนสนุกชอบอำ
อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ผมจึงรู้สึกเสียดาย
แต่ถึงจะเสียดายอย่างไรก็คงห้ามเขาไม่ได้แล้ว
ทำได้เพียงบอกกับเพื่อนว่า
ไปเถอะกนกพงศ์ ไปเริ่มต้นชีวิตตามที่ปรารถนา
อย่าได้ห่วงอะไร
ด้วยรัก
*ชาติ กอบจิตติ*
******************************
ไม่ต้องสงสัย...*บินหลา สันกาลาคีรี*
"ผมกับกนกพงศ์ไม่สนิทกัน เจอครั้งสุดท้ายประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว
เจอกันไม่เกิน 10 ครั้งในชีวิต เขาเคยเป็นรุ่นน้อง
ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
แต่ไม่เจอกัน เพราะผมออกมาก่อน
"ติดตามอ่านงานของกนกพงศ์มาตลอด
โดยเฉพาะเล่มล่าสุดที่วางคือ
โลกหมุนรอบตัวเอง
อยากบอกว่าเป็นรวมเรื่องสั้นที่ดีมากๆ มาก
จนกระทั่งรู้สึกว่า...คำว่า ลุ่มลึก ลึกซึ้ง
มาใช้กับเล่มนี้ได้เลย ตั้งแต่กนกพงศ์แต่งเรื่องสั้นชุด แผ่นดินอื่น
ก็ไม่ได้รวมเรื่องสั้นอีกเลยเกือบ 10 ปี งานชุด
โลกหมุนรอบตัวเอง
มีค่ามากกว่าเวลาเกือบ 10 ปีนั้น
ยากมากที่จะเขียนให้ได้ขนาดนั้น
และถ้าผมเขียนได้ถึงขนาดนั้น ก็คงไม่เสียดายชีวิตเท่าไหร่
"เมื่อรู้ว่ากนกพงศ์เสียชีวิตก็ใจหาย
เพราะกนกพงศ์ของผมคือคำว่า
ไม่ต้องสงสัย ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
เขาเป็นของแท้ เขาเป็นมืออาชีพ เป็นตัวจริง
ทั้งงานและตัวเขากลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
ผมเชื่อว่างานของเขาจะอยู่อีกนาน
และเชื่อว่างานของเขา
จะเป็นตำนานเรื่องสั้นของไทยเหมือนงานของ มนัส จรรยงค์
และเหมือนงานของนักเขียนอาวุโสหลายท่าน
"กนกพงศ์เป็นที่รักของทุกคน ทุกคนรักเขา
มีความรักมากมายให้เขา
ก็แสดงว่าเขาต้องมีความรักมากมาย
ให้คนอื่นด้วยเหมือนกัน...เป็นสิ่งที่สัมผัสได้"
ยังจำคืนหนึ่ง ริมน้ำปิง
นิ่ง นิ่ง นิ่ง เงียบงัน
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างเขา
อ่านงานของคุณเล่มล่า
ลมปลิว ใบไม้ป่า
หลับตา ถอนใจยาว
เจ้าหงิญของเรา เตาะแตะตามรอยเท้าคุณ หลายขวบปี
ใจหาย, เสียดาย หรือชีวิต
เกิดมาคิด เขียน ได้เพียงนี้
วันหน้า ณ ริมฝั่ง มหานที
สอนผมอีกที ในความเงียบงัน
*บินหลา สันกาลาคีรี*
************************
อาลัยกนกพงศ์.....*จิระนันท์ พิตรปรีชา*
รับรู้ข่าวร้ายไม่รู้จบ กี่ร้อยพันศพ...ศึกแดนใต้
เรือนหมื่นคลื่นกวาดอนาถใจ ทิ้งรอยหม่นไหม้อันดามัน
แล้วมาข่าวร้ายรายล่าสุด จบชีวิตปิดสมุดหยุดเขียนฝัน
เพื่อนเรา "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" ฉับพลันจากพรากยากทำใจ
ไร้เงาเหงาโค้งควนขนุน พิกุลร่วงบนพื้นป่าใหญ่
วรรณกรรมบทอำลา...สุดอาลัย ฝากผลงานคนใต้ให้แผ่นดิน
*จิระนันท์ พิตรปรีชา*
**************************
เปลวกนก กนกพงศ์.....*ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ*
กนกเปลวสะบัดปลาย อยู่แปลบปลาบ
นรกซึ้งสวรรค์ทราบเจ้าสร้างสรรค์
ประชุมเพลิง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"
วงวรรณสะท้านไหวทั้งว่านวงศ์
คืนสู่ธรรมชาติแล้วธาตุสี่
เหลือธุลีอังคารเจ้าเป็นเถ้าผง
หากคมคิดคมคำเจ้ายังคง
กระเดื่องนามกนกพงศ์คงกระพัน
แผ่นดินนี้ยากแค้นแสนขมขื่น
แผ่นดินอื่นมีไหมให้ใจฝัน
แผ่นดินใดเอื้อศรัทธาค่าชีวัน
แผ่นดินนั้นสัจจธรรมจักดำรง
แผ่นดินที่ความจนพ้นอดสู
แผ่นดินซึ่งความรู้พ้นโลภหลง
แผ่นดินซึ่งคนทุกข์ยังทระนง
แผ่นดินซึ่งคนตรงยังยืนยัน
ทางที่เราต้องผ่าน...สะพานขาด
เรายังอาจฝ่าข้ามด้วยความฝัน
เปลวกนก กนกพงศ์ส่องวงวรรณ
จัดโชติชาวง เช่นนั้น...นิรันดร์ไป
*ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ*
****************
แผ่นดินอื่นของกนกพงศ์......*อัศศิริ ธรรมโชติ*
วันนี้ขอกล่าวถึงผลงานของเพื่อนนักเขียนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจากไป
"แผ่นดินอื่น" คือชื่องานรวมเรื่องสั้นของเขา
ที่ได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ.2539
ซึ่งคณะกรรมการตัดสินได้กล่าวสดุดีเอาไว้
มีความตอนหนึ่งว่า
"สะท้อนความคิด ความเชื่อ คุณค่า
และคตินิยมพื้นถิ่นอย่างลึกซึ้งและแหลมคม
ให้เห็นว่าแม้ในสังคมที่ต่างวัฒนธรรม ต่างความเชื่อ
มนุษย์ก็สามารถอยู่ร่วมกันด้วยไมตรีสัมพันธ์"
นี่น่าจะหมายถึง
การสะท้อนชีวิตและโลกของคนมุสลิมเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เป็นนักเขียนชาวใต้ เกิดที่พัทลุง
แต่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช
จนกระทั่งวาระสุดท้าย
แต่..
ก่อนหน้านั้นเขาได้ใช้ชีวิตไปทุกที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในสามจังหวัดภาคใต้ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน
กนกพงศ์คลุกคลีและมีเพื่อนเป็นมุสลิมหลายคน
เขาจึงเป็นนักเขียนคนหนึ่งซึ่งรู้จักและ
เข้าใจโลกของคนมุสลิมในแถบชายแดนดี
นับตั้งแต่ฮาราน ที่เป็นทหารชุดปฏิบัติการของรัฐบาล
ครูสาวของเด็กนักเรียนอย่างฟาริดา
คนงานอย่างกอเส็มซึ่งเป็นคนเลี้ยงแพะในกุโบร์
"หมู่บ้านมุสลิมไม่สนุก แน่ละ...
เพราะเราจะหาเหล้าจากที่นี่ไม่ได้แม้เพียงหยด
บูเก๊ะกรือซอในยามค่ำคืนจึงเต็มด้วยความว้าเหว่และหดหู่...
ด้วยตกอยู่กลางวงล้อมของขุนเขา"
นี่คือข้อความหนึ่งในเรื่องแผ่นดินอื่น
กนกพงศ์เป็นนักเขียนผู้สามารถ
ทั้งในการเล่าเรื่อง
และใช้ภาษาสวยสมกับที่เป็นวรรณศิลป์
เขา
เข้าใจโลกของคนมุสลิมดี
อย่างที่เขากล่าวถึงฮารานว่า
เป็นผู้ที่ถูกบ่มเพาะมาให้มีจิตใจเข้มแข็ง
เปี่ยมด้วยความอดทนและรักในเพื่อนมนุษย์
เยี่ยงเดียวกับมุสลิมทั่วไป
จิตใจของมุสลิมถูกฝึกฝนให้กอปรด้วยสามสิ่งนี้ตั้งแต่เล็กๆ
ผมจึงอยากให้คอหนังสือ
และผู้ที่สนใจ
ในปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั่วไป
ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
เพราะนี่คือ
ผลงานทางวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมที่กนกพงศ์ได้ทำไว้
จะลองอ่านฝีมือเขียนของเขาในบางตอนดูได้
"เพลงรองแง็งดังแว่วมาจากบ้านงาน หวานก้องของไวโอลิน
ในเพลงลาฆูดูวอกรีดบาดหัวใจชวนให้สงสัยว่า
นิ้วเรียวจากมือใดถึงพรมสาย
ราวจะดึงจันทร์เพ็ญให้ลอยต่ำลงมาได้ถึงปานนั้น
เด็กหนุ่มมุสลิมอีกสองคนยังอยู่ที่บ้านงาน
เฝ้ารอลิเกฮูลูเอื้อนเสียงแข่งสำเนียงหวานกับน้ำค้างซึ่งพรมยอดหญ้า"
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
เจ็บป่วยและตายด้วยไข้หวัดใหญ่เมื่อวันมาฆบูชา
ที่เพิ่งจะผ่านมานี้ด้วยวัยเพียง 40 ปี ช่างน่าเสียดายนัก
จึงขอร่วมไว้อาลัยด้วยงานเขียนชิ้นนี้ครับ
*อัศศิริ ธรรมโชติ*
*******************
บันทึกสุดท้ายที่ไม่อยากเขียน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
"ผมอยากจะเขียนนวนิยาย"
โดย...คุณสาโรจน์ มณีรัตน์
ไม่น่าเชื่อว่าการเขียนถึง
"กนกพงศ์ สงสมพันธุ์" ในอดีต
สมัยเมื่อครั้งที่เขาได้รับรางวัลรวมเรื่องสั้นซีไรต์
ชุด "แผ่นดินอื่น" เมื่อปี 2539
ทั้งในเรื่องของวิธีคิด ลักษณะการทำงาน
รวมไปถึงความมุ่งมั่น
ที่เขาต้องการที่จะเป็นนักเขียนอาชีพ
จะทำให้ต้องกลับมาเขียนถึงเขาอีกครั้งหนึ่ง !
ในฐานะนักเขียนนามอุโฆษ
ที่จบชีวิตลงด้วยโรคน้ำท่วมปอด
เมื่อตอนสายของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ผ่านมา
และจะฌาปนกิจในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549
ทั้งที่จริงแล้ว การเขียนถึง "กนกพงศ์" ครั้งนี้
น่าจะเป็นการเขียนต่อยอด จากเมื่อครั้งที่เขาเคยขึ้นเวที
"มติชนบุ๊คส์เดย์ตะลอนทัวร์"
ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อ 3-4 ปีผ่านมา
ครั้งนั้นมี "พล.ท.บัญชร ชวาลศิลป์"
ร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นด้วย
และ "กนกพงศ์" ได้เล่าไว้บนเวที
ถึงความฝันในงานเขียนของเขาว่า
ผมอยากจะเขียนนวนิยาย
"เพียงแต่ตอนนี้
กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเก็บรวบรวมข้อมูล
โดยผมวางพล็อตคร่าวๆ
ให้ตัวละครคนหนึ่งถูกทุกคนมองว่าเป็นคนบ้า
แต่คนบ้าคนนี้กลับเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตทุกอย่าง
พล็อตเป็นอย่างนี้
แต่รายละเอียดคงต้องลงไปเก็บข้อมูล
ที่หลังคาแดง
(โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี) อีกครั้ง"
ตอนที่ "กนกพงศ์" พูดถึงงานเขียนนวนิยายเรื่องนี้
ผู้ฟังในหอประชุมค่อนข้างให้ความสนใจกันมาก
ถึงขนาดเขียนคำถามมาถาม แต่เขาคงยังยืนยันความคิดเดิม
"เป็นสิ่งที่ผมอยากทำครับ"
เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ทำ
เหตุที่ "กนกพงศ์" อยากเขียนนวนิยาย
เพราะภาพเดิมของเขาผ่านงานเขียนเรื่องสั้นมาแล้วหลายเล่ม
รวมถึงรวมเรื่องสั้นเล่มสุดคือ "โลกหมุนรอบตัวเอง"
และ
นิตยสารเรื่องสั้น "ราหูอมจันทร์" เล่ม 1
ที่ขณะนี้คงอยู่ในขั้นตอนของการจัดทำอาร์ตเวิร์ค
หรือไม่ก็คงใกล้จะแล้วเสร็จ
เพราะเท่าที่ทราบ "กนกพงศ์"
ค่อนข้างตั้งใจทำนิตยสารเล่มนี้เป็นอย่างมาก
เพราะเขาอยากให้นิตยสารเล่มนี้
เสมือนเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักเขียน
หรือแฟนานุแฟนที่ชื่นชอบงานวรรณกรรม
แต่เขามาด่วนจากไปเสียก่อน !
ถ้ามองย้อนไปในอดีต ความมุ่งมั่นที่เขาอยากเป็นนักเขียน
สิ่งหนึ่งน่าจะมาจาก "พ่อ"
เพราะพ่อสืบเชื้อสายมาจากขุนโจรโบราณ
พ่อซึ่งมีอดีตเป็นครู และพ่อผู้เปิดโอกาสให้ลูกๆ ทั้ง 3 คนขณะนั้น
เลือกเป็นสมาชิกหนังสือเล่มใดก็ได้
โดยกนกพงศ์เลือกชัยพฤกษ์การ์ตูน
พี่ชายเลือกการ์ตูนเด็กก้าวหน้า และพี่สาวเลือกขวัญเรือน
ประกอบกับอิทธิพลอีกประการ
ที่น่าจะมีส่วนทำให้กรอบความคิด มุมมอง ทัศนคติ
ตลอดจนความเชื่อดั้งเดิมที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง การทหาร
หรือการจัดการของชาวบ้านแจ่มชัดขึ้น
เพราะพื้นที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุงในอดีต เคยเป็นพื้นที่สีแดงมาก่อน
ดังนั้น ภาพที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นภาพของความโหดร้าย
หรือภาพของความไม่เป็นธรรม
จึงเป็นภาพที่เขานำมาตั้งคำถามกับสังคม
จนเกิดเป็นงานเขียนในยุคแรกๆ
ที่มีฉาก บรรยากาศ หรือตัวละคร
ล้วนสร้างขึ้นจากความทรงจำดั้งเดิม
อาทิในรวมเรื่องสั้นชุด "สะพานขาด"
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ลึกๆ "กนกพงศ์"
แท้จริงแล้วงานเขียนของเขาพัฒนา
เติบโตมาจากกรอบความคิดที่อิสระ
มองถึงลักษณะของปัจเจก มองถึงเรื่องอัตถิภาวนิยม
การแสดงออกระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ มนุษย์กับมนุษย์
และ..
ท้ายสุด
คืออารมณ์กับความรู้สึกที่เขาเข้าไปสัมผัสต่อเรื่องนั้นๆ
"กนกพงศ์" เริ่มค้นพบโลกของเขา
เขาจึงหันหลังให้โลกแห่งการศึกษา
แต่กระนั้น เขาก็ขัดแย้งกับ "แม่" พอสมควร
เพราะ
"แม่" ไม่ต้องการให้เป็นนักเขียน
"แม่ผมเป็นโนราห์
แม่อยากให้ผมเรียนจบ มีงานทำดีๆ
แม่ไม่อยากให้ผมเป็นนักเขียน
ดังนั้น เมื่อผมเลือกที่จะเป็นนักเขียน จึงมีปัญหากับแม่พอสมควร"
แต่
ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นนักเขียน
จึงทำให้เขาเดินต่อไป
ด้วยการไปรบกวนพี่ เพื่อน น้องในกลุ่มนาคร
ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มวรรณกรรมท้องถิ่น
ที่มีนักเขียนปักษ์ใต้มาชุมนุมมากที่สุด
"กนกพงศ์" ใช้ชีวิตระหว่างนี้
ด้วยการฝึกฝนงานเขียนเป็นร้อยๆ เรื่อง
แต่กระนั้น ก็ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของ "กนกพงศ์"
ที่อยากจะเดินต่อไป เพราะเขาเริ่มรู้สึกว่า
ความฝันกับความเป็นจริงคนละเรื่อง
เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
ไปทำงานที่บริษัทเคล็ดไทย
โดยทำอาร์ตเวิร์คบ้าง บรรณาธิการเล่มบ้าง
แต่เขาทำได้ไม่นาน
เพราะรู้สึกว่างานประจำมันแย่งเวลางานเขียนของเขาไป
เขาจึงตัดสินใจไปเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน
ที่ทางขึ้นน้ำตกอ้ายเขียว อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
เพื่อเขียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว
จน..เรื่องสั้น "สะพานขาด"
ได้รับการประดับช่อการะเกด
จากบรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุดเดินข้ามคืน
"โลกใบเล็กของซัลมาน"
ได้รับการประดับช่อการะเกด
จากบรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ในชุดคนพันธุ์ใหม่
ถึงตรงนี้ "กนกพงศ์" เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ในฐานะนักเขียนรุ่นใหม่
แต่นั่น
ก็ยังไม่ใช่ความฝัน เพราะความฝันของนักเขียน
นอกจากผลงานจะเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง
การมีพ็อคเก็ตบุ๊กสักเล่มดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ภูมิใจยิ่งกว่า
จน
สำนักพิมพ์นกสีเหลืองของ "เวียง-วชิระ บัวสนธิ์"
เล็งเห็นงานอันทรงคุณค่าที่สุด
จึงพิมพ์รวมเรื่องสั้นชุดสะพานขาดออกมาในเดือนตุลาคม 2534
พฤษภาคม 2535 รวมเรื่องสั้นชุดคนใบเลี้ยงเดี่ยว
จึงปรากฏออกมาเป็นเล่มที่สอง
ถึงตรงนี้ ดูเหมือนเส้นทางที่ "กนกพงศ์" เลือกเดินจะแจ่มชัดขึ้น
เพราะรวมเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่ม
ได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก
จนถึงมีมือมืดส่งเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่มนี้ เข้าชิงซีไรต์ ในปี 2536
แต่
"กนกพงศ์"
ขอใช้สิทธินักเขียนขอถอนรวมเรื่องสั้นทั้ง 2 เล่มออกมา
ทั้งๆ มีผู้วิจารณ์กันว่าหากเขาไม่ถอนรวมเรื่องสั้นครั้งนั้น
เขาอาจเป็นนักเขียนซีไรต์ประจำปี 2536 ไปแล้วก็ได้
แต่
เขากลับไม่เชื่อเช่นนั้น
เพราะเขาเชื่อตามที่
"เออร์เนสต์ แฮมมิ่งเวย์"
นักประพันธ์ชาวอเมริกันที่บอกว่า
"ข้าพเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะเหตุบังเอิญ
แต่ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จเพราะทำงานหนัก"
ความสำเร็จจากการทำงานหนักนี่เอง
ที่พี่ชาย "เจน สงสมพันธุ์" รู้ดีว่า
หากเขาปล่อยให้น้องชายเป็นอยู่อย่างนี้
ไม่เพียงแม่จะไม่สบายใจ
หากยังทำให้น้องชายห่างไกลจากความฝันนานขึ้น
ดังนั้น ทางเดียวที่จะทำให้
"กนกพงศ์" ใกล้สู่ความฝันเร็วขึ้น
คือ..
ต้องตั้งสำนักพิมพ์นาครขึ้นมา ทางหนึ่ง
เพื่อให้เขาจมจ่อมอยู่กับงานวรรณกรรม
ทางหนึ่งเพื่อให้แม่สบายใจ
และอีกทางหนึ่ง เขาจะได้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง
จน..
พอมีรายได้เพื่อไปเก็บข้อมูลมารังสรรค์งานวรรณกรรมต่อไป !
เหมือนอย่าง "แผ่นดินอื่น" เรื่องสั้นขนาดยาว
ที่เขาใช้เวลากว่า 5 ปีในการเก็บข้อมูล วิจัย
และทำการศึกษาอย่างจริงๆ จังๆ
ฉะนั้น
จึงไม่แปลกเมื่อ "แผ่นดินอื่น" ถูกเสนอชื่อเข้าชิงซีไรต์ในปี 2539 "
เออร์สกิน คอล์ดเวลล์" ในร่าง "กนกพงศ์ สงสมพันธุ์"
จึงได้รับการยอมรับให้เป็นนักเขียนซีไรต์ในที่สุด
แต่ "กนกพงศ์" คงยังเป็น "กนกพงศ์"
เขายอมรับว่าดีใจแต่ขณะเดียวกัน
เขารู้ดีว่าเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดินนั้นยังอีกยาวไกล
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาจะต้องเดินฝ่าไป
"กนกพงศ์" รู้ดีว่า ทุกถิ่นฐานที่เขาอยู่
ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่าทางขึ้นน้ำตกพรหมโลก
บ้านเช่าทางขึ้นน้ำตกอ้ายเขียว
หรือบ้านเช่าที่หุบเขาฝนโปรยไพร
ล้วนเป็นแหล่งสร้างงานวรรณกรรมทั้งสิ้น
โดยเฉพาะที่บ้านหุบเขาฝนโปรยไพร
ที่ระยะหลังๆ เขามีโอกาสอยู่กับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก "อุรุดา โควินทร์"
ก็ล้วนเป็นแหล่งสร้างงานวรรณกรรมดีๆ ออกมาอยู่เสมอ
แม้นานๆ ครั้งก็ตาม..
วันนี้..
แม้ไม่มีร่างเงาของ "กนกพงศ์" อีกต่อไปแล้ว
แต่..
เชื่อแน่ว่าผลงานของเขาทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นรวมเรื่องสั้น บทกวี หรือบทเพลง
ล้วนต่างเป็นภาพสะท้อน
ที่หลายคนคงประจักษ์ชัดว่า
เขาตั้งใจมากแค่ไหน
ที่จะเป็นนักเขียนให้ได้ในวันหนึ่ง
*วันนี้เขาเป็นนักเขียนแล้ว
เป็นนักเขียนในกลางใจของผู้คน*
และ..
เป็นหนึ่งในดวงใจ
เป็นวีรบุรุษไพรของนักอยากจะเขียนเพียรฝันค้าง
อีกคน...ที่ชื่อพุดพัดชาค่ะ
ที่..
แสนรักแสนศรัทธาคารวะ..ตราบชีพวาย*
21 กุมภาพันธ์ 2549 22:38 น.
พุด
กระท่อมไพรในหุบเขาใต้เงาไม้
ลำธารร่ายมนต์ระรินถิ่นฝากฝัน
หวานดอกไม้รายรอบยามสายันณ์
นกไพรขันคูก้องร้องทั่วไพร...
เหนือสายน้ำนวลแสงดาวส่องพราวแสง
หยอกเย้าแกล้งนวลเนื้อสาวหนาวสั่นไหว
แหวกว่ายธารหวานล้ำชื่นฉ่ำใจ
ฝากจูบไปในราตรีที่ไกลเธอ..
ฝากแสงจันทร์ถึงสายใจในคืนนี้
บอกคนดีให้คืนหลังยังพ้อเพ้อ
มนต์ม่านเมฆเสกซึ้งเศร้าเฝ้ารอเธอ
อย่าให้เก้อคืนสู่ฝันวันหวานเรา...
ดวงดอกไม้หวานหวานหว่านโปรยสาย
ล้อดาวพรายในสายธารหวานลืมเหงา
นอนนับดาวราวเรียงดวงลมบางเบา
ในเงียบเหงาใจงามงอกดวงดอกรัก!
.............
เขียนบทนี้ ด้วยคิดถึง โตรกเขา ในเงาเมฆ
กลางพงไพรพะงันงาม..
ยามสนธยา ที่ฟ้าหวานแสนหวาน
เสียงสายธารระรินไหลไพเราะดั่งดนตรีสวรรค์
ดวงดอกไม้หวานหวาน ปลิดดอก โปรยปราย...
พร่างพรมห่มร่างสาวงามผิวนวลน้ำผึ้ง
ม่านฟ้า..ยามสายันณ์ สลับสีสันนุ่มนวล ประโลม..!