10 เมษายน 2549 13:18 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
ฉันคือใครใครคือฉันเล่าที่รัก
จงประจักษ์ไร้ตัวตนแทรกทุกหน
ในดินน้ำลมไฟเกื้อกมล
ในทุกข์ทนสุขเศร้าหนาวดวงใจ
อาจเป็นดั่งดินทองผลิเรียวรวงระยับระย้า
อาจเป็นฟ้าฉ่ำฝนน้ำค้างใส
อาจเป็นลมพรมพรายนะดวงใจ
อาจเป็นไฟให้พลังฝันในวันนี้
เป็นดวงดอกไม้พยอมไพรไร้ใครปอง
เป็นบัวทองผ่องพรายพรรณรายสี
เป็นพุดซ้อนซ่อนซึ้งเศร้านะคนดี
เป็นมะลิพลีบูชาหน้าพระพุทธ
เป็นโค้งคอดกอดสายน้ำระรี่ไหล
เป็นธารใจหยาดรินมิสิ้นสุด
เป็นทุกสิ่งอิงธรรมนามสมมุติ
เป็นพิสุทธิ์พิเศษแค่ไหนตามใจเธอ
ไม่มีจิตแลร่างช่างว่างเปล่า
เป็นเพียงเงาผ่านมาสนองเสนอ
กระซิบพร่ำฝากสัจจธรรมพลีแด่เธอ
อย่าหลงเพ้อมายาฝันนิรันดร์กาล
อย่าไขว่คว้าหาฉันเลยที่รัก
หนาวเหน็บนักดั่งสายลมที่พัดผ่าน
ไม่มีฉันให้ยึดมั่นอนันตกาล
อย่าร้าวรานดั่งว่างสะท้อนวอนดวงใจ
หลับตาสิที่รักจักเห็นฉัน
ในเวิ้งวันไร้สุขทุกข์หวั่นไหว
ตราบที่เธอคนดียังมีลมหายใจ
หลอมรวมใจไปด้วยกันนิรันดร...
.........................
ฝนหลงฤดูโปรยสายหนักมาก
ทิ้งมวลอากาศหวานเศร้า
ด้วย..อวลกลิ่นดวงดอกแก้ว
ที่กำลังค่อยๆ..ปลิดกลีบทิ้งช่อ
พ้อพร่าง..พลางร่วงละลิ่วปลิวลงมา
พรายพรม..ณ..พื้นหญ้านวลขจี
สายฝนยังหยาดเย็นหยดย้อย
ร้อยสายร่วงลงมา
จากเรียวใบไม้แลชายคารายรอบกระท่อมวิมานดิน
หยาดน้ำค้างจากฟ้ากลมกลิ้งพลิกพลิ้ว
กระทบแสงแดดสีทองจนเกิดประกายระยิบระยับ
่ก่อนจะ...มลายหายวับไป อย่างไร้ร่องรอย...
..............
จากแรงฝันบันดาลใจ
ที่ช่างซึ้งใจนัก
ในน้ำคำน้ำใจ*น้องดอกบัว*
ที่ระรินร่ำหยาดพลีมอบให้นวลใจพี่พุดแสนพริ้งพราย
ฉายฉานที่ยังมีคนรักงานพี่พุด
ในงาน
*ไพโรจน์จำรัสรัศมีบุญ*ค่ะ
...............
พี่พุดคะ บัวไม่รู้ว่าพี่พุดคือใคร
แต่งานชุดนี้ของพี่บัวชอบค่ะ
ไพโรจน์จำรัสรัศมีบุญ
บัวอ่านแล้วทำให้บัวต้องน้ำตาไหลออกมา
ภาพผองบรรพชนคนกล้า
ยอมพลีดวงวิญญาณปกบ้านป้องเมือง
ทุกร่างชายชาติอาชาไนยชาตินักรบ
เลือดไท ผู้มีดวงเหี้ยมหาญ
ยอมพลีร่างเพื่อผืนปฐพี ดีกว่าจะยอมไร้สิ้นอิสราเสรี
ให้ใครเข้ามาย่ำยีดวงใจ ดั่งทาส
ถ้าเราไม่มีบรรพชนผู้กล้าเราคงจะสิ้นแผ่นดินไทย
บัวขอกราบลงพื้นแผ่นดิน
ที่บรรพชนผู้กล้าทำให้บัวได้มีแผ่นดินอยู่ค่ะ
รวมทั้งขอบคุณเหล่าทหารหาญที่ปกป้องดินแดนไทย
ดอกบัว 07 เม.ย. 49 - 22:35 IP 58.11.96.211
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
คนเดียวในดวงใจ ศรีไศล สุชาติวุฒิ
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันไม่เคยคิด รู้ แต่บัดนี้ เธอมาสถิตย์
มาอยู่ใกล้ชิด ในดวงใจฉัน
เธอมาจากไหน จากดินผืนใด
หรือจากสวรรค์ ฉันก็จะรัก
รักเธอเท่ากัน ไม่เคยจะหวั่นแม้คำนินทา
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบ อุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบอุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอมาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม...
7 เมษายน 2549 14:17 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song607.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song275.html
(สงกรานต์น้ำตา..อยุธยาเมืองเก่า)
ฤดูร้อน
ฟ้าสดกระจ่าง สว่างไสว
ด้วยระยับแดดเรียวเมฆสีเงินยวง
ส่องผ่านปวงดวงดอกไม้นานาพรรณ
ทั้ง..
ลั่นทมริมทาง
คูนพร่างสี..เหลืองพราว
ตะแบกขาวปนม่วงอรชร
หวานละอออ่อนชมพูพันทิพย์...
.................
เธอ..กำลังจะออกจากนิวาสสถาน
ไม่ลืม..หยิบหมวกสานฝีมือละเมียดภูมิปัญญาชาวบ้าน
ที่...
สำหรับเธอแล้ว
ช่างให้ความรู้สึกงามงดอย่างเหลือเกิน
เธอ..เพิ่งได้มาจากวันที่ไปแถว*หน้าพระลาน*
ในวันที่เธอไปน้อมนมัสการ*พระแก้วมรกต*
ในวันมาฆมาศ ที่เพิ่งผ่านมา...
ด้วยใจดวงใสใสแสนสุขเกษม....
..............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song607.html
สงกรานต์น้ำตา สายัณห์ สัญญา
เขามาทำบุญ
ในวัน สงกรานต์
เขากลับมาบ้าน
สรงน้ำหลวงพ่อในโบสถ์
เขา กลับ มา หา
และมา ขอ โทษ
เขาวอนพ่อโปรด
ได้คิด เมต-ตา
เขามาทำบุญ
ในวัน สงกรานต์
เขากลับมาบ้าน
อาบน้ำคุณลุงคุณป้า
เขา กลับ มา พบ
เขา มา ขอ ข-มา
ที่ เคย พูด จา
ล่วง ล้ำ เกิน เลย
ประเพ-ณี สงกรานต์
ที่บ้านนอกเรา
ดูใครๆเขา น่าชมชื่นเชย
เรา คอย ห่วง หา
ทุก นา ที เลย
โอ้ทรามเชยเขาไยไม่ มา
พอเขาก้าวมาในวัน สงกรานต์
พร้อมข่าวแต่งงาน
หลั่งน้ำสังข์ในเดือนหน้า
วันนี้เรานั้น สงกรานต์ น้ำ ตา
หนุ่มน้อยบ้านนา
โศกาอาดูร
พอเขาก้าวมา
ในวัน สงกรานต์
พร้อมข่าวแต่งงาน
หลั่งน้ำสังข์ในเดือนหน้า
วันนี้เรานั้น สงกรานต์ น้ำ ตา
หนุ่มน้อยบ้านนา
โศกาอาดูร...
.....................
เสียงบทเพลงในรถหวานแว่วแผ่วมา
คลอเคียงกับท้องนาดงตาล
ในเส้นทางสายสวยสงบงาม
ทางผ่าน...ที่เธอกำลังจะพาร่างไปวัด..
เพื่อถวายปัจจัย
ที่จะร่วมสร้าง*ฉัตรทองคำ*กางกั้นพระบรมสารีริกธาตุ
จิตดวงสะอาด กำลังสว่างพร่างพราย
คล้ายตระการรับพลังรัศมีจากสายแสงสุริยา
ดั่งดวงดอกบัวทองผ่องช่อบูชา...ชูพ้นน้ำ..
บานฉายฉานรับพลังบุญ
อันคือ..
*ทุนธรรม* ดั่งเสบียงจิตตามติดไปได้
ใช่เพียงสะสมวัตถุใด
หาก..
ฝากพลีไว้ในร่มรัตน์ฉัตรแก้ว
ให้สมกับที่ได้เกิดมา
พบพระพุทธศาสนาแล้ว
และ..
มิขอคลาดแคล้ว
ที่จักเดินตามรอยเบื้องพระบาทพระบรมศาสดา
อันคือสายธาราเกษม..ที่จักจะหยาดเย็น
ให้เป็นสุขสงบ
พบ..
ความสว่างกระจ่างแจ่มไปตราบชั่วนิจนิรันดร์
เธอ..นั่งเรือข้ามฟาก
ในคลองตาคลองใจ..
สายธารใสเจ้าพระยาแสนงาม..กำลังไหลล่อง
บ้านเรือนสองฝั่งคลอง ราวกับภาพโบราณ
ย้อนกาลสมัยกลายกลับมาฉายชัด
ภาพวัดวาอาราม งามสงบสงัด..โผล่เจดีย์งามจรัส
สีทองผ่องพรายพรรณรายระดะ ไปทั่วทั้งกรุงศรีอยุธยา
ก่อนวันที่พม่าจะยาตราทัพ
มาเหยียบย่ำ
มาฝากรอยระกำสร้างทุกข์โทมนัสจนยากจะทำใจ
น้ำใสใสกำลังหยาดริน ในห้วงใจ ณ..นาทีนี้
เมื่อรำลึกย้อนไปในวันนั้น
ภาพไฟควัน..ตะวันแดงเดือด
ภาพเลือดท่วมท้องทุ่งเนืองนอง
ภาพผองบรรพชนคนกล้า
ที่..
ยอมพลีดวงวิญญาญ์ปกบ้านป้องเมือง
ถูกสังหารด้วยคมหอกศาตราวุธอย่างเหี้ยมโหดสุดบรรยาย
ทุกร่างชายชาติอาชาไนยชาตินักรบ
เลือดไท ผู้มีใจดวงเหี้ยมหาญ
ยอมพลีร่างเพื่อผืนปฐพี.. ดีกว่าจะยอมไร้สิ้นอิสราเสรี...
ให้ใครเข้ามาย่ำยีดวงใจ..ดั่งทาส..
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song275.html
อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย
เดี๋ยวนี้ ซิเป็นเมืองเก่า
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน
ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย
เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย
อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย
เดี๋ยวนี้ ซิเป็น เมืองเก่า
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน
ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย
เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย...
..
นั่น..คือร้าวรานในมโนนึก
ในยามนี้
ที่เธอคิดนึกแค่ชั่วครู่
จิตดวงตามรู้
บอกให้เธอ ละวางทุกราวเรื่อง
ที่มีทั้งทุกข์..สุขงดงาม
จำต้องผ่านลาเลยราวสอนสัจจะใจ
ไม่มีสิ่งใด ยั่งยืนนาน...ผ่านกาลกัป์ปสมัย
ทุกสรรพสิ่ง ฝากสัจจะใจจริงแท้
แค่มีเกิด ดับ นับอนันต์อสงไขยในวัฏสังสาร
และ
แด่เราผู้ผ่านภพมา
ควรจะตระหนักชัดถีงกฏอนิจจังอนัตตานี้
ที่ควรพร้อมพลีจิต
ให้ถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ภาวนา
และหาหนทาง
เพียรวิปัสสนาพาพบสติปัญญาอย่างถูกทาง
ก่อนที่..
ลมหายใจแลร่างจักมลายหายไป
ซึ่ง..
มวลมนุษย์ในหล้าโลก
คงไม่มีใครหลีกหนีพ้นโศก
แห่งการพรายพลัดพรากจากจบได้แม้นสักคนเดียว..
.............
สายฝนเริ่มพรายพรมลงไปในสายน้ำ
สายลมเย็นพัดพร่างร่างเธอจนเย็นฉ่ำชื่น
เธอยืนทอดตานิ่งสงบกับฟ้าในยามพลบตรงท้ายเรือ
และ...
ในม่านมัวสลัวของสายฝน
กมลเธอ..คนดี..กลับช่างแสนว่างงาม....!!
............
4 เมษายน 2549 20:23 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
เขา..ชายหนุ่มผิวคร้าม ร่างเพรียว
นัยน์ตานิ่งสงบราวแฝงมรกตน้ำงามสีอำพัน อันแสนล้ำลึก
กำลังเอนกายนอนในเก้าอี้หวายสานละเมียด
เคียงนอกชานวิมานนาวิมานบัว
ในยามฟ้าสลัวโพล้เพล้
ที่..
ทั่วทั้งฟากฟ้าท้องนภาเบื้องบนนั้น
พลันแปรสีกลายแสง
เป็นสีส้มอมชมพูหวานแอร่มแสนแจ่มจรัสเจรืองใจ
แสงสุริยากำลังโลมไล้จับร่างนั้น
ให้ผิวสีสุกปลั่งดั่งสีทองแดงเช่นเฉกเดียวกัน...
เขา..ทอดตาเศร้าซึ้งเงียบงัน ราวตกในภวังค์ฝัน
ไปยังบึงบัวไสว
อันกำลังอวดดอกพร่างพราวสีขาว นับพัน ประชันชูช่อ
บ้างแย้มนวลลออหวานบานตระการ
บ้างคลี่กางกลีบเกสร
ราวรอมวลหมู่ภู่ผึ้งภมร มาว่อนบินภิรมย์ ผสมพันธุ์
เคียงกันคือนาข้าว
ที่กำลังผลิรวงเรียวระย้าย้อยห้อยพวงทอง
ผ่องพรรณรายพรายแกมเกร็ด*เพชรน้ำค้าง*วะวาววับ
ราว*อัจกลับ*อัญมณีใส
จากหยาดน้ำตานางฟ้าผู้ใจดี
ที่เพิ่งพลีรินสายหยาดลา
ฝากลีลาวสันต์อันแสนงามในท่ามความแล้งไร้ คล้ายหลงฤดู
จิตเขาดิ่งด่ำกำซาบ ในวาบนึก *บทเพลง ลาวม่านแก้ว*
สะท้อนรู้สึกอ่อนหวานผ่านแว่วมาในคลองใจ
ให้..
ดื่มล้ำรับพลังสดฉ่ำเกษมเอมอิ่ม
อย่างไร้ผู้ใดจะเข้าใจ ในโลกอันแสนวายวุ่น
กรุ่นด้วยความไร้รักสามัคคี
ที่กำลังหมุนเกรียวเร็วรี่เร่าร้อนในวันนี้
เสียงจื้งหรีด..จักจั่น เรไร
มโหรีไพร มโหรีธรรมชาติ
กำลังวาดวงบรรเลงตามมา
กับ..
ฟ้าใกล้ค่ำ ตะวันต่ำเตี้ยเคลียแมกไม้
รับสายลมอ่อนโอบ
ที่กำลังระบัดโบก
ให้ผืนไพรแพรนาเริงร่าร่ายรำระบำฟ้อน
มาบรรเทาความอ้างว้างวังเวงในห้องหัวใจ
ในยามเข้าไต้เข้าไฟ...ให้ยิ่งแสนได้บรรยากาศ
เขา..แสนอิ่มเอมเปรมปิติ กับชีวีในวันนี้
ที่สามารถแปรฝันให้พลันจริงได้
คล้ายเทพเสริมฟ้าส่ง
ให้เขามิมัวพะวงลังเลที่จะตัดสินใจ
ที่จะซื้อที่ดินผืนนี้
หลังจากที่...
เขารวบรวมเงินก้อนหนึ่งได้มา
จากงานเขียนบทกวีรักรจนา
ที่เพียรอุตสาหเททุ่มถอดใจ
ราวใช้หยดเลือดจากดวงใจถ่ายทอด เนรมิตผลิผลิตผลงาน
อัน..
คือพรสวรรค์บวกพรแสวง
ที่เขาใช้เวลาแสนนานหลายปี
กว่าจะเป็นที่ยอมรับในโลกบรรณพิภพ
จบด้วยได้รับรางวัล อันแสนยิ่งใหญ่
และ...
รางวัลนั้น
มิใช่แค่...เพียงความรู้สึกภาคภูมิ เป็นดั่งพลังใจ
หาก...
หมายถึงน้ำเงินงาม
ที่ถึงมาตรแม้นเขาใช่จะหลงยึดมั่นก็หาไม่
แต่..
ก็คือใบเบิกทาง
ให้เขาได้นำร่างใจ ค้นพบทางออก
มิทนหลอกตัวเอง
อาศัยแบบนกหลงไพร ปลาผิดน้ำ ในท่ามมนต์เมืองอีกต่อไป
ที่..
สำหรับเขาแล้วแสนเปลืองเปล่าเวลา
ไร้สุขแสนทุกข์ถนัด ไปวันๆ
แค่ให้ผ่านคืนวันประกอบอาชีพพอมีพอกิน
ใช่ถวิลหลงแสงสี
หรือมี...ความทะเยอทะยานอยากได้ใคร่ดีในสิ่งใด
ใช่แล้ว...
ณ..วันนี้ เขามีวิมานนา กระท่อมโรงนาหลังคาจาก
ที่ชาวนาดั้งเดิม ใช้อิฐหยาบเป็นผนังอันแสนมีเสน่ห์
และ..
ปลูกเป็นกระท่อมโล่ง...
หลังคาสูงเทียมแมกไม้ แถวนั้น
เพื่อ..
สร้างไว้เป็นโรงสีข้าวและไว้สำหรับเก็บเครื่องมือการหว่านไถทำนา
ที่ได้ปล่อยไว้ร้างรา...แลดูแสนทรุดโทรม
หากทว่า..
สำหรับเขา กลับแลเห็นงามในท่ามความโทรมทรุดนั้น
ด้วยดวงใจเต้นแรง
ค่าที่แฝงฝังตัวอยู่ในร่มไม้ใหญ่นานา
ทั้ง..
ดงพุทรา ตะขบป่า
ต้นไทรใหญ่ไหวกิ่งระย้าย้อยระบึงบัว ที่น้ำใสไหลเย็น
จนแทบมองเห็นตัวปลาก็มิปาน
ไหน...จะมะม่วงสามฤดูที่ออกผลแดงระย้าไปทั้งต้น
ในวันที่เขาดั้นด้นเข้ามาสำรวจ
หัวใจเขาพองโต
และ..
ทันทีนั้น
ราวกับเขาได้ยินเสียงจากเจ้าที่เจ้าทาง
ที่พร่างผุดขึ้นมาในโนนึก จากจิตใต้สำนึกของเขาเอง
*ที่ตรงนี้ เป็นที่ของเจ้า
ที่เฝ้ารอเจ้าเข้ามาแสนนาน
ผ่านกาลกัปสมัย..
ที่..
มาตรแม้นใจเจ้าเอง ใช่ยึดมั่นถือมั่นในทุกทรัพย์สิน
หากทว่าแผ่นดินทองดั่งสวรรค์หล้า ณ..ที่ตรงนี้
จะเอื้อโอบให้เจ้าคนดี ได้พลีชีวิตจิตวิญญาณรจนางานงาม
ฝากไว้ให้เป็นดั่งตำนาน แด่โลกหล้าแลผองชน
ให้กมลพวกเขา..
ได้รู้รักความละเมียดละมุน
ได้..
น้อมนำน้ำพระอมฤตธรรมมาดับร้อนร่ำในดวงใจ
ให้รู้รักวิถีธรรมวิถีไทยวิถีทุ่งวิถีทอง
ที่..
คือครรลองแห่งความเรื่องรุ่ง ทางจิตวิญญาณ
อันคือ..งามอมตะตระการ..ดั่งบัวบานเหนือน้ำเหนือโลก
ที่จักสิ้นโศก แสนสงบงาม
ใช่..ติดตม ตามโลกวัตถุนิยม
ที่..
พาชีวีผู้คนให้แสนตรมตรอม
ด้วยความร้อนแห่งกิเสลแผดเผา
ให้มีแต่ทุกข์ไร้สิ้นสุขเย็น ที่จะเห็นงาม ในท่ามธรรม ธรรมชาติ
ขอให้จิตร่างเจ้า ได้พบ
ความสว่างสะอาด แสนสงบสุขไปตราบชั่วกาลนานนิรันดร์*
..........
และ..นั่นคือพลังจิต
ที่เขาคิดบวกเพิ่ม เสริมให้ดวงชีวี
ได้มีไฟฝันพลังหวังหวาน
ได้รังสรรค์งานสร้างแรงบันดาลใจ
เพื่อ..
รจนางานงามจิตภายใน
ที่นับวันมนุษย์สุดอนันต์นับยังขาดพร่อง
และ...
ณ..แดนดิน ถิ่นวิมานนา วิมานบัวนี้
คือที่ที่เขา..เฝ้าเพียรเนรมิต
เพื่อ
จะได้ฝากชีวิตสถิตแนบสถาพร
ให้หัวใจดวงอ่อนโยน รักความละเมียดละมุน
ได้รับอุ่นไอ ให้ได้ใช้ชีวิตจิตใจยิ่งชิดใกล้ธรรมชาติ
..........
โรงนา ยังคงปล่อยเปลือยเปิดโล่ง
มี..เพียงโถงกว้าง
ที่เขาใช้วางตั่งไม้ ไว้นั่งนอน เขียนหนังสือ
กับเตียงไม้ไผ่สี่เสา
ที่มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ
ม่านมุ้งคอยกันเหลือบยุงริ้นไร
ไม่มีไฟฟ้า
เพราะเขาใช้แสงเทียน และแสงตะเกียงเขียนหนังสือ
ที่สำคัญคือ..
ทุกเนื้อดินทอง นั้น
เขาได้ปันแบ่งให้เกิดประโยชน์โภคผล
จากทรัพย์ในดิน แทบทุกตารางนิ้ว อย่างซึ้งค่าอย่างรู้ค่า
ที่มีทั้งนาข้าว
บึงบัวที่บานแข่งกันนับพันไว้ให้เขาตัดจำหน่ายได้ทุกวัน
มี..
บึงปลา แม่ไก่พันธุ์ เลี้ยงไว้กินไข่
ไหนยังปลูกพืชผัก สวนครัว สมุนไพร
ที่นำมาใช้ปรุงอาหารได้
ไหนจะผลไม้ พื้นบ้านสารพัดสารพัน
ที่เก็บกินผลัดเวียนได้ทุกฤดูกาล
............
เขา...ลุกขึ้นเดินช้าๆ
ก่อนที่จะพาตัวเดินไปรึมบึงนาดูตะวันดวงสีไพล
ในม่านแสงสีสวยส้มจัด
ที่..
กำลังรุกไล่พรายพร่างเรียวรวง...
จนงามจรัสสุกปลั่งดั่งทองทา
เขาเห็น...นกกา ผกโผผิน ได้ยินเสียงปลาฮุบเหยื่อ
กระโดดผึงผึ่งเกล็ดวะแวววับเหนือน้ำ
ตะวันกำลังจะลับฟ้า ลมหลังฝนโชยมาให้ชื่น
เขา ....ยืนดื่มด่ำกับทัศนียภาพตรงหน้า
และ
ตั้งใจว่า
จะเด็ดบัวถวายเป็นพุทธบูชา ในค่ำคืนนี้
และ
พร้อมพลีตั้งจิตอธิษฐาน
กราบกรานเทพยดาฟ้าดิน
สิ้นอินทร์พรหมยมพญา
พร้อมมหาบุรพกษัตริย์เจ้าแห่งแผ่นดินสยามนามไทใจรักอิสราเสรี
ทั้ง..
บรรพชนผู้มีจิตใจเหี้ยมหาญ
ผู้ผ่านศึกสงคราม..ปกบ้านป้องเมือง
ที่
ยอมพลีชืพ..
จนเลือดนองเนืองท่วมท้นทั้งแผ่นดิน
ให้..
ยังมีผืนดินไทย แผ่นดินธรรม
อันแสนร่มเย็นมาถึงทุกวันนี้
ให้..
ปวงเราลูกหลาน
ยังได้มีแผ่นดินหยัดยืนอย่างทรนง
ได้คงกตเวทิตาคุณต่อผืนดินเกิด
ได้..ใช้ชีวีอย่างประเสริฐ
สมกับที่...ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
ได้มาอาศัยอยู่ใต้ร่มฟ้า
ร่มรัตน์ร่มฉัตรเพชร อันแสนสงบงามแล้ว
และ..
ขอได้มีจิตดวงผ่องแผ้ว
ดั่งแก้วงาม เลิกแบ่งแยกแตกสามมัคคีกัน
ให้รู้หันหน้ามาปรองดองสมานฉันท์สามัคคี ก่อนที่จะสายเกิน...
..................
และ..
สำหรับเขา..คนดี
นี่คือโลกชีวี นักเขียน เพียรสร้างฝันสร้างสรรค์ ปันพลี
ความสุขนิรันดร์นี้ ที่เขาได้เลือกแล้ว...
.........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html
ญ ...ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดังใจ โอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น
นานแสนนาน ฮืม
จึงมาเจอกัน
คล้ายบางสิ่งผูกพัน
ร้อยใจเราร่วมกัน
ช ...ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน
ดวงใจ โอ้เอย มีเพียงเธอนั้น
นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน
ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา
ช ...ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ ...หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช ...รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ ...คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย
พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป
ช ...ฝากคำสัญญา ฝากวาจา
รักเธอไม่เสื่อมคลาย
ญ... หมื่นพันสัญญา
ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ
ช ...รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน
ญ.... คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย
พร้อม... นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป
นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ
และหวังเพียงได้ครอง
รักจนตราบนานตลอดไป.
28 มีนาคม 2549 18:10 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4414.html
......
ตะวันแห่งอรุณรุ่ง..
กำลังผันดวง..เยี่ยมโพยม
แย้มสาย..พรายแสงมาทายทักผม..แลผืนหล้า
ในเวลาอุษาสาง
ที่...
หยาดพราวน้ำค้างยังหยดเย็นเฉกเช่นทุกวัน
ผมค่อยๆ...ลืมตา..
มองลอดบานหน้าต่างออกไป..
ดูฟ้าเมืองลวงเมืองหลวง
ที่..
ถูกปวงควันมลพิษ
พากันพ่นใส่ จนหาความกระจ่างใสแทบไม่มี
ม่านเมืองถูกแหวกด้วยสรรพเสียงอึงอล
ทั้งเสียงแห่งรถยนต์
เสียงผู้คน
เสียงนกกา...ที่ต่างพากันตื่นแต่ย่ำรุ่งมุ่งหาเช้ากินค่ำ
อันคือวัฏวนแห่งการดำรงชีวิตรอดให้ปลอดภัยไปวันวัน
ในศีรษะผมปวดหนึบ จนผมรู้สึกร้าวรวดไปทั้งขมับ
และ...
ทำให้ผมแทบไม่อยากขยับตัว..ลุกจากที่นอน
ผมเหลือบแลเวลา จากนาฬิกาปลุกแบบพรายน้ำ
ที่วางไว้บนหัวเตียงเคียงหัวนอน
ที่กำลังชี้เข็มบ่งบอกเวลาหกโมงครึ่ง
นาทีต่อมาผมค่อยรู้สึกดีขึ้น
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า..
นี่คือ....
เช้าวันหยุด..
ในท่ามฤดูร้อน
ที่..
ผมนอนราวปลาถูกอบย่าง
อย่างแสนอ้างว้างแล้งไร้ ในตึกสูง ดงเมือง
และ..
แสนไม่ประเทืองประทับใจเอาเสียเลย..
เพราะ..
ไร้เครื่องทำความเย็น
ที่ผมคนเข็ญคนยากไม่มีปัญญาพอจะจ่ายค่าไฟ
สำหรับ..
ให้ร่างกายได้รับความสะดวกสบาย
ได้..
ผ่อนคลายจากอากาศร้อนวิปริตผิดธรรมดา
ที่นับวัน..
ดูเหมือนว่าจะร้อนยิ่งกว่าร้อน...ร้อนเสียยิ่งกว่านรก
ที่ผมคิดว่า..
ผมกำลังตกอยู่อย่างไม่เต็มใจ...ในทุกวี่ทุกวัน..เลยทีเดียว
นี่...นับเป็นวิบาก
หากคิดตรองให้ดี กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวาชีวีผม
ที่..
ผมจำต้องชดใช้
แม้น...มิได้เลือกอยากจะเป็น ที่จะเป็น
ให้...มาตายร้อนไร้เย็น
ในท่ามเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ของใครๆ
แต่..
คงมิใช่..คนที่มีหัวจิตหัวใจอย่างผม..
*ลูกชายชาวนา
*ที่บ่มรักวิถีข้าวกล้า รักวิถีนาวิถีไร่
แห่งความเงียบงามสงบสุข
รักที่จะรู้หยุด รู้พอ
มิเคยอยาก จะขอมี..ขอเป็น..อะไรมาก
แค่..
อยากได้ฝากกาย
ได้ใช้ชีวิตจิตวิญญาณราวบัวบานตระการเกษม
เหนือน้ำ..ในบึงกว้างบริสุทธิ์ใส ห่างไกลกิเลสใดใด
.............
ผม..หยุดคิด
ละ..วาง
หยุดการปรุงแต่ง ที่จักปล่อยจิตเผลอใจให้เตลิดไปในทางลบ
จบด้วยการใช้ความ*รู้สึกตัว* มาตามทันมโนกรรม..
จากความรู้ทันเท่าทุกข์ที่มากระทบ
รู้สยบกิเลสเวทนา
ให้ปลงเสียว่า..ทุกอย่างนั้น..
*สำคัญที่ใจ*ดวงภายในของเราเอง
และ..
ไม่ว่าสิ่งใด
มาทำให้วังเวงทุกข์สุขหนาวร้อน ก็จักผ่อนคลาย
หาก..
รู้เพียรวางกายและจิตเราให้ร่มเย็นเป็นพอ
อันคือ..
สิ่งที่บางครั้ง เรามิหวังให้มันเป็นไป
หากไยเล่าช่างยากเย็น...
ที่จักหลีกพ้น
ต้อง...ทนรับทุกข์บุกโหมโถมใส่
จนแทบตั้งจิตตั้งใจรับแทบไม่ทัน
หาก..
ไม่รู้จักใช้น้ำอมฤตธรรม
มาน้อมนำมาชื่นชโลม ปลอบประโลมให้
ดวงใจใสเย็น..ชุ่มฉ่ำบานฉ่ำ พอที่จะรับวิบากกรรมได้
อย่าง...
มิให้เสียชาติเกิดที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา
ที่พระบรมศาสดา
ได้ทรงค้นพบ*สัจธรรม
*ที่ล้ำค่าควรคู่คนมาฝากให้
มวลหมู่มนุษย์ผู้อยากหลุดพ้นทุกข์
ได้นำมารินร่ำดับร้อน..
..
ผมนอนนิ่งๆสักพัก..
ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดบทเพลงบรรเลง
*นิพพาน*
ให้ดวงจิตดวงรานด้วยร้อนผัสสะ...ได้เยือกเย็นลง..
ให้..
ปลดปล่อยปลง ในวัฏสังสาร อันจักไม่ช้านาน
ไม่ว่าจะพานพบเรื่องทุกข์ สุขใด ก็จักดับไป
กลาย...เป็นดิน น้ำลมไฟ คืนผืนหล้า อย่างมิอาจหนีพ้น
ทั้งคนจนคนรวย
คนสวยคนมิงาม
ใครจะล้นหลามด้วยบารมีประการใด
มี..
สิ่งเดียวไซร้ ที่รอเราอย่างเท่าเทียมเที่ยงแท้
นั่นคือความพรากจาก..
เพียง..
หากจะเหลือฝากไว้คือ*ค่าของคน*
แห่งการรู้บ่มเพาะเพียรภาวนา
สร้างเพียงคุณงามความดี
ที่..
น้อมพลีไว้
ประดับหล้าประดับโลกให้มนุษย์สิ้นโศก พบสุขนิรันดร์
.
ผมตั้งใจ จะใช้วันหยุด ไปตามฝัน
ในเส้นทางธรรม ธรรมชาติ ธรรมดาๆ
พาใจดวงเหว่ว้า ว่างเปล่ารักเหงางามเงียบ
ไปสัมผัสฟากฟ้ากว้าง
ทายทักทุ่งร้างแรมรวง..หากมิไร้รัก
ที่..
ทำให้ผมราวกับนกไพรผู้มีหัวใจพเนจร
พาหัวใจอันสิ้นไร้พันธนา
โผผินบินถลาอย่างแสนอิสราเสรี
ได้ผ่อนคลาย ร่างเบาสบาย..ราวปุยเมฆแสนนุ่ม
แสนละมุน ราวกับมี..หอมกรุ่นแห่งเกสรดอกไม้ธรรม
กำลังแย้มระรินร่ำเผยกลิ่นกลางกลีบแย้มช่อ
แตกกอไสว..
ณ..ภายในบึงใจอันแสนใสว่างกระจ่างแจ่ม..จรัส
ด้วยรัศมีเย็นแห่งพลังสดฉ่ำจากธรรมชาติ
นาทีนี้ตรงหน้า
คือท้องร่องของเรือกสวนไร่นาสวนผสม
ที่แบ่งสัดส่วนอย่างลงตัว
ตามแนว
*หลักทฤษฎีใหม่*
ไว้สำหรับปลูกข้าวกล้า
รอ..น้ำฟ้าในฤดูวสันต์
มาปันพลีให้ผลิเรียวรวงระย้าย้อย
ห้อยเมล็ดอัญมณีสีทองผ่องพราย..ลงไคล้เคล้าคลอเคลียดิน
ให้ท้องไทอิ่มเอมมิสิ้น มีมีวันอดอยากอดตาย..
หากยังมีชาวนาคนยากมิทิ้งถิ่น
รู้ถวิลอนุรักษ์วิถีไทยวิถีทองวิถีทุ่ง
มุ่ง..ธำรง..*ภูมิปัญญาแห่งหยาดเหงื่อ*
เพื่อเป็นมรดกดำรงคง
ฝากเตือนใจไว้ให้ลูกหลาน
ไปตราบชั่วกาล นานเนานิรันดร์
ได้พึงเข้าใจว่า..
*อาชีพชาวนา*หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน*นั้น
คือ..
อาชีพอันมิสิ้นความภาคภูมิใจแห่งบรรพชน
ผองชนคนใต้หล้าใต้ฟ้าแห่ง*พุทธชมพูทวีป*
ที่มิ..
เร่งรีบเร่าร้อนหากรู้ผ่อนปรน..รู้อิงตนไว้กับธรรมชาติ
ที่ยากจะแยกจากกัน
ให้..
ยังมีความละเมียดละมุน
กรุ่นหอมด้วยมากมีประเพณีวัฒนธรรมอันแสนฉ่ำเย็นตามมา
อย่างที่นานาอารยะโลกต่างพากันอิจฉา..
ค่าที่
วิถีไทยวิถีทุ่งวิถีทองนี้
คือครรลองสอนให้มวลมนุษย์
ได้ยังมีใจดวงพิสุทธิ์ใส
ยังมีหัวใจงามดั่งทอง ไปตามครรลองแห่งธรรม..ธรรมชาตินั้น
อันคือ
ความเป็นธรรมดา
ที่เที่ยงแท้ สัจจะที่แสนแน่นอน
ใช่..เร่าร้อนแย่งชิงวิ่งวนในมายาโลกโศกวัตถุทุรนทุกข์
ใช่..สุขว่าง วาง สอนกระจ่างจิตให้เพียงรู้อยู่รู้พอ..
.......
ผม..เดินลงไปดูบึงบัวบางบึงในจำนวนหลายสิบบึง
ที่..ณ..บัดนี้ยังมิแล้งน้ำ
เพราะ..
เจ้าของได้สร้างอ่างเก็บกักน้ำเอาไว้
ให้รอรับน้ำที่ได้มาจากระบบชลประทาน
เพื่อกันมาไว้ใช้ใน*นาบัว*
ที่เป็นนาทำกำไรให้เจ้าของได้ดี
เพราะ..
สามารถเก็บบัวดอกงามมากจำนวนนี้
ส่งไปวางขายจำหน่ายที่ตลาดได้ทุกวัน..
.......
ผม...เอนตัวลงนอนในเถียงนาน้อย
ก่อนผล็อยหลับไปกับสายลมเย็นในยามค่ำ
หูผมได้ยินเสียงเรไรร่ำจิ้งหรีดร้องก้องกรีดเสียงประโลม
โหมให้ห้องหัวใจผมที่แสนเหนื่อยอ่อน ได้ผ่อนพัก
หัวใจผมเต้นช้าลงๆ
ดำรงเพียงสติภาวนา
ไปกับ..
ฟ้ายามโพล้เพล้ที่แสนสวย
ด้วยลมหายใจที่ระรวยระริน
อย่างแผ่วเบาสบาย คลายยึดมั่นถือมั่น
ในทุกทุกข์สรรพสิ่ง
มโนจิตผม..
ราวกับฝันพลันเกิด*ดวงอัญมณีทิพย์*นิรมิตลอยล่อง
พาผมท่องไปเหนือบึงบัวฉัตรพรรณ อันตระการสี
ผม..ได้ยินเสียงเกษมยินดี จากมากมีผู้มีบุญญา
ที่นั่งในท่าสมาธิภาวนา..ณ..กลางกลีบบัวในบึงธรรม
ที่กำลังชูช่อพร่างพรายฉายฉันท์ฉัพพรรณรังสี
ในบึงสวรรค์นั้น .
พลันเอื้อนเอ่ยอวยพร..
*ตามรอยเรามา อย่ารอรี
อย่าเสียเวลา
ที่ได้เกิดมาพบเพรงบุญในร่มรัตน์แห่งพระพุทธศาสนา
และ..
มีทางเดียว...
ที่จะพบความกระจ่างว่างสว่างสงบเป็นนิรันดร์
ดั่ง*รัตนมาลีวิมุติ*
อันจักผุดผลิคลี่กลีบแย้มตระการบานพ้นน้ำ..เหนือน้ำในท่ามชน
ที่รอท่าเราทุกผู้คน หากมิหยุดเพียร...!!!!
**************************************
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4414.html
บัวแล้งน้ำ ....ต้อม เรนโบว์
คนเราต้องมี หัวใจ
ต้องมีเลือดเนื้อ ข้างใน
ต้องมีความดี คู่กาย
ต้องมีความหมาย ในตัวเอง
อดีตที่เคย ผ่านมา
เราคงต้องผ่าน พ้นไป
จะดีหรือเลว อย่างไร
ขึ้นอยู่กับใจ เราเอง
กระเสือก กระสน
ดิ้นรน กันไป
ก่อนเคย เลวร้าย
ก็ลืม ให้ลง
มีเพียง พรุ่งนี้
เรื่องเก่าเก่า ก็ปลง
ด้วยใจ ซื่อตรง
เราคง ได้ดี
ถ้าบัวไม่มี รากใบ
คงมองไม่สวย เท่าไหร่
ถ้าบัวแล้งน้ำ แห้งตาย
ไม่เหลือความหมาย ให้ชวนมอง
คนเราก็คง เหมือนกัน
นึกฝันแต่ความ ยิ่งใหญ่
หลงลืมว่าเคย เป็นใคร
สุดท้ายก็บัว แล้ง น้ำ
กระเสือก กระสน
ดิ้นรน กันไป
ก่อนเคย เลวร้าย
ก็ลืม ให้ลง
มีเพียง พรุ่งนี้
เรื่องเก่าเก่า ก็ปลง
ด้วยใจ ซื่อตรง
เราคง ได้ดี
ถ้าบัวไม่มี รากใบ
คงมองไม่สวย เท่าไหร่
ถ้าบัวแล้งน้ำ แห้งตาย
ไม่เหลือความหมาย ให้ชวนมอง
คนเราก็คง เหมือนกัน
นึกฝันแต่ความ ยิ่งใหญ่
หลงลืมว่าเคย เป็นใคร
สุดท้ายก็บัว แล้ง น้ำ...
24 มีนาคม 2549 11:42 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song287.html
ใกล้ค่ำ..ตะวันดวง..สีส้มสุกชัดยังจรัสแจ่มจ้า
ฝากแสงสีรุ้งร่ำลา ผืนนภา เหนือหล้าโลก
ร่างหนึ่ง..หยุดยืนนิ่งๆ
ใต้ตะแบกพวงม่วงละมุนปนชมพูพราวไปทั้งราวกิ่ง
เธอ..ยิ้มหวาน..รับ..ตระการจิตภายใน
ที่...
กำลังคลี่แย้มแง้มเปิดบานประตูแห่งหอมห้วงหัวใจ
ให้..รับงามอย่างรู้ค่ารักธรรมชาติ
เธอ..เดินทอดน่องช้าๆภาวนาสติไปตลอดทาง
บนเส้นทางสายสวยแสนสงบงาม
ที่ทอดเคียงขนานนาข้าว..ขจี..สุดลูกตา
เป็น..ทางลัดที่เธอหลงรักนักรักหนา
และ..
กำลังพาร่างเธอให้ไปพบจุดหมายปลายทางที่รออยู่
*สระว่ายน้ำ *
ที่ซ่อนความนิ่งเงียบเฉียบเย็น..ฉ่ำใส ในสวนสวย
แมกไม้ไทยที่ยังร้างไร้ผู้คน
ดวงดอกลั่นทม ..ผลิคลี่พลีหอมเศร้า
เฝ้าให้หอมหวนอวลอารมณ์
มารัดร้อยรัดรึงตรึงใจ
ให้เธอแสนซาบซึ้ง
จนต้องหยิบมาทัดแก้มแซมผมห่มหอมให้ดวงใจ
ชมพูพันทิพย์ไสวช่อ
รอ...ร่วงพราวประดับลานหญ้า
ราวพรมดอกไม้ฟ้า..พรายพร้อยชดช้อยชวนมอง
เธอ..จูงจิต..มาปล่อยให้มีชีวิตชีวา
ไปกับฟ้ากว้างใกล้ค่ำ
ในสายน้ำอันแสนใสฉ่ำเย็น
หลังจาก...เว้นว่างร้างแรมลามานาน...
เธอ..
คิดถึง...ทะเล..โอ้ละเห่...โอ้ละช้า
ด้วยใจดวงเหว่ว้า
ราว..เห็นภาพ*ตะวันลา*
พร่างแสงจรัสจ้า อาบฟ้างาม
โลมไล้กลางเกลียวคลื่นสีทองผ่องยองใย
ไปทั่วทั้งท้องทะเลระยิบระยับ..
เธอ..ปล่อยทุกสิ่ง ทิ้งร่างใจในสายน้ำ
มาเป็นปลา..โผผวา..แหวกว่าย
ให้สายชลได้พร่างพรมห่มผิวนวล ชวนให้เบาสบาย
ในขณะที่..
ตะวันกำลังพรายแสงลงมาไล้โลม..ปลอบปลุก
ให้ลบลืมความอ้างว้าง
แปรเป็นความว่างเปล่า ในเงาไม้ร่ายไหวกิ่งใบบัง
ดั่ง..
พลังแห่งสายธาราเกษมนั้น
ได้..ชำแรกแทรกซุกเบียดบุกมาสู่บึงใจ
ให้พบความเฉียบเย็นฉ่ำใสละไมละเมียดละมุน
จนราวได้รับไออุ่นเอื้อโอบ..
เธอ..ปล่อยวาง ร่าง รัง เรือน
เสมอเสมือน...
เปิดจิตปล่อยใจ ดั่งนกไพร ผู้มีวิญญาณเสรี...!
*****************
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song287.html
นัดพบ..
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวันลับไม้
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไป สิจงฟัง
ฟัง สิฟัง สัก นิด
แล้วอย่าคิดว่าฉันสอน ว่าฉันสั่ง
ฟังสิฟัง ฟังกันเล่นเพลินเพลิน
แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญ ลองจำ
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวัน พลบค่ำ
ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่น ใจ
ใต้ ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร
ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์
ถ้าเราจะนัด พบ กัน
ควรให้จันทร์ เห็น ใจ
ลมอ่อนอ่อนพัด ผ่าน
ชูกิ่งก้านช่อใบ
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว
บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว
สะบัดใบไปตามลม
ผสมน้ำค้าง พร่าง พรม
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม
ต่างคลอต่างคล้อต่างล่ออารมณ์ เรา
ให้ชมให้ชื่น ใจ
นี่แหละถิ่นนัดพบ
แต่เราไม่พบกับใคร
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ
แล้วเราก็อาจจะสุขใจ
ไม่ต้องไปพบ กับใคร ที่ไหน
เพลินใจ เพลิน ตา...