19 กรกฎาคม 2549 19:38 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ดอกฝน ดินหอมและดวงดอกไม้
ฟ้าอุ้มฝน..หนักจนทานทนไม่ได้ ในปลายฤดู...
ปล่อยให้ร่วงหล่นพรายพร่าง
เป็นสายๆรายๆริ้วๆพลิ้วพร่างพรม
หยาดลงจากผืนฟ้า แตะต้องผืนดิน... พาให้เนืองนอง ชุ่มฉ่ำ......
ฉัน....นั่งดูสายฝน ในค่ำคืนนี้..
กับแสงเทียนวับแวม
กับแจกันดินเผา
ที่บรรจุกุหลาบแดงและดวงดอกบานชื่นหลากสี
ที่เพิ่งเก็บมาจากราวป่านอกเมือง...
เสียงฝนจั๊กๆๆ..ราวกับฟ้ารั่ว..
และค่อยๆซ่า ซ่า ซา ซา จนเปาะแปะ เปาะแปะ ปรอย ปรอย......
พาให้ดวงใจปลิดปลิว ล่องลอยไปตามสายฝนพรำ
กับความทรงจำหวานหอม...เนานาน ในบางฤดูกาลแห่งชีวิต.....
ที่ผ่านปลายฝนต้นหนาวมาหลายฤดู...........
คิดถึง..บ้านพักบนเชิงผา ที่เกาะเต่า..
เกาะสวรรค์ที่ยังบริสุทธิ์ใสในอ่าวไทย
ในปลายฝนหนึ่งนานมา..
และ
เคยนั่งเฝ้าดูสายฝน..พราย
ที่ตกต้องแต้มท้องทะเล
สีคราม เวิ้งว้าง กว้างไกลสุดตา
ให้มีดวงดอกฝน แสนหวาน บานไล่ๆกันไป จนเต็มทะเลกว้าง
ช่างแสนงามเศร้า
งามซึ้งไหวอยู่ในใจดายเดียวดวงงาม...
ให้งอก งอก ดวงดอกแห่งความคิดถึง..คิดถึง และคิดถึง ใครบางคน
ในยามนั้นที่แสนรักแสนเสน่หา จนหมดใจ.........
ดอกฝน..ดอกฝัน..
กับผู้หญิงคนนี้ที่ช่างฝัน ช่างหวั่นไหว
ช่างไปด้วยกันได้ดีราวฟ้าประทาน....
ดอกไม้..แห่งความฝัน
บานพร้อมๆกันไปในยามธรรมชาติ..แปรเปลี่ยน..หมุนเวียนใน
ทุกฤดูกาลแห่งชีวิต........
ฉัน...ชอบนั่งดู..ดอกฝน
ไม่ว่าจะอยู่หนใด ในหรือนอกประเทศ........
บางฤดูกาล..เคยนั่งเคเบิลคาร์
พาใจไปสัมผัสคืนฝนพรำ ที่เกาะเซนโตซ่า อย่างดายเดียว
และเงียบเหงาใจอย่างคนไกลบ้าน...
เคย...ว่ายน้ำ สนอร์เกิล
ที่เกาะพีพี และมีฝูงปลาว่ายวน
เป็นเพื่อนใจ ในบ้านของเรา.........
เคย...นั่งรถไปไกล..จนถึงกว๊านพะเยา..
มองสายฝนตกต้องทะเลสาบที่งามหวามไหวไปอีกแบบหนึ่ง
และ
อย่างอ้างว้างว้าเหว่ใจ
ไปกับเทาทึมของทะเลฝน..บนภูภาคเหนือ........
เคย..และเคย..อาบน้ำกลางทะเล
หลายถิ่นที่ โดยหารู้ไม่ว่าเสี่ยงกับการที่ฟ้าจะพิโรธ
เพราะ
ยังเด็กนัก
มีแต่ดวงใจรักที่ถูกใจคนผ่าแยก
แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพิษรักร้าวระบมแห่งเสน่หาอาวรณ์อาลัย........
ผ่านมาและผ่านไป
ไม่ว่าฤดูที่หมุนไป และฤดีที่หมุนวน..........
ผ่านเรื่องราวมากมี..
ทั้งหวัง ทั้งหวาน ทั้งเศร้า ทั้งสุข
ที่ยังคงติดตรึงใจ อยู่ในความทรงจำ..........
รู้เพียงว่า..อากาศหลังฝนตกนั้น
ช่างหอมชื่น อบอวล ยามที่อยู่ในชนบททุ่งกว้าง......
เคยนั่งติดฝน..
ในกระท่อมบนเชิงเขา
ที่หุบเขาใหญ่ไพรกว้าง...
พลันก็ได้หวานๆหอมๆ กำจรจรุง
จากดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งรับหยาดน้ำค้างจากดงพฤกษ์ไพร...
แทรกหวานมากับสายลมผ่าน
จนจำติดใจมาจนถึงวันนี้........
นี่คือสิ่งงามงด หมดจด สวยใส แสนงาม แสนประทับใจ...
ที่ฤดูกาลกำนัล ให้แด่คนช่างฝัน.......
ได้ซาบซึ้ง ซึมซับ รับรู้ กับสายฝน และลมบน
กับทุกสิ่งที่แสนดี นี้ บนผืนโลก..ของเรา........
และ....
ค่ำคืนนี้...ในความงามของคืนที่...ฝนกำลังสั่งฟ้า...
ฉันเปิดเพลง แสนหวานนี้คลอเคล้า..
เพื่อกำนัลแด่...เธอ..นะคนดี......
ฝากผ่าน ฟ้ากว้าง ทางช้างเผือก
กับลมหนาวที่โบกโบยทายทัก
เพื่อให้ดวงใจรักและกายของเธอได้หนาวคลาย.........
ดวงดาว...ดอกไม้หวานหวาน
ที่กำลังบานสะพรั่งทุกแห่งหน
ก็กำลังเงี่ยหูฟัง พร้อมกันกับเธอนะยอดดวงใจ ..........
..................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem81817.html
ฤดูฤดีครวญ
ฉัน...ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงสายฝนกระหน่ำ
ที่ซ้ำซัดซาดหลังคา กราว กราว....
และ
เสียงพายุ กรูเกรียว หวีดหวิว...
เสียงกิ่งจำปี ที่ติดกับหน้าต่างห้องนอน
เสียดสีหลังคาซัดส่ายใบ ไปมาตามแรงลมไหว
กระแทกกระทั้น ราวกับเสียงของดนตรีเฮฟวี่...
ฉัน...เหลือบดูนาฬิกา..เป็นเวลาตีสามครึ่ง........
หอมหวานของจำปี และเล็บมือนางริมรั้ว แทรกมากับ..สายฝนฉ่ำฟ้า....
ฉัน..นอนนิ่งๆ..ดูฟ้าที่สลัวมัวหม่น ฉ่ำชื่น
กับหยาดละอองฝนพรมพรำที่กระทบหลังคา
และ
หยาดลงมาเป็นสายพรายพลิ้ว....
ปลายฝน...แล้วสินะ....แต่จะมีต้นหนาวมาเยือนหรือไม่ ยังไม่แน่...
เพราะ.... ฤดูกาล..เปลี่ยนแปรไปหมดสิ้นแล้ว...
บางครั้ง..ฤดูกาล..ก็เปรียบได้ดั่ง"ใจคน"เรานี้
ที่มีแต่เร่าร้อน ทุรนทุราย..ไร้หนาว ไร้ฝน ไร้โรแมนติก
ไร้สิ้นแสงดาว ไร้ความอ่อนหวาน อ่อนไหว ภายในใจ...
ที่ต้องสับสนหาเช้ากินค่ำกับยุคนี้
ที่เศรษฐกิจทรุด
ผู้คนทั้งประเทศ แทบหยุดหายใจ หยุดความเจริญเติบโต.......
ฉันลงมา..ต้มน้ำชงกาแฟ..เปิดเพลงของ
ฮอทเปบเปอร์ เริ่มด้วยเพลงนี้ที่มีชื่อว่า
"หัวใจสลาย........."
"ดั่งแก้วบางเค้าทุบทิ้งแตก ใจฉันแหลกเพราะน้ำมือเธอ
ปวดอกช้ำ คร่ำครวญ พร่ำเพ้อ เคยไหมเธอจะเหลือบเหลียวมา
คำทุกคำล้วนซ่อนหยามเหยียด ทั้งรังเกียจลดเลี้ยวระอา
เทิดทูนเธอ ดั่งเจ้าชีวา ไยถึงฆ่าฉันลง
คงเป็นสุข ได้สมดังใจ ลวงคนให้คลั่งไคล้เหมือนนกเพลินกรง
ฆ่าฉันฆาตกรรมได้แสนบรรจง เกินดวงจิตพะวงไว้ใจ
ดั่งเหมือนถูกทับไว้ใต้โลก น้ำตาตกทุกค่ำคืนวัน
ทุกข์โทษใครให้คนขบขัน "ใจฉันมันง่ายเอง"
เพลงแสนเศร้ารานร้าว บาดใจ
คลอเคล้าไปกับสายฝนและลมเย็นยามใกล้รุ่ง..
ลอยละล่อง...
ฝากไปกับแสงดาว เคล้าแสงเดือนกับคืนฟ้าหม่น.....
เพื่อเป็นเพื่อนปลอบประโลมใจ
ให้กับใจทุกดวงที่รานร้าวพอกัน........
เปิดประตูครัวออกไป....
ในท่ามกลางสายฝนหม่นมัว..
ฉันมองเห็น..ร่มเงาไม้ในความมืด ราวเริงร่า ยินดี
ที่ได้รับหยาดฝนพรำ ให้ดอกใบนั้นเขียวขจี สดสีงาม..
ในความหนักหน่วงของพายุ..และสายฝนนั้น..
คือความฉ่ำชื้น ให้ผืนดินและพืชพันธุ์ได้อุดม..
กลิ่นกาแฟ..หอมๆที่ฉันนำมารับประทาน
กับกล้วยน้ำว้าผ่าเป็นสี่ซีก
เป็นอาหารเช้ายามใกล้รุ่ง
แบบไทยๆปนฝรั่ง ที่ไปกันไม่ค่อยได้
แต่ใจฉันชอบเสียอย่าง... เลยง่ายงามแบบกล้วยๆ ที่อุดมด้วยวิตามิน...
จุดเทียนเจลหอมๆ...ในขวดโหลเล็กๆ
ข้างในนั้นจัดเป็น"โลกสีครามใต้ท้องทะเล
"ที่ดูเร้นลับ น่าพิศวง..ว่าเอามือเข้าไปจัดได้ยังไง...
ทันทีที่..แสงเทียนสว่างวาบ
"โลกสีน้ำเงินงามก็พลันวับแวม หวามไหว ล้อลม งามล้ำ
มาตั้งล้อหลอกใจอยู่ตรงหน้าฉัน"
แสงเทียนวับแวมนี้
บันดาลใจให้ฉันรจนาเรื่อง"ปลายฝน ต้นหนาว"
ในยามค่ำคืนนี้..อย่างเงียบงาม...
เมื่อวานนี้....
ฉัน...ได้ไปเด็ดดอกไม้ริมรั้ว บ้านร้าง มาอีกแล้ว
เป็นพันธุ์ไม้ดอก แสนสวย จับใจ ฉันเสียเหลือเกิน
ดอกไม้นั้นคือ..ชบาฮาวายดอกใหญ่เท่าจานหลากสี
ดอกพู่ระหงสีแดง ใบนั้นมีฟอร์มเป็นรูปไข่
สีเขียวเป็นมัน กลีบดอกสีแดงหรือสีส้ม
จะแผ่โค้งไปด้านหลัง ปลายกลีบเป็นแฉก และหยักเป็นริ้ว
ดอกห้อยลงมาแสนอ่อนหวานและอ่อนโยน....
ฉัน..รวบรวม..ดอกไม้นานาพรรณ
มาจัดในชามอ่างดินเผา อย่างทะนุถนอมเบามือ.....
ดอกไม้ธรรมชาติ ธรรมดาๆ
ที่ดูพื้นๆ กลับดูดีและแสนสวยแสนงาม
เมื่อนำมารวมสลับสีกัน
เข็มแดง เล็บมือนางที่มีสามสี ขาวนวล
และ ชมพู โมก ชบาบานพราว เคล้าแซมใบโกศลเหลือบเขียว
และพู่ระหง..ห้อยย้อยดอกดวงพวงพู่.....
ไม่ต้องอาศัยฝีมือมาก..
แค่นำมาวางรวมกัน ก็กลายกลับเป็น
"ดอกไม้ที่มีเสน่ห์งามล้ำแบบเรียบง่าย"อย่างไม่มีที่ติ.
แสนชื่นตาชื่นใจ...ดีกว่าดอกไม้ที่บรรจงจัดหรู
ดูราวเสแสร้ง..แม้จะอยู่ในแจกันแพงแสนแพง...ก็ตามที.......
ฉันฝัน..เสมอมาว่า....
ชีวิตและบ้านหลังสุดท้ายของฉันนั้น
ที่จะอยู่และฝังฝากกายใจ
ไปจนตราบลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิต
จะต้องอยู่ท่ามกลาง สวนดอกไม้เมืองร้อน
เป็นแบบสวนสวรรค์ที่เป็นดั่งสวนป่า
มีลั่นทม..และพันธุ์ไม้ดอกใบ
ที่ไม่จำเป็นต้องทะนุถนอมมากมาย
แต่จะให้ดอกดกงามตลอดปี
ที่ฉันนี้จะได้ดอมเด็ดดม และนำมาใช้
ในบ้านได้ทุกฤดูกาล...
ส่วนตัวบ้านนั้น
จะต้องเป็นกระท่อมทับแบบบาหลี
ที่เรียบ โล่งกว้าง
มีห้องน้ำเปิดรับแสงจันทร์โลมไล้ รับสายฝนโลมร่าง...
ฉัน..มีที่ดิน ในฝันแสนสวยแล้วที่เป็นจริง...
มีหินก้อนงาม มีที่ทางหลายไร่
และ
ที่สำคัญ อยู่ใกล้ทะเล..
สิ่งที่รอ..ให้ฝันเป็นจริงนั้น ใกล้เข้ามาทุกขณะ..
ฉันแค่รอเวลาที่จะย้ายบ้าน
จะขอบ้าย บาย
ร่ำลาจากชีวิตชาวกรุง(กรง)..
ที่ราวปลาผิดน้ำสำหรับชีวิตฉัน...
ถ้าฉัน..เป็นปลา..ก็เปรียบดังปลาทะเล
ที่ต้องการแหวกว่ายในท้องทะเลกว้างใหญ่
สวยใสบริสุทธิ์..
มิใช่ทะเลน้ำครำดำๆทุกยามหน้าฝนมาเยือนอย่างชาวกรุง(กรง)นี้
ที่"เทพ" พยายามสู้..
เพื่อให้ผู้คนที่นี่มีชีวิตที่ดีกว่า..
ให้สมดั่งคำว่า"กรุงเทพเมืองฟ้าอมร"
ฝนซา ฟ้าเลิกหม่นแล้ว.........
ฟ้าใกล้สว่าง..มองออกไปฟ้ารำไรฉายแสง สีทอง...
เหมือนดั่งโลกและชีวิตนี้ ที่หมุนวน ไม่เคยหยุดยั้ง...
บางครั้งยามทุกข์ทน
ก็ดังมีพายุ ฝน พัดผ่านมา ท้าทายให้ลุกขึ้นสู้
ยามดี มีสุข ชีวิตก็ดู สดใส ไร้เมฆหมอก สงบงาม..
เหมือน..."ยามฟ้าหลังฝน"
ที่มีสายรุ้งงาม หลากสีทอทาบฟ้า
ฉายฉานประดับประดาดวงใจ
ให้สดใส สดชื่น อย่างมีความหวัง กำลังใจ..
กับวันเวลาและคำว่าชีวิตคือการเริ่มต้นใหม่....
ในทุกคืนวัน..ไม่มีคำว่าสายเกิน....
ปลายฝน..กับคนเมืองนั้น
เคยมีแต่นอนไม่หลับไปกับความกังวลว่า"น้ำจะท่วม"มั้ยนะ
แต่
ด้วยพระบารมี พระมหากรุณาธิคุณ จากฟ้า..
จากน้ำหยาดพระทัยของในหลวงของปวงชนชาวไทย
ทำให้..เรานอนตาหลับอย่างอบอุ่นเป็นสุข
ทุกค่ำคืนกับเสียงสายฝนและที่นอนนุ่มนวล..
ด้วยมั่นใจว่า..
น้ำจะไม่ท่วมอีกแล้ว
ตั้งแต่มีโครงการพระราชดำริ"โครงการแก้มลิง"
ที่เป็นพระปรีชาสามารถ
ที่คาดการณ์ถูกต้อง
และเตรียมพร้อมที่จะรับมือและป้องกัน..อย่างทันท่วงที
ปลายฝนนี้..........
จึงทำให้เรามีชีวิตที่แสนดี..
จากหยาดน้ำพระทัยที่ใสเย็นดั่งหยาดฝน...
ที่รินรดให้..พสกนิกรไทยทุกคน
และ
ทำให้เราได้ตระหนักว่า.....
ธรรมชาตินั้นจะโกรธเกรี้ยว ลงโทษ
คนที่ไม่รู้ค่าของธรรมชาติสถานเดียวเท่านั้น
อย่างสิ้นปรานี
เพื่อ
ฝากให้หลาบจำ .....
ไม่มีป่า..เมื่อยามน้ำมา
น้ำก็จะท่วมอย่างรุนแรงพาให้สูญเสียอย่างยับเยิน....
และ
นี่คือบทเรียน..
คือความพ่ายแพ้ ของมนุษย์
ที่บังอาจทำลายธรรมชาติอันยิ่งใหญ่
และยังประโยชน์มหาศาลให้แก่มวลมนุษยชาติ...
และ
บางคราว..ต้นหนาวกลับไม่หนาว..
ก็เพราะน้ำมือมนุษย์อีกนั่นแหละ จะโทษใคร
หากไม่ไตร่ตรองก่อนสายเกิน......
ฤดูกาลผ่านไป
ไม่ว่า..กี่ฝน กี่หนาว กี่เศร้า กี่สุข
เราผู้ยังเป็นมนุษย์
ก็ต้องคลุกเคล้าเวียนวน ผจญต่อสู้
จนกว่า.
.โลกนี้จะ..แตกดับ
ไม่ร้อนไม่หนาว
หมดสิ้นทั้งฤดู..ฤดี.. ไปพร้อมกันตราบจนชั่วนิจนิรันดร...!
.................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song336.html
ปีศาจวสันต์ ...สุนทราภรณ์ บุษยา รังษี
เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว...
19 กรกฎาคม 2549 16:41 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song64.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song525.html
http://us.geocities.com/thethaimusic/thai1.htm
คือ...
คืนค่ำ...ที่ดวงแสนดายเดียวเหมือนเดิม
หาก...
แสนสงบสุข....
ท่ามกลางแมกไม้ใบบัง
แม้นจักสิ้นไร้แสงจันทร์ทองทอ
มีเพียงนวลละออจากดารารายดาระดาด
วาดวงเวิ้งฟ้ากระพริบระยิบระยับ
จับเงาไม้ไหวพร่างกระทบสายชลวูบไหวก็ตามที
ม่านน้ำในบึงใสสวย*สวนสมเด็จฯ*
กำลังพุ่งแฉกพรายคล้ายพัดแผ่ออกไปทุกทิศทาง
หลากสีสันแสนพรรณราย..
บนฟากฟ้ากว้าง สีกำมะหยี่
ดาวนพเคราะห์ กำลังคลี่ดวงอลังการ สว่างสุกใส
ดาวประจำเมืองประจำใจ กำลังแย้มยิ้มเยือนโลก
ให้ทุกดวงใจ พลีโศก ฝากรัก..ฝากฝัน
เสียงดนตรี กำลังเริ่มบรรเลงเพลงหวานเว่วแผ่วมา
เนื่องในวาระ ราตรีที่มีงาน*รำลึกถึงสมเด็จย่า แม่ผู้มีพระคุณ*
และ..
มีนักร้องและวงระดับชาติมาฝากมนต์เพลงฝันฝันฝัน
มาปันพลีมากมายให้แสนประเทืองประทับใจ
อย่างเช่น...
คุณดาวใจ ที่ยังงามไสวแม้นคืนวันจะผันผ่าน
เธอผู้เปรียบประดุจดั่งตำนานบทเพลงแห่งแผ่นดิน
ที่เป็นศิลปินผู้ขับขานบทเพลงแสนไพเราะ
ซึ้งโศก โดดเดี่ยว อ้างว้างโหยหา
ที่..
คืนค่ำนี้เธอ มาครวญบทเพลง *ส่วนเกิน*
ในขณะที่..
ดวงกำลังเดินชมสวนชมดวงดอกลีลาวดี
ที่กำลังคลี่กลีบสะพรั่งพราวไปทุกราวกิ่ง
ราวนิ่งฟังไปพร้อมกัน
ดวงแสนซึ้งฝันไปกับลีลา
ในร่างอันแสนเย้ายวนใจของเธอคนดี
ที่คืนนี้ ..
เธอสวมชุดรัดรูปรัดรึงตรึงตา
ด้วยผ้าชีฟองแพรสีไพลผ่องพราย
ที่..
ยิ่งขับร่างเธอให้แสนงามผ่องผุด
อันแสนน่าเสน่หา
ยามที่เธอชะม้อยตางามออดอ้อนวอนเว้าเย้ายวน
ราวร้าวราน ไปตามบทเพลง
ที่ดวงเอง แสนอินอึ้งซึ้งประทับใจ..
จน...
อยากเกิดมาเป็นนักร้องอย่างเธอบ้าง
หากแม้นเลือกเกิดได้ในชาติหน้า..ชาติไหนท่ามี..
เผื่อบางทีจะดีกว่าเป็น
*กวีกระวาด นักอยากจะเขียนเพียรฝันค้างแบบนี้*
..........
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song64.html
ส่วนเกิน..คุณดาวใจ ไพจิตร
มองดาวเดือนที่ลอยล้นเกลื่อน นภา
ลมโบกพริ้วโปรยมา ใจผวาลอยเลื่อน
ระทม ระทวย ระทึกฤทัย ไร้เพื่อน
ใจนึกอยากเป็นเดือน
มีดาวล้อมเกลื่อน รอบกาย
มองดู ตัวเราแสนจะว่างเปล่าเดียวดาย
น่าอาย ขวย เขิน
ป่านนี้เขานอน ชิดเนื้อนวล ชวนเชิญ
แต่เรา ส่วนเกิน เขาคงเมิน ให้คอย
มนต์อันใดมัดใจเราให้ ใฝ่หา
ใจก็รู้ดีว่า นี่แหละหนาปมด้อย
คนมีภรรยาเขาหรือจะมา ได้บ่อย
เราก็เฝ้าแต่คอย ดวงใจละห้อยคอยหา
อา ดูร เดียวดาย เขาคงจะหน่ายไม่มา
หรือว่า ทำเมิน
เมื่อยาม นิทราหอมภรรยา คุณเพลิน
ปล่อยให้ ส่วนเกิน หอมหมอนเพลิน แทนคุณ
มนต์อันใดมัดใจเราให้ ใฝ่หา
ใจก็รู้ดีว่า นี่แหละหนาปมด้อย
คนมีภรรยาเขาหรือจะมา ได้บ่อย
เราก็เฝ้าแต่คอย ดวงใจละห้อยคอยหา
อาดูร เดียวดาย เขาคงจะหน่ายไม่มา
หรือว่า ทำเมิน
เมื่อยาม นิทราหอมภรรยา คุณเพลิน
ปล่อยให้ ส่วนเกิน หอมหมอนเพลิน แทนคุณ...
...................
ตามมา..ด้วย
ดวง...ได้รับฟัง..*คุณกุ้ง..กิติคุณ เธียรสงค์*
ที่พาร่างแบบหนุ่มคมเข้มคนปักษ์ใต้บ้านเรามา
ครวญเพลง
ที่แสนซึ้ง ใจ*นวลแสงไต้*และ*ไกล..นาง*
ให้แสนโศกรัญจวนใจมาก
และ..
ก็พาให้ดวงแสนคิดถึงใครบางคนสุดหัวใจตามไปด้วย..
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song525.html
ฝันถึงดวงใจ
จากไปแสนห่วงไม่หาย
เคยอยู่ เคียงกาย
เคยกอดเจ้าไว้ชื่นชู้ภิรมณ์
ต้องมาเหินห่าง อ้างว้าง ไม่สม
มี แต่ คลื่นลม
ระงม ให้ป่วนใจ
เสียงสายลมครวญ
ดั่งนวลเจ้ากู่เรียกหา
ยินแผ่ว แว่วมา
พี่ตื่นผวาไขว่คว้าอาลัย
ไม่มีสำเนียง เรียกหาอยู่ไหน
เพียงฝันตื่น ก็คลาย
ฝืนใจ ไม่หลับได้เลย
นอน พี่นอนสะท้อนใจข่ม
วันคืนควรรื่น-รมณ์
กลับระบม อกเอ๋ย
หาดทรายสีทอง
ต้องแสงจันทร์ ถูกชมเชย
ฟากฟ้า ประหนึ่งจะเย้ย
ชื่นเชย ให้โอบนที
สงสารดวงใจ
คงตรมหมองไหม้คอยหา
เคยแอบ อุรา
พี่ห่างสุดหล้าสุดฟ้าธาตรี
พี่ฝันถึงเจ้า น้องเล่ายามนี้
ยามฟ้ากอด นที
ฝันถึงพี่ ไหมเอย
สงสารดวงใจ
คงตรมหมองไหม้คอยหา
เคยแอบ อุรา
พี่ห่างสุดหล้าสุดฟ้าธาตรี
พี่ฝันถึงเจ้า น้องเล่ายามนี้
ยามฟ้ากอด นที
ฝันถึงพี่ ไหมเอย...
..................
สุดท้าย..
ที่ดวง..สุดแสนวาบหวาม..ซ่านซึ้งใจ
หลังจาก..
ได้ฟังเพลงอมตะมากมาย
ที่ดวงนี้หนาแสนศรัทธาชื่นชม
ในท่วงทำนองทั้งเนื้อหาภาษาเพลง
ที่บรมครูเพลงคนหัวใจดวงดีดวงโบราณ
ที่จิตภายในแสนตระการละเมียดละมุน
ได้..
เพียรพลีพรสวรรค์สรรเสกด้วยสมองสองมือทอง
ปองฝันฝากค่าคำไว้ให้โลกหล้า แล้งไร้
ได้ยังพบหอมกรุ่น
ในทุกครา ที่สายตาพาสายใจ
ผ่านสร้อยโซ่เพชรอักษราภาษาไทย
ที่เลอล้ำล้นค่า ...
และ
ราวกับว่า..
จักพาร่างใจดวงย้อนรอยถอยหลังไปในเงางามแห่งอดีต
ยาม..
ได้ฟังบทเพลงที่ช่างแสนสะเทือนสะท้อนสะท้านใจ
ที่ไม่เคยมีวัยวันมาขวางกั้น
หาก..
เพียงรู้เปิดจิตดวงทิพย์นวลนิรมิตละมุนให้แลเห็นงาม..
และ...
ดวงยิ่งนั่งนิ่งอึ้งอั้น งันเงียบในดวงใจ
กับ...
บทเพลง
*คำหอม*ที่คุณวิระ บำรุงศรีขับร้อง
และ..
บอกว่าเป็นเพลงที่ร้องยากมาก
ไม่เคยร้องได้จบโดยมิล่มเสียก่อน
ถึงกับนาทีนั้น
พลันไหว้วอนให้*สมเด็จย่า ฯ*
ได้โปรดเมตตาให้เขาร้องได้จนจบแบบงดงาม
แบบที่ผู้ฟัง
ต่างต้องพากันเอนอิงพิงพุ่มไม้ฟัง
*แบบลุ้นเอาใจช่วย*เสียแทบแย่..
และ..
สำหรับดวง..แน่นอน
ที่ใจดวงอรชรอ่อนหวาน
ย่อมตั้งใจฟังเนื้อหา
ที่ช่างแสนให้อารมณ์รักอาลัยอาวรณ์อ้อนออดถวิลเสียไม่มี...
www.websuntaraporn.com
คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุลทำนอง เวส สุนทรจามร
ลมโบกหวนกลิ่นหอม หอมชวนเด็ดดอม คำหอมเจ้าเอย
กลิ่นนี้พี่เคย เคยได้แนบเขนย อกเอ๋ยหวนคำนึง
เพียงแต่กลิ่นล่องลม ชื่นชมซาบซึ้ง
ชวนให้คิดติดตรึง ใจตระหวัดคะนึงถึง ถึงสาวเจ้า
ชวนให้ใจพี่เหงา จำว่ากลิ่นเจ้า เศร้าอยู่ในใจ
เนื้อเจ้าอวลกลิ่นประทินเดียวกัน
ขวัญเคยแนบขวัญ รักกันชิดใกล้
หอมเอยเคยชื่นใจ
หอมใดไม่ซึ้งถึงอารมณ์
ขวัญพุ่มปทุมมา
กลีบบัวยั่วตาพลิ้วพากระเพื่อมลม
ผ่องศรีที่พี่ชม สีนวลชวนชื่นอารมณ์
ดุจดังสีแพรเจ้าห่ม ปิดถันกันลมซ้ำชมให้เศร้าใจ
เจ้าเอยเจ้าคำหอมเจ้าเนื้อหอมหอมชวนใคร่
ต้องจิตเตือนใจยิ่งคิดไปชวนให้ตระกอง
โอ้มือพี่เคยโลมเล้า สาวเจ้าเคยเอามือป้อง
แต่ไม่พ้นมือพี่ต้อง หวงยิ่งกว่าทองแต่น้องยังให้ชื่นใจ
ยอดชู้คู่เชย
ขวัญเอยอย่าเลยจากไป
โอ้คำหอมเอยเคยชิดใกล้
อีกนานเท่าใดขวัญใจจะกลับมา
ยอดชู้คู่ชม
ภิรมย์ชมชื่นอุรา
เพื่อนชายร้อยคนมากล้นค่า
ไม่ชื่นอุราเหมือนเจ้าเพื่อนชม
................................
และแล้ว...
ค่ำคืนที่แสนงาม
ก็ผันผ่านพ้นไป...แบบฝากใจให้แสนตราตรึง
ที่..
ถึงมาตรแม้นไร้ซึ้งซึ่งคนในคะนึงถวิล
และสิ้นสายแสงจันทร์...
ในท่ามกลางแสงไฟฝันพร่างพร้อย
นับร้อยพันจากดวงไฟที่แฝงฝังตามพงพฤกษ์ไพร
หาก..ทว่า
กลับพาให้ใจดวง ดวงดายเดียวเหว่ว้า
ราวได้เกี่ยวดาวดวงในเวิ้งฟ้ามาประดับใจ
ให้แสนสุกใส แสนงามพอกัน...นะทุกยอดขวัญยอดดวงใจ
.............
18 กรกฎาคม 2549 00:08 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
(สี่แผ่นดิน ลุ่มเจ้าพระยา)
ไปนั่งทอดตาทอดใจ
ดูสายน้ำรักนิรันดร์ค่อยๆระรินไหล
อย่างช้าช้าอย่างอาลัยอาวรณ์
หน้าพระตำหนักสิริยาลัย
ที่แสนสงบงามในท่ามแมกไม้ไทย
จนตะวันพลบตะวันตกดินตรงหน้า
กับฟากฟ้าที่แสนงามราวเรียวรุ้ง
ราวในเรื่อง
สไบนวลสไบนางและ*ดั่งดวงเนตรในทุกยาม*
ทั้ง*ลีลาวดีมณีรุ้ง*
ที่เคยถอดจิตถอดใจรจนาฝากไว้
ให้ทุกดวงใจในร่มรักได้อ่านผ่านตา
หวังฝากประทับใจ
ดูนกกาโผผิน
ด้วยดวงใจเหว่ว้าดายเดียวราวย้อนยุค
พบสุขสงบหากไยแสนเศร้า
ราวได้ยินเสียงทุกข์..สุขสรรพสิ่ง
แห่งเงื้อมเงางามอดีตกาล
เสมือนตัวเองนั้นร่วมเป็นหนึ่งใน
และ
ได้น้อมนำมาลัยสดงดงามไปกราบพระอัฐิ
ที่ฝังพระศพเจ้าฟ้ากุ้ง
ในแสงเรื่อเรืองรัศมีของทิวาวัน
ที่กำลังผันดวงลงเรี่ยต่ำทายทักทุกศิลาคร่ำ
ยอดเจดีย์วัดไชยวัฒนาราม
ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดดำเพนท์พิมพ์ลายดอกไม้
สดสะพรั่งด้านหน้า ยาวกรอมเท้า
ใส่หมวกถักลายลูกไม้สีขาว
กำลัง.
ค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าช้า ผ่านลานลีลาวดี
ที่กำลังส่งกลิ่นหอมระรินสะพรั่งพร่างไปทั่ว
และดวงดอกปลิดโปรยโรยกรายแลละลานตา ตรงลานหญ้า
ราว..
ถูกประดับด้วยมนตราแห่งหวานเศร้าร้างลาแรม
ให้แสนอาวรณ์อาลัย
ทุกย่างก้าวรอยย่ำบนศิลามณี
ที่นะบัดนี้สึกกร่อนไปกับกาลเวลา
ทุกศิลาที่ประดับเป็นพระปรางค์ปรา เจดีย์
ยิ่งพาให้ใจดวงเหว่ว้า
นัยน์เรียวตาซึมซึ้งราวมีหยาดน้ำผึ้ง
กำลังจะหยดรินรดบนเรียวแก้มพลีทุกนาที
กับ.....
มหัศจรรย์ความงามนี้ที่ยากบอกด้วยคำ
หากจักสัมผัสได้ด้วยพลังแห่งความรัก
อันล้ำลึกดำดื่มอย่างปลาบปลื้มปิติเพียงนั้น
ราวกับสวรรค์ แลฟ้าดินประทานพร
ให้หัวใจอ่อนหวานในร่างอรชรได้รับรู้รับทราบเพียงลำพัง
เธอ..เดินช้าช้าเข้าไปภายในเบื้องพระวิหารรายและ
หยุดร่ำไห้.....
เมื่อแหงยเงยไปเห็นองค์พระพุทธมากมาย ที่นะบัดนี้สิ้นไร้เศียร..!
...............
พบพุทธบุญเพรงสยาม.....ลำน้ำน่าน
๑) อยุธยายศล่มแล้ว...........ลอยสวรรค์ ลงฤา*
โคลงสะอื้นรำพัน.................ศึกแพ้
แรมนิราศจาบัลย์................บุณย์รักษ์ เวียงแล
อินนรินทร์ธิเบศร์แล้...........ร่ำร้าวโคลงหวนฯ
(*นิราศนรินทร์)
(๒) เศวตฉัตรช่อฟ้า............ วงศ์สวรรค์
เก้ารัชกาลบรร-................... จบแล้ว
รัตนวงศ์วรรณ.................... วัฏแผ่น ดินแฮ
สันตติวงศ์แพร้ว................. ร่วงรุ้งเรืองสยามฯ
(๓) แดง...ฤกษ์ไทฤกษ์ด้าว.. ดำเกิง สุรีย์แล
แดง...เลือดหลั่งเลือดเชิง..... ศึกเชื้อ
แดง...มารมอดมารเพลิง...... พ่ายพุทธ
แดง...ชาดหรคุณชาดเกื้อ..... เลือดแก้วละเลงสยามฯ
(๔) น้ำเงินงามรามร่มเกล้า.... เครือกษัตริย์
กษัตริย์เกษมวิวรรธน์.............วรทล้ำ
ล้ำแผ่นสุพรรณบัฏ...................บรมราช- วงศ์แล
ราชธรรมเพียบพร้ำ.................พุทธพร้อมพรสยามฯ
(๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง...ธารทอง
เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง...............ระบัดกล้า
เขียว...ผักคละครองคลอง.........เครียวยอด
เขียว...พระมรกตหลักหล้า........เหล่านี้มณีสยามฯ
(๖) ขาว...กลีบแก้วพุดซ้อน.......แซมทรวง
ขาว...หยดน้ำค้างยวง...............หยาดน้ำ
ขาว...ข้าวดอกมะลิรวง..............หุงใหม่
ขาว...ดอกบัวไป่ช้ำ...................ผ่องแผ้วพุทธถวายฯ
(๗) เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว......โพสพสรม
เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม.........รุ่งคุ้ง
เหลือง...อรุณแรกขานขรม........ขมิ้นเพรียก
เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง................เรื่อแล้วลานสยามฯ
(๘) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...........เพลบุญ
โพ้นวรรษาราพิกุล...................เกี่ยวข้าว
ปรางค์สางรุ่งอรุณ.....................ระดะยอด อวดแฮ
บุญสยามค่ำเช้า........................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ
(๙) ขึ้นสิบห้าค่ำไหว้..................วิสาขา
เทียนรุ่งร่ำเรียมตา...................ตาดเคื้อ
นวลเดือนอาบปฏิมา.................มณฑป
อาบโบสถ์เทียนอาบเนื้อ...........นุชหน้าพัสตร์สงฆ์ฯ
(๑๐) ไขประทีปประดับต้น.........รัตติธรรม
สงฆ์แว่วแจ้วลำนำ...................นพน้อม
เพลาพร่าจันทรารำ-.................ไรยอด โพธิ์แล
โบสถ์ค่ำพัสตร์ภายพร้อม..........พร่างพื้นแขไขฯ
(๑๑) ข้าวออกรวงดกแล้ว..........ละลานตา
ไหวว่ายตะเพียนปลา...............ผุดปลื้ม
พลบค่ำเพรียกวิหคนา............ นางเพรียก ละเมอฤา
แรมล่าอริราชครึ้ม...................ศกคล้อยเรือนหายฯ
(๑๒) ทองหยิบเคยหยิบป้อน......เพลา เสมอนอ
เรียมหยาดหวานหยาดตา.........ขยิบซึ้ง
เรียมหยอดรักหยอดยา.............หยดพิษ
แรมรักร้าวรักทึ้ง......................หยิบแย้มแซมขมฯ
(๑๓) รอนตะวันลับเศร้า...........บึงอุบล
จันทร์แจ่มแย้มนวลยล............เยี่ยมฟ้า
ขิมครวญดั่งครางคน.................ครวญพี่ นะแม่
นิราศเรียมห่างหน้า.................ห่อนได้แลเห็นฯ
(๑๔) ปรารถนาภาพลึกล้ำ.........ละเลงบุญ
เกล็ดทิพย์ลิบละมุน..................ม่านน้ำ
อารยธรรมค้ำจุน......................จวบค่ำ
เจ้าพระยาพาข้าม......................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ
(๑๕) ทอดสะพานล่องข้าม..........แขนงชล
ระยับหมอกดอกอุบล.................เบ่งใต้
บัวเรียมระเมียรยล..................หยั่งย่าน ชเลแล
บัวสี่เหล่าเนาไซร้.....................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ
(๑๖) พรพรหมธรรมแต่เบื้อง....บุราณกาล
สืบแผ่นดินระรินมาลย์.............อะคร้าว
ข้าวจวักตักถวายทาน...............ทรวงบาตร อรุณแล
พบพุทธบุญเพรงข้าว................กนกเนื้อนาถสยามฯ
(๑๗) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ.........รวีอรุณ
พุทธุปบาทกาลบุญ....................เบิกฟ้า
พุทธศาสนิกละมุน...................พุทธชาด สยามนอ
พุทธบุตรโชติชวาลหล้า.............สว่างเพี้ยงพันแสงฯ
(๑๘) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง..พะไลทราย
พันพร่างธรรมทองพราย...........พิจิตรฟ้า
มะลิหล่นร่วงโรยวาย.................วัฏจักร
เบิกรุ่งบุญระบายหล้า............... โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ
(๑๙) บัวบังใบตะไคร่ครึ้ม..........บัญจรงค์
บังอุบลจตุวงศ์..........................เวี่ยน้ำ
เบญจภูตโพชฌงค์....................ฌาปนกิจ บังฤา
เบญจขันธ์กิเลสล้ำ....................ยากยั้งบังไฉนฯ
(๒๐) เบญจขันธ์กิเลสรั้ง............ยามโยค ญาณเอย
ทุกข์สร่างหมางเศร้าโศก...........สร่างสิ้น
วิปัสสนาวิโมกข์........................วิมุตติ
เบี่ยงบ่วงอบายหวิ้น..................วิวัฏโพ้นพรหมสวรรค์ฯ
(๒๑) ปราชญ์ใดในโลกร้าง.......ธรรมา
แสวงสว่างศาสนา....................เสน่ห์น้อม
ฤาประลาตพันธนา...................เนืองยศ
กิเลสรัดมายาย้อม....................ขุ่นข้นใจถลำฯ
(๒๒) ปวงปราชญ์ปรัชญ์ก่อเคื้อ..กวีนิพนธ์
เพาะบ่มอักษรมนตร์.................มิ่งแก้ว
ค่าคำรดเหล่าอุบล.....................บริพัตร ทวีปนา
สงฆ์สะแบงกลดแล้ว.................เกียรติคล้อยครืนหลังฯ
(๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง.............ไพหาร
พุทธะหลั่งวิญญาณ....................หยาดไว้
ชะรอยพุทธเพรงกาล................มาล่ม ลงแล
ธารพระธรรมผากไร้................ร่อยร้างมลายขวัญฯ
(๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ...........นองพระยา
เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา................ลิ่วลื้น
ไหลลอยล่องชีวิตมา..................มาดมุ่ง เมืองแล
จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...............ฝากน้ำซากสลายฯ
(๒๕) ปณิธานไพร่ฟ้า...............กวีไพร
พลีหลั่งเลือดละไม....................มุ่งฟื้น
ปลุกสำนึกดื่มดวงใจ.................ชนชาติ กวีนอ
กราบแผ่นดินน้ำตารื้น.............รักษ์ร้อยชาติสยามฯ
..............
ใต้ร่มไม้ใบระยิบระยับไหว
ฟังธรรมใจรับแดดทองส่องพรายพร่าง
ใจดวงทองรับยอดธรรมส่องนำทาง
ใสกระจ่างอัญมณีทิพย์นิรมิตใจ..
หลับตานิ่งทิ้งทุกสิ่งไว้ภายนอก
ตาในบอกเปิดจิตงามรับพร่างใส
ดอกบัวบุญแย้มคลี่บานกลางบึงใจ
ยอดพระรัตนตรัยดั่งน้ำค้างลงพร่างริน..
ในนิมิตเราเคียงกันลานดอกจิต
น้อมชีวิตกราบกรานถวายสิ้น
มีเพียงว่างวางทุกข์น้ำตาริน
หวังสุดสิ้นทุกข์ระทมเคยห่มใจ..
แกะเปลือกใจพบจิตใสอย่างช้าช้า
แก่นชีวาคือทำดีมิหวั่นไหว
รู้สละออกเพียรรู้ให้น้ำค้างใจ
หอมดวงใจใสเย็นพร่างสร้างรอยบุญ..
เสียงสวดก้องสะท้อนทาบอาบอุ่นนัก
ฝากใจภักดิ์สองดวงจิตอันหอมกรุ่น
ใบไม้ร่วงพรูพร่างกระจ่างใจรับอรุณ
ดอกพุดไพรใจละมุนรับวันพร..
แล้วดวงจิตกระจ่างก็พร่างวับ
งามธรรมจับนวลเนื้อจิตซึ้งคำสอน
สนิทแนบแอบแสนรักฟ้าอวยพร
ให้เราสองล่วงสู่ฝั่งฝันวันนิพพาน..!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
สี่แผ่นดิน
คนมี ชีวิตและกายา
ถือ กำเนิดเกิดมา
เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย
ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน
เป็นแดน ที่ให้ชีวา
พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน
คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน
เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
ความทุกข์เยือน เรือนกาย
หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
ยามดี เราดีตาม
ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน...
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
ลุ่มเจ้าพระยา
ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน...
15 กรกฎาคม 2549 21:46 น.
พุด
ใจดวงระกำช้ำแดงดั่งสีทับทิมเลือด
เมื่อถูกเชือดเฉือนเนื้อใจจนขาดวิ่น
ไม่มีรักไม่ต้องรอน้ำตาริน
หยุดถวิลสิ้นภักดิ์สิ้นรักรอ..
ใต้ฝ่าเท้าคือแก้วร้าวธุลีหล้า
สิ้นน้ำตาสิ้นน้ำใจใครเคยพ้อ
ทรมานดั่งถูกทับใต้โลกโศกเกินพอ
เมื่อเธอรอย้ำคำลานาทีนี้
ทรมานเพียงตายก็เท่านั้น
มายาฝันวิวาห์หลอกพลีศักดิ์ศรี
พร้อมยอมตายทั้งเป็นใช่ไหมเล่าเจ้าคนดี
เพราะภักดิ์พลีเพียงแค่ครั้งหวังยังราน
นับจากนี้สิ้นสวาทขาดกันแล้ว
ดั่งเศษแก้วทิ่มแทงน้ำผึ้งหวาน
หยาดเลือดรักพลีสังเวยตราบชั่วกาล
รับทรมาน.หนาวเหน็บ เจ็บเพียงตาย ..ก็เท่านั้น..!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song481.html
คิดถึง..
จันทร์ กระจ่าง ฟ้า
นภา ประดับ ด้วยดาว
โลก สวย ราว
เนรมิต ประมวล เมืองแมน
ลม โชย กลิ่น
มาลา กระจาย ดินแดน
เปรืยบ มี แสง
คนึง ถึง น้อง นวลจันทร์
งาม ใด หนอ
จะพอ ทัดเทียบ เปรียบน้อง
เจ้า งาม ต้อง
ตาพี่ ไม่มี ใครเหมือน
ถ้า หาก น้อง
อยู่ด้วย และช่วย ชมเดือน
โลก จะ เหมือน
เมืองแมน แม่นแล้ว
นวลเอย...
..............
13 กรกฎาคม 2549 22:35 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song200.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
(ในฝัน..ปรารถนา)
ยามอุษา ฟ้ากระจ่าง ทั่วนภางค์รำไรรำไร
ไพล..คว้าจักรยานคู่ใจ คู่ชีพ คู่ขา ปั่นออกไป
ตามถนนสายโศกสายฝัน..
สายดอกไม้ริมทุ่งยังแสนงาม
ทั้งๆที่ใจแสนกลัว สุนัขมากมี
ที่เป็นสมาชิกพรรคข้างถนน
ที่คงจะอยู่คนละพรรคกับไพล
ถึงได้จ้องที่จะรุมเห่าเขย่าขวัญ
คอยอยากจะขย้ำ
หม่ำน่องน้องน่องทองน่องนักกีฬาขาแข็งแรงคู่นี้ เสียจริงจริง..
เอาไงเอากันนะ
เพราะว่าในตัวมียาป้องกันพิษสุนัขบ้ามากมี
ที่ฉีดมาหลายทีแล้ว
และครั้งล่า....
คุณหมอบอกไว้ว่ายังป้องกันได้ไปอีกห้าปีค่ะ...ห้าปี..
แล้วดวงชีวีจะยังหวั่นอะไรเล่า อ้าวปั่นไปเลยไป..
อากาศยามเช้าแสนสดชื่น ลมระรื่นระริน
กลุ่มเมฆลอยเกลื่อนฟ้า
รอเวลาพระอาทิตย์แหวกม่านชักรถ
ปรากฏกายออกมาเยือนโลกหล้าอีกคราครั้ง
ให้ทุกดวงใจได้ตามตะวันพบทิวาวันแสนดีที่แสนงาม..
ไพล..สูดลมหอมหวานในยามเช้าแสนสดชื่นช้าช้า
ผ่อนฝีเท้าลง!
ถนนสายโศกสายฝันยังว่างวาย
ต้นไม้ตายซากยืนต้นแผ่กิ่งก้านงามประหลาด
ยังกับเส้นสายปะการังสีดำ
งามล้ำในรู้สึกลึกเศร้าจนต้องหยุดเฝ้าเหลียวมอง..
ดงดอกหญ้าและรวงเรียวข้าวในท้องนา
ที่ยังเหลืออยู่ริมกรุงริมทุ่งริมถนน
ยังคงสะบัดพลิ้วปลิวไสว
รอรับแสงอาทิตย์ดั่งทองทา
มาโลมไล้ละมุน
ล้อเรียวรวงพวงระย้าย้อยพร้อยแพรวพรายพร่าง
อย่างแสนอ่อนหวานอ่อนโยน
กลุ่มผีเสื้อ แมลงปอ บินว่อนร่อนชมดวงดอกไม้
สองฟากฝั่งบ้านชาวสวนชาวทุ่ง
ที่ยังตั้งหลักไม่ทันยังคิดว่าหลับฝันไป
ที่อยู่ดีไม่ว่าดี
มีถนนสายยักษ์ตัดตรงมา
และ
ให้นอนสะดุ้งทุกทิวาราตรี
ว่า ไม่รู้วันใด จะพารถคันใหญ่มาถล่มทับ..
ให้ยับย่อยจิตวิญญาณ..แบบมิฟื้นคืนกลับ..
นานนับเท่าไรที่สองลำคลอง ลำประโดง
ยังหลงเหลือความงามชนบทดิบเดิมติดดิน
ให้ไพล ถวิล ชมเพลิน เฝ้าดูทุกวี่วัน
ทั้งยามค่ำ และงามอรุณรุ่งอย่างเช้านี้..
ไพล..หลงรักกระท่อมทับ..หลังหนึ่งของสองตายายคู่ยาก
ที่มีถนนทางเข้าคือรอยย่ำแยกของดงหญ้าคา..
พอให้รู้ว่านี่คือทางออก
สู่ท้องถนนใหญ่
ที่..ปลูกไว้พักใจกายยามเสร็จงานนา ยามเหนื่อยล้า
มาสูบมวนยาตราใบตองนอนทอดถอนใจ..
ดูฟ้าไกลอย่างเงียบงาม
ให้ลมโชยชายทุ่งพัดกลิ่นจรุงใจ
ของหอมกลิ่นดินกลิ่นแมกไม้ใบหญ้า
มาทำให้งีบหลับฝันไป..
นาทีนี้..วันนี้ไพลไม่รู้ว่าแกอาจจะดีใจหรือเสียใจ
หรือไพลกันแน่ละหนอ...
ที่ใจหายคล้ายกำลังสูญเสียเพื่อนไพรในป่ากรง
ไพล..เลาะเลียบไปนั่งริมทุ่ง
ลืมความวายวุ่นวางเหว่ว้าห่างๆ..ใจ
ในคลองตา คลองใจ
ให้สัมผัสใสงามของธรรมชาติที่ใกล้จะถึงกาลพรากจาก
ไพลได้แต่วาดใจหวังส่งพลังใจไปกระซิบร่ำลา ....
ดงดอกหญ้า
ดวงดอกไม้ริมกระท่อมทับ
ดวงดอกไม้พื้นพื้นบ้าน
ที่ถูกหว่านหวานสะพรั่งรายรอบ
มีดงดอกบานชื่น หลากสี มีดาวเรือง ดาวโรย
มีดงดอกรัก นวล ม่วงพราว ขาวอมชมพู
มีพืชผักมากมาย ข่าตะไคร้ มะกรูด เป็นกอ
และนั่นผักบุ้งงามละออแตกยอดทอดเลื้อยในท้องร่อง
ดงกระถินคลอรั้วสานไม้ไผ่ เขียวขนัด
มีตำลึงเลื้อยพันระเกะระกะก้านกอพ้อไต่ตาม
มีมะลอกอห้อยหวานตรงปลายเรียวก้นอมส้มอมชมพู
มีมะเขือพวง มีแตงร้าน
มีบวบห้อยลูกยานเกือบถึงดิน
และมีทุกสิ่งที่เป็นวิถีชาวบ้าน
ที่พึ่งพาพึ่งพิงฝากท้องให้อิ่มให้เอมใจ..
เป็นเสน่ห์งามง่าย
ที่ไพลไขว่คว้า
และได้พาดวงใจยามอ่อนล้ามาพักตาพักจิตวิญญาณ
ที่ไพลหลงตามหาตามติดในเมืองลวงนี้..จนพบเจอ
และ..
ไพล..จำได้ว่าเคยคุยให้ไอเดียตายาย
ผู้อาจจะคิดตรงข้ามกันกับไพล
ให้ถนอมธรรมชาติ
แห่งผืนดินชุ่มฉ่ำใจนี้เอาไว้ให้ตราบนานแสนนาน
อย่าเอาอย่าง
คนชาวสวนมะพร้าวบ้านไพรที่ขยันขายที่มาขี่เก๋งแข่งกัน
เป็นทิวแถว
ให้หัวใจคลุมด้วยเหล็กกระด้างไร้ร้าง
หมดสิ้นฝันสวรรค์วาย...
ที่เจ้าของบริษัทนั้น
รู้จักจิตวิทยามนุษย์มากมีที่ทะยานอยาก
ไม่รู้จบรู้สิ้นถวิลหามาประดับร่างประดับบารมี..
ที่มากมีเกินความจำเป็นใช้สอย
จึงตั้งหน้าตั้งตาผลิตกันมาเสนอสนอง..กิเลสนี้
ที่ทำให้โลกได้หมุนไป..ในทางวัตถุล้นเมือง
ไม่ประเทืองใจ
ที่ต้องทนทุกข์ทำงานเหนื่อยยากตรากตรำ
หาเงินมาผ่อนจนแทบบ้าคราถูกตามทวงเงินงวดค่ารถ
ราวนั่งอยู่ในนรกแม้นเบาะรถจะแสนนิ่ม..
และไม่เหลือเนื้อใจให้ไหวหวามให้ไหวทัน
หรือบางทีก็เกินการณ์เกินแก้
พ่ายแพ้ใจจนเครียดเส้นโลหิตแตกในสมอง
ตรองไม่ทันตามกระแสโลก..
......
ไพล..
จึงเสียดายบ้านไร่ชายทุ่ง
กรุ่นกลิ่นหอมลอมฟางเรียวข้าวในนา
และดงดอกหญ้าไหวเอน..
ที่ใกล้จะไร้ร้าง
มีหมู่บ้านจัดสรรขึ้นมาแทนที่ราวดงดอกเห็ด..เป็นป่าปูน..
ถนนสายใหญ่ยักษ์ สายคอนกรีต
ที่กำลังกรีดดวงใจไพลทิ่มแทงใจไพลให้ย่อยยับดับฝันตาม
และให้เนื้อใจนิ่มนิ่มนวลนวลของชาวนา แหว่งวิ่น
กระจัดกระจายพรายพลัดไปกับลมอารยะ..ที่บ่าโหมกระพือ..
ไพล..ขอหยุดเล่าแค่นี้นะคะ
เพราะว่ายาวย้ายยานแถมมิหวาน..มีแต่รานร้าวเสียอีกค่ะ
เอาแค่ว่า..เช้านี้ไพลคนดี
แค่มาบอกว่ายังได้มาพบเช้างาม
อรุณรุ่งเรื่อรางสีหวานปานรุ้งเรียวในซอกเสี้ยวดวงใจ..นะคนดี
แม้นมิใช่ในไพรพฤกษ์ที่ไพลฝัน .
.เฝ้ามองผืนพสุธาภาวนาให้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง
เพื่อพบฝันวันดี..
ที่สุด..ก็สุดแต่ดวงตานี้...ดวงใจนั้น ของผู้ใด
จะ..ไขว่คว้าฝัน มาเพลินตา เพลินใจ..มาประดับดวงใจ..
ตัวใครตัวคุณก็แล้วกันนะ..นะคะ....
..........................
เพลงไพร...
ปลูกกระท่อมกลางไพรฟังเพลงฝน
พิรุณหล่นพร่างพรายชายคาจาก
จุดตะเกียงเคียงหัวนอนฟังฝนพราก
จูบแก้มสากหอมหอมหลอมละลาย
วิมานไพรติดดินถวิลหวัง
ขอคืนหลังฝังฝากใจไม่ห่างหาย
นานนิรันดร์หลับฝันดีมิเคลื่อนคลาย
งามเรียบง่ายใช้ชีวิตที่ติดดิน
ปลูกดาวรุ้งรุ่งเต็มลานหวานดอกรัก
ช่อฟูมฟักรักบานชื่นคืนถวิล
มีสวนครัวผักริมรั้วให้เก็บกิน
ยอดกระถินฟักแฟงแตงลูกยาว
เอื้อมมือเด็ดผักและดอกไม้ใส่ตะกร้า
ฟ้าลับลากลิ่นแกงหอมจากน้องสาว
ทำขนมบัวลอยคอยชิมฝีมือเจ้า
คืนพร่างดาวไม่หนาวใจใครเคลียคลอ
กอราตรีริมชานเรือนอวลกลิ่นร่ำ
พิไรร่ำลำดวนดงหลงใครหนอ
จูบเรือนผมคลี่สไบ บัวไหวรอ
เจ้าตัดพ้อคลอเพลงครวญรัญจวนใจ
เป็นความรักเรียบง่ายไร้แสงสี
มีคนดีคอยอ้อนใจให้หวามไหว
โลกเงียบงามยามเราสองแลกร่างใจ
ตำนานไพรตำนานรักภักดิ์ทุกภพจบด้วยงาม!
.....................
พายุพัดแรงมากค่ะที่บ้านพุด
พรายฝนพร่างสายจนกลายเป็นสายหมอกหนา
ครอบคลุม ให้ความรู้สึกซึ้งสุขปนเศร้าล้ำค่ะ
หยาดฝนจากชายคาร่วงแรงซัดสาดกระจาย
ต้นไม้ทุกต้นไหวเอน
แก้วแตกก้านรานกิ่งราวกำลังจะพรากลา
กล้วยไกวหวีไหว อย่างกับว่าอยากรีบลงหม้อบวชชี เสียทีรู้แล้วไป
จำปี จำใจสลัดใบทิ้งกราวเกลื่อนพื้น
เล็บมือนางกางเล็บกรีดกราย
ร่ายมนตราหาวสันต์ลีลาอย่าลาลับเลือนไกล
การะเวก..ทดท้อพ้อดอกพราวพรากไม่สนใจไยดี..
ลั่นทม..ไหวระทมตามลมระบัด ใบงามชัดเขียวฝนไพล
โมก..พิไรใจน้อยคอยชูดอกกระจิ๊ดจิ๋วปลิวพรมหอมพราย
คล้ายเย้ยเล็กแต่เด็ดดอมก็หอมไกลได้นะดวงใจ
กุหลาบ บานวันนี้สามสีแดงชมพูและขาว
ตัดมาวางเคล้าบทความนี้ นาทีนี้
ที่ดอกชวนชมค่อยค่อยคลี่ดวงดอกหวานบานนับสิบแดงเด่นดอก
รสสุคนธ์..รอคนไกลมาชมมาดมหอม
นางแย้ม ยังมิยอมแย้มงามราวสาวอายเอียงรอเคียง
คู่กับคนรู้ค่ารู้ควร
เข็มขาวกอใหญ่ แทงช่อดอกออกจากกระเปาะใจ
ให้หอมละมุนไปในยามค่ำ
ยามที่นั่งรับสายลมเย็นริมระเบียงบน
และ..
ทุกหนทุกแห่งทุกแหล่งหล้า นะนาทีนี้
หากมีพระพิรุณพรายสาย
แม้นย่างกรายมา
ก็ขอให้มาดับร้อนได้ฉ่ำเย็นให้เห็นซึ้งงาม
ไปตามกันนะทุกดวงใจ..
ณ..เรือนไทยในเรือนไทย
ดอกบัวคงไหวชูช่อรอน้ำค้างในยามดึก
เดือนพรายหยาดสายหวานน้ำผึ้งจากจันทร์ใจดี
รอเวลา..
ที่อรุณรุ่งจะพาแดดสีทองละอองรุ้งเรียวหลังฝนพรำ
มาทอแสงเพชรพรายพร่างประดับดวงใจ
ให้ใสสวยงามดั่งหยาดเพชร
เพื่อ..
ประดิดประดอยคำ ..รจนาให้งามล้ำสืบทอด
มรดกใจมรดกงามให้โลกอ่อนหวานเงียบงาม..เป็นนิรันดร์..
.....................
จากใจพุด
ภาคซึมซึ้งกับสายฝนหล่นพร่างพราวราวรวงเพชร..ค่ะ
.........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song200.html
ในฝัน ทูล ทองใจ
หากฝันว่าฉันและเธอ
ละเมอความรักร่วมกัน ทุกๆ วันแสน สุขฤทัย
หากความรักนั้นหนักเหลือ
แนบเนื้อเชื้อ รักดังไฟ ฉันขอตายบน ตักนาง
หากเราได้รักร่วมกัน
ผูกพันกระสันแน่นเหนียว
ขอรักเดียวไม่ จืดและจาง
หากเป็นดั่งเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่ขอห่าง
ขอรักนางเนื้อนวลแน่นอน
มอบ ใจ และกาย ทุกสิ่งมั่นหมาย
ถึงตัวตายไม่คลายรักก่อน
สู้ ทน อ้อนวอน ยอมฝันแม้ยามหลับนอน
ทนกอดหมอน นานมา
หากฝันฉันไม่หลอกหลอน
ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจปรารถนา
หากเป็นดังเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน
หากฝันฉันไม่หลอกหลอน
ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจ ปรารถนา
หากเป็นดังเช่นที่หมาย
จะตายฉัน ไม่นำพา ขอบูชาน้องนางแน่นอน...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song198.html
ปรารถนา ..ทูล ทองใจ
หากแม้นเลือกเกิด เองได้
คนทุกคนเลือกเกิดอย่างไร
ตามใจเขา ปรารถนา
แต่ตัวฉัน นั้นขอตั้ง สัจจะวาจา
ถึงชาตินี้ ชาติหน้า ปรารถนาเกิดมาใกล้คุณ
หากร้อนผิวกาย ใจระทม
ตัวฉันยอมเลือกเกิดเป็นลม
เฝ้าลูบชมเนื้ออ่อน ละมุน
หากหนาวนัก ขอเอารัก วางไว้เป็นทุน
ขอเกิดมา เป็นผ้าอุ่น
เกิดเป็นหมอนหนุน สำหรับนาง
อยากเกิดมาเป็น สีแดง
แต้มแต่งสองริมฝีปากคุณ
อยากเกิดเป็นแป้งหอมกรุ่น
ลูบไล้เนื้ออุ่น สองปราง
อยากเกิดเป็นสร้อยห้อยคอไว้
อยากเป็นดอกไม้ที่ทัดหู
อยากอยู่ร่วมหอ ไม่ห่าง
จะขอเป็นแหวนสวมก้อย
เป็นกำไรสวมใส่มือน้อย
เกิดเป็นรอยรับบาทของนาง
อยากแนบเนื้อ ขอเป็นเสื้อสวมใส่สรรพางค์
ขอเกิดเป็นหมอนข้าง
เพื่อนางนวลน้อง ได้กอดนอน...