7 สิงหาคม 2549 00:12 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
(คนเดียวในดวงใจ)
วันที่..ฟ้าสีฟ้า
ฟ้าสีครามงามเข้มกระจ่าง
เต็มไปด้วยพรายแดดอ่อนๆอุ่นๆ
หัวใจดวงละมุนของผู้ชายชาติไพรดวงเดิมๆดวงดีๆ
ดวงที่ติดดิน
ได้หมุนโลกมาให้หยุดนิ่งตรงหน้า*ฤทัย*
ด้วยน้ำเสียงสดใสด้วยแรงรักแรงเสน่หา
ด้วยลีลาแบบเรียบง่ายของคุณ
คุณกระซิบบอก*ฤทัย*ว่า..วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ
เราสองน่าจะขับรถไปหาอะไรเสพทางจิตวิญญาณ
ไปนั่งทานข้าวริมบึงบัวนอกเมืองริมทุ่งรวงทอง
ไปนั่งจ้องพระอาทิตย์ลาลับฟ้า
ไปฟังเสียงนกการ้องกลับรัง
หรือ
หากยังไม่อิ่มใจพอก็พากันนอนคลอในเรือนริมน้ำ
ดูดาวนับพันพร่างฟ้า
รอดูอ้อมนภางดงามยามฟากฟ้าฝันพลันเปล่งประกาย
พรายแสงแห่งนวลจันทร์เพ็ญ
กับหิ่งห้อย
ที่ค่อยๆกระพริบแสงพร้อยพราวพร่างฝัน
ออกมาแต้มแตะตามกิ่งก้านกอต้นลำพูราวรอคู่กรรม
คนดี..
คุณบอกหากสิ่งสำคัญสุดคือ
อยากพา*ฤทัย*ไปวัดในดวงใจ
ไปกราบพระประธานพระพุทธองค์ใหญ่ในโบสถ์คร่ำ
ที่เราสองเคยไปมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
หากมิเคยเบื่อเพราะมันคือเลือดเนื้อจิตวิญญาณคุณ
ที่แฝงฝังจิตนิมิตงามมาตั้งแต่ยามยังเยาว์
ค่าที่คุณเกิดที่นี่ โตที่นี่
เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
เมืองที่หลอมให้คุณคิดได้คิดให้คิดเป็น
ให้คุณเห็นโลกในมิติหนึ่ง
ซึ่ง
แสนพิเศษพิสุทธิ์
ผิดแผกแตกต่างจากโลกหอมหวานแบบของใครๆ
โลกที่คุณเคยบอก*ฤทัยว่า*แสนยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณ
โลกที่หวานหอมห่มบ่มพิสุทธิ์ใสกระจ่าง
สอนให้รู้วางว่างด้วยธรรมะ
คุณบอกว่า..
เมื่อมาพบ*ฤทัย*สงสัยวิบากยังไม่หมด
เลยต้องมาแบกความวาบหวามงามงดสักระยะ
และ
หากว่า*ฤทัย*เข้าใจรักแท้
มิแพ้กรรมพากันสร้างงามรักขึ้นในนิยามใหม่
ในมิติใหม่แบบเหนือโลกได้แล้ว
ก็จะชวนกันพาไปสู่อีกแดนดินหนึ่ง
ที่ซึ่งจะเป็นแดนดินถวิลวางว่างแห่งรักนิรันดร์อันไร้ร่าง
ไม่ต้องหลงพงกรรมดงกรรมอีกต่อไป
คนดี
หัวใจคุณ
จึงราวคนโบราณย้อนรอยถอยหลังกลับมา
คุณยังห่วงโหยหาอาวรณ์
ฉากตอนเรื่องราวย้อนยุคอันแสนงดงาม
ที่ตามติดมาให้ระสึกรู้ในสัญญา
และในภาพนิมิตนั้นกลับน่าแปลกนัก
ที่คุณ..บอกตั้งแต่พบ*ฤทัย*นาทีแรก
ทำให้ดวงใจแผกคิดถึงเพลงนี้เลย
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันไม่เคยคิด รู้ แต่บัดนี้ เธอมาสถิตย์
มาอยู่ใกล้ชิด ในดวงใจฉัน
เธอมาจากไหน จากดินผืนใด
หรือจากสวรรค์ ฉันก็จะรัก
รักเธอเท่ากัน ไม่เคยจะหวั่นแม้คำนินทา
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบ อุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบอุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอมาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม...
...................
คุณบอกทุกสิ่งที่เมืองเก่าบ้านเกิดนี่แหละ
ที่คือภาพจริงราวภาพฝัน
ที่รายล้อมหลอมละลายให้คุณคิดคุณเป็น
คุณเห็นอะไรแบบพิเศษ
มาตั้งแต่ลืมตาดูโลกแล้วละกระมัง
และ
ทุกคราคราว..
ยามที่ใจดวงร้าวของคุณเศร้าหมอง
เมื่อได้รับแรงกระทบจากผู้คนอลหม่าน
ในเมืองอันเรืองรุ่งริ่ง
กับมากเรื่องราวร้าวราน
กับโลกภายนอก
ให้หัวใจรวดร้าวบอบช้ำสุดทน
คุณก็จะหมุนกมลร่าง
มาสถิตทอดตาเหว่ว้าดายเดียวริมฝั่งฝัน
ณ...ที่วัดนี้
ที่ยังมีลานลั่นทมให้คุณแฝงฝังร่าง
พลางทอดนัยน์ตาเศร้าเฝ้าดูดวงดอกลั่นทม
ที่
ทิ้งทอดตัวระย้าย้อยห้อยเหนือซากปรักหักพัง
ราวกับจะสั่งลาฝากบางสิ่งทิ้งบางอย่าง
ให้กับผู้มาทีหลังได้สำนึกฝังฝากใจ
น้อมนำไปสอนจิตเตือนใจ
ไปย้ำรอยความรักชาติ
ฉลาดที่จะใช้ชีวิต
มิให้ซ้ำรอยเดิม
มาเติมทุกข์ทนหม่นไหม้ไปทั้งประเทศ
คุณบอกชอบมานั่งสเก๊ตภาพฝัน
ที่มีแบคกราวน์คือ
ลั่นทมดอกเศร้า
กับสายน้ำแสนโศกกับโลกอดีตลำพัง
ที่พรายผุดความหลัง
ที่มีแต่ทรากสลักหักพังทลายไร้ร้าง
ให้ยิ่งแสนอ้างว้างเปลี่ยวเหงาใจเป็นยิ่งนักแล้ว
หากไม่มีนางใจนางในฝันพลันมาปรากฎสักที..
ที่คุณรอคอยมาแสนนาน
ราวชั่วกาลกัปป์กัลป์นั้นเลยทีเดียว
และ
นะวันนี้...คุณคนดี
จึงวอนขอ*ฤทัย*ว่า
ให้ใส่ผ้าซิ่นพันทบผืนสวย...ที่ทอมือ
รอบเชิงชายปักลายผืเสื้อดอกไม้กรายเกสร
ให้งามอรชรว่อนว่ายเป็นชายเชิงอันงามอ่อนหวาน
ยามกรายย่างก้าวเดิน
ให้เพลินมองราวน้องนางหลุดมาจาก
เมืองงามแห่งอดีตอันเคยเรืองรุ่งแสนระยับงามจับใจ
เพราะ..
คุณอยากเก็บภาพ*ฤทัยไว้*
และเคยหมายตาตั้งแต่เห็น*ฤทัย*
ในงานวันลอยกระทงของคณะ
ที่ต้องพากันแต่งตัวด้วยชุดไทยทั้งชุด..
เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม
คืนนั้น
ที่คุณและเพื่อนๆต่างพากันมาเยี่ยม*ฤทัย*
ถึงในคณะที่จัดงาน
และเพื่อนๆต่างพากันล้อคุณทันที
เมื่อเห็นคุณแอบเด็ดดอกลั่นทมดอกงามนะลานฝัน
ให้ฤทัยทัดแก้มแซมผม
ว่าหัวใจคุณคงหลงทางไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
ก่อนกระทงแก้วกระทงขวัญ
จะพลันพาถึงเวลาลอยลงบูชาพระแม่คงคาเสียด้วยซ้ำ
เมื่อคุณแอบสบตาฤทัยแล้วทอดถอนใจ
ใจลอยล่องไม่เป็นอันทำอะไรได้แต่เขินอาย
และ
คนดี..
ผู้ชายผิวสีทองแดง
กับหลายปีต่อมา
เมื่อคุณตามติดและได้เข้ามาชิดใกล้
สนิทแนบในดวงใจหฤทัยหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
คุณ...ถึงกับสารภาพว่า
นาทีนั้นราตรีนั้น
คุณมองเห็นฤทัย
ราวนางใจนางในฝัน
หลุดมาจากภาพโบราณภพโบราณ
ผ่านในมโนนึกของคุณ
ยามที่เห็นฤทัยย่างเท้า
แล้วเสียงกำไลข้อเท้ากระทบกันกรุ๋งกริ๋งๆ
คุณ..
ยังกระซิบบอกว่า
ราวในความคิดได้ยินเสียงมโหรี
ดีดสีตีเป่าระทึกย้อนรอยคืนหลัง
ให้คุณงันงงสงสัยว่า
นั่นคือภาพจริงหรือภาพในนิมิต
ฤาว่าคุณกำลังฝันไป
และ
นั่นแหละคือคุณคนดี
คนที่ฤทัยแสนรักเอยแสนรักในกมล
คุณ..คนที่มีหัวใจดวงดีดวงเดิมดวงงาม
คนที่เกิดมาเกินกว่าจะรับไหวหวั่นทันโลกอารยะ
ที่บ่าโหม
มาแปรผันปันทุกข์ในรัก
อันมักฉาบฉวยไร้หนักแน่นมั่งคงตรงมั่นจีรัง
แบบคนโบราณผ่านภพภูมิเก่า..
ที่โลกเราหมุนเร็วมากเพียงไหน
คุณก็บอก
ก็ยิ่งหาผู้หญิงทีมีนวลใจละมุนละเมียดยากยิ่งขึ้นทุกวันทุกที
ที่มักแพ้กิเลสไปตามแรงเหวี่ยงแห่งกระแสโลกนี้
ที่เห็นค่าวัตถุความสบายกาย
สำคัญกว่าเรื่องจิตวิญญาณบ้านภายใน
และ
กี่ปีนะดวงใจ
ที่คุณกับฤทัย
ต้องขับรถไปๆมาๆ
ระหว่างอยุธยากับทะเลฝัน
อันเป็นบ้านเกิดของฤทัย
ที่คุณบอกใหม่ๆทำใจลำบากมาก
เพราะเกิดมา
คุณเห็นแต่นาข้าวรวงเรียวเหลียวไปก็มีแต่แม่น้ำ
คุณรักวิถีทางแห่งท้องทุ่งมากกว่าทะเลเค็ม
ที่แสนกว้างใหญ่ยากหยั่งถึง
ซึ่งคุณชอบนำมาหยอกล้อเปรียบเปรยไว้ว่า
*ใจฤทัย*ก็คงราวทะเลเหว่ว้า*คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล*
ที่คงลึกล้นเหลือคณายากนักยากหนาจะหยั่งถึงก้นบึ้งแห่งห้วงใจ
และ
คงนานกว่าจะได้เคียงครอง
สัมผัสร่างใจไปตราบชั่วนิจนิรันดร์
และนับถึงวันนี้นาทีนี้
ก็ให้คุณรอท่ารับคำรัก
มาสักเกือบจะสิบปีเข้านี่แล้วสินะ
แต่
ทันทีที่คุณได้สัมผัสแผ่นดิน
ที่เรียกกันว่า..เกาะสวาทหาดสวรรค์
หัวใจคุณคนดีก็ราวต้องมนต์มายา
ไปกับม่านทะเลกว้างแสนกว้างแลละลิบตรงหน้า
กับขอบฟ้าที่ตัดฉับกับน้ำทะเลสีน้ำเงิน...เขียวมรกต.....
และโทนสีทะเลที่ค่อยๆไล่สีอ่อนจางลงมาตามลำดับ.........
แทรกด้วยฟองคลื่นสีขาว.....เป็นระลอกงาม.
มีเรือใบล่องไปในอ่าวที่แสนสงบงาม..
ยามอาทิตย์สนธยา ทั่วทั้งท้องนภาและผืนน้ำ..
เป็นสีส้มเหลือบชมพูแดงรอนรอนอ่อนๆเทาๆทองทอง
ส่องอาบทาบทาประกายวะวิบระยิบระยับ
งามจับตาทั้งเวิ้งฟ้าแลเวิ้งน้ำ
งามเกินคำพรรณา รำพึงรำพัน..ราวสวรรค์ลอยนิรมิต
และ
มากกว่านั้น
คุณยังได้สัมผัสความสงบงาม
ในท่ามกลางหุบเขาไพรพะงัน
อันคือนาข้าวขั้นบันไดแบบบาหลี
ทีมีเสียงดนตรีไพรธรรมชาติ
มีสระน้ำราวสระอโนดาตชื่อสระมโนราห์
มีกล้วยไม้ป่าชื่อว่า*มงกุฎไพร*ที่มีชนิดเดียวในโลก
ที่ยังมี..
โตรกผาดอกไม้ป่าดอกไม้ไพรนานาพรรณงามแผก
ทีมีเงื้อมเงาง้ำหินแผ่นผาดั่งศิลามณีให้ชมวิว
ที่
วันนั้นวันที่*ฤทัยอุตส่าห์พาคุณไปป่ายปีนเพื่อพบงาม
คุณถึงกับกระซิบด้วยใจสั่นเสียงสั่น
แล้วโอบรับขวัญเคลียเคล้าซุกหน้ากับเรือนผมฤทัย
พร้อมคำที่หลั่งท้นออกมาจากดวงใจส่วนลึกบอกฤทัยว่า
นี่อย่างไรเล่าสวรรค์มาเยือนหล้ามาทายทักตรงหน้า
ที่ทำให้คุณแทบลืมหายใจไปกับทัศนียภาพรายรอบที่แลเห็น
จากลานหินกว้าง..
แลไกลออกไปคือโลกสีครามกว้างไกลสุดตา
แลลงไปเบื้องล่าง
จะมองเห็นทิวมะพร้าวสลับซับซ้อนเป็นหมื่นหมื่นต้น
บ้านเรือนซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ เงียบสงบ
มีก็แต่ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง ขับฟ้างามอย่างช้าๆ
บนหน้าผา ชะโงกง้ำ ลอยเลื่อนราวทายทักเมฆ
จะมีหอระฆัง และพระพุทธรูป
ให้กราบไหว้อธิษฐานจิต
มีลั่นทมขาวออกดอกพราวไปทั้งต้นบนชะง่อนผางาม
ส่งกลิ่นหวานเศร้า อบร่ำให้ใจ นิ่ง เยือกเย็นล้ำลึก
อวลมากับสายลมเย็น กับบรรยากาศ
เงีบบงาม ที่รายล้อม
ราวกับว่า..
ธรรมชาติจำลองฝันสวรรค์ลามาฝากหล้าเยือนโลก
มาให้คุณเลิกโศกแสนภูมิใจว่า
ได้หลงรักผู้หญิงดิบดิน
ที่เกิดมากับไพรพงมีชีวินแสนงามง่ายไร้แสงสี
หากทว่า
มีธรรมชาติงามกว่าดงเมืองเสียเป็นไหนๆ
ค่าที่มีงามไพรงามทะเลพร้อม
และได้หลอมละลายให้ดวงดอกจิต
มีแต่คิดดีคิดได้คิดให้คิดชอบประกอบไป
ตามความงามงดที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้มา
ให้รู้ค่านวลเนื้อดินนวลเนื้อใจไม่ฟุ้งเพ้อทะเยอทะยาน
ไปตามโลกศิวิไลซ์แบบหลงทางห่างธรรม
ราวคอยย้ำเตือนตนให้รู้วางกมลลงบนดินมิถวิลวัตถุใด
นอกจากเพียงเพียรพาจิตใสลอยเหนือโลกลบโศกครวญ
มิหวนวนคืนมารับวงกรรมย้ำรอยเดิม
เพิ่มทุกข์ทนอีกต่อไป...
.........
คนดี...
สองเราขับรถไปเรื่อยๆกับดวงใจที่แสนสงบงาม
ในท่ามกลางบรรยากาศริมนาข้าวขจี
ที่สองฟากฝั่ง
ยังมีดวงดอกชมพูพันทิพย์กรายฟ้อนอ้อนกลีบม่วงบางเบา
ยังมีดอกเสลาดอกคูนบานสะพรั่ง
ยังมีความหลังแห่งเงางามอดีตเมืองเก่ารอเราไปสัมผัส
คนดี
วันนั้น
ดูคุณเศร้าๆราวดวงใจมีเรื่องสำคัญให้คิดมาก
เหมือนรอจะพูดอะไรบางอย่าง
ไม่ช่างเล่นช่างเล่าอย่างเคย
พอถึงวัด..
คุณจูงมือฤทัยเข้าสู่ วิหาร
พาฤทัยไปกราบพระประธาน
ด้วยดอกบัวสีขาวพราวพิสุทธิ์
และ..
เราสองก้มลงกราบพร้อมกัน
นะเบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธ
ที่ทอดสายตามองเราอย่างเมตตาเอ็นดู
น้ำมันหอมที่ใช้บูชาพระส่งกลิ่นหอมหวาน
คุณอธิษฐานขอประทานอนุญาตจากพระพุทธองค์
ใช้ปลายนิ้วแตะแผ่วเบา
ก่อน..แต้มลง กึ่งกลางนลาฏของฤทัย
เป็นเครื่องหมาย เป็นสัญญลักษณ์
แล้ว
กระซิบบอกฤทัยว่า
หากฤทัยไปเกิดภพภูมิใดก็ตาม ขอพุทธบารมี
โปรดคุ้มครองและนำความสุขกายสุขใจมาให้นิรันดร
และ
บอกให้*ฤทัย*อธิษฐานตามคุณจะได้ไหม
ว่า*หากกายและลมปราณของเราได้แตกดับไปแล้ว
ณ ภพนี้ เมื่อวันนั้นมาถึงเราจะไม่เสียใจ
เพราะความพลัดพราก หรือ มรณา
เป็นสิ่งที่ สรรพชีวิตไม่อาจฝืนลิขิตได้
หากเราทำใจน้อมรับ
ยอมรับธรรมชาตินี้ไว้ ค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ
เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง ความสะเทือนใจจะไม่มี
และสำหรับเราจะจากก็แต่เพียงกาย
จิตเราไม่ได้จากไปไหน
จิตไม่มีวันแตกดับ หรือ สลาย
จิตจะดูแลกันและกัน
และวันหนึ่งเราจะได้พบกัน
เป็นการพบกันครั้งที่สองในอีกภพภูมิหนึ่ง
บุญทุกอย่าง บารมีที่เราบำเพ็ญ
ขอฝากกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้กัน
ให้จดจำรักนิรันดร์แห่งใจสองดวง
ให้ ติดตัว ไปทุกๆชาติ
และ .. คุ้มครองเราสองให้มีความสุข ด้วยเทอญ..
และนี่แหละ
ที่ทำให้ฤทัยยิ่งงงงัน
ถามคุณว่ามีอะไรในใจ
เมื่อคุณพามานั่งทอดตา
ดูดวงดอกลั่นทม
ที่กำลังปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง
แล้วร่วงลงกลางพื้นพรมห่ม
หอมพร่างระทมทับใจ
คุณบอกว่า..มีเรื่องในใจจะสารภาพ
ก่อนที่จะก้มลงเก็บดอกลั่นทมสีขาวทำ*มงกุฎดอกไม้*
สวมให้กับฤทัยอย่างแสนรักแสนทะนุถนอม
และ
บอกฤทัยว่าให้ขึ้นรถไปดูอะไรกับคุณเสียก่อนจะดีกว่า
แล้ว
คุณก็พาฤทัยมาพบภาพตรงหน้า
ที่ฤทัยยิ่งกว่าฝันไปเสียอีก
คือภาพทุ่งนาร้างไร้
หากติดชายชลริมฝั่งแม่น้ำอยุธยา
ที่มีต้นไม้ที่ตายแล้ว
เหลือเพียงกิ่งก้านแผ่กระจายราวกัลปัลหาสีดำ
หากทว่าเป็นงามแปลกตา
เมื่อมองเห็นความเหว่ว้า
ในทะเลนาแห่งนี้
ที่คงเคยเขียวขจีมีชีวิตชีวามาก่อนหน้า
ที่ฤทัย..พยายามใส่ภาพฝันในหนหลัง
เมื่อเหลียวไปมีกระท่อมไพรเล็กๆน่ารักนัก
ที่หลังคามุงจากที่ดูราวยังสดใหม่ไม่นาน
ใกล้ๆลานดินติดกับรั้วกั้นด้วยผักตำลึงเลื้อยพันพร่าง
มีกอโมก
และ..ดงดอกพุดซ้อนอ้อนหวานอยู่ริมชายคากระท่อม
และ
นั่นมีไก้แจ้ตัวเล็กๆสีสวยมากกำลังแคะไค้ข้าวเปลือก
คุณก็ค่อยๆโอบกระชับพาฤทัยเข้าไปเยือนนะภายใน
ที่บัดนี้ทำให้ฤทัยใจเต้นราวตีกลองเมื่อสายตาค่อยๆชิน
กับทุกสิ่งที่สลัวเลือนรางในม่านแสงสนธยา
ที่ส่องผ่านผนังไม้ไผ่ทอดแสงเงารำไรลงมาราวแสงทอง
ร่างใครบางคนยืนขึ้น
ที่ฤทัยเห็นชัดในนาทีนั้น
ว่าคือร่างเด็กผู้ชายกำยำหากทว่าดวงตาอ่อนโยนใสซื่อ
เขายกมือไหว้ฤทัยอย่างนอบน้อมก่อนก้าวเลยออกไป
ทิ้งให้ฤทัยในดวงตามีคำถาม
ฤทัยจำได้คลับคล้ายคลับคลา
ว่าเคยเห็นหน้าเด็กคนนี้
ก่อนที่คุณจะกล่าวย้ำเตือนความจำอีกทีว่า
จำได้ไหมครับฤทัย..
เจ้า..คนนี้ที่เพื่อนผมว่าความให้แม่เขา
ที่เคยเล่าว่า
ติดคุกเพราะขโมยอาหารในห้างที่เหลือๆแล้วเก็บกลับบ้าน
เพราะความยากจนเพื่อจะให้ลูกๆที่อดอยากได้มีกิน
ผม..ไม่ได้เล่าต่อว่าผมตัดสินใจอุปการะเด็กๆไว้
ไม่อยากให้ฤทัยคนใจดีต้องพลอยมารับภาระทางใจ
ไปกับการตัดสินใจของผมด้วย
และ
ผมเลยมาใช้ที่ตรงนี้
ที่เคยจะเตรียมไว้เป็นเรือนรักยามมาพักผ่อนของสองเรา
ให้กลายมาเป็นบ้านของเด็กๆแล้วละครับ
แล้วให้เขาไปกลับสะดวกโรงเรียนวัดแถวนี้
.
คนดี..
คุณคงพอคิดออกแล้ว
ที่ผมหนีคุณมาบ่อยๆไม่บอก
เพราะเตรียมเอาข้าวปลาอาหารมาให้ครับ
เขาอยู่กันได้ปกครองกันได้ดีทีเดียว
แบบเด็กเคยลำบากมาก่อน
ฤทัย..งงงันและนาทีต่อมา
รู้เพียงว่าหยาดน้ำตาแห่งความภาคภูมิกำลังไหลริน
นี่ไงล่ะคนดีที่ฤทัยเลือกถวิลรักภักดิ์พลี
และ
นี่ไงล่ะคนดีที่ฤทัยไม่เคยเสียใจเลย
กับการที่ได้เกิดมาเพื่อเคียงข้างเป็นนางใจ
ที่จะได้คอยเคียงไหล่ทำความดี
พลีเพื่อสังคมแม้นจะน้อยนิด
คนดี
กุมมือฤทัยแนบแน่น
และพาไปยืนนิ่งริมบึงบัวเคียงชายชล
ดูความสวยสดหลากสีสัน
ของบัวพ้นน้ำที่กำลังไสวชูช่อสงบงาม
ดูความเงียบเยียบเย็นฉ่ำของสายน้ำที่กำลังไหลล่อง
เห็นโบสถ์คร่ำเคียงฝั่งฝันตรงหน้า
ใบระการะยับไหวในท่ามกลางสายลมอ่อนๆอุ่นๆ
แดดรอนรอนอ้อนอัสดง
ที่กำลังไล้โลมไปบนผืนน้ำให้งามอาบไปด้วยสายแสงสีทอง
ฤทัยเห็นสายใจเจ้าพระยาราวหมุนวนตรงหน้า
แต่ทว่าราวโลกหยุดนิ่ง
เมื่อเขาหันมากอดฤทัยแนบแน่นและกระซิบคำ
*แต่งงานกับผมเถอะนะ*คนดี
นี่คือคำขอแต่งงาน
ที่ฤทัยคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดแล้วในชีวิตหนึ่งนี้
เพราะฤทัยรู้จักเขาดี
เขารักผืนดินนาแห่งนี้รักลำน้ำเจ้าพระยา
รักเหว่ว้าโบสถ์คร่ำ
รักลำนำแห่งความเหงาเงียบงามใจ
รักชีวิตไพรพงที่เคยพร่ำบอก
อยากมีกระท่อมเรือนหอ
ในท่ามกลางดินนานะดินเดิม
แล้วมีฤทัยคอยหุงข้าวใหม่ข้าวหอมใส่บาตรในยามเช้า
ให้เขาที่ชอบเฝ้าเขียนบทกวี
ฟังดนตรีน้ำค้าง
ฟังเสียงดุเหว่าแว่ว
แล้วลงนาไปหาผักปลามาพอกินยังชีพชอบ
ประกอบการงานที่รักอาจจะสอนหนังสือเด็กๆที่ยากไร้..
คนดี..ดวงใจ
แล้วจะให้ฤทัยปฎิเสธคำขอของคุณได้อย่างไรเล่า
แม้นว่าดวงใจฤทัยจะยังไม่ทันคิด..คิดไม่ถึงว่า..
จะได้พบคำซึ้งซึ้งราวจะตรึงให้จิตใส
และ
ราวให้ดวงหฤทัยแสนหวานแทบหยุดเต้น
ในนาทีที่แสนยิ่งใหญ่อย่างนี้
และ
กับใจดวงที่ยังไม่ทันตั้งตัว
ฤทัยเลยเหมือนละเมอตอบไปในอ้อมกอดคุณ
แบบเหมือนฝัน
พึมพำ..ซ้ำๆว่า..*ตกลงค่ะ..ตกลงค่ะคนดี..*
นาทีนั้น
ราวสวรรค์ลอยลงตรงหน้า
ฟ้าเล่นแสงสีเปิดเวทีแสนสวยพร่างพรโปรยพร
ให้คุณอ้อนทั้งโลกและฤทัยพร้อมๆกัน
เราต่างรินร่ำน้ำตาปิติในอ้อมกอดกันและกัน
ด้วยรอวันนี้มาแสนนาน
และ
หวังจะตราบชั่วกาลได้เป็นคู่ใจคู่ธรรมคู่ทอง
ได้ปองสร้างสรรมีพลังทำคุณงามความดี
ได้..
พลีจิตราวเพื่อนธรรมมากกว่าคำคู่ใจ
แค่ได้เคียงไหล่ทำสิ่งงดงามได้ดูแลยามแก่เฒ่า
ได้แบ่งปัน..
ยามเห็นฝันเห็นงามนิยามโลกย์มิดายเดียวเดียวดาย
ก่อนจะเข้าไปสู่ร่มธรรมร่มทอง
พากันลอยล่องสู่ฝั่งฝันพระนิพพาน
คนดี
แต่สิ่งที่ตามมาคือ
คุณบอกว่าก่อนแต่งงานนั้น
คุณได้รับคำสั่งย้ายไปประจำที่ปัตตานี
แดนดินที่ฤทัยรู้ดีว่าแสนจะน่าห่วงใย
หากคุณเฝ้าปลอบใจฤทัยว่า
อย่าคิดมากคนเราเกิดมาชาติหนึ่งตายหนเดียว
และ
เมื่อแผ่นดินนี้ที่ร่มเย็นให้ชีวิต
จงรู้กตัญญูรักผืนดินนี้ที่ให้หยัดยืนมายาวนาน
อย่างสงบสุขสงบงามอย่างยุติธรรม
อย่างมีร่มฉัตรกั้นเกศ
อย่างพิเศษพิสุทธิ์วิสุทธิ์จิต
ที่มีพุทธธรรมส่องกระจ่างนำทางจิต
ดั่งดวงแก้วนิรมิตในร่มเงาพุทธศาสนา
ในร่มฟ้า
ที่มีพระเจ้าแผ่นดิน
ที่ทรงมีทศพิธราชธรรมทรงมีขันติธรรมอันล้ำเลิศ
แผ่ไพศาลเกินคำรำพันรำพึง
ถึงความงดงามแห่งหยาดน้ำพระราชหฤทัย
อันแสนยิ่งใหญ่เหนือโลกย์
เพื่อดับทุกข์ร้อนผ่อนเย็น
ที่เน้นน้ำใจให้รู้รักสามัคคีสอนไทยให้เป็นไท
ให้รู้ค่าคำความพอดีสมถะมานะบากบั่น
ใช้ชีวีเย็นงาม
ในขณะเดียวกันก็ให้ตามโลกให้ทัน
แบบรู้ทันเท่าแบบเข้าใจ
แบบที่ควรจะหันไปรับได้ในความศิวิไลซ์
แบบไม่จำต้องไปเป็นทาสฟุ้งเฟ้อโลกวัตถุ
ให้รู้ค่าความพอเพียงเพียงพอ
และ
ด้วยการทรงมีพระราชจริยวัตรอันแสนงามงด
เสียสละให้เห็นเป็นแบบอย่าง
ให้ใจไทยทุกดวงได้รับน้ำค้างพร่างริน
จากน้ำพระราชหฤทัยอันใสเย็น
ราวหยาดฝนราวรวงเพชร
ที่ทรงไม่เคยท้อถอย
ได้ทรงใช้สมองสองมือเพียรสร้างโลก
และ
หวังให้..
ลูกหลานไทยให้สามัคคีปรองดองอย่างฉันท์พี่น้อง
ไม่ว่าชาติศาสนาใด
เมื่อพร้อมใจมารวมกันเราอยู่บนผืนดินเดียวแล้ว
ให้ก้าวเดินไปด้วยกัน
ในผืนดินแก้วอันร่มเย็นแห่งขวานทอง
ให้ทุกศาสนาปรองดองกันเพื่อที่จะสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
ที่จะพากันส่องนำทางน้อมนำใจไปในทิศทางที่ดีเดียวกัน
ไม่มีชนชั้นมากั้นกีดขวาง
ที่แสนจะน่าภาคภูมิใจยามได้หยัดร่างดำรงคงเอกราชไว้
ให้ยังเงยหน้าได้ว่าเราคือไทยหัวใจทอง.....
.........................
รออ่านตอนต่อไปเกิดอะไรขึ้นกับพระเอกของเรานะคะ
มาช่วยกันตั้งชื่อพระเอกดีกว่าไหม
6 สิงหาคม 2549 23:01 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song304.html
(เธออยู่ไหน)
ใน...ราตรีหนึ่ง
ไพลนั่งดายเดียวเดียวดาย
ดูไฟพริบพราวบนตึกสูง..สูงลิ่ว
กับลมหนาวละลิ่วละล่องมาปะทะร่างราน....
แลละลิบลงเบื้องล่าง แลรายรอบราวเมืองสวรรค์ฝันสับสน..
กับชีวิตผู้คน..อลวนอลเวง..ในเมืองลวง และ..
รอดาวนำทางใจศรัทธาใจดวงไกล
ที่กำลังลอยละลิ่วปลิวด้วยลมรักลอยมาหา
มาปลอบประโลมใจ
ยามที่ไพลราวธุลีเล็กนิดเดียว
ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้
ที่ไพลเฝ้าเพียรแต่สงสัย ถามใจตัวเองว่า..
จะมอบนิยามใดให้แก่โลกใบนี้ดี..ละหนอ ละหนา
ที่มีทั้ง ดิ้นรนเหว่ว้าสับสนต่อสู้
สุขแสนสุขในบางมุมของโลก
และโศกแสนโศกโลกแทบสะเทือนไหวในบางชีวาชีวิต
ที่ถูกลิขิตไปตามกาลไปตามแกน
ความงามซ่อนอยู่มากมาย
ความชั่วร้ายก็ซ่อนอยู่มากมี
สุดแต่ใจเรานี้จะไขว่คว้าและ
ชะตากรรมนำพาหมุนวนให้ไปพานพบกับสิ่งใด
บางวันสุขล้นหัวใจอยู่ดีดี..
พออีกนาทีต้องมานั่งเศร้าดายเดียวลำพัง
น้ำตาพร่างพลันพรู
ร้างไร้ผู้ใดรู้เห็น....
โอ้ช่างไฉนเลย สวรรค์เอ๋ยสวรรค์ลา สวรรค์ปิด
........
ไพลจึงพลันคิด..
ฝันใฝ่
ใส่จินตนาการงาม..ให้..เมืองมลังเมลือง
เบื้องล่างนั้น
คือเมืองสวรรค์ในฝัน....
ที่มีแม่น้ำเนรัญชราไหลผ่าน
มีม่านหมอกราวสายไหม
มีดวงดอกไม้หวานแอร่มแต้มไพรระดะดวง
มีเส้นทางสายงามทอดทาบราวอาบทองทา
นำพาไปสู่ป่าหิมพานต์
ณ.แดนดินแห่งมนต์ขลัง
เป็นป่างามสะพรั่งพรรณตระการตา
มีดวงดาราพร่างดาระดาดกระพริบพราว
มืทางช้างเผือกงามอะคร้าว
ราวรุ้งเรียวรอรับร่างขึ้นไปไกวชิงช้าเมฆ
เสกรวงดาวหว่านพราวพร่างพรมห่มให้โลกงามเลยค่ะ..
ไพล..พรรณนายากจังเลย
หากวาดเป็นภาพออกมาได้คงดีนะคะ.... .
*หยาดน้ำค้างพร่างพรมลมลูบไล้
แสงจันทร์ฉายคลายเศร้าคอยเฝ้าขอ
ไกวชิงช้าเมฆเสกรวงดาวพราวสร้อยคอ
คล้องขวัญรอขอเกี่ยวใจไปนิรันดร์...*
ไพล.. ใส่เสื้อหนาวชาวเขา
ออกมานั่งรอดูดวงดาวแห่งศรัทธารัก
หวังจักโชนแสงส่องมาปลอบประโลมใจ ในยามเหว่ว้า
และดาวในดวงชีวาก็พลันส่องกระจ่างกลางใจ
ดาวประจำใจดาวประจำเมือง..แห่งรักเราสอง
รอหัวใจไพลลอยละล่องติดปีกฝัน
พลันสู่ไพรพฤกษ์พงเลยค่ะ.
ในฝัน ไพลนุ่งผ้าถุงชาวเขาผืนงาม
และคลอคล้องร่างห่มพรายให้หนาวคลาย
ด้วยผ้าไหมทอทอดสอดดิ้นทองสีไพล..
และ
บนภูผาสีเงิน ที่ใกล้แสนใกล้
ราวเอื้อมมือคว้าดาวสุกใสเอามาใส่อุ้งมือได้
ไพลมีเขาคนนั้นยืนนิ่ง
ให้พิงไหล่อยู่ในอ้อมโอบอ้อมอกอุ่นละมุนหอมหอมหอม
ทั้งกรุ่นกลิ่นดอกไม้ไพร.
และกลิ่นอุ่นไอไออุ่นจากอ้อมอกแนบละมุนละไม..
ไปถึงหัวอกหัวใจให้หนาวคลาย..ให้คลายหนาว
และใครคนนั้นพลันชี้ชวน
ให้ไพลชมทางช้างเผือก
ไพลกระซิบขออธิษฐานใจ....
ใครละหนอ ใครกันละนี่ ที่จะได้รับรู้รับทราบ
หรือ..
อาจมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยินได้ฟัง..
พระเอกในฝันในใจ
หรือมีเพียงใจดวงเศร้าร้าวไหวของไพลได้ยินคำดายเดียวลำพัง.. .
ฉันเห็นเธอในดอกไม้สายลมไหว
มวลนกไพร ในฝนพราย แมกไม้ฝัน
ในดวงดาว ในอุ่นแสง แห่งตะวัน
ในความฝัน ในยามตื่น ชื่นฉ่ำใจ..
ฉันเห็นเธอ ในดวงจันทร์ ฝันเคียงฟ้า
ในเมฆา ในเรียวรุ้ง กระจ่างใส
ในผีเสื้อ ในสายน้ำ ในขุนเขา ในเงาใจ
เธอสถิตอยู่กลางใจในเรียวตาในศรัทธาในรักนี้ มิมีวันจะลบเลือน!.
................
ทะเลเมฆเสกรวงดาวละลิบลิ่ว
ราวโปรยปลิวพริ้วสายไหมทอไยฝัน
วิมานใดไหนเล่างามเทียมทัน
ลุ่มหลงฝันวันแสนดีราตรีไพร...
เดือนหยาดหวานปานโปรยโรยน้ำผึ้ง
ใจดวงซึ้งซ่านสุขซุกหวามไหว
กุหลาบงามยามนี้คลี่กลีบหอมยวนใจ
ดอกไม้ไทยไหวกิ่งก้านหวานรับลม...
ลั่นทมระทมช่อล้อลมไหว
หอมเศร้าใจยิ่งไหวหวั่นวันขื่นขม
ลำธารหอมหลอมระรินกลิ่นลั่นทม
หมอกพร่างพรมห่มร่างร้าวช่างหนาวใจ....
ฝันฝากร่างอ้างว้างกลางไพรพฤกษ์
ดาวยามดึกพริบพราวว่าอย่าร้าวไหว
อีกไม่นานดอกไม้หวานบานรับใจ
ไม่ห่างไกลทิ้งใจร่างกลางผืนไพรดาวพร่างพรม
..................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song304.html
เธออยู่ไหน
ญใครคนนั้น ที่ ฉัน ฝันถึงเขา
ใครคนนั้น ยิ้มเศร้าเศร้า เขาอยู่ไหน
ใครคนนั้น ที่ฉันรัก เหมือน ดวงใจ
อยู่ที่ไหน นะจันทร์ ฉัน หลงคอย
ชอยู่ที่ไหน ไม่สำคัญ หรอกขวัญ จิต
โปรดจงคิด ถึง กัน สักวันละหน่อย
อาจแทรกอยู่ กับน้ำค้างตาม ดาวลอย
อาจจะยิ้ม อย่างละห้อย คอยสัมพันธ์
ญเธออยู่ไหน
ชฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
ญเธออยู่ไหน ชในดาราคือตาฉัน
ญเธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ชที่กลางใจ เธอ นั้น คือฉันเอย
ญเธออยู่ไหน
ชฉันอยู่นี่ ที่รัก จ๋า
ญเธออยู่ไหน ชในดาราคือตาฉัน
ญเธออยู่ไหน ให้ฉันเห็น เป็น สำคัญ
ชที่กลางใจ เธอนั้น คือ ฉัน เอย...
4 สิงหาคม 2549 11:28 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
นอนนิ่งนิ่งบนแคร่ไม้ในกระท่อมเรียบง่ายชายคาแฝก
มีความสุขสงบใจเหลือจะกล่าวบอกเล่าใคร
ได้ค้นพบความสุขสงบลำพัง
อยู่กับความเงียบงามในยามค่ำสนธยา
เปิดวิทยุฟังรายการธรรมะ และหลับตาดื่มด่ำ..ตั้งใจฟัง
พร้อมทำใจให้ว่าง...วาง..ทุกข์มายามากมายมากมี
จากมวลมนุษย์มากหน้าที่ยากจะหนีพ้น
ได้ยินเสียงนกเขาไพรมาเกาะกิ่งไผ่พร้อมร้องขันคู
หาคู่เคียงเสียงกังวานหวานไพเราะ
บ้านชาวสวนหลังบ้าน
ก่อไฟให้ควันลอยอ้อยอิ่ง ทิ้งทอดตัวระทวย
ม้วนเป็นสายสวยลอยลมมา
ให้ได้บรรยากาศเป็นยิ่งนัก
สายลมเย็นมาทายทักลูบไล้
ให้ใจสบายๆ..ได้ผ่อนพักกายใจ
หอมนวลการะเวก ที่แทงช่อมา
ให้พันพ้อพร่างเสากระท่อม
เขียวไพลเขียวใสเขียวละออกับใบอ่อนอ่อนบอบบาง
และ..
นั่นท้องร่องสวนกับนวลใบตอง
ที่กำลังระบัดโบกราวสไบนางฟ้า
และ..
โน่นดงดอกข่า
ที่กำลังชูพวงเป็นรวงเขียวพราวให้ผึ้งเคล้าดอม
ไหนจะไผ่กอที่กำลังซัดส่ายเสียดสี ดั่งดนตรีไพร
ให้ความรู้สึกแสนยิ่งชิดใกล้กับกับธรรมชาติ
ที่ยังพอมีพอได้สัมผัสรายรอบ
นั่น..
ดวงดอกหญ้าที่นำมาใส่โอ่งดินเผาแดงคร่ำใบใหญ่ไว้
เพื่อให้ได้บรรยากาศ
ราว...
กำลังนอนสยายผมบนลานหญ้าหวานหวานหอมหอม
กับใจดวงอรชรมิแล้งไร้...สิ้นหวัง..
น้ำตาซึม ด้วยความสุขซึ้ง
จนหัวใจได้ยินบทเพลงหนึ่งในฝันแว่วมา...
ราวกับมี..*ภาพ ขวัญ เรียม *
กำลังขี่ควายไล่ล่องเที่ยวท่องไปในลำคลองท้องทุ่ง
ไปกับรุ่งเรียวรวงสีทอง ...
*นิยายรักอมตะ..ที่นำเสนอครรลองวิถีไทยที่ยัง
งามใสในความจงรักภักดี
ที่แสนหนักแน่นมั่นคง... ซื่อตรงไปตราบชั่วกาล....
...........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html
แสนแสบ...
อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ
เจ็บคำดังหนามยอกแปลบ ๆ แสบแสนจะทน
โอ้ว่ากังหัน ทุกวันมันพัดสะบัดวน
อยากจะรู้จิตคน จะหมุนกี่หนต่อวัน
ย่างเดือนสิบสอง ฟากคลองเจิ่งนองน้ำหลั่ง
อยู่ไกลกันคนละฝั่ง ๆ ยังร้องสั่งกัน
สิ้นเดือนสิบสองน้ำนองแห้งคลองขอดพลัน
สิ้นความรักจากกัน เหมือนกังหันเปลี่ยนทางลม
แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง
นี่เป็นโลงทองของเรียม-ขวัญ เขาฝากชีพจม
แต่คลองยังช้ำเหลือไว้แต่น้ำขุ่นตม
พี่จึงช้ำจึงช้ำขื่นขม ขม ตรมเสียกว่าคลอง
เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง
เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง
จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง
ชื่อว่าแสนแสบคลอง เหมือนคนหมองต้องแสบแสน
2 สิงหาคม 2549 00:08 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2374.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html
(แสนรัก วิมานดิน)
ฝนเปาะแปะ..เปาะแปะ..ตลอดวัน
ลีลาวสันต์ช่างแสนซึ้งเศร้าให้หนาวเหน็บในใจ
หากแสนสงบงามในท่ามทิวาหวาม..!
และ
วันนี้เลยได้ฤกษ์ยาม
ยกย้ายกระท่อมหลังคาแฝกมาฝากฝันฝากหอมบนระเบียงบน
ให้ได้ไปนอนดอมดมกลิ่นหญ้า
กลิ่นไม้ไผ่ปล้องโตที่ใช้มาทำเสาโชว์ลายข้อหยักรอย
รัดร้อยให้รัก..ให้รู้ว่าเป็นไม้ไผ่ที่อายุมิน้อยวัน..
และ..
ราวกับว่ากำลังฝันฝันฝัน.หวานหวานหวาน..
ว่า..กำลังนอน
ในทุ่งนาที่ไหนสักแห่ง ในท่ามเสียงฝนพรมพรำ
ได้ยินเรไรร่ำจิ้งหรีดร้อง
และ...
กำลังรอตะวันรอนๆสีส้มสุกผ่านกอไผ่ใบหญ้ามาทายทัก
ให้ยิ่งสงบสงัดเงียบงามในดวงใจอย่างที่สุด
หัวค่ำ จึงไปจุดเทียนหอมๆ
ให้วะวูบไหววางไว้ในตะเกียงแก้วกันลม
แล้วจึงฟังเสียงสายลมรำเพยพัดแผ่ว
แว่วบทเพลง*แสนรัก แสนหวาน*
ราวใครบางคนมาร้องพร่ำรำพันรำพึงแทนจากบึ้งใจ
มากระซิบให้แสนประทับใจดื่มด่ำใจอยู่ริมหู
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2374.html
แสนรัก ...แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์
จงใคร่ครวญ หัวใจ ใครเล่าใคร
ไหนกัน แสนรักมั่น
ห่วงไยเธอมากกว่าฉัน
มัวปิดบัง ฉันไย มีเรื่องใด
พูดกัน บอกกับฉัน อย่าทำเป็นเหินห่างไป
สายตาเธอ บ่งบอก เห็นใจกัน อย่าหลอก
จะรักใคร ไม่ต้องห่วงอย่าลวงฉันเลย
ถึงต้องช้ำ ใจตาย ฉันก็พร้อม ยอมตาย
เพราะเป็นเธอ อย่างไรทนได้ เสมอ
ร้อง อย่าร้องไห้เสียน้ำตา
หากจะรักเขา ก็จง ลืมฉัน
จะต้องหักใจ ปวดร้าว ทำไม
ตัดใคร สักคน มั่นใน รักเดียว
สายตาเธอ บ่งบอก เห็นใจกัน อย่าหลอก
จะรักใคร ไม่ต้องห่วงอย่าลวงฉันเลย
ถึงต้องช้ำ ใจตาย ฉันก็พร้อม ยอมตาย
เพราะเป็นเธอ อย่างไรทนได้ เสมอ
ร้อง อย่าร้องไห้เสียน้ำตา
หากจะรักเขา ก็จง ลืมฉัน
จะต้อง หักใจ ปวดร้าวทำไม
ตัดใคร สักคน มั่นใน รักเดียว...
และ...
แสนรู้สึกดีเพราะดวงประทับใจนักร้องคนนี้มาก
คุณแจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์..
นักร้องที่มีเสียงอ้อน ออดได้อ่อนหวาน
และ
มีเอกลักษณ์ของตัวเอง...และยังเป็นผู้มีพรสวรรค์
ประพันธ์เพลงได้อย่างไพเราะมากมาย
ที่มีความหมายได้อย่างน่าทึ่ง
อย่างเพลง*ที่สุดของหัวใจ*
ที่ดวงชอบฟังมาก
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2438.html
ที่สุดของหัวใจ แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์
หากข้ามคืนนี้ หัวใจไม่แหลก
ยับเยินเสียก่อน
จะไปอ้อนวอน
ขอเธออย่าตัดรอน รอก่อนวันพรุ่งนี้
เคืองกันเรื่องไร พรากกันด้วยเหตุใด
ฉันยังไม่เข้าใจ
เพราะฉันใช่ไหม
หรือเธอเปลี่ยนไป ไยถึงไม่เหมือนเดิม
แต่ถ้าพรุ่งนี้ ดวงใจยังโกรธ
ฉันโทษใครได้
เป็นกรรมของใจ
พบเธอโดนผลักไส ทำอย่างไรพรุ่งนี้
นับช้ำมากี่ครั้ง
หัวใจยังไม่จำ ซ้ำยังยอมให้ทำ
เพราะรักมากไป
เพราะซื่อสัตย์ไป จึงช้ำใจ
อดทนไว้ก่อนนะใจเจ้าเอย ข้าวอน
จงแข็งแกร่ง แล้วทน รอให้ถึงพรุ่งนี้
พบเธอ แล้วถามเธอ อ้อนวอนให้เธอเห็นใจ
แต่ถ้าพรุ่งนี้ ดวงใจยังโกรธ
ฉันโทษใครได้
เป็นกรรมของใจ
พบเธอโดนผลักไส ทำอย่างไรพรุ่งนี้
นับช้ำมากี่ครั้ง
หัวใจยังไม่จำ ซ้ำยังยอมให้ทำ
เพราะรักมากไป เพราะซื่อสัตย์ไป จึงช้ำใจ...
...................
ดวงจึงมีความสุขเรียบง่าย
กับวันนี้นาทีนี้ และราวกับดวงฤดีกำลังติดปีกบิน...
โผผินไปไกล..ในหลายๆที่ ที่ที่อยากไป
ไม่ว่าโขดเขินเนินเขาลำเนาไพร
ไม่ว่าทะเล..งามแห่งใดณ..ในโลก
และ..
แปลกดี ที่ในฝันนั้น
ดวงเห็นดวงตะวันแห่งจิตวิญญาณ
กำลังพร่างแสงนำทาง..มิร้างแรมรา
ให้หัวใจดวงอิสรา คลายหนาว
ได้พบเพียงรัศมีพร่างพราวแสนให้ไออุ่น
ที่ช่างหวานหอมละมุนเกินบอกใคร...!!
..........................
จุดตะเกียงเขียนกลอนเศร้าแกล้มวสันต์
ไร้เงาจันทร์ฝันค้างใจถึงใครหนอ
คนเคยรักหักใจเราได้ลงคอ
หลงพะนอขอพักใจไม่ไยดี!...
วิบวับวาวแสงตะเกียงริบริบหรี่
ฝากตาปีแทนใจใครคนนี้
อยากคืนหลังฝังกายใจริมฝั่งนที
อยากจะมีกระท่อมน้อยคอยรับเรา..
วิมานฝันริมนทีมีรักร้อย
งามดาวลอยสวรรค์เยือนคงไม่เหงา
นอนนับดาวพราวพร่างฟ้าคืนสุขเรา
อิจฉาเราจันทร์หลิ่วตาว่าไม่มอง..ไม่มอง..
ดอกราตรีกอเศร้าย้ำใจโศก
นี่หรือโลกคนช่างฝันวันครองหมอง
เสียงสายฝนหล่นกราวท่วงทำนอง
เรียวตาหมองอยากร้องไห้ซบอกเธอ..แล้วคนดี!
จูบแก้ม..แกล้มจันทร์!
จันทร์ดวงเดิม จันทร์ใจดี จันทร์ดวงเดียว
จันทร์ครึ่งเสี้ยว จันทร์แกล้มเศร้า ใจสับสน
จันทร์เต็มดวง จันทร์ยิ้มหวาน ปลอบกมล
จันทร์ซุกซน จันทร์ล้อเลียน จันทร์รู้ใจ
น้ำผึ้งพระจันทร์ รอเราสอง นะยอดรัก
รอความภักดิ์ หนักแน่น ไม่หวั่นไหว
จันทร์รอเรา รักจริงจัง ไม่เปลี่ยนใจ
จันทร์เป็นใจ จูบแก้มขวัญ แกล้มจันทร์งาม
.............................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html
วิมานดิน พุดพัดชา
ฝากรักเอาไว้ ฝากไปในแสงดวงดาว
ที่สองประกายวับวาว วาว อยู่บนฟากฟ้า
ให้แสงสุกใส ได้เป็นเสมือนดวงตา
คอยส่องมองเธอด้วยแววตา แห่งความภักดี
เก็บฟ้ามาสาน ถักทอด้วยรักละมุน
คอยห่มให้เธอ ได้อบอุ่นก่อนนอนคืนนี้
ให้เสียงใบไม้ ขับกล่อมเป็นเสียงดนตรี
คอยกล่อมให้เธอ ฝันดีดี ให้เธอเคลิ้มไป
เป็นวิมานอยู่บนดิน
ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล
เก็บดาวเก็บเดือนมาร้อยมาลัย
เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร
มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล
ยังอยู่กับเธอ ข้างเคียงกาย อยู่ในความฝัน
ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน
ข้ามขอบราตรีที่ยาวนาน ให้เธอฝันดี
เป็นวิมานอยู่บนดิน
ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล
เก็บดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย
เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร
มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล
ข้ามขอบราตรี ที่ยาวนาน ให้เธอฝันดี
ให้เธอได้อบอุ่น และนอนฝันดี
ให้เธอได้อบอุ่น อยู่ในวิมาน........
..............
ฉันฟังเพลงนี้ และคิดว่าน่าจะมอบให้เธอ
ยามลาจากไกล จากใจเราไปแสนไกลอีกหน
ทุกถ้อยคำ คือสิ่งที่ตรงกับใจเรา อย่างที่สุด
ที่อยากให้เธอรับรู้ เข้าใจในความรักมากล้น
ที่เรารักเธอ และคิดถึงห่วงหาอาวรณ์...
ให้เธอจำเพลงนี้เอาไว้
และขอให้เป็นเพลงแห่งความคิดถึง
ความทรงจำ ความห่วงหาระหว่างเรา
วิมานดิน..ฉันหวังว่า บ้านเล็กๆในดงไม้หลังนี้
ที่มีแต่ความรัก ความอบอุ่นให้เธอนั้น จะเป็นดั่ง
วิมานดินให้เธอ ชั่วคราว
ยามที่เธออ่อนล้า ยามที่เธอมาผ่อนพัก มาฝังฝากกายใจที่นี่....
และ
เมื่อถึงวันนี้..วันที่เธอต้องจำลาจากไกล
ทิ้งเราให้อาลัยอาวรณ์......
เราคงทำได้แค่กลั้นหยาดน้ำตา
มิให้มันรินไหล โดยการมองขึ้นไปบนฟากฟ้าไกล
และขอให้แสงดาวในยามค่ำ ปลอบประโลมใจ
และเพื่อฝัน ฝากใจไปหาเธอ....ที่อยู่แสนไกลจากเรา
เราคงต้องพยายามบอก และหลอกตัวเอง
ให้เชื่อคำมั่นสัญญาของเธอที่ว่า..หัวใจรักของเธอยังอยู่ที่นี่
ตรงนี้ในอ้อมกอด และอ้อมใจเรา.....
เธอรู้ดีว่า เหนือคำพูด คำสัญญา คำสาบานลมๆนั้น
ความจริงทุกสิ่งนั้นมันขึ้นอยู่กับ...ใจเธอมิใช่ใคร...
เธอจะเลือกเก็บกายใจเอาไว้ที่นี่
หรือนำไปมอบให้ใครที่อื่นนั้น
สิทธิอันชอบธรรมยังคงเป็นของเธอร้อยเปอร์เซนต์
และ
เราก็มีสิทธิอันชอบธรรมเฉกเช่นกัน
ที่จะบอกเธอว่า ในใจเรานั้น
มีเธอเสมอมาและคงตลอดไปชั่วนิรันดร....
อย่าร้องไห้.....!..เหมือนมีสายฝนพรำ ในดวงใจ
ในวันนี้ ..
วันที่เธอ...กำลังต้องจากไกล
ไปเผชิญกับความเดียวดายอีกหน
จากแผ่นดินเกิด และจากคนที่นี่ คนที่รักที่รอเธอมากมาย
ฉันกำลังฟังเพลงนี้ Spinning a wayไปด้วย
ขณะที่กำลังเขียนความในใจนี้เพื่อมอบให้เธอ
ฉันรู้ว่าเพลงนี้ เธอคงร้องได้และจำมันจนขึ้นใจแล้วนะ
และฉันก็หวังว่า..เธอคงจะชอบและรักมัน
*****การหมุนของดวงดาวอันสุกสกาว แสนงาม
ในยามค่ำคืน กับความเหงาเศร้ายามเราดายเดียว
เหมือนยืนอยู่บนภูเขาสูง ที่ขึ้นอยู่กับใจนี้
ที่จะมองลงไปข้างล่างให้ใจวิตกหวั่นกลัว หรือจะมองหา
ความเปลี่ยนแปลง ผันแปรจากความงามของดวงดาวที่หมุนวน
แสนสวยงามน่าอัศจรรย์..ในยามค่ำคืน..
ค่ำคืน...
ที่กำลังสอนใจว่า
ให้เรายอมรับความจริง
ว่า
โลกเรานี้ไม่เคยหยุดหมุน แม้สักนาที
ตั้งแต่เรานี้ลืมตามาดูโลก
เหมือนจะสอนให้เรายอมรับสุขโศกความผันแปรยอกย้อน
ที่ไม่แน่นอนของโลกนี้
ที่คงเป็นธรรมชาติธรรมดาๆจนกว่าเรานั่นแหละจะหยุดเอง*****
ที่รัก..อย่าเหงาเศร้าเลยนะ
คนดี อย่าดายเดียว
ทุกความคิดความรู้สึกนั้นขึ้นอยู่กับใจดวงเล็กๆของเราเอง
ที่จะหยุด จะควบคุม ที่จะใฝ่จะฝันจะมองหางาม........
จงจ้องมองดวงดาว
แล้วเห็นว่านั่นคือดวงตาของฉันที่เข้มแข็ง หนักแน่น
เฝ้ารอ และห่วงหาเธอ
ให้รับรู้ไว้ด้วยว่า ฉันจะไม่ทอดทิ้งเธอ
ฉันพร้อมจะเคียงข้าง เธอนั้นไปตราบจนวันตาย ขอเพียงให้เธอ
คิดว่าฉันนั้นจะยังคงเป็นสิ่งสวยงาม ภายในใจ
ในความรู้สึกของเธอตลอดไปชั่วนิจนิรันดรนะ.........
29 กรกฎาคม 2549 22:26 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song45.html
(บุพเพสันนิวาส )
ที่รัก..เรามีนัดกันคืนนี้
คืนที่..
ผมจะพาคุณล่องเรือไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
สายธารา นทีทอง..ที่..คุณรักนักรักหนา
เพราะ.....
คุณบอกว่าเปรียบประดุจดั่งสายเลือดไทยสายใจไทย
ที่โยงใยหล่อหลอมรัดร้อย
ให้คนไทยสองฟากฝั่งได้พันผูกได้ปลูกข้าวกล้านาไร่
มานานเนิ่นเกินนับหลายชั่วอายุคน
จาก..
อยุธยา สู่ต้นรัตนโกสินทร์...มาจนถึงยามนี้
ที่ยังงามเย็น
งามเป็นสักขี งามที่สามารถอวดโลกหล้าได้
และ..
เฉพาะยิ่งงามล้ำในยามที่มี
*พิธีขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค*
ที่เพิ่งผ่านพ้นมาให้ทุกดวงใจได้ตราจำ
ถึง..ความอลังการยิ่งใหญ่
อย่างยากยิ่งที่จะหาสายธาราใดในโลกมาเทียบได้
แสนมีมนต์ขลัง
มีเสน่ห์ที่เปรียบดั่งพลังชีวิตแห่งผืนดิน..
ผม...ขับรถ สีน้ำเงินคันเก่า
เจ้าโรเวอร์เปิดประทุนเพื่อนยาก
ที่ยังดูดี ที่คุณบอกแสนรักนัก
ค่าที่เขา..
เป็นดั่งเพื่อนยากคอยบริการพาเราไปไหนต่อไหน
ผม..ตื่นเต้นดีใจและราวเด็กหนุ่มอ่อนหัดผู้เพิ่งนัดสาว
ไปกินข้าวเคล้าแสงเทียนเป็นครั้งแรก
ก็แสนแปลกดี
ทั้งๆที่ ปีนี้เป็นปีที่5แล้วที่เรารู้จักและรักกัน
ในเวลา
แห่งความรักนั้น ..มากสิ่งได้กรายใกล้มาทายท้า
มาให้เราได้ทดสอบพิสูจน์ใจไปกับกาลเวลา
เสมือนคำถาม ...
ให้เราได้ค้นหาคำตอบ
ว่า..
จะยังรักชอบกันต่อไปดีหรือไม่....
หรือ..
หยุดรัก ก่อนสายเกินก่อนที่จะเสียใจยิ่งไปกว่านี้..
เพราะ....
คุณเคยบอกคุณสิ้นศรัทธาในรักแล้ว
อยากใช้ชีวิตในทางสายธรรม ในร่มพระรัตนตรัย
ให้จิตสว่างใสดั่งแก้ว
และ
คุณวอนผมหลายคราแล้ว ให้หันหลังลา
เพราะว่าคุณใจไม่แข็งพอ
ผมก็ได้แต่เออออ
และไม่ยอมรับกติกาได้เลยแม้นสักครั้งเดียว
ระหว่างเราดั่งมีวิบากกรรมเกี่ยว
ดั่งพรหมบันดาลสวรรค์แกล้ง
พามาให้ได้มารู้จักได้รักกัน
ผู้หญิงที่สวรรค์ส่งมา
หากทว่า.....
คุณเองกลับสับสนลังเลไม่อยากก้าวล่วงล้ำ
เข้าสู่ประตูสวรรค์ ฝันวิวาห์
ประตูที่ผู้หญิงเกือบทั้งโลกหล้า
ต่างพากันเดินตามๆกันไป
ประตูที่มีรัก อบอุ่น มีละมุนอ้อมกอด ไว้รอท่า
ผมจึง..งงงันกับฝันคว้างค้างคาใจ
ระหว่างเราสองสองเราเสมอมานานหลายปี
ที่หาคำตอบสุดท้ายให้ชีวีไม่พบเจอ
ว่า...
เเล้วผมนี้จะต้องรอคุณเก้อ
ไปอีกกี่กัปป์กาลนานนิรันดร์สักแค่ไหน
หรือ..
ยังพอมีวันที่ฝันจะเป็นจริง ได้บ้างไหมละหนอละนี่
และ......
ในค่ำคืนนี้...
คุณทำให้ผมมองคุณตะลึงหลงงงงวย
อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองอีกคราครั้ง.....
หลังงานปาร์ตี้นานมา
ที่....คุณเคยงามงดในชุดราตรี
ผ้ากำมะหยี่แนบเนื้อสีดำ
ที่มีขนนกเป็นชายครุยกรุยกราย ยามก้าวเดิน
และ
รอบคอ งามล้ำด้วยสร้อยเพชร..ลายผีเสื้อ แพรวพราย
ขับใบหน้าคุณให้งามผ่องผุด โดดเด่นเจิดจรัส
จนหนุ่มๆ หลงจ้องมองแทบไม่กระพริบตา
ยามที่คุณเยื้องย่างเดินเข้าไปในงาน
คุณงาม..มากในยามค่ำคืนนั้น
เพราะร้อยวันพันปี..ผมจะเห็นแต่ภาพคุณ
ใส่กางเกงยีนส์ และเสื้อยืดง่ายๆ สบายๆ
และ...
กับค่ำคืนนี้....
ที่คุณสวมชุดเปิดเนินไหล่
ให้เห็นรำไรเนื้อละมุนสีน้ำผึ้งของคุณ
ที่..
งาม จับตาจับใจและรัดรูปรัดรึง
ตรึงตา ตรึงตราจนทำให้ผมแทบลืมหายใจ..
ยามที่..
คุณค่อยๆก้าวลงมาจากบันได..
ในชุดกระโปรงสีขาว..ขับให้ผิวคุณเนียนผ่องพราว
แม้น...ในเงาสลัวรางของแสงไฟ..
คุณแย้มยิ้มพริ้มเพรา..และอารมณ์ดี
เราขับรถช้าๆ
ดูแสงไฟพราวผ่านสะพานแขวนแสนงามในยามราตรี
ก่อนที่จะจอดรถ
แล้ว......
ข้ามไปที่เรือที่ประดับประดาด้วยแสงเทียนวะวับวาว..
เสียงไวโอลิน ขับกล่อมเบาๆในยามค่ำ
หวานอบร่ำมากับสายลมหนาว
แกล้ม...
กลิ่นอวลน้ำหอมบางเบา
มาจากเรือนร่างงามระหงของคุณ..
ผมอยากสวมกอดคุณนะคนดี
ด้วยความรักภักดีที่
ผมรักและรอคุณมาแสนนานหลายปีเหลือเกินแล้ว
กว่า...
จะมีวันนี้ คืนนี้...
ที่แสนงดงามในความทรงจำของผม
ที่จะไม่มีวันเลือนลืมตราบนานเท่านาน
ยามที่มีคุณชิดใกล้หัวเราะเริงร่า
ให้....
หัวใจผมไหวหวามเต้นระริก
ด้วยความรักคุณรักคุณและรักคุณที่สุดแล้ว..
เราเพียงมาฉลองคืนแห่งความฝันนี้
รำลึกอดีตอันงดงามมากมีที่เราได้เคยพลี*ให้น้ำใจ*แด่กัน
และ.....
มีเพียงเรื่องเล่าขำขัน
ให้เราหัวเราะกันดังลั่น
ให้
พระจันทร์สวยดวงหวาน..
พลอยเบิกบานยิ้มแฉ่งล้อเลียนอิจฉาเรา..
ในเงาจันทร์และแสงเทียนวูบไหววะวับวาว
ต้องจับใบหน้าคุณให้ละมุนในรู้สึก
ผมอยากเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้า
ด้วยสำนึกถึงสิ่งสูงค่า แสนรักแสนน่าทะนุถนอม..
ผมมองคุณผ่านกุหลาบแดงตรงหน้า
และ...
สบตาคุณราวจะวอน
อยากกล่าวคำอ้อน บอกว่า
ค่ำคืนนี้....
คุณหวานหยาดกว่าสายน้ำผึ้งจากจันทร์
บอบบางกว่ากลีบดอกไม้และกุหลาบนานาพันธุ์
ที่
กำลังบานสะพรั่งทั้งโลกหล้ามารวมกันเสียอีก...
หัวใจผมกำลังสำลักอิ่มสุข
หลอมละลายหัวใจดวงนี้ให้อาวรณ์ อ่อนโยน..ถวิลหา..
และ
คนดี..ในความสุขนาทีนี้ ผมรู้ดี ไม่นานช้า......
เพราะ..
มีสัญญาณเตือนจากดวงตาคุณ...
ให้ผมแสนสังหรณ์ใจ
และ...
เริ่มสงสัยว่าทำไมคุณถึงตั้งใจแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ
ราว
กับคือคืนค่ำวันวิวาห์ก็มิปาน
คุณทำให้ผมหนาวๆร้อนๆ และ
เมื่อร่างอรชรซบในอ้อมอกผม
ให้สายธาราแลสายลมเย็นเป็นสักขีพยาน
คุณก็เลือกกล่าวคำ....ลา..
ให้ผมแสนรานร้าวใจ แสนทรมานใจ
ทั้งๆที่ผมเตรียมตัวเตรียมใจ มานานแล้วก็ตามที
คนดี..คุณจะลาผมไปสู่ร่มรัตน์ร่มธรรม
ที่คุณบอกว่าคือรักนิรันดร์
ที่คุณเลือกแล้วอย่างไม่มีความลังเลสงสัยเลย
คนดี....
ทำไมหัวใจจึงชาเฉยเยียบเย็น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่ละกระมัง ...
ที่เรียกกันว่า..*เจ็บทรมาน ปานถูกฆ่าด้วยน้ำผึ้งพิษ*
ที่หลงสนิทหวานเสน่หา
เสียจน ..
ลืมไปว่า...แท้เที่ยงแล้วไซร้
ทุกชีวี....
ยามถึงวันที่ลมหายใจแสนสั้นสิ้น..
ทุกคนต้องไปโดยลำพัง...
.................
และ..
สำหรับผม กับค่ำคืนนี้
คืนที่ ....
ผมไม่อยากนับนาทีถอยหลัง
คนดี ที่รัก..
มองตาผมสิ..
ลูกผู้ชายคนนี้..ที่มีใจเดิมพัน
กำลังจะครวญคร่ำว่ารักคุณ และรักคุณ
ขอให้..
ฟ้าดินสิ้นทั้งโลกหล้า...ได้รู้เห็นเป็นพยาน..
ถึงความรักหนักแน่นมั่นคงยาวนานนิรันดร์ของหัวใจผมคนนี้
ที่ใจซื่อถือมั่นในรักแท้รักจริง..
เราสบตากัน..
หยาดเพชรพราวนัยน์ตางามส่องประกาย
ราวกับจะปลอบประโลมดวงใจผม
ที่...
กำลังช้ำตรมว่า..
อย่าร้องไห้เลยนะคนดีที่รัก
ไม่นานนักไม่นานนี้ ...
ชีพชีวีที่แสนสั้นของเราสอง
ก็จำต้อง..
พลัดพรายด้วยความตายมาพรากจากกันอยู่แล้ว....
ไยมัวประมาท มิฉลาดเตรียมฝึกตายก่อนตาย
ได้ใช้...ลมหายใจฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
ให้...
รู้ทันเท่าเฝ้าสละ ละวางทุกข์กิเลส
เพื่อให้จิตกระจ่าง สว่าง สะอาด สงบ
พาเพียรไปพบฝั่งฝันอันคือพระนิพพาน
แม้น....
อาจจะไม่รู้ว่าอีก..สักกี่สิบชาติ
ก่อนที่ ..
จัก..จบ..จาก...พรากรักพันธนานี้
ไป...ตราบนานเนา..ตราบ..ชั่วนิจนิรันดร....!
........................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song45.html
บุพเพสันนิวาส
เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด
บุพเพ สันนิวาส ที่ประสาทความรักภิรมย์
คู่ ใคร คู่ เขา รักยังคอย เฝ้าชม
คอยภิรมย์ เรื่อย มา
ขอบน้ำขวางหน้า ขอบฟ้าขวางกั้น
บุพเพยังสรรค์ประสบ ให้ได้สบ พบรักกันได้
ห่าง กัน แค่ ไหน เขาสูงบัง กั้นไว้
รักยังได้ บู ชา
ความ รัก ศักดิ์ ศรี รักไม่มี พรหมแดน
รักไม่มี ศาสนา
แม้น ใคร บุญ ญา ได้ ครอง กันนา
พรหม ลิขิต พาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ
ความรักเช่นนั้นให้โทษ
จะไปโกรธ โทษรักไม่ได้
ไม่ ใช่ บุพ เพ สันนิวาส แน่ไซร้
รักจึงได้ แรม รา
ความ รัก ศักดิ์ ศรี รักไม่มี พรหมแดน
รักไม่มี ศาสนา
แม้น ใคร บุญ ญา ได้ ครอง กัน มา
พรหม ลิขิต พาชื่นใจ
รักเหมือนโคถึก ที่คึกพิโรธ
ความรักเช่นนั้นให้โทษ
จะไปโกรธ โทษรักไม่ได้
ไม่ ใช่ บุพ เพ สันนิวาส แน่ไซร้
รักจึงได้ แรม รา...