19 พฤศจิกายน 2549 22:30 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1873.html
โลกแห่งความฝัน
ดึกดื่นดายเดียวบนทางฝัน
เสี้ยวจันทร์แรมใจลอยคว้าง
เงาเมฆเทาทึมทอดวาง
อ้างว้างร้างไร้คล้ายมายา
รักรอมานานชั่วกาลกัปป์
เนานับนานนึกห่วงหา
เหลียวไปไหนเล่าเจ้าดวงตา
เหว่ว้ามีเพียงเงียบสะท้อน
ทอดทิ้งทุกข์ทนวนรัก
ทายทักสัจจธรรมสอน
ยึดใดใครได้เฝ้าอาวรณ์
แค่ฉากตอนละครโลกย์ชีวี
ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น
กี่ฝันกี่โศกชีพนี้
กี่ลมหายใจสิ้นไปทบทวี
ก็แค่นี้แค่นั้นมนุษย์..!
...................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1873.html
โลกแห่งความฝัน
เมื่อชีวิต ยังรักที่จะฝัน
และบอกกับใจ ทุกวันที่ผ่านมา
ด้วยปีกแห่งฝัน จะโบยบินไปถึงฟ้า
หวังจะไปให้ถึงในซักวัน
กว่าชีวิต จะพ้นไปอีกวัน
อีกกี่ความฝัน ที่ฉันจะไขว่คว้า
อีกกี่คำถาม ที่รอคอย การค้นหา
แล้วถึงรู้ว่ามัน ไม่มีจริง
โลกแห่งความจริง
ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด
โลกแห่งความฝัน
ฉันมองเห็นวันสดใส
แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน
ทอดทิ้งฉัน ไปไหน
โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน
กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร
กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า
เฝ้ารอความฝัน
ให้ตกตะกอนช้า ช้า
เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง
โลกแห่งความจริง
ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด
โลกแห่งความฝัน
ฉันมองเห็นวันสดใส
แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน
ทอดทิ้งฉัน ไปไหน
โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน
กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร
กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า
เฝ้ารอความฝัน
ให้ตกตะกอนช้า ช้า
เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง...
เงียบสะท้อน..
จากหนังสือบ้านภายในเงาภายนอก.
เขียนโดยคุณโกศล กลมกล่อม
กวีร่วมสมัยเจ้าของรางวัลสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย
พ.ศ2532 และ2542
รางวัลรวี โดมพระจันทร์ และรางวัลลมหายใจกวีพ.ศ2534
เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรท์พ.ศ2535 2538 และ2541
กวีที่พุดพัดชาชื่นชมศรัทธาในคำ
ในความงามสมถะเรียบง่ายที่เป็นตัวตนอันแสนยิ่งใหญ่ค่ะ
จึงพยายามนำมาถ่ายทอดเพื่อแบ่งฝันแบ่งสิ่งอันสวยสดงดงามนี้ที่ก่อเกิดงามพร่างสว่างกลางใจ..ดวงน้อยนิดนี้..นะคะและ
ด้วยรักทุกดวงใจไทยโพเอม
หวังเป็นแรงบันดาลใจค่ะ
..........
ผมกลับมาสวนโมกข์ปลายเดือนพฤษภาคม 2540
ใบไม้แห้ง กระจัดกระจายบนทางเดินใต้ดงไม้
ผมเดินตามทางที่เคยผ่าน
ต้นไม้น้อยเติบโตเป็นต้นใหญ่..
มีคนบอกว่าเสียงของต้นไม้สอนมนุษย์ให้เข้าใจชีวิต
แดดอุ่นยามเย็นลอดช่องว่างของกิ่งใบ ลมอ่อนผ่านบางเบา
แดดสีทองอยู่เบื้องหลังภูเขา ก้อนเมฆสงบวางที่ขอบฟ้า
ผมหยุดยืนกลางลานกว้าง ก้อนหินและกรวดทรายนิ่งฟังคนเดินทาง
ไม่เคยร้องสิ่งใด
ผมกลับมาที่นี่เวลาเดิมทุกปี เดินรอบสวนโมกข์จนทั่วทุกครั้ง
มีความเปลี่ยนแปลงรอบตัว ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร..
ต้นไม้ ท้องฟ้า แม้แต่กรวดทราย
จนวันนี้ ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าว เดินดูเสียให้ทั่ว
เมื่อผมได้เดินท่องไปในจิตวิญญาณของตน เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิต
แต่ละขณะ ทั้งความทุกข์ และความสุข
ผมยืนอยู่ ณ..สถานที่เผาสรีระของท่านพุทธทาสภิกขุ ต้นไม้ใหญ่รอบด้านน้อมลงเคารพ
ความรักความศรัทธาแผ่ทั่วความรู้สึก ขณะที่ผมคุกเข่ากราบตรงพื้นทราย
ภาพวัยเยาว์ปรากฏ ต้นมะขามหน้าบ้านเงาของบ้านทอดลงอบอุ่น
รอยยิ้มของย่าที่มีต่อหลานคนเล็ก ผมเคยพูดว่า..ถ้าเรารวยเราคงมีความสุขมากกว่านี้
เสียงย่าตอบเบาๆ
เราอยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้ หิวบ้าง อดบ้าง เราก็มีความสุข
แล้วเคราสากของพ่อสัมผัสแก้ม แม่ถือไม้เรียวเรียกมากินข้าว ผมแอบออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน
ภาพท้องนากว้างใหญ่ แว่วเสียงกระดึงของวัวควาย ผมเป็นเด็กน้อยวิ่งริมคันนา
รอยผืนดินแตกระแหงเหมือนรอยย่นบนใบหน้าของตาและยาย เมฆฝนทะมึนเหนือเทือกเขา
ต้นไม้ใหญ่น้อยทั่วขุนเขายืนอ่อนน้อมท่ามกลางพายุใหญ่จนสงบ
สายน้ำคือความห่วงหาอาทร เฝ้าเดินทางจนถึงทะเล แสงตะเกียงจากเรือประมงติดขอบน้ำ
เมื่อฟ้าสางเด็กน้อยวิ่งไปช่วยพ่อยกปลาลงจากเรือ
ผมเดินทางมาสู่เกาะ พบกับ วรรณะ เพื่อนผู้รู้จักกันคราวที่เขาเดินทางมาส่งพระรูปหนึ่ง
กลับสวนโมกข์ ผมอาศัยบ้านพ่อและแม่วรรณะบ้าง วัดร้างบ้าง ผมอาสาเป็นครูสอนหนังสือ
ในโรงเรียนเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้กัน เสียงร้องเพลงของเด็กเป็นเสียงเดียวกับคลื่น
วันที่จากลาไม่รู้เหงื่อหรือน้ำตานองบนใบหน้า
ความรักทำให้เรามีความสุข ความรักหล่อเลี้ยงหัวใจให้อยู่ในโลกอันเปล่าเปลี่ยว
จนคราวเราจากกัน ความทุกข์สอนผมให้เข้าใจความรักที่แท้ ความรักที่สรรพสิ่งมีต่อชีวิต
และชีวิตมีต่อสรรพสิ่ง ประดุจสายใยอันอบอุ่นคล้องวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว
ชีวิตไม่เคยหยุดทำหน้าที่ และชีวิตไม่เคยมีวันหยุด ชีวิตหนึ่งสอนอีกชีวิตหนึ่งให้เข้าใจชีวิต
ผมกราบพื้นทรายเป็นครั้งที่สอง ใบไม้ร่วงสู่พื้น ผมเงยหน้าขึ้นเห็นฝูงนกพากับบินกลับรัง
ลูกนกบินทันฝูงแล้ว ผมเคยเป็นนกหลงฝูงกลางป่าเปลี่ยว เป็นนกแปลกหน้าในเมือง
เวลานี้ผมรู้สึกเป็นเช่นเดียวกับท้องฟ้า อ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลง
โลกนี้ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ ทั้งตัวเราและผู้อยู่รอบข้าง
เมื่อวันที่ย่าจากไป ผมนั่งอยู่กับย่าจนลมหายใจสุดท้าย คืนวันที่พ่อจากไป
ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อจนตื่น และวันที่ท่าพุทธทาส ภิกขุ อาพาธ
อยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ผมเดินทางมาทันขณะลูกศิษย์พาท่านกลับสวนโมกข์
แปลกใจที่เราจากกัน แต่คล้ายเรายังอยู่ใกล้กัน อยู่พร้อมหน้ากัน
ความคิดเหมือนเดินทางมาในความเงียบ สะท้อนภาพแล้วภาพเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกวินาทีผ่านไป ทำให้เราเข้าใจภาพต่างๆมากขึ้น เข้าใจชีวิตชัดเจนขึ้น
ฟ้าเริ่มมืด เสียงจักจั่นเรไรดังทั่วในความเงียบ เวลานี้ความเงียบและเสียงกลับไม่ขัดแย้งกัน
กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
หน้าผากของผมสัมผัสพื้นทรายเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาอันมิอาจห้ามเอ่อขึ้นมาด้วยความรู้สึก
ศรัทธาต่อทุกสิ่งมีค่าที่ผ่านมาและสอนผมให้เข้าใจชีวิตในวันนี้...........
เงียบสะท้อน
เคยอยู่เดียวท่องเที่ยวไหม
มองไปทั่วทางช่างเงียบเหงา
เพื่อนเพียงเสียงใจสั่นไหวเบา
เป็นเงาติดข้ามความลำเค็ญ
ค้นหาสาระไร้สาระ
ราวจะคว้าได้กลับไม่เห็น
ถอนใจ สายธารกลับผ่านเย็น
ปลาเป็นว่ายทวนได้ปลาตายลอย
แล้วเสียงเพียงแผ่วผ่านแว่วอยู่
เหลียวดูใบพลิ้วใบปลิวผล็อย
บ้านเก่าเช้าใหม่ใจเคยคอย
แง้มน้อยหน้าต่างอย่างรีบรน
เงียบฟังความเงียบ เงียบสะท้อน
โลกย้อนโลกแสดงทุกแห่งหน
ใจย้อนยินใจเข้าใจตน
ชัดจนเปิดกว้างกระจ่างชัด
มอบให้..คนดีในดวงใจ..
ที่หวังเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สร้างงามในดวงใจ..
ไปสู่ฝัน..สู่ดวงดาว..สู่สายรุ้งประดับราวใจไปชั่วกัปป์กาล..
และระหว่างเรา..เงียบสะท้อนงาม..ใจถึงใจ..ไม่มีคำว่ากาลเวลา...
ให้...
เชษฐภัทร ...ด้วยรักและอยากแบ่งปัน..
เพื่อสรรสร้างงานงามในโลกบรรณพิภพ
พี่พุด..
16 พฤศจิกายน 2549 15:12 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song293.html
หนี้รัก
แล้ว..
ปาฏิหารย์รักมหัศจรรย์รอ เรื่องราวระหว่างเรา
ที่แสนยิ่งใหญ่งดงาม
จะเริ่มต้นตรงไหนดีเล่า..เจ้ายอดดวงหฤทัย
กับวันนี้...
วันที่ฟ้าสีทองผ่องไสว ใจแสนเกษมกระจ่างสว่างเย็น
ท่ามทุกนาทีหัวใจเต้นเสียเหลือเกิน
วันที่ทุกอณูแห่งเลือดเนื้อ จากจิตวิญญาณแลร่าง
ช่างเอิบเต็ม อิ่มเต็มเสียนี่กระไร
หลังพ้นผ่านพายุทุกข์เข็ญ อันแสนโศกสะเทือน
เสมือนแทบล้มประดาตาย
หากจิต..ของมณีดวง ดั่งรวงเพชรพร่างพราวแพรวพราย
ฤาจักยอมพ่ายก็หาไม่...!
ผ่านคืนฝันวันเหน็บหนาวแห่งชีวิต
เพียงเพียรอธิษฐานจิตสร้างกุศลทานทำความดี
พลีให้โลกแลฟ้าดินสิ้นทั้งอินทร์พรหมได้รับรู้ เมตตา
ใจดวงรานร้าวเหว่ว้า อ้างว้าง
ราวหลงทางกลางทะเลโลกย์โศกลำพัง
มองมิเห็นฝั่งฝัน รอ...
หากหัวใจดวงทองดวงธรรม ก็มิเคยท้อ
ขอเพียงสร้างสิ่งดี
พลีสะสมเสบียงบุญสร้างทุนธรรมทาน
หว่านโปรยแด่ผู้ทนทุกข์ยาก
หากมีโอกาสแม้นเพียงสักเล็กน้อย
ค่อยๆทำ ระรินร่ำหยาดน้ำค้างใจ
พร่าง*หอมให้* ใส่อย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
ขอเพียงให้โลกแล้งไร้นี้
ยังมีคนดีต่อเติมเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้สิ้นรู้จบให้ยิ่งทบทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูน*พลังแห่งแผ่นดิน*
ณ..วันนี้ มณีดวง จึ่งมานั่งนิ่งๆริมฝั่งฝันเจ้าพระยา
ภายใต้ร่มเงาของลีลาวดี
ที่ต่างกำลังพากันปลิดปลิวโปรยปรายไปทั่วทั้งพื้นหญ้า
ให้ดอกสีขาวนวลเหว่ว้า
พาให้ได้สัมผัสดายเดียวอย่างล้ำลึก
อย่างตรึงตรา
ราวกับว่าธรรมชาติกำลังสอนสัจจธรรม
ว่า....
ไม่ว่า ความสุข ฤา ความทุกข์ ล้วนมีปีก
พร้อมจักโบยบิน
หาก..
ใจดวงงามรู้ถวิลวางทุกข์ทุกสรรพสิ่งรายล้อม
อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น
และ...
เรียนรู้ปันแบ่ง...เอื้อโอบฝัน
ตราบจนกว่า...วันลมหายใจแสนสั้นจักสิ้น...!!
.....................
ความสุขมีปีก...
ความสุขติดปีกสีขาว
พร่างพราวรายล้อมเจ้าจอมขวัญ
ทายทักแย้มยิ้มแบ่งปัน
โอบฝันเอื้อสุขทุกข์มลาย
จูบแก้มเกศเกล้าเจ้ายอดรัก
พิมพ์พักตร์ผุดผ่องปองหมาย
พริ้มเพราเงาขวัญละม้าย
คลับคล้ายสองร่างพร่างงาม
โลกตรงหน้าฟ้าเฝ้าดูเป็นสักขี
พธูเทวีงามเกินใครในโลกสาม
พรหมพลีพรอย่างอ่อนโยนเฝ้าติดตาม
ในนิยามปาฏิหารย์รักนี้ที่เฝ้ารอ
นับแต่นี้ราตรีกาลที่มืดมิด
สู่อรุณรุ่งแห่งชีวิตอธิษฐานขอ
ในอ้อมโอบแห่งรักมหัศจรรย์รอ
ดั่งสายใจถักทอคล้องจิตขวัญนิรันดร...
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song293.html
หนี้รัก
อรวรรณ วิเศษพงศ์
หากจะรักแล้ว รักใคร ก็จง รักเถิด
ความรักบรรเจิด พริ้งเพริด หนักหนา
ชีวิตคนเรา นั้นสั้น เหลือคณา
อย่า รอ ช้า ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป
หากมีหนี้แล้ว ขอให้ เป็นหนี้ รักเถิด
ดอกเบี้ยที่เกิด คือพลังรัก พิไล
รักเธอเสมอ รักเธอ จากดวงใจ
ยอดพิศมัย หลอมอยู่ใน กาย เธอ
หากวันใด ที่แสงทองของ ชีวิตผ่าน
โลกตระการ จะมืดครึ้ม หมองเหม่อ
วาระนั้น จะได้อดีตไฟรักปรนเปรอ
หล่อเลี้ยง บำเรอ ต่อชีวิตให้ชื่น บาน
หากเป็นหนี้แล้ว ขอให้ เป็นหนี้ รักเถิด
หนี้รักบรรเจิด พริ้งเพริด แสนหวาน
รักกันเสมอ แม้เวลา ผัน ผ่าน
สองเราสราญ เพราะหนี้รัก สลัก ใจ
หากเป็นหนี้แล้ว ขอให้เป็นหนี้รักเถิด
หนี้รักบรรเจิด พริ้งเพริด แสนหวาน
รักกันเสมอ แม้เวลา ผัน ผ่าน
สองเราสราญ เพราะหนี้รัก สลัก ใจ...
13 พฤศจิกายน 2549 23:24 น.
พุด
http://www.geocities.com/SoHo/Cafe/2277/song-main.htm
พรหมลิขิต
วสันต์ลีลาทิ้งช่วงไปนานแล้ว
ใบไม้แก้วค่อยค่อยร่วงอย่างช้าช้า
ตะวันสีส้มสุกชัดรอเวลา
ท่าม..ม่านฟ้าหมอกสลัวยามสายัณห์
ใจหลายดวงรอนแรมอ้างว้าง
ไร้แลร้างสิ้นแล้วซึ่งความฝัน
ราวราตรีกาลมืดมิดนิจนิรันดร์
สิ้นไฟฝันสวรรค์รอพ้ออกใคร
แท้แล้วธรรมชาติสอนสัจจธรรม
มีเช้าช้ำชื่นสายเริ่มต้นใหม่
ถึงชีวิตนาทีนี้จักอับแสงอาทิตย์อุทัย
อาจมีวันใหม่พรหมลิขิตสววรค์บันดาล....
ให้ได้พบรักปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่
มหัศจรรย์ในหัวใจหวานกว่าหวาน
ได้เคียงคู่ตราบชั่วนิจนิรันดร์กาล
เทพประทานพรนี้พลีแด่เรา...
.......................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song138.html
เพลงไพร...
ปลูกกระท่อมกลางไพรฟังเพลงฝน
พิรุณหล่นพร่างพรายชายคาจาก
จุดตะเกียงเคียงหัวนอนฟังฝนพราก
จูบแก้มสากหอมหอมหลอมละลาย
วิมานไพรติดดินถวิลหวัง
ขอคืนหลังฝังฝากใจไม่ห่างหาย
นานนิรันดร์หลับฝันดีมิเคลื่อนคลาย
งามเรียบง่ายใช้ชีวิตที่ติดดิน
ปลูกดาวรุ้งรุ่งเต็มลานหวานดอกรัก
ช่อฟูมฟักรักบานชื่นคืนถวิล
มีสวนครัวผักริมรั้วให้เก็บกิน
ยอดกระถินฟักแฟงแตงลูกยาว
เอื้อมมือเด็ดผักและดอกไม้ใส่ตะกร้า
ฟ้าลับลากลิ่นแกงหอมจากน้องสาว
ทำขนมบัวลอยคอยชิมฝีมือเจ้า
คืนพร่างดาวไม่หนาวใจใครเคลียคลอ
กอราตรีริมชานเรือนอวลกลิ่นร่ำ
พิไรร่ำลำดวนดงหลงใครหนอ
จูบเรือนผมคลี่สไบบัวไหวรอ
เจ้าตัดพ้อคลอเพลงครวญรัญจวนใจ
เป็นความรักเรียบง่ายไร้แสงสี
มีคนดีคอยอ้อนใจให้หวามไหว
โลกเงียบงามยามเราสองแลกร่างใจ
ตำนานไพรตำนานรักภักดิ์ทุกภพจบด้วยงาม!
.....................
เขียนบทกวีบทนี้ในร้านกาแฟค่ะแกล้มกาแฟบราซิลซานโตส
เขียนเขียนไปก็ให้คิดถึงโรนัลโด้..
นะคะเลยนำมาสมมุติเป็นพระเอกแล้วกัน
ในกระท่อมไพรเพลงไพรเพลงฝนเพลงฝันแล้วกัน
แทนความจาบัลย์
ที่พบว่าวันนี้ต้นไม้แสนรักถูกตัดเสียเหี้ยนเลยค่ะ
ที่เคยเข้าแถวทายทักพุดพัดชาด้วยจงรักมาทุกทุ๊กวัน
แถมมีใครปลอบใจเก่งชะมัดว่า..ไม่นานมันก็งอกใหม่
โน่นแน่ะ นี่แนะ..
สองปีจะโตเท่าเดิมได้รึปล่าวก็ยังมิอาจทราบเลย..!
ที่รัก
นานแล้วพี่หลงพะวงมิหน่าย
นานแล้วที่หมาย จะได้ภิรมย์
นานแล้วพี่รักคอยจักชื่นชม
นาน แล้ว รักเพียงลมลม ตรมเช้า ค่ำ
ที่รักนะรักเพราะใจมิกล้า
ที่ช้านะช้า มิกล้าเผยคำ
ที่คิดนะคิด กลัวอกจะช้ำ
เอ่ย คำแล้วเจ้าจะทำให้ช้ำใจ
อย่าเหมือนน้ำค้างพราวพร่างใบพฤกษ์
พอยามดึกเหมือนดังจะดื่ม กิน ได้
พอ รุ่งสางก็จางหายไป
รู้แน่แก่ใจ ได้แต่ ระทมชีวี
ที่รักนะรักเพราะเทพเสริมส่ง
ที่หลงนะหลง เพราะเจ้า แสนดี
ที่หวงนะหวง เพราะสวยอย่างนี้
กลัว ใครเขามาแย่งพี่ ไป เอย
อย่าเหมือนน้ำค้าง พราวพร่าง ใบพฤกษ์
พอยามดึกเหมือนดังจะดื่ม กิน ได้
พอ รุ่งสางก็จางหายไป
รู้แน่แก่ใจ ได้แต่ ระทมชีวี
ที่รักนะรักเพราะเทพ เสริมส่ง
ที่หลงนะหลง เพราะเจ้าแสนดี
ที่หวงนะหวง เพราะสวย อย่างนี้
กลัว ใครเขามาแย่งพี่ ไป เอย...
http://www.geocities.com/SoHo/Cafe/2277/song-main.htm
พรหมลิขิต
พรหมลิขิต บันดาล ชักพา ดลให้มาพบกัน ทัน ใด
ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล
พรหมลิขิตดลจิต ใจ ฉันจึงได้มาใกล้ กับ เธอ
เออชะรอยจะเป็น เนื้อ คู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดู บำเรอ
แต่ครั้งแรกเมื่อพบ เธอ
ใจนึกเชื่อว่าแรกเจอ ฉันและเธอคือ คู่ สร้าง มา
เนื้อ คู่ ถึง อยู่ แสนไกล คงไม่คลาดครา
มุ่ง หวัง สมดังอุรา ไม่ว่าใคร ใคร
หากมิใช่คู่ครอง แท้ จริง จะแอบอิงรักยิ่ง ปานใด
ยากนักที่จะสมใจ
คงพบเหตุอาเพทภัย พลัดกันไปจนให้คลาดครา
เราสองคนต้องเป็น เนื้อ คู่
จึงชื่นชูรักใคร่ บู ชา
นี่เพราะว่าบุญหนุน พา
พรหมลิขิตขีดเส้นมา ชี้ชะตาให้มา ร่วม กัน
คนบางคนต้องเป็นเนื้อ คู่
เพียงแต่ดูรู้ชื่อ โดย พลัน
ก็รู้สึกนึกรักกัน จนฝันใฝ่ใจผูกพัน แม้ไม่ทันจะเห็น รูปกาย
เนื้อ คู่ ถึงอยู่แสนไกล คงไม่คลาดครา
มุ่ง หวัง สมดังอุรา ไม่ว่าใครใคร
พรหมลิขิตบันดาลทุก อย่าง เป็นผู้วางหนทางปวงชน
ได้ลิขิตชีวิตคน นำเนื้อคู่มาเปรอปรน ทั้งยังดลเธอให้ กับ ฉัน
12 พฤศจิกายน 2549 23:32 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html
หนึ่งในร้อย
ขอบคุณทุกบทกวีที่ได้เขียน
ให้วนเวียนระบายทุกสิ่งฝัน
มีโลกภายในนิ่งเงียบงามท่ามคืนวัน
ได้ฝากฝันฝากใจดวงระบม..
ขอบคุณทุกรอยแผลแต่หนหลัง
ถึงเซซังซมซานทุกข์ขื่นขม
ขอบคุณทุกบทเรียนเคยตรอมตรม
ได้เพาะบ่มจิตดวงนี้อัญมณีไพร
ขอบคุณทุกเส้นทางอ้างว้างนัก
ขอบคุณทุกที่รักหยาดน้ำผึ้งพิษใส่
ขอบคุณทุกแผลเก่าในรอยใจ
ขอบคุณธรรมไสวนำทางมิร้างลา
ขอบคุณดวงดอกโศกโลกหยิบยื่น
แม้นไร้ชื่นยื่นช้ำขวัญผวา
หากคือทุกข์สอนเห็นธรรมธรรมดา
ถึงเหว่ว้าสักเพียงใดใจแสนดี
ขอบคุณหยาดน้ำตาหลายล้านหยด
พลีรันทดสังเวยวิบากในชาตินี้
ขอบคุณทุกข์ทับถมจมธุลี
ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ..ใฝ่นิพพาน...!
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html
หนึ่งในร้อย
พราว แพรว อันดวงแก้วแวว-วาว
สด สี งาม หลายหลากมากนาม นิยม
นิล-กาฬ มุกดา บุษรา คัมคม
น่า ชม ว่างาม เหมาะสม ดี
เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้ง จึงเป็น ยอดมณี
ผ่อง แผ้วสดสีเพชรดี มีหนึ่งในร้อยดวง
ความ ดี คนเรานี่ ดีใด
ดี น้ำ ใจที่ให้แก่คน ทั้งปวง
อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง
เจ็บ ทรวง หน่วงใจให้รู้ ทัน
รู้ กลืน กล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบ ผล ร้อยคน มีหนึ่งเท่านั้นเอย
รู้ กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน
ชื่น ชอบตอบผล ร้อยคน มีหนึ่ง เท่านั้นเอง...
11 พฤศจิกายน 2549 23:09 น.
พุด
http://www.geocities.com/SoHo/Cafe/2277/0508.htm
http://www.geocities.com/SoHo/Cafe/2277/1314.htm
อาทิตย์อัสดง...
เหนือปรางปราเจดีย์วัดชัยวัฒนาราม
กลางลานศิลา....
เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธประธาน
แสงสุริยากระทบร่างสล้างราวรูปสลักสีทอง
ที่ผ่องพรายในท่านั่งสมาธิเงียบงามนิ่งงัน
เธอ...
สวดมนต์เสียงดังก้องไปทั่วทั้งฟากฟ้า
ราวให้..
เทพยดาฟ้าดินสิ้นทั้งอินทร์พรหม
ได้มาร่วมมารับรู้รับฟังเป็นสักขีพยาน..!
เสียงทรงพลังด้วยมนต์ขลังศักดิ์สิทธิ์ศรัทธา
ดังสะท้อนสะเทือนไปทั่วทั้งคุ้งโค้งน้ำป่าสัก..
ที่ไหลระริน ระริน มิสิ้นสาย..
ผ่านวัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดพุทไธสวรรค์
ก่อนที่จะผ่านมาณ..ที่ตรงนี้..วัดชัยวัฒนาราม
ที่..
ยามนี้กำลังปริ่มล้นตลิ่ง...
ทิ้งทอดสายน้ำไหลวนสุดล้ำลึกสุดจะนึกยากหยั่งถึง...!
พระตำหนักสิริยาลัย แฝงในดงไม้
มวลใบไม้สีเงิน
กำลังร่ายฟ้อนพลิกพลิ้วพร่างพรายระบัดใบ
อ้อนสายลมฤดูหนาวในยามค่ำย่ำสนธยา
หลับตาคล้ายได้ย้อนรอยถอยหลังรำลึก
นึกไปถึงวิถีชีวีเรียบง่าย
ในยามบ้านเมืองสุขสงบ ไร้พบภัยศึกสงครามพม่า..
ที่ยาตรามาย่ำยี ให้เลือดไททุกชีวีได้เคยสังเวยหลั่งริน
จน..
พื้นแผ่นดินชุ่มโชกด้วยรอยเลือดโศกสุดวิปโยคสะเทือน..!
เธอ..
ได้ยินเสียงบทเพลง
*กลิ่นสไบนางหอม หอม.*.หวานแว่วแผ่วลอยลมมา
กับฟากฟ้ากว้าง
ที่ดวงสุริยาซ่อนร่าง
พร่างพรายเพียงแสงสีรุ้งพุ่งผ่านมวลม่านเมฆ
ให้ผืนฟ้ายามพลบ
ดูราวกับฉากชั้นสวรรค์ชลอ..ลงมากระนั้น ..
หอมดอกพะยอมไม่เทียบเปรียบปาน
หอมดอกคัดเค้ารื่นเร้าจิตหวาน
เมื่อมาประมาณ กลิ่นไม่เทียบทานสไบ
กลิ่นสไบนวลนาง
แม้ห่างยังหอมไม่ชืดจืดใจ
ฉันจากถิ่นฐานมาเสียห่างไกล
โอ้กลิ่นสไบเจ้ายังร่ำไรไม่จาง
กลิ่นสไบใช่แล้วอกเอย
กลิ่นนี้พี่เคยเหมือนกลิ่นที่เชยจูบปราง
เจ้าปัดให้พี่วาง
พลัดปรางแนบใจ พี่ชื่นสไบบัวทอง
กลิ่นสไบนุ่มนวล
หรืออบลำดวน มะลิก่อนครอง
หอมยั่วจิตใจให้คิดใฝ่ปอง
ถ้าอยู่ห่างน้อง กลิ่นเจ้าร่ำร้องตามมา
ดนตรี..
กลิ่นสไบใช่แล้วอกเอย
กลิ่นนี้พี่เคย เหมือนกลิ่นที่เชยจูบปราง
เจ้าปัดให้พี่วาง
พลัดปรางแนบใจ พี่ชื่นสไบบัวทอง
กลิ่นสไบนุ่มนวล
หรืออบลำดวน มะลิก่อนครอง
หอมยั่วจิตใจให้คิดใฝ่ปอง
ถ้าอยู่ห่างน้อง กลิ่นเจ้าร่ำร้องตามมา
...........
น้ำตาจากใจดวงใสแสนเกษมปิติงาม
ค่อยๆพร่าซึมระรินพร่างริมเรียวแก้วนวล
กระทบสายแสงแดดสีทองผ่องแผ้ววะแวววับ
ราวกับเกร็ดเพชรพร่างแพร้วประภัสสร
ในวันประวัติศาตร์ขวัญวันปาฏิหารย์รักอันแสนยิ่งใหญ่นี้
ที่ยากยิ่ง..จักอธิบายใจ..ให้ผู้ใดได้ร่วมรับรู้..รับทราบ
ถึง..
ความอาบเอิบอิ่มอุ่นในใจดวงละมุนดวงนี้..
ที่แม้นโลกทั้งโลก...
ยังอยากยอมหยุด
ร่วมร่ายโศลก..พร้อมพลีอวยพร...แด่เธอ..!!!