22 มกราคม 2550 13:43 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2247.html
ดอกไม้ให้คุณ
ยื่นดอกไม้เมตตามาปลอบฝันในวันฝน
ให้หอมพรมกับฝนพรำในวันนี้
ดวงดอกน้ำค้างกรุณาจากนางฟ้าผู้ใจดี
คือสายธารนทีหยาดจากสรวงสู่ปวงดิน
โลกมายาสมมุติคือว่างเปล่า
เขาฤาเราไยต้องระทมถวิล
หายใจเข้ายิ้มกับโลกปลอบชีวิน
หายใจออกยังมิสิ้นรับชื่นดอกไม้บาน
นั่นภูผาทายท้ารอผู้กล้า
ได้ฟันฝ่าสู้อุปสรรคพบวันหวาน
นั่นหมอกเหมยโลมไล้นิรันดร์กาล
นั่นสายธารอมฤตธรรมคอยพรำพรม
รักผองเพื่อนมนุษย์พิสุทธิ์สร้อย
ดั่งมาลัยดอกรักร้อยให้หอมห่ม
สอดประสานหว่านเอื้อโอบลดโลกย์ตรม
ท่ามระทมปลูกรักแทรกกลางเนื้อใจ...
.................
วิมานลอย says:
เคยเห็นพวงมาลัยดอกไม้สดมั้ยคะ
จะมีการเรียงดอกรักแทรกไประหว่างชั้น
ให้พวงพราวดูงามระยับจับตาจับใจเลยค่ะ
วิมานลอย says:
นั่นแหละดั่งเราปลูกรักแทรกแหวกหวานหว่านลงบนเนื้อใจ
มีเพียงหยาดน้ำค้างใสพรหมวิหาร4
วิมานลอย says:
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
วิมานลอย says:
รักไม่ว่าชีวิตเขาจะแย่สักขนาดไหน
วิมานลอย says:
รักเพราะอยากโอบรักให้อภัยเข้าใจเมตตากรุณา
วิมานลอย says:
รักไม่ว่าเขาจะพิการ
วิมานลอย says:
ฤาว่าจะทำสิ่งผิดพลาดสักปานไหน
วิมานลอย says:
รักเพราะเห็นเข้าไปในชีวิตคนคนหนึ่งมากกว่านั้น
วิมานลอย says:
รักแบบแบ่งปันและรักแบบไม่มีเงื่อนไขคาดหวัง
และ..นั่นคือรักรักรัก....ค่ะ..!
............................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song14.html
คนเดียวในดวงใจ
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันไม่เคยคิด รู้ แต่บัดนี้ เธอมาสถิตย์
มาอยู่ใกล้ชิด ในดวงใจฉัน
เธอมาจากไหน จากดินผืนใด
หรือจากสวรรค์ ฉันก็จะรัก
รักเธอเท่ากัน ไม่เคยจะหวั่นแม้คำนินทา
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบ อุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอ มาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม
คนเดียวเท่านั้น ในชีวิต
คนเดียวสนิท แนบอุรา
คนเดียวที่ฉัน บูชา
ยอดปรารถนา คนเดียวในโลก
เธอมาจากไหน เธอจะเป็นใคร
ฉันถือเป็นโชค แม้รักเธอแล้ว
ฉันต้องเศร้าโศก เป็นคนโชคร้าย
ในโลกก็ยอม...
วสันต์สอน!
ฟ้ายามเช้า..แจ่มสวย..
หลังฝนพรำพรำทั้งคืนเมื่อคืนนี้
เพื่อนสีเขียวของไพลรายรอบบ้าน
ระบัดใบเริงร่ารับหยาดฝน
ใบเขียวจึงดูสล้าง สดชื่น สวยใสกว่าทุกวัน..
ไพลมองผ่านกระจกใสแจ๋ว
ที่ถูกสายฝนชะล้างเมื่อคืนนี้
แล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี..
ที่เห็นดวงดอกไม้นานาพันธุ์ของไพลนั้น
กำลังบานชูช่อ ล้อสายลมสะอาดหอม
กับสายลมยามเช้าที่พัดไหวระริน..
กุหลาบดอกตูมตั้งเผยอแย้มหวานบานอีกคราแล้ว
หางนกยูงฝรั่งก็ออกดอกแดงพรืดเต็มต้น
ไหนจะพุดเวียตนามที่บานพราวจนเก็บไม่หวาดไม่ไหว
ไพล..ดีใจที่วันนี้ไพลมีดวงดอกไม้หลากสี
ประดับโต๊ะเขียนหนังสือ ให้หอมจรุงไปทั้งวัน
จนถึงยามค่ำถึงดึกดื่น..
ที่ที่ไพลจะนั่งอ่านหนังสือหรือเขียนหนังสืออยู่ตรงนี้
ที่เป็นมุมสงบสุข แสนดี อย่างเหลือเกิน..
แต่พอยามเย็นมาเยือน..
พลันฟ้าที่แจ่มสวยนั้นก็พลันหม่นมัวราวใจคน
ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะสลับกันสุขทุกข์
เป็นสัจจธรรมเฉกเช่นเดียวกันกับธรรมชาติงาม
ที่หมุนวนหมุนเวียนเปลี่ยนผันมาเยือนมาสอนใจ...
ฟ้าสวยกลับเศร้าเทาทึมราวร้าวรานจนอยากร้องไห้
ยามแหงนเงยมอง..ไปรายรอบทุกทิศทาง..
ลมพายุพัดแรง น่ากลัว
จำปี ที่เชยชิดถึงชายคา สลัดใบร่วงกราวปลิวว่อนไปตาม
กระแสลมแรงที่พัดกระโชกกระชั้น..
ร่มสีเหลืองคันใหญ่ ที่กางไว้ใต้ต้นก็พลันราวจะปลิวไปตามแรงลม..
ไพล..ใส่เสื้อฝนสีฟ้า รีบพาร่างออกไปนอกชายคา
ไปดูแลอ่างปลา..และ
เร่งมือกวาดใบจำปี มิให้พัดไปไกล กลัวว่าจะไปอุดท่อระบายน้ำ
นี่คือความรับผิดชอบของคนรักต้นไม้ ที่ต้องขยันหมั่นเก็บกวาด
มิใช่แค่..ปลูกหวังเชยชมเพียงอย่างเดียว..
แต่ต้องเอาใจใส่ดูแลต่อส่วนรวมมิให้ไปตกตามถนนและหน้าบ้านใคร..
กล้วยกออวบงาม ที่สูงใหญ่แทงใบโชว์ความเขียวอ่อนสวยใส
แทบถึงชั้นสองริมหน้าต่างห้องนอน..
บัดนี้ออกเครือมากมีหวีงามห้อยต่องแต่ง
หวาดเสียวว่าจะหักราญลงมา จนต้องไปหาเชือกมาผูกไว้
ในท่ามกลาง สายฝนกระหน่ำหนัก ที่พรมพร่างฝอยฝน
ราวธรรมชาติประทานฝันให้หัวใจไพลพลันสะอ้าน...
หวานไปกับฝนแรกแทรกบทเรียนสอนใจนี้ที่เวียนวน
ให้ผู้คนบนผืนโลกยอมรับโศกสุขราวฤดูกาลที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป..
ตราบใดที่หัวใจยังไม่ว่าง..วาง
เพื่อหนีห่างหนี้กรรม..หนี้รักนี้ ที่คู่โลก คู่คน วนย้อนรอยมิรู้จบ.....
.................................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2247.html
ดอกไม้ให้คุณ
แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์
ขอมอบ ดอกไม้ ในสวน
นี้เพื่อมวล ประชา
จะอยู่ แห่งไหน จะใกล้ จะไกล จนสุดขอบฟ้า
ขอมอบ ความหวัง ดั่งดอกไม้ ผลิ
สด ไสว งาม ตา
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ มา
ดวงตะวัน ทอ แสง
มิถอยแรง อัปรา
เป็น เปลวไฟที่ไหม้ นาน
เป็น สายธารที่ชุ่ม ป่า เป็น แผ่นฟ้า ทาน ทน
ดวงตะวัน ทอแสง
มิถอย แรง อัปรา
เป็น เปลวไฟที่ไหม้ นาน
เป็น สายธารที่ชุ่ม ป่า เป็น แผ่นฟ้า ทาน ทน
ขอมอบ ดอกไม้ ในสวน
ให้หอมอบอวล สู่ ชน
จงสบ สิ่ง หวัง ให้สม ตั้งใจ
ให้คลาย หมอง หม่น
ก้าว ต่อไป ตราบชีวิต สุด
ดุจ กระแส ชล
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ...
18 มกราคม 2550 11:51 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html
รังรักในจินตนาการ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html
วิมานดิน
คือเส้นทางสายรุ้งแห่งความสุข
คือวิมานรุกขเทวาขวัญป่าเขา
คือร่มรื่นท่ามแมกไม้ในลำเนา
ในเงื้อมเงา*มนตราทวารวดี*
มาสถิตทายทักให้พักใจ
กับเรือนไทยเรียบง่ายงามเงียบนี้
ทะเลหมอกหยอกไศลฝากชีวี
มหัศจรรย์ฝันวันแสนดีริมสายธาร
พะยอมไพรรายรอบหอมอวลกลิ่น
มาประทิ่นประทับหวานแสนหวาน
ใช้ชีวีเหนือโลกย์ทิ้งโศกราน
กับสายธารนิรันดร์ขวัญหอมทรวง
รับอรุณอุ่นไออาบแสงทอง
วิหคไพรพร้องร้องระงมราวฝันสรวง
เด็ดดอกไม้ริมชายสวนหอมอบอวล
แล้วก็ชวนเกี่ยวก้อยกันไปวัด
กราบพระพุทธปฏิมาในโบสถ์คร่ำ
แล้วน้อมนำวัฏฏปฏิบัติ
ศีลสมาธิปัญญาสว่างชัด
สงบสงัดท่ามวิมานหล้าทวารวดี
วางมาลัยริมหมอนก่อนหลับฝัน
แสนเงียบงันงดงามหนึ่งชีพนี้
คือสวรรค์ฝันให้ถึงนะคนดี
มนตราทวารวดีพาเพียรพลีพบทางธรรม..นำนิพพาน....!
ณ..ที่แห่งหนึ่งในแผ่นดินไท ผืนดินทอง
ที่ยังคงมีเส้นทางสายงดงามผ่องพราว
ด้วยข้าวกล้าสุกปลั่งมลังเมลือง
ราวถูกอาบฉาบไล้ด้วยทองทาบทา
ที่ยังมีบึงบัว เคียงคันนา
มีวัวควายเลาะเล็มหญ้า
มีวิถีที่ฟ้าเมตตาประทานดั่งหยาดน้ำค้างเพชรร่วง
จากสรวงใส
และ....หยาดมาจาก
น้ำพระราชหฤทัยแห่งพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย
ตั้งแต่คราวที่เสด็จแปรพระราชฐาน
ที่พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
และ..
เสด็จที่เขื่อนแก่งกระจาน
จึงได้รับสั่งให้นายถนอม เปรมรัศมี
อธิบดีกรมป่าไม้ เข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2522
ได้มีกระแสพระราชดำรัสว่า
เรื่องป่าต้นน้ำ ลำธารของแม่น้ำเพชรบุรี
ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลรักษา
อย่าให้มีการลักลอบตัดไม้ ถางป่า
ทำไร่ในป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี
เพราะจะทำให้เกิดความแห้งแล้ง
แม้จะได้มีการให้สัมปทานป่าแปลงนี้ไปบ้างแล้ว
ก็ขอให้ เจ้าหน้าที่ตรวจดูแลการทำไม้
อย่าให้เป็นการทำลายป่าเกิดขึ้น
จากพระราชดำรัสดังกล่าว
ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2522
ที่ให้รักษาป่าไว้โดยการประกาศ
ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ *
และ....
นั่นคือที่มาแห่งทะเลสาบสีเงินแสนงามยิ่งใหญ่
นามแก่งกระจาน ที่เป็นทะเลสาบน้ำจืด
ที่แสนงามที่สุดในแผ่นดินไทยแผ่นดินอารยธรรม
ที่ยังคงมีเส้นทางงามล้ำดิบเดิมให้ดื่มด่ำ
ด้วยดงตาลหวานระยับ
ราวย้อนรอยถอยกลับ
*ไปสู่แดนดินแห่งอดีตนามทวารวดีฤาสุโขทัย* ในวันนี้
ที่ยังเต็มไปด้วยภูเขาสลับซับซ้อน
สภาพป่าสมบูรณ์ มีทิวทัศน์สวยงาม
ประกอบด้วยน้ำตก ถ้ำ หน้าผา ทะเลสาบ
พันธุ์ไม้มีค่านานาชนิด
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าต่างๆ
เช่น เลียงผา วัวแดง กระทิง นก ปลาต่างๆ
และช้างป่า ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง
เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ
เพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ
และศึกษาความรู้ด้านต่างๆ
ทั้งเป็นการรักษาสภาพป่า
ให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติถาวรสืบไป
ดังพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ...
และ...
กับวันนี้
ที่ผืนดินทองแห่งแผ่นดินไทยถูกพลิกฟื้นพัฒนา
ให้เป็น
*ดั่งอาณาจักรมนตราทวารวดีรีสอร์ทแอนด์สปา*
ที่..
เปรียบประดุจดั่งแดนวิมานขวัญสวรรค์หล้า
วิมานไพรธารา
ปาฏิหารย์จากเทพไท้เทวา
ให้มี..
มหัศจรรย์ฝันอันแสนงามงดยิ่งใหญ่
บนพื้นปฐพีไทพสุธาทอง..นี้..
ที่..
กำลังรอพลีพร้อมเพื่อเป็นจริง...!!!!!
...............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html
วิมานดิน
ฝากรักเอาไว้ ฝากไปในแสงดวงดาว
ที่ส่องประกายวับวาว วาว อยู่บนฟากฟ้า
ให้แสงสุกใส ได้เป็นเสมือนดวงตา
คอยส่องมองเธอด้วยแวว ตา แห่งความภักดี
เก็บฟ้ามาสาน ถักทอด้วยรักละมุน
คอยห่มให้เธอได้อบ อุ่น ก่อนนอนคืนนี้
ให้เสียงใบไม้ ขับกล่อมเป็นเสียงดนตรี
คอยกล่อมให้เธอฝันดี ดี ให้เธอเคลิ้มไป
เป็น วิมานอยู่บนดิน
ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล
เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย
เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร
มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล
ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน
ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน
ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี
เป็น วิมานอยู่บนดิน
ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล
เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย
เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร
มาคล้องใจเราไว้รวมกัน
ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล
ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน
ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน
ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี
ให้เธอได้อบ อุ่น และนอนฝันดี
ให้เธอได้อบ อุ่นอยู่ใน วิมาน...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html
รังรักในจินตนาการ
พี่ฝันจะสร้าง รังรัก สักหนึ่งหลัง
ณ ริมฝั่ง เจ้าพระยา อยู่อาศัย
แม้ฝันของพี่ ไม่เกิดมี อันเป็นไป
สองชีวี เราคงได้ ร่วมเสน่หา
รังรักในจินตนาการ
วิ มาน รักอันบรรเจิดจ้า
ริม หน้าต่างปลูกซุ้มลัดดา
ห้องนอนสีฟ้า ติดม่านชมพู
ความ รัก เป็นมนต์ดลใจ
ฝัน ไป พลังใจ ต่อสู้
คอย พี่หน่อยเถิดนะโฉมตรู
มินาน จะรู้ รังรักอยู่แห่งใด
รังรักริมฝั่งน้ำเจ้าพระยา
สุขตราฝังตรึงซึ้งอยู่ในใจ
แม้ความฝันพี่เป็นจริงได้
พี่จะให้ชื่อว่า รังรักอนุสรณ์
ความ ฝันเป็นจริงวันใด
หัวใจพี่จะบินว่อน คอย พี่ก่อนไม่ช้าบังอร
แม้ใจไม่ร้อน แน่นอนเราได้สุขสันต์...
เพชรบุรีศรีไทย..
บุรีเอยบุรีรมย์ เรือง โฉมเอยโฉมเมือง
งามประเทืองเรืองฝัน
พริ้งพราวราวพรหมภินันท์
เพชรบุรีรัมย ์ลอยฟ้ามาสู่ ดิน
พร่างเพชรพลอยแพร้ว
สมแล้วเมืองปราณวิมานถิ่นถวิล
เลิศบุรินทร์ เลื่องลือระบิลสินไพร
เพชรเอ ยเพชรบุรีศรีไทย
แผ่นดินแดนใจของผองไทยทั่วกัน
บุรีเอ๋ยบุรีโอฬารรักเคยสําราญ
แก่งกระจานธารใส
วิมานสถานชั้นใด
เพชรบุรีให้ เราไว้ในอุรา
พร่ างเพชรพลอยแพร้ว
สมแล้วเมืองปราณตาลนํ้าตาลหวานซ่านดินฟ้า
ใครได้ มา จากไปโศกาซมซาน
เพชรเอ๋ยเพชรบุรีศรีไทย
แผ่นดินแดนใจของผองไทยทั่วกัน
บุรีเอ๋ยบุรีรมย์ ราย พระเคยเยื้องกราย
เดินหาดทรายสนาน
เขาหลวงเป็นสรวงสําราญ
เขาวังเป็นบ้านสถานสถิตองค์
พร่ างเพชรพร้อมพริ้ม แย้มยิ้มยวนใจ
ทักทายขวัญให้ โลมหลง
ลืมไม่ ลง ไม่ ตายแล้วคงพบกัน
เพชรเอ ยเพชรบุรีศรีไทย แผ่นดินแดนใจของผองไทยทั่วกัน
13 มกราคม 2550 21:52 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html
ปลายฟ้า
จุดตะเกียงเขียนกลอนเศร้าแกล้มความโศก
ดูเหมือนโลกไร้ธารจันทร์เคยฝันเพ้อ
กี่ทิวาราตรีที่เหน็บหนาวเฝ้าละเมอ
คิดถึงเธอยอดดวงใจพรากไกลตา
วิบวับวาวแสงตะเกียงริบริบหรี่
กับน้ำตาใครคนนี้ที่ห่วงหา
ฟ้าจรดทรายไร้ดาวไหมเล่าเจ้าดวงชีวา
จะเหว่ว้าสักเพียงไหนไม่ตอบคำ
ฝากจูบหอมพร้อมมาลัยจากใจรัก
ไม่นานนักคืนเรือนพร้อมกลิ่นร่ำ
ดวงดอกไม้คลี่ร่ายมนต์เริงระบำ
ฝากทรงจำแสนงามงดหมดจดใจ
ดอกราตรีกอเศร้าสิ้นกลิ่นโศก
กำนัลโลกคนรอขวัญวันหวามไหว
ได้ซบหน้าในอ้อมตักพักดวงใจ
สนิทในนิทราค่าเกินรอ ค่าเกินพอ....!
..........................
ฟ้าคืนนี้ดูหมองหม่นราวกับรับรู้เรื่องราวราน
ดอกไม้หุบกลีบมิคลี่บาน
รับละออละอองหยาดน้ำค้างดั่งเฉกเช่นเคย
ดวงเดินดายเดียว
ไปเก็บดวงดอกพุดซ้อนมาวางไว้เคลียหมอน
รอ..นอนดอมให้หลับฝันดี
ราตรี..ยังอีกยาวไกล
ดวงใจ...ที่ดวงรอ..ต่างอยู่คนละทิศละทาง
ช่างแสนอ้างว้าง ราวโลกนี้ไร้สิ้นยุติธรรม
หาก..ทว่า..ตราบใด...
ที่..
ดวงยังมีลมหายใจแลสายธารรักนิรันดร์ยังระรินไหล
ทุกข์ ทุกความหวั่นไหว
ดวงรู้ดับรำงับได้เสมอมา
ดวง..แค่วาง ทุกทุกข์มายา สิ้นไร้ปรารถนาใด
มีเพียงใจดวงใสดวงเกษม
ที่..ยังคงเอมอิ่มอุ่นอวล
ด้วย..เรื่องราวมากมาย
ล้วนแล้วแต่ปาฎิหารย์รักมหัศจรรย์รอที่แสนดี
ที่ดวงนี้เลือกจารจดจำ
ทุกพลังความหวังยังคงรอท่า....
ให้เราพร้อมพลีเคียงข้างฝ่าฟัน..
อย่าง....*ผู้ถึงพร้อม..อย่างผู้รู้สึกตัว*....!!!!
................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6370.html
ปลายฟ้า
ปลายฟ้าปลายฟ้า
แค่หลับตาลง คงพบกัน
โอบกอดดวงใจ สายสัมพันธ์
ท่ามกลางความฝัน ของเรา
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
คิดถึงเพียงเธอ
ในใจฉัน คิดถึง เพียงเธอ
ไม่มีคำใด จะแทน จิตใจ
มากมาย เท่าคำ นี้เลย
ดาวน้อยดาวน้อย
โปรดลอยมาลง ตรงหัวใจ
เก็บเกี่ยวความคิด ถึงฉันไป
ให้เธอที่ปลายฟ้าไกล
ปลายฟ้า...
13 มกราคม 2550 16:03 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2865.html
หัตถาครองพิภพ
คำขวัญวันเด็ก
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
ดอกเอ๋ยดอกน้ำค้าง
มาหล่นพร่างหอมพรมดับสิ้นหวัง
มาจรรโลงโลกแล้งไร้สามัคคีพลัง
มิหยุดยั้งก้าวต่อไปในทางดี...
คือดอกเยาว์ผลิช่อกลางกอธรรม
งามเลิศล้ำสูงส่งเกียรติ์ศักดิ์ศรี
ใต้ร่มรัตน์ฉัตรเพชรไทธานี
รู้พอดี*ตามรอยเท้าพ่อ*มิท้อใจ
รู้กตเวทิตาต่อแผ่นดิน
รู้ถวิลรักษ์วิถีทุ่งทฤษฎีใหม่
รู้คุณค่าคำว่าวัฒนธรรมประเพณีไทย
รู้รักษาจิตใสใจดวงงามนิยามคน
หนีอบายตายทั้งเป็นเว้นยาเสพติด
มิหลงผิดหลงเขลาเหงาสับสน
กี่ฝนหนาวเศร้าสุขเฝ้าฝึกตน
เดินไปบนเส้นทางธรรมน้อมนำใจ
แล้ว..
ดอกเอ๋ยดอกเกษม
จะอิ่มเอมหอมอวลในสวนไสว
คือพลังงามงดหมดจดใจ
คือเด็กไทยในวันนี้ชาติภาคภูมิ...!!!!!
....................
ด้วยรักนี้ที่แม่ให้
เราเกิดมา.........มีชีวิตเพื่อกันและกัน
สายเลือดอันอบอุ่น...........สายน้ำนมอันยิ่งใหญ่
เป็นสายใจ ถักทอด้วยใยรัก และผูกพัน
รวมเป็น....เส้นทางใจ....ไหลรวม .....เป็นเส้นทางชีวิต
ที่จิตวิญญาณมิอาจจะพรากจากกันได้
แม่ เปรียบเสมือนลมหายใจของธรรมชาติ
ที่ก่อให้เกิดชีวิตอันยิ่งใหญ่....ของมวลมนุษยชาติ
สำหรับฉัน เรียนรู้ ที่จะรักโลก .....และ....ทุกสรรพสิ่ง
ฟ้ากว้าง...ภูเขา...ท้องทะเล...แมกไม้......สายน้ำ...
ด้วยใจดวงพิเศษพิสุทธิ์.................
ที่แม่หล่อหลอมให้ฉันมี.....ให้ฉันเป็น...
และให้ฉันเห็นทุกสิ่งจาก.......
ตาภายใน.คู่พิเศษ ที่ไม่จำเป็นต้องงามงด
แต่หมดจดเพื่อเก็บรายละเอียดของความงามบริสุทธิ์
ที่รายล้อมรอบตัวเรา.......
ด้วยมิติที่ล้ำลึก.............
เห็นชีวิต จิตวิญญาณของผู้คน โดยการให้ความรัก ......
ความเข้าใจ..ให้อภัย ให้ความเมตตา และแน่นอน
ให้กำลังใจสำหรับผู้ยากไร้มากมายที่ไร้หวัง.......................
โลกของชีวิตฉันจึงเงียบ สงบงาม กว้างใหญ่
มากล้นด้วยน้ำใจ ที่พร้อมจะเป็น....ผู้ให้..........
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
ในโลกอันสับสนวุ่นวายของการแสวงหาใบนี้..............
แม่ของฉันคือธารน้ำใสไหลเย็น ที่ชุ่มฉ่ำ
พร้อมจะรินรดหยดลงบนใจทุกดวงที่ได้ชิดใกล้..........
ถ้าฉันจะเปรียบแม่เป็น ...ดอกไม้งาม......
.แม่ของฉันคือ....ดอกพุด เป็นพันธุ์ไม้ไทย ที่มีกลิ่นหอมละมุน
ดอกสวยสะอาดตา ดูบอบบาง แต่อ่อนหวาน และอ่อนโยน..........
ในขณะเดียวกันเธอเปรียบประดุจ....พุทธะ..ประจำใจของฉัน
เธอคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ที่บานไสวอยู่ในใจของฉันเพื่อนำทางชีวิตให้สว่างไสว ตลอดมา ...
.และ....ตลอดไป
ฉันขอสดุดี ผู้หญิงที่เป็นแม่ทุกคนในโลกนี้
ที่ได้สอนให้ลูกได้เรียนรู้จากการกระทำที่เสียสละ
ดูแลลูกด้วยความอดทน ด้วยความรัก ด้วยความเข้าใจ
ด้วยดวงใจที่ไม่เคยหวังสิ่งใดใดตอบแทน.......
เพียงเพื่อขอให้ลูกทุกคนได้เติบโตอย่างแข็งแรง
ทั้งร่างกายและจิตใจที่มีคุณค่า.......
เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ ครอบครัว
แก่สังคม และเพื่อจรรโลงโลกใบนี้ให้มีแต่ความดีงาม
ความสงบสุข ตราบนานเท่านาน......
ใครหนอ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวี
ใคร หนอ ปราณี ไม่มีเสื่อมคลาย
ใคร หนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย
รักเขาไม่หน่าย มิคิดทำลาย ใคร หนา
ใคร หนอ เห็นเรา เศร้าทรวงใน
ใคร หนอ เอาใจปลอบเราเรื่อยมา
ใคร หนอ รักเราดังดวงแก้วตา
รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ
จะเอาโลก มาทำปากกา
แล้วเอานภา มาแทน กระดาษ
เอาน้ำหมด มหาสมุทรแทนหมึกวาด
ประกาศ พระคุณไม่พอ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน เท่าชีวัน
ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอคุณพ่อ คุณแม่
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ
รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ
ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน เท่าชีวัน
ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอคุณพ่อ คุณแม่
ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ
รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song2865.html
คือหัตถาครองพิภพ
สองมือที่ดูนิ่มนวลอ่อนโยน
สองมือที่ดูช่างบอบบางอย่างนั้น
สองมือที่ดูไม่มีความสำคัญ
คือสองมือที่ทำ ให้โลกหมุนไป
แม้เพียงร่างกายนั้นเกิดเป็นหญิง
แท้จริงหัวใจนั้นแกร่งยิ่งกว่าชาย
ขอเพียงให้เป็นได้ดังที่ตั้งใจ
จะทุกข์ทนเดียวดายไม่มีความสำคัญ
บันดาลโลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ
นำพาให้เป็นไปตามต้องการ
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร
ไปด้วยมือเธอเสกสรร
ดังถ้อยคำประพันธ์
เปรียบเปรยพรรณนา
ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
อันมือไกวเปลไซร้ แต่ไรมา
คือหัตถาครองพิภพจบสากล
บันดาล
โลกหมุนเวียนวนไปตามจิตใจ
นำพาให้เป็นไปตามต้องการ
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร
ไปด้วยมือเธอเสกสรร
ดังถ้อยคำประพันธ์
เปรียบเปรยพรรณนา
ถึงชายได้กวัดแกว่งแผลงจากอาสน์
ซึ่งอำนาจกำแหงแรงยิ่งกว่า
อันมือไกวเปลไซร้ แต่ไรมา
คือหัตถาครองพิภพจบสากล...
ดอกเยาว์
หากเปรียบชีวิตนี้ดังดอกไม้
ก็คลับคล้าย คลับคลา ดวงดอกฝัน
ดอกเยาว์วัย หวานแฉล้ม ต้นวัยวัน
บริสุทธิ์สั้น แสนดี วันวัยเยาว์
แล้วดอกโศก เริ่มแย้มบาน เมื่อรู้รัก
ซึ้งประจักษ์ เล่ห์กลกาม จนใจเขลา
ดอกเสน่หา ผุดงอกงาม แทนดอกเยาว์
เมื่อสองเรา แลกรสรัก รู้รสกัน
ดอกราโรย เริ่มบาน ไร้รักแท้
ผ่านเกมแก้ เกมกาม จนเลิกฝัน
ดอกความจริง ผุดสอนใจ ทุกคืนวัน
ดอกสวรรค์ ลอยลาลับ ลงลานดิน
ดอกดวงใจ แม่พ่อ เพาะบานใหม่
วนเวียนไป เป็นดอกเยาว์ มิรู้สิ้น
ดอกโศกบาน ดอกรักร่วง พราวสู่ดิน
บานมิสิ้น ดวงดอกไม้ ชดใช้กรรม!
................
9 มกราคม 2550 10:35 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
เธอคนเดียว
พุดพัดชา
ขอน้อมดวงใจแทนผองชนคนไทยทั้งแผ่นดิน
หยาดพลีบทกวีจากดวงใจแสนรักแสนโศกซึ้งอาวรณ์ถวิล
คารวะ...
แด่..
ดวงวิญญาณอันแสนงดงามพร่างพราว
ราว..*อัญมณีเพชรรุ้ง*
ของ..คุณครู จูหลิง มาณ..ที่นี้นะคะ
ด้วยรักศรัทธาอย่างล้นใจ...ค่ะ
และ...นาทีนี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในผืนแผ่นดินไท ไทยนี้
รวมสิ้นทั้งฟ้าดินอินทร์พรหม..
คง..ทอดทางทองทางธรรม
นำพา.
ดวงจิตอันแสนใสว่างกระจ่างสว่างไสว
ของคุณครูไปสถิตสู่แดนขวัญสวรรค์นิรพาน
อย่าง..
หมดสิ้นห่วงใยใดใดแล้วนะคะ..
ด้วยซึ้งโศกสะเทือนใจ....
พุดพัดชา..สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
แล้ว..
ยอดดวงหฤทัยก็กลับมายามฟ้าสาง
หยาดน้ำค้าง ระรินในอุษา
ดอกไม้ไหวรายรอบเรือนมลิลา
ดอกจำปาหอมหอมโมกค้อมดวง
สายน้ำผึ้งริมชานบานรับขวัญ
กระแจะจันทร์เจิมจิตด้วยห่วงหวง
กอราตรีพ้อหวานเศร้าจันทร์ลอยดวง
หยาดน้ำผึ้งรวงพร่างพรมห่มเรือนใจ
แสงเทียนทอทอดจับรับเสี้ยวหน้า
อิ่มปรารถนาในอ้อมตักเงาวูบไหว
ไล้รอยจูบแผ่วเบาจากดวงใจ
วันพรากไกลสิ้นแล้วเจ้าแก้วตา
หลับสบายวางใจในอ้อมภักดิ์
นะที่รักกับเดือนดาวสิ้นเหว่ว้า
ดุเหว่าร้องพร้องเสียงโกกิลา
ตราบจนกว่าอรุณรุ่งจักมาเยือน....!!!!
....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3176.html
เธอคนเดียว
ฮืมดาวทั้งฟ้า
ริบหรี่และมืดลงไป
และเธอรู้ไหมหัวใจฉันมันจะขาด
เมื่อเธอและฉัน
ต้องจากต้องพรากกันไป
ต้องทรมาน ต้องห่างกันไกล
จากวันนี้จนสิ้นใจ
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเวลา
หากวันนี้ยังพอมีหวัง
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว
เธอรู้ไหม
ฉันอยากให้ย้อนเวลา
ให้เดินช้าช้า
ให้อยู่ด้วยกันนานนาน
อยากมีเวลา ทำสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว
ไม่มีอะไรที่ทรมาน
เท่ากับการจากพรากกัน
จะให้ฉันทำใจยังไง
จะให้ฉันทนได้ยังไง
ขาดเธอไปซักคน ก็ไม่มีไม่เหลือใคร
หากวันนี้ยังมีเธออยู่
และไม่สายไปสำหรับฉัน
ฉันจะทำทำทุกอย่างเพื่อเธอ
เพื่อเธอคนเดียว ฮืม...
.....................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
(คู่ทาษ)
...................
คืนนี้....
ไร้จันทร์เพ็ญเด่นดวง...ในท่ามกลางฟ้ามืด
แม้นจะเป็นคืนข้างขึ้นสิบห้าค่ำก็ตามที
ฝนหลงฤดูยังคงรินร่ำร่ายมนตราลีลาวสันต์
มิสร่างซามิขาดสาย
ราวนางฟ้ากำลังร่ำไห้ครางครวญ
กับนวลเมฆเทาทึมทอดทาบไปทั่วทิศทาง
ทั้งราวไพรราวเมือง
สไบนวล...
นอนนิ่งนิ่งในเตียงโบราณ
แสงเทียนในโคมแก้วพร่างระยิบ...
ระบัดไปตามแรงลม
ลีลาวดี ไหวดวงดอกระทมพวงพราว
เฝ้าออดอ้อนหยอกล้อพ้อสายฝนริมหน้าต่าง
ให้อวลระคนหวานเศร้า
มาสัมผัสพร่างมาให้หอมกับร่างงามในท่ามสายลมยามค่ำ
ม่านลูกไม้ รายรอบเตียงพลิกพลิ้ว
เผยให้เห็นร่างอรชร
นอนเหน็บหนาว...
ราวหัวใจจะปลิดปลิวลิ่วลอย..
สายฝนยังคงพร่างไอเย็นพราว
ราวมาลูบไล้ร่างซูบซีดบอบบางนั้นให้ชื่นฉ่ำอ่อนโยน
เงาในกระจกโค้งมน..ตรงข้าม
สะท้อนร่างราน
ที่นอนนิ่งขวางกลางเตียงเพียงลำพัง
ผมดกดำล้อมรอบกรอบเสี้ยวเรียวหน้ารูปไข่
แผ่สยายราวสายไหมกระจายบนหมอนนุ่มนวลขาวสะอ้อน
วงหน้าซีดเซียว
ถูกไล้ด้วยแสงเทียนทอ...ให้ยิ่งงามละออราวรูปสลัก
หากทว่าวงพักตร์ไยมิแจ่ม
แต้มด้วยคราบน้ำตาซึมซึ้ง
ที่กำลังสะท้อนพราววะวาววับ
จับแสงเทียนที่ทอทอด
ราวหยาดเพชรเม็ดใส
ประดุจหยาดน้ำค้างไพรบนใบบัว
ที่กำลังกลอกลิ้งทิ้งแสงพราย
ขับวงหน้าให้ยิ่งงามแอร่มหวานเศร้ารานร้าวจับใจ
ในภวังค์อันดื่มด่ำ ปิติเกษมล้ำลึก
เสมือนตกอยู่ในเงื้อมเงา
นิทราฝันอันแสนดี...
ฉับพลัน..!!!
มีร่างหนึ่งปรากฎพร่าง
มากับแสงพรายพราวรายรอบ
เขา....
ทรุดตัวลงนั่งริมขอบเตียง
ค่อยๆยกประคองใบหน้านวลละมุนมาวางไว้แนบตัก
ด้วยแสนรักเอยแสนรักในกมลละไมละเมอ
บุรุษผิวสีทองแดง....
มิได้เอ่ยปาก
หากทว่า...ทำไม..!
น้ำตา...สไบนวลไหลพราก..มิขาดสาย
ทันที่เห็น
ราวจิตสัมผัสจิตได้
ที่...ทั้งชีวีชีวิตสไบนวลมิมีวันเลือนลืม
เขา..คนดี..
ประคอง..ไล้ลูบจูบใบหน้า*สไบนวล.*..
อย่างนุ่มนวลอ่อนหวานอ่อนโยน
อย่างรักใคร่
ด้วยจิตวิญญาณรักภักดี
ที่ชายชาตรีพึงพลีสยบยอมมอบให้เพียงสตรีเดียว
มิเหลียวแลใคร
อย่างแสนซาบซึ้งใจ..ในฤดีในปฐพี..นี้..ที่มีค่าคู่ควรรัก..
ใบหน้าคร้ามแดด ดวงตาสีสนิมเหล็ก..รานร้าว
ฝากซึ้งเศร้าหวานโศก
ราวโลกจะลาล่วงดับดวงไปตรงหน้ามินาทีใดก็นาทีหนึ่ง
มี..แววออดอ้อนอาวรณ์อาลัยในน้ำเสียงนวลนุ่มทุ้มซึ้ง..
สไบ..ได้ยินเสียงเขา..
ราวเพ้อพร่ำคะนึง
กระซิบอยู่ริมหู..เรียวแก้ม
อย่างหนักแน่นอบอุ่นที่สุด
ราวอยากหยุดโลกให้เลิกวิโยคครวญตาม
ให้รู้หักห้ามใจ
*ไหนเจ้า เคยให้คำมั่นสัญญาต่อข้าไว้มิใช่ละหรือไร
เจ้า...สไบนวล...แม่ยอดรัก..
ว่า..
เจ้าจักไม่โศกราน
ให้ม่านน้ำตาพร่างหลั่งรินโหยไห้ ยามข้าสิ้นลมหายใจ*
*เจ้า..เคยสัญญาใจไว้กับข้า..ไว้มิใช่ดอกละหรือไร
ว่า....เจ้า...จักดำรงจิตใสหนักแน่นอดทน
รู้อยู่...อย่างเมียนักรบ..คนกล้าหัวใจแกร่ง..หัวใจไทยังไงล่ะ
แล้วไฉนเจ้า..จำมิได้แล้วล่ะหรือไร
ไยมามัวหมองตรม
ให้วิญญาณทรนงของข้า...ระทมเสียยิ่งกว่าเจ้า..เสียอีกเล่าแม่สไบยอดรัก*
*เจ้า..สัญญากับข้า*
*เจ้าจักไปวัด ทำใจมิไหวครวญมิหวนไห้..มิเหว่ว้า*
เจ้า..จักอยู่อย่างภูมิใจในทุกคราที่คิดถึง
ว่า....
เลือดรักยิ่งชีวิตของข้า
ได้หลั่งกล้า..รินทาฝากไว้จนหยาดหยดสุดท้าย
ฝากไว้ให้อาบหล้า
ไว้ปกปักพื้นพสุธาไทพสุธาทอง
แผ่นดินแม่มาตุภูมิ
ให้เจ้ารู้ภูมิใจในเกียรติศักดิ์รักยิ่งใหญ่ *
ที่....
ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
ก่อนพรายพลัดพรากเจ้านั้น
ข้าเฝ้าฝันเห็นเพียงร่างข้า
ทรุดตัวลงถวายคำสัตย์ปฎิญาณ
สาบานต่อหน้าฟ้าดินวิญญาณบรรพชน
ว่า...
จักถวายจิตถวายชีวิต
พลีภักดิ์เพียงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และ
สำหรับเจ้า
*ยอดดวงใจ*ที่ข้าแสนรักเอยแสนรักในกมลนั้น
เจ้าได้อ้อมแขนแห่งขวัญรักข้าไปครอง
ที่ข้ายินดีพลีปองมอบให้เมียขวัญและแม่
ส่วน
เกียรติศักดิ์รักแท้ของข้านั้นข้าขอมอบไว้แก่ตัว
เจ้าก็รู้..ดี
แล้ว...
ทำไม..!
วันนี้...นาทีนี้...ชั่วเดือนปีในรำลึกสัญญา
*เจ้า...ได้แต่เก็บตัวเก็บร่างในห้องหับ
ไม่ยอมรับรู้โลกและกาลเวลาภายนอก
ให้ใครใครเขากระซิบบอก
ปากต่อปากกันไป..
ว่า..
เจ้า...นั้นคือสาวโบราณกลับชาติมาเกิด
เจ้า..
ราวมารอเพียงฤกษ์คืนเพ็ญมารอข้า
มาทวงสัญญา
ราวรอเวลาในโลกทวิภพ
ไม่รู้จบรู้เลิก
จนร่างเจ้าแสนบอบบางผ่ายผอมราวลมจะพัดปลิว
เจ้า..นวลสไบเอย
ข้ากลับมาเผยจิตเผยใจ
เพราะทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าใช้ชีวิต
ในท่ามกลาง
ความดายเดียวเหว่ว้าอีกต่อไปแล้วนะ
แม่ดวงแก้วดวงขวัญเจ้าจอมใจ
ข้า..จึงจัก
จะมาพบเจ้าในฝัน
ค่ำคืนเพ็ญนี้ครั้งสุดท้าย
และ...
หมายให้เจ้ารำลึกจำคำมั่นสัญญานี้อีกที
ที่ข้า...จะพลีพูดเพียรบอกเป็นครั้งสุดท้าย
นะเจ้าสไบ..นวล*
*เจ้ารู้ไหม
ตั้งแต่นาที
ที่เจ้า...ค้นพบศพข้า
ท่ามกลางควันไฟไหม้โหมเวียงวังและหยาดน้ำตา
และ
เห็นเลือดข้าท่วมไหลนองพื้นปฐพี
มีเพียงสไบชุ่มเลือดเคลียร่างวางไว้แนบอกข้า...
ยามลาไกลเจ้า...!
เจ้า...
ก็เฝ้าได้แต่ซุกซบในอ้อมอกอ้อมใจข้า
หากทว่า
ไยเล่าเจ้าจึงมิร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
น้ำตาเจ้าคงไหลลง
ราวธารเลือดมิเหือดแห้งหาย
หากทว่ามันแสนร้าย
ที่คืนกลับไปฝากไว้ในสี่ห้องหัวใจเจ้าให้ยิ่งแสนโศกราน
ที่คนภายนอกพากันมองผ่านพากันกล่าวขาน
ว่า...
เจ้า..นั้นช่างเกิดมาสมศักดิ์ศรี
เป็นเมียชายชาตรีชายชาติทหารชาตินักรบ
ผู้เข้มแข็ง แกร่งกล้า มิไหวครวญ หวนไห้ราวรู้หน้าที่ดี
หาก..มีเพียง
ข้าและฟ้าดินอินทร์พรหมเท่านั้น
ที่เฝ้ารับรู้ว่าเจ้าแทบทนเทวษมิได้
หากแทบอยากพลีร่างตายตามข้าไป...ในบัดนั้น
หาก..
จะเช่นใดเล่าเจ้าสไบเอย
เจ้า...ก็เคยซึ้งคำข้าฝากไว้มิใช่ดอกละหรือ
*วิญญาณนักรบไท หัวใจทองอย่างข้า*
จะอยู่อย่างอัปราไร้บ้านขาดเมืองได้อย่างไรกันเล่า..!!
..
ข้าถึงยอมตายหมายแลกอิสรา
และ
มาตรแม้นโชคร้าย
ข้า..
ก็ยังดียังได้
หมายฝากความหาญกล้าไว้ในทุกธุลีหล้า..
ให้ลูกหลานไทได้ยลยินได้ภาคภูมิใจ
ยามเทวษถวิลถึง
ให้พวกเขามิเขลาสิ้น
ได้รู้ซึ้งถึงคุณแผ่นดิน
รู้พิทักษ์รู้รักษามรดก
ที่ปกป้องมาด้วยหยาดเลือดหยดน้ำตา
และยอมพลีชีวาชีวิต
ให้สถิตสถาวร
อย่างไม่อาวรณ์อาลัยร่างเลย
ไม่ยอมเฉยให้ไอ้ข้าศึกมันเหยียบย่ำบีฑา
ให้มันซึ้งว่าพวกข้าคนไทย!
มิได้ขลาดกลัวหวาดกลัว !!
สไบเอย..!
หัวใจข้าระทม..ระบมนักที่จำพลัดจำพรากจากเจ้า
หากทุกคราคราว ...
หัวใจข้าพราวด้วยความปิติภาคภูมิ
ที่ได้รักษาเกียรติภูมิแห่งผืนดิน
ไว้ให้เจ้าและลูกหลานไทได้รู้รักถวิลหยัดยืน
นะแม่สไบ...แม่ยอดดวงใจ
ผู้มีหัวใจดวงทองผ่องผุดพิสุทธิ์งาม
ของข้าสุภาพบุรุษชาตินักรบ
และ
*เจ้า...ยังตายไม่ได้
แม้นหัวใจเจ้าจะรานโศกราวโลกกำลังจะแตกดับก็ตามที
เจ้า...คนดีผู้ยอมผ่ายผอมตรอมตรมใจ
เจ้า...มิเจรจาพาทีเล่นหัวกับผู้ใด มาแสนนาน
มีเพียงใจนิ่งงันราวฝันร้ายไหม้โหมห้องใจเสมอมา
ที่ข้ารู้..ดี
ดวงใจเจ้าเย็นเยียบเหน็บหนาวเจ็บร้าวลึก
ให้เจ้านอนซม จนเป็นไข้
*สไบเอ๋ย
ข้า..ทนเห็นเจ้าอยู่อย่างทุกข์ระทมแบบนี้ไม่ได้
เพราะเจ้ายังตายมิได้
ยังไม่ถึงเวลาของเจ้านะแม่สไบนวล...
แม้นเจ้าจะหวนหาข้าสักปานใด
เจ้า..ยังต้องอยู่...
ครองร่างจิตครองชีวิตสร้างกุศลเพื่อข้า
เพราะ
เจ้ารู้ไหมว่า...สวรรค์ไม่มีที่ว่าง
รอรับร่างสุภาพบุรุษอาชาไนยหัวใจชายชาตินักรบอย่างข้า
เพราะ
ทุก*คมดาบของข้าที่ได้บั่นคอศัตรูได้ลิ้มชิมเลือด
ผู้มารานรุกบุกประชิด
หากทว่า
เจ้า...รู้ไหมทุกชีวิตไอ้ศัตรู
ที่มันมาหลั่งเลือดสังเวยคมดาบข้า
มันเองก็คือผู้มีหยาดเลือดบริสุทธิ์ไม่รู้ว่าพ่อลูกผัวใคร
มันเอง
ก็คงมีสำนึกในความจงรักภักดีต่อชาติมัน
ต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของมัน
เช่นเฉกเดียวกันกับข้า
ผู้ยอมเสียวิญญาญ์ทำทุกสิ่งเพื่อผืนดินเช่นกัน
หากเพียง
จิตวิญญาณเรานั้น
ต่างพลีฝาก..*ความฝันอันสูงสุด*คนละฝั่งคนละด้าน
ที่...
เราต่างก็จำต้องมาหลั่งเลือดรดหยดพลีชดใช้กรรม
มาละหลั่งเลือดชะโลมหล้า
เพื่อปกปักรักษาแผ่นดินต่างถิ่นต่างที่รัก
*สไบเจ้าเอย...
ข้าจึงยังมิพ้นพงกรรมคำพิพากษาจากฟ้าดิน
ทางช้างเผือก
ที่จะรอทอดรับร่างข้าสู่สรวงสวรรค์ยังอีกยาวไกล
สไบเอย
จงอย่านิ่งเฉยนะแม่นวลสไบ*
*เจ้าจงฟังให้ดีดี
น้ำตาอุ่นๆ
ที่ข้าพลีรดบนอกใจเจ้านี้
คือคำร้องขอจาก
*ลูกผู้ชาย..คู่ทาษคู่พิสวาทพลี*
ที่จงรักภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าหญิงใดในปฐพีนี้
รอเวลา...
ให้เจ้าคนดีได้พลีเพียรสร้างกุศลทานบารมี
ภาวนารักษาศีลให้บริสุทธิ์
ให้จิตวิญญาณข้าได้หลุดพ้น
ได้พบพานเจ้า
*ดั่งที่สองเราได้เฝ้าอธิษฐานฝากคำมั่นสัญญา
ที่ทั้งฟ้าดินอินทร์พรหมสิ้นยมโลกต่างรับรู้
รอเอาใจช่วยเราสอง
ให้ได้ครองรักมั่นตราบชั่วนิจนิรันดร
เจ้า....
จงอย่ามัวแต่อาวรณ์อาดูรพูนเทวษถวิลถึงข้า
*ชายในดวงใจในฝันอยู่เลย*
เจ้าจงพาร่างและจิตใส
ถวายกายใจในร่มธรรม
ให้นวลใจงามล้ำได้ตั้งมั่นสัตยาพิษฐาน
กรานกราบเพียรภาวนา
พาให้จิตวิญญาณข้า
ที่รักรอเจ้า
ได้หลุดพ้นวงวนวิบากกรรม
ให้เราได้พานพบกันในแดนธรรม แดนทอง แดนไทย
แดนพระรัตนตรัย
ให้สว่างไสวเสียทีนะยอดรักเจ้าสไบนวล
หากเราสอง
มีบุญญาบารมีพอ
ขออีกคราครั้ง
เจ้าจงตั้งจิตตั้งใจ
และ
เจ้าจักรำลึกรู้
เมื่อวันหนึ่งเราได้กลับมาพบกัน
เจ้า....
จักจำข้าได้ตามรำลึกสัญญา
นะแม่สไบนวล สไบนาง
ที่มิเคยห่างอกห่างใจข้า
มิว่าชาติไหนภพไหน นะแม่สไบ สไบ ที่ข้าแสนรัก รักเอย....
และ
ก่อนข้าลาไกล ข้าจะจูบซับหยาดน้ำตาพลีรักภักดีบูชาแด่เจ้านะ
ขอเจ้าจงอย่าได้เศร้ารานโศกอีกเลยนะ
แม่ยอดดวงหฤทัยของข้า ....
..............
...........
..........
เสียงแว่วแผ่วหวานละมุน
อบอุ่นหนักแน่นมั่นคงค่อยๆจางหาย.....หาย..หาย...ไป.....
ในขณะที่ร่างสไบหนาวเหน็บราวจับไข้
เสียงสายฝน
ยังร่ำรินราวร้องถวิลกระซิบเตือนอะไรบางสิ่ง
บางอย่างให้สไบนิ่งฟังเสียงในความฝัน
ให้สไบผู้รักดายเดียวเหว่ว้า
ได้ลืมตาอย่างอ่อนล้า
ขึ้นมาอย่างช้าช้าแล้วพลันพาทบทวน*นิมิตฝัน*
อันพลันกระจ่าง
ราวเรื่องจริงกับสิ่งที่เพิ่งผ่านมา
*คำสัญญา คำมั่นสัญญา *
*คำว่าคู่ทาษ *
ที่สไบนวล..
แสนพิศวง...งงงัน..ฝันคว้าง...
ค่าที่มักมาผุดในฝันแสนกระชั้นถี่เข้าถี่ขึ้น
ราวจักเตือนให้ไหวรำลึกนึกรู้รำลึกถึงบางสิ่ง
ที่รอฝันเป็นจริง
ในไม่นานช้า
อย่างที่สไบยากที่จะบอกกล่าวเล่าให้ใครและผู้ใด
ได้รับรู้เรื่องราวราวเรื่องรักปาฎิหารย์นี้
กลิ่นกาย
หอมราวดอกไม้ไทย
ยังระคนในกมลนวลใจสไบ
ที่หัวใจช่างหวิวไหวหวิวหวั่นหนาวเหน็บเหน็บหนาวเสียไม่มี
..............
และ
ด้วย...
ดวงใจสลัวมัวหม่น
ที่อธิบายให้ใครสักคนรับรู้มิได้
นอกจาก...
มีเพียงเสียงเพรียก
ให้พาร่างมาถึงนี่
แดนดินเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
ที่จิตใจยังอาวรณ์อาลัยอย่างยากจะหาใครมารับฟัง
นอกเสียจากให้ซากศิลาทุกก้อนแห่งอดีตหนหลัง
ลั่นทมพราวกิ่งไกวไหวสะท้านสะเทือนได้รับรู้
สไบนวล ...
จึงมานั่งนิ่งพิงต้นลั่นทมอีกครากับฟ้าชิงพลบ
กับงดงามสงบแห่งพระพักตร์พระพุทธ
ที่ผุดสร้างขึ้นมาเพียงเศียรที่วัดมหาธาตุ
อันแสนพิลาสพิไล
มองดูแสนสุขสงบงามใจในทุกครา
ยามเฝ้าจ้องมองดูอย่างเงียบๆ
และ
สไบนวล...
แสนไหวหวั่นดวงใจ
ราวกับมีพลังลี้ลับกับบางสิ่งแฝงฝังรอเวลาแห่งพลังใจ
รอกาลเวลา....
ในท่ามกลางความเหว่ว้า
ใน..
สายแสงสนธยาสีทองอันอ่อนอ่อน
ที่ทอทอดยอดปรางค์ปราาสาทวิหารเก่า
ที่เคยงามอะคร้าวมลังเมลืองมาอย่างรำไรๆ
สไบนวล....
ก็เห็นใครบางคน
ค่อยๆก้าวออกมาจากเบื้องหลัง
พระพักตร์พระพุทธรูปปูนปั้นอย่างช้าช้า
ราวภาพฝัน
ร่างในชุดทหารหาญสีเขียวเข้ม
ขับใบหน้าคร้ามให้ดูขรึมขลังปลั่งสุกราวสีทองแดง
แสงเงาเน้นให้ร่างนั้นดูทรนงคงมั่นบึกบึน
หาก
ทำไมเล่า
ยามที่สไบนวลสบตาถึงกับสะดุ้ง
เขา...
คือคนคนเดียวคนดีกับที่สไบเคยเห็น
ที่ลานลั่นทมมานานแสนนาน
คนเดียวกับ
ผู้ชายที่ละม้ายแม้นในความฝัน
ที่ขยันมาปรากฎตัวบ่อยๆทุกวันพระ
แม้นกระมั่งยามนี้...ที่สไบแสนสับสน
ที่..
ทำให้หัวอกหัวใจสไบนวล
พลันระรัวด้วยทั้งตื่นเต้นแสนตกใจ..ไม่แน่ใจเอาเสียเลย!!!!
และ
ไม่อยากคิดไกลไปว่า
ว่าเขาคือ*ผู้ชายในฝัน*คนเดียวกันนั่นเอง
*เขา*...ส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนมาทายทัก
และแสนแปลกดีนัก
ที่สไบเห็นแสงน้ำพราวราวเพชรพร่างใส
ราวหยาดรุ้งในเรียวตางาม
สไบ...เพียงตามคิด..*ไย..!ผู้ชายชาติทหาร
ถึงมีนัยน์ตารานโศก
ราวจะหยุดโลก
ให้เหลียวมองด้วยสงสารได้ถึงปานประมาณนี้ด้วยเล่า
........
*เขา....เอง..ก็งง..
ราวหลงในดงฝันสวรรค์รอเช่นเฉกเดียวกัน
ที่...
พลันพามาพบ*ผู้หญิงร่างบอบบาง*
ที่ดูงามสงบอย่างแปลกประหลาดในยามพลบค่ำ
ใน..
สถานที่ราววิมานเมืองวิมานแมนเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
ในเงื้อมเงางามสถิตราวเมืองโบราณให้นิรมิตฝันพร่าง
ไสวกระจ่างราว...
กลับหวนทวนคืนอดีตอันเรืองรุ่ง
ด้วยมโหรีระทึกมาเยือนให้ประทับใจในอีกหนอีกครา
ที่ทำให้เขาจำต้องหลั่งน้ำตาระรินทุกครา
ยาม...ราวได้ยลยินด้วยจิตวิญญาณ
ทันที่ที่ร่างใจ
ได้มาสัมผัสเมืองนี้
ที่มี...
พลังลึกลับดึงดูดให้เขาหวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ราวรอคอยบางสิ่งแสนหวานแสนดี
ที่เขารอพลีพบมาตราบจนชั่วชีวิต
ทั้งๆที่เขาไปมาครบร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาแล้ว
เขา...มองเธออย่างไม่วางตา
เห็นความงามแผกพิศ
ร่างในชุดกางเกงผ้าปักชาวเขาสีเหลืองทอง
กับเสื้อแพรไหมบางเบาสีพยับหมอกไหล่ล้ำ
เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งรวงเนียนละออ
ที่บัดนี้เธอทัดดวงดอกลั่นทมริมแก้มงามสามสี
ขับให้ผิวแก้มระเรื่อด้วยดวงดอกและแดดดวง
ในยามตะวันลาฟ้าโพล้เพล้สีไพลแสนงามพราวราวรุ้งเยือน
เขา...
เห็นเธอใส่สร้อยร้อยเรียงด้วยหินสีสลับอย่างงามแปลก
และ...
เน้นให้วงหน้านั้น
ราวสาวพันธุ์โบราณย้อนยุค
ผุดมานั่งเคียงกับอลังการ
กับงามเงาเหงางามในอดีต
ที่แสนกรีดใจเขาในยามนี้
ยามที่ราวได้ยินเสียงเสภาขับกล่อมมาห้อมห่ม
ให้กมลเขาตกอยู่ในท่ามภวังค์ฝันอัศจรรย์รักเสียเป็นยิ่งนักแล้ว
เขา..ตกในพะวงฝันสวรรค์หวานตระการจิตนานมาก
ก่อนที่..จะค่อยๆกระชากใจถอยกลับมาสู่ปัจจุบัน
และ...
กล่าวคำทักทายเธออย่างสุภาพชนพึงกระทำ
*ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณตกใจ
ไม่ให้ซุ่มให้เสียง..ด้วยคิดว่าตัวเองอยู่ลำพังครับ*
เพราะเย็นมากแล้ว
ผม...เพิ่งกลับมาจากราชการ
เลยมาแวะกราบพระนะครับ
แล้วคุณละครับ
เป็นผู้หญิงทำไมมานั่งนิ่งๆในยามเย็นๆอย่างนี้*
เธอ..
หันมายิ้มน้อยๆคลี่คลายบรรยากาศ
ยิ่งทำให้เขาแสนงงงันแกมประหลาดใจ
ในความคิด
*ผู้หญิงอะไรยามแย้มยิ้มราวโลกไสวพร่างราวดวงตายิ้มได้
ราวโลกพลอยแย้มแต้มหอมหวาน
ตระการพราวไปด้วยดวงดอกไม้
ก็แปลกดีแฮะ...
แต่...
สิ่งที่ได้ยินจากเธอ
ยิ่งทำให้เขาอึ้งอั้นงันงงเข้าไปใหญ่
*ฉันมาที่นี่บ่อยค่ะ มาตามฝัน คุณอย่าขำนะคะ
จะตลกกันไปใหญ่
เขา..ตกใจมากกว่าจะขำ
เพราะ
ทำไม..และทำไม..!
จึงเกิดมหัศจรรย์ใจ
ที่เธอคิดตรงกัน
กับความรู้สึกนะเบื้องลึกของเขาเสมอมา
ที่มีเพียงฟ้าดินรับรู้ลำพัง
เขานิ่งงัน
และพลัน...!!!!
ราวมีเสียงกระซิบจากเบื้องลึกแห่งจิตใสบ้านภายในของเขาเอง
เจ้า...อย่ามัวรอช้า..นี่ไงล่ะผู้หญิงในฝัน
ที่เจ้าถูกสวรรค์ส่ง
ให้ตรงลงมาคอยท่าเธอ
และรอพบเธอ
เพื่อมอบรักภักดีให้
ก็เจ้าเห็นเธอครั้งแรก
ก็สะท้านไหว
ราวหัวใจจะเต้นออกมานอกอกมิใช่ดอกละหรือ
เจ้าก็รู้ดี
อย่างที่หลวงปู่เคยบอกเจ้า
หากเจ้าไม่มีอาการทางใจอาการทางจิต
ทุกครั้งทุกครา
ที่มีผู้หญิงมากหน้าหลายตา
ที่พากันวนเวียนผ่านเข้ามาอยากทายทักรู้จักรู้ใจเจ้า
หากทว่าหาใช่ไม่...ด้วยเพราะหัวใจเจ้าแสนว่างเปล่า
แต่
หากหญิงใดในหล้าก็ตาม
ยามเจ้าพบเกิดอาการสะท้านไหว
วูบวับราวชีวีเจ้าจะดับดวงด้วยจิตรำลึกรู้
จากจิตใสเพียร
ฝึกมาอย่างหนักแน่นดั่งแผ่นผา
มิให้หวั่นไหว
ให้ทายท้ากิเลสของร่างจิตเจ้าเองแล้วไซร้
และบอกให้เจ้ารำลึกรู้ด้วยตัวของตัวเองว่า
นั่น...คือคู่บุญคู่อธิษฐานคู่บารมี
ที่เจ้าจักพบ
จบด้วยเกิดอาการสะท้านใจ
และ
จักได้ใช้ชีวิตครองคู่กันไปในร่มธรรมร่มทอง
ได้พากันลอยล่องไปสู่ดินแดนแห่งฝันนิรันดร์รัก
อันแสนสุขว่างสว่างกระจ่างพราวงามสงบเสียที
เพราะ
เจ้าและเธอคนดีกำลังจะหมดวิบากกรรม...แล้วในชาติสุดท้าย
แล้ว
เจ้า...
จึงจะยังหันหน้าหนีไปไหนอีกเล่า
อ้าว...แล้วจะมัวช้าอยู่ไย
เดินหน้าต่อไป...สิ
เมื่อเจ้าได้พบคนดีเจ้าดวงใจจอมใจในฝัน
ของเจ้าแล้ว
และ
ที่ได้รอกัน
*ราว..คู่ทาษคู่จิตคู่ชีวิต..มานานแสนนาน*
หากมิเคยสิ้นเสน่หาพิสวาท
เนื่องจากความรักภักดียังธำรงคงมั่น
หนักแน่นดั่งแผ่นผา
ดั่งคำสัญญา
ที่เจ้าทั้งคู่ได้เพียรสร้างสมบุญญาสร้างบุพเพกันมา
ข้าขออวยพรให้เจ้าทั้งสองโชคดี..มีสุข..ในรักนี้
ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์นะ.....
และ
หวังเจ้าจักมิกลับมาถามข้าแบบที่ผ่านมาอีก
ว่าดวงใจในฝันของเจ้า
จะพลันปรากฎเมื่อไรและจะมีไหมเล่านะ..
แล้ว..
นั่นเจ้าได้กลิ่นอะไรไหม
*ดวงดอกไม้แห่งสัญญาใจแห่งเจ้าทั้งสองอย่างไรละ*
ดวงดอกลั่นทม ในยามนี้
ที่พร้อมพลีบานรอรับรัก
เลิกระทมทับดวงใจเจ้าทั้งสองเสียที..ตั้งแต่วันนี้ไปตราบชั่วกาล!
............................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3337.html
ขอครวญคำ
ข้ามฟ้าลอยมาแด่เธอ
น้ำคำวอน คลั่งเพ้อละเมอจากใจ
รักเราสอง สัมพันธ์
แต่รักนั้นอยู่ไกล
เฝ้าหลงอาลัย ร้องครวญไป
ฝากหัวใจลอยล่อง
ขอปรานี พี่หวัง จงฟังพี่ครวญ
เสียงในใจ ไห้หวล รัญจวนหม่นหมอง
รักเราเอ๋ย แม้ไกล แต่หัวใจประคอง
พี่หวัง ใจปอง
เนื้อนวลทอง ใฝ่รักปองบูชา
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน
เป็นกะลาให้ถือ
แม้เธอคือขอทาน
เป็นบัลลังก์ตระการ
แม้เธอเป็นนาง พญา
เป็นโลงทอง รองรับแม้ดับชีวา
เป็นวิมานผ่านฟ้า
แด่เทพธิดา นงคราญ
รัก เราเป็น
เช่นเหมือนดาวเดือน เด่นตา
แสงเรืองรอง ส่องฟ้าอาภาเบิกบาน
แม้ชีพสูญลับไป แต่รักไม่แหลกราญ
ให้สองวิญญาณ
สิงสราญ อยู่วิมานดาวเดือน...