รับฝันวันฝนรินราวเพชรพร่าง โลกกระจ่างฟ้าหลังฝนกมลใส เหมือนนภาเคียงนวลหล้าเฝ้าสอนใจ โลกยิ่งใหญ่ทุกข์ธุลีพลีสัจจธรรม ให้หัวใจดวงทองยังผ่องพิสุทธิ์ ล้างใจมนุษย์ด้วยเมตตาระรินร่ำ ให้อภัยดั่งเทียนไสวเฝ้าส่องนำ สู่เส้นทางสวรรค์นำดวงใจไปด้วยกัน เลือดอาจจะไหลท่วมใจด้วยบาดเจ็บ อาจหนาวเหน็บหนามชีวิตลิขิตขวัญ อาจจะเศร้าเหงาโศกท่ามมืดจันทร์ หากตะวันธรรมณ..กลางใจไสวดวง เดียวดายกับโลกเหว่ว้า เรือมนุษย์ประดาที่จมร่วง คลื่นกิเลสถาโถมมายาลวง นิรันดร์สรวงนิพพานฝัน...พลัน....พรากไกล... ..................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1873.html โลกแห่งความฝัน ใหม่ เจริญปุระ เมื่อชีวิต ยังรักที่จะฝัน และบอกกับใจ ทุกวันที่ผ่านมา ด้วยปีกแห่งฝัน จะโบนบินไปถึงฟ้า หวังจะไปให้ถึงในซักวัน กว่าชีวิต จะพ้นไปอีกวัน อีกกี่ความฝัน ที่ฉันจะไขว่คว้า อีกกี่คำถาม ที่รอคอย การค้นหา แล้วถึงรู้ว่ามัน ไม่มีจริง โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด โลกแห่งความฝัน ฉันมองเห็นวันสดใส แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน ทอดทิ้งฉัน ไปไหน โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า เฝ้ารอความฝัน ให้ตกตะกอนช้า ช้า เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง โลกแห่งความจริง ฉันเป็นเหมือนคนตาบอด โลกแห่งความฝัน ฉันมองเห็นวันสดใส แต่ในวันนี้ โลกแห่งความฝัน ทอดทิ้งฉัน ไปไหน โลกไม่สดใส เหมือนวันก่อน กว่าจะรู้ ชีวิตคืออะไร กว่าจะรู้ หัวใจคงอ่อนล้า เฝ้ารอความฝัน ให้ตกตะกอนช้า ช้า เพื่อให้ฝันชัดเจน และเป็นจริง... ไม่มีคำตอบจากสวรรค์ ดวงเป็นสาวช่างฝัน และ.. ในชีวิตหนึ่งนี้ของดวง ช่างมีเรื่องราวมากมายเรียงรายมาให้ฝัน.. ฝันของดวงถ้าวัดเป็นขนาด ก็คงเป็นฝันขนาดย่อมเยา เป็นเพียงฝันที่ดวงแอบๆซุกไว้ในมุมเล็กๆของใจดวง... ดวงชอบเรียกฝันเหล่านี้ว่า.. *ฝันกลางฤดูฝน* เพราะ.. ดวงเคยได้ยินเนื้อเพลงของบทเพลงนี้แล้วชอบมาก... เพลง..จะพรรณนา ถึงความฝันของมนุษย์ ที่เราทุกคนเกิดมาแล้วมีสิทธิ์จะฝัน ... เรียกว่าฝันใคร..ฝันมันก็แล้วกันนะ และทุกคนก็มีสิทธิ์จะทำทุกสิ่ง เพื่อให้ชีวิตไปถึงฝั่งฝันของตัวเอง..... บางคนก็สมหวังดั่งฝัน... บางคนก็ต้องพบกับความผิดหวังซ้ำซากๆ แล้วแต่ชะตาข้าลิขิตชีวิตข้าเองไม่เกรงดินฟ้า... ดวงจึงเลือกที่จะฝัน ในสิ่งที่พอจะเป็นจริงได้ แม้กระทั่งบางครั้ง...บางเรื่องราว ก็ยังมิอาจจะเป็นดั่งฝัน.... ดวงคิดว่าถ้าดวงฝันอะไร.... แล้ว.. สามารถเป็นจริงได้หมด ดวงก็คงไม่มีเรื่องราวอะไรให้ฝันต่อ ฝันค้าง หรือฝันลมๆแล้งๆนะสิ ดวงจึงคิดในแง่ดีว่า... พระเจ้าคงอยากให้ชีวิตมนุษย์เดินดินทั้งหลายมีรสชาติ ให้เรามีฝันไว้หล่อเลี้ยงเพื่อมีชีวิตอยู่.. ให้มีพลังที่จะยืนหยัดที่จะรอให้ฝันนั้นเป็นจริง และ.. เพื่อจะอิ่มเอมใจเมื่อเราสามารถสานฝันนั้นได้สำเร็จ ตอนที่ดวงเด็กๆ....... ดวงฝันอยากเป็นครู มีจักรยานสีแดงคันเล็กๆขี่ไปสอนนักเรียน ดวงจะนุ่งกระโปรงบานฟูฟ่อง พร้อมสวมหมวกฟางใบสวยไปสอนหนังสือ ให้เด็กๆเรียกว่า......ครูดวงจักรยานแดง.... ดวงฝันที่จะเป็นนางเอกที่ชื่อ......พวงชมพู... ในนิยายที่ดวงชอบอ่าน.... เป็นเพราะดวงชอบชื่อนี้ ช่างน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอม ราวกับดอกพวงชมพู... ซึ่งเป็นดอกไม่กลีบบางๆ เล็กๆห้อยเป็นพวงระย้า ดวงฝันอยากมีผมเปียยาว...ขี่ม้า และมีบ้านไร่.. เป็นนางเอกหนังบู๊ยอดฮิต สมัยดวงยังเด็กๆ ..และ.... แต่... โลกแห่งความฝัน กับโลกแห่งความจริงของดวงในวัยเด็ก... ช่างห่างกันลิบลับ... ดวงมีโลกในวัยเด็กที่แสนจะว้าเหว่... ดวงมีแต่คุณย่า และ.. ดวงคิดว่าชีวีชีวิตดวงบางครั้งเหมือนนางเอก ของนิยายรักของคุณทมยันตี ซึ่งเป็นนักเขียนมีฝีปากกาเป็นเอก... ที่ดวงชอบอ่านงานเขียนของเธอในช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะ นางเอกของคุณทมยันตี มักมีวัยเด็กที่เติบโตมากับความอ่อนโยน ความเรียบง่าย สงบงามตามวิถีชีวิตไทยๆ เหมือนชีวิตดวงใม่มีผิด ..... ดวงมีคุณย่าชอบอ่านหนังสือวรรณคดี...เรื่องรามเกียรติ์... บางค่ำคืนคุณย่าและเพื่อนๆรุ่นเก๋า ที่ดวงเรียกว่า *ชมรมวรรณคดีสัญจรยามชรา...* จะรวมตัวที่นอกชานบ้านเรือนไทย... ท่ามกลางแสงตะเกียงลาน ... และ แสงจันทราดวงโต ที่ทอรัศมีสุกใสในราตรีที่ฟ้าประดับดาวพราวพร่าง... ดวงจะนอนฟัง เสียงบทกลอนอันชวนตื่นเต้นเร้าใจ... ชวนเคลิบเคลิ้มใจหายยามสีดาลาจาก...จนม่อยหลับไป ด้วยใจที่อิ่มเอิบและเป็นสุขยิ่งนัก ดวงคิดว่านอกจาก ธรรมชาติงามของเกาะสวาทหาดสวรรค์ ที่ดวงได้ถือกำเนิดเกิดมา ดวงยังโชคดีนักที่ได้ใช้ใจซึมซับ ชิดใกล้กับวิถีชีวิตสงบงามของคนแก่ ที่มีใจละมุนอย่างคุณย่าผู้แสนประเสริฐของดวง ดวงจะตามคุณย่าไปวัด ไปนั่งร้อยมาลัยดอกพิกุล..เป็นพวงโต และ.. กลายเป็น...สร้อยดอกไม้หอม...เส้นงามที่สวยที่สุด สำหรับ.. เด็กผู้หญิงบ้านนอกอย่างดวง ผู้ไม่เคยรู้จักคำว่า ศูนย์การค้า...ในพจนานุกรมของชีวิต...ตัวเอง ดวงจะตามคุณย่าไปทุกหนแห่ง แม้บางสถานที่..แสนจะน่าหวาดกลัวสำหรับเด็กๆ คือ ป่าช้า.....ซึ่งอยู่ใกล้วัด... เป็นที่ๆสงบเงียบ.. ที่ที่คุณย่าดวงจะไปนั่งกรรมฐาน... ดวงไม่เคยรู้สึกกลัวเพราะที่ไหนมีคุณย่า.. ดวงเชื่อว่าเหมือนมีเกราะรายล้อม ปกป้องชีวิตดวงให้พ้นภยันตรายได้..... ดวงรู้ในวันนี้...นาทีนี้ ... ทุกสิ่งเหล่านี้ที่ดวงผ่านพบและซึมซับ ทำให้ใจดวงละเมียดละมุนยิ่งนัก และ.. ทำให้ดวงใฝ่หาบางสิ่งให้แก่...ดวงจิตภายใน....ในเวลาต่อมา บางเวลา.. เพื่อนๆคุณย่าจะถามดวงว่า ดวงคิดจะตามคุณย่าไปทุกแห่งหนหรือไม่หนอ ... เพราะ... คงรำคาญที่คุณย่าต้องมีดวงห้อยท้ายราวกับบ่วงชีวิตก็ไม่ปาน และดวงจะตอบโดยไม่ลังเลใจเลยว่าแน่นอน ดวงจะตามคุณย่าไปแม้จะสุดหล้าฟ้าดิน...... ดวงหารู้ไม่ว่า.... เมื่อถึงวันหนึ่ง ดวงก็มิสามารถติดตามคุณย่า ซึ่งดวงรักดั่งดวงใจไปได้ นอกจากยืนน้ำตาไหลรินเงียบๆ อย่างปวดร้าวใจ เท่าที่เด็กผู้หญิงวัยแค่สิบสามขวบจะทำได้ วันแห่งแสงชีวิตอำลาของทุกคน..... ที่ต้องไปแต่เพียงลำพัง... มีเพียงแต่จิตวิญญาณเท่านั้น... ที่จักนำทาง... ไปสู่ความมืดมน หรือ... ความสว่างไสว.. ตามที่ได้ประกอบกรรมทำมาในยามมีชีวิตอยู่.... แต่...ระหว่างดวงกับคุณย่า.. ยังคงเหลือความทรงจำอันแสนยิ่งใหญ่งดงาม.... กระจ่างสว่างไสวในชีวิตดวงทุกครั้งคราที่รำลึกถึง.... เป็นฉากยิ่งใหญ่ของละครแห่งชีวิตดวง ที่แสนสวยงาม และสมบูรณ์แบบ..... อย่างที่สุดสำหรับชีวิตนิดหนึ่งน้อยนี้ของดวง ............. คืน..และวัน...ผ่านไป ดวงกลายเป็นเด็กช่างคิด...ช่างอ่าน.... และต่อมากลายเป็นเด็กช่างฝัน.... โลกหนังสือ... ทำให้ดวงค้นพบทุกสิ่ง ที่จะเข้ามาเติมเต็ม ให้กับโลกอันแสนขาดวิ่นในชีวิตของจริงของดวง และ ดวงก็รู้สึกว่าดวงมีบุญที่ดวงเกิดมามีใจดวงนี้ ดวงดีใจ.. ที่ดวงผ่านอดีตมากมายที่ไม่ว่าทุกข์...หรือสุข ก็ล้วนมีส่วนหล่อหลอม ให้... ดวงมองโลกและชีวิตในแง่มุมที่พิเศษใส เกินที่ใจใครบางคนจะหยั่งถึง และเข้าใจ..... และ..นาทีนี้ ดวงกำลังจะบอกว่า... วันนี้ ดวงกำลังจะเขียนเรื่องของความฝันของดวงเท่านั้น ถ้าจะอ่านชีวิตดวง คงต้องรออ่าน.... ผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อ ...ดวง....ในตอนต่อไป ดวงจะบอกว่านอกจากฝันจะเป็นครู และ.. ดวงก็สามารถทำให้ฝันเป็นจริงได้..แม้จะช่วงเวลาแค่ห้าปี แต่.. ดวงก็แสนจะภาคภูมิใจกับอาชีพนี้.... นานหลายปีมานี้.. ดวงมีความฝันอันบรรเจิดภายในใจดวงงาม........ และ.. ดวงอยากเขียนบอกใครสักคนถึงฝันค้างของดวง ดวงอยากไปใช้ชีวิตเป็นครูใต้ต้นไม้ สอนธรรมชาติชีวิต... มีบ้านสักหลังเป็นกระท่อมสไตล์บาหลี...เรียบโล่ง และ.. แวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้ไทยส่งกลิ่นหอมละมุน... ดวงมีที่ดินในฝันแล้ว.. ที่ของดวงมองเห็นภูเขาเป็นฉากหลัง... เห็น.. ทะเลงามตรงหน้า.... เห็นฟ้ากว้าง หาดทราย ส่วน.. สายลม...แสงแแดดใช้ใจสัมผัสเอาได้ จากทุกอณูรายรอบ ดวงมีดงมะพร้าวมากมาย มีหินงาม ... ที่ดวงวางแผนว่า.. จะทำเป็นชานบ้านไว้นอนนับดาวเดือน.... ดวงจะทำห้องน้ำที่จะนุ่งลมห่มฟ้าท้าแสงจันทร์ พร้อมกับมี.. ดวงตาจากดาราสวรรค์ ที่จะกระพริบพราวราวกับจะล้อเลียน...ให้เขินอาย บางค่ำคืนดวงจะจุดเทียนวับแวม พร้อมมีปาร์ตี้รอบกองไฟ ล้อมวงคุยกับคนพิเศษในชีวิต.... วันนี้... ดวงพพยายามที่จะให้ฝันนี้เป็นจริง แต่.. จนแล้วจนเล่าก็ยัง*ไม่มีคำตอบจากสวรรค์*.. สวรรค์... คงรอให้ดวงตัดสินใจ ลงมือทำด้วยสมองและสองมือของดวงเอง....จริงไหมจ้ะ ..! ..............
อรุณรุ่งฟ้ายังคงเป็นเช่นสีฟ้า ดวงดอกไม้ทั้งหล้าส่งกลิ่นหอม มวลภู่ผึ้งยังคลึงเคล้าเกสรดอม พวงพะยอมยังฟ้อนไพรรับขวัญดวงสุริยา หากมวลมนุษย์ไยดวงตาช่างมืดนัก สิ้นไร้รักสิ้นไร้ขวัญวันเสน่หา เพียงสงครามสะเทือนโลกโศกมายา ให้เหว่ว้าน้ำตารินสิ้นแสงตะวัน จันทร์ดวงงามแอบซ่อนซึ้งวิปโยค ธารหวานโศกเคยหยาดสายพลังฝัน ให้ผู้คนบนพสุธาพบรักกัน เป็นนิรันดร์ราตรีพลีสัจจธรรม เพราะหัวใจไร้ธรรมทองผ่องพิสุทธิ์ ค่ามนุษย์จึงสูญสิ้นฟ้ารินร่ำ สวรรค์โศกพรหมโลกพลอยระกำ กับรอยกรรมแห่งกิเลสเวทนา ลืมตาภายในมองโลกใหม่นะที่รัก ดูดวงดอกไม้ทายทักทั้งแหล่งหล้า ดูฟ้าสวยด้วยเมฆหวานตระการตา รู้รักษาบ้านภายในใจของเราให้เงียบงาม..!!! ................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song373.html บัวขาว เห็นบัวขาว พราวอยู่ ในบึงใหญ่ ดอกใบ บุปผชาติ สะอาดตา น้ำใส ไหลกระเซ็น เห็นตัวปลา ว่ายวน ไปมา น่าเอ็นดู หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ... ..........
เรามีกันและกันทุกหนแห่ง ท่ามโลกแล้งโลกลวงมิสิ้นฝัน ในอ้อมกอดขุนเขาในเงาไม้แสงตะวัน ในพรายจันทร์หยาดสายหวานปานน้ำผึ้งรวง ในธรรม ธรรมชาติพิลาสหล้า ในนภาแสนงามราวแดนสรวง ในพสุธาดั่งทองทาระย้ารวง ในยามดวงสุริยาพรากฟ้าไพล ในเรียวรุ้งทางช้างเผือกเลื่อมพรายพราว ในอะคร้าวดาวดวงสุกไสว ในทะเลมรกตงามงดใจ ในหมอกไพรยามเช้าเฝ้าภิรมย์ ในเมตตาความเข้าใจยิ่งใหญ่นัก ในแน่นหนักศรัทธาภักดิ์ธรรมหอมห่ม ในสายธารแห่งกาลเวลาเคยระทม พบรื่นรมย์รักแท้สุนทรีย์ตราบชีพนี้..นิรันดร์..! ลอมบอค..บาหลีที่รัก (จงรัก) ลอมบอค..Lombok(อัญมณีแห่งตะวันออก)..บาหลีที่รัก ภาคแรก ................................ บาหลี..ชื่อ..บาหลี แต่ทว่านาทีนี้ บาหลีมิได้เดินทางย่างเหยียบไปเกาะบาหลี อย่างที่น่าจะไป... อาจจะเป็นเพราะว่า ณ.ที่เกาะแห่งนั้นที่เคยเป็นดั่งสวรรค์บนดินนั้น พลันนะบัดนี้ ได้กลายกลับเป็นเกาะนรกน่าวิตก ในใจนักท่องเที่ยวต่างชาติไปแล้วอย่างไม่หวนคืนกลับ นับตั้งแต่นาทีในคืนวันที่13ตุลาคม2545 ที่มีการก่อวินาศกรรม ให้ผู้มีคนนับร้อยผู้บริสุทธิ์ ได้ล้มตายบาดเจ็บซ้อนทับถมกัน เพราะตึกไนท์คลับชื่อส่าหรีได้ถูกถล่ม ถูกวางระเบิดจากเงื้อมมือผู้ก่อการร้าย ที่ร้ายได้อย่างน่าสยดสยอง อย่างอยุติธรรมต่อทุกดวงใจ ผู้ที่รอคอยรับรู้รับเศร้าอยู่เบื้องหลัง ญาติมิตรแม่พ่อ และลูกเมียและผู้อันเป็นที่รัก ที่จักทำใจให้ยอมรับได้อย่างแสนลำบากยากเย็น ในโศกนาฎกรรมนี้ แม้นว่าอาจจะยังโหดร้ายน้อยกว่าการที่ ตึกเวิลด์เทรดถล่มที่นิวยอร์คอเมริกา ที่พาให้โลกทั้งโลกต่างตื่นตกตะลึงขวัญผวา มาจนถึงนะวันนี้ ที่ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง แห่งมวลมนุษยชาติบนโลกมนุษย์นี้ ที่นับวันแสนจะไม่มีอะไรให้มั่นใจในความปลอดภัย ด้วยไร้ซึ่งสมานฉันท์ความเมตตาปรานีต่อกัน ด้วยสิ้นไร้คุณธรรม นอกจากความก้าวร้าวเห็นแก่ได้ แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไร้ความฝัน ที่จะพยายามรักษาความสงบร่มเย็น ด้วยผู้นำต่างคิดต่างอุดมการณ์..ขัดแย้งทางการเมือง ต่างก็พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ ของแผ่นดินตัวเองไว้ให้อย่างดีที่สุด และ จะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องหรือไม่ก็ตาม อย่าถามหาความยุติธรรมนั้น เพราะแม้กระทั่งศาลโลกยังมิอาจจะพิพากษาได้ ................... บาหลี.. จึงเลือกที่จะมานั่งอยู่บนเครื่องบินแบบใบพัดฟอคเกอร์ เพื่อจะรอเวลา ค่อยๆถาร่อนลงตรงรันเวย์สนามบิน*เซอลาปารัง* (Selaparang)ณ.เกาะลอมบาค (Lombok) แทนที่จะไปยังดินแดนเดียวกันกับชื่อของเธอ หัวใจดวงเดียวดาย ดายเดียว เลือกที่จะเกี่ยวเก็บประสบการณ์ลำพัง ทิ้งความเศร้าความหลัง ความฝันอันพังภิณฑ์ไว้เบื้องหลัง กับโลกชุลมุนที่ตัดสินใจพรากมา ที่พรากลา โลกที่มีแต่ป่าคอนกรีต. .และทุกสรรพชีวิตมีแต่เร่งรีบแข่งขัน ที่ผู้คนอลหม่านราวมดเมือง หาความประเทืองประทับใจในน้ำใจ และธรรมชาติได้ยากยิ่งขึ้นทุกวัน หันหลังชนกันหันหน้าไปก็พบแต่ ความแล้งไร้ ซึ่งยิ่งหลอมละลายให้น้ำนวลในเนื้อจิตเนื้อใจ นับวันจะค่อยๆหายไปสลายไปตามกาลเวลา ไปกับฟ้ากับดิน ที่ไม่เคยถวิลมีเวลาแม้นจะแหงนมอง ว่านะบัดนี้ ฟ้ายังสีฟ้าดีอยู่หรือไร หรือว่าแปรไปเป็นมืดดำเทาทึมด้วยมลพิษ รอเวลา จะมืดมิดไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์กาลแล้วหรือยัง ด้วยพลังความชั่วร้ายรายรอบจากมนุษย์ทุกผู้ ทั้งผู้ประกอบการและผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่สรรสร้างสารพิษ ผลิตผลิตภัณฑ์ทุกสรรพสิ่งหลากหลายประเภท ออกมาจากโรงงานนานานับล้าน มาเสนอสนองความเป็นอยู่นี้ ที่มิได้ใช้หลักการความสมถะพอเพียง มาหลอกล่อเชิญชวนทางโฆษณา เรียกร้องความต้องการตามๆกันไป ให้มนุษย์ผู้สิ้นไร้ปัญญา พากันดื่มกินบริโภคทรัพยากรเกินความจำเป็น และจะเอาเวลาไหนแหงนเงยเล่า หากหน้าตาและปากจ่อตลอดเวลา อยู่ที่เครื่องมือสื่อสาร ที่พูดจ้อจนน้ำตาลกระจายกระจุย ไม่เลือกถิ่นที่ บางทีก็ทั้งตลกทั้งน่าขัน ยามได้ยินเรื่องบางเรื่องในที่สาธาณะ ที่หลุดออกมาจากคนพูดแบบไม่ได้ตั้งใจ จนต้องหันหน้าหนีออกไปเบือนยิ้มด้วยกลั้นไม่อยู่ แล้วคิดดูๆให้ปลงตก กับโลกแสนรก แสนจะมากมีเทคโนโลยี่ ทั้งวี่วันกับสวรรค์นานา ที่ต้องใช้เงินแลกมาใช้ความเครียดแลกไป อย่างนี้จะมีเวลาที่ไหนให้ไหวเปิดละมุนละไม ให้เนื้อใจแสนดีได้รับรสสดฉ่ำร่ำริน ของธรรมชาติพิลาสพิไลได้เล่า และนี่คือบทบาทชาวเมือง อันนะบัดนี้ ที่บาหลีมิเคยประเทืองประทับใจเอาเสียเลย บาหลีจึงได้เพียงแต่พยายามวางเฉย เฝ้าอดทนรอเวลา เพียรพาร่างห่างมาจากลามาให้ลางเลือน จากทุกสรรพสิ่งเสียง แห่งดนตรีเมืองดนตรีคน อันอลวนอลเวงวายวุ่นหมุนโลก ให้ราวใกล้จะขาดเกลียวผึงออกจากกันไปทุกทีขณะทุกนาที.. บาหลี..ผู้หญิงช่างฝัน ที่พยายามปันหอมหวาน จึงแบ่งร่างและหัวใจ ไหวสะออนมารอออดอ้อนวอนเว้า ให้ธรรมชาติแห่งเกาะในฝันสวรรค์สะอาดบริสุทธิ์ ที่ยังเงียบงามพิสุทธิ์ใสยังไกลห่างไกลโลกมายา มาดูมาสัมผัสความฝันในวัยเยาว์อีกรูปแบบหนึ่ง ที่ยังถูกซ่อนเร้นจากรอยเท้ามนุษย์มากมีมากมาย ที่จะพากันมาบุกทำลายฝากรอยไว้ให้ทรายงาม ราวถูกหยามเหยียบ ทันที่.. ที่เครื่องบินจอดนะรันเวย์ และบาหลีสะพายกระเป๋าใบงามออกมา รับกลิ่นบรรยากาศไอร้อนที่พร่างพรูมาทุกทิศทาง แทนอากาศแอร์คอนดิชั่นฉ่ำเย็น อย่างตามสนามบินหรู คู่อาคารผู้โดยสารขาเข้าออกตามเมืองใหญ่ๆทั่วโลก ที่ทำให้หัวใจดวงหดหู่เหงาเศร้า ก็ราวกับดวงดอกไม้เมืองร้อนได้บานรับ แสงตะวันจริงตะวันใจอีกคราครั้ง อย่างวิญญาณนักท่องเที่ยวผจญไพร บาหลี..ติดต่อกับบริษัทรถเช่าผ่านทางอินเตอร์เนต ที่แสนสะดวกรวดเร็วและนะบัดนี้รถก็มาจอดรอรับ เป็นที่เรียบร้อยเสร็จสรรพพร้อมที่จะขับออกไป เธอ ก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ พร้อมกับโยนกระเป๋าไปทางเบาะหลัง พร้อมกันกับที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่จากนรกเมืองมาเสียแสนห่างไกลได้ เตรียมพร้อมเผชิญโชค กับโลก..กับเกาะ*ลอมบอคในฝัน*อันคือสวรรค์ทายท้ารอพิสูจน์ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอสูดลมหายใจยาวอีกครา รับเอาอวลหวานหอม ของมวลพะยอมดวงดอกไม้เมืองร้อน ที่กำลังร่ายฟ้อนเริงระบำอ้อนพรายแดดสลับสีสะพรั่ง อยู่ริมสนามสองฟากฝั่งอาคารที่มุงหลังคาด้วยจาก หากถูกออกแบบให้งามขึ้น บาหลี..ยิ้มหวาน และค่อยๆสตาร์ทรถอย่างช้าๆ พร้อมกับกางหนังสือแผนที่เส้นทาง ที่มีไว้คู่กายไว้ใช้สำหรับวิญญาณนักผจญภัย วางเคียงใจตรงหน้ารถ.. ใจดวงหวานละไมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และ นี่แหละคือสีสันของชีวิตนักเดินทาง ที่ดังต้องมนต์เสน่ห์ ให้หัวใจและร่างอยากแรมรอนร่อนเร่ มิหยุดโอ้ละเห่หัวใจ ให้ติดปีกโผผินบินท่องไป ราวนกไพรหัวใจพเนจรไม่รู้สิ้นสุด.. ให้มนุษย์ผู้รักการแสวงหาชีวิต แปลกเปลี่ยนได้สัมผัสรสชาติอันแสนหวานหอม ทั้งของสถานที่ ทั้งธรรมชาติทั้งเมืองทั้งไพรทั้งผู้คน ที่จะแปลกเปลี่ยนไปไม่มีวันเหมือนกัน ได้เรียนรู้ประเพณี ภาษาวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ในวิถีอันแตกต่างกันไป ที่จะนำมาเร้าไหวปลุกชีพชื่น ให้รู้ตื่นมารับความจริงว่า ธรรมชาติในโลกกว้างไกลนี้ ยังมีถิ่นที่อันแสนยิ่งใหญ่ อีกมากมายนักรอให้เราไปทายทัก ไปค้นหาไปพักใจไปเสพสุนทรีย์ และ พลีน้อมรับความจริงแห่งชีวิตว่าเรานี้ราวธุลีดิน บาหลี..เพลินคิดไปนิดเดียว พร้อมกับค่อยๆเหยียบคันเร่ง พารถเคลื่อนตัวออกช้าๆ หากแต่..!ทันพอที่จะเหลียวเห็นจากกระจกหลัง ว่ามีใครบางคนวิ่งตามมาโบกมือให้ชะลอรถ.. บาหลี..จึงจำต้องหยุดรถ.. และค่อยๆเลิกแว่นสายตา ดูใบหน้าผู้วิ่งตามหลังมาอย่างละล้าละลัง อย่างน่าสงสาร ที่กำลังยืนหยุดหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ เพราะบนหลังยังมีเป้เดินทางใบใหญ่พอกันกับของบาหลี ที่สะพายบนบ่ามาด้วย.. เขา..คนดีตรงหน้า คือหนุ่มใหญ่ผิวคร้ามสีทองแดง หากแต่สังเกต ให้ดีราวจะแกล้มไปทางดำราวกับ เพิ่งไปอาบแดดที่ไหนมา และ ที่บาหลีแสนรู้สึกดี ที่แสนมีพลังตรึงใจให้บาหลีชะงักงันคือ นัยน์ตาสีสนิมเหล็กที่แสนเศร้า ดูสงบล้ำลึกราวผลึกน้ำค้างกลางใบบัวยามอุษาฟ้าสาง ที่งามแผกพินิจ ที่นะบัดนี้น้ำนัยน์ตาสวยเศร้านั้น ราวกำลังทอแสงวะวิบวับรับแสงสีเงิน ของเรียวแดดในยามสาย ให้สะท้อนพรายงามจนน่าตะลึงหลงงงไปชั่วขณะ บาหลีอึ้งอั้น ตกใจ! ด้วยไม่เคยคิดว่า ชั่วชีวิตหนึ่งนี้จะได้พบบุรุษที่ เกิดมาชาตินี้เธอคิดว่าเขาแสนจะโชคดี ที่ได้รับพรประทานให้มีดวงตางาม ราวเทพ..พรหมพลีใจปั้นตั้งใจส่ง สั่งตรงให้ลงมาเกิดผิดที่ มาประดับผืนโลกนี้แทนสวรรค์ ในร่างผู้ชายกำยำที่ช่างหายากยิ่งนัก ให้เกิดประกายรัศมีงามฉ่ำเย็นยามสบตา.. ราวกับมีพลังแสงแห่งเมตตาปรานีกระจายพรายพร่าง คล้ายละอองน้ำค้างพร่างรินกระเซ็น รายรอบให้สดชื่นในหอมห้วงแห่งดวงใจ แล้ว บทสนทนาเสียงนุ่มหนักแน่น หากทว่าแฝงพลัง อันอบอุ่นอ่อนโยนก็ตามมา ที่นะนาทีแรกนั้น บาหลีก็พลันลงความเห็นในใจ *ผู้ชายอะไรช่างดูดีไปหมด..*ได้แค่นั้น แม้กระทั่งน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน อันอ่อนนุ่มราวขยี้ฟองเบียร์ ก่อนที่จะเอียงหน้าตั้งใจฟังคำบอกเล่าสนทนา *ผมต้องขอโทษก่อนนะครับ ที่มาโบกรถคุณให้หยุดกระทันหัน ผมเห็นคุณ..ในเครื่องบินแล้วครับ เพราะคิดว่าคุณต้องเป็นคนไทย ผมกำลังจะหารถไปที่พักครับที่ Novotel Coralian Resort ที่มีความผิดพลาดทางเทคนิคเกิดขึ้นครับ รถของทางรีสอร์ทเกิดสตาร์ทไม่ติด และ ต้องรออีกคันมารับนานมาก บังเอิญเจ้าหน้าที่ บอกว่าคุณกำลังจะไปที่นั่นครับ แนะนำให้ผมลองตามคุณมาขออาศัยติดรถไปด้วยกัน หากขี้เกียจเสียเวลานั่งรอจนมืดค่ำ และบอกว่าเราสองคนชาติเดียวกันด้วย.. ผมจึงหวังว่าคุณจะกรุณานะครับ เอาละซี..นะ บาหลีคิด..ในใจ จะทำไงดี ทั้งที่ตั้งใจจะแวะชมสถานที่ต่างๆ ตามรายทางก่อนจะถึงที่พักเพื่อเช็คอิน เพราะนี่เพิ่งจะสายนิดเดียวเองยังมีเวลาเหลือเฟือ บาหลี..หยุดคิด..และตัดสินใจบอกเขา *ไม่รังเกียจค่ะ เพราะเราคนไทยด้วยกัน หากต้องให้คุณคิดตัดสินใจใหม่ ระหว่างรอรถมารับ กับแกร่วห้อยตามฉันไปทุกที่ หลายที่ท่องเที่ยวรายทาง ที่ฉันจะหยุดรถแวะชมก่อนถึงที่พัก ให้คุณตัดสินใจว่าจะไปหรือจะอยู่รอนะคะ จะได้มาบ่นว่าฉันทีหลัง เพราะ ฉันตั้งใจจะดูพระอาทิตย์ตกที่..ที่หาดมาวูน ก่อนจะไปนอนฝัน รอวันพรุ่งนี้ที่จะได้ออกสำรวจเส้นทาง ผู้ชายนัยน์ตาช่างฝันอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที ก่อนที่จะระล่ำระลัก *ตกลงเลยครับดีเสียอีก และขอบคุณคุณด้วยซ้ำที่ให้นั่งรถแล้วยังจะพาผมไปด้วย เกรงแต่จะไปรบกวนคุณเท่านั้นเองครับ* *ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเห็นใจเราคนไทยต่างบ้านต่างเมือง และที่สำคัญ คุณอุตส่าห์วิ่งตามมาตั้งไกล หากให้คุณเดินแบกกระเป๋ากลับไปอีกรอบท่าจะลิ้นห้อยค่ะ* อ้าวขึ้นมาค่ะ. เสียเวลาเที่ยวแล้วละค่ะหากช้าไป* *ตกลงคุณให้ผมขับดีไหมละครับ ผมจะได้สบายใจว่าไม่รบกวนคุณเกินไปนะครับ* ได้ค่ะยินดี มาค่ะ งั้นส่งเป้มาฉันจะช่วยเก็บค่ะ* และแล้ว...ราวฟ้าดินมีตา หรือว่าโลกเรานี้ อยู่ในเงื้อมมือพระพรหมผู้บันดาล ให้ร่างสองร่างต่างไม่รู้จักกันมาก่อน ได้มานั่งอิงอ้อนเคียงกันไป ราวกับ.. คู่หนุ่มสาวเกี่ยวก้อยกัน มาดื่มน้ำผึ้งฝันพระจันทร์หวาน ในท่ามกลางเวิ้งฟ้ากระจ่างใส กับ เรียวเมฆขาวละมุน ดวงดอกแดดละอออ่อนอุ่น กับสายลมพรายพร่างพรายพัด ให้อบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน พลันบังเกิดเกิดขึ้นในหัวใจคนไกลบ้าน ให้ได้เริ่มฉากฝันสวรรค์หวานขึ้นนะบัดนี้ ...................... จบภาคแรก.. ต่อด้วย http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem63939.html สวรรค์ลา เชิญติดตามค่ะ ............................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4.html จงรัก โปรด อย่าถาม ว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีตและโปรด อย่าถาม ว่าอดีต ฉันเคย รักใคร รู้ไว้อย่างเดียว เดี๋ยวนี้รักเธอ และรักตลอดไป รักมากเพียงไหน กำหนดวัดได้ เท่าดวงใจฉัน อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้ ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์ เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้ ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์ เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html (บทเพลง ณ..วันนี้) ณ.... ตรงนี้..ที่ที่ดินสวยสุด ด้วยเป็นเนินสูง แลลาดไล่ละลดหลั่นลงไป คือเวิ้งหุบเขาที่เต็มด้วยดงสัปปะรด ตะวันกำลังจะลาลับฟ้า ได้ยินเสียงเพลงลอยลมเหว่ว้าหวานแว่ว มาคลอใจ..ออดอ้อนใจ ไผ่ป่ารายรอบระบัดกิ่งไกวไหวเสียดสีราวเสียงทิพย์ไพร ฟ้าใกล้ค่ำ กำลังเล่นแสงแปรสีสาดส่องผ่านม่านเมฆราวเรียวรุ้ง นี่ประดุจดั่งวิมานรุกขเทวาขวัญป่าเขา ในเงื้อมเงาแห่งวิมานมนตราทวารวดี ที่แสนสงบงามเป็นยิ่งนัก... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song193.html รังรักในจินตนาการ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html วิมานดิน คือเส้นทางสายรุ้งแห่งความสุข คือวิมานรุกขเทวาขวัญป่าเขา คือร่มรื่นท่ามแมกไม้ในลำเนา ในเงื้อมเงา*มนตราทวารวดี* มาสถิตทายทักให้พักใจ กับเรือนไทยเรียบง่ายงามเงียบนี้ ทะเลหมอกหยอกไศลฝากชีวี มหัศจรรย์ฝันวันแสนดีริมสายธาร พะยอมไพรรายรอบหอมอวลกลิ่น มาประทิ่นประทับหวานแสนหวาน ใช้ชีวีเหนือโลกย์ทิ้งโศกราน กับสายธารนิรันดร์ขวัญหอมทรวง รับอรุณอุ่นไออาบแสงทอง วิหคไพรพร้องร้องระงมราวฝันสรวง เด็ดดอกไม้ริมชายสวนหอมอบอวล แล้วก็ชวนเกี่ยวก้อยกันไปวัด กราบพระพุทธปฏิมาในโบสถ์คร่ำ แล้วน้อมนำวัฏฏปฏิบัติ ศีลสมาธิปัญญาสว่างชัด สงบสงัดท่ามวิมานหล้าทวารวดี วางมาลัยริมหมอนก่อนหลับฝัน แสนเงียบงันงดงามหนึ่งชีพนี้ คือสวรรค์ฝันให้ถึงนะคนดี มนตราทวารวดีพาเพียรพลีพบทางธรรม..นำนิพพาน....! ดวงตะวันลา กำลังลอยดวงเรี่ยเหนือทิวเขา ที่ทอดตัวราวดั่งพญานาคราช รออำลาอาลัยแผ่นหล้าผืนพสุธาไทย แล้วให้คำมั่นสัญญา ว่าจะคืนกลับมาใหม่ กับรุ่งอรุโณทัยแผ่นดินแม่ แห่งความร่มเย็นเป็นสุขสืบมาช้านาน เขา...ยืนอยู่ตรงนี้ ..... ชานไม้ที่ต่อทอดตัวโอบกอด*เรือนมนตราทวารวดี* บ้านเรือนไทยประยุกต์ที่เขาได้บรรจงออกแบบ โดยการผสานผสมจิตวิญญาณทั้งตะวันออกและตะวันตก ให้ผู้อยู่อาศัยได้พบกับความอบอุ่นแสนสบาย เขา..ตั้งใจ จัดสวนตรงหน้า..*ประหนึ่งสวนฝัน* ปานประดุจดั่งวิมานแก้ววิมานทิพย์ ดั่งสวรรค์เนรมิตร สวนทิพย์สวนขวัญ มากำนัลมามอบให้ด้วยมากเมตตา วิมานดิน..กระท่อมทิพย์มนตราทวารวดี ที่งามล้ำเคียงหล้าเคียงใกล้ทะเลสาบสีเงินงาม นามแก่งกระจาน ที่ยามแสงสุริยาส่องแสงพรายพร่างงามระยับระยิบ ดั่งมือนางฟ้าเพิ่งมาปรายโปรยเกร็ดเพชร ลงในท้องน้ำเบื้องล่าง..ให้งามพรายอย่างหาที่ติไม่ได้ และ.. เขาได้บรรจงวางผัง อาคารเป็นสไตล์ล้านนาท้องถิ่น จำลองมา ให้ราวแยกเป็นสองส่วน มีอาคารหลักราวแบบวิหาร และ มีอาคารเปิดโล่ง โปร่ง เพื่อเปิดรับสายลมเย็นและกลิ่นไม้หอม ดวงดอกไม้ป่าดวงดอกพุด ที่กำลังล่งกลิ่นสะพรั่งรินอวลมาเป็นระยะๆ กับสายลมหนาวในยามค่ำ ที่ตะวันดวงโตสีไพล กำลังค่อยๆผันดวงลงสู่ทิวเขาอย่างละมุนละไม อีกอาคารรองถัดมา มีลักษณะเป็นศาลาบาตร สำหรับรับรองแขก ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ เพราะ มีเตียงสี่เสาและตั่งสำหรับนั่งเอกเขนก มีหมอนขวานหมอนอิง ที่ใช้ผ้าไหมหลากสีมาประดับตกแต่ง แบบตะวันออก อาคารและการก่ออิฐถือปูน การใช้ไม้ในการปลูกสร้าง เป็นการยืนยันเอกลักษน์ของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น ที่ดัดแปลงให้เข้ากับการใช้งานจริง มีหน้าบันวิหารเก่าแบบล้านนา เครื่องเรือนอื่นๆเช่นตู้ โต๊ะ ตั่งเตียง ก้ล้วนแล้วแต่ใช้ช่างฝีมือพื้นถิ่นทำ เพื่อรักษาวิถีภูมิปัญญาไทย รวมทั้งงานศิลปะยุคทวารวดี รูปสลักหินทุกทุกชิ้น ที่สื่อแสดงความเป็นไทยโบราณ ย้อนรอยอดีตอันงดงาม..แต่กาลก่อน ที่วางประดับตามสวนในมุมต่างๆ ที่นะบัดนี้ สายแสงเทียน กำลังอวดแสงโชนจากทุกดวงโคมไผ่ ที่ซุกซ่อนไว้ตามสุมทุมพุ่มพฤกษ์ และ กำลังถุกจุดขึ้นทำหน้าที่พร่างไสววะวูบวับ รับล้อกับตุงผ้าฝีมือประดับไปรายรอบเรือน และ ที่แสนงามใจอย่างที่สุดคือ มีชานเรือนไม้ที่ยื่นชิดออกไป ให้คลอชิดใกล้ลั่นทมหลากสี ที่เคลียใกล้ชายคาแห่งรักแห่งฝัน และ ราวกับกำลัง ได้ยินเสียงมหากาพย์ดนตรีแห่งพงไพร และเสียงแห่งสายน้ำที่ราวกำลังร้องเพลงเห่ครวญ ให้สุดหวนไห้ในดวงใจอย่างหวานเศร้าละมุน ในท่ามกลางความสงบสงัด และมีเสียงเรไร จั๊กจั่น กำลังช่วยบรรเลงเพิ่มเติมตามต่อคลอใส ด้วยเสียงหวานหวานหวาน ในท่ามกลางนวลพรายสายแสงจันทร์ ที่กำลังลอยเลื่อนพ้นดงไม้รำไรๆ ข้ามพ้นขอบโค้งภูเขามาอย่างช้าๆ ในคืนหนาว ที่ดาวกำลังระดะดวงเต็มอ้อมฟ้าอ้อมฝัน ที่นางฟ้าได้มาปันโปรยหว่านหวาน ให้ทั่วทั้งท่องนภาฟ้ากว้างราวมีทางช้างเผือก ประดับประดา กับทุ่งดวงดอกหญ้า ทุ่งดอกไม้ป่าดอกไม้ไพร กับเถาวัลย์ที่กำลังพันเลื้อย ออดอ้อนกิ่งมะลิวัลย์ กับเสียงวิหคไพร ที่กู่ก้องร้องเพลงหวานแสนหวานมาจากแมกไม้ กับมนต์หวานในม่านเมฆงามเงา กับกลิ่นของความเป็นชนบท และ ที่สำคัญที่สุดคือกับความงดงาม แห่งเนื้อใจของผู้อันเป็นที่รักภักดิ์พลี ที่ได้มีโอกาสมายืนชื่นชมฝันอันเป็นจริง.. ร่วมกันเคลียคลอชิดใกล้ http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=82 รักข้ามขอบฟ้า ขอบฟ้า เหนืออาณาใดกั้น ใช่รักจะดั้น ยากกว่านก โบยบิน รักข้ามแผ่นน้ำ รักข้าม แผ่นดิน เมื่อความรักดิ้น ฟ้ายังสิ้นความกว้างไกล ขอบฟ้า ทิ้งโค้งมาคลุมครอบ อ้าแขนรายรอบโอบโลกไว้ ภายใน เหมือนอ้อมกอดรัก แม้ได้ โอบใคร ชาติภาษาไม่ สำคัญเท่าใจตรงกัน รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือ สื่อภาษาสวรรค์ อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์ ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว รัก ข้ามขอบฟ้า รักคือสื่อภาษาสวรรค์ อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์ ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมา ผูกพัน ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว... และกับ ริมเรือน...ราตรีนี้ ที่ดวงดอกลีลาวดี กำลังทิ้งช่อฟ้อนกิ่งใกล้กระจกหน้าต่างห้องนอน บานกว้างยาวจรดพื้น ที่ทุกคืนรอออดอ้อนเห่กล่อมให้สนิทในนิทราอย่างฝันดี ท่ามแสงเทียนทอที่ถูกจุดไว้ตามมุมต่างๆให้ละออใจ ให้ละมุนใจ จันทร์เสี้ยวกำลังโผล่พ้นเรียวฟ้า แย้มยิ้มกับมวลดวงดาราอย่างอารมณ์ดี ฟ้ากำมะหยี่ค่อยๆคลี่คลุมไปทั่วทั้งเนินเขา สายแสงจันทราเริ่มสาดส่องพลังสีเงินยวง ไปทั่วทั้งปวงป่าไพร ปลอบประโลมให้มวลหมู่สรรพสัตว์ ได้พักผ่อน หลังจาก.. บินเร่ร่อนรอนแรมพเนจรออกล่าเหยื่อ เสมือนเสมอ.. ชีวีของเขาคนดี.. ที่ณ..วันนี้ ได้...คลี่ยิ้มด้วยความเอมอิ่ม..ปิติใจ กับวันหนึ่ง..วันนี้...ที่รอคอย...! ......................... ........................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4258.html ณ.วันนี้ ญ ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน ดังใจ โอ้เอยเฝ้าคอยเธอนั้น นานแสนนาน ฮืม จึงมาเจอกัน คล้ายบางสิ่งผูกพัน ร้อยใจเราร่วมกัน ช ดังมี สิ่งใดมาดลใจฉัน ดวงใจ โอ้เอย มีเพียงเธอนั้น นับวัน ฮืมจนแรกเจอกัน ใจฉันเพียงต้องการ แต่เธอตลอดมา ช ฝากคำสัญญา ฝากวาจา รักเธอไม่เสื่อมคลาย ญ หมื่นพันสัญญา ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ ช รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน ญ คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป ช ฝากคำสัญญา ฝากวาจา รักเธอไม่เสื่อมคลาย ญ หมื่นพันสัญญา ร้อยวาจา หนึ่งเดียวที่เข้าใจ ช รอคอย ผ่านวันเนิ่นนานเพียงไหน ญ คืนวัน ผ่านไปไม่มีความหมาย พร้อม นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป นับวันนี้เธออยู่ภายในใจ และหวังเพียงได้ครอง รักจนตราบนานตลอดไป...
โลกนี้นะหรือคือมายาฝัน มินานวันมินานปีจำลาล่วง รักหรือชังหวังหรือหวานฤาคำลวง หวงหรือห่วงก็แค่นั้นฝันไม่นาน สงบจิตสงบใจบ้านภายในแห่งความสุข ลบลืมทุกข์เหงาเศร้าสุขแสนหวาน รู้วางนิ่งทิ้งทุกข์สิ่งมากร้าวราน แล้วมินานจักพ้นผ่านพบแสงใจ ให้แสงธรรมแสงทองส่องดับโศก ดับแล้งโลกดับแล้งใจด้วยเย็นใส อยู่กับความไร้ร้างอ้างว้างสักเพียงใด ไม่หนาวใจเท่าทุกข์ท้อพ้อเพ้อรัก ห่างกันนิดจิตเราได้กระจ่าง บนความว่างได้ทบทวนถึงความภักดิ์ ได้ซึ้งค่าว่ารักแท้นิรันดร์รัก ได้ตระหนักทุกก้าวใจในรอยจำ สัจจาธิษฐานผ่านรักแท้ ฤาพ่ายแพ้กิเลสโลกหลงวนซ้ำ ตัดไฟแต่ต้นลมเลิกระกำ แล้วรอวัน..จิตพบว่าง..ทางทองรอ..! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1981.html รักทรมาน ศรีไศล สุชาติวุฒิ เกลียดดวงใจ ตัวเองนัก รักใคร ไม่เคยได้ชื่นชม มัวแต่เพลิน เชื่อคารม เขาลวง เราตรมตลอดใจ เจ็บช้ำ คราวก่อน ร้าวรอนจนสุดจะทน กี่คนที่ทิ้งเราไป แรกบอก รักเราจริงจริง นานหน่อย ทิ้งเราจนไกล แล้วใคร ไม่ช้ำอุรา จากกันที ที่เคยรัก รักลวง จนใจเราด้านชา รอคอยคน ที่เมตตา หลงรอ คอยมาจนเนิ่นนาน ความรักเราแน่ แท้จริงก็แต่เพียงฝัน ตื่นพลันขื่นขม ซมซาน ทนอยู่ทุกดวงชีวี มีแต่ทุกข์ทรมาน ร้าวรานจากนี้ จนตาย จากกันที ที่เคยรัก รักลวง จนใจเราด้านชา รอคอยคน ที่เมตตา หลงรอ คอยมาจนเนิ่นนาน ความรักเราแน่ แท้จริงก็แต่เพียงฝัน ตื่นพลันขื่นขม ซมซาน ทนอยู่ทุกดวงชีวี มีแต่ทุกข์ทรมาน ร้าวรานจากนี้ จนตาย... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song471.html หนามชีวิต เพ็ญศรี พุ่มชูศรี เกิดมาขื่นขม ระทม อุรา ตรมน้ำตา ตรมน้ำตา ตรมน้ำตา โศกาทุกวัน จะสุขอย่างไร กันนั่น สุขเพียง ใฝ่ฝัน หรือไร เปรียบดังชีวิต นั้นมีขวากหนาม ทรมาน ทรกรรม ทรกรรม ฉันจนช้ำใจ กว่าเราจะตาย มิรู้เมื่อไหร่ โอ้ไฉน ชีวิตคอยเป็นนายเรา มีแต่น้ำตา มาปลอบหัวใจ ให้คลาย ความช้ำทุก ค่ำ เช้า เหมือนหนามชีวิต กรีดใจ เป็นเป้า ให้เราอับเฉา ระทม หวั่นไหวว่าขวากหนาม ชีวิตเอย ควรพิเปรย ความรักเอย ความรักเอย มิเคยภิรมย์ สุขเพียง ชั่วคืน ชื่นเพียง ชั่วคราว ร้าว ราน เหลือข่ม โศรกตรม แทบล้ม ประดาตายเอย มีแต่น้ำตา มาปลอบหัวใจ ให้คลาย ความช้ำทุก ค่ำ เช้า เหมือนหนามชีวิต กรีดใจ เป็นเป้า ให้เราอับเฉา ระทม เปรียบดังชีวิต นั้นมีขวากหนาม ทรมาน ทรกรรม ทรกรรมฉันจนช้ำใจ กว่าเราจะตาย กว่าเราจะตาย มิรู้เมื่อไหร่ โอ้ไฉน ชีวิต คอยเป็นนายเรา...