ราตรีฝนรินมิสิ้นสาย ดวงดอกไม้ปลิดกลีบร่ำ วัฎฎโลกสอนบทเรียนสัจจธรรม บ่มพร่ำเรียนรู้เฝ้าดูใจ โศกพรากจากลามินาน รักหวานซ่านซึ้งเพียงไหน ลำพังยามสิ้นลมหายใจ ผู้ใดเคียงข้างร่างไร้ เพียรแผ้วทางธรรมนำทาง สว่างสอาดสงบมาดหมาย สะสมเสบียงบุญบารมีพลีไว้ ผู้ให้เมตตาปรารถนาดี ทุกลมหายใจชีวิต ฝึกจิตนิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ มรณานุสติกับปัจจุบันนาที พุทธพลีบูชาให้พร้อม..จิตหอมบุญ...! .................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6194.html แสงเทียน บทเพลงพระราชนิพนธ์ จุดเทียนบวงสรวง ปวงเทพเจ้า สวดมนต์ค่ำเช้า ถึงคราวระทมทน โอ้ชีวิตหนอ ล้วนรอความตายทุกคน หลีกไปไม่พ้น ทุกข์ทนอาทรร้อนใจ ต่างคนเกิดแล้ว ตายไป ชดใช้เวรกรรมจากจร นิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง เสี่ยงบุญกรรม ทุกคนเคยทำกรรมไว้ก่อน เชิญปวงเทวดา ข้าไหว้วอน ขอพรคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา หนีปวงโรคาที่เบียดเบียน แสงแววชีวาเปรียบแสงเทียน เปรียบเทียนสิ้นแสง ยามแรงลมเป่า ชีพดับอับเฉา เหมือนเงาไร้ดวงเทียน จุดเทียนถวาย หมายบนบูชาร้องเรียน โรคภัยเบียดเบียน แสงเทียนทานลมพัดโบย โรครุมเร่าร้อน แรงโรย หวนโหยอาวรณ์อ่อนใจ ทำบุญทำทานกันไว้เถิด เกิดเป็นคน ไว้เตรียมผจญชีวิตใหม่ เคยทำบุญทำคุณ ปางก่อนใด ขอบุญคุ้มไปชีวิตหน้า ทนทรมานมามากแล้วจะกราบลา แสงเทียนบูชาจะดับพลัน แสงเทียนบูชาดับลับไป...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html บทเพลงแต่ปางก่อน ประดุจดั่งร่มแก้วกางกั้นเกศ เลือนเทวษทุกข์ทนบนทางฝัน อกอุ่นเธอดั่งปราการโอบชีวัน ยามโศกศัลย์เหลียวหาใคร ไม่มี ฟ้าเมตตาประทานเทพเทวาลงมาให้ ยามหมองไหม้พบวิบากยากหลีกหนี สอนสัจจธรรมให้น้อมนำทำความดี รู้สติมีเมตตากรุณานิรันดร์ ได้ซุกซบอกเธอแล้วร่ำไห้ พลีระบายทุกข์ทั้งปวงที่ลวงขวัญ มายาโลกย์จึ่งเลือนลาท่ามคืนวัน ดั่งดวงตาสวรรค์รับรู้อยู่เบื้องบน เกี่ยวก้อยกันปันพลีบูชาโลก ดับชนโศกดับแล้งไร้สร้างกุศล เดินตามรอยเส้นทางทองพระยุคล หวัง.... กมลมิเวียนว่าย...หมาย...นิพพาน.แม้นนานกัลป์..! .......................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song100.html แต่ปางก่อน ชรอ คอย เธอมา แสน นาน ทรมาน วิญญาณ หนักหนา ระ ทม อยู่ใน อุ รา แก้วกานดา ฉันปองเธอผู้ เดียว ญเธอเอย แม้เราห่างกันแสนไกล ชาย ใด ดวงใจฉันไม่แลเหลียว รัก เธอ แน่ใจจริงเชียว รัก เธอ รักเดียว นิรันดร์ ชแม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม ญขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน ชจะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน ญดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ ช-ญคง เป็น รอยบุญมาหนุน นำ รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย ชแม้ มี อุปสรรค ขวาก หนาม ญขอ ตาม มิยอมพลัดพรากจากกัน ชจะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกล กัน ญดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ ช-ญ คง เป็น รอยบุญมา หนุน นำ รอย กรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ ให้ เรา ได้มา เจอะ เจอ ฉันและเธอพบกันร่วมสุขสมดังรอคอย...
หอมหอมพรายดวงดอกฝนในคืนฝัน ให้หวิวหวั่นเงียบงามนิยามเหงา ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นเบาเบา เพียงตัวเรากับฟ้าหนาวเคล้าแสงเทียน นั่งนิ่งนิ่งทิ้งตาเศร้าใจมิโศก รู้ทันโลกสุขทุกข์ฝันแปรเปลี่ยน ฤดูกาลผ่านมาวันวนเวียน สอนบทเรียนสัจจธรรมมายา ฤดูดั่งฤดีมีหนาวร้อน มีร้าวรอนมีรักร้อยสร้อยเสน่หา ทุกชีวีต่างมีโซ่กรรมพันธนา ลิขิตฟ้าพาวนว่ายชดใช้หนี้ชีวิต สะสมเสบียงบุญบารมี รอวันที่เพรงพรหมฟ้าลิขิต สร้างกุศลตราบสิ้นลมหายใจอันน้อยนิด อธิษฐานจิตตามรอยยุคลบาทพระศาสดา...! ทอดตานิ่งทิ้งตาโศก ดูสายฝนพรำบางเบา ในคืนฝันวันฝนริน ราตรีผ่าน มานานเนิ่นเกินนับนึก หาก.. คือสัจจฤดูกาล เวียนวน มาสอนกมล ให้เข้าใจ ในธรรม ธรรมชาติ อันทรงอานุภาพพิสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เสมอมา.. ใจดวงเหว่ว้า แสนดื่มด่ำล้ำลึก ให้รู้สึกในความเหงางามเงียบ สะอาดสงบ หวังหยาดหยดน้ำฝนทิพย์ จัก.... ชุบชูชื่นทุกดวงจิต ทุกชีวิต..ที่ทุกข์ร้อนในหล้าโลกนี้.. ได้ผ่อนเพลา... โลกที่สอนให้เราซาบซึ้งถึงมายา.. ว่า... ไม่เคยมีสรรพสิ่งใดหยุดเคลื่อนไหว...ได้เลย ไม่เคยมีสิ่งใด จีรัง...ยั่งยืน.. และ.. กับแสงเทียนทองทอทอดลอดไล้ ณ..เบื้องหน้าพระพักตร์พระพุทธ พิสุทธิค่า ลูกได้แต่สวดมนต์ ภาวนา ให้ทุกดวงชีวา ชีวี..ใต้ฟ้าไท พสุธาธรรมพสุธาทองแห่งผองเรานี้ ได้รู้รักษ์ครรลอง รู้ครองความเป็นไทย ที่มีดวงใจใสเย็นยึดมั่น ในชาติอิสรา ในศาสนาพุทธอันจำรัสพิพัฒน์มงคล ซื่อตรงจงรักภักดีในองค์พระมหากษัตริย์.. ธ..ผู้ทรงทศพิธราชธรรม และ รักวัฒนธรรมวิถี ประเพณีไทยอันแสนงามเงียบเรียบง่าย... ใช้ชีวิตอย่างสมถะพอเพียงเพียงพอ ไปตราบชั่วกาล นานเนานิรันดร์.... ....................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html สี่แผ่นดิน คนมี ชีวิตและกายา ถือ กำเนิดเกิดมา เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่ กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน เป็นแดน ที่ให้ชีวา พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน...
โลกภายนอกหมุนไปไม่สิ้นสุด โลกภายในรอวิมุติผ่องแผ้ว พบรัศมีบุญงามเพริศแพร้ว เกิดปัญญาแก้วกระจ่างว่างภายใน เห็นเกิดดับนับเนื่องเป็นสายโซ่ มีเพียงโพธิจิตแตกพร่างสว่างไสว ดั่งไม้ธรรมนำนิพพานงามเกินใด ใต้ร่มใจปลดแอกหนักพักเรื่องราว เป็นไม้ทิพย์ไม้ทองต่อยอดบุญ งามละมุนสอนเมตตาลบเลือนหนาว กลางบึงใจดอกนิพพานบานพร่างพราว ทุกข์รานร้าวรักพันธนารู้ค่าลม ลมหายใจสั้นยาวเข้าแล้วออก กายภายนอกหลอกเลือกเปลือกสะสม หวังละเมียดรสกิเลสอิฏฐารมณ์ พาสู่ปมบ่มเพาะอยากมากทวี ทิ้งสรรพสิ่งภาวนาท่ามไพรพฤกษ์ ดูรู้สึกจิตสับสนแห่งชีพนี้ อนิจจังรายรอบสอนชีวี อริยสัจจ์สี่อยู่ที่นี่ณภายในใจเราเองดับเพรงกรรม..! พลังแห่ง..จิตเกษม..! ยามตะวันสนธยาที่ฟ้าฉ่ำฉ่ำหลัวๆ แพนเปิดโคมไฟอบอุ่นอ่าน*พลังแห่งจิตปัจจุบัน* หนึ่งในหนังสือดีที่สุดที่วางแผงในช่วงหลายสิบปีนี้ เพระทุกประโยคนั้นเต็มไปด้วยพลังและสัจจธรรม และพลบค่ำในท่ามกลางความเงียบ หัวใจดวงนิ่งงันสงบงาม ก็ราวเข้าสู่ภวังค์ไร้มิติลึกเลยค่ะ รู้สึกราวได้นิทราไปอย่างอิ่มเต็ม แพนจะแนะนำหนังสือแสนดีแสนมีค่ามาสักนิดสักหน่อยนะคะ บทนำ..ความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้.. *ผมแทบไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ผมอยากจะเล่าย่อๆถึงความเป็นมาเป็นครูฝึกพลังแห่งจิตนี้ ได้อย่างไรและทำไมถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา ก่อนผมจะอายุสามสิบ ชีวิตผมเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หดหู่ และหลายครั้งที่คิดจะฆ่าตัวตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด จนถึงวันนี้ผมยังรู้สึกเลยว่า นี่ผมกำลังเล่าถึงชีวิตในอดีตของตัวเองหรือของคนอื่นกันแน่.. คืนหนึ่ง หลังจากวันครบรอบวันเกิดปีที่ 29 ของผมไม่นานนัก ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับความรู้สึกแย่ๆเช่นเคย แต่..วันนั้นผมรู้สึกแย่กว่าทุกครั้ง ความเงียบสงัดในยามราตรี เงาสลัวๆของเฟอร์นิเจอร์ทอดยาวอยู่ในห้องมืด ผมได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่านอยู่ไกลไกล อะไรๆมันดูน่าขยะแขยงไร้ค่าไปเสียหมด ที่แย่ที่สุดคือชีวิตผม ไม่รู้ผมจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์นี้ไปทำไม? ผมจะดิ้นรนต่อสู้ไปเพื่ออะไร? ผมรู้สึกอยากจะทำลายทุกสิ่ง แม้กระทั่งชีวิตของตัวผมเอง ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องความตาย แล้วจู่ๆ ผมก็ผุดคำถามขึ้นมาในหัวใจว่า ในตัวผมเนี่ย มันมีตัวตนมากว่าหนึ่งหรือเปล่า เพราะถ้าผมไม่สามารถทนกับตัวผมเองละก้อ แสดงว่าจะต้องมีอีกตัวตนหนึ่งในร่างของผมที่คอยปฏิเสธ แต่ที่แน่ๆในตัวตนทั้งสองนั้น ตัวตนหนึ่งต้องเป็นตัวจริง ความคิดที่แปลกนี้มันทำให้ผมพิศวง งงงวย หัวสมองผมหยุดคิด ผมรู้สึกตัวดีอย่างสมบูรณ์ และในหัวอันว่างเปล่าไม่มีความคิดใดใด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมอยู่ในวังวนของพลังงาน มันค่อยๆจมลง เร็วขึ้น เร็วขึ้น ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจผม ตัวผมสั่นเทา ผมได้ยินเสียงถ้อยคำว่า ไม่ต่อต้านอะไรเลย ราวกับว่ามันพูดอยู่ข้างในหน้าอกของผมเอง ผมรู้สึกตัวเองถูกดูดลงไปในที่ว่าง ผมรู้สึกว่ามันเป็นที่ว่างข้างในตัวผมมากว่าที่ว่างข้างนอก ทันใดนั้น... ไม่มีความกลัวเหลืออยู่อีกต่อไป ผมปล่อยให้ร่างของตัวเองจมดิ่งลงไปในที่ว่างนั้น แล้ว ผมก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น..ไม่ได้เลย! เสียงนกร้องนอกหน้าต่างปลุกผมตื่น ผมไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน ผมยังคงหลับตา.. ผมเห็นภาพของเพชร ใช่สิ! ถ้าเพชรเปล่งเสียงได้ เสียงมันคงเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมลืมตาตื่น แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา ผมไม่ได้คิด แต่...ผมรู้สึก! ผมรู้ว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่าแสงสว่างที่คุ้นเคย แดดอุ่นๆที่ทะลุผ่านผ้าม่านนั้น มันพึงพอใจกับสภาพของมันเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาคลอ ผมลุกขึ้นเดินรอบห้อง มองดูสิ่งต่างๆ ผมรู้ดีว่าผมไม่เคยมองมันอย่างจริงจัง มาก่อนเลยในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างดูใหม่ ทั้งๆที่มันอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว แต่เหมือนเพิ่งจะมาปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ให้เห็นก็วันนี้ ผมหยิบจับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นดินสอ ขวดเปล่า ผมรู้สึกพิศวงกับความงามและความมีชีวิตของพวกมัน วันนั้น ผมออกเดินไปรอบเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจกับ ความมหัศจรรย์แห่งชีวิต ราวกับว่าผมเพิ่งจะลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้เป็นวันแรก ห้าเดือนต่อมา ผมใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีอะไรมาสะดุดความสุขสำราญใจของผม ความรู้สึกแรงกล้าในใจผมค่อยๆลดน้อยลง บางทีผมอาจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติก็เป็นได้ ผมว่าตัวผมสามารถทำอะไรกับโลกใบนี้ได้ แม้จะรู้ดีไม่มีอะไรที่ผมทำแล้ว มันจะเติมสิ่งที่ผมมีอยู่ให้เต็มไปกว่านี้แล้วก็เถอะ ผมรู้ดีว่ามีอะไรอบางอย่างเกิดขึ้นกับผม ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก จนกระทั่งหลายปีผ่านมา ผมได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ *จิต* และพูดคุยกับปรมาจารย์หลายท่าน ผมจึงได้รู้ว่า สิ่งที่ทุกคนเสาะแสวงหานั้นได้เกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมเข้าใจสภาพความกดดัน ความทุกข์ทรมานยามดึก ที่ต้องคอยบังคับให้จิตหลุดพ้นจากภาวะ เศร้าสร้อย หวาดกลัวที่คอยหลอกหลอนไม่มีสิ้นสุด การที่สามารถถอนตัวเองออกจากห้วงทุกข์นั้น เปรียบเสมือนกับการปล่อยลมออกหมดจน ความทุกข์ทรมาน..มลายหายไป สิ่งที่คงเหลืออยู่นั้น.. คือธรรมชาติ ที่แท้จริงของผม เป็นตัวผมเอง จิตบริสุทธิ์ก่อนที่จะผูกติดกับรูปลักษณ์อื่นใด จากนั้น ผมได้เรียนรู้ที่จะเข้าถึงดินแดนไร้มิติ อันเป็นนิรันดร์อยู่ภายใน ซึ่งตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นที่ว่างที่ดึงผมลงไป ผมดำรงชีวิตอยู่ในสติตลอดมานับแต่นั้น ผมเริ่มมีความสุขกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก มันต่างกันลิบลับกับเมื่อก่อน มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ ผมเหมือนถูกปล่อยให้อยู่กับตัวเอง ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีฐานะทางสังคมใดใด กว่าสองปีที่ผ่านมา ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสวนสาธารณะ ซับความหฤหรรษ์อย่างยากจะหาอะไรเปรียบ ช่วงเวลาที่สวยงามเหล่านั้นผ่านมาแล้วย่อมผ่านไป แต่สิ่งที่คงอยู่กับผม คือพลังแห่งความสงบที่แฝงอยู่ บางทีมันแรงกล้าจนสัมผัสได้ แม้แต่คนอื่นก็รู้สึกได้เช่นกัน และบางทีมันแอบอยู่ลึกๆคล้ายกับเสียงดนตรีคลออยู่ไกลๆ ผู้คนมักเข้ามาถามผมว่า ฉันอยากได้สิ่งที่คุณมีให้ฉันได้ไหม หรือบอกฉันสิฉันจะหามันได้จากที่ไหน? ผมตอบเขากลับไปว่ามันอยู่ในตัวคุณนั่นแหละ เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะยังมีบางสิ่งรบกวนอยู่ในใจคุณ คำตอบนั้นทำให้กลายมาเป็นหนังสือที่อยู่ในมือคุณเล่มนี้ ก่อนที่จะรู้ตัว ผมมีรูปลักษณ์ภายนอกอีกครั้ง ผมกลายเป็นครูฝึก พลังแห่งจิตเข้าแล้ว!. ................................ หนังสือนี้เป็นหัวใจหลักของงานผม พอพอกับการปาฐกถาของผม ไม่ว่าจะบุคคลทั่วไปกลุ่มเล็กๆของคนที่ใช้เวลากว่าสิบปีแสวงหา *สุขภาวะทางจิต* ทั้งในยุโรปและอเมริกาเหนือ ผมต้องขอบคุณพวกเขาด้วยความจริงใจต่อความกล้า ความเต็มใจที่ยอมอ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลงภายใน คำถามที่เป็นประโยชน์ การยินดีรับฟัง หนังสือเล่มนี้จะเป็นรูปร่างไม่ได้เลย ถ้าขาดพวกเขาเหล่านั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย ที่ริเริ่มค้นคว้า *เรื่องสุขภาวะทางจิต* ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น คนที่เข้าถึงจุดที่สามารถฝ่าแนวคิดเดิมๆ ที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของความทุกข์ ผมเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดทาง ให้กับผู้ที่พร้อม ที่จะรับความเปลี่ยนแปลงภายในอย่างสุดขั้ว จะเป็นตัวจุดปะทุให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะถึงมือผู้ที่เห็นค่า แม้ว่าเขาจะไม่พร้อมที่จะฝึกฝน หรือเปลี่ยนแปลงเต็มตัวในวันนี้ แต่มันเป็นไปได้เสมอ ที่ เมล็ดพันธุ์ที่หว่านไว้ จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ จะไปรวมตัวกับเมล็ดพันธุ์แห่งสติปัญญา ที่อยู่ในตัวมนุย์ทุกคน และมันจะแตกหน่อยืนต้นอยู่ในตัวเขาเองต่อไป.. *ทั้งหมดนั้นคือ ความในใจของผู้เขียนค่ะ เอ็กค์ฮารท์ โกลเลอ เกิดในประเทศเยอรมันนี ที่ที่เขาอาศัยอยู่จนอายุสิบสาม และ หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน เขาเป็นนักวิชาการด้านวิจัย และผู้ควบคุมการสอนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อเขาอายุ 29 การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ได้สลายภาพลักษณ์เดิมๆ และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง* ........................ แด่ทุกดวงใจ... จริงๆแล้ว แพนอ่านหนังสือเล่มนี้ อย่างละเมียดละไมอย่างช้าๆ และค้นพบว่า แนวคำสอนและความคิด ก็คล้ายๆกับศาสนาพุทธของเรา.. จากพระบรมศาสดาเอกของเรา ให้รู้ธรรมชาติชีวิตจากตัวตนเราเอง ให้เราเพียรเพ่งพินิจค้นหาความจริง จากภายในใจเราเอง ให้ หยุดคิดให้ได้ ใช้เพียงสติกำหนดลมหายใจ.. อยู่กับความจริงเป็นปัจจุบัน และ สารพันทุกทุกข์ปัญหาจะคลี่คลายบางเบา ด้วยหัวใจดวงดายเดียว ที่เราจะมิเหงาเปลี่ยว ให้เราเพียรพยายาม สร้างสมาธิมีสติและปัญญาในการใช้ชีวีอย่างงดงาม อย่างผู้ถึงพร้อม..ตายก่อนตาย.. ในท่ามกลางโลกไร้แล้งสับสนร้อนระอุใบนี้ ที่นับวันจะบิดเบี้ยวขมึงเกลียวให้ทุกดวงใจไหวหวั่น ด้วยความกลัวด้วยความเหงา และ สิ่งงดงามเงียบงันพลังแห่งจิตภายใน ก็จะบังเกิดนะกลางดวงใจใสงามของเราเอง คนดี.. หนังสือเล่มนี้ผู้เขียน เพียงนำมาสอดประสานกับความรู้สึก เบื้องลึกของมนุษย์ผสมจิตวิทยาและความจริง ที่เรามักมองหาและหวังว่า สิ่งภายนอก..คน และ..วัตถุภายนอก จะมาเติมเต็มจิตวิญญาณเราได้ คงหาใช่ไม่.. และด้วยดวงใจ สักวันหนังสือสามเล่มที่เขียนโดยท่านผู้นี้ จะได้ไปอยู่ในทุกมือผู้ที่แพนรักและหวังจักบันดาลใจ ให้คิดเย็นคิดเป็นเห็นโลกงามแม้จะต้องใช้เวลาแสนนาน เพื่อค้นหานิยามแห่งความจริงของชีวีชีวิตค่ะ ด้วยรักล้นใจนะคะ และ แพนจะนำมาเพิ่มเติมใจ มาฝากใหม่นะคะ เมื่อยพิมพ์แล้วค่ะ นะคืนนี้นะวันนี้
ประทีปแห่งปวงสงฆ์ดับลงแล้ว ดั่งขวัญแก้วแห่งร่มรัตนโกสินทร์ ยอดมณีนิรพานพรากแผ่นดิน สะเทือนธรณินทร์สิ้นแล้วองค์พระอรหันต์..ขวัญบูชา.. .................. พุดพัดชากำลังโศกสะเทือนใจ กับข่าวการสูญเสีย *พระอรหันต์แห่งแผ่นดิน ดั่งดวงมณี นิรพานค่ะ * หลวงพ่อในดวงใจศรัทธาคารวะสูงสุด แห่งจิตวิญญาณพุดพัดชา..มานานนับหลายสิบปี *พระพรหมมังคลาจารย์ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ค่ะ * และ... กำลังรวบรวมทุกบทความเรียงกวี พลีน้อมศิระกรานกราบ เพื่อแสดงมุทิตาจิต กตเวทิตาจิต จากดวงชีวิต จากลมหายใจน้อยนิดแห่งหนึ่งชีพนี้ ที่พุดเคยได้รับเมตตาปรานี ได้อยู่ในร่มเงาศาสนาได้ฟังธรรม ได้น้อมนำมาพรำพรมรินรด ดั่งหยดน้ำอมฤตธรรมทิพย์เกษม ในร่มเงาวัดชลประทานมายาวนานมาก ได้กรานกราบแทบเท้าหลวงพ่อ อธิษฐานจิตเกาะเกี่ยวชายผ้าเหลืองหลวงพ่อ ร่วมสร้างกุศลบุญ.. เพื่อหนุนน้อมให้ได้พบพระพุทธศาสนา ให้ได้อยู่ใต้ร่มฉัตรเพชรแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทย ผู้ทรงทศพิธราชธรรม.. ได้อยู่ในชาติอันแสนสงบร่มเย็นเป็นสุขมานานช้า ได้พบสายธรรมธาราทองอันผ่องแผ้ว สอนสัจจกระจ่างให้รู้วาง ว่าง หาก..ลูกต้องเวียนว่ายร่างเกิดมา ชดใช้วิบากกรรมอีกหลายชาติภพภูมิด้วยเทอญ.... และ.. ธรรม สุดท้ายที่หลวงพ่อกำลังสอนพุดพัดชา ให้ตระหนักค่าสว่างจ้าถึงค่าคำล้ำล้น สัจจธรรม *มรณานุสติ* และ... *คำที่ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์..* ให้ดวงจิตพุดเห็นทุกข์เห็นธรรม รู้แจ้งในคำว่าอนิจจังอนัตตา เกินกว่าจัก หาคำมาอธิบายความรู้สึกมากมายในใจได้แล้วค่ะ นาทีนี้.... ฟ้ากำลังมืดดำร่ำไห้ แม่พระธรณีกำลังร่ายกรรแสงกำสรวล มวลดอกไม้ทั่วพสุธากำลังโปรยปลิดกลีบน้อมคารวะ สายธารบุญธาราธรรมกำลังละหลั่งรินอย่างมิสิ้นสาย ลม..ระบัดหมุน..วนคล้ายดั่งละทิ้งคำสอนศักดิ์สิทธิ์ แด่ศิษยานุศิษย์ ทั่วทุกทิศานุทิศทั้งแผ่นดินไท แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ฝากให้ผองชนในพุทธสุวรรณภูมิ ต่างล้วนโศกาอาดูรเกินจักรำพัน แล.. ทุกสวรรค์ชั้นพรหม เทพยดา ณเบื้องบน.. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งหนสากลโลก กำลังสวดมนต์รับดวงวิญญาณ *แห่งมณีนิรพาน* ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งสามภพจบจักรวาล... อันประมาณดั่งสายแสงเพชรพร่างกระจ่างสว่างสงบ ในภพภูมิไสว .... ให้*หลวงพ่อ..ปัญญานันทภิกขุ พระพรหมมังคลาจารย์ * ศรัทธาในดวงใจ แห่งพุทธศาสนิกชนคนไทย ได้สถิตไปตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์..ชั่วนิจนิรันดร....!!!!! .............................. แพธรรม..แพทอง เช้าวันอาทิตย์ พุดไปวัดมา พุดรจนากลอนบทนี้ไว้ ขณะที่นั่งใต้ร่มไม้ใบบางๆ และแสงตะวันจางจาง กำลังทอทอดโลมไล้ทุกสรรพสิ่ง ให้นิ่งเงียบงามในใจ และกำลังพร่างใบเหลืองนวลปลิดปลิว สอนใจ..ให้บทเรียนใจเรา.. นะทุกดวงใจ... ใต้ร่มไม้ใต้ฉัตรธรรมงามล้ำลึก สร้อยผลึกสอนใจใฝ่เพชรล้ำ ลงแพทองล่องทะเลโลกย์โศกระกำ ขอแพธรรมนำทางสว่างใจ.. สู่ฝั่งฝันสว่างสอาดสงบสยบโลกย์ แม้นใจโศกรู้ทันเท่ามิหวั่นไหว ขอแพธรรมแพทองล่องลอยไป พาแพใจรู้วางทางนิพพาน.. ขุดบ่อบุญกลางใจไว้รินดื่ม แม้นหลงลืมเรียกขวัญวันพบหวาน นวลเนื้อใจเพียร*งามให้*อย่าโศกราน อุปาทานทำใจใครพรากลา.. รู้วางใจรู้ไม่หวั่นรู้สรรสร้าง เส้นทางงามไม่ท้อถอยเพียรค้นหา ใจเหนือโลกโศกไม่นานนะดวงชีวา ทุกข์ผ่านมาวูบวับรู้ดับทัน.. ดอกลั่นทมร่วงพร่างกลางร่างร้าว ตาซึ้งเศร้าซ่อนน้ำตาอย่าหลงฝัน รู้ทันโลกโศกชั่วครู่ใช่นิรันดร์ ใจเพียรฝันหวังเพียรสร้างงานงามใจ เมื่อมีรักจักรู้คู่ทุกข์โศก เป็นรอยโลกการอยร้าวให้เศร้าไหว รู้รักเย็นรักให้เป็นพลีพร้อมใจ เก็บกลางใจกระจ่างสร้างสรรดี.. เกิดมาแล้วเพียรสร้างทางกุศล หวังไม่วนหลงวงกรรมซ้ำชีพนี้ ใช้แพธรรมแพทองล่องชีวี จิตวิญญาณพลีพบฝั่งฝันวันไร้เธอ.. ................... http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_373.php ดวงใจ..ตามฉันมา.. ฉันจะพาเธอไปยัง ดินแดนแห่งความสุข... ไม่จำเป็นต้อง ใส่รองเท้าหรู คู่แพงๆ ไม่ต้องมีดีเคเอนวาย หรือเวอร์ซาเซ่ ไม่มีน้ำหอม น้ำปรุง..ไม่ต้องหรูไม่ต้องเริด ไม่..ไม่..และไม่...วัตถุมากมี........ ขอแค่ให้มี....ใจดวงที่สวยใสสงบงาม ที่จะมุ่งมั่นไปยัง ดินแดนแห่งความฝันที่มีจริงบนโลกนี้ ที่ใกล้แสนใกล้แต่เราทุกคนกลับมองข้ามไป.... ที่ที่มีร่มไม้ ทั้งสูง ทั้งต่ำ ที่แสนสวยแสนงาม เป็นดั่งร่มแวดล้อมคอยปกป้องกางกั้นเธอจากผองภัย มีดวงใจและน้ำใจมากมีจากกัลยาณมิตรธรรม ที่จะนำทางให้เธอ หลบพักพิงใจอิงเอื้อโอบใจ.. ไม่นานนัก..เธอจะมีใจดวงดีที่เป็นกลางๆ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเซซัง ไม่ต้องพบกับคำว่าความผิดหวังซ้ำๆซากๆ จนใจโศกตรม ไม่ต้อง ครวญคร่ำกับคำว่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมาผิดทาง เคว้งคว้างเดียวดาย..... แต่...มีข้อแม้ถ้าเธอ..นั้นยังแกะเปลือกไม่ออก ยังชอบการหมุนวนแห่งรอยกรรม บางทีเธอนั้นอาจจะยัง ไม่พร้อม..จนกว่าเธอจะค้นหาเส้นทางชีวิตของเธอเอง... แต่รู้ไหม!..บางที่มันเสียเวลา กว่าเธอจะค้นหาเจอด้วยตัวเอง และบางทีก็อาจจะหมดเวลาและสายเกิน ก่อนที่จะพบว่าแท้ที่จริงนั้น ที่คนเราทุกข์หนักกับทุกสิ่งนั้น เพราะเราแบกมันไว้ ในทุกความอยากมากมี ที่มีเสน่หาเย้ายวนกวนให้ใจเราลุ่มหลง และยึดติด ไม่ว่าวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตนี้ที่เราเรียกว่าคน ความอยากมากมี ที่ อยากจะเป็น อยากจะได้ตามๆกัน อย่างที่สังคมบ้าวัตถุ..สังคมทุนนิยมสร้างขึ้นมา เพื่อล่อหลอกให้เรานี้ต้องตกเป็นเหยื่อเพื่อความรวย ของคนไม่กี่กลุ่ม..และเราต้องชุลมุนหัวหมุนวุ่นวาย บ้ากันผ่อน..ผ่อนนั่น ผ่อนนี่ ผ่อนหนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะแก่ตาย... เราลองปลดปล่อย..ของหนักลงจากบ่า ของที่เรายึดติดกันมากมายทั้งทางกายทางใจ และบางที... มันหนักเสียจนรวดร้าวเข้าไปถึงดวงใจจนเกินทานทน จนไม่อยากแม้จะมีชีวิตอยู่... เขียนเรื่องนี้..เพราะคลิกเข้าไปอ่านกระทู้อกหัก พลัดพรากจากรักที่ไม่สมหวัง ที่ซ้ำๆช้ำๆตรมๆตรอมๆ บางคนเสียเวลารักษาเยียวยานานปี จนกว่าจะรู้ว่าที่แท้นั้นคนที่เราบ้าคลั่งรักปานจะกลืนกินนั้น เค้ากำลังกลืนกินคนอื่นแทนเรา.. เราเสียเวลาเพราะไม่มีบทเรียนกำกับใจ ไม่มีเกราะกำบังใจ ให้คิดเป็น ตัดใจเป็นให้รักตัวเอง และแม่พ่อเป็น กลายเป็นคนอ่อนแอ..และนับวันจะแย่ไม่มีดี ไม่มีได้อะไร...ที่จะสร้างสรรชีวิตเราขึ้นมาเลย.... ดวงใจ...ตามฉันมาซี.. มานั่งตรงนี้ ที่นี่ มีพันธุ์พงพฤกษ์ไพร มีดวงดอกไม้รายเรียง มีดวงใจของคนดีๆที่ จะรอประโลมใจเธอให้หายบอบช้ำ... แสงตะวันรำไร ๆ ธรรมชาติสดใส เขียวชื่นตา และมวลพลังงานแห่งความหวังจะกระจายโอบรอบตัวเธอ ให้หลุดพ้น ราวกับมีปุยเมฆสวยสีขาวบางเบา มาปัดเป่าเห่กล่อมให้เธอนิทรากับทิวาราตรีอย่างผู้รู้ค่าแห่งใจตน.. ธรรมะ..ธรรมชาติๆ ธรรมดาๆ ที่เธอไม่ต้องลงทุนซื้อหา แต่จะได้มาเพียงเธอเปิดใจรับมัน... แทนขยะมากมี ที่กำลังมอมเมาใจเธอให้รกรุงรัง เน่าเหม็น... ดวงใจ..ที่นี่จะมีพระสงฆ์มากมาย จะไม่ทำให้เธอหลงทางเสียขวัญ.. ยังมีห้องสมุดทางจิตวิญญาณ ที่เป็นหนังสือ.. ธรรมมะมากมี ที่จะเป็นคำสอนให้เธอค่อยๆเข้าใจ โลกและชีวิต.. ในไม่ช้า ใจดวงมืดบอดของเธอ จะเจิดจ้า สว่างดังดวงตะวันแสนงาม และจะมิมีวันมืดดับ ไม่ว่าจะพานพบพายุร้ายใดๆมากรายกล้ำ กระทบ... ดวงใจ.. พร้อมหรือยัง ตามฉันมาสิ... ฉันนี้กำลังเพียรพยายามที่จะเกิดมาให้สมกับคำว่ามนุษษ์ มิใช่แค่คำว่า คน ที่กวนปนอยู่แต่กับความวุ่นวายสับสน ของกิเลสตัณหา ที่โหมกระหน่ำหนัก มาทุกทิศ ทุกทาง จนโลกบ้าๆใบนี้กำลังบิดเบี้ยว จนจะขาดเกลียวจากกันอยู่มิช้ามินานแล้ว... ดวงใจ..ตามฉันมานะ... ถ้าเธอมีแค่ใจดวงดีอยากลอง อยากลงทุน เพาะบ่มธรรมชาติงาม ให้รู้ซึ้งค่า แห่งความหมดจดงดงามกับความเป็นไปของโลกและชีวิต... ที่จะไม่ต้องหมุนวน ทุรนทุรายไม่รู้จบรู้สิ้น... ค่อยๆขยับตัวเธอนะ.. ค่อยๆแกะเปลือกออกมา พาดวงใจและความคิด ออกมาค้นหาแก่นแท้ของชีวิต แล้วเธอจะรู้ว่าแท้จริงไซร้ สิ่งที่เราทุกคนต้องการนั้น... มันไม่จำเป็นต้องหรูหราราคาแพง ฟุ่มเฟือย มันมิใช่รถเก๋งแพงแพง ใช่การแต่งตัวแข่งกัน ใช่การปั้นหน้าจ้ะจ๋า แต่ใจนั้นแสนเหน็ดเหนื่อยและเดียวดายกับความไม่พอใจ..ไม่สงบสุข... ดวงใจ..ตามฉันมานะ ฉันเองอยากจะพาเธอให้หลุดพ้นจากโซ่ตรวน แห่งความตรอมตรม การหมุนวน ในรักที่เป็นทุกข์ สาหัสสากรรจ์...จนยากทำใจไหว... ตามฉันมาซี..คนดี.. ทุกวันอาทิตย์ เธอจะได้พบกับธรรมชาติที่แสนสวย และธรรมมะที่แสนยิ่งใหญ่ และสองสิ่งนี้จะค่อยๆยึดพื้นที่แห่งความหมองไหม้ ภายในใจของเธอที่หาทางออกไม่พบเจอ.. ทุกสิ่งนั้น..สำคัญที่ใจของเธอ.. ความคิดของเธอ ที่จะลิขิตชีวิตเธอเองใช่ใคร! ตัดสินใจมาเลยจะดีกว่า!นะ.. ฉันจะรอจะคอยเสมอ..อยู่ตรงนี้. เพื่อเดินไปด้วยกันในเส้นทางแห่งความสุขสีขาว..นิรันดร..... ชีวิตจริงพุดพัดชาค่ะ ที่พยายามรักษาจิต ให้งามนิ่งสนิท สะอาดสว่างสงบ แม้ได้บ้างมิได้บ้าง อย่างผู้พึงรู้ตนมิพึงต้องอวดอ้างกับใคร แม้จะยากยิ่งนักแต่ก็เพียรมาหลายปีแล้วและ จะเพียรต่อไปค่ะ..ด้วยรัก.. ................................. http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_373.php บัวขาว เห็นบัวขาว พราวอยู่ ในบึงใหญ่ ดอกใบ บุปผชาติ สะอาดตา น้ำใส ไหลกระเซ็น เห็นตัวปลา ว่ายวน ไปมา น่าเอ็นดู หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ หมู่ภุมริน บินเวียนว่อน ลอยร่อน ดมกลิ่น กลิ่นเกสร พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อน ในสาคร ค่อยพาจร ห่างไป ในกลางน้ำ... http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_420.php รางวัลชีวิต... พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์ ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์ หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์ เวรกรรม ทุกชาติก่อน บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย... .......................... เช้าวันอาทิตย์.. เช้าวันอาทิตย์..ที่อากาศแสนสดใส... ท้องฟ้าสีน้ำเงินจัดจ้า...ท้าแดดกล้า..สว่างไสว..พาให้ใจดวงเป็นสุข....... และอยากไปทำบุญตักบาตรที่วัด.... ไปฟังพระเทศน์..ให้ศีล..ให้พร....... ไปทายทัก....ต้นไม้ทุกต้น.. ที่ร่มรื่นเรียงราย..มากมายนานาพรรณ.. ราวนั่งอยู่ในไพรพฤกษ์พง..... ที่มิใช่ป่าคอนกรีต.....ผืนแล้งราวทะเลทราย......... วันนี้ดวงดีใจ.. ที่ได้เห็นลั่นทมขาวยังพราวดอกดวง.. แม้จะดูหม่นเศร้าเคล้าใบเขียวเข้มขจี..ที่หน้าโบสถ์งาม.. ได้เห็นดอกทองหลาง..ที่สลัดใบ..ร่วงกราว.. ทิ้งกิ่งก้านยาวให้..ดวงดอกแดงงามเจิดจ้า..เฉิดฉาน.. ราวตะวันแรงแผดแสงกล้า..ท้าลมร้อน..ทายทัก...... ดวงอธิษฐานจิต..นิ่ง..นาน..ทุกครั้งที่ตักบาตร......... เกิดชาติหน้า..ชาติไหน..ให้ใจดวง..และผู้อันเป็นที่รักยิ่ง..มิ่งมิตรชิดใกล้.... จงได้เกิดมาพบ...... พระพุทธศาสนา.. ที่มีแก่นแท้นำพา..ใจเรานี้..ให้สะอาด..สว่าง..สงบ.. ดังน้ำค้างบริสุทธิ์ใส..ทุกภพ..ทุกชาติไป ดวง..อยากบอกทุกคนว่า..... การไปวัด..มิใช่สิ่งที่ควรเมินหนี..แม้ในวัยแรกรุ่น....... เพราะการไปวัด..คือการฝึกจิต..เตรียมใจของเรา.. ให้ประณีต..ละเอียดอ่อน..เพื่อให้ถึงพร้อม... อย่างที่มนุษย์ พึงใฝ่หา..ความดี..ความงาม..ความละมุน... มาเติมจิต....เติมใจของเรานี้......ให้เต็ม...... ตื่นเช้า..ยามอุษาฟ้าสาง.... เพื่อฟังเสียงนกกา..ที่ร้องรับ..อรุณรุ่ง....... เปิดเพลงไพเราะ..ที่คุณชื่นชอบ... จุดเทียนหอมงาม..วับแวม..ตามมุมต่างๆของบ้านน้อย...หลังงาม ให้ใจสดชื่นเบิกบาน..รับวันดี..วันใหม่อย่างผู้มีใจงามพร้อม....... หุงข้าว..ให้กลิ่นข้าวหอมอวลตรลบ...ไปทั้งครัว... เตรียมอาหารคาว..หวาน..ไว้ให้พร้อมพรั่ง...... พับดอกบัวงาม..นิ่มนวลเบามือ..ด้วยดวงใจอิ่มบุญ.. ชุ่มฉ่ำราวหยาดน้ำค้างพิสุทธิ์ใส..... มาจากใจที่ แสวงดี...แสวงงาม... น้อมรับมงคลบัว...มงคลดี..มงคลชีวีนี้ให้เราเอง...... เลือกวัดใกล้บ้าน.....เรียบง่าย.... มีคำเทศน์สอนใจที่เข้าซึ้งถึงธรรม... เพื่อน้อมนำ.. ให้เริ่มต้นวันใหม่...อาทิตย์ใหม่..ผ่องใส..สวยงาม..ทุกวารวัน........... ดวง...อยากถ่ายทอด..คำสอนซึ้งถีงทุกคนแบบง่ายๆ.. ไร้ความน่าเบื่อ..เพียงนำมาพินิจนำทางสว่างกระจ่างใจ ด้วยรักและปรารถนาดี.......มากล้น..... คนเรานี้..เกิดมามี..ใจและกาย..เป็นของคู่กัน.... ใจมีหน้าที่ต้องปกครองกาย..รับผิดชอบ... ใจจะได้รับความทุกข์มากกว่าสุข...ก็เพราะหลงรักกาย.... ใจคอยคิดแต่รักกาย.... แต่งให้กายงามเลิศล้ำ หาเครื่องมาประดับ มากำนัลกาย. .แหวนเพชร..สร้อยเพชร....และ...อีกมากมายสารพัดวัตถุ....... แต่กับใจ....ใจลืมใจ..ไม่ได้แต่งให้งามบ้างเลย.. ทั้งๆที่..มีผู้เปรียบเอาไว้ว่า....... ใจและกาย..คือเพชรในหิน....... กายคือหิน.....ใจคือเพชร....... เพชรซ่อนอยู่ในหินฉันท์ใด... ใจอันมีค่าสูงสุด..ก็ซ่อนอยู่กายฉันท์นั้น........ แต่เรากำลังโง่งม....ทิ้งเพชร.. แล้วแบกหินอันหนักแสนหนักเอาไว้..มิปลดปล่อย........... ใจเป็นดั่งนาย..กายเป็นเพียงบ่าว..มิใช่ดอกหรือ.... ถ้าเพียงแต่จิตของผู้ใดคิดดี..มีปัญญา..ก็จะสั่งกาย ให้ทำสิ่งดีดีตามไปด้วยโดยง่าย........ แต่ถ้าจิตไม่ดี..ก็สั่งกาย..ให้สนองกิเลส..ตัณหาพาให้ชีวิตมืดบอด........ จิตที่พอ.....จิตที่หยุด...จะเข้าใจว่า.... กายนั้นหนา..แค่เครื่องมือ..เพื่อนำพาให้ใจทุกข์ทุรนทุราย...... เวียนวน..ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า....ราววิบากกรรมมิรู้สิ้น......... ถ้าเราทุกคนมีดวงตาสว่าง...มองเห็นแสงธรรมน้อมนำใจ... .จะควบคุมจิตได้...และจะสิ้นไร้ทุกข์ทั้งมวล ฝึกให้จิตมีศีล...สมาธิ...และจะมีปัญญา..แยกแยะ..ดี..ชั่ว.... ขจัดและหาเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดจาก...... ความไม่รู้จักพอ....รู้จักหยุด........ คำว่า.....พอ....มิใช่หมายความว่า....ขาด... แต่หมายถึงความพอดี..พอใจ..เพียงพอ..พอเพียง..... ที่มีสมดุล...ให้ชีวิต..ไม่กระหายอย่างไม่รู้จบ..ในลาภ..ยศ..และวัตถุ ที่ต้องการไม่มีวันจบสิ้น ตามกระแสโลก..ที่หมุนวน..ให้หลงผิด.. ไม่คัดสรรเฉพาะสิ่งดีงามให้กับตัวเราเองอย่างมีสติปัญญา ความเอ๋ย..ความสุข..ไม่ต้องใช้เงินซื้อหา.. หากแต่มันอยู่ใกล้แสนใกล้...ภายในใจเรานี่ เอง...... เราจะค้นพบมันหรือไม่หนอ................ เข้าใจมันหรือไม่หนอ... ถ้าไม่พยายาม..จิตเราไม่มีวันหลุดพ้น. .และต้องเวียนว่ายกลับมาใช้กายสนองทุกข์ มิมีวันจบสิ้นชั่วกัปป์กัลป์.......... หาความสุข..ให้พบเจอ..แตะที่ใจเรานี้..คิดดี..คิดเป็น...... พอใจ..พอเพียง..ไม่ทุรนทุราย..ไม่ว่าเรื่องราวใดใด..... ขจัดส่วนเกินออกไป..จากใจนี้ที่หมองเศร้า.. ไม่แบกให้ใจหนักจนเกินทานทน ไม่ว่ารัก..สมหวัง..ผิดหวัง..รักแค่รักอย่างถูกทาง..อย่างพอเพียง...... เมื่อยังเป็นมนุษย์...จงรัก..ให้เป็น....... รักใจมากกว่ากาย...ใช้ใจดวงดี...ดวงงาม... ให้ความรักต่อเพื่อนมนุษย์....เอื้อเฟื้อ..แบ่งปัน..... ละทิ้งส่วนเกินที่มากมี.....ให้แก่ผู้ยากไร้.... แล้วเราจะค้นพบว่า........ คำว่าพอคือ..พอดี..พอใจในชีวิตหนึ่งนี้ที่ได้เกิดมา.. และยังคุณค่าต่อตัวตน..และเพื่อนร่วมโลก ไม่โศกไม่เศร้ากับสิ่งใดใด.. ใจถึงจะพบกับสันติสุขที่จริงแท้แน่นอน...ตราบชั่วกาลนาน...... เหมือนดังที่....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานคำสอนเอาไว้ว่า......... ........Our Ioss is our gain..................... ....................... โลกละไมกับใจเจ้าดวงดอกไม้งาม! http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_198.php (ปรารถนา) จันทร์แจ่มดวง ทอทอดลอดโลมไล้ร่าง ที่ห่มงามด้วยผ้าคลุมไหล่สไบแพรสีโศก ผมสยายยาวทอสกาว รับประกายจรัสเรืองจากแสงเดือนดาริกา ดวงตาสะท้อนพราวน้ำเพชรพร่าง มิใช่จากความเสียใจ มิใช่จากใจเศร้าโศก หากเป็นประกายเย็นใสจากปิติใจ ล้ำลึก ที่ยากยิ่งอธิบาย คล้ายว่าง..เสียจนกายพร่างพรูด้วยความสงบสว่าง ในท่ามกลางธรรมชาติดิบเดิม รายรอบกระท่อมน้อยปลายนา กับบรรยากาศงาม กับมวลหมู่ดารารายพรายพร่าง ในเวิ้งนภากาล กับหวานหอมแห่งเรณูละอองดวงดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง กับดงตาลโตนดเหว่ว้า ที่มีลูกสีดำคลอลำต้นดกปกคลุม หัวใจ.. ผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่างซึ้ง ที่เกิดมาเพื่อพึงภักดิ์รักพลีทุกต้นไม้ ที่รักได้รักดี รักจนบางทีอยากจูบประทับรับขวัญ โอบกอดไปตามลำต้น ปุ่มปมขรุขระนั้น อันคงผ่านร้อนหนาวมายาวนาน ผ่านฤดูกาลหลายฝนหนาวหลายเศร้าวสันต์ลา ผ่านดวงตะวันกล้า ผ่านจันทราเย็นฉ่ำ ผ่านวันคืนอันแปรเปลี่ยน จนปุ่มปมเปลือกนั้นซ้อนทับกัน ราวจะสะท้อนทั้งเรื่องราวรื่นรมย์และเร่าร้อน เหมือนดั่งละครโลกละครชีวิตคน ที่หมุนวนสับสนมาฝากร่างกลางหล้าโลกนี้ ที่มิช้านานต่างก็จำต้องพรากลา เมื่อละครชีวาชีวิตจำต้องปิดฉากลง หาก ต้นไม้ยังจักต้องดำรงคล้ายยืนเฝ้าดูผู้คนบนเวทีโลกนี้ ที่ยอกย้อนว่ายวนมารับรอยวนรับกรรมเวียน เปลี่ยนเพียงหน้าตา พามารับบทที่คล้ายๆกัน ที่เรียกกันว่าโศกสุขทุกข์รักมิวายเว้น.. จากวันคืนสงบเย็น ที่มีน้ำฟ้าปลาดาว พราวหอมด้วยราวป่าใหญ่ไพรกว้าง ที่มีสัตว์มากมาย ดวงดอกไม้นานา ผีเสื้อหลากสี นกที่ผกโผผิน เพื่อสืบมิสิ้นพันธุกรรมธรรมชาติชีวิตให้ดำรงอยู่ ที่จำต้องอาศัยการพึ่งพาพึ่งพิงอิงเอื้อคล้ายวัฎฎโลก ที่นะบัดนี้ ทุกหย่อมหญ้าถูกมนุษย์ผู้คิดว่ามากสามารถฉลาดล้ำ ได้พากันผลาญพล่าทำลายล้าง ให้โลกแสนอ้างว้างห่างไกลจากวิถีเดิม ที่ติดดินงามเงียบเรียบง่ายในการใช้ชีวิต ที่มิคิดเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ในทุกสรรพสิ่งภายใต้ผืนหล้านี้ ช่างน่าเศร้าเสียใจ ดั่งบทกวี*จากหนังสือ ปณิธาณกวี* ของ..*ท่านอังคารกัลยาณพงศ์* ที่นะวันนี้จะเทียบเชิญมาให้กระวีกระวาด และนักอยากจะเขียนเพียรสร้างฝันขยันรจนา ได้ประเทืองประทับใจที่แสนจะโดนใจ ให้เราทุกดวงใจไหวตระหนักเรียนรู้ ที่จะปกปักพิทักษ์โลกให้ยาวยืน *บริภาษสัตว์วิทยาศาสตร์คลั่งนิวเคลียร์* แจ่มจันทร์เจ้าสกาวหนาวแสงทิพย์ ระยิบระยับวับวาวดาวระย้า ลำนำอนันตกาลผ่านหน้ามา สนธยาย้อยหยาดบาดดวงใจ บนยอดผาเยี่ยมฟ้าว้าเหว่ ณ ชะเลเมฆวิเวกขวัญหวั่นไหว หนาวปรโลกโตรกผาชลาลัย นอนไพรโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวนัก.. กราบพระรัตนตรัยใส่เกล้า น้อมกล่าวพุทธมนต์อันสูงศักดิ์ สวดก้องยอดผาบ่ากาลจักร เพื่อหักห้ามขลาดหวาดผวาภัย ไหว้ปู่เจ้าภูหลวงไศลทิพย์ สิบทิศรุกขเทวดาป่าใหญ่ ลูกนอบน้อมพร้อมกายวาจาใจ บูชาไปสิ้นดินแดนดง น้ำค้างพร่างพราวราวเพชรร่วง ระยับยวงรุ้งจันทร์วิจิตรพิศวง ม่านเมฆสลับลับแลลิ่วลง ตรงโตรกชะโงกเงื้อมเลื่อมพรายดาว เห็นจักรวาลอื่นหมื่นแสน แว่นแคว้นทิพยโลกโศกเศร้าหนาว มิติลี้ลับลิบพรายดาวพราว เอกภพสกาวฟ้อนฟ้าทิพาลัย แต่โลกมนุษย์สุดคลั่งนิวเคลียร์ เสียชาติมนุษย์สุดวิเศษสิ้นสมัย จะย่อยยับดับดิ้นด้วยไฟ ใหญ่กว่าอเวจีที่ปัจจุบัน อนาคตดิ่งดับด้วยสรรพพิษ อิทธิฤทธิ์รังสีร้ายแรงมหันต์ เส็งเคร็งกว่ามะเร็งกินวิญญาณกัน อาถรรพ์สถุลยุคทุกอย่างระยำ ทำลายโลกวิปโยคยิ่งใหญ่ หลงใหลคลั่งนิวเคลียร์บ้าระห่ำ สัตว์วิทยาศาสตร์อุบาทว์ใจดำ จงหยุดทำบัดซบจบงาน เป็นขี้ข้ากากนัการเมือง วางเขื่องเบ่งบ้าวิชาล้างผลาญ ชั่วชาติสัตว์วิทยาศาสตร์สามานย์ น่าประหารตัดหัวทุกตัวไป.. ................... ช่างเป็นบทกวีที่แสนงามล้นค่า มาสอนใจมาเตือนใจให้รักษ์โลกรักฝัน ทำสวรรค์ให้มีจริง ให้มีโลกนี้ที่สวยใสด้วยดินไม้ไพรอากาศน้ำดี และ หัวใจดวงนี้ก็พาพลี คิดถึง ยามโพล้เพล้เหว่ว้า กับข้าวกล้าในนาที่เพิ่งหว่านดำ คิดถึงคำ*ชิงช้าเมฆ* ยามแหงนเงยมองวิเวกบนฟากฟ้ากว้าง กับฟ้ากระจ่างลมจรุงปรุงปน ด้วยมนต์หอมลอมฟาง ท่ามกลางแสงกระจ่างพร่างด้วยดาวเดือนสุกใส คิดถึงกุฎิไม้ในวัดที่ยังมุงด้วยกระเบื้องว่าว ที่กว้างยาวแค่ห้าคูนห้าเมตร พอให้พระกางมุ้งนอนได้ กับมีชานระเบียงพักไว้ทอดรับบันไดหินห้าขั้น มีลานหญ้าหน้ากุฎิ มีต้นอโศกอินเดียต้นใหญ่ ที่มีดวงดอกแดงไสวหอมพร่าง ระย้าระยับจับใจ มีกอไผ่นา มีฝูงวัวเลาะเล็มหญ้า มีเณรน้อยเจ้าปัญญาอายุแค่14ปี ที่คิดดีคิดได้หนีโลกวายวุ่นมาบวช ท่านเพียรท่องหนังสือธรรมมะ ใต้ต้นไม้มากมายที่สอดสานใบกันระยับระยิบ และ กำลังร่วงลอยปลิดปลิวลิ่วควะคว้างกลางกระแสลม ลงมาถมทับทั่วบริเวณ และ ต้นไม้ที่พอจะจำชื่อได้มีประมาณนี้ มะฮอกกานี กฐินณรงค์ ประดู่ สาละ ตะเคียน มะหวด ตะแบก ชมพูพันทิพย์ ไทรสาลี่ นนทรี ต้นจันทร์ หมากนานาพันธุ์ ต้นยาง ออฟจาไมก้า แคฝรั่งและอีกมากมีมากมายไม้ประดับ ที่นับแล้วจะมีเป็นพันชนิดไม่น่าเชื่อเลย ที่ตรงนี้คือที่หน้าโบสถ์คร่ำ ที่สามารถนั่งระร่ำริน ทอดนัยน์ตาดูความนุ่มความเขียวครึ้มเขียวแผกแตกต่าง ที่ดั่งร่มฉัตรร่มธรรม ร่มธรรมชาติกางกั้น ให้จิตวิญญาณชิดใกล้กับธรรมชาติชีวิตอันเป็นความจริง เสียยิ่งกว่าจริงมิกลิ้งกลอกลวงหลอนหลอกใจ ได้ดูดอกและใบไม้เสลาหล่นพร่าง ให้เกิดกระจ่างแจ้ง ราวมีแสงแห่งปัญญาพรายผุด ให้ใจดวงพิสุทธิ์ คว้าไม้กวาดสกดสติสมาธิ อยู่กับการกวาดลานวัดให้สะอาด ราวได้กวาดลานใจไปพร้อมกัน ให้สว่างสงบพบพระธรรมนำดวงจิต ให้สถิตเกิดใสล้ำปิติ หยุดนิ่งคิดกังวลกับทุกสรรพสิ่งภายนอก ดวงตาแลเห็นแสงรำไร ดวงใจราวได้รับแสงทองที่ส่องสะท้อนสาด มาจากพระพักตร์พระพุทธพิสุทธิ์งาม ในโบสถ์ยามย่ำสนธยา เกิดเรืองแสงแห่งปัญญาแม้นชั่วยาม ยอมรับสัจจะความจริงนี้แห่งชีวีชีวิต ที่ ในที่สุดไม่ว่า จะสุขโศกเศร้าหนาวร้อนเบื่อๆอยากๆมากเรื่องราว ก็ราวก่อกระจ่างให้วางลง มิหลงยึดมั่นถื่อมั่นฝันไกลที่ตามไปไม่มีวันถึง ให้พึงสดับยอมรับความไม่แน่นอน ให้มองย้อนเข้าไปสู่ขุมทรัพย์นิรันดร์ อันเปรียบประดุจบ้านภายในในตัวตน จนกว่าจะสิ้นแสงแห่งดวงชีวา ร่างใจจะลาลับหล้าลาลับโลกลาดวง ตะวันจริงกำลังสอนสัจจะ ในขณะที่ตะวันในใจกำลังโชนแสงกล้า กับวันคืนที่ได้มากับวัยวันที่กำลังจะเสียไป ไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้ที่จะเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรจะตั้งอยู่ มีแต่รู้ดับไป นะเจ้าดวงดอกไม้..งาม ให้เจ้าจงรู้ทำใจ.. .................. http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33165.php ถ้าเราจะนัดพบกัน ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันลับไม้ ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไปสิจงฟัง ฟังสิฟังสักนิด แล้วอย่าคิดว่าฉันสอนว่าฉันสั่ง ฟังสิฟังกันเล่นเพลินๆ แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญลองจำ ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันพลบค่ำ ธรรมชาติชื่นฉ่ำ ฉ่ำชื่นชื่นใจ ใต้ร่มไม้ใบบางๆ แสงสว่างรำไรรำไร ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องระไว จะอายทำไมกับพระจันทร์ ถ้าเราจะนัดพบกัน จึงชวนให้จันทร์เห็นใจ ลมอ่อนๆพัดผ่าน ชูกิ่งก้านช่อใบ บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว สะบัดใบไปตามลม ผสมน้ำค้างพร่างพรม เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม ต่างเคล้าต่างคลอต่างล้ออารมณ์เรา ให้ชมให้ชื่นใจ นี่แหละที่นัดพบ...... แต่เรามิพบกับใคร เพียงแต่พบกับธรรมชาติ แล้วเราก็อาจจะสุขใจ ไม่ต้องไปพบกับใคร...ที่ไหน..เพลินใจเพลินตา.... มณี..นิรพาน..! สุขฤาทุกข์คือสมมุติมายา พรหมชะตาฟ้าดินเสกสรร วิบากรักภพภูมิเก่าตามทัน รอสวรรค์สว่างณ.กลางใจ ปล่อยวางร่างไร้มิยึดมั่น อยู่กับนาทีปัจจุบันไสว รู้สึกตัวให้ทั่วพร้อมนะดวงใจ ไม่หวั่นไหวผัสสะโศกโลกย์มายา รักฤาชังหวังฤาหวานมินานสิ้น ไปกับดินน้ำลมไฟเหว่ว้า แค่วันหนึ่งซึ่งต้องถึงไม่นานช้า ปรารถนาใดกันเล่าหนาวลำพัง สงบสว่างทิ้งร่างใจไม่โหยหา เรือชีวาได้พบพุทธภูมิแห่งฝันฝั่ง สละโศกมิว่ายเวียนในวนวัง ทิ้งความชังความรักแอกหนักใจ ศีลสมาธิปัญญาเพียรพาพบมณีนิรพาน เพชรตระการกระจ่างแจ้งแจ่มไสว ตายก่อนตายหมายมั่นหนทางไป สว่างใสตามรอยบาทพระศาสดา....