รจนาบทกวีในคืนเหงา มีเพียงเงาจันทร์เป็นเพื่อน ระริบหรี่แสงดาวรายล้อมเดือน รออรุณรุ่งมาเยือนในอ้อมกาล คิดเอยแสนคิดถึง ใครคนหนึ่งในคืนหวาน เลือนรอยลบช้ำลาราน พ้นผ่านวันวิปโยคโศกใจ คืนและวันผันผ่านให้เรียนรู้ คอยเป็นคู่สู้โลกอย่าหวั่นไหว ประคองกันสร้างฝันงามประดับใจ รอวิมานไพรดั่งมาลัยเกียรติยศอันงดงาม อิฐทุกก้อนเรียงร้อยจากแรงรัก มาจากภักดิ์จริงใจแม้นใครหยาม คนช่างฝันฝันเฟื่องเพียงนิยาม แต่งเติมตามจินตนา น่าเศร้านัก หาก..ทุกสิ่งย่อมเกิดก่อเพราะความฝัน เฝ้าแบ่งปันโอบเอื้อเหนือกว่ารัก หยดหยาดเหงื่อเจือเนื้อแท้แห่งความภักดิ์ หวัง..โลกประจักษ์จิตดวงนี้พลีแด่เธอ... เป็นดั่งวิมานดารารายประดับหล้า เป็นวิมานฟ้าแห่งเทพสนองเสนอ เป็นวิมานทองในครองฝันละเมอ เป็นทุกสิ่งแด่เธอ..คนดี..มีค่าควร...! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song1933.html วิมานดิน นันทิดา แก้วบัวสาย ฝากรักเอาไว้ ฝากไปในแสงดวงดาว ที่ส่องประกายวับวาว วาว อยู่บนฟากฟ้า ให้แสงสุกใส ได้เป็นเสมือนดวงตา คอยส่องมองเธอด้วยแวว ตา แห่งความภักดี เก็บฟ้ามาสาน ถักทอด้วยรักละมุน คอยห่มให้เธอได้อบ อุ่น ก่อนนอนคืนนี้ ให้เสียงใบไม้ ขับกล่อมเป็นเสียงดนตรี คอยกล่อมให้เธอฝันดี ดี ให้เธอเคลิ้มไป เป็น วิมานอยู่บนดิน ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร มาคล้องใจเราไว้รวมกัน ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี เป็น วิมานอยู่บนดิน ให้เธอได้พักพิง พิง และนอนหลับไหล เก็บ ดาว เก็บเดือนมาร้อยมาลัย เก็บหยาดน้ำค้างกลางไพร มาคล้องใจเราไว้รวมกัน ก่อนฟ้าจะสาง ก่อนจันทร์จะร้างแรมไกล ยังอยู่กับเธอข้างเคียง กาย อยู่ในความฝัน ฝากเสียงกระซิบ ฝากไปในสายลมผ่าน ข้ามขอบราตรีที่ยาว นาน ให้เธอฝันดี ให้เธอได้อบ อุ่น และนอนฝันดี ให้เธอได้อบ อุ่นอยู่ใน วิมาน...
เงาอดีตตามกรีดหลอน หวังมิซ้อนรอยกรรมซ้ำเป็นสอง รักนิรันดร์อันงดงามดั่งคู่ทอง คงมิต้องภิณฑ์พังอีกครั้งครา ให้ยึดถือสัจจคำอธิษฐาน อย่าให้รานอีกคราวเศร้าเสน่หา อย่าให้ต้องตัดใจหันหลังลา ต่างเหว่ว้าชีวิตขนานกันตราบวันตาย จึงกระซิบวอนให้รู้คิด ก่อนลิขิตเรื่องใดอย่าให้สาย ก่อนที่ใจเราสองต้องเดียวดาย ก่อนมลายลมหายใจไปนิรันดร์ เคยเหว่ว้าเหน็บหนาวยาวนานนัก รอที่รักเทพแห่งพรหมมาสู่ขวัญ เป็นตำนานปาฏิหารย์รักตราบชั่วกัลป์ มหัศจรรย์ล้ำเลอค่าฟ้าดินรู้... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song3738.html ตลอดกาล รัก แรก แทรกความหวานฉ่ำล้ำ ทั้งมวล เหมือน ชวน ให้ใจต้องเสน่หา เหมือน ดั่ง สายน้ำชื่นฉ่ำเย็น ไหลผ่านมา สองอุรา พาให้ฝันใฝ่ รัก นั่น ไม่มีวันเปลี่ยนผัน หัวใจ ให้ ใคร มีใจเพียงเพื่อเธอ แม้ โลก หยุดหมุนรักก็ยัง มั่นเสมอ ฟ้า มีดาว ฉัน มีเธอ ตลอดกาล ขอให้ รักเรา เคียงอยู่คู่ฟ้า ไม่มีวัน ร้างรา พลัดพรากจากไกล ให้ฉัน ให้เธอ รักมั่นจริงใจ ตลอดไป นานเท่านาน ตลอดกาล ขอให้ รักเรา เคียงอยู่คู่ฟ้า ไม่มีวัน ร้างรา พลัดพรากจากไกล ให้ฉัน ให้เธอ รักมั่นจริงใจ ตลอดไป นานเท่านาน ตลอดกาล...
มณีดาวในดวงใจไสวพร่างกระจ่างฝัน รอพบวันนิรันดร์รักลบเหว่ว้า วิมานดาวรายรอพรายพรทั่วนภา ปรารถนาเพียงงามว่างณกลางใจ อธิษฐานเพียรสร้างดีพลีแด่โลก ดับทุกข์โศกมวลมากมิตรด้วยจิตใส ศรัทธามั่นสร้างฝันให้เป็นจริงนะดวงใจ ดั่งวิมานไพรเทพแห่งหล้าฟ้าประทาน ดินลดามงคลศิระเหนือชีวิต จักสถิตเป็นมิ่งขวัญกุศลสาน ตามรอยบาทจิตหมายมาดนิรันดร์กาล เกษมศานต์ปิติใดไหนเล่าเท่ารักชาติรักแผ่นดิน หวัง.. วิมานทวารวดีแดนดาวจักพราวพร่าง ส่องสว่างดั่งอัญมณีไพรมิรู้สิ้น เป็นปาฏิหารย์ภักดิ์รักยิ่งใหญ่เหนือใครจินต์ ดั่งกระแสสินธุ์สุนทรีย์บุญฝากไว้..หมายสอนใจ.. สัจจธรรม...!
ยืนเดียวดายระหว่างทางสองแพร่ง ทางแห่งสายแสงธรรมนำชีพพ้น อีกทางหนึ่งแสนโศกซึ้งใครบางคน รักมากล้นเกินกล่าวคำว่าอำลา หากพินิจถึงคำพรากจากแลเจ็บ เคยหนาวเหน็บสุดเหว่ว้า เคยน้ำตาท่วมใจทรมา เคยไร้ค่าดั่งธุลียามมีกรรม ในวันนี้เงาคนดีมาเคียงขวัญ เสมือนสวรรค์ส่งน้ำอมฤตมารินร่ำ ให้นวลใจใสเย็นดั่งฝนพรำ คือหยาดน้ำอมฤตธรรมจากเทพไท ระหว่างทางแยกช่างแปลกนัก ราววงวัฏฏรักนิรันดร์อันหวั่นไหว ไยไม่เลือกเดินหันหลังลาจากดวงใจ สู่เส้นทางธรรมไสว..ที่ทอดรอ.. เพราะมิอาจสลัดจิตเธอที่เกาะเกี่ยว ให้เปล่าเปลี่ยวหลงโลกย์ทางโศกหนอ หวังเคียงกันสู่สวรรค์ปาริชาติรอ ดั่งคำขออธิษฐานสาบานภักดิ์แห่งรักเรา..! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html สี่แผ่นดิน คนมี ชีวิตและกายา ถือ กำเนิดเกิดมา เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่ กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน เป็นแดน ที่ให้ชีวา พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
วันนี้.. ใบบัว..มีความสุขที่สุด เป็นวันมหามงคลแห่งความปลื้มปิติ ของทุกดวงใจไทยทั้งหล้า วันที่ใบบัวทราบซึ้งดีว่า ใจคนไทยทุกดวงได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อถวายความจงรักภักดีแด่องค์พระพ่อหลวง.. แห่งปวงชนชาวสยาม... ที่โลกคงเฝ้าติดตามดูด้วยความมหัศจรรย์ใจ พระองค์..คือหนึ่งในดวงใจไทยทั้งชาติ พระองค์คือความสะอาดสว่างสงบ พระองค์คือพลังอันงามงดยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน พระองค์คือปิ่นเพชรฉัตรแก้วกางกั้นเกศ พระองค์ทรงเสียสละด้วยมหาเมตตาบารมี ให้ไทยพ้นทุกข์เทวษ มาอย่างยาวนานหลายทศวรรษแล้ว และ.. พระองค์คือพระมิ่งขวัญร่มแก้ว ที่เราทุกคนเทิดไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม และ.. ให้เราได้สอนจิตตน ให้รู้ซึ้งถึงสัจจธรรมแห่งค่าคน ค่าแห่งลมหายใจนี้ที่ได้เกิดมา ให้รู้ใฝ่เพียรทำความดี ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท เพื่อถวายเป็นราชพลีกตเวทิตาแด่พระองค์ท่าน และ.. แด่แผ่นดินทองแผ่นดินธรรม แห่งผองเราอย่างเนานาน อันคือความฝันอันสูงสุด ในชีวิตหนึ่งที่ได้เกิดมา ใต้ร่มฟ้าร่มฉัตร.. อันรัตนเรืองรองของแผ่นดินรัตนโกสินทร์นี้ ใบบัว...มีโอกาสมงคลสิริ ได้ไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ถวายพระพรที่วัดสุทัศน์ หน้าเบื้องพระพักตร์พระศากยมุนีสีทองสุกปลั่ง ที่งามมลังเมลืองใจเกินจะกล่าว และ.. มากเรื่องราว แห่งวันเฉลิมขวัญ ฉลองรัฐ ที่ใบบัวได้ทำและประสบทุกสิ่ง ด้วยดวงใจนิ่งงาม ใบบัว... ได้แต่บอกกับดวงใจตัวเองซ้ำๆ และกับผู้ที่เคียงข้างชิดใกล้ ให้อธิษฐานจิตไว้... ว่า หากเราจำต้องเวียนวนเกิดมาใช้กรรมอีกกี่ภพชาติ ขอให้เพียรสร้างทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ให้ได้มีบุญวาสนา ได้เกิดมาในแผ่นดินพุทธภูมิ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาใต้ร่มฉัตรเพชร แห่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ได้เกิดมาพบองค์พระอรหันต์แห่งแผ่นดิน ได้มีใจดวงสัมมาทิฏฐิ คิดดี พูดดี ทำดี รู้พลีให้..อย่างมีเมตตา อย่างสมค่าคำว่ามนุษย์ ผู้มีใจดวงพิสุทธิ์งามผ่องแผ้วด้วยเทอญ..! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6195.html อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ ลมหนาว ยาม ลมหนาว พัดโบกโบย โชยชื่น เหล่า สกุณฯ ร้องรื่นรมย์ หมู่ ดอกไม้ ชวนภมร ร่อนชม ช่าง สุขสม เพลินตาน่าดูชูใจ โอ รักเจ้าเอย ยามรัก สมดังฤทัย พิศ ดูสิ่งใด ก็แลวิไล แจ่มใสพลัน อัน ความรัก มักจะพา ใจฝัน เมื่อรักนั้น สุขสม จิตปอง ยาม ลมหนาว พัดโบกโบย โชยชื่น เหล่า สกุณฯ ร้องรื่นรมย์ หมู่ ดอกไม้ ชวนภมร ร่อนชม ช่าง สุขสม เพลินตาน่าดูชูใจ โอ รักเจ้าเอย ยามรัก สมดังฤทัย พิศ ดูสิ่งใด ก็แลวิไล แจ่มใสพลัน อัน ความรัก มักจะพา ใจฝัน เมื่อรักนั้น สุขสม จิตปอง... ............................. บุญข้าว..ประดับดิน..! ขอเทิดพระเกียรติ ด้วยบทรจนาในนามปากกาสาวบ้านนา ด้วยรักแผ่นดินทองแผ่นดินไทของเราค่ะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song330.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.html (ค่ำแล้วในฤดูหนาว..หนาวลมที่เรณู) ............ วูบแรก..ของไหวพรายแห่งสายลมหนาว กำลัง...พัดพร่างพาให้ สายหมอกกระจ่าง และ.. มวลเมฆแสนงามค่อยๆพล้อยสายพรายพลิ้วปลิว ฟ่องท่องทาบฟ้า จน..ราวกับทาบทาด้วยอิ่มสีเทาทอง พลางส่องล่องไล้ลูบจูบแผ่วผิวน้ำ จนมองเห็นระยิบริ้วพลิ้วไหวดั่งแสงเพชรเกล็ดแก้วแวววะวับ จับสายน้ำรักนิรันดร์งามดั่งภาพฝันในยามเหมันตฤดู ที่คือ.. ฤดูกาลแรกแย้มแห่งปลายฝนต้นหนาว อันแสนเหน็บหนาวหนาวเหน็บในดวงใจ หาก.. ไม่ยอมรับความแปรไปในวัฎฎกาล แห่งธรรม ..ธรรมชาติอันวนหวานเวียนย้อน กลับมาสอนสัจจะใจ ราวกับฤดีใจฤดูกาล ที่.. ทุกสิ่งทุกอย่าง มักจะแค่ผันผ่านมาผ่านไป ไม่คงที่คงทน... ราวกับ... กมลแห่งมวลมนุษย์นี้ที่มากมีมากมาย ที่จำต้องพบดีร้ายมากรายกล้ำ.. ให้รู้ปล่อยวางร้างไร้ อย่างเข้าใจ ให้.. ฝึกฝนเพียรพาจิตใสให้บานไสวราวบัวพ้นน้ำ และ กับยามนี้..ที่ สาวนา..คนดีกับอ้ายยอดดวงใจ กำลังเดินคลอเคลียเคียงคู่กันริมชายชล ริมบึงบัวกับฟ้าเริ่มสลัวโพล้เพล้สีไพลในยามค่ำ กับ.. สายลมหนาว ที่พราวพัดระร่ำระรินระรินมาพร่างพรมพราย มาร่ายมนต์ให้หนาวกายหากมิหนาวใจ ด้วยได้ไออุ่นโอบเอื้อจากอ้อมกอดอันอวลรักจนได้ไอร้อน อ้าย..หันมาแย้มยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน ให้สาวนา และ... กระชับไหล่แข็งแรง ให้เอนอิงพิงพักราวกับจะพิทักษ์ลมหนาว ที่.. กำลังกรีดกรายมากรายกล้ำ.. มิให้ช้ำชอกหยอกเนื้อนวลเนื้อนาง.. ให้ระคางระเคืองผิวผ่องยองใยดั่งน้ำผึ้งไพรน้ำผึ้งรวง เสียงบทเพลง...แห่งคิมหันตฤดู...กำลังครางครวญ หวนไห้...ลอยแว่วแผ่วมา..ในมโนนึก ให้.. ย้อนรอยถอยหลังรำลึก คิดถึงอดีตอันแสนงามในกาลโบราณ บทเพลง...ที่หนุ่มสาว จะพากันรอวันเวลาแห่งสายลมที่มาพรมพร่าง ให้.. ทุกคนเฝ้ารอ งานฤดูหนาว ที่จะให้สนุกสนานเตรียมต้อนรับปีใหม่ อันคือ... สัญญลักษณ์แห่งวัยวันให้ได้เริ่มต้นชีวิต หากคิดผิดทำพลาด อย่างผู้ฉลาดหวัง ............ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song330.html ค่ำแล้วในฤดูหนาว พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ สายลมเอื่อยมาในเวลาค่ำ ฮึม ฉ่ำชื่นกว่าทุกวัน น้าค้างพร่างพรมลมเย็นรำเพย หนาวโอ้อกเอ๋ยหนาวจนสั่น เสียงเรไรร้องก้องสนั่น ฮึม ทำให้ฉันเป็นสุขใจ เสียงเพลงค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ดังแว่วมาแต่ไกล นี่ใครหนอใคร ฮึม ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ หนาวลมยิ่งทำให้ใจคนึง คิดถึงแต่รักที่หวานฉ่ำ หารักอื่นใดไหนจะหวานล้ำ ฮึม ฉ่ำเท่ารักเราไม่มี สวนลุมพินีถิ่นที่เคยไป เขาดินถิ่นไกลก่อนนี้เคยชื่น เดี๋ยวนี้ผ่านไปเห็นแล้วขมขื่น ฮึม ไม่ชวนชื่นเหมือนก่อนนั้น นภาสะอาดดูงามสดใส ฉันรักจับใจสะอาดนั่น หนาวลมเยือกเย็นนั้นทำให้สั่น ฮึม จิตใจฉันเลื่อนลอยไป เสียงเพลงค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ดังแว่วมาแต่ไกล นี่ใครหนอใคร ฮึม ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ คิดถึงร่วมทางเคยเที่ยวด้วยกัน ทุกคืนก่อนนั้นหนาวชื่นฉ่ำ ทุกทีที่ไปฝังใจจดจำ ฮึม ไม่ลืมคำที่ฝากกัน... ............... สำหรับ..สาวนา เมื่อย่างเข้าเขตหน้าหนาว ที่ลมหนาวพัดกระหน่ำ ระร่ำริน...ให้ดวงใจแสนรักแสนถวิลหวัง ตั้งใจจะไปอยุธยา..เมืองเก่าขอเงราแต่ก่อน เพื่อไปสัมผัส ประเพณีทำขวัญข้าว พิธีสำคัญของชาวนา ประเพณีพื้นบ้าน ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนไทย อันผูกพันกับสายน้ำมาเนิ่นนาน โดยในฤดูฝนเมื่อเสร็จ สิ้นการดำนา นับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จนถึงราว เดือนพฤศจิกายน ที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง ที่ชาวบ้านร้านถิ่นริมชายชลจะจัด งานแข่งเรือกันขึ้น เพื่อความสนุกสนานและการ สมัครสมานสามัคคีกัน และ.. ทำพิธี ที่ยาม เมื่อต้นข้าว แตกกองอกงาม.. จะทำพิธี " ขวัญข้าว " เพื่อเป็นการขอบคุณ และ... เอาใจแม่โพสพที่ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนนา ที่พอถึง... เดือนอ้ายชาวนาจะลงแขกเกี่ยวข้าว แล้ว...เอาข้าวเข้าลาน ก็จะทำพิธี " รับขวัญเข้าลาน " เชิญพระแม่โพสพกลับเข้าเรือน จากนั้นก่อนนวดข้าวจะทำพิธี " ขวัญลาน " ให้เป็น สิริมงคล ซึ่งก็คล้ายกับรับขวัญเข้าลานนั่นเอง... ประเพณีทำขวัญข้าว เมื่อข้าวเริ่มตั้งท้อง ชาวนาจะเอาไม้ไผ่มาสานชะลอมแล้วนำ ครื่องแต่งตัวของหญิง ... เช่นแป้ง น้ำมันใส่ผม น้ำอบไทย หวี กระจก ใส่ในชะลอมพร้อมด้วยขนมหวาน ๒ - ๓ อย่าง ส้มเขียวหวาน ส้มโอแกะกลีบ ปักเสาไม้ไผ่แล้วเอาชะลอมแขวนไว้ในนา เพื่อให้แม่พระโพสพแต่งตัวและเสวยสิ่งของนั้น จะได้ออกรวงได้ผลดี.. ทำพิธีลงยันต์เสกเป่า แล้วเอาตอกไม้ไผ่มาขัดไขว้เป็นรูปยันต์ ๕ มุม ปักไว้ที่ปากหม้อ เขาเรียกว่า "เฉลว ลักษณะเฉลวแบบหนึ่ง ที่ใช้ไม้ไผ่สาน จักเป็นตอกเส้นบางๆ สานตาเหลี่ยม..หรือตาชะลอมมัดไว้กับไม้ไผ่ ปักให้แน่นในแปลงดำนา... หมายถึงการปัดรังควานสิ่งชั่วร้าย ที่...จะทำให้ข้าวไม่งอกงาม รวมทั้งเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เจ้าของนาเป็นศิริมงคล ในการประกอบอาชีพเก่ากาล .. สืบสานตำนานนาต่อไปอย่างไม่รู้สิ้นรู้จบ......... และ.. หวังดวงใจสาวนา ก็คงถูกรับขวัญ... ให้.. พบพลังอิ่มหวานในลานใจเฉกเช่นกัน ในทุกยามย่ำแห่งเหมันตฤดู สาวนา.. ผู้เกิดมาคู่กับวัวควาย... รักวิถีไร่นาวิถี*บุญข้าวประดับดิน* ผู้มิยอมทิ้งถิ่น..ลืมทุ่งทอง ลืมรวงหอมข้าวใหม่ ที่...ยังมีดวงใจใสงาม จึง..เพียงเพียรหวังไปต่อตามเติมใจ ให้ยิ่งไสวงามเกิดก่อพอกันกับกอรวงเรียว ที่.. ยังมีหวังรอคมเคียวพลีเกี่ยวเก็บ ทุกเมล็ดข้าวพราวหอมงามจากผืนดินถิ่นแหลมทอง ที่คงกลับมาหล่อเลี้ยงท้องผองพี่น้องคนไทย ให้... ยังไม่สิ้นเรี่ยวแรงด้วยแรงรักในรวงเรียวเรียวรวง มิหวงหยาดเหงื่อ..ที่ยอมพลีมิรู้สิ้น แม้นใคร...จะหยามหมิ่น ว่าแสนเหม็นสิ้นงาม ก็ตามทีตามใจ ด้วยแรงใจแรงรักมิมีวันจักให้รอยใจรอยไถจักแปร.. และ.. เพียรมิท้อแท้ ที่จะพยายาม...*รักษาพันธุ์ควายเจ้าเพื่อนยาก..* ให้ฝากอุดม...ช่วยกันหว่านพรมผืนนาให้แปรสี ดั่งมี.. พรมแพรทองแห่งท้องนามาผลิกล้า บานประดับหล้าประดับดินประทังท้องประทังหิว ให้ทุกกายชาวไทยมีกิน..มิอดตาย มิหมายทะเยอทะยาน มิหวังรานยาก...ไปฝากผีไข้ในราวเมืองเรืองรุ่ง ให้ยิ่งยุ่งยากยิ่งนัก หาก.. มิพบกับความสงบงาม มิสมถะมิมีธรรมชาติ ที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ใส ที่จะค่อยๆหลอมละลาย..ซึมดวงใจให้พบเงียบงาม ในทุกยามทอดสายตา ไม่ว่า.. จะบึงเหว่ว้าที่เห็นผักบุ้งทอดยอดเลื้อยช่อชูชัน ฤาเห็น.. ปลาตะเพียนในยามสายวสันต์กระโดดผึง เพื่อรอกินข้าวที่พึ่งร่วงพรูกรูลงน้ำนา ยามข้าวกล้าสุกหลงเหลือจากเรียวจากเคียวคม..เกี่ยว.. สาวนา..พร้อมดวงใจมิเปลี่ยวเหงา หากงามเงียบในยามนี้... ยามที่...ยังมีอ้าย มาชิดใกล้เคียงกาย..ทรุดร่างไร้ลงรึมบึงบัว กับฟ้าสีชมพูเจือส้ม กลืนด้วยสีเทาทึม ที่.. กำลังคลี่ทอดทาบเงาสลัวๆลงมาโอบไล้ร่าง ให้ยิ่งงามอย่างนางไม้ในแสงละมุน..ละมุน สาวนา....เอนกายสยายผม..หอมกรุ่นพิงไหล่อ้าย รับสายลมหนาว...ริมชายนาใต้ตาลเดี่ยว.. ปล่อย.. ให้เจ้าสายน้ำ*ควายเดียวในดวงใจ* ได้เลาะเลียบเล็มหญ้า นอนเคี้ยวเอื้องอยู่ใกล้ๆ อย่างแสนสุขใจ.. อ้ายคนดีค่อยๆไหวร่างแข็งแรงกำยำ เอื้อมมือออกไปเด็ดบัวบูชา ที่... ผลิดอกงามแย้มแต้มตระการไปทั่วทั้งบึงฝัน แล้วนำมามัดรวบใส่ไว้ในใบบัว เขียวสดไสว แล้ว.. รัดร้อยด้วยสร้อยสายบัว มากำนัลให้ในอุ้งมือสาวนา พร้อม..กับรอเวลาให้เราสองไปวางพลีถวาย เป็นพุทธบูชาสัการะหน้าพระพักตร์พุทธ ในค่ำคืนนี้ ..ในราตรีนี้ ที่มีจันทร์เสี้ยวเกรียวทองดั่งเรือธรรมเรือทอง คอยท่าพา..ลัดเลี้ยวลอยล่องท่องทิพยรุ้ง พุ่งไป.. สู่แดนดินแห่งฝันว่างกระจ่างงาม ให้เพียรพาร่างท่ามเดือนครึ่งดวง มิห่วงหาใคร มี..เพียงจิตไสวเป็นหนึ่งเดียว ผสานเสี้ยวสมาธิกับความสงบงามเงียบ เปรียบประดุจดั่งปัญญาพิสุทธิ์ใส ที่จะนำพาพายใจพาจิต สู่แดนนิรมิตใต้ร่มพระรัตนตรัย ที่มีบึงใจบึ้งใจเราเพียงนั้น รอรับเรือธรรม ยามพบฝั่งแห่งความฝัน ที่จะกลายกลับเป็นจริง.. เมื่อเรากล้าพอ.. ที่จะสละทิ้งทุกสรรพสิ่งจากเรือใจ อย่างไม่ไยดี...และยึดมั่นถือมั่นไว้นาน มิ..ให้เรือพานพาล่ม จมใต้น้ำ ก่อนการได้ขึ้นถึงฝั่ง อันคือเกษมสานต์.. ตราบชั่วกาลกัลปาวสานต์ ตราบชั่วนิจนิรันดร...มิย้อนวน มาปนเปื้อนกับกิเลสโลกย์โศกสุขทุกข์รัก ที่.. หนักดั่งศิลาอีกแต่ไป..ในภพภูมิกรรม สาวนาหลับตาราวบริกรรมคาถา ภาวนาสมาธิ และ.. ในคลองจิตที่คิดดีแสนเงียบงาม กลับราวได้ย้อนรำลึกนึกจินตนาไปถึง ภาพจาก.. *พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน * ที่.. สาวนาเคยหลั่งน้ำตาปิติเกษมยามได้พลีอ่าน ผ่านดวงตาและดวงใจแสนใสงาม.. และ... กับในยามนี้ราวกับ ในจิตดวงอัญมณี..ได้พลีพบภาพในทิพยนิรมิต อันมีเพียงจิตไสวเลื่อมประภัสสรเพียงนั้น จึงจะจับได้.... คล้ายดั่ง.... มีมุกมณี.. ที่พร่างพราวฉายฉันท์ดั่งฉัพพรรณรังสี ที่กำลังโชติช่วงแตกช่อ.. ดั่ง...กอเพชรพราวพร่างไสวในรวงใจของสาวนา ราวกับ...ภาพตรงหน้าได้พบประสบเอง..เช่นฉะนั้น...!!! .................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.html หนาวลมที่เรณู ..โอภาส ทศพร เรณูนคร ถิ่นนี้ช่างมีมนต์ขลัง ได้พบนวลนาง ดั่งเหมือนต้องมนต์แน่นิ่ง น้องนุ่งซิ่นไหม ไว้ผมมวยสวยเพริด พริ้ง พี่รักเจ้าแล้วแท้จริง สาวเวียงพิงค์แห่งแดนอิสาน เราเคยสัมพันธ์ พรอดรักเมื่อคราวหน้าหนาว คืนฟ้าสกาว เหน็บหนาวน้ำค้างหรือนั่น เพราะได้เคียงน้อง ถึงต้องหนาวตายไม่หวาดหวั่น รุ่งรางต้องร้างไกลกัน สุดหวั่นไหว ก่อนลา ผ้าผวยร้อยผืน ไม่ชื่นเหมือนน้องอยู่ใกล้ ดูดอุร้อยไห ไม่คลายหนาวได้หรอกหนา ห่างน้อง พี่ต้องหนาวหนักอุรา คอยนับวันเวลา จะกลับมาอบไอรักเก่า เย็นลมเหมันต์ ผ่านพ้นยิ่งพาสะท้อน โธ่น้องบังอร ก่อนนั้นเคยคลอเคียงเจ้า ครั้งเที่ยวชมงานพระธาตุพนม ยามหน้าหนาว พี่ยังไม่ลืมนงเยาว์ โอ้แม่สาว เรณู...