นวลนภาหม่นเมฆฝนมาหลายคราแล้ว อุษาแก้วอุ่นอวลมากับฟ้าสาง สุคนธาแย้มรอท่ารุ่งเรื่อราง หยาดน้ำค้างยังพร่างสายหมายปลอบธรณี บัวปัญญาหยัดช่อรอแสงทอง พรายสาดส่องลบมืดมนรุ้งรังสี สอนผองชนสำนึกตนดั่งธุลี สร้างความดีรู้หน้าที่แห่งชีวิต ดาวศรัทธาในปรารถนามโนคติ ให้ผุดผลิอุดมดลในดวงจิต ตระการพราวราวเพชรมณีนิรมิต ลิขิตชีวิตคนพ้นวนวัง แดนธรรมเสรีที่ใฝ่ปอง เรืองรอรอรับผู้มิสิ้นหวัง เรือชีวิตฝ่าพายุกล้าประดัง สู่..ฝั่งฝัน สวรรค์นิรพาน.....นิรันดร์......! ....................................
ดอกเอยดอกประชาธิปไตย ยังเบ่งบานในดวงใจผู้กล้าหาญ และจักมิมีวันร่วงโรยราน อนันตกาลชูช่อเช่นนั้น เป็นความจริงยากแตกดับ ดาวเดือนลับมวลชนมิสิ้นฝัน ให้โลกนี้งดงามเป็นนิรันดร์ ท่ามคืนวันอมนุษย์หยุดสามานย์ บรรพชนสู้สู่เสรี สิ้นชีพพลีเพื่อสร้างสาน สืบทอดอิสรามาช้านาน ตำนานวีรบุรุษไท ดอกสามัคคีรวมช่อกอประชา หาญกล้าเลือดหยดสุดท้ายระรินไหล แดงดับยอมดิ้นสิ้นใจ เทิดไทบูชาศาสน์..กษัตรา...ชาติ ...ธำรง....!
ดาวดวงนับร้อยพันกำลังกระพริบพราว ลอยต่ำ จนดูราวจะเอื้อมมือคว้าได้ แสงอันพร่างพรายส่องระยิบระยับอยู่เหนือทุ่งกว้าง ให้แลดูงามราวภาพฝัน คืนที่ อากาศหอมชื่นด้วยอวลกลิ่นดวงดอกไม้ป่า ดอกไม้ที่ประดับประดาให้พงไพร หอมจรุงฟุ้งเมื่อต้องนวลน้ำค้าง สะพรั่งบานห่มเนินเขาให้เลิกเหงาดายเดียว รับร่างสองร่าง ที่กำลังยืนพิงอิงกันอยู่ริมระเบียงกว้าง ของกระท่อมหินที่ก่อสร้างอย่างดิบเดิม ให้ความรู้สึกอบอุ่นงามหยาบด้วยกรุ่นกลิ่นฟืน จากกองไฟ ที่ลุกโชนจากเตาผิงใหญ่ ภายในกระท่อม ที่สร้างไว้รอให้ไออุ่น ในยามฤดูหนาวย่างกรายมาเยือน แม้นว่าจะมีเพียงไม่กี่เดือนในรอบปี กระท่อมที่มีบานประตู เป็นปีกไม้แผ่นใหญ่ และหอมด้วยดวงดอกไม้ไทยริมหน้าต่าง มองออกไปจะแลเห็นเนินดินลดหลั่นสลับสล้าง ใต้ขุนเขาที่มีลำห้วยสายสวยใส ไหลระรินๆให้อาบกินได้ตลอดปี และแสนโชคดีที่ยังมีบ่อน้ำพุร้อน ให้มีน้ำร้อนธรรมชาติไว้นอนแช่ แค่ต่อท่อให้สายน้ำไหลรวมลงในอ่างน้ำที่ สร้างเป็นบ่อหินด้วยฝีมือช่างท้องถิ่น ชาวบ้าน ที่สามารถนอนอาบและนับดาวเดือนไปด้วยกันได้ ฟ้ายามค่ำ หอมสะอาด ทั่วทุ่งกว้าง เดือนดวงแจ่มกำลังแย้มยิ้มพริ้มพราย ทายทักทุกสรรพสิ่งใต้ผืนหล้า ลมหายใจสงบนิ่งกับพลังสด แห่งความสุข เรียบง่าย ยามยืนอยู่ภายใต้นวลแสงดาวรำไร หลอมรวมใจสู่ธรรมชาติ ที่แสนบริสุทธิ์สะอาด ผสานไปด้วยกัน.. แล้ว..โลกทั้งโลกที่ประดุจดั่งมายาฝัน ก็แสนว่างเปล่า ราวทิ้งเงื้อมเงาโศก โลกแห่งความวายวุ่นไว้ ณ เบื้องหลัง.........!!
ม่านอรุณรอลับหล้าอำลาโลก ทิ้งแสงโศกส้มสวยเศร้าราวโลกฝัน ชมพูม่วงควงเล่นสีอ้อนตะวัน งามดั่งฝันวันอ้อยอิ่งทิ้งแสงลา.. รัตติกาลผ่านประตูสู่ลี้ลับ เหงางามรับเทพีจันทร์ขวัญเยือนหล้า แสงเงินยวงร่วงหยาดหวานหว่านมนตรา นวลดาราประดับฟ้าประดับใจ เทพีจันทร์ท่องป่าเขาลำเนาพฤกษ์ พอยามดึกระยับดวงสว่างไสว รัตติกาลหวานหอมดอกไม้ไพร ดาวอ้อนใจใครช่างฝันดูจันทร์งาม.. เห็นดอกไม้ในดวงจันทร์กันบ้างไหม เล้าโลมใจให้หอมนวลชวนวาบหวาม ทุ่งดอกไม้อาบแสงจันทร์ฝันแสนงาม วิบวาววามวับวาวแวมแต้มดวงใจ......
หนาวน้ำตาในยามดึก ลึกลึกแสนเศร้าสับสน แลโลกย์เห็นโลกว่ายวน ผู้คนแสวงหาสิ่งใดกัน ดอกไม้ธรรมแคระแกรนในดวงจิต ชีวิตสิ้นแล้วแผ่นดินสวรรค์ ทุ่งทองเรียวรวงสงบวัน บัวผันปลิดกลีบร่วงลา นี่หรือคือพสุธาทองในครองขวัญ ที่บรรพบุรุษผู้กล้า พลีเลือดแลหยาดน้ำตา สืบมาถึงเราลูกหลานไทย แม่พระธรณีกรรแสงทุกแหล่งหล้า ฟ้าร่ำไห้สะเทือนไหว วิปโยคเกินกล่าวคำใด ในดวงใจดั่งสายเลือดริน.....! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html สี่แผ่นดิน คนมี ชีวิตและกายา ถือ กำเนิดเกิดมา เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่ กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน เป็นแดน ที่ให้ชีวา พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน ความทุกข์เยือน เรือนกาย หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้ สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา ยามดี เราดีตาม ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์ หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน...