7 กรกฎาคม 2546 12:04 น.
พุด
ฤดูร้อนยังอ้อนอิงอ้อยอิ่งอยู่กับฤดูฝน......
ยามเช้าดวงอาทิตย์สีส้มแปร๊ด ยังทายทักฟ้าสีเหลืองนวล
ดวงดอกไม้ยังเริงร่ายระบำรับแดดอ่อนอุ่นและยามบ่ายรับหยาดละมุน
ของละอองฝนพรำ พรมพร่าง พัดมากับพายุแรง..จนถึงยามเย็นย่ำ..
บ่อปลาของฉัน ใต้ซุ้มการะเวกต้องคอยดูมิให้น้ำล้นบ่าพัดพาปลาแสนสวย
กระเสือกกระสน ออกมาตายหมู่แบบปลาแดดเดียว..
มวลหมู่มัจฉา..ยังเริงร่า ว่ายวน รอท่าเล่นน้ำฝน..สเริงสราญ..
ฝนตกทุกครั้งครา ทำให้ฉันอยากกลับไปเป็นเด็กจัง เพราะชอบเล่นน้ำฝน
บางเวลาฉันเฝ้าคิด เด็กสมัยนี้จะมีบ้างไหมนะ ที่รอท่าออกไปวิ่งเล่นกลางสายฝน..เพราะแม่ พ่อ เลี้ยงดูทะนุถนอม คงไม่ยอมให้ลูกตากแดดตากฝน..
ผิดกับเรานะ ที่เกิดมาในชนบทไกลปีนเที่ยง ที่คอยลบเลี่ยงแม่พ่อรอเอาศรีษะ
หรือกะบาล ไปรอท่ารอรับหยาดฝนเล่น ให้ฉ่ำชื่นชื่นใจ เย็นฉ่ำในทรวงและท้าทายสายพิรุณใส..ด้วยการแหงนเงยหน้ารับสายฝนแรง ให้เจ็บๆคันคัน มันส์สะใจดีแท้ ..และได้ชิดใกล้ธรรมชาติยามวสันตฤดู..
เป็นสิ่งแสนดี ที่คิดแล้ว ทุกวันนี้ยังแอบทำอยู่เลย..
บางวัน ตลอดวัน และไม่มีอะไรทำ เด็กเด็กอย่างเรานั้น
จะพากันไปที่ชายทะเล ไปเล่นน้ำทะเล ที่แสนอุ่น ยิ่งกว่าน้ำในอ่างจากุชชี่
ที่แสนดี แสนสนุกจนได้เรื่องก็มี ที่วันหนึ่งฉันนี้ถูกแมงกระพรุนไฟฟาดเข้าให้ ด้วยความซุกซน หาญกล้าพาเพื่อนๆออกไปกลางทะเลกว้างห่างจากชายหาด แสนไกล ..
แมงกระพรุนไฟที่ฟาดร่าง ฟาดขา แสบร้อนราวร่างจะแยก ต้องกระหืดกระหอบว่ายกลับมาเอาทรายถูพิษออก และต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มนานหลายวัน ถือเป็นประสบการณ์ที่แสบคันมันส์แบบจำไม่ลืมเลยทีเดียว
ที่ฝากแผลริ้วลายบนขาขาวๆ นานหลายปี..
มาวันนี้ ฉันคิดดูก็ตลกและขำมากกับชีวิตวัยเยาว์ ที่แสนผจญภัย..
ทุกความทรงจำช่างเป็นสิ่งสวยงามแสนดีที่คราใดยามใจดวงละมุนนี้คิดย้อนหลังจะยิ้มหวานบานเบิกใจ..
ฉันคิดว่า ชีวิตคนเรานั้น ทุกความทรงจำไม่ว่าดีร้าย มีความงดงามหวานหอม
ซุกซ่อนให้สุขซึ้งใจ ..เหมือนยามที่เรารักใครบางคนมากมาย จะดีจะร้ายจะรักเขาข้างเดียว ข้าวเหนียวค้างปียังไงก็ยังดี ที่หัวใจดวงนี้ของเรายังได้หวามไหว เรียนรู้ที่จะให้ความรักที่ยิ่งใหญ่สวยงามกับใครสักคนอย่างโอบเอื้อ อ่อนโยน อ่อนหวาน ละมุนละไม..และ ..
แม้ใจเรานี้จะว้าวุ่น แสนทุกข์ตรมดายเดียวก็ตามทีเถอะนะ...ดวงใจ!
7 กรกฎาคม 2546 11:03 น.
พุด
ฉันกำลังเปิดCDเพลงนี้จากเสียงนุ่มละมุนของพี่แจ้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์..
หลั่งความขื่นขม ที่ถมอยู่ในใจคน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน
สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน นั่นคือหยาดฝนฉ่ำใจ
สาดสายพร่างพรายพรมพื้นไร่นา แนวเนิน
ป่าดอนโขดเขินคลองคุ้งทุ่งหนองนองไป
หล่อเลี้ยงพืชพรรณมีผลดอกใบ
โลกเคยหลับไหลพลันฟื้นตื่นใจ สวยงามสดใสจริงเอย...
พอแสงทองอาทิตย์ทาบทา(ซ้ำ)
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมระเพยพัดเลยลอยวน..
หยาดน้ำจากตานางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ผ่านมากับลมเป็นฝนพร่างพรมใจคน
แต่น้ำจากตา ตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอยระเหยกี่หน ถึงกลายเป็นฝนฉ่ำใจ...(ซ้ำ)
ทุกครั้งที่ฝนตกฉันมักจะเปิดเพลงนี้คลอเคล้า
และยามที่ดวงใจร้าวรานสุดทนจนต้องหลั่งน้ำตา..
แม้จะมีคนกล่าวว่า..น้ำตา..มิสามารถแก้ปัญหาใจได้ก็ตามที..
ใช่..บางทีมันก็จริง แต่ก็..จะใช่เสมอไป...
เพราะบางครั้งครา..น้ำตาก็ช่วยชะล้างระบายคลี่คลาย
ความหมองหม่นใจได้ เหมือนดั่งหยาดฝน
ที่คลายความมืดมนแห่งท้องนภา
ให้มีฟ้าหลังฝนสว่างแจ่มใสและหยดน้ำตาพา
ให้ดวงใจแจ่มจ้าอีกคราครั้ง..
หลังพายุร้าย พายุรัก พัดผ่าน.ลาเลยลิบ ไปไม่หวนคืน...กลับมา
และในทุกยามที่เรานี้หันไปไม่มีใครคอยปลอบโยนช่วยเช็ดน้ำตา..
ฉันมักร้องไห้เสมอ ยามนี้ที่มีปัญหาคาใจ ...
หลังจากนานปี ที่ดวงใจนี้เคยฝึกความใจแข็งจนใจแห้งผากไปทั้งดวง..
เก็บความโศก รานร้าว เศร้าหมองไว้จนใจมันด้านชา
จนน่ากลัว..กับความทุกข์ที่สาหัสสากรรจ์..
บทเรียนที่ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า
แม้หยาดน้ำตาจะมิได้ช่วยแก้ปัญหาเราได้ทั้งหมด..
แต่ก็สามารถทำให้หัวใจเราหมดจดได้ระดับหนึ่ง
หลังจากได้ผ่านการครวญคร่ำร่ำไห้ดายเดียว
ได้ระบายชะล้างทั้งดวงตา และดวงใจที่มืดบอด..
ให้คลายหม่นทนระทมลงได้บ้าง..
ทุกค่ำคืน..ไม่ว่าคืนค่ำไหน หากดวงใจฉันโศกช้ำสะเทือน.
.ฉันจะนอนนิ่งๆทิ้งตัวในความมืด...
จะมีดวงดารากระพริบพราวพร้อมเป็นเพื่อนหยาดน้ำตา
ให้กับดวงใจที่เหว่ว้าในเรียวตาที่สะอื้นไห้อย่างเงียบๆลำพัง...ดายเดียว..
7 กรกฎาคม 2546 10:48 น.
พุด
ได้อ่านเรื่องของคุณ..มาหลายเรื่องแล้ว รู้สึกประทับใจ อยากรู้จักเป็นส่วนตัวอย่างที่สุดครับ.........
จากแทน...
เมล์ฉบับนี้ ไพลได้รับมานานแล้ว ก่อนที่จะย้ายเวทีมาเป็นนักอยากจะเขียน
หน้าใหม่ในไทยโพเอม..ที่ทำให้ติดหนึบเป็นตังเม..ไม่อยากเร่ร่อนไปหาเวที
แสดงที่ไหนอีก...แล้ว
และเมล์นี้จะทะยอย..มาทุกวันให้ฝันเพ้อหลงละเมอภูมิใจว่าไพลนี้หนา
คือนางในฝัน ในดวงใจ ของใครบางคนที่ซาบซึ้งตรึงใจในผลงานการเขียนของไพล
อยากสารภาพว่า..ถ้าไพลเป็นดวงดอกไม้ คำเหล่านั้นก็ประดุจดังหยาดน้ำทิพย์
น้ำอมฤต ที่นำมารินรดหยดให้ใจดวงร้าวได้เบ่งบานสดชื่นราวได้หยาดละออง
น้ำค้างแสนหวานแตะแต้มกลีบใบและมีค่ายิ่งต่อหัวใจดวงเล็กๆ..ดวงนี้..ที่รักการขีดเขียนเป็นที่สุด..
และไพลคิดว่า..นักอยากจะเขียนหรือกวีกระวาด ในไทยโพเอมทุกดวงใจทุกท่าน
ก็คงคิดเฉกเช่นเดียวกันกับไพลนะคะ
ทุกคนต้องการกำลังใจ พลังใจ เพื่อสร้างสรร สร้างฝัน สร้างผลงาน
จากท่านผู้อ่านทุกท่านที่มีเกียรติ..
จะดีจะร้าย ก็พร้อมทำใจน้อมยอมรับฟัง
แม้ว่าธรรมชาติมนุษย์นั้น ส่วนมากชอบฟังคำแสนดี คำสรรเสริญเยิรยอ
มากกว่าคำติฉินนินทาว่าร้ายราวสาดโคลนใส่กัน ก็ตามที...
แต่เมื่อ..ก้าวมายืน..แค่ริมๆถนนสายดอกไม้งาม
เพราะว่าฝีมือยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านขึ้นไปยืนเชิดหน้าบนถนนได้อย่างสมภาคภูมิ
ก็จำต้องฝึกจิต หัดน้อมรับคำติชม เพื่อพัฒนาฝีมือ ฝึกปรือให้ช่ำชองวิทยายุทธิ์
และต้องยอมรับว่า..กว่าสมองน้อยจะค่อยๆก้าวขึ้นไปยืนในถนนสายดอกไม้งามนั้น.
อาจจะต้องมีหนามแหลมคมมาทิ่มแทงใจ ให้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งนั้นกว่าจะฝ่าฟัน คว้าฝัน
คว้าดาวดวงมาสู่อุ้งมือเราๆได้นั้น..เป็นเรื่องยากลำบากเป็นยิ่งนัก จนบางครั้งอยากพักใจ
พักเขียน ถอดใจ โยนปากกาไปไกลๆ ยามท้อแท้แพ้พ่าย..
สำหรับไพล...คิดอย่างเจียมตัวเสมอมาว่า..งานของไพลนั้นคล้ายกับงาน
คนช่างฝัน ที่น่าเบื่อเป็นยิ่งนัก เพราะไพลเจตนาพยายามอนุรักษ์ภาษาไทย
ที่คิดเข้าข้างตัวเองว่า สละสลวยค่อนไปทางย้วยยาน..บานตะไท
อย่างตั้งใจที่จะเขียนแบบนี้อย่างที่สุดแล้ว..
แต่หากสังเกตให้ดี..จะเห็นว่าไพลพยายามสอดแทรกแจกธรรมมะ ธรรมชาติ ธรรมดาๆ
และพยายามบอกให้มีชีวิตงามเรียบง่ายติดดิน มิวิ่งตามแฟชั่นวัตถุ..
ให้ค้นหางามง่าย ใกล้ตัว ใกล้ใจ ที่จีรังถาวรเป็นที่สุด เพียงแค่เรารู้จักเปิดใจ
ไพล..ไม่ค่อยได้ตอบเมล์ใคร ที่เข้ามา แม้กระทั่งคนดีในชีวิตไพล ที่เฝ้าเมล์มามิรู้เบื่อ
จนไพลย้ายวิกย้ายเวบ..
กระทั่งวันนี้ ไพล ก็ยังไม่เคยตอบ ผู้ชายในดวงใจที่สร้างความรู้สึกให้ไพลซึ้งใจอย่างที่สุด
ที่วันนี้..อยากบอกว่า ไพลคิดถึง เขาคนนี้ อย่างที่สุด ยามนี้ยามที่ใจไพลเศร้าสะเทือนใจไหวร้าว
กับคำกับการกระทำที่หยามหมิ่นของใครบางคนอย่างที่สุด..ตลอดเวลา..
ไพล..ไม่ตอบเมล์..มิใช่ไม่สนใจ ไม่ไยดี หรือเพราะว่าหยิ่งยโส..
แต่ไม่ทราบจะบอกอะไรดีนอกจากกล่าวคำขอบคุณ
และไพลรู้ดี..ชีวิตจริงกับชีวิตแห่งโลกฝันนั้น
ต้องแยกให้ออกจากกันโดยเด็ดขาด..
นักเขียนอย่างไพล..ไม่ได้มีชีวิตอะไรที่น่าสนใจ ในโลกจริง
มีเพียงสร้างโลกเงียบงาม เพื่อเก็บไว้สร้างฝันสล้าง จินตนาการรักชังขมขื่น..ชื่นใจ
ไปวันวัน..
จากใจดวงนี้ ที่รักงานเขียน งานฝัน ดั่งดวงใจ..
ที่มิเคยคาดหวังสิ่งใดมากมาย นอกจากได้ระบายใจดวงร้าว มากมีประสบการณ์
ผ่านตัวละคร ตัวอักษร ให้ร้องไห้ ให้เจ็บปวด ให้รานร้าว
มากเรื่องราวหลากรสที่จำเอาไว้นานเนา จากประสบการณ์จริงเป็นอิงนิยายนิดๆ
และถ้าท่านผู้อ่านอ่านแบบตั้งใจ อ่านแบบคนอ่อนไหว ใจอบอุ่นคงไม่น่าจะคิดทำร้าย
ซ้ำเติมใจดวงนี้ ให้เจ็บหนักยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากวิงวอน ออดอ้อนให้ช่วยเช็ดหยาดน้ำตา และอ้าแขนโอบกอดปลอบขวัญ
อย่าได้ทิ้งฝัน แสนสวยแสนดี ในไทยโพเอมนี้ไปนานนิรันดร์ จริงไหมเล่าคนดี..ทุกดวงใจ!
อย่าเห็นกันดีกว่า..
ถ้าเห็นแล้วเอื้อมไม่ถึง
เหมือนมีใครยุดฉุดดึง
ตอกติดตรึงขวางคอยกางกั้น..
ก็คนรักใคร่..
อยากจะใกล้ชิดกัน
เธอ..กลับสลัดตัดฉัน
ทำอย่างนั้น ฉันน้อยใจ..
ได้เห็นกันใกล้ๆ
กลับไกลเหมือนไม่มีหวัง
รักกันคลั่งไคล้กลับชัง
เจ็บประดัง ฉันทนไม่ได้..
ไม่เห็นดีกว่า
ความปรารถนาลดไป
เห็นกันใกล้ชิดไม่ได้
มันดั่งมีไฟไหม้เผาอุรา..
รักก็รู้กันอยู่ว่ารัก
มันปรารถนายิ่งหนัก
ต้องมาฝืนหัก
เหมือนสุดฟากฟ้า..
ฉันคงอกหัก
เพราะฉันรักเธอมากกว่า
นิดเดียวฉันยังไม่กล้า
จะทำให้เธอช้ำใจ..
อย่าเห็นกันดีกว่า..(ซ้ำ)
ถ้าเห็นแล้วอดไม่ไหว
เดี๋ยวเธอไม่คิดชอบใจ
โกรธเคืองไปฉันคงระทม..
เจ็บจนเหลือเจ็บ
กลืนเก็บเป็นแผลระบม
ไว้วันที่ฉันได้ชม
จะชื่นให้สมให้สาแก่ใจ!
7 กรกฎาคม 2546 10:40 น.
พุด
เช่าหนัง VCD มาดูสองเรื่อง...
MY LEFT FOOT กับ I DREAME OF AFRICA..
ดูไปร้องไห้ไปทั้งสองเรื่อง เป็นเรื่องโศกระทม ที่สวยงามทางจิตวิญญาณ
ซึ้งใจ โดนใจ กระชากใจ และสุดท้ายสอนใจ
รักนางเอก..คิม เบซิงเจอร์ นางเอกที่ดูกี่ทีก็ยังมีเสน่ห์ เซ็กซี่ ในลีลา
ในใบหน้า..ชวนฝัน..
แม้ว่าในเรื่องนี้..เธอจะรับบทคุณแม่แสนดี ภรรยาแสนสวย ที่หนีชีวิตหะรูหะรา
มาค้นหา แสวงหาสัจจธรรมแห่งชีวิตในราวไพรกว้าง ของป่าอัฟริกา..
และเธอต้องมาสูญเสีย ดวงใจรัก ทั้งสามีและลูกที่นี่..ตามบัญชาเรียกแห่งเพรียกไพร..
เป็นเรื่องจริง ที่แสนดี และที่ฉันชอบมากที่สุด ก็เพราะมีฉากธรรมชาติๆธรรมดาๆ
มีสัตว์ป่าสวยงาม มากมี มีเทือกเขาซ้อนเหลื่อมหลั่นละลิบลิ่ว ราวยุคแรกของมนุษย์
มีฉากห้องนอน เครื่องนอน มุ้งขาว โปร่งพลิ้ว ปลิวไหว ในกระท่อมทับที่ดูงามง่าย
สงบสุข เสียไม่มี ที่ฉันนี้ฝันไว้ ว่าอีกไม่ช้านาน ฉันจะมีบ้านกระท่อมแบบนี้ อีกหลัง
ในราวไพรพะงัน เกาะในฝันของฉันที่ฉันมีผืนดินเตรียมพร้อมแล้ว..
และคิดว่า ฝันกำลังลอยเลื่อนจะเป็นจริงเข้ามาทุกขณะ แล้ว..
ฉันชอบทุกฉากตอน โดยเฉพาะฉาก ที่นางเอกกล่าวคำอาลัยอาวรณ์เหนือหลุมศพสามีสุดที่รัก
ให้คืนร่างกลับไปสู่ธุลีดิน เป็นหนึ่งเดียว..กับผืนพสุธาที่เขาฝันใฝ่แสนรัก..มายาวนาน...
คนเรา เลือกเกิดไม่ได้ แต่บางทีถ้าโชคไม่ร้ายจนเกินไป เราอาจจะเลือกที่ตายได้ ที่จะฝากฝังร่าง
ไว้ในผืนดินแห่งรักนิรันดร์ ที่เราทุกคนนั้นฝันที่จะขอเลือกเอง..
อีกเรื่อง..หนึ่งนั้น MY LEFT FOOT.........
คิดถึง และอยากให้ กวีกระวาด ในไทยโพเอม เช่ามาดูนะคะ
เพราะว่าเป็นหนังที่ให้พลังฝัน พลังใจ พลังจินตนาการ ผลักดัน ให้เรากล้าฝัน กล้าฝ่าฟัน
ใช้สมองสองมือเอื้อมคว้าไขว่ดาว..แห่งความสำเร็จ มาร่วงพรายพราวเจิดจ้าในอุ้งมือสักดวง....
ให้เรารู้ว่า เรานี้หนาแสนโชคดีนักแล้วที่ยังมีมือมีเท้า ครบถ้วน ให้ก้าวเดินไปข้างหน้า ท้าทาย ต่อสู้อุปสรรค
หนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ดี ที่สอนใจให้ลุกขึ้นมาสู้ทั้งผู้พิการกาย และใจ
ให้ใครหลายๆคนที่ผิดหวัง พลาดรัก และมีอารมณ์ศิลปิน ได้รู้ว่า ในความเหงา ดายเดียวนั้น
ได้ซ่อนพลังแห่งฝันแห่งการสร้างสรร ให้เราทุกคนสานฝัน สร้างงาน ที่สวยงาม แสนสุข
ในทุกยาม ที่เราเพียรพยามถ่ายทอดเรื่องราว ระบาย ไม่ว่าในผืนผ้าใบหรือหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า
ให้โลดแล่น เริงร่า ให้หัวเราะ ร้องไห้ ให้บทเรียนสอนใจ..
นี่คือสัจจธรรม นี่คือความจริง ของชีวิตนักเขียนนัก ฝัน นักวาดรูป
ฝันเป็นจริงได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ยังดีที่ได้บอกเล่าและเป็นแรงบันดาลใจ..ให้กับทุกดวงใจ
ที่ทุกข์ตรมและหาทางออกไม่พบเจอ..ในชีวิตหนึ่งนี้ที่แสนสั้นเป็นยิ่งนักแล้วนะ..
ขอฝากกำลังใจ จากหนังเรื่องนี้ ถึงดวงใจ ที่รักทุกดวง ที่แสนดี แสนละเมียดละมุน
ในไทยโพเอม ขอจงอย่าเลิกฝัน นะคนดี....
และขอจบกับบทเพลงนี้ ที่เป็นฝันอันยิ่งใหญ่ ในใจคนไทยทุกดวงนะคะ...
..............เพลงความฝันอันสูงสุด........
ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึก ทุกเมื่อ ไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์ รุกโรม โหมกายใจ
ขอฝ่าฟัน ผองภัย ด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่ แก้ไข ในสิ่งผิด
จะรักชาติ จนชีวิต เป็นผุยผง
จะยอมตาย หมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทอง หลังองค์ พระปฏิมา
ไม่ท้อถอย คอยสร้างสิ่ง ที่ควร
ไม่เรรวน พะว้าพะวัง คิดกังขา
ไม่เคืองแค้น น้อยใจ ในโชคชะตา
ไม่เสียดาย ชีวา ถ้าสิ้นไป
นี่คือ ปณิธาน ที่หาญมุ่ง
หมายผดุง ยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ ทรมาน นานเท่าใด
ยังมั่นใจ รักชาติ องอาจครัน
โลกมนุษย์ ย่อมจะดี กว่านี้แน่
เมื่อมีผู้ ไม่ยอมแพ้ แม้ถูกหยัน
ยังยืนหยัด สู้ไป ใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญ ก็เพราะปอง เทอดผองไทย ..(.บทเพลงพระราชนิพนธ์)
6 กรกฎาคม 2546 23:08 น.
พุด
คืนนี้รอบข้างเงียบมาก...
ฉันไม่ได้แหงนมองจันทร์เช่นทุกคืน..
ท้องฟ้าดูเงียบเหงา เทาทึมตั้งแต่เย็นแล้ว
ฉันตาฝาดไปรึเปล่าหนอ..
ที่วันนี้..ดูโลกรอบข้างและท้องฟ้าราวทาบทาด้วยสีน้ำเงิน..
อีกคราครั้ง..ในรอบสิบปี..
เย็นมาก ใกล้ค่ำ ได้ยินเสียงจิ้งหรีดกรีดร้องระงม..
ฉันจุดเทียนอาบน้ำ..
ปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวกระหน่ำหนัก..รินรด..
มืดทั้งบ้าน...ฉันพยายาม...เช็ดผมให้แห้ง...ทั้งๆที่มือและใจทำไมอ่อนแรงไร้พลัง...
ทรุดตัวลงนั่งนิ่งๆ ทิ้งใจและตัวในความความมืดมิด..ดิ่งจม..ในห้องนอน
ริมหน้าต่าง มีใบจำปีซัดส่าย ไหวไกวกล่อมเป็นเพื่อน...
ในภวังค์ ฉันง่วงงุน...งีบหลับไป..
ฉันฝันร้าย น่ากลัว..ฝันว่าตัวเอง วิ่งหนีอีกแล้ว วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง..หนีจากผู้ชายคนเดิม..
ที่เคยฝันเห็นหลายครา.....
ฝันนี้..ฉันไม่โชคดีเหมือนคราวก่อน..เขาไม่ได้ปรานี..ปล่อยฉันไป..
แต่กลับจ้วงแทงตรงกลางใจฉัน..หนักหน่วง..รุนแรง..อย่างสาสะใจ..
ในฝัน..ฉันมิได้กรีดร้อง..แต่แค่แหงนมองเขาด้วยสายตาที่เป็นคำถามและหยาดน้ำตา!..