14 สิงหาคม 2546 23:31 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=25
ไพล..ในชุดผ้าลินินสีขาวยาวกรอมเท้า
เปิดไหล่ล้ำกลมกลึงให้เห็นผิวสีน้ำผึ้งรวง
รายรอบคอจับจีบรูดระบาย ผูกเป็นโบว์ปล่อยชายพลิ้วไหวสะบัดลม..ยามย่างเยื้อง
หมวกลายลูกไม้ สีขาว ขับเรียวหน้าละออ เนียนละมุน งามสะอ้านหวานจับใจ
แสงอาทิตย์ยามสนธยา ทอทอดสาดส่องต้องเรือนผม
จน เป็นประกายสีน้ำตาลทองเจิดจ้าจรัสมลังเมลือง ไล้เรียวหน้าดั่งทองทา..
รองเท้าผ้าใบสีขาว รอบข้อเท้าคือสร้อยทองเคงามเรียบ มีเพียงเสียงกังวาน
กรุ๊งกริ๊ง กระทบกันเบาเบาแสนเสนาะยามเธอก้าวเดิน
ไพล..ก้าวลงเรือ ข้ามไปยังอีกฝั่งฝันเจ้าพระยา
ยามอาทิตย์เริ่มลาลับลา ทิ้งแสงสวยเศร้าส้มสุกทั่วทั้งท้องนภา
และท้องน้ำราวอาบด้วยมนตราของทองคำ
ทาทาบอาบเปลวระยิบระยับ
ไพล..ทอดสายตาซึมซับรับซาบซึ้ง ที่กำลังลึกล้ำถึงด่ำดื่ม
ให้สายน้ำ ซอนแทรกฉ่ำหวานระรินละล่องเข้าครองเนื้อใจนวล
ยิ้มหวานตรงเรียวปาก ให้กับคนขับเรือเพราะเที่ยวนี้มีเธอข้ามมาเพียงลำพัง
กับค่าโดยสารข้ามฝั่งที่ราคาแค่สองบาท ตั้งใจว่าให้คุ้มค่าน้ำใจ ค่าน้ำมัน
เธอคงจะวางเงินมากกว่าจำนวนนั้น โดยมิหวังเงินทอน
และทุกคราที่เธอข้ามมาณ.เกาะเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งเป็นเกาะที่สามารถมาซุกซ่อนสุขทุกข์
ซึ้งเศร้า เคล้าคลุกงานงามเครื่องปั้นดินเผาที่เลืองชื่อฝีมือชาวมอญ ละเมียด
ให้ลืมโลกจริงไปชั่วขณะ ที่มากเรื่องร้อยราว
มากเศร้ามากสุขมากคน หมุนวนหมุนเวียนซ้ำๆซากๆ..
ไพลจะเดินเดียวดาย นั่งริมฝั่งชลใต้เงาไม้
ดูลำน้ำลำนำเจ้าพระยาเฝ้าเห่กล่อมหลอมดวงใจ...หอมดวงใจ..
ดูบ้านเรือนไทยริมน้ำ ที่พาให้หลับตาตามฝันไกลไป
ถึงอดีตอันเรืองรุ่งต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ที่คงงามเรียบง่ายสงบสบาย
และคงเหมือนฉากในละครดัง.ในยามนี้ทางช่องเจ็ดสี
เพื่อให้อบร่ำดวงใจ ใสเย็น ให้ผู้มองเห็นงามง่าย
ได้ชิดใกล้การใช้ชีวิตกับสายน้ำและความสะมุนละไม
กับธารน้ำรักน้ำใจที่ยังระรื่นชื่นฉ่ำ
ไหลเอื่อยอ่อยลอยละล่องราวแดนหิมพานต์..
เป็นธารน้ำใจระรินร่ำที่ยังมีเยื่อใยผูกพัน
เชื่อมโยง ดั่งลำนำลำน้ำแห่งชีวิต
ไพล..จะแวะเวียนซักถาม ถึงงานดินงานงามดิบนี้
ที่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง
แฝงปรัชญาในการรักษาให้ดำรงคงอยู่คู่ชีวีคนไทยมากมี
มากมายที่รู้คุณค่า ที่ผ่านตาผ่านสมองสองมือ
คู่ใจคู่บ้านมานานหลายชั่วอายุคน
ฝีมือปราณีตแฝงเสน่ห์ เนียนละออพ้อหาให้
ดวงใจคนชมคนรุ่นหลังคนรุ่นใหม่ผู้กำลังหยั่งรากฝังลึก
อิงเทคโนโลยี่ หันกลับมามองที่หัวใจแสนดี
ที่คิดงามคิดเป็นอย่างผู้เข้าถึง..ในงานงามศิลปะอันประณีตนั้น
ไพล..น้ำตาซึมทุกครั้ง เมื่อไปยืนซึมซับ ช้างปั้นตัวจิ๋ว
ที่ปั้นด้วยฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามราชกุมารี.
ที่ทรงประทานไว้ให้ที่บ้านช่างปั้น
ให้รำลึกนึกถึงจดจำ ว่าวันหนึ่งได้เสด็จมาเยี่ยมและ
ฝากผลงานเลอล้ำค่าเลิศล้ำใจไว้ให้รำลึก..นึกถึงทุกคราคราว
ในพระกรุณามหาธิคุณจากน้ำพระทัยที่ใสงาม
ที่ทรงมากพระปรีชารอบด้าน
และทรงมีพระทัยงามติดดิน
ผ่านงานที่ใสบริสุทธิ์ราวหยาดน้ำค้างพร่างจากผืนฟ้าลงสู่พสุธาทุกถิ่นที่
ด้วยพระเมตตา บารมีไปทุกหย่อมหญ้า..อย่าง
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
เพื่อให้ผืนดินไทย ผืนดินทอง
ของเรานี้ให้มีแต่ความงามสงบร่มเย็นเป็นสุขอย่างทั่วถึงกัน...ตราบนานนิรันดร์
.................
สายน้ำไหลล่อง
คิดถึงบทเพลงนี้ ที่กำลังดังก้องกึกในใจดวงนี้
ลุ่มเจ้าพระยา.....
ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน...
.............
หัวใจนวลดวงน้อยนี้กำลังฉ่ำ
กำลังสดชื่นอย่างแปลกประหลาดพิลาสพิไล
ยามที่ไพล..เดินเข้าไปในโบสถ์ พร้อมดอกไม้ไทย ใส่กระทงใบตอง
พร้อมพวงมาลัยหอมงามที่ไพลเลือกมาผสานล้ำลึกให้จรุงแจ่มจรัสใจ
ในการนำมาบูชาพระ กราบพระ...
โบสถ์เก่า หลังงามนั้น กำลังซ่อมแซมทุกบานหน้าต่าง
ให้ช่างมาเขียนลายที่หลุดลอก..
มีองค์พระนอน สมัยอยุธยา ในท่าสิริไสยาสน์
งามจนอิ่มใจเอิบงาม โอษฐ์แย้มยิ้มด้วยพระเมตตาธรรม
พระพักตร์เปี่ยมกรุณา จนน้ำตาซึมกับสายพระเนตรอับโอบเอื้ออ่อนโยน
ไพล..ทรุดตัวลงนั่ง น้อมมโน ดื่มด่ำ
ด้วยศรัทธา แล้วก้มลงกราบนิ่งนาน
เย็นมากแล้ว นกกาเริ่มจ๊อกแจ๊กโผบินกลับรัง คืนรัง
ลำแสงสนธยาลอดผ่านบานหน้าต่างที่แง้มบานไว้
แสงสีทองส่องสว่างสาดจับไปที่พระพักตร์ผุดผ่อง
ดังพุทธะพาให้กลางใจสว่างไสวลดมืดมน
ชั่วหลับตา ไพลราวย้อนหลังไปในอดีตอันเรืองรุ่ง แว่วเสียงสังคีตดีดกล่อม
หวานแว่วแผ่วเบามากับลำน้ำลำนำเจ้าพระยากับลมรำเพย เย็นร่ำฉ่ำหวาน
ผ่านในอณูนึก...
ไพล..เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาพร่างรินมิขาดสาย.....................
14 สิงหาคม 2546 22:54 น.
พุด
....ต้นไม้ที่ตายแล้ว....
ลำน้ำน่าน
พิรุณโรยโปรยพราวทั่วราวป่า
ใต้ฟากฟ้าค่ำคืนเหงาเงาเมฆร้าย
ตกกระหน่ำซ้ำซัดให้ดับตาย
นอนซบกายรอฝนฟ้ายื่นปราณี
ใบไม้เหลืองเดียวดายร่วงรายรอบ
ทั้งเขตขอบฟ้าร้าวรอยก้าวหนี
ซอนซ่อนซุกฝนนรกอเวจี
ที่ตกตีความภักดิ์แตกหักลง
ทิ้งบ่วงใบหนีลมตรมหัวอก
ดั่งปีกนกอ่อนแรงลมแล้งหลง
ไม่อาจเกี่ยวเรียวรังฝันดั่งจำนงค์
รอร่วงลงคลุกธุลีพลีชะตา
และคือฉันเปรียบต้นไม้ที่ตายจาก
ทั้งเหง้ารากกิ่งก้านตระหง่านฟ้า
เหลือเพียงเศษผุพังรั้งคาตา
สิ้นเรี่ยวแรงไต่ขึ้นฟ้าระบัดใบ
วันพรุ่งนี้ริ้วลมหนาวจากราวป่า
จะพัดพาดอกขมขื่นมายื่นให้
ถอนใจรับดับความฝันกลางหัวใจ
ขอเป็นไม้ที่เหลือซากฝากคำเคลือ
ว่าเคยงามสล้างป่าพนาทิศ
ชุบชีวิตคนจนเศร้าสุดร้าวเหลือ
ละมุนละไมแผ่บุญอาบจุนเจือ
มีฝันเผื่อมีแรงร้อยถ้อยรจนา
พรุ่งนี้แล้วจะทรุดลงเป็นผงดิน
ซากหายสิ้นเหลือเพียงคำรำพันหา
จดจำไว้ว่าวันหนึ่งซึ่งผ่านมา
โลกอิ่มงามเต็มคุณค่าลดาวัลย์
นี่คือฉันเปรียบต้นไม้ที่ตายแล้ว
ไร้วี่แววจะแตกตาตามหาฝัน
ภาวนาหากชาติหน้าเกิดมาทัน
อย่าได้มีพระพรหมกั้นจัดสรรใคร
ต้นไม้ให้หอมในราวไพร..พุดพัดชา
พิรุณโรยโปรยปลอบมอบใจฝัน
ใต้เงาจันทร์ขวัญดาวพราวส่องแสง
ริมเรือนไทยในบึงใหญ่บัวดอกแดง
เฝ้าแอบแฝงแรงรักซ้อนแอบซ่อนใบ
ใบไม้เหลืองเดียวดายให้ร่วงหล่น
ธรรมชาติคนธรรมดาโลกโศกแค่ไหน
ฟังเสียงฝนเป็นดนตรีสิดวงใจ
แล้วทำไมให้รักแรกแหลกรานลง
พายุแรงแกล้งนกให้ปีกหัก
บินสูงนักใจผยองต้องลมหลง
เช็ดน้ำตาหาอกซุกไซร้ปีกคง
เลิกลืมหลงมนต์รักพักชะตา
เป็นไม้ใหม่ผลิใบใสแทนลาจาก
ถึงทุกข์ยากดินแล้งแทงสู่ฟ้า
ให้หยาดฝนพรมพรำชุบชีวา
พร้อมไต่ฟ้าตามหาฝันอันแสนไกล
กี่ฤดูผ่านฤดีที่ห่วงหา
จะพัดพาลาเลือนเลิกหวั่นไหว
ไฟข้างนอกหลอนลวงตกบ่วงใจ
ไฟในใจให้ลุกพร่างสว่างพลัน
ศรัทธามั่นฝันทำดีที่ยึดถือ
ให้โลกลือลูกผู้ชายอย่าไร้ฝัน
ละมุนละไมพอหวามไหวเพียงแค่นั้น
สร้างโลกฝันพันผูกถ้อยร้อยรัดใจ
เส้นทางฝันวันยาวไกลไปให้ถึง
ฝากใจซึ้งเขียนงานงามยามหวั่นไหว
เอื้อมเก็บดาวพราวสู่มือนะดวงใจ
โลกข้างในใสงามยามได้ครอง
อย่าเป็นต้นไม้ตายก่อนโตเลยยอดรัก
ขอแค่ผลัดใบใหม่รอเจ้าของ
รินน้ำรักรดน้ำใจประคับประคอง
เป็นสักทองหอมพราวให้ราวไพร..ให้สาวไพร!
14 สิงหาคม 2546 09:17 น.
พุด
เงียบสะท้อน......
จากหนังสือบ้านภายในเงาภายนอก.
เขียนโดยคุณโกศล กลมกล่อม
กวีร่วมสมัยเจ้าของรางวัลสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย
พ.ศ2532 และ2542
รางวัลรวี โดมพระจันทร์ และรางวัลลมหายใจกวีพ.ศ2534
เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรท์พ.ศ2535 2538 และ2541
กวีที่พุดพัดชาชื่นชมศรัทธาในคำ
ในความงามสมถะเรียบง่ายที่เป็นตัวตนอันแสนยิ่งใหญ่ค่ะ
จึงพยายามนำมาถ่ายทอดเพื่อแบ่งฝันแบ่งสิ่งอันสวยสดงดงามนี้ที่ก่อเกิดงามพร่างสว่างกลางใจ..ดวงน้อยนิดนี้..นะคะและ
ด้วยรักทุกดวงใจไทยโพเอม
หวังเป็นแรงบันดาลใจค่ะ
..........
ผมกลับมาสวนโมกข์ปลายเดือนพฤษภาคม 2540
ใบไม้แห้ง กระจัดกระจายบนทางเดินใต้ดงไม้
ผมเดินตามทางที่เคยผ่าน
ต้นไม้น้อยเติบโตเป็นต้นใหญ่..
มีคนบอกว่าเสียงของต้นไม้สอนมนุษย์ให้เข้าใจชีวิต
แดดอุ่นยามเย็นลอดช่องว่างของกิ่งใบ ลมอ่อนผ่านบางเบา
แดดสีทองอยู่เบื้องหลังภูเขา ก้อนเมฆสงบวางที่ขอบฟ้า
ผมหยุดยืนกลางลานกว้าง ก้อนหินและกรวดทรายนิ่งฟังคนเดินทาง
ไม่เคยร้องสิ่งใด
ผมกลับมาที่นี่เวลาเดิมทุกปี เดินรอบสวนโมกข์จนทั่วทุกครั้ง
มีความเปลี่ยนแปลงรอบตัว ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร..
ต้นไม้ ท้องฟ้า แม้แต่กรวดทราย
จนวันนี้ ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าว เดินดูเสียให้ทั่ว
เมื่อผมได้เดินท่องไปในจิตวิญญาณของตน เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิต
แต่ละขณะ ทั้งความทุกข์ และความสุข
ผมยืนอยู่ ณ..สถานที่เผาสรีระของท่านพุทธทาสภิกขุ ต้นไม้ใหญ่รอบด้านน้อมลงเคารพ
ความรักความศรัทธาแผ่ทั่วความรู้สึก ขณะที่ผมคุกเข่ากราบตรงพื้นทราย
ภาพวัยเยาว์ปรากฏ ต้นมะขามหน้าบ้านเงาของบ้านทอดลงอบอุ่น
รอยยิ้มของย่าที่มีต่อหลานคนเล็ก ผมเคยพูดว่า..ถ้าเรารวยเราคงมีความสุขมากกว่านี้
เสียงย่าตอบเบาๆ
เราอยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้ หิวบ้าง อดบ้าง เราก็มีความสุข
แล้วเคราสากของพ่อสัมผัสแก้ม แม่ถือไม้เรียวเรียกมากินข้าว ผมแอบออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน
ภาพท้องนากว้างใหญ่ แว่วเสียงกระดึงของวัวควาย ผมเป็นเด็กน้อยวิ่งริมคันนา
รอยผืนดินแตกระแหงเหมือนรอยย่นบนใบหน้าของตาและยาย เมฆฝนทะมึนเหนือเทือกเขา
ต้นไม้ใหญ่น้อยทั่วขุนเขายืนอ่อนน้อมท่ามกลางพายุใหญ่จนสงบ
สายน้ำคือความห่วงหาอาทร เฝ้าเดินทางจนถึงทะเล แสงตะเกียงจากเรือประมงติดขอบน้ำ
เมื่อฟ้าสางเด็กน้อยวิ่งไปช่วยพ่อยกปลาลงจากเรือ
ผมเดินทางมาสู่เกาะ พบกับ วรรณะ เพื่อนผู้รู้จักกันคราวที่เขาเดินทางมาส่งพระรูปหนึ่ง
กลับสวนโมกข์ ผมอาศัยบ้านพ่อและแม่วรรณะบ้าง วัดร้างบ้าง ผมอาสาเป็นครูสอนหนังสือ
ในโรงเรียนเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้กัน เสียงร้องเพลงของเด็กเป็นเสียงเดียวกับคลื่น
วันที่จากลาไม่รู้เหงื่อหรือน้ำตานองบนใบหน้า
ความรักทำให้เรามีความสุข ความรักหล่อเลี้ยงหัวใจให้อยู่ในโลกอันเปล่าเปลี่ยว
จนคราวเราจากกัน ความทุกข์สอนผมให้เข้าใจความรักที่แท้ ความรักที่สรรพสิ่งมีต่อชีวิต
และชีวิตมีต่อสรรพสิ่ง ประดุจสายใยอันอบอุ่นคล้องวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว
ชีวิตไม่เคยหยุดทำหน้าที่ และชีวิตไม่เคยมีวันหยุด ชีวิตหนึ่งสอนอีกชีวิตหนึ่งให้เข้าใจชีวิต
ผมกราบพื้นทรายเป็นครั้งที่สอง ใบไม้ร่วงสู่พื้น ผมเงยหน้าขึ้นเห็นฝูงนกพากับบินกลับรัง
ลูกนกบินทันฝูงแล้ว ผมเคยเป็นนกหลงฝูงกลางป่าเปลี่ยว เป็นนกแปลกหน้าในเมือง
เวลานี้ผมรู้สึกเป็นเช่นเดียวกับท้องฟ้า อ้าแขนรับความเปลี่ยนแปลง
โลกนี้ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ถาวร ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ ทั้งตัวเราและผู้อยู่รอบข้าง
เมื่อวันที่ย่าจากไป ผมนั่งอยู่กับย่าจนลมหายใจสุดท้าย คืนวันที่พ่อจากไป
ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อจนตื่น และวันที่ท่าพุทธทาส ภิกขุ อาพาธ
อยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ผมเดินทางมาทันขณะลูกศิษย์พาท่านกลับสวนโมกข์
แปลกใจที่เราจากกัน แต่คล้ายเรายังอยู่ใกล้กัน อยู่พร้อมหน้ากัน
ความคิดเหมือนเดินทางมาในความเงียบ สะท้อนภาพแล้วภาพเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกวินาทีผ่านไป ทำให้เราเข้าใจภาพต่างๆมากขึ้น เข้าใจชีวิตชัดเจนขึ้น
ฟ้าเริ่มมืด เสียงจักจั่นเรไรดังทั่วในความเงียบ เวลานี้ความเงียบและเสียงกลับไม่ขัดแย้งกัน
กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
หน้าผากของผมสัมผัสพื้นทรายเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาอันมิอาจห้ามเอ่อขึ้นมาด้วยความรู้สึก
ศรัทธาต่อทุกสิ่งมีค่าที่ผ่านมาและสอนผมให้เข้าใจชีวิตในวันนี้...........
เงียบสะท้อน
เคยอยู่เดียวท่องเที่ยวไหม
มองไปทั่วทางช่างเงียบเหงา
เพื่อนเพียงเสียงใจสั่นไหวเบา
เป็นเงาติดข้ามความลำเค็ญ
ค้นหาสาระไร้สาระ
ราวจะคว้าได้กลับไม่เห็น
ถอนใจ สายธารกลับผ่านเย็น
ปลาเป็นว่ายทวนได้ปลาตายลอย
แล้วเสียงเพียงแผ่วผ่านแว่วอยู่
เหลียวดูใบพลิ้วใบปลิวผล็อย
บ้านเก่าเช้าใหม่ใจเคยคอย
แง้มน้อยหน้าต่างอย่างรีบรน
เงียบฟังความเงียบ เงียบสะท้อน
โลกย้อนโลกแสดงทุกแห่งหน
ใจย้อนยินใจเข้าใจตน
ชัดจนเปิดกว้างกระจ่างชัด
มอบให้..คนดีในดวงใจ..
ที่หวังเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สร้างงามในดวงใจ..
ไปสู่ฝัน..สู่ดวงดาว..สู่สายรุ้งประดับราวใจไปชั่วกัปป์กาล..
และระหว่างเรา..เงียบสะท้อนงาม..ใจถึงใจ..ไม่มีคำว่ากาลเวลา...
ให้...
เชษฐภัทร ...ด้วยรักและอยากแบ่งปัน..เพื่อสรรสร้างงานงามในโลกบรรณพิภพ
พี่พุด..
14 สิงหาคม 2546 00:44 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=367
...........
จริงๆแล้ว...ภาค..ต้องเรียกยาย..ว่าย่า....
แต่..ภาคก็เรียกว่ายาย..ตามลูกๆของคุณป้า..และน้ามาตลอด
ตั้งแต่จำความได้......
ภาค..ไม่มีพ่อ...ตั้งแต่อายุ..สองขวบ...
.พ่อลาภาคไปอยู่บนสรวงสวรรค์...และภาคก็โตมาท่ามกลาง
ความรัก...ความอบอุ่นใจ..ด้วยรักนี้
ที่ได้ชดเชยมาจากทุกคน..ที่รักภาคดังดวงใจ........
และโดยเฉพาะ...จากยาย....คนดีที่หนึ่งเลยของภาค........
ยาย...ใจดี...ใจเย็น...และใจงาม...ขยันขันแข็ง....
หนักเอาเบาสู้...เยี่ยงหญิงงามของดินแดนแห่งที่ราบสูง.........
ของประเทศนี้...ที่แสนเด็ดเดี่ยว แม้ลำบาก...ยากจน..
ก็อดทนต่อสู้...เพื่อชีวิตที่วาดหวัง..ว่าพรุ่งนี้ต้องดีกว่า
ยายดูแลภาคยิ่งกว่าลูก...ด้วยรัก..ด้วยสงสาร..
ทุกคืน ภาคจะนอนหลับชิดใกล้..จนได้ไออุ่นจากอ้อมอกยาย...
มือเหี่ยวย่นของยาย......จะคอยพัดโบกวีให้ภาค นอนหลับฝันดี..........
มือเหี่ยวย่นของยาย....ที่หว่านกล้า..ดำนา..มาจนชั่วอายุยาย.......
ทุกเมล็ดพันธุ์พืช.....ที่ยายฝังฝากลงดิน...ราวมือนางฟ้าเนรมิตร..
ให้ได้เพลิดเพลินชื่นชมยามยอดอ่อนผลิชูช่อ
แทงหน่อ โผล่พ้นดินงาม มาทายทักกับตะวัน.......
ยายของภาค......เปรียบดังดวงตะวัน....สีส้มเจิดจ้าสาดแสง...ทั่วท้องทุ่ง....
ให้ใจภาคเจิดจ้ากระปรี้กระเปร่า
พอกัน...ที่จะรู้รักโลก...และชีวิต....อย่างบริสุทธิ์ล้ำ...........
ภาคคิดถึงยาย.....คิดถึงฝนหลงฤดู ....พรูพร่าง....แผ่นดินชุ่มฉ่ำ....
ราวฟ้ามาโปรด...ให้ยอดติ้ว..ผักหวาน...
ดอกขะเจียว...คงงอกงามมาทายทัก...
ให้ผู้คนของท้องทุ่งบ้านภาค...มีอาหารอร่อยกรอกหม้อ.........
เมฆฝนจากฟ้า...ฤดูหนาวตะวันตกดินช้า...........
เหมือนที่นี่...แม้ภาคจะอยู่ไกลแสนจากยาย.........
อากาศหนาวมาก.......ภาคคิดถึงอ้อมอกอุ่นของยาย....
ภาคคิดถึง..ทุกคนในหมู่บ้านเล็กๆของภาคที่
แสนอบอุ่นเป็นสุข......
ภาคคิดถึงบ้านของเรา....บ้านที่มีรั้วไผ่หนามรอบบ้าน..
.และบางบ้านกลายเป็นซุ้มให้เถาบวบเกาะเกี่ยว
ยามฝนมา.......
ยายครับ...ไม่ว่าภาคอยู่แผ่นดินไหน ในโลกนี้..
ภาคก็ไม่เคยลืม....ท้องทุ่งนา...งานบุญบั้งไฟ.....และ....
ความรักของยาย.....ที่ตามติดมาอยู่ในใจของภาค..ให้หนาวคลายเป็นอุ่น..........
ยายครับ...ภาคอยากกลับมากอดยาย...
ให้ยายใช้มือสั่นๆและเหี่ยวย่นของยาย...ลูบหัวลูบผมให้ศีลให้พร...
ยายครับ...ภาคคิดว่ายายคงรอ.......
ให้ภาค...บินข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาหายาย...เหมือนใจภาคเวลานี้..
ที่ลอยละลิ่วบินมาซุกอกยาย..มากอดยายแน่นๆ....
และภาคอยากบอกบอกยายว่า..........
.............ภาครักยาย...ที่สุดในโลกเลยครับ...........
แด่คนดี..ที่ CLEVELAND..ด้วยรักและเข้าใจค่ะ............
เดือนเพ็ญ แสงเย็นอร่าม นภาแจ่มนวลดูงาม
เย็นชื่นหนอยามเมื่อลมพัดมา แสงจันทร์นวลชวนใจข้า
คึดถึงถิ่นที่จากมา คิดถึงท้องนา บ้านเรือนที่เคยเนา
กองไฟสุมควายตามคอก คงยังไม่มอดดับดอก
จันทร์เอยช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า
โหมไฟให้แรงเข้า พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
ให้พี่น้องเรานอนหลับอุ่นสบาย
เรไร ร้องฟังดังว่า เสียงเจ้าที่เฝ้าคอยหา
ลมช่วยพัดมากระซิบข้างกาย
ข้ายังคอยอยู่มิหน่าย มิเลือนห่างจากเคลื่อนคลาย
คิดถึงมิวาย ที่เราจากมา
ลมเอยช่วยเป็นสื่อให้
นำรักห่วงจากดวงใจของข้านี้ไปบอกเขาน้ำ นา
ให้เมืองไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าแทบอกแม่เอย...........
14 สิงหาคม 2546 00:13 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=1136
ตะวันโพล้เพล้ เหว่ว้า
คนดี วันนี้ดวงขับรถไปที่บึงกว้างอีกครั้ง
เอาจักรยานที่พับได้ ไปปั่นรอบบึง
มีตะกร้าปิคนิก และผ้าผืนสวยปูทับบนเสื่อ
ยามเอนตัวลงนอนดูการแสดงของเวทีท้องฟ้า
ในยามเย็น ต้นไม้ ต้นโกร๋นยืนต้นราวรอเราอย่างเหงาเศร้า
ณ.ที่เดิม ต้นไม้ที่งามประหลาดในใจดวง ดวงนี้
ต้นที่มีเพียงก้านชะอุ่มสุมทุมพุ่มพฤกษ์กลางต้น
เพียงให้นกกามาอาศัย ส่วนรอบรายนั้นพร้อมใจกันสลัดร่วงกราว
เหลือก้านกิ่งกระจายไร้ใบ.....
มาวันนี้...ดวงเอนกายพินิจดู
น่าแปลกที่มีปุ่มปมสีเขียวกำลังเกาะ ทุกปลายก้านกิ่ง......
ดวงเตรียมกระดาษเพื่อลองสเก็ตซ์ ภาพนี้
แต่น่าเสียดายที่ดวงมิใช่นักสะเก็ตซ์ภาพที่ดี
จึงออกมาแบบงูๆปลาๆ ถ้ามีคนวาดภาพเก่งมาด้วย
ไม่กี่นาที ภาพงามเหล่านี้ คงจะดูราวภาพจริงบนกระดาษ
ดวงคิดถึงกล้องถ่ายรูป.....
ในขณะที่เห็นความงามงดของอาทิตย์อัสดง...
.แสงสวยกระทบผ่านดงดอกหญ้า ต้องตกลงสู่ผืนน้ำ
ก่อให้เกิดแสงสีทอง วิบวับวิบวับ สวยสุดใจ
และ กระทบกับเส้นผมงาม เกิดประกายจรัส......
เมฆชมพูหวาน ราว สายไหม เกาะกลุ่ม ละเมียด
เป็นช่อชั้นราววิมานเมฆ นวลละออน่านอนเล่น
ดวงเริ่มวิ่ง.....พร้อมดูไม้ใบ ทุกต้น ทุกดอกดวง....
ชมพูพันธ์ทิพย์......สลัดดอกชมพูพวงร่วงพรู พราวพื้น
ราวพรมดอกไม้ลายหวาน.....
โมกและแก้ว.......
ออกช่อขาวพราวกิ่งแตะแต้มกระจาย กลางกอ.....เขียวขจี
ไผ่สีทอง.......ใบเรียว ซัดส่าย เสียดสี
เกิดเส้นสายเสียงซอกแซก มากับสายลมบางเบา
ราวกับอยู่ท่ามกลางฤดูร้อน ในชนบทไกล......
กล้วยกอ.....จากบ้านริมบึง อวดใบเขียวสมบูรณ์สล้าง
มีเคลืองาม คลอตา......
ดวงรักต้น และใบกล้วย
ไม้ที่งามเรียบง่ายไร้ปรุงแต่งแฝงปรัชญา น่าไหลหลง
คุณประโยชน์มากมี
คู่ครัวไทย..คู่ใจผู้ยาก มาช้านาน.......
ดวงปลูกไว้หลายกอ รอคนไกล
จากวันที่กล้วยแทงหน่อ ทอยอด ออกปลี เป็นหวีงาม
จนออกเคลือคล้อย คอยรับการกลับมา
บอกว่าจะทำกล้วยบวชชีให้รับประทาน
ถ้าคนปลูกไม่ท้อรอราลาไปบวชเสียก่อนน่ะนะ.......
คนไกล..ลาลับ..พาใจให้คิดถึง...คิดถึง..และคิดถึง..
น้ำตารื้นชื่นตา เมื่อทราบว่านอนซมด้วยพิษไข้มาหลายวัน
สงสารและห่วงใย คิดถึงความน่ารัก น่าสงสาร
ที่มากมายด้วยความมั่นคง จงรัก
หนักแน่น ดังแผ่นผา สม่ำเสมอ อดทน
ได้แต่ภาวนาให้หายในเร็ววัน กลับมาเป็นสายลมอ่อนๆ
บางเบาเป่ารดกายใจของเราให้เยือกเย็นชื่นฉ่ำ......
เหมือนทุกคืนวันที่ผันผ่านมานานปี นะคนดี.........
โพล้เพล้ โพล้เพล้ ยามนี้ยิ่งพาใจเหงาเศร้า
ร้าวรอน
บึงกว้าง ว่างตา นิ่งงาม สงบงัน
แสงสวยเปลี่ยนสีเป็นส้มเศร้า ซึ้ง..
ไปกับใจดวงนี้ยามสายันณ์ตะวันรอน....
.........