18 กันยายน 2546 15:19 น.
พุด
พายุฝนก่อตัวตั้งเค้าทะมึนมาในยามสนธยาฟ้าใกล้ค่ำ
ในขณะที่ไพลกำลังเต้นระบำ เริงร่ายกลางลานกว้าง
กับจังหวะรุมบ้าและบิกินอันแสนหวาน กระหึ่มใจ
กับบทเพลงริมฝั่งน้ำอันแสนซาบซ่านหวานซึ้งตรึงใจเสียไม่มี
ตามมาด้วยชะชะช่า และเซิ้ง สะบัดรัดรึงใจ ยามทอดแขนตวัดวงซัดส่ายร่ายลีลา
กระแทกกระทั้นรุนแรงแฝงลีลาอันอ่อนช้อยยวนยั่วใจ ให้ไหวยวบละไมละมุน
หัวใจและร่างไพล ราวลอยละล่องราวล่องหนหายตัวไปในแดนสวรรค์สรวง
กับเสียงทิพยดนตรี คีตบรรเลงที่พากันโหมกระหน่ำ
คิดถึงเมื่อยามได้ลีลาศกับบทเพลง
ที่มีมนต์ขลัง อย่างกับแทงโก้ ที่คงโดนใจแทงใจใครสักคนให้พิสวาทไม่คลาดคลา
ยามได้ทอดทัศนาลีลาการสลัดร่างและหมุนตัว
ลอยละล่องละลิ่วปลิวลมคว้าง..พากระโปรงบานกว้างพลิ้วหวานบานแฉ่ง
ราวเต้นกลางมวลหมู่เมฆ แสนหวานนวลนิ่มอันพรายพริ้วพรมพร่าง
ด้วยความงามละเมียดในลีลา..ในศิลปน่าเสน่หา ในท่วงท่าที่ต้องได้รับการฝึกฝนนานปี
ที่ต้องใช้อารมณ์ใช้ดวงใจรักในการเต้น ให้อ่อนหวาน ให้พลิ้วไหว
ให้เป็นไปตามบทเพลงอันแสนรัญจวนหวนไห้ไหยหรือเริงร่า..
ไพล..คิดถึงหนังดี..ที่ดีจนต้องดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยซาบซึ้งเศร้าสุขใจเป็นที่สุดแล้ว
และต้องซื้อหามาเก็บไว้..ดูยามดายเดียวเปลี่ยวเหงากับใจในโลกของผู้คนที่สับสนเสียยิ่งกว่า
เพื่อได้นำมาสอนใจ ให้งามงดหมดจดสู้โลกโศกสุขต่อไปแบบไม่ยึดติด..
หนังเรื่องนี้..
เป็นตำนานชีวิตจริงของนักบัลเล่ต์ ก้องโลกชื่อบิลลี่ เอลเลียต
เริ่มจากวัยเด็กชายตัวน้อยๆ ที่ต้องคอยช่วยดูแลคุณย่า
พร้อมกับจะเปิดเพลงและเต้นๆไปในทุกเวลาของชีวิต
เขาเติบโตกับความยากไร้ กับผู้คนในเมืองเล็กๆในชนบทในเหมืองถ่านหิน
ที่หน้าตามอมแมมแทบไม่เห็นแสงอาทิตย์ เพราะเมืองนั้นมีแต่วันฝนโปรยกับม่านหมอก
พี่ชายและพ่อ เป็นนักต่อสู้สนใจการสไตร์คการประท้วง
เพื่อสิทธิของผู้ยากไร้ที่ฝากชีวีไว้กับเหมืองถ่านหินเพียงประการเดียว
ในขณะที่เด็กน้อยนั้นเฝ้าฝันใฝ่ในฝันอันสล้าง
แอบไปเรียนการเต้นทางหน้าต่างกับครูสาว
ที่เธอยอมทิ้งเมือง...มาใช้ชีวิตเรียบง่ายสอนบัลเล่ต์ให้กับเด็กๆผู้หญิง
ในเมืองอันเหว่ว้า ไร้แสงสี
เธอคนดี..คือไฟฝัน คือพลังผลักดัน คือก้าวฝันให้เขาสู้ เรียนรู้
และแผ้วถางทางให้กล้าเอื้อมมือคว้าดาวพรายพร่างสว่างใสมาไว้ในอุ้งมือ
ไว้ประดับใจ ประดับหล้าโลกนี้...
ที่ทุกก้าวย่างของการเต้นคือพลังฝัน...
ที่ใช้หัวใจซาบซึ้งในความเป็นศิลปินศิลปะผ่านร่างงามที่ได้รับการฝึกฝน
มาอย่างช่ำชองอย่างหนักนับแรมปี
ที่เขาและครอบครัวต้องทุ่มเทเสียสละฟันฝ่าความยากไร้
เพื่อก้าวไปเรียนในสถาบันบัลเล่ต์แห่งมหานครลอนดอน
อย่างผู้ไม่ยอมพ่ายต่อโชคชะตาฟ้าดิน
และภาพสุดท้ายที่ทิ้งทวนไว้ให้ตราตรึงในความทรงจำคือ
ภาพคืนฝันบนเวทีอันแสนตระการตาที่แสนจะยิ่งใหญ่อลังการ
ภาพงามของพญาหงส์ ที่กำลังเหินหาวทุกก้าวย่าง
ในมลังเมลืองของม่านหมอกในแดนสรวง
ที่งดงามราวป่าพิมพานต์
ทิ้งให้คนดูปรบมือกราวด้วยน้ำตาที่หลั่งริน
มิรู้สิ้น ด้วยความชื่นชม ด้วยความประทับใจ
...........
และ..นาทีนี้ไพล อยากฝากกระซิบถึงดวงใจถึงทุกดวงใจนะคะว่า
ยามไพลเหว่ว้า หาทางออกไม่พบเจอ..ไพลจะฟังเพลงของEnya
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเฉกเช่นกัน และสร้างพลังไฟฝันด้วยหนังแสนดีซ้ำซ้ำสักเรื่องนึง
บางครานอนดูหนังสลับกับในเรียวตามีระบัดใบของเขียวไพลจำปี
ที่แสนเงียบงาม สงบงาม ให้หลอมละลายดวงวิญญาณ ดวงใจให้นิ่งงัน
แม้นดวงตาจะแสนบอบช้ำ เพราะปล่อยให้สายวสันต์พร่างสายละหลั่งรินนะกลางใจ
ไร้ผู้ใดรับรู้และเหลียวแล..แลเหลียว..
ไพล..จึงได้คิด..เหตุใด เราถึงปล่อยให้ใครบางคน
มาลิขิตชะตา มาพังทะลายความรักความฝัน ให้มอดมลายหายวับดับดวงใจ
ดับไฟฝัน จนมอดสิ้น ทั้งๆที่เขามิได้มีหัวใจถวิลมาแลเหลียวมอง
และ...ไยเล่า..เราต้องเฝ้าโศกตรมเพียงลำพังกับความหวังไร้สิ้น..สิ้นหวัง
ที่เขานั้นก้าวเดินเข้ามาฝากรอยแผลใจมาเหยียบย่ำเย้ยไยไพ แล้วพรากไป
ด้วยรอยยิ้มสาสะใจอย่างผู้กำชัยชนะ อย่างผู้ชนะ..
อย่าทรุดร่างลงตรงหน้า กราบไหว้วอนอ้อนขอความเมตตาปรานี
เพราะหากหัวใจมีไว้เพียงเฉพาะให้คนจำเพาะพิเศษพิสุทธิ์ใจ
ที่ดวงใจเขาสร้างบุญ สร้างกุสลให้หมุนวนมาได้พบได้รักกัน
ใจใครก็ใจคนนั้น
ใครละ ที่เขาจะจ่ายแจก
แบ่งแหลก..แลกได้..ให้ให้ทานไป..
มันมิใช่! ของซื้อขาย..มันคือเนื้อใจ..มีหนึ่งเดียว!
ที่รอคนพร้อมเกี่ยวเหนี่ยวจิตวิญญาณที่พร้อมพลีที่ถึงกัน
และ..จำไว้..ใครคนนั้น..มิใช่เรา!
..............
ลุกขึ้นมาสิดวงใจ..อย่ามัวไหวอ่อนล้า
ค่อยๆหาหลักจับยึด
นั่นไง..
ต้นไม้แห่งชีวิตต้นไม้แห่งชีวี แห่งดวงใจนี้ที่จะสถิตครอง
นั่นไง..แมกไม้ สายธาร สายลมหวานระริน ที่ยินดีมอบให้
มิใช่พายุร้ายที่หมายก้าวมาโบกโบยทำร้าย ให้ตายแตกดับดิ้นสิ้นดวงวิญญาณฝันวิญญาณรัก
หาฝั่งที่พักใจมิพบเจอไปชั่วกัปป์กัลป์
ให้โอกาส ตัวเองนะดวงใจ เลิกมองหาสิ่งแสนไกล เกินเอื้อม คว้าไขว่
เหมือนเรียวรุ้ง เหมือนสายฝัน อันสิ้นไร้ไยพันผูกรัดร้อย
ได้แต่แหงนคอรอคอย คอยแล้วคอยเล่า คอยเศร้า
วันแล้ววันเล่า อย่างเยียบเย็น อย่างปวดร้าวใจ
..................
สายฝน..เริ่มกระหน่ำหนัก
ไพลพักใจพักความคิด
แหงนเงยหน้าเรียวละมุนให้รับซัดสาดจากสายฝนพลันให้ตื่นจากฝัน
ให้หัวใจอันอ่อนไหว อ่อนหวาน ยอมรับความจริง...
ไพลก้าวช้าช้า....ผลักบานประตูกระท่อมไม้สนเข้าไป
ภายใน ในความหวานสลัวของแสงไฟ
ที่โต๊ะประจำใจของไพล..ริมหน้าต่างกระจกบานกว้าง ที่ไพลชอบทอดร่าง
ใช้ใจดวงนิ่งงัน มองแมกไม้ไทยรายรอบ
บัดนี้..มีร่างสูงเพรียว ผิวคล้ำของใครบางคนนั่งแทนที่..
เขา..มองไพล..เพียงแวบเดียวกับร่างเปียกโชกที่มีหยดฝนพราว
ใบหน้าซีดราวกระดาษด้วยหนาวเย็น
เสื้อยืดสีขาว รัดร่างแนบเนื้อยิ่งหนาวสั่น
แล้ว..เขาก็ก้มลงอ่านวารสารการเงินตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
ที่ไพลพอมองผ่านแวบเดียวและสังเกตเห็น
ไพล..ขอโทษ..เจ้าของร้าน ที่กุลีกุจอชงชาเขียวอุ่นๆให้
ไพลรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนโตซับหยาดฝนด้วยเกรงใจจะเปียกพื้น..เปื้อนพื้น
แล้วทรุดตัวลงนั่งช้าช้า..
เหลียวแลหา โมกดอกพราวที่บานหวานเศร้าละออล้อดวงใจปลอบดวงใจในทุกยามเย็น
กล้วยไม้ยังชูช่อพวงชันฝันเคียงกันบนคาคบ ให้ไพลแอบซุกซบใจยามอ่อนล้า และรจนา
งานฝันบรรเจิดใจ นะตรงนี้ นะที่นี่ สถานที่แสนสุขในดวงใจ ..
..........
ไพล..ดึงซีดี ออกจากเครื่องเล่นพกพา
ที่ชอบนำมาเสียบหูฟังลำพังยามเสียงภายนอกนั้นวายวุ่นใจจนไร้สมาธิ
ยามที่ต้องการพลังฝันพลังใจ ในงามเงียบดายเดียวให้เปลี่ยวเหงาล้ำลึก
สุขแบบไร้ผู้คน..รบกวน
..
ในบรรยากาศยามค่ำ ที่สายฝนกำลังพรมสาย พร่างพรายภายนอก
กับมวลหมู่ดอกไม้ไทยที่กำลังคลี่กลีบหวาน..บ้างราน..บ้างรับ..กับสายฝนเริงร่า
เสียงครวญคร่ำของบทเพลง จากแผ่นซีดีที่ชื่อ Paint the Sky with Star ..The BEST OF ENYA
หวานวิโยค..ให้โลกโศก..คนเศร้าได้หยุดฟัง..
กับเครื่องเล่นประจำร้าน ที่หวานเศร้าอวลไปทุกอณูกลบขมกาแฟ..
คิดถึงฟ้าเต็มผืนงามเข้ม สีน้ำเงินสะท้อนแดดจากทะเลคาริบเบี่ยน..
บทเพลง.. Storms in Africa
คิดถึง
ภูเขาเสียดยอดทายทักฟ้า
เงาเมฆลอยมา แย้มยิ้ม..
ใบไม้ร่วงกล่นควะคว้างลอยละลิ่วพัดปลิวไสวไปตามแรงลม
ดวงดอกไม้ป่าห่มหวานพร่างไพร
หยาดละอองฝนค้างใสอยู่กลางกลีบละออ
ของใบอ่อนเขียวไพลเพิ่งผลัดใบผลิดอก
คิดถึงป่าอวดดวงดอก ไม้ใบสีสัน แดง ส้ม เหลืองทองละออละอองน้ำตาล
คงงามสล้างไปทั้งราวป่าแบบไม่กลัวเปลืองทุกเฉดสีแสงแข่งแรงร้อน
ภูเขาสูงตระหง่านแม้นเข็งแรงปานใด
ก็อดอ่อนไหวอ้อนคลอสายหมอกสายเหมยสายไหมเสียมิได้
เพื่อรอให้หยาดสายพระพิรุณพร่างพรม ให้ร้อนคลายให้ห่มใจ..
และในผืนทุ่งหญ้ากว้าง สัตว์ป่ามากมายคงหมายออกล่าเหยื่อ
เสือ สิงห์ กระทิง แรด เก้งกวาง บ่างชะนีคงร้องโหยหวน.
ดงดอกหญ้าก็ไหวเอนระบัด สะบัดพลิ้วลิ่วเอนอ่อน ไปกับรอนรอนแสงสนธยา
เสียงหวานหวานของนางไพรยังไม่หยุด..ยั้ง
ฝากบทเพลง..
กำลังออดอ้อนซอนเซาะหวาน..
ผ่านขุนเขา เงา ดาว สายธาร ม่านเมฆ ดวงดอกไม้ พรายพระจันทร์
ผ่านกำแพงฝันทะลุทะลวงจักรวาล เวิ้งฟ้า เวิ้งฝัน
ผ่านมหาสมุทร ทะเล ฝัน ฝ่าดวงตะวันสู่ป่าดงดิบ ในไพรกว้าง
สู่ทุ่งหญ้าอันโอนไหวอ้างว้าง ดายเดียว ยามตะวันชิงพลบ
หลบลับลา ในเงื้อมผา โตรกธาร ในเงื้อมเงางามสลับซับซ้อนอ้อนม่านเมฆ
รอนรอนแสงตะวันลาลับเหลี่ยมโลก จับไพรโศก นภาพร่าง ห่างไกลโลกวุ่นวาย
ร่ำลา ดงไม้กระจายแสงสีทอง อาบหล้า ห่มป่า ผืนไพร และสรรพสัตว์ ให้หยุดหากิน ผ่อนพัก..
โอ้ละหนอ ฤดูกาล เหมือนเมื่อวาน เหมือนวันนี้ เหมือนเดือนปี ที่หมุนวนที่หมุนเวียน
ที่เปลี่ยนผันมาแตะแต้มผืนหล้า โอบนภา ปลอบประโลมดวงใจ..
โฉนเลยใจจะท้อจะแท้จะยอมแพ้จะยอมพ่าย!
............
เพลง Paint the Sky With Star กำลังพาให้หัวใจอยากร้องไห้
ใครบางคน เคยกระซิบ บอกไพลยามเหงาใจคลอเคลียฟังเพลงนี้ด้วยกันว่า
ไพลนั้นหนาก็คงเหมือนภาพวาดในปกอัลบั้ม
ที่เป็นภาพผู้หญิงเดียวดายในมือซ้ายถือกระป๋อง
ที่เลอะเลือนด้วยนวลพราวขาวสีหยาดย้อยลงมาข้างกระป๋อง
และมือขวาเธอนี้..มีพู่กันที่ผ่านการแตะแต้มท้องฟ้ากำมะหยี่สีหม่นดำตรงหน้า
ให้ดวงดาราพรายพร่างระดะดวง เต็มผืนฟ้า
ปลายพู่กันที่ถือค้างคานั้น สบัดพลันก็พริบพราวพร่างพรึบราวเพชรพร่าง..
...ไพลนะหรือหากคือสาวเหว่ว้านางนั้น
ก็คงแค่ฝันๆจะแต้มดาวพรายให้ทุกดวงใจไทยโพเอม
ได้มองฟ้าหาสิ่งอันงามตาอย่างดวงดารา
มาประดับอ้อมใจอ้อมฝันสถิตหวานหวังกลางใจไปนานเนานิรันดร์
เพื่อมีไฟฝันสร้างฝันเป็นดั่งพลังใจไม่รู้จบรู้สิ้นนะคะ
และแล้ว..On my way Home ..ก็นำพาจินตนาการ
เสียงล้อเกวียนเคลื่อนช้าช้า ผ่านเงาดาว เคล้าม่านหมอก
ผ่านดงดอกไม้ป่าหวานหอมระริน..
ผ่านพรายพระจันทร์หยาดหวานที่ถวิลรินพร่างกลางร่างมลังเมลืองของ
หญิงสาวผู้นอนดายเดียวฝากใจฝากจันทร์อยู่บนลอมฟางกลางเกวียน
ที่กำลังย่างเหยียบสู่ทุ่งหญ้า
ที่กำลังสุกปลั่งเมื่ออาบทาบทาด้วยสายน้ำผึ้งพระจันทร์กลางป่าใหญ่กลางไพรพฤกษ์
เสียงกระดิ่ง ผ่านละเมาะใส บึงบัวหลากสีสวยใส บานพราว
และราว ดวงตาสวรรค์รับรู้ ..
โปรยพรขวัญพร่างพรมห่มร่างงามของเธอในยามราตรีนี้
ให้หอมอวลหวานราวเกสรกลางกลีบบัวพร่างพิสุทธิ์ใสในอณูนึกลึกล้ำด่ำดื่ม
........
เสียงเพลงหวานล้ำลึก โหยหา พาใจ โศก สุข ซึ้งเศร้า ร้าวลึก และคึกคักในบางบท
กำลังค่อยๆทิ้งหวานผ่านม่านกาลเวลา
ลาเลือนหายไปกับสายลมยามค่ำ ที่สายวสันต์ยังพร่างสายพรายพรม
ภายนอกกระท่อมไม้สน...
ราววสันต์กำลังใกล้ร่ำลา วสันต์ลีลา
ที่แค่ผ่านมาร่ายมนตรามากบทตอนเอื้ออ่อนหวานอ้อนใจ
ให้หัวใจไหวอ่อนได้ละไมละมุน
ในม่านหมอกเมฆฝนเทาทึมครึ้มพยับโพยมบน
ที่คงจะถึงที่ถึงครา จะวกวน หมุนเวียนเปลี่ยนผันมิแน่มินอน
รอให้ฤดูร้อน พาพวงดวงดอกไม้มาเริงร่ารับลมร้อนอ้อนหวานบานเบิกใจ
ทิ้งให้หัวใจ คนรักสายวสันต์ พลันหมองหม่น
ทนเฝ้ารอฤดูกาลใหม่ หากฤดีไม่แปรไปเป็นรักอื่นเสียก่อน น่ะนะ
เป็นบทเรียนธรรมชาติมาฝากฝังใจ
ให้ไหวคิดครวญ ว่าโลกนี้หนา หาใช่มีเพียงด้านเดียวฤดูเดียวไม่
เหมือนต้องข้องเกี่ยวพึ่งพิงพึ่งพากันไป
ตราบโลกยังสร้างสมดุลย์ หมุนวนมาให้เรารวมกัน
ในโลกนี้ที่แสนสวยงามยิ่งใหญ่
ให้ทุกดวงใจยังมีไฟรักมีไฟฝันให้หัวใจสรรสร้างฝันสรรสร้างงานงาม
ให้ได้พบรัก...
ให้สมหวัง..
ให้อกหัก...
ให้ไม่ยักตายง่ายๆ ..
ก่อนจะได้ฝากสิ่งแสนดีไว้ในเบื้องบรรณพิภพนี้
เป็นธรรมชาติไพร ธรรมดาใจที่ต้องพึ่งพิง พึ่งพามีฟ้าดิน
มีฝนให้ต้นไม้ผลิใบมีเขียวใสแตกช่อ
มีฤดูร้อนให้มีละออของดวงดอกไม้เริงร่าหวานบานแข่งแตะแต้มสีโลกให้คลายหมอง..
มิมีอะไรครองพสุธาและร่างใจนี้ได้ยาวยืน
คงเหมือนกลางคืน
คงเหมือนกลางวัน
คงเหมือนฉันเธอ
ที่สวรรค์ส่งมาเพื่อพบเพื่อพรากเพื่อจากลา
จงทำใจอย่าคิดมากหากหวั่นไหวนะดวงใจนะดวงตานะคนดี
จงรอท่าวันฟ้าใส ให้ดวงใจสวยสดพบยอดรักที่รอคอยมาแสนนานนะ จะขอเอาใจช่วย
..........
กลับมาที่ร้านนะ
หนุ่มร่างเพรียว..เหลียวมาสบตาไพล นิ่งนาน
เลิกอ่านวารสารการเงิน ตั้งแต่เมื่อไรก็มิอาจรู้ได้
เพราะไพลมัวหลงอยู่ในภวังค์ฝัน เพลงฝันอันบรรเจิดใจ
อันพรายพริ้ง อันพริ้งพราวใจ จนไม่อยากสนใจไยดีใครเอาเสียเลย..
เขา..ก้าวมาช้าช้า และหยุดตรงหน้าก่อนจะขอคุยนั่งคุยด้วย
และบอกไพลว่าบทเพลงคืนนี้ไพเราะมาก
อยากหาฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า..
บทสนทนา ระหว่างเรานั้น พลันคงผ่านบันทึกฉบับนี้นะคะ
เขาคนนั้น..แค่จบลงด้วยความประทับใจและสัญญาว่า
จะพยายามเขียนถึงความงดงามในค่ำคืนนี้ที่ได้ผ่านมาพบและรู้จักกัน
และจะฝากงานนั้นให้ไพลในอีกสัปดาห์..ให้รอท่าอ่านงานนักการเงินผู้มีหัวใจละมุน
เขาฝากขอให้ไพลนั้นช่วยเขียนงานอันเป็นธรรมชาติ
ลงในวารสารประจำบริษัทเพื่อลดระดับ
ความหนัก ความเครียด ให้ผ่อนคลาย
ให้โลกที่แล้งไร้ ที่มีแต่ใบไม้ดอกไม้แตกกอเป็นช่อเงิน...
ที่พวกเขาต้องใช้สายโลหิต ใช้สมอง แทบโป่งพอง แทนสายน้ำหวานระรินรินรด
ให้งามงดหมดจดสวยใสเหมือนโลกแห่งเรานี้..ที่มีเรือนไทยริมบึงบัวไว้พักใจไว้พักพิง พึ่งพา
ยามดวงใจอ่อนล้าจากโลกภายนอกที่เร่าร้อนแข่งขันกันไม่มีวันสิ้นสุดหยุดได้เลย
....
เป็นคืนค่ำที่เขาบอกว่า จะประทับในความทรงจำ ให้ชีวิตได้สร้างพลังสมดุลย์ใหม่
ให้ชีวีได้ฝันไกล ไปถึงดวงดาวบนฟากฟ้ากว้าง มองหวานของหยาดน้ำผึ้งพระจันทร์ในยามราตรี
ที่ลืมแหงนเงยมาช้านาน..
โอ้..ดวงชีวีคนกรุงกรงหลงเมือง..
ไพลสะเทือนสะท้อนสะท้านใจเสียไม่มี..ปนกับความปลื้มและยินดี
ที่ได้ทำให้หัวใจใครคนหนึ่งหยุดกับที่ มีเวลาเงียบงามดิ่งด่ำ
กับบทเพลงกับอารมณ์ฝันอารมณ์ใจที่งามพิสุทธิ์ใสล้ำลึก เป็นยิ่งนัก
และ..
เขาจะรู้มั้ยนะว่า..บางเวลาฟ้าดินก็ส่งให้ใครพบใครแค่ชั่วครู่ชั่วครั้ง
แล้วก็หันหลังลามิพาพบกันอีกเลยแล้ว..
....................
ไพล..
เดินกลับบ้าน ในคืนค่ำกับลมหอมร่ำรำเพยหลังฝนตก
กลางสะพานริมลำประโดง
ไพลยืนมองฟ้ากว้าง
ใต้ฟ้าหม่น
ใต้ต้นชมพูพันธ์ทิพย์ที่ดวงดอกดก
ชมพูพริ้งพราว ที่หวานเศร้า
ที่กำลังปลิดปลิวละลิ่วร่วงควะคว้างลงกลางร่างไพล
ที่บัดนี้..
น้ำตาในหัวใจก็ยังพร่างสายราวสายฝนพรำ
กับยามนี้ ที่สายวสันต์กำลังลาเลือนลาลับ ลาลืม!
14 กันยายน 2546 17:46 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=420
เก็บลั่นทมกลางลานผ่านรอยย่ำ
ยังงามล้ำดอกระทมยามพรมพื้น
ตาที่สามเห็นลึกล้ำกว่าคนอื่น
แม้นกับพื้นยังสวยพร่างกระจ่างใจ..
นั่งบนหินริมสระแหนแพเขียวห่ม
นิ่มพราวพรมเป็นสัจจะงามเขียวใส
ได้พักตากับเขียวพร่างกับเขียวไพล
ในดวงใจก็ใสสวยด้วยเงียบงาม..
เสียบลั่นทมกับปอยผมพรมพร่างหอม
เสียงธรรมก้องย้อมดวงใจให้ใสหวาน
เงียบจนนิ่งยิ่งดื่มด่ำน้ำคำงาม
ในเพลยามงามก็พรมก็ห่มใจ..
หลับตานิ่งทิ้งวุ่นวายไว้ภายนอก
พร่ำบ่มบอกงามดวงใจกระจ่างใส
สวดมนต์ตามก้มลงกราบดื่มด่ำใจ
น้ำตาไหลในปิติที่วอนเพียร...
ตามฉันมาสิดวงใจในความฝัน
ลืมคืนวันลืมโลกจริงสิ่งแปรเปลี่ยน
อธิษฐานผ่านความรักวกวนเวียน
สร้างกุศลเพียรเพาะใจบ่มในร่มธรรม
แล้วเหินบินพร้อมกันไปในเวิ้งฝัน
หวังคืนวันเพชรประดับใจใสค่าล้ำ
ลืมความจริงสิ่งที่เราชดใช้กรรม
หวัง..สวรรค์เมตตา..ชาติหน้ามี!
เขียนเรื่องนี้ ที่ลานหินแห่งสรวงสวรรค์บนดิน
ที่งามใจร่มใจเป็นยิ่งนัก..
ในเช้าวันอาทิตย์ที่ไพลเพียร..มาเยือนเตือนใจตนเนิ่นนานปี
หวังวาดชีวีให้พร่างใจให้สวยใสสงบงาม
ในทุกยามแห่งชีวี...ให้ลูกนี้ลืมระทม!ลบระกำ!
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=420
รางวัลชีวิต
พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม
คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร
ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด
ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น
ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ
ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน
ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์
ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม
โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี
ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม
หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ
ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน
สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา
กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์
หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์
เวรกรรม ทุกชาติก่อน
บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย...
13 กันยายน 2546 00:01 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6993
ม่านฝนหล่นบ่าพร่าม่านฝัน
เบื่อผูกพันเบื่อฝันค้างแรมร้างไหว
เบื่อฝันพลัดหล่นหายสายธารใจ..
เบื่อเงาใจในโลกฝันมันไม่จริง...
อยู่ลำพังกับดายเดียวกับเปลี่ยวร้าง
ฝังฝากร่างกับธรรมชาติเงียบงามนิ่ง
ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นโลกเสแสร้งลืมทุกสิ่ง
อยากหยุดนิ่งวิ่งหนีห่างนิยามเมือง..
เบื่อหน้ากากกระชากใจไม่รัดร้อย
เบื่อคนร้อยคนพันมากมายเรื่อง
เบื่อความฝันอันวกวนแสนเปล่าเปลือง..
เบื่อสังคมเมืองเรื่องมากลากตามไป..
ขออยู่เดียวเปลี่ยวเหงาในโลกร้าง
แม้นอ้างว้างไร้แสงสีก็ทนไหว
ไม่รุงรังหวังวาดสิ่งใดใด
มีเพลงไพรมีเพลงฝันมอบวันดี
ฟังเสียงฝนเสียงนกไพรเสียงใบไม้
ฟังซัดส่ายเสียงสายลมห่มใจนี้
ฟังเพลงหวานผ่านม่านหมอกธรรมชาติดี
ทุกสิ่งที่ไม่แปลกปลอมย้อมสีใจ
มองม่านฝนผ่านม่านใจในวันนี้
ใจดวงดีก็แสนเงียบเฉียบเย็นใส
น้ำตาฝนหล่นลาฟ้าผลาญพร่าใจ
สอนดวงใจให้ลึกล้ำอย่าซ้ำรอย..
ขออยู่กับฟ้างามยามใจเหงา
ไร้เงาใครไม่อยากฝันฉันยอมถอย
ขอซุกร่างกลางเรือนจำปีที่รัดร้อย
ร่างฝากรอยใจฝากร้าวก็เศร้าดี ก็ซึ้งดี!
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6993
Love Is Blue
Ai Martino : : Key G
Blue blue
my world is blue
Blue is my world
Now Im without you
Grey grey
my life is grey
Cold is my heart
since you went away
Red red my eyes are red
Crying for you
alone in my bed
Green green
my jealous heart
I doubted you
and now were apart
When we met
How the bright
sun shone
Then love died
Now the rainbow is gone
Black black
the nights Ive known
Longing for you
so lost and alone
Gone gone
the love we knew
Blue is my world
now Im without you
When we met
How the bright
sun shone
Then love died
Now the rainbow is gone
Black black
the nights Ive known
Longing for you
so lost and alone
Blue blue
My world ia blue
Blue is my world
now Im withoutyou...
12 กันยายน 2546 21:57 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=219....เดื่อนต่ำดาวตก
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=197...จูบมัดจำ
ในม่านฝนในม่านฝันคืนค่ำนี้..
แย้มยิ้มกับไพลสิคนดี ..ทุกดวงใจ
ไพล..จะพาคุณไปเยือน วิมานใยบัว วิมานฝัน
ยังสรวงสวรรค์บนดิน
เรือนริมบึง เรือนไทย เรือนใจ เรือนร่มรักแห่งเรา..
เรือนไทยหลายหลัง ที่ซ่อนตัวฝังแฝงในร่มแมกไม้ไทยนานาพันธุ์
ในดงดอกลำดวนหวานหอม
ในดงดอกจิกหว่านพราวพริ้ง
ทิ้งชมพูพร่างสายกลางสายชล..สายธารให้หวานระริกระรื่นชื่นฉ่ำ
มีชานเรือนเชื่อมกัน ราวสายฝันมิพรากลา
ชานเรือนที่ร่มเย็นในเงาไม้ มีเถารสสุคนธ์กรีดกราย เลื้อยพันชูช่อ มีซุ้มกอลัดดาวัลย์
สายน้ำผึ้งฝัน สอดประสานก้านเกี่ยวเกาะ กันไป
ให้ร่มเงาให้ดวงใจได้ไหวหวาน งดงามแสนดี ตลอดปีตลอดไป..
ตรงหน้าเรือน..คือบึงบัวหลากสีหลากพันธุ์
ค่อยค่อยคลี่กลีบ แย้มชูชันบานรอรับหวานหยาดจากสายวสันต์พรำพร่างกลางกลีบเกสร..งาม
ในเงาจันทร์ ในม่านเมฆฝน นั้น เห็นดอกฝน ลางเลือน
เหมือนดวงดอกฝัน ดวงดอกไม้ดอกนิดนิดดอกน้อยน้อย
ค่อยค่อยกระจาย หายไปเป็นวงกว้างกลางบึงบัว
ดั่งดอกไม้สายวสันต์ ท่ามกลางเรือนฝันเรือนใจ..ในสายชล..
ให้ห้องหับทับเรือนไทย แสงตะเกียง ริบหรี่ วับแวม
จุดวางไว้ ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง แบบโบราณ ที่มีบานกระจกโค้งมน
เป็นรูปไข่ และมีกระจกสี มีหูช้าง ด้านข้างไว้เป็นที่ปิดเปิดที่เก็บเครื่องหอมร่ำ
ที่หูจับลิ้นชักทุกอัน เรียกเม็ดมะยมทำเลียนของจริงด้วยกระเบื้อง..
ใกล้กันมีโถลายคราม บรรจุด้วยดอกไม้ไทยแสนหอมงาม
เล็บมือนางสามสีสลับสวยสดชื่น..ข้างข้างมีพานทองเหลืองใส่
การะเวก มะลิลา มะลิซ้อน อ้อนตามด้วยดวงดอกลั่นทมนวลเศร้า..ระทม.
บนเตียงนอนโบราณที่มีเครื่องนอนหมอนมุ้งสีขาว
มีม่านลายลูกไม้รายรอยที่ถูกจีบจับไว้ด้วยโบว์ผ้าไหม
รับร่างงาม ที่พาดตัวยาว นอนสยายผม ราวสายไหมแผ่กระจาย
ใบหน้านวลผ่องผุดดุจงาช้างเนียนละออ ล้อแสงตะเกียง ที่ทอทอดจับ
โลมไล้ร่าง ให้เสี้ยวหน้ายิ่งงามละมุนละม่อม..ราวนางในฝัน..
เธอใส่ชุดนอนผ้าลินินสีขาวลายลูกไม้ ยาวกรอมเท้า..
และใกล้หมอนปัก..ลายเถาวัลย์พันช่อดอกดวง
มีดอกพุดซ้อน.ซ่อนหวานแซมใบเขียว วางไว้สามสี่ดอก
ร่างงาม พลิกตัว เอื้อมคว้าหนึ่งในดอกนั้น มาทัดหู เคลียแก้ม แซมผม
และอีกดอก อีกคว้า เธอนำมาดอมดมพรมจูบด้วยรัก
ในงามพิสุทธิ์ผุดผ่อง ซาบซึ้งเศร้าหวานเร้าใจ ..
เธอหลับตา พริ้มฝัน กับเสียงฝนพรำพรมนอกชายคา นอกหน้าต่างเรือน
ที่เปิดรอทิ้งไว้ให้หยาดละอองฝนพรายพร่าง
มาตกต้องกลางร่างกลางดวงใจให้ไหวงามตามฝันตามฝน..
กลิ่นการะเวก ใกล้กอซุ้มลัดดาวัลย์
กับกลิ่นดอกโมกพราวพร่างใกล้ชายคาเรือน
หอมกระจาย อวลมากับสายลมยามค่ำ
มาทายทักพะเน้าพะนอพ้อพลอดใจ
ไหนจะกอราตรีที่กำลังบานเต็มช่อดอก
เกสรบัวก็พลอดพรายกลิ่นแย้ม..มาแตะแต้มดวงใจ
ต่างพยายามคลอเคล้า ให้เจ้าของหวานหอมหลอมละลาย..
เธอควานคว้ากระดาษ มารจนาบทกวีบทนี้ถึงเขาคนดีผู้เป็นที่รัก!
ดอกปีบหวานบานเศร้าร้าวรานรัก
ดงดอกรักขึ้นเป็นกอรอรู้เห็น
ดอกลำดวนหวนหาทุกเช้าเย็น
ดอกราตรีไม่เว้น..บานรอท่า.ทุกราตรี
ดอกพุดซ้อนซ่อนใจใครกันหนอ
ดอกเข็มกอแทงใจใครหน่ายหนี
ดอกบานเช้าเย้าย้ำรอคนดี
ดอกมะลิที่บ้านนี้ลอยรอเธอ
ดอกจำปีกี่ปีแล้วลาเลือนลับ
ดอกเทียนนับเป็นร้อยห้อยพ้อเพ้อ
ดอกพุทธชาดสวาทหวังยังละเมอ
ดอกรอเก้อบานวันนี้ที่รอรอ..
และ
ณ...เรือนไทยท่ามกลางแสงตะเกียงฝันอันริบหรี่ รุบหรู่
กับเสียงดนตรีธรรมชาติจากสายฝน
กับเสียงจิ้งหรีดเรไร ระงมขับกล่อมประสาน
นานนานจะได้ยินเสียงนกไพร ดุเหว่าหวานดังแว่วกังวานมาแต่ไกล
เธอเปิดเพลง ไทยลูกทุ่ง ราวจะฝากไปให้ทุ่งสะเทือนตาม
ราวกับจะฝากความคิดถึงแสนงาม ข้ามไพรพฤกษ์พนา พาโบกบินไปปลอบประโลมใจ
คนในดวงใจ ในยามนี้ ที่เธอนอนดายเดียวเฝ้าฝันเฝ้าหลงรอ
ขอเพียงให้เขาคืนกลับมา..หลอมละลายใจร่าง มีห่างหาย ให้ดาวพรายบนฟ้าอิจฉา
ให้บัวกลางบึงเหว่ว้า หลงเฝ้ารอหมู่ผึ้งภมรมาเชยชมคลึงเคล้าเกสรตาม..
เขียนบทนี้ วันที่พายุพัดแรง
ราวแกล้งให้ใจพุดพัดชาไหวตาม
กับแสงเทียนหวามไหว กับฉากในฝันที่มีจริงในวิมานดินพุดพัดชา
ทำให้อยากรจนา งานงามเงียบหวังเฉียบฉ่ำพรำรินลงตรงกลางใจทุกดวง
ยามดึกดื่น ที่ดาวลาดวง..เดือนลาลับ..มิคืนกลับมา..
และพุดพัดชา
อยากให้มาร่วมฝันร่วมพันผูกกับฉากเหว่ว้า
มาฝากรัก ฝากใจ ที่เราถูกโชคชะตานำมาให้มาพบมารักกัน
นะทุกดวงใจไฟฝันในฝัน
ณ.ที่แห่งนี้ ร่มเรือนไทย เรือนใจ เรือนขวัญ
วิมานสวรรค์สรวงของเราในโลกฝันอันแสนงาม
ด้วยพลังแห่งใจละมุนละไม ..ไปด้วยกัน ด้วยใจต่อใจ
และด้วยพุดพัดชาเบื่อโลกแสงสี เบื่อโลกวัตถุมากมี
และทุกคราที่ดวงตาดวงใจสัมผัสสายวสันต์ ลีลาวสันต์
พลันจะก่อเกิดงามพร่างกลางใจ ที่อยากรจนามากำนัล
ให้ทุกท่านทุกดวงใจนั้น ได้หลับฝันดี
และยินดีมอบบทนางเอกให้นะนาทีนี้นะคะ
ยกเว้นมวลหมู่ภมร ที่อยากร่อนภิรมย์ชมบัวคลึงเคล้าเกสรบัว
บัวกลางบึง ที่ทายท้า รอท่าผู้กล้า สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย
ที่มิใช่แค่หมายลอยคอรอคอย
จนบัวน้อยเหี่ยวแห้งคาบึง..นะคะคนดี..
พิสูจน์ซี หากอยากได้บัวทองผ่องพิสุทธิ์นะเรือนไทยนี้ที่มากมีมากมาย
ด้วยใช้ใจดวงดี ดวงงาม ตามแลกแบบ
ใจดวลใจ .ใจเดิมพันใจ.ดีไหมคะ!ดวงใจ
12 กันยายน 2546 11:42 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=197..จูบมัดจำ
ยามอุษา ฟ้ากระจ่าง ทั่วนภางค์รำไรรำไร
ไพล..คว้าจักรยานคู่ใจ คู่ชีพ คู่ขา ปั่นออกไป
ตามถนนสายโศกสายฝัน..
สายดอกไม้ริมทุ่งยังแสนงาม
ทั้งๆที่ใจแสนกลัว สุนัขมากมี
ที่เป็นสมาชิกพรรคข้างถนน
ที่คงจะอยู่คนละพรรคกับไพล
ถึงได้จ้องที่จะรุมเห่าเขย่าขวัญ
คอยอยากจะขย้ำหม่ำน่องน้องน่องทองน่องนักกีฬาขาแข็งแรงคู่นี้ เสียจริงจริง..
เอาไงเอากันนะ เพราะว่าในตัวมียาป้องกันพิษสุนัขบ้ามากมี
ที่ฉีดมาหลายทีแล้ว
และครั้งล่า....คุณหมอบอกไว้ว่ายังป้องกันได้ไปอีกห้าปีค่ะ...ห้าปี..
แล้วดวงชีวีจะยังหวั่นอะไรเล่า อ้าวปั่นไปเลยไป..
อากาศยามเช้าแสนสดชื่น ลมระรื่นระริน
คิดถึงใครบางคน
ที่อาจหลงกลิ่นน้ำเมาน้ำละมุด จนบางที่อาจจะต้องหยุดงาน
(เอ๊ะ ใครกันละหนอละนี่หรือว่าผีขี้เมา ที่เราเฝ้าคิดห่วงใย)..
กลุ่มเมฆลอยเกลื่อนฟ้า
รอเวลาพระอาทิตย์แหวกม่านชักรถ
ปรากฏกายออกมาเยือนโลกหล้าอีกคราครั้ง
ให้ทุกดวงใจได้ตามตะวันพบทิวาวันแสนดีที่แสนงาม..
ไพล..สูดลมหอมหวานในยามเช้าแสนสดชื่นช้าช้า
ผ่อนฝีเท้าลง!
ถนนสายโศกสายฝันยังว่างวาย
ต้นไม้ตายซากยืนต้นแผ่กิ่งก้านงามประหลาด
ยังกับเส้นสายปะการังสีดำ
งามล้ำในรู้สึกลึกเศร้าจนต้องหยุดเฝ้าเหลียวมอง..
ดงดอกหญ้าและรวงเรียวข้าวในท้องนา
ที่ยังเหลืออยู่ริมกรุงริมทุ่งริมถนน
ยังคงสะบัดพลิ้วปลิวไสว
รอรับแสงอาทิตย์ดั่งทองทา
มาโลมไล้ละมุนล้อรวงเรียว
พรายพร่าง อย่างอ่อนหวานอ่อนโยน
กลุ่มผีเสื้อ แมลงปอ บินว่อนร่อนชมดวงดอกไม้
สองฟากฝั่งบ้านชาวสวนชาวทุ่ง
ที่ยังตั้งหลักไม่ทันยังคิดว่าหลับฝันไป
ที่อยู่ดีไม่ว่าดีมีถนนสายยักษ์ตัดตรงมา
และให้นอนสะดุ้งทุกทิวาราตรีว่า ไม่รู้วันใด
จะพารถคันใหญ่มาถล่มทับ..ให้ยับย่อยจิตวิญญาณ..แบบมิฟื้นคืนกลับ..
นานนับเท่าไรที่สองลำคลอง ลำประโดง
ยังหลงเหลือความงามชนบทดิบเดิมติดดิน
ให้ไพล ถวิล ชมเพลิน เฝ้าดูทุกวี่วัน
ทั้งยามค่ำ และงามอรุณรุ่งอย่างเช้านี้..
ไพล..หลงรักกระท่อมทับ..หลังหนึ่งของสองตายายคู่ยาก
ที่มีถนนทางเข้าคือรอยย่ำแยกของดงหญ้าคา..พอให้รู้ว่านี่คือทางออก
สู่ท้องถนนใหญ่
ที่..ปลูกไว้พักใจกายยามเสร็จงานนา ยามเหนื่อยล้า
มาสูบมวนยาตราใบตองนอนทอดถอนใจ..
ดูฟ้าไกลอย่างเงียบงาม
ให้ลมโชยชายทุ่งพัดกลิ่นจรุงใจ
ของหอมกลิ่นดินกลิ่นแมกไม้ใบหญ้า
มาทำให้งีบหลับฝันไป..
นาทีนี้..วันนี้ไพลไม่รู้ว่าแกอาจจะดีใจหรือเสียใจ
หรือไพลกันแน่ละหนอ...
ที่ใจหายคล้ายกำลังสูญเสียเพื่อนไพรในป่ากรง
ไพล..เลาะเลียบไปนั่งริมทุ่ง
ลืมความวายวุ่นวางเหว่ว้าห่างๆ..ใจ
ในคลองตา คลองใจ
ให้สัมผัสใสงามของธรรมชาติที่ใกล้จะถึงกาลพรากจาก
ไพลได้แต่วาดใจหวังส่งพลังใจไปกระซิบร่ำลา ....
ดงดอกหญ้า
ดวงดอกไม้ริมกระท่อมทับ
ดวงดอกไม้พื้นพื้นบ้าน
ที่ถูกหว่านหวานสะพรั่งรายรอบ
มีดงดอกบานชื่น หลากสี มีดาวเรือง ดาวโรย
มีบานไม่รู้โรย ม่วงพราว ขาวนวล อมชมพู
มีพืชผักมากมาย ข่าตะไคร้ มะกรูด เป็นกอ
และนั่นผักบุ้งงามละออแตกยอดทอดเลื้อยในท้องร่อง
ดงกระถินคลอรั้วสานไม้ไผ่ เขียวขนัด
มีตำลึงเลื้อยพันระเกะระกะก้านตาม
มีมะลอกอห้อยพวงหวานปลายเรียวก้นอมส้มอมชมพู
มีมะเขือพวง มีแตงร้าน
มีบวบห้อยลูกยานเกือบถึงดิน
และมีทุกสิ่งที่เป็นวิถีชาวบ้าน
ที่พึ่งพาพึ่งพิงฝากท้องให้อิ่มให้เอมใจ..
เป็นเสน่ห์งามง่าย
ที่ไพลไขว่คว้า
และได้พาดวงใจยามอ่อนล้ามาพักตาพักจิตวิญญาณ
ที่ไพลหลงตามหาตามติดในเมืองลวงนี้..จนพบเจอ
และ..
ไพล..จำได้ว่าเคยคุยให้ไอเดียตายาย
ผู้อาจจะคิดตรงข้ามกันกับไพล
ให้ถนอมธรรมชาติแห่งผืนดินชุ่มฉ่ำใจนี้เอาไว้ให้ตราบนานแสนนาน
อย่าเอาอย่าง
คนเกาะชาวสวนมะพร้าวบ้านไพรที่ขยันขายที่มาขี่เก๋งแข่งกัน
เป็นทิวแถว ให้หัวใจคลุมด้วยเหล็กกระด้างแข่งกัน
ที่เจ้าของบริษัทนั้น
รู้จักจิตวิทยามนุษย์มากมีที่ทะยานอยาก
ไม่รู้จบรู้สิ้นถวิลหามาประดับร่างประดับบารมี..
ที่มากมีเกินความจำเป็นใช้สอย
จึงตั้งหน้าตั้งตาผลิตกันมาเสนอสนอง..กิเลสนี้
ที่ทำให้โลกได้หมุนไป..ในทางวัตถุล้นเมือง
ไม่ประเทืองใจ
ที่ต้องทนทุกข์ทำงานเหนื่อยยากตรากตรำ
หาเงินมาผ่อนจนแทบบ้าคราถูกตามทวงเงินงวดค่ารถ
ราวนั่งอยู่ในนรกแม้นเบาะรถจะแสนนิ่ม..
และไม่เหลือเนื้อใจให้ไหวหวามให้ไหวทัน
หรือบางทีก็เกินการณ์เกินแก้
พ่ายแพ้ใจจนเครียดเส้นโลหิตแตกในสมอง
ตรองไม่ทันตามกระแสโลก..
......
ไพล..
จึงเสียดายบ้านไร่ชายทุ่ง
กรุ่นกลิ่นหอมลอมฟางเรียวข้าวในนา
และดงดอกหญ้าไหวเอน..
ที่ใกล้จะไร้ร้าง
มีหมู่บ้านจักสรรขึ้นมาแทนที่ราวดงดอกเห็ด..เป็นป่าปูน..
ถนนสายใหญ่ยักษ์ สายคอนกรีต
ที่กำลังกรีดดวงใจไพลทิ่มแทงใจไพลให้ย่อยยับดับฝันตาม
และให้เนื้อใจนิ่มนิ่มนวลนวลของชาวนา แหว่งวิ่น
กระจัดกระจายพรายพลัดไปกับลมอารยะ..ที่บ่าโหมกระพือ..
ไพล..ขอหยุดเล่าแค่นี้นะคะ
เพราะว่ายาวย้ายยานแถมมิหวาน..มีแต่รานร้าวเสียอีกค่ะ
เอาแค่ว่า..เช้านี้ไพลคนดี
แค่มาบอกว่ายังได้มาพบเช้างาม
อรุณรุ่งเรื่อรางสีหวานปานรุ้งเรียวในซอกเสี้ยวดวงใจ..นะคนดี
แม้นมิใช่ในไพรพฤกษ์ที่ไพลฝัน .
.เฝ้ามองผืนพสุธาภาวนาให้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง
เพื่อพบฝันวันดี..
ที่สุด..ก็สุดแต่ดวงตานี้...ดวงใจนั้น ของผู้ใด
จะ..ไขว่คว้าฝัน มาเพลินตา เพลินใจ..มาประดับดวงใจ..
ตัวใครตัวคุณก็แล้วกันนะ..นะคะ
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=197
จูบมัดจำ
ทูล ทองใจ : : Key F
ต่าง วิงวอน อ้อนรัก พรอดพร่ำ
รัก แสน หวานฉ่ำ พี่จูบมัดจำ ตลอดทั้งคืน
กอดนวลไว้ แนบกายฝังใจระรื่น
ไออกอุ่นหนุนรักชื่น
พี่กอดขวัญยืน มิจางห่างน้อง
จะ มีใครที่ไหนกันเล่า สวยงามเกินเจ้า
พี่เฝ้าเล้าโลม โฉมนิ่มเนื้อทอง
สุดจะสรรค์ เนินถันเจ้างามขาวผ่อง
ดังหนึ่งพิมพ์ ยามยิ้มมอง
สวาทรักปอง น้องนางนั่งชม
จวนแจ้ง แล้ว หนา เดือนตกจะลับตา
นกกาต่างกู่ หาคู่ภิรมย์
นกกู่ พี่กอดเจ้าไว้มิให้ระทม
สองเราต่างเฝ้าเชยชม
จนสิ้นแสงโดมแห่งจันทร์
พี่ ต้องลาก่อนฟ้าสว่าง น้องนวลแนบนาง
เฝ้าจูบสองปราง เพื่อฝากสัมพันธ์
แต่คืนนี้ พี่ไปอย่าได้ไหวหวั่น
คืนใหม่เราค่อยพบกัน
เพื่อสร้างวิมานฉิมพลีที่คอย...