15 ธันวาคม 2546 00:35 น.
พุด
จากดวงจันทร์ถึงดวงใจ!
กวีหรือนักเขียน ศิลปินหรือผู้สร้างงานศิลปะ
ประชาชนคนเดินดินธรรมดาๆทุกๆคน
ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นอาร์ติสก็ได้
ขอเพียงแค่ให้ มีใจดวงละมุน..
มักจะใช้จันทร์ฉาย จันทราจากฟากฟ้า เป็นแรงฝัน แรงบันดาลใจ
ทั้งดาว เดือน ดาริกา ผีเสื้อ
และมวลหมู่ดอกไม้ ท้องฟ้า ผืนดิน
ธรรมชาติรายรอบ ที่งามสิ้นในโลกหล้าจักรวาล
คือสิ่งที่หล่อหลอมให้บรรดาศิลปิน
และผู้อยากจะเป็นได้ฝันใฝ่ไม่รู้สิ้น
มีจินตนาการอันบรรเจิด..เพริศแพร้วมลังเมลือง..เกินธรรมดาๆ
ถ้าเอาแต่มองน้ำครำ
หรือมีชีวิตลำเค็ญท้องกิ่ว ไม่มีจะกิน
ก็คงคิดอะไรไม่ออก
ถ่ายทอดออกมาเป็นจินตนาการได้ยากยิ่ง
เพราะคงได้ยินแต่เสียงท้องร้องจ้อกๆ
แทน ท้องทุ่งนา ป่าเขา ลำเนาไพร
ข้าวรวงเรียว ที่เห็นก็อยากแค่เอามาเคี้ยว
แทนการเขียนบรรยายให้เห็นแค่งามนะซี....
มีเหมือนกัน ศิลปินไส้แห้ง
ที่มีอุดมคติ ที่ทำงานด้วยใจรัก แต่มักจะอยู่สร้างฝัน
ไม่ได้นานรีบ ตายเสียก็เยอะ
เพราะโรครุมเร้า เล่นงาน จนทุกข์ทน..
เหมือนดั่งพระพุทธองค์
ที่ทรงแสวงหาทางสู่นิพพาน ความว่าง
ความตรัสรู้ ด้วยการบำเพ็ญทุกกริยา
เพียรทรมานทรกรรมร่างกายจนผ่ายผอม
จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็หาได้บรรลุไม่..
เพราะเป็นทุกข์ใจกับสังขารจนไม่มีสมาธิ...
พระองค์จึงหันกลับมาเดินทางสายกลาง
ทางสายที่พอดีๆไง ไม่หลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียง ตู้เตียงฟูกหนา
หรือแม้แต่กามโลกีย์ เพียงแต่ปล่อยวางเพื่อพบความว่าง
จากทุกสิ่งที่จะทำให้ไม่ยึดติด และไม่ทำร้ายตัวเองอีกต่อไป..
อดหยากมากไป
ใจของเราก็จะกระวนกระวาย สับสน
คิดแต่เรื่องหาใส่ปากใส่ท้อง
ที่ร้องจนน่าตกใจ พาให้รบกวนสมาธิ และพลังงาน การสร้างฝัน
ใช้ชีวิตสุดหรู เกินไป
ไม่ ติดดินเอาเสียเลย ก็เป็นศิลปินยาก
เพราะต้องอาศัย ความโดดเดี่ยว
ให้มีสมาธิ ที่ต้องนำมาใช้เขียน
ใช้คิด ใช้จินตนาการ ให้งานออกมาจากกระพี้
แห่งความจริงแท้แน่นอนของชีวิต
ที่มีความคิด คิด คิด เป็นเครื่องมือ
ตอนสมองว่างๆ อย่างผู้ที่หวังผลิตงาน
คือการเขียน เป็นเป้าหมายและผลผลิต.....
ถ้าร่างกาย ทรุดโทรมมากเกินไป
ด้วยโรคภัย สมองที่ไหนจะมาสร้างฝันแสนสวย แสนดีอยู่ได้
เพราะฉะนั้น สัจจธรรมที่แท้
ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน หรือนักอะไร
ต้องมีความเป็นกลาง ความรู้จักคำว่าว่าง รู้จักคำว่าพอดีๆ..
ถ้ายอมทรมานตัวเอง เพื่อค้นหา
ยอมทิ้งความสุขทุกสิ่งอย่าง
มันก็ดี แต่ต้องมีขันติ และอดทนเป็นเลิศ
กว่าจะไปถึงดวงดาว
อาจจะยอม ท้อแท้ แพ้พ่ายเสียก่อน..
กว่าจะไปถึงคำว่าศิลปินใหญ่
น่าจะมีสองสิ่ง คู่กัน คือพรสวรรค์ พรแสวง...
สำหรับดวง มาจับปากกาเอาตอนนี้
และที่เขียนด้วยความรัก
ความสุข สบายใจ จะดีหรือไม่ ก็คิดว่านั่นคือผลพลอยได้
เหนือสิ่งใด คือเราต้องทำด้วยใจ ด้วยความรัก ความสุข
ฝากบอกทุกดวงใจวัยอลวน ลองเริ่มต้น
ตั้งใจเขียนนะ แสวงหาแนวทาง
และค้นคว้าอย่างตั้งใจซี
ทำมันให้ดีด้วยชีวิตด้วยดวงใจทุ่มทั้งดวง
เพื่อเก็บดาว.....พราวพรายฟ้า มากมี
ที่ทอแสงรอท่า นำมาประดับใจ
ประดับเกียรติ ให้ภาคภูมิ
อ่านให้มาก คิดให้มาก
และเปิดใจกว้าง กับทุกเรื่องราว ให้เข้ามาเป็น
ประสบการณ์ชีวิต ไม่ว่าร้ายหรือดีก็มีคุณค่า
ถ้านำมาเป็นบทเรียนสอนใจ
ให้มองโลกเป็น เห็นงาม เห็นความว่าง ความพอดี....
บางที เวลาดวงเข้าร้านหนังสือ
จะได้สัจจธรรม นำมาสอนใจนะ
ว่าโลกนี้มีหลายเส้นทาง
เพราะหนังสือยังมีหลากหลายรูปแบบ
และแนวทาง ของใครของมัน..
ทั้งวรรณกรรมเพื่อชีวิต ทั้งข้อเขียนขำขัน
ให้ความบันเทิงใจ ทั้งศาสนา ปรัชญา
นวนิยาย งานแปล งานประดิษฐ์ มากมายรายเรียง
และสุดแท้แต่นักเขียนจะถนัดแนวไหน
ให้เลือกหามาอ่านตามรสนิยม....
ดูแต่งานเขียนของ คุณอุดม แต้ สิ
ที่เขียนจนสนั่นเมือง เพราะสามารถถ่ายทอดเรื่องราว
สนุกสนานใกล้ตัว มาปรุงรสชาติ
ให้มันส์ ให้ถูกใจวัยรุ่น ในวันนี้
จนขายดีต้องพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ดวง....อ่านงานหลากหลาย
และแม้แต่นิยายประโลมโลกย์ ประโลมใจ
ในวัยวันหนึ่ง ของชีวิต
เพราะเวลานั้นอ่านแล้วมันแสนจะโดนใจ
ในเวลานี้
หันมาอ่านหนังสือศาสนา ปรัชญา
และวรรณกรรมเพื่อชีวิต
และค้นพบว่า จริงๆ งานที่ดี
ที่ชอบคืองานที่เรียบง่าย ใช้ภาษาบริสุทธิ์ใสใส
ทั้งที่ตัวเองแสนจะยอกย้อน เวลาพรรณณา....ในงานเขียน
แม้ใจอยากเขียนแบบนั้น
แต่ก็เขียนไม่ได้ ไม่ถนัด
และพยายามไม่ฝืนใจ
แปลกดีไหม ที่เขียนได้แค่นี้
และยอมรับคำว่า นักเขียนเรื่องน้ำเน่า....
ที่เป็นทัศนะของท่านผู้อ่านบางคน....
ถ้าเป็นน้ำเน่า
ก็ขอแค่ ให้ข้อคิด ในงานเป็นดั่งสะพาน ดั่งบันไดไม้ที่มากมีรัก
เพื่อให้ผู้อ่าน ข้ามผ่าน ไปสู่สิ่งที่ดี
ที่สร้างสรรกว่า..ของชีวิต และให้ปีนขึ้นไป
พบความสวยงาม ที่รอท่าต้อนรับ
ผู้ที่รักงานเขียน และมีความเพียรพยายาม
กับงานที่ต้องขับเคี่ยวกับตัวเอง
บนความว่างเปล่า ของหน้ากระดาษ ที่รอให้รจนา
ออกมายังประโยชน์แก่โลกใบนี้ ที่บิดเบี้ยวขึ้นทุกๆวัน....
ขอให้พบกับโชคดี ที่ฝัน ที่ต้องการนะคะ
จากดวงจันทร์ ถึงดวงใจ และจากผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อดวง..
ที่พร้อมจะเคียงข้างเป็นกำลังใจ
ด้วยรักและปรารถนาดีนะคะ
14 ธันวาคม 2546 10:30 น.
พุด
ตะวันตกดิน!
พุดพัดชา!
ที่รัก
ผมกลับมาเกาะแสนรักของคุณอีกคราครั้ง..ในวันนี้
ทั้งๆที่ผมเพียรพยายามหนีใจตัวเองมาตลอดระยะเวลาหลายปี
ที่ผ่านมานี้..
ผมคิดถึงคุณทุกนาที ทุกสถานที่ที่คุณเคยไปกับผม
บนภูหินสูงเสียดฟ้า..ที่คุณบอกว่ามีบางมุมเร้นลับ
หากอยากสัมผัสงามดั่งสวรรค์ลอย..เลื่อน..เยือนหล้า
คุณจำได้ไหม..
ที่เราต้องจอดรถไว้แค่เชิงเขา
แล้วเดินลัดเลาะฝ่าดงหนาม
ฝ่าเข้าไปในเส้นทางงามเรียบง่ายแสนยากลำบาก
ที่คุณบอกว่าแสนมีเสน่ห์
แต่ผมกลับสงสารคุณที่ถูกหนามเกี่ยวเลือดซิบๆ
แต่คุณกลับหัวเราะและกระซิบบอกผมว่า
*
ในความยากลำบากในความยากไร้นั้น
ทุกเส้นทางไม่ว่าเส้นทางใจหรือเส้นทางจริงบนถนนแห่งชีวิต
จะมีคุณค่าเป็นบทเรียนสอนชีวิตให้เรียนรู้จักความอกทน
เพียรสู้เพื่อทนรอ..นาทีที่ยิ่งใหญ่
ที่มีบางสิ่งที่แสนงดงาม
ที่แสนดีมีค่ารอเราอยู่บนเส้นทางข้างหน้า
ก่อนที่เราจะฟันฝ่าดั้นด้นไปถึง..นะที่นั้น
คุณบอกผม..ก่อนที่ผมจะได้อ่านผ่านตาถึงหนังสือแปล
แสนมีค่าทางใจทางจิตวิญญาณเสียอีก..
หนังสื่อเล่มที่คุณส่งมาให้ผมอ่าน*อัฐิอาจารย์*
วันนั้น..
ผมได้แค่เดินตามหลังคุณ ใช้คำว่าปีนเขาไต่เขา
ตามหลังคุณที่คล่องแคล่ว.คงเหมาะกว่า
ผมไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงแสนบอบบางผิวละเมียดละไมอย่างคุณ
จะทนให้หนามไหน่เกี่ยวผิวใสใส จนเลือดซิบๆได้อย่างไร
โดยไม่สนใจ ไม่บ่นสักคำ..
คุณรู้ไหม..
นี่กระมังที่เป็นความพิเศษในตัวคุณ
ที่ทำให้ผมทึ่งผมประหลาดใจ
คุณ.บอกว่า..
ชีวิตคุณ จะเล่นบทไหนก็ได้ของชีวิต
สาวนักธุรกิจ...อาจารย์..เลขานุการ..หรือแม่บ้านผู้รับบทหนัก
แต่ที่คุณแสนถนัดคงเล่นบทนี้กระมัง
บทสาวไพรใจสู้ผู้รักผืนดินเกิด
และหวงแหนความงามเงียบเรียบง่าย
สงบสมถะทุกตารางนิ้ว
ที่คุณบอกว่ามันงามเสียยิ่งกว่าจะบอกเล่าผม
ผู้มาเห็นผืนดินมาทีหลัง..ห่าง
คำว่าแสงตะเกียงเจ้าพายุที่วับแวมในยามค่ำทั่วทั้งทุกหลังคาเรือน
ห่างกับคำว่า..กุ้งหอยปูปลามากมายว่ายแหวกราวไม่กลัวคน
ในท้องทะเลงามน้ำเขียวดั่งมรกตเนื้อดี..
และมากมีความทรงจำ
ที่งามงดหมดจดใจ
ผมจำได้...
ในยามค่ำริมฝั่งฝันทะเลงามยามหน้าหนาว
ยามเข้าไต้เข้าไฟ
ที่อาทิตย์ส้มแจ๊ดดวงใหญ่เท่ากระด้งฝัดข้าว
กำลังจะลาลับฟ้า
ที่เราก่อกองไฟเล็กๆให้อุ่นพอละมุนหัวใจ
ทะเลสวยใสที่นะบัดนี้ราวจะกลายเป็นทะเลหมอกแสนงาม
ที่หว่านสีหวานสวยเศร้าเคล้าเทาทึม
งามซึ้งตรึงใจด้วยส้มอมชมพูคละๆเคล้าๆกัน
ราวทองทาทาบอาบไปทั้วผืนน้ำยามอาทิตย์อัสดง
คุณนอนบนผืนทรายให้คลุกเคล้าร่างงามอะคร้าวดั่ง
ทาทาบด้วยสีเงินยวงละเลื่อมพราย
ผมสยายไปเบื้องหลัง
ผมตะลึงตัวชา..เห็นเสน่หาในเรือนร่างที่ไร้จริตมายานั้น
แต่ทว่าคุณคงกลับไม่รู้ตัว
ยังคงดื่มด่ำในภวังค์ฝันและฝัน
หลับตาเล่าเรื่อง
อดีตวัยเยาว์ที่ผ่านผันอันเป็นความจริงอันแสนหวาน
ผ่านหัวใจสวยใสงดงามอ่อนโยนของคุณ
คุณบอกผมว่าอยากให้ผมผู้มาใหม่
ได้รู้จักผืนดินที่ราวไข่มุกแห่งอ่าวไทยนี้
ให้ละเอียดละออทุกซอกทุกมุม
ให้คุ้มกับที่พระเจ้าประทานพร
ให้คนหัวใจสะออนอ่อนไหวอย่างผมได้มานอนนับดาว
เคียงเคล้าเคียงข้างคุณ ได้มาฟังเสียงคลื่นลมเคล้า
เฝ้าพนอหยอกล้อหาดขาวที่เนียนนุ่มราวแป้งเนื้อดี
ที่ฝรั่งทั่วโลกอุตส่าห์บินฝ่าโศกฝ่าโลกสับสนวายวุ่น
ข้ามมาสัมผัสความสุขงามง่ายไร้มายานี้
ที่ดั่งมีมนตรา..จากฝ่ามือของพระเบื้องบนที่กำนัลให้แด่มวลมนุษย์
ผู้ยังมีหัวใจพิสุทธิใส ยังมีดวงตาดวงใจมองเห็นธรรม..ธรรมชาติ
อันสดสะอาดงามทุกอณูเนื้อใจ
มาตรแม้นว่าโลกอารยะกำลังกลายกล้ำมาล่วงล้ำรานรุกทำร้าย
ให้ทุกผู้คนหิวกระหายขายแผ่นดินแลกโลหะและคำว่า
การยอมรับในสังคมเล็กๆ..
คุณบอกว่า..
คนเรามีสิทธิ์ที่จะคิดและเลือกทางเดินชีวิต
บางคนอาจจะอยากนอนบนฟูกก่อนตาย
ได้เดินใช้เงินอย่างปรารถนาสักคราครั้ง
ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างเมามันส์
แทนความฝันที่จะมีชีวิตดิบเดิมติดดินถวิลไพร
ใช้เพียงหัวใจของความพอเพียงเพียงพอเสพงาม
แม้นเพียงชั่วโมงยามแห่งชีวิตก็สุขพอ..ตามอัตภาพ..
มิจาบจ้วงทำลายคิดขายสิ้นธรรมชาติ..ขายขายขาย
แลกเงินงามมาซื้อความสุขเปลือกนอก
ที่หลอนล่อหลอกใจไปวันๆให้ฝันร้าย
เพราะบานปลายจากความโลภจากขายแค่ผืนดินถิ่นเกิดเป็นขายชาติ
ขายยาเสพติด..ที่อาจจะระบาดไปทั้งเกาะสวรรค์
ให้พลันกลายเป็นเกาะนรกในชัวพริบตา ..
โอ้ว่าละหนอหัวใจมนุษย์ผู้ตกเป็นทาสเงิน!
*******
คุณพาผมมาถึงภูหินงามจนได้
บนชะง่อนผาสูง....คุณทำให้ผมตะลึงตะไล...
แทบลืมหายใจ...ไปกับทัศนียภาพรายรอบที่แลเห็น..........
จากลานหินกว้าง..ที่ข้างล่างคือถ้ำ
จะมีทางเล็กๆ เลาะลัดเลียบทอดลงไป........
.แลไกลออกไป....คือโลกสีคราม...กว้าง...ไกล....สุดตา.....
เวิ้งทะเล..สีน้ำเงิน...เขียวมรกต.....
และโทนสีทะเลที่ค่อยๆไล่สีอ่อนจางลงมาตามลำดับ.........
แทรกด้วยฟองคลื่นสีขาว.....เป็นระลอกงาม..............
เรือลำน้อย...ค่อยๆวิ่งฝ่ากระแสชลแตกฟองขาวนวล......
ตรงมายังอ่าวท่าเทียบเรือ.........
.ตรงหน้าจะมีเกาะสมุย.....
ชิดใกล้ขนาบด้วย..เกาะแตนอก..แตใน..
ราวกับจะห่วงใยว่าเกาะพะงัน จะเหว่ว้า..........
แลลงไปเบื้องล่าง จะมองเห็น...
ทิวมะพร้าวสลับซับซ้อนเป็นหมื่นหมื่นต้น.........
บ้านเรือนซ่อนตัวอยู่ในดงไม้..เงียบสงบ....
มีก็แต่ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง ขับฟ้างามอย่างช้าๆ..............
บนหน้าผา..ชะโงกง้ำ..ลอยเลื่อน..ราวทายทักเมฆ....
จะมีหอระฆัง...และพระพุทธรูป....
ให้กราบไหว้...อธิษฐานจิต......
มีลั่นทมขาวออกดอกพราวไปทั้งต้น..บนชะง่อนผางาม..........
ส่งกลิ่นหวานเศร้า..อบร่ำให้ใจ..นิ่ง..เยือกเย็น..ล้ำลึก..
อวลมากับสายลมเย็น.......กับบรรยากาศ
เงีบบงาม..ที่รายล้อม.......
ที่รัก....ผมกอดคุณไว้แนบแน่น....
ราวกลัวคุณจะหลุดลอยจากสรวงสวรรค์ตรงหน้า........
จากสวรรค์ในอก...ในอ้อมแขน..ในอ้อมใจของผม...............
ผมหยิบลั่นทมทัดหู..ให้คุณ..
พร้อมพรมจูบไรผมงาม อ่อนหวาน อ่อนโยน
เท่าใจที่ แสนสุขล้ำจะทำได้...
ผมพร่ำบอกคุณว่า...สวรรค์มีจริง.....
ด้วยใจทั้งดวงที่เต็มอิ่ม..จากทุกสิ่ง
ที่สวรรค์หยิบยื่นและประทานให้ผม.....
ในนาทีของชีวิตที่ผมปรารถนาจะให้โลกทั้งโลกหยุดหมุน
ผมจำ.......
คืนวัน ที่มีคุณ..ไม่ว่าบนภูสูงแห่งนี้....
หรือแม้แต่....กลางทะเล....ในค่ำคืน....
ที่ร่างของคุณถูกแสงจันทราอาบไล้.....
นุ่มนวล..งามสล้าง..ราวกับเทพีจากแดนสรวง....*
..........
นะวันนี้
ผมกลับมาเยือนมายืนเดียวดายที่นี่
มายืนดูทะเลหมอกห่มทะเลเหว่ว้าหัวใจ
มายืนรอฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้นว่าคิดถึงๆๆคุณ..ทุกนาที
....
หัวใจผมอ่อนไหวอย่างสุดทน
จนผมต้องหาทางเยียวยาใจดวงระบมไปวัดเก่า
ที่คุณเคยพาผมเข้าไปกราบพระในโบสถ์เก่าคร่ำ
คุณค่อยๆจุดเทียน..จากแสงรำไรๆวูบวับ
จับพระพักตร์พระพุทธองค์ดูผ่องผุด..
บริสุทธิธรรม..น้อมนำใจเราสองก้มลงกราบนิ่งนาน
อธิษฐานใจพร้อมกันอย่าง
ดำดื่มล้ำลึกในงามเงียบ
คุณจำได้ไหม..
ผมเพียรถามคุณว่าคุณอธิษฐานอะไร
คุณตอบผมว่า..
*ชาติหน้าชาติใดหากบุญกุศลใดที่คุณเพียรทำ
จงน้อมนำให้หัวใจคุณสะอาด สว่าง สงบ
พบชาติ..พระพุทธศาสนา..พระมหากษัตริย์ไทยแบบในหลวงทุกชาติไป
ให้หัวใจมีทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
พาให้หลุดพ้นจากเหตุแห่งทุกข์
ได้พบแค่ทางสีขาวที่ว่างร้างไร้เงียบงามในทุกโมงยามแห่งชีวี
และได้มีชีวีที่เรียนรู้การ*ให้*
แบบไร้ร้องขอแก่ผองเพื่อนผองชนผู้ทนทุกข์ยาก
ในกระแสโลกย์กระแสวิบากกรรม..และที่สำคัญ
คุณบอกไม่อยากเกิดมาเพื่อรัก..อีกแล้ว*
ที่รัก..
ผมรู้และสวดมนต์ภาวนาให้คุณ
ตลอดมาทุกคืนค่ำและตราบชั่วนิจนิรันดร์กาลตลอดไป
ให้หัวใจแสนดีแสนงามของคุณหอมกรุ่นด้วยพลังแห่งการคิดดีคิดให้
ได้พบทุกโมงยามนำทางดวงชีวีคุณอย่างที่คุณต้องการ
ให้..กุศลจิตที่ดี
ที่คุณมอบที่ดินเป็นทานเพื่อแผ้วถางสู่แดนวิปัสสนากรรมฐาน
เป็นดั่งงามดวงใจใครจะรู้
แด่ทุกดวงใจเพื่อนมนุษย์นี้
ที่พร้อมพลีจิตวิญญาณและร่างอยากหลุดพ้นทุกข์
จากรักจากการพรายพลัดพรากจากวิบากกรรมเก่า
ให้เป็นจริงนะดวงใจ..นะคนดี
ที่ผมแสนรักเอยแสนรักในกมล
ที่หัวใจผมก็พร้อมพลีหลีกทาง..
แม้นจะอ้างว้างดายเดียวเปลี่ยวเหงา
ในหัวใจในลำพัง..สักเพียงใด..!ก็ตามที
*************
รจนาสด ต่อจาก*ตะวันลา*http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33679.php
ภาคหนึ่ง..ค่ะ..
จะมีบทพรรณาตรงกลาง..ในผางามที่หยิบมาเติมเต็ม
ให้สมบูรณ์..ลงตัว..
บันดาลใจจากบางสิ่งในหัวใจ
ที่ยิ่งใหญ่แสนงามมานานวัน
และลาลับดับฝันไปตามกาลกรรมเวลา..ล่วงเลย..
พุดพัดชา..อ่อนล้าในดวงใจ..
ในทุกขณะนับนาทีพรากลาในโลกฝัน..
เพียงหวังและฝันรจนา..มามากมาย
หวังเพียงได้รับเมตตาน้ำใจรินรด
และทุกหยาดหยดสายน้ำใจ
จากสายไยรักจากทุกดวงใจ
เปรียบประดุจดั่ง
หยาดฝนพรำบนหัวใจดวงนี้
ดับแห้งผาก...!
13 ธันวาคม 2546 16:35 น.
พุด
ตำนานรักตำนานฝันชั่วคืนจบลงแล้ว!
ไม่เหลือแววสิ้นไร้ใจหมดสิ้นหวัง
เคยคิดว่าจะฝากฝังใจยามเซซัง
กลับผิดหวังพบว่าแค่คำหวานผ่านผ่านไป!
อยากพักพิงราวนกน้อยที่ปีกหัก
อยากขอพักใจดวงร้าวคราวหวั่นไหว
อยากมีใครสักคนใจซึ้งใจ
อยากฝากไปบอกคนดี..ในวันนี้สะเทือนใจ..
โลกไซเบอร์นี้จะเอาอะไรกันนักหนา
ภาพลวงตาให้ใจนั้นได้หวามไหว
แค่ภาพฝันหลอกล่อให้ยิ้มหวานผ่านทุกข์ใจ
แค่หวั่นไหวเพียงพริบตาหาใช่จริง
กลับมาเป็นผู้ชายธรรมดาธรรมดาคนเดิมงามเรียบง่าย
ไม่วุ่นวายกับฝันไกลในทุกสิ่ง
อยู่กับโลกสงบงามกับโลกจริง
ใจใสนิ่งกลับสว่างสร้างงานกลอนไว้สอนใจ
ฝากความรักแสนหวานผ่านม่านเมฆ
ร่ายมนต์เสกความดีงามฝากหวามไหว
ฝากบทเรียนใจดวงร้าวให้เข้าใจ
โลกหมุนไป..ฤดีใครฤดีคน..ก็หมุนวน!..จนตามเล่ห์รักเล่ห์สวาทนั้นแทบไม่ทัน!
บันดาลใจจากอยากเป็นพระเอกค่ะ
พระเอกขี่ม้าขาวพร้อมจากจร!
ฟ้ามืด..แต่พรายพราวด้วยดาวพราย
ลมดายเดียวพัดเปลี่ยวเหงา
เดินทอดน่องแหงนมองจันทร์คอยตามเรา
เหมือนเป็นเงา..พริบพราวเฝ้าปลอบใจ..
เอนร่างนอนนับดาวกลางทุ่งหญ้า
หอมละออดอกไม้ป่าจนหวามไหว
พระเอก..ที่ข้ารักเคยพักใจ
ยามนี้ไกลอยู่ไหนหนา..ฟ้าตอบที..
ฟ้ากว้างเมินหนีหน้าคนว้าเหว่
อย่าหลงเล่ห์คำลวงให้คิดหนี
ฟ้ารู้เห็น..ยอดดวงใจ..ไม่ไยดี
เสียเวลาที่เพ้อฝันให้หวั่นใจ...
บอกกับฟ้า..อย่าตอกย้ำให้ซ้ำเจ็บ
ใจหนาวเหน็บพอแล้วกับหวั่นไหว
แค่สร้างพระเอกในฝันไว้ปลอบใจ
รู้บ้างไหม?เขียนด้วยใจจบด้วยเศร้า..ให้พระเอกขี่ม้าขาว..พร้อมจากจร!
13 ธันวาคม 2546 08:00 น.
พุด
ไพลตื่นมาตอนตีห้า
ขณะที่ดาวบนฟ้ายังสุกใสพริบพราว
ดาวประกายพฤกษ์ยังอ้อนอิ่ง
มิอยากทิ้งฟากฟ้างามให้หมองหม่นดายเดียวเดียวดาย!
ดารารายพรายแสง
เริ่มหรี่ลับดับแสงรอเวลาราตรีอีกครา..
แทนที่ด้วยอุษาสาง..ฟ้าใกล้สว่างรำไรๆ
เสียงนกไพรเริ่มร้องระงม..
แก้วปลิดใบเหลืองระทมพราวพร่างพื้น
และตรงหน้าไพลนะนาทีนี้คือ...
ตะกร้าการะเวกใบเล็ก
ที่ไพลเด็ดใส่ไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำ
ที่ยังให้หอมพราวมาถึงยามย่ำรุ่งเลยทีเดียว
และ..
เพราะตะกร้าการะเวกนี่ทีเดียว
ที่ทำให้ไพลต้องเลี้ยวมานั่งเก้าอี้แดง
หน้าจอขอรจนาเรื่องสักเรื่องราวมีมนต์..ดลใจอีกครา!
ขอบคุณ
ตะกร้าการะเวก
ที่เสกสร้างดวงใจไพลให้ละไมละเมียดมานานวัน
ทุกคราครั้งที่ไพลเริ่มเบื่อโลกและผู้คนที่สับสนวายวุ่น
ให้หัวใจไพลพลอยวุ่นวาย..
ก็ยังมีหอมกรุ่นจากดวงดอกไม้
จากธรรมชาติรายรอบบ้าน
ให้สงบงามให้วาดฝันบรรเจิดใจ
ที่ไม่เคยให้พิษภัย..ไม่เคยทำให้ดวงใจช้ำตรม..
ที่ไพลหวังอยากให้เหมือนดวงใจมนุษย์นี้
หวังให้มีงามหัวใจดั่งกลีบดอกไม้..ให้รัก..
คืนกลับ..ให้คน..ให้โลก..ลดโศกตรม..
มิคิดร้ายมิหมายมุ่งทำลายกันและกัน
ทุกถนนสายฝันและสายจริงบนหล้าโลกบนผืนพสุธานี้!
และ..
นะนาทีนี้ดวงดอกไม้นานา
ดอกพวงชมพูดอกกระจิ๊ด
ทำให้ไพลคิดถึง..บทกวี
ชมพูประดับแก้มแต้มใจ...ของไพล
ชมพูพราวพรายโปรยสายสวย
ชมพูรวยรักหวานปานเสกสรร
ชมพูพริ้งทิ้งต้นปลิดกลีบพลัน
ชมพูสวรรค์พลันพาโลกสีชมพู
ชมพูรักชมพูโศกพาโลกสิ้นชมพูหวาน
ชมพูบานชมพูพราวราวไร้คู่
ชมพูงามแย้มกลีบบานคลี่ชมพู
ชมพูหรูคู่ปากงามยามแย้มเยือน
ชมพูไยมาประทับอยู่กับแก้ม
ชมพูแกล้มแถมรอยใครจะเหมือน
ชมพูหวานบานท้าใจไม่ร้างเลือน
ชมพูเพื่อนชมพูพันฝันค้างใจ..
ด้วยรอยใจรอยจูบนี้สีชมพู้ ชมพู..
(หวังดวงใจทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทย
มีดวงใจใครสักคนมาแนบแก้มแถมหอม
ฝากรอยรักนี้สีชมพูเคลียแก้มแถมใจนะคะนะคะ)
******
บทนี้ ไพลรจนา
เพราะว่าเกิดมาก็มีซุ้มพวงชมพูอยู่หน้าบ้าน
และชอบชื่อดอกไม้สีชมพูแสนหวาน
ที่ชื่อพวงชมพู..
ที่นะวันนี้..
เช้าแสนงามวันหยุดนี้
ไพลขอมอบตะกร้าการะเวกและดวงดอกพวงชมพู
แทนดวงใจแห่งความหอมหวาน
มากำนัลรับขวัญทุกดวงใจให้มีวันที่แสนดี
และราตรีที่แสนงามอีกวันหนึ่งของชีวิตทุกชีวิต
ให้ดวงดอกไม้หวานหวาน
บานประดับใจทุกฤทัยที่เฝ้ารอ..รักนะคะ
และขอฝาก ความในใจแสนหวานนี้
ผ่านม่านหมอกตรงหน้า กับฟ้าไกลใกล้
ให้อากาศยามเช้าแสนหนาวเย็น
ไปพัดพร่างให้ทุกกลางดวงใจเย็นชุ่มฉ่ำ
ดั่งมีหยาดละอองน้ำค้างพรายพรม
ห่มหัวใจให้พิสุทธิ์ใสงาม
มาสรรสร้างงานงามงดไปด้วยกันนะ
10 ธันวาคม 2546 07:18 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2825
นิยายของชีวิต
คือลิขิตจากใจข้า
เย้ยทั้งฟ้าท้าทั้งดินสิ้นเมตตา
บอกใจว่า..ทำดีไม่ได้ดี...
ข้าขอลิขิตชีวิตข้า
โลกบ้าบ้าทอดทิ้งมาเมินหนี
โลกในรักในฝันเคยภักดี
มาวันนี้..สิ้นศรัทธารักศรัทธาใจ.....
เมื่อสวรรค์ปรานีลอยมาหา
ขอไขว่คว้ารักคงมั่นไม่หวั่นไหว
ขอฟ้าดินรู้เห็นและเป็นใจ
โลกใบใหม่เก็บซึ้งซุกสุขสองเรา......
นี่คือนิยายรักในชีวิต
ที่ลิขิตจากใจของคนเหงา
คนดายเดียวเคยคว้าเพียงแค่เงา
มามีเราและเราเฝ้าแบ่งปัน....
วอนโลกไยไฉนไม่อวยพรให้
อย่าใจร้ายส่งคนดีมาปลอบขวัญ
โลกลอยเลื่อนลาเลยลับกับตะวัน
หวังและฝัน..มีคนดี..เคียงข้าง..ตราบสิ้นลม!
*****
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=300
เธอ.....
ก่อนนั้น ทุกวันโลกเป็นสีเทา
เปลี่ยวเหงา เฝ้าแต่รอคอยเสมอ
เธออยู่แห่งไหน เมื่อใจฉันพร่ำหาเธอ
ใคร จะเสนอ มอบรักและ ความต้องการ
ก่อนนั้น ฉันมีชีวิตเพื่อใคร
ขื่นขม เท่าใดจะกลายเป็นหวาน
ทนอยู่ต่อไป เมื่อใจทนทรมาน
คืนวันผันผ่าน จนเราได้มาพบกัน
แปลก ใจ หนักหนา เธอมา ปลุกชีวิตฉัน
เธอมา มอบ รัก นิรันดร์
เธอมา อดีตพลัน มลาย
บัดนี้ ทุกนาทีเป็นแสงทอง
ที่เคย หม่นหมองกลับมีความหมาย
ฉันเพิ่งได้รู้ รักทำให้ความทุกข์คลาย
ยาอื่นไม่หาย ไม่เลือนเหมือนเธอเป็นยา
บัดนี้ ฉันมีชีวิตเพื่อเธอ
ได้เจอ คือเธอที่ฉันฝันหา
เธอที่คราวนั้น ฉันคอยกับรอยน้ำตา
เธอจึงมีค่า ตราตรึงหนึ่งดังหัวใจ
บัดนี้ ฉันมีชีวิตเพื่อเธอ
ได้เจอ คือเธอที่ฉันฝันหา
เธอที่คราวนั้น ฉันคอยกับรอยน้ำตา
เธอจึงมีค่า ตราตรึงหนึ่งดัง หัวใจ...