28 สิงหาคม 2547 11:32 น.

สิ้นสร้อยศักดิ์ศรี

พุด

เหนือห้วงมหรรณพ
ยอมสยบสิ้นสร้อยศักดิ์ศรี
url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=255
*********


สิ้นสร้อยศักดิ์ศรีราตรีผ่าน
ใจสิ้นหวานฟ้าสิ้นหวังสร้างพลังใหม่
นับจากนี้จะหนักแน่นถึงแก่นใจ
ไม่หวั่นไหววาบหวามตามโลกทัน..

จะลิขิตรจนาละวางทุกข์
ไม่มีสุขไม่มีเศร้าหนาวเหน็บขวัญ
สิ้นไร้ตนกมลว่างพบเงียบงัน
วางหอมฝันเรียกศักดิ์ศรีดีด้วยงาม..

ถึงร้อนหนาวเศร้าโศกโลกภายนอก
กระซิบบอกตอกย้ำทิวาหวาม
โลกชีวิตไม่ยึดติดเพียงนิยาม
มิวนตามรอหลุดพ้นบนทางทอง(บนทางธรรม)

มีปัญญาสอนใจบอกซ้ำซ้ำ
ลบรอยกรรมวิบากเก่าของเราสอง
มิหวังใดศรัทธาใจที่หมายปอง
เพียงเฝ้ามองเฝ้าฝันปันความดี...

ดำรงร่างดายเดียวมิเปลี่ยวเหงา
มิหลงเงาหลงฝันในวันนี้
หยุดทุกอย่างกระจ่างธรรมนำชีวี
ใจดวงดีคิดได้คล้ายบัวบาน..

โผล่พ้นน้ำลำธารใสให้เกิดก่อ
แตกชูช่อรออรุณรับแสงหวาน
สายแสงทองส่องแสงธรรมตราบชั่วกาล
กี่ภพพานพบสร้อยธรรมคุ้มกันใจ..คุ้มกันภัย!

********



เธอคือเมฆเสกสายหวานมาห้อมห่ม
มาพร่างพรมขวัญเจ้าคราวเหน็บหนาว
เธอคือสร้อยร้อยสวยด้วยรวงดาว
คล้องฝันพราวรับขวัญพลีราตรีเพ็ญ..

ราวสายลมพรมผ่านลุกขึ้นสู้
โลกยังอยู่ดอกไม้หวานบานให้เห็น
แม้นดายเดียวเปลี่ยวร้าวใจเยียบเย็น
เธอยังเป็นเช่นเทียนทองส่องกลางใจ

ราวรุ้งเรียวเกี่ยวฟ้าทางช้างเผือก
ลบหนาวเยือกให้อุ่นพร่างสว่างไสว
รจนาบทกวีที่งามงดหมดจดใจ
ระรินไหวลบโลกร้อนสอนกมล...

เธอคือสายธารหวานพรมห่มหอมร่าง
ให้ฉ่ำพร่างฉ่ำชื่นดุจสายฝน
เธอนั้นหรือคือน้ำค้างกลางกลีบรสสุคนธ์
เธอคือคนของสายธรรมนำชีวี..

เธอคือตะวันอันโอบเอื้อมนุษยชาติ
สว่างวาดรจนาร้อยสร้อยศักดิ์ศรี
เธอนะหรือคือยอดงามยอดความดี
เป็นสร้อยสีสร้อยแสงสร้างแรงรัก..

เธอคือไม้ไพรในป่าเมืองมนุษย์
สร้างพิสุทธิ์ดุจร่มธรรมล้ำค่านัก
เธอคือใครใครคือเธอเล่ายอดรัก
ยอมพลีภักดิ์ศรัทธารักศรัทธาใจในวันนี้..

*********




หลังอ่านหนังสือธรรมะ
คำสอนธิเบตเพื่อการอยู่
และตายอย่างไร้ทุกข์
*เหนือห้วงมหรรณพ*
จาก
THE TIBETAN BOOK OF
   LIVING AND DYING
     (part  1 Living )
โซเกียล รินโลเปซ เขียน
พระไพศาล วิสาโล แปล


และเล่มสำคัญ

ผลงานของกวีรางวัลดีเด่นจาก
คณะกรรมการหนังสือแห่งชาติปี2539 และ2545
   รวมบทกวี
*ที่ซึ่งขุนเขาทะลุเมฆ*
กวีนิพนธ์เข้ารอบสุดท้ายปี2547
   
กานติ ณ ศรัทธา
คนดีกวีแก้ว
คนทุ่งสงอย่างละเอียดละออ

พุดรักคำว่า
การอ่านคือ
*การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา*
และกับคำ
**ที่ซึ่งขุนเขาทะลุเมฆ
บางวันฝนเสกรักโปรยหว่าน
บางวันดอกไม้ได้เบ่งบาน
และบางวันลมสะท้านก็ทระนง*
พุด
คิดว่ามีกวีในนี้
รจนาได้งามพอกันเลยค่ะ
และ
อาจจะลำเอียง
พุดว่างามกว่าด้วยซ้ำ
หากส่งเข้าประกวด

พุดพัดชา
คิดถึงทุกดวงใจค่ะ
หลังอ่านหนังสือสองเล่มจบลง
อย่างล้นใจ
ที่อยากพลีใจแบ่งฝันปันงาม
ด้วยความรักด้วยความหวัง
ด้วยตั้งใจจะให้กำลังใจ
ด้วยรักปรารถนาดี
อยากเล่าความงดงามปลุกปลอบชีวี 
อยากให้คนดีได้อ่านหนังสือสองเล่มนี้
ด้วยกัน..
และ
พุด
ขอฝากถึงทุกดวงใจ
ที่เมล์มามากมายด้วยรักพุด
เป็นเกียรติที่ได้รับเมล์ค่ะ
และหากรักงานพุด
และอยากรู้จักรู้ใจพุด
อย่างละเอียดละเมียดละไม
ก็ฝากอ่านงานพุด500กว่าเรื่องนะคะ
ปีนี้ทั้งปี
จะอ่านหมดมั้ยละคะ

ความเป็นพุด..
ก็จะบอกจะสะท้อนสะเทือน
ในงานแล้วละค่ะคนดี

พุด
เคยมีความสุขวาง
งามเงียบเรียบง่ายมาแสนนานค่ะ
และ

นาทีนี้บทเรียนชีวี
ก็ได้สัจจธรรมค่ะ
ให้ลองอ่านหนังสือที่แนะนำทุกเล่มนะคะ
โดยเฉพาะเล่มแรก
ทำให้พุดอยากรจนาฝากคำสอนเตือนใจ
ทุกมิ่งมิตรสนิทใจเลยละคะ

พุด..
ฝากความรักและทุกสิ่ง
ที่จะบอกความเป็นชีวิตจิตวิญญาณ
กำนัลแด่ทุกคุณคนดีทุกดวงใจ
ที่เมล์มาด้วยรักและชื่นชมพุด..
ด้วย
ทุกถ้อยจากหนังสือ

คนดี
สิ่งนี้สามารถทำให้เราค่อยๆ
ล่วงลาพ้นทุกข์รัก
วิบากกรรม
ที่กระหน่ำซ้ำซัดมาค่ะ
เราจักต้องเรียนรู้โลกนะคะ
เพื่อหาดวงจิตเป็นอิสราค่ะ

และทุกงานพุด
คุณย่อมทราบว่าพุด
มักฝากข้อคิดเตือนใจไว้เสมอมา
ในงานเก่าก่อนที่พุดรู้วางว่างค่ะ

แม้นหัวใจพุด..บางครั้ง
จะละไมมากไปหน่อยในระยะหลัง
ตามกรรมตามวิบากใจ
และ
พุด
ได้
เรียนรู้จากใจตนเอง
ที่วิ่งหนีเพรงกรรมไม่พ้น
หากอย่าให้นานเกินที่จะรู้หยุดรู้ดับค่ะ
และ
รักคือไฟค่ะ
รักคือทุกข์ค่ะ
อย่าลองเล่นเลยนะคะ
ขอฝากไว้
พุด
ดีใจค่ะที่มีเมล์มากมายเข้ามา
เล่าเรื่องคุณมาสิคะ
พุดยินดีรับฟังค่ะ

อย่าลืมนะคะ
หากอยากทราบว่าพุด
เพียรฝากอะไรถึงคุณ
จากดวงใจแสนรัก
จงอ่านหนังสือนะคะ
ร้านซีเอ็ดมีค่ะ
และ
อีกเล่มนะคะ

พลังแห่งจิตปัจจุบัน
หนทางสู่แสงแห่งปัญญา
Eckhart  Tolle 
THE POWER OF NOW 
A GUIDE TO SPIRITUAL ENLIGHTENMENT
หนึ่งในหนังสือดีที่สุด
ที่วางแผงในช่วงหลายปีมานี้
ทุกประโยคนั้นเต็มไปด้วยพลังและสัจธรรม

พุดรักเล่มนี้มากค่ะ
ไปใต้ได้ถวายให้พระไปแล้วค่ะ
เลยต้องมาหาใหม่
และ
มีอีกสองเล่ม
ที่ยังตามไม่พบค่ะ
โดยนักเขียนคนนี้ที่มหัศจรรย์มากค่ะ
พุดได้แนะนำให้ใครๆ
หาไว้อ่านจนได้ผลหลายท่านแล้วค่ะ


สุดท้าย
พุดขอคารวะทุกดวงใจที่รักพุด
ทุกคำตอบ
ในทุกถ้อยแทนใจพุด
ปรากฎในหนังสือ*เหนือห้วงมหรรณพ*
ที่บอกจิตพุดแจ่มชัดยิ่งแล้วค่ะ
*******
				
26 สิงหาคม 2547 22:42 น.

ม่านมงคล!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=287
(นัดพบ)
url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=452
(ม่านบังตา)



ถึง เธอจะพราก จากฉัน
ไกลกันสุดความหวัง ฉันก็ยังรักเธอ
ฉัน ยังซื่อตรงเสมอ
แม้เธอเป็นของใคร
ฉันไม่ แปร ผัน
ถึง โลกจะแหลกสลาย
จันทร์จะมืดแลหาย
ฉันไม่คลาย สัมพันธ์
ขอ เธออย่าลืมเลือนฉัน
แล้วเราคงพบกัน
เหมือนจันทร์ ที่คู่ ดารา
แต่ฉัน ยังนึกหวั่น เสมอ
รักเธอ เลือนเหมือนม่าน บังตา
บางวัน ฉันเฝ้าคอยหา เปลี่ยวอุรา
พาให้ อาวรณ์
ถึง เธอจะอยู่แห่งไหน
เธอคงไม่ลืมฉัน
เราจากกัน ร้าวรอน
ฉัน รอด้วยใจ เร่าร้อน
ทุกคืนวัน ฉันนอน ขอวอน เธอกลับคืนมา
เธอคงไม่ลืมฉัน
ดนตรี
แต่ฉัน ยังนึกหวั่น เสมอ
รักเธอ เลือนเหมือนม่าน บังตา
บางวัน ฉันเฝ้าคอยหา เปลี่ยวอุรา
พาให้อาวรณ์
ถึง เธอจะอยู่แห่งไหน
เธอคงไม่ลืมฉัน
เราจากกัน ร้าวรอน
ฉัน รอด้วยใจ เร่าร้อน
ทุกคืนวัน ฉันนอน ขอวอน
เธอกลับคืนมา...
********


บัว..ดอกงามกำลังฟังบทเพลงนี้
ที่กำลังบรรเลงโหยไห้
ราวตัดพ้อรอรักใครสักคน
และ
ในกมลละไม
ช่างอยากจะร้องดังดัง
ให้ใครสักคนได้ยินได้ฟัง


เพราะ
บางครั้งบางหนคนเรา
มักจะมีความรู้สึกลึกซึ้งดื่มด่ำดำดิ่งไปกับบทเพลง
ที่รำพึงรำพันฝันเพ้อให้ประหวัดใจ
ไปถึงความรู้สึกงดงามแสนดีที่แสนสุขใจในกาลเก่าก่อน
ลองสิ..ดวงใจ
หากเรามีอารมณ์ละไมละมุนสุนทรีย์
จงฟังดนตรีให้ชื่นให้ฉ่ำใจนะดวงใจ
ไม่ว่าบทเพลงใดจะ.. เศร้า สุข เริงร่า
หรือบทเพลงเหว่ว้าบรรเลงกล่อมให้ดวงใจสงบงามก็ตามที


บัว...ดอกนี้ ดีใจนัก
ที่เกิดมามีดวงใจรักในบทกวีและเสียงเพลง
และสามารถบรรเลงรจนา
ร้อยออกมาเป็นภาษาฝันภาษาใจภาษาจริงได้
แม้นบางครั้งบางคนจะไม่เข้าใจ
หัวใจสาวช่างฝันสวรรค์หวานแบบนี้เอาเสียเลย


ผู้หญิงที่
รักธรรมชาติ สายธาร หวานดอกไม้ 
รักสายฝน รักแสงตะเกียง รักเสียงจากธรรมชาติไพร 
รักกระท่อมใบไม้ รักดวงใจนิ่มนวลละเมียดละมุน 
รักแสงเทียนอบอุ่นในยามค่ำ 
รักตะวันตกดิน 
รักทุกสิ่งที่เงียบงามร้างไร้ให้ชีวีงามเงียบ 
รักเส้นทางสายธรรมชาติสู่ไพรลึก 
รักดำดิ่งล้ำลึกจิตวิญญาณไพร 
ภาวนาทุกชาติไป
ได้เกิดมากับงามดวงใจใครจะรู้นี้ ที่ติดดิน 
และขอรักศรัทธาเทิดทูนมิรู้สิ้น
ในชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ไทย ตราบสิ้นลม!  


เป็นรักอย่างงามแผกพิเศษพิสุทธิ์
ชนิดที่บอกมาเป็นภาษาคนภาษาเขียนสักเท่าไร
ก็ยังไม่สามารถแจงใจได้ถ้วนถี่เอาเสียเลย


มีบางวันที่
สาวบัวบังใบออกไปเต้นตะริ๊ดติ๊ดชึ่ง
แล้วพยายามจองทำเลทอง
ให้สามารถหันหน้าไปดูฟากฟ้าแสนหวาน
และดวงดอกไม้บานริมรั้วได้


ให้ชายตาชายใจใช้สายใยรัก
ดูเมฆงามยามตะวันชิงพลบ
ดูพระอาทิตย์แย้มหลบในม่านเมฆ
ทีเริ่มร่ายมนต์
เสกหว่านสายพรายพริ้มยิ้มละไมแสนใจดี
แกล้งเล่นแสงสีราวเวทีธรรมชาติ
มิแรงร้อนหากรอนรอนอ่อนหวานอบอุ่น
เป็นทีวาวันทิวาหวาม
อันอบอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นดวงดอกแดด


และทำให้บัวรำลึกนึกถึง
บทบทเพลงพระราชนิพนธ์*ยามเย็น*
ที่ฟังทีไรหัวใจก็แสนซึ้งในงามอันแสนยิ่งใหญ่ทีนั้น
บัวขออัญเชิญมาให้ลองฟังดูนะคะ


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6191
ยามเย็น เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key C 

แดด รอน ๆ
เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเม-ฆา
ทอแสงเรืองอร่าม ช่าง งาม ตา
ในนภาสลับ จับ อัม พร
แดด รอน ๆ
เมื่อทินกรจะลาโลกไป ไกล
ยามนี้จำต้องพราก จาก ดวง ใจ
ไกลแสนไกลสุดห่วง ยอด ดวง ตา
แต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน
ทุกวันคืนรี่นอุรา
ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญา
เหมือนดัง นภา ไร้ ทินกร
แดด รอน ๆ
หากทินกรจะลาโลกไป ไกล
ความรักเราคง อยู่ คู่ กัน ไป
ในหัวใจคงอยู่ คู่ เชย ชม
แดด รอน ๆ
หมู่มวลภมรบินลอยล่องตาม ลม
คลอเคล้าพฤกษาชาติ ชื่น เชย ชม
ชมสมตามอารมณ์ ล่อง เลย ไป
ลิ่ว ลม โชย
กลิ่นพันธุ์ไม้โปรยโรยร่วงห่วงอา ลัย
ยามสายัณห์พลันพราก จาก ดวง ใจ
คอยแสงทองวันใหม่ กลับ คืน มา
แต่ก่อนเคยคลอเคลียกัน
ทุกวันคืนชื่นอุรา
ต้องอยู่เดียวเปลี่ยววิญญา
เหมือนดังนภาไร้ทินกร
โอ้ ยาม เย็น
จวบยามนี้เป็นเวลา สุด อา วรณ์
ยามไร้ความสว่างห่างทินกร
ยามรักจำจะ จร จาก กัน ไป..
*******


บทเพลงพระราชนิพนธ์นี้บัวร้องได้ตั้งแต่อายุ13ค่ะ
คุณครูของบัวชอบสอนบทเพลงพระราชนิพนธ์
ให้นักเรียนขับร้องตาม
ซึ่งไพเราะมากอย่างเช่นบทเพลง*สนต้องลม*
ที่ขึ้นต้นว่า*ลมพัดโชยพลิ้วมา เยือกเย็นอุราพาให้ชื่น*
และ
ดวงดอกบัวน้อยน้อย
เคย*เต้นบัลเล่ต์
ประกอบเพลง*เมื่อลมฝนบนฟ้ามาลิ่ว*
ในงานประจำปีของอำเภอ


กับอีกบทเพลงพระราชนิพนธ์*ชะตาชีวิต*
ที่บัวเคยร้องให้คนไทยในสิงคโปร์ฟัง
และบางครั้งยังมีคนเป่าขลุ่ยคลอ
ให้ความรู้สึกงดงามดายเดียวมากค่ะ


.http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2529
ชะตาชีวิต เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key C 
นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย
คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง
ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง
หลงไหลหมายปองคนปรานี
ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน
ขาดญาติบิดรและน้องพี่
บาปกรรมคงมี จำทนระทม
ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน
แสงลับนับวันจะเตือนให้ใจต้องขื่นขม
หากเย็นลงฟ้าคงยิ่งมืดยิ่งตรอมตรม
ชีวิตระทมเพราะรอมา
จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง
เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญา
สักวันบุญมา ชะตาคงดี

นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย
คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง
ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง
หลงไหลหมายปองคนปรานี
ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน
ขาดญาติบิดรและน้องพี่
บาปกรรมคงมี จำทนระทม
ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน
แสงลับนับวันจะเตือนให้ใจต้องขื่นขม
หากเย็นลงฟ้าคงยิ่งมืดยิ่งตรอมตรม
ชีวิตระทมเพราะรอมา
จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง
เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญา
สักวันบุญมา ชะตาคงดี...
***********


และ
ในยามตะวันโพล้เพล้เหว่ว้า
บัวได้เคยบรรยายเวทีธรรมชาติ
ไว้มากมายหลายเรื่องรักรจนาเลยค่ะ

ในขณะ
ที่เห็นความงามงดของอาทิตย์อัสดง...
ไม่ว่าในยามใด
ที่ยืนอยู่ในผืนแผ่นดินทองแห่งนี้
ที่เปรียบประดุจดั่งอัญมณีเม็ดงามของโลกอุดม


ยามเย็นบนเรือเฟอรี่ในทะเลไทยทะเลทอง
ในเรื่อง*คำมั่นสัญญา*
เรือเฟอรี่ลำใหญ่...วิ่งฝ่าทะเลเงิน..งามเข้ม..
จนเกิดฟองคลื่นขาวนวล..กระจายรายรอบลำเรือ...
รัศมีฟองฝอย..ริ้วรายพรายพร่าง..
แผ่วงคลี่คลุมผืนน้ำจรดฟ้า..แลเวิ้งว่าง..กว้างไกลสุดตา....


ยามเย็น..อาทิตย์ดวงโตสีส้มสุก..ใบใหญ่เท่ากระด้ง..ใกล้ลาลับฟ้า....
แตะต้อง..ทายทักทะเล..อย่างอ่อนโยน..
นิ่มนวล..รู้ใจ..ร่ำลา..อ้อยอิ่ง..ทิ้งแสงสวย............

เบื้องบนนภา..รัศมีสีรุ้ง..ฉายฉาน..ส้ม..ปนเหลือง..
แสดแดงแรงร้อน..เริ่มราโรย..ในม่านเมฆ........
ซ่อนละมุนอุ่นไอ..กลมกลืน..ในพยัพหมอกบางเบา..นวลนุ่ม..
ดุจสายไหมหลากสี..สลับเลื่อมซ่อนลาย


คล้ายดั่ง..วิมานเมฆ..
ดังทิพย์สวรรค์ลอยเลื่อนจากฟ้า..มาแตะต้องโลก.........
ทายทัก..พักสายตา..พาสายใจไหลหลง..สัมผัสแลงาม..
.ตะลึงใจ..ตะไลฝันกับงามล้ำของม่านเมฆ..มนต์ขลัง
เสน่ห์ทะเลไทย.....
ตรึงดวงใจทุกดวง...ดื่มด่ำบนดาดฟ้าเรือ.....
ยามสนธยา..ใกล้ราตรีมาเยือนแย้ม........


หรือ
ในยามเย็นในสวนขวัญสวนสวรรค์หล้าใกล้บ้าน
ยามที่ทอดทัศนาเห็น
แสงสวยกระทบผ่านดงดอกหญ้า ต้องตกลงสู่ผืนน้ำ 
ก่อให้เกิดแสงสีทอง วิบวับวิบวับ สวยสุดใจ 
กระทบกับเส้นผมงาม เกิดประกายจรัส...... 


เมฆชมพูหวาน ราว สายไหม เกาะกลุ่ม ละเมียด 
เป็นช่อชั้นราววิมานเมฆ นวลละออน่านอนเล่น 


และ
ทุกราตรีอีกเล่า
ยามที่เฝ้าจ้องมองเห็นจันทร์ดวงแจ่มแอร่มงาม
สาดสายแสงสีทองหวานนวลละอองผ่องผุด
ทอทอดมาไล้โลมร่าง
บัว...จะยิ้มสล้างหวานเศร้า
ซึ้งน้ำตาแทบหยดไม่ทราบเพราะอะไร
ด้วยใจดวงดิบเดิมดวงดายเดียว
ที่ชอบเหว่ว้าหวลคะนึงหาใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีตัวตน
เป็นเพียงอารมณ์ปรุงปั้นฝันเพ้อละเมอไปตามธรรมชาติ


ที่เพียงแค่ฉลาด
สามารถหยุดจับไว้ได้
เพียงมากระทบใจชั่วคราวมิได้เศร้านานรานไหว
รักษาใจมิบอบช้ำเกินจำเป็น


และ
ทุกยามเย็นบัว..จะแอบอ้อนอึ้งซึ้งจนน้ำตาร่วง
เมื่อเต้นไปกับบทเพลงที่ช่างแสนงามเศร้า
จนใจดวงร้าวนี้แทบหล่นด้วยความประทับใจโดนใจ
ในบางทีมีเชือดเฉือนใจ
ราวกับ
อยากให้หยาดเลือดรักระรินไหลไม่หยุด
ประดุจดังสายฝนพรำพรมห่มห้วงใจไม่ปรานีปราศรัย
ไม่ถนอมใจเอาเสียเลย


และ
บางครั้งเมื่อหัวใจไหวหวั่นสะเทือนไหวมากๆ
บัว..เองก็ช่างแสนเบื่อเสียนี่กระไร
ทำไมต้องเกิดมากับใจดวงละไมเกินแบบนี้ด้วยนะ


ซึ่ง
บางทีใครๆมักค่อนว่า 
แม่ศิลปินผู้ถวิลเหงาลำพัง
ไปไหนก็มักนั่งเหมือนแยกร่าง
และโลกไกลห่างผู้คนเข้าไปทุกทีๆแล้ว

ไม่สนอะไร..
นอกจากใช้สายตาสายใจสัมผัสงามธรรมชาติอย่างนิ่งงัน
สิ่งที่ดวงตาภายใน
รับอิ่มงามนั้นอย่างละม่อมละไมได้อย่างถ้วนถี่
อย่างสิ้นไร้คำอธิบายใจได้อย่างหมดจด
หมดทุกความคิดความรู้สึกที่ลึกๆๆๆๆ
เสียจนใจใครยากหยั่งถึงก้นบึ้งแห่งดวงใจอันพิลาสพิไลนี้


และ
นี่คือความเป็นผู้หญิงแบบ..บัวบังใบ..ใจละเมียดค่ะ


โอกาสนี้
บัว...ขอฝากกระซิบบอกนะคะ
ว่า...
ทุกดวงใจในร่มรักนักรักรจนานั้น
ที่ต่างพากันมาเดินบนถนนสายฝันสายดอกไม้งาม

ก็ต่างมี*เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาบังเกิดแล้วละค่ะ
เป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณภายในให้ยิ่งงามพร้อม
และน้อมรับสิ่งแสนดีคำมากมีค่า
ที่เราสามารถนำมาใช้สอนใจได้
ยามเราพบทุกข์ยังมิหลุดพ้นรักนะคะ


แล้ว
ไหนเรายังจะได้พบ
กับอ้อมขวัญอ้อมใจ
อันเกษมเปรมปรีย์จากเพื่อนพ้องน้องพี่
ที่มากล้นน้ำใจใสพร่างรินปลอบประโลมใจซึ่งกันและกัน


ให้ฝ่าฟันพายุใจพายุจริงพายุร้ายพายุรัก
ยามได้มาพักใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทองนะแห่งนี้
ที่แสนมากมีมวลบุปผานานาพันธุ์
ต่างสีต่างกลีบกัน
หากเมื่อนำเมล็ดฝันพันธุ์รัก
มาปลูกสะพรั่งพรักริมเรือน
อย่างทะนุถนอม
ในสวนขวัญ
พลันก็หอมพร่างเกสรขวัญอันหวานบรรเจิดใจ


ไหนจะ
มีเรือนไม้ริมบึง
ไว้ให้เอนหลังฟังบทเพลงโบราณหวานหอม
ช่วยกล่อมเกลาให้รักงามเย็น
เน้นความสมถะเรียบง่ายไร้มายา


มีบทกวีธรรมะนำทางทอง
มีดวงดอกแก้วตระการหวานหอม
ระรินร่ำประดับใจ
ราวแก้วใสวิเศษ
มีไม้ใหม่ผลิใบผลัดแทนกันเข้ามา


มีราชินีเดือนอัลอันแจ่มจ้าพราวพราย
มีเพื่อนขวัญมากมายให้หอมจรุง
ดั่งดวงดอกไม้ไทย
ให้สนิทเนานวลรายรอบกระท่อมไพร
มีสาวนาหัวใจดิบเดิม
มาเติมความหอมยิ่งกว่าหอม
มีพวงมาลัยทองมาลัยใจมาลัยเพชรอักษรา
ราวแก้ววิเศษเลอล้ำค่า
หาไม่มีอีกแล้วในปฐพีนี้


มีภาษารักสูงส่งคงค่าคำงามล้ำ
ของนักโคลงนักอยากจะเขียน
เพียรฝันฝากมาพลีวางกำนัลนะคะ


ให้ทั้งโลกฝันโลกจริง
ได้สัมผัสงามทุกโมงยามทุกทิวาราตรีกาล
อย่างหวามหอมหลอมละลายใจ
ให้มีแต่สิ่งแสนดีแสนงาม
นามน้ำใจโอบเอื้อกันไปตราบนานเท่านาน


ราวตำนานมหัศจรรย์รัก
ที่จักจะสว่างกลายกลับ
เป็นความทรงจำอันประเทืองประทับใจ
ไม่ว่าโลกจริงจะกระชากเกลียวไป
ตามแรงวัตถุสักปานไหน

ทุกจิตวิญญาณในร่มรักเรือนไทยแห่งนี้
หวังจักจะมีแต่*พลังเกษม*
ให้เอมอิ่มพริ้มเพราฝากเหงางามเงียบ
ได้ฝากรักภักดิ์พลีนะคะ


และ
เหลือ
สิ่งสุดท้ายหวังให้เข้าตำรา
*เรือล่มในน้ำลำธารริมเรือนรัก*
ให้จัก
ได้ยินระฆังวิวาห์ดังกังวานหวาน
ให้คนในร่มรักสักคู่
ได้พบคู่ธรรมคู่ทองคล้องมงคลขวัญมงคลใจไปด้วยกัน
ให้หัวใจทองผ่องผุดพบพิสุทธิ์รัก


และ
หวังทองนั้นจักคู่กัลป์คู่กัป์ปไปตราบชั่วกาล
เป็น*ดั่งตำนานฝันมหัศจรรย์รัก*

ให้เราได้ร่ายรักบทกวี
เสมอเสมือนจิตวิญญาณฝันพลีเดียวกัน
ในวันมิ่งมงคลสมรสสมรัก
และ
หวังจักเป็นคู่สร้างคู่สมระดมพลังปัญญาใจ
สรรสร้างโลกใบใหญ่นี้ให้ยิ่งงดงามเป็นทวีคูณนะคะ

***********


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=287
นัดพบ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี 
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวันลับไม้
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไป สิจงฟัง
ฟัง สิฟัง สัก นิด
แล้วอย่าคิดว่าฉันสอน ว่าฉันสั่ง
ฟังสิฟัง ฟังกันเล่นเพลินเพลิน
แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญ ลองจำ
ถ้าเราจะนัดพบ กัน
เมื่อตะวัน พลบค่ำ
ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่น ใจ
ใต้ ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร
ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว
จะอายทำไมกับพระจันทร์
ถ้าเราจะนัด พบ กัน
ควรให้จันทร์ เห็น ใจ
ลมอ่อนอ่อนพัด ผ่าน
ชูกิ่งก้านช่อใบ
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว
บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว
สะบัดใบไปตามลม
ผสมน้ำค้าง พร่าง พรม
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม
ต่างคลอต่างคล้อต่างล่ออารมณ์ เรา
ให้ชมให้ชื่น ใจ
นี่แหละถิ่นนัดพบ
แต่เราไม่พบกับใคร
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ
แล้วเราก็อาจจะสุขใจ
ไม่ต้องไปพบ กับใคร ที่ไหน
เพลินใจ เพลิน ตา...

************
				
25 สิงหาคม 2547 23:55 น.

ฟ้ามิอาจกั้น!

พุด


urlhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=55


บัวดูหนัง เรื่อง Vertical Limit  วันนี้.... 
มีคนว่ากันว่า ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนดูตัว.... 
หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่รักการปีนเขาสูง 
ชอบเย้ยหน้าผา ท้ามฤตยู.... 
หนังสนุกและตื่นเต้นเร้าใจทั้งเรื่อง.... 
บัว.... จดจำคำพูด ของตัวแสดงคนหนึ่ง 
ที่พูดถึงความตาย ไว้อย่างน่าฟังว่า.... 

ความตายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต 
ที่มิอาจหลีกหนีพ้น.... 
แต่การทำอะไรก่อนตายสิสำคัญเสียยิ่งกว่า  

ทำให้บัวคิดได้ว่า.... 
ใช่เลย คนเราไม่มีใคร
ที่หนีความตายพ้น ช้าหรือเร็ว ใกล้หรือไกล 
ในเส้นทางแห่งชีวิตนี้.... 
ที่เราทุกคนต้องไป 
ณ.... ที่ที่หนึ่งเหมือนๆกัน 
ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย.... เท่าเทียมกัน.... 
เป็นความเท่าเทียม 
ที่เรายังมิอาจจะรู้ได้ 
ว่าต่อจากนั้นจะมีการพิพากษาด้วยสิ่งใด 

ที่เราทุกผู้คงต้องไป พบเจอเอาเอง 
ตามบุญกรรมที ่เราได้สร้างสมกันเอาไว้.... 

นี่คือสัจจธรรมมิใช่ดอกหรือ.... เพื่อนมนุษย์....  

อย่า.... คิดว่าเรายังเด็กนัก 
ยังมีเวลาของชีวิตอีกยาวนาน 
เพราะบางครั้ง
เรามิสามารถกำหนด โชคชะตาของเราได้ ดั่งฝัน.... 

เรามิอาจรู้ว่าจริงๆแล้วเวลาแห่งชีวิตนี้
เรามีน้อยหรือมากเพียงใด.... 
ทุกคนพยายาม หลอกตัวเอง.... 
ว่า ความโชคร้ายคงมิกรายกล้ำ มาสู่ตัวเองรวดเร็วนัก.... 

แต่เราจะรู้ได้อย่างไรเล่า.... 
อย่าประมาท ผลัดวันประกันพรุ่ง 
ที่จะรอเริ่มอรุณรุ่งของชีวิตที่แสนดีแสนงาม.... 

เริ่มวันนี้.... คิดเสียใหม่ว่า 
เราจะอยู่และทำสิ่งดีๆ ที่สุดต่อทุกสิ่ง 
ต่อทุกผู้ที่เป็นที่รักของเรา 
ราวโลกกำลังจะแตกแหลกสลายในวันพรุ่ง.... 

ยิ่งเริ่มเร็ว.... ชีวิตเราก็ยิ่งมีค่า เร็วขึ้นเท่านั้น.... 
วัยรุ่นทั้งหลายที่กำลัง ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ 
หรือคนที่รักและห่วงใยเรารอบข้าง 
ใจตุ๋มๆต่อมๆ กลัวเราจะเดินหลงทาง

ก็ได้โปรด 
หันมาเดินให้ถูกทางกันเลยดีไหมคะ.... นะนาทีนี้.... 
เสียเวลาไปแสวงหา....
 สิ่งที่เราเคยได้ยินมาจากผู้ไปเยือนมาแล้วว่ามันคือนรก.... 

หลังจากบัวดูหนังแล้ว 
ก็มีเวลาว่างร้านหนังสือ 
ที่บัวเป็นสมาชิก.... 

บัวคิดว่า ในชีวิตหนึ่งนี้ ในฝันค้าง 
และฝันกลางฤดูฝนของบัวคือ.... 
การที่บัวจะได้เป็นเจ้าของร้านหนังสือสักร้าน.... 
มีคนที่มีใจรักตัวอักษรเฉกเช่น เดียวกัน
เดินเข้าๆออกๆในร้านของบัว....

 และร้านควรจะเล็กๆ 
มีมุมให้คนรักการเขียนมาแสดงฝีมือ 
มีกาแฟ และเครื่องดื่มหอมๆไว้สร้างความฝันอันบรรเจิด....
เพื่อมาแลกเปลี่ยนทัศนะกันและกัน.... 

รักฉบับนี้ของบัวคือ ฉบับถุงหิ้วค่ะ 
เพราะทุกครั้งที่บัวพลัดหลงเข้าไปในดงหนังสือ 

บัวอดไม่ได้ ที่จะอยากได้เล่มนี้ เล่มนั้น เล่มโน้น
 และอีกหลายๆเล่มเลยค่ะ.... 

ยังคิดเลยว่า ถ้าเป็นเจ้าของร้านเอง 
วันๆบัวคงอ่านๆ และอ่าน 

วันนี้เลยต้องหิ้วถุง หิ้วความรัก ความฝัน กลับมา 
และยังมีที่หมายมาดไว้ในใจอีก.... 
มีทั้งหมด 5 เล่มคะ ฟ้าบกั้น   แมว ของลาวคำหอม.... 
ที่เคยอ่านหลายครั้งแล้ว 
และถูกยืมจนหายไป 
อ่านทีไรอยากโยนปากกาทิ้ง เลิกหัดเขียน 
เพราะชาตินี้บัวคงไปไม่ถึงไหน.... 

ปรมาจารย์ท่านนี้ 
ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี2535 
ปัจจุบันท่านอายุเกือบ70แล้วนะคะ....
 และได้ใช้ชีวิตสงบงามอย่างเรียบง่าย แสนสมถะ ที่บ้านไร่โคราช.... 

ส่วนอีกเล่ม กล่องไปรษณีย์สีแดง.... 
เป็นสารคดีเข้ารอบสุดท้ายของ ร้านนายอินทร์ 
บัวชอบใจมาก 
ที่เขาเขียนถึง เกาะพะงัน บ้านเกิดของบัว 
แม้บางแง่มุม จะไม่ชัดเจน 
เพราะเขาแค่นักเดินทางผ่าน 

แต่อยากขอบคุณ.... คุณอภิชาติ เพชรลีลา 
ที่ได้เปิดโลกของ เกาะพะงัน
ในบางด้านตามทัศนะคติของคุณ 
ที่คิดและมองเห็น....
 เพื่อให้ผู้อ่านอยากไปสัมผัส ด้วยตัวเอง.... 

บัวรู้สึกผิด ที่เกิดที่นั่นแท้ๆ รู้จักที่นั่น 
แทบทุกเม็ดทราย แต่กลับรอ รอ และรอ 
ทั้งๆที่สัญญาแล้ว สัญญาเล่า.... 
รออารมณ์ ที่อัดแน่น มากมายให้ระเบิดพวยพุ่ง 
เพื่อจะเขียนให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้.... 

จริงๆวันนี้บัวอยากเขียนถึง หนังสือ ฟ้าบกั้น 
ที่แสนรัก แสนประทับใจมาก.... 
หนังสือที่เขียนราวร้องทุกข์ 
เสนอภาพความยากไร้
 ความเสื่อมโทรม ความล้าหลังของชาวไร่ชาวนา 
ด้วยเจตนาจะเรียกขาน มโนธรรม ของ เมือง 
และนี่คือเจตนารมณ์ของลาวคำหอม.... 

บัวอ่านหลายครั้งหลายหน 
เพื่อซึมซับ ความทุกข์ยากของพี่น้องร่วมชาติ ทางตัวอักษร.... 
ที่แม้กระนั้น บัวยังน้ำตาซึม ด้วยสะเทือนใจ.... 

นี่คือเพื่อน คือพี่น้องไทยผู้ทนทุกข์ยาก 
และบางส่วนได้ตะเกียกตะกายเอา แรงงาน
เพื่อไปแลกกับเงินที่หาเข้ามาในประเทศ 
ที่ยังดีกว่าพวกคอรัปชั่น โกงกินแผ่นดิน 
และขนเงินไป เพลิดเพลินจำเริญใจที่เมืองนอก.... 
เท้าไม่ติดดิน.... ไม่พอเพียง และเพียงพอ.... 
ขอแค่สบายลำพัง ชาติจะย่อยยับ อัปราอย่างไร
ไม่เคยเหลียวแล

บัวคงต้องจบเพียงแค่นี้นะคะ 
รักฉบับนี้คือรักฉบับทุกข์ทนหม่นหมอง
ไปกับเรื่องราวที่ ลาวคำหอม รจนา ขึ้นมา
เพื่อเพื่อนผู้ร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน 
ที่เราเองยังโชคดีนักที่ไม่เคยได้สัมผัสกับตัวตนของเรา 
แต่จิตวิญญาณของเราคงเข้าใจและทุกข์ทนพอกัน 

เพราะเราคือ
พี่น้องที่เกิดมาในผืนแผ่นดินไทย เดียวกัน ด้วยกัน มิใช่ละหรือ.... 
 
********************
				
25 สิงหาคม 2547 15:32 น.

แก้วกระจาย!

พุด

urlhttp://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=377
(กุญแจใจ)
เงามืดในดวงใจ
สะเทือนใจสะท้อนธรรม

********

ดวงรจนาเรื่องนี้
ในคืนฝัน
วันที่ฟ้าหนาวแสนหนาว
กับ
คืนเดือนเสี้ยวแสนโศก..ราวโลกมืดดำ


บทเพลงเนรัญชรา
ยังคงครวญคร่ำอำลา..คลอใจเหงา
พร้อม
กับบทเพลงนี้ที่กำลังตามมา


*กุญแจรักกุญแจใจ*
ที่ราวกำลังออดอ้อนวอนพ้อ..ขอขังใจเธอ
ด้วยดวงดอกกุญแจรักกุญแจใจ
กุญแจศรัทธาภักดิ์พลีอันยิ่งใหญ่
ด้วยดวงดอกความดี ความหนักแน่นมั่นคงจงรัก
อันหวานหวังเพียงเพื่อสร้างพลังให้มีกำลังใจ
พร้อมที่จะก้าวเดินไป
บนถนนสายฝันอันเปลี่ยวเหงาเศร้าดายเดียว
เพื่อสร้างสรรสิ่งดีงาม
*นามคุณงามความดี*พลีมอบให้ผืนพสุธา
ลบเหว่ว้ารักเข้าใจกันฉันท์มิ่งมิตรสนิทเนาใจ
ไปตราบชั่วกาลนานนิรันดร์


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=377
 ขอขังใจเธอ
เอาไว้ด้วยใจ ของ ฉัน
ส่วนใจฉันนั้น
สำคัญที่เธอ ช่วย ขัง
แล้วนำความซื่อ
ถือเป็นลูกกรง ระ วัง
ทรวง เหมือน คลัง
คอยจ่ายสายสวาท อา รมณ์
รักเหมือนตรวนทอง
คอยคล้องหทัย ให้ หวน
ต่างคนสมควร
ขังใจ ด้วยใจ ซื่อ สม
ถึงกายเราห่าง
ร้างกัน ผูกพัน นิ ยม
คอย ภิ รมย์
ร้อย ตรวน ใจ
เราถือกุญแจ
กันไว้คน ละดอก
แม้นใจ ดิ้นรนหาทาง ออก
ก็จงไข
กุญแจนี่หรือ มี ชื่อ
กุญแจใจ
เอาความรัก สร้างไว้ให้
เราไขมัน
ขอถือความดี
คอยรั้งให้ใจ ครวญ หา
หมื่นพันสัญญา
หรือมาสู้ใจ ใฝ่ ฝัน
แม้นใจเราซื่อ
ถือความมั่นคง ตรง กัน
กายสัมพันธ์ จน วัน ตาย...
*********


ผู้หญิงกมลละไม
ค่อยๆเดินทอดน่อง
ดูความงามล้ำของทุกสรรพสิ่ง
กับใจดวงนิ่ง
กับใจดวงงาม
กับน้ำตาใจ
กับน้ำตาดวงน้ำตาดาว
กับบทเรียนเศร้าสุข
กับทุกทุกเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ผ่านพบมาทายทัก
ที่ช่างงามนักสำหรับบทเรียนใจ
ที่ผันผ่านไป ราวพายุใจพายุจริง
ที่มักทิ้งทุกสิ่งไว้แบบไร้ปรานี
เสมือนบทเพลงนี้อีกบท


กาลเวลา...
และ
ขอฝากให้สุภาพบุรุษ
ลูกผู้ชายนามพายุ สุริยะ
ผู้รจนาบทรักจำลาพรากจากยอดขวัญยอดดวงใจ
ได้อย่างซาบซึ้งกินใจประทับใจเป็นยิ่งนักแล้ว
*น้ำตาผู้ชาย *


และขอ
ฝากให้ทุกดวงใจในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
นะที่แห่งนี้
ที่มากมายมากมีคนกมลละไม
ผู้มีรักฝันพลี
มีรักร้าวเศร้าระบมระทมทุกข์
ระกำช้ำเจ็บตรอมตรม
จนน้ำตาจะท่วมจอท่วมใจไปตามๆกัน


ผู้ยังหนีแรงรักแรงฝันแรงโลกย์
แรงโศกเศร้าหนาวรักหนาวใจยังมิพ้น
ยังวนว่ายในวงกรรมกระหน่ำซ้ำซัด
ยังต้องกระเสือกกระสนพาตนเพียรพ้น
เข้าสู่ร่มธรรมร่มทอง
ดั่งบัวทองผ่องผุดพิสุทธิล้ำ
รอนำน้อมจิตร่างบานตระการเหนือน้ำ
ลอยชูช่อรอรับแสงอรุณ


ให้หวานหอม
ให้หวานหวัง
ให้มีพลังใจส่องกระจ่างนำทางใจ
ให้ไม่ต้องวนว่ายรับแรงรักรอยกรรม
กับโลกอันหมุนวน
พลอยพาคนคนคนอลวลอลเวง
บรรเลงแต่เพรงกรรมซ้ำซาก
ตามบทเพลงเดิมเดิมเพิ่มแต่ตัวทุกข์ทน
ด้วยการต้องเพียรฝึกฝนสร้างสมาธิ
พาให้มีสติมีปัญญาหลุดพ้นทุกทุกข์รัก


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=413
กาลเวลา 
 ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ตัดสิน ชะตา ปัญหา หัวใจ
แม้ จะรักเธอ รักเธอ เท่าใด
แต่ หัวใจ ดวงนี้ มีสิ่ง ผูกพัน
ขอให้ เป็นเพียง การคอย
อย่างน้อย เรายัง เรียนรู้ ใจกัน
เพราะว่า หัวใจ ของเรา ผูกพัน
วันหนึ่ง วันนั้น
ความฝัน อาจ เป็นความจริง
เรารู้ การคอย คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา

เรารู้ การคอย
คือการ เจ็บปวด
เป็นความ เจ็บปวด
รวดร้าว ใจทุกสิ่ง
ทุกหยด ของกาล เว-ลา
ที่ ปรารถนา และ ความจริง
คอยสิ่ง ที่เรา มั่นใจ
ฉันปล่อย ให้กาล เวลา
ช่วยชี้ ชะตา ไม่รู้ วันใด
แม้ จะต้องคอย และคอย ต่อไป
นาน สักเพียง ไหน
ปล่อยให้ กับกาล เวลา...
*******



รอเวลา
ให้กาลเวลาช่วยตัดสินใจ
รอวันชื่นคืนแสนดี
หมุนเวียนกลับมาใหม่
เพื่อลบลืม
บาดแผลและร่องรอย
และ
นาทีนี้
อยากฝากถ้อยปลอบประโลม
ถึง
ทุกดวงใจที่มีหนี้รัก
ที่หนีวิบากกรรมหนีเจ็บช้ำระทมระบมด้วยพิษรัก
ไม่พ้นทั้งๆวางกมลงามเงียบมาแสนนาน


ให้หาญกล้า ให้คิดว่าในความทุกข์รักนั้น
มันมิใช่จักจะเลวร้ายเสียทีเดียว

ในความทุกข์อาจจะมีสุขล้ำลึกเล็กๆน้อยๆซ่อนเร้น
สอนให้คิดเป็นคิดได้ใช้สมาธิฝึกเพียรมีปัญญา
ด้วยความจริงด้วยความเจ็บ
รู้ดายเดียวสงบงามรำงับดับทุกสิ่ง
นิ่ง..ว่างปล่อยวางในทุกข์ในสุขในทุกสิ่ง


และ
สำหรับผู้สมหวังในรัก
เช่นเฉกเดียวกัน
ที่มักจะหลงลืมตัวว่าสุขใจสุขจัง
จงระวังใจให้ดี
หามีความจีรังไม่..เมื่อกาลเวลาพ้นผ่านไป
ไม่ว่าใครไม่ว่าเรา


ไม่ช้านาน
จะพานพบว่า
บ่วงรักบ่วงใจบ่วงใดใด
จากผลพวงในรักนั้นจักตามมา
เป็นดั่งโซ่กรรมโซ่ใจ
ดั่งคำคนเคยกล่าวไว้



คือน้ำผึ้งคือน้ำตาคือยาพิษ
คือหยาดน้ำอมฤตอันชุ่มชื่น
คือเกสรดอกไม้คือไฟรุม
คือความกลุ้มคือความฝัน
นั่นแหละรัก
********


ที่ดวงชะตาชีวิตคนในโลกนี้
มักหนีไม่พ้นพาวนเวียนรับกรรมรัก
อันจักมีทั้งสมหวังและผิดหวัง
มีพลัง
มีทำลาย
มีพรายพรากจาก
มีสนิทเนาแนบชิดสนิทเสน่หา
ตราบชั่วฟ้าดินสลาย


หากทว่าจำต้องจัก
รู้รักรู้ค่า
รู้เลือกคู่ ที่มีจิตวิญญาณเสมอเสมือน
มาเป็นดั่งคู่ธรรมคู่ทองคล้องมงคลใจไปด้วยกัน

ประคองงามประคองขวัญสรรสร้างสิ่งดี
รู้พลี รู้ให้ รู้อภัยเมตตา
และ
เหนือกว่าสิ่งใด...
ไม่สร้างกรรมใดกรรมใหม่
ให้กับใจผู้ใดผู้อื่น
ที่พบเจอเผลอละเมอหา


ให้ใจดวงหวานชื่นรู้อิ่มพอ
รู้เพียรมิท้อ
และ
รอสร้างกุศลใหม่
หากเลือกผิดไป

ไม่หวานดั่งหวัง
มิอาจฝังฝากใจจิตวิญญาณปานแรกพบ
ตราบจบสิ้นดวงชีวา
ตราบผืนดินกลบหน้า



ก็จักต้องรู้กลืนกล้ำ
รู้ดำรงร่าง
รู้ทน
รู้รักแบบกมลละไม
ที่มิหวังสร้างปัญหาใด
หากเลือกทางธรรมนำทางใจ
ให้ไสวสว่างกระจ่างพราวราวบัวบาน


สร้างงามหอมกรุ่นให้ดวงชีวี
ด้วยความเพียรมิท้อ
มิขอเลิกหวังสรรสร้างแต่กุศลดี
พลีพร้อมฝึกรับความงามความวางว่าง
ให้ก่อเกิดนะกลางใจ
จนกว่าจะสิ้นวิบากใจวิบากกรรม
พลีร่างวางกรรมกลางพื้นพสุธาตราบชั่วกาล


คนดี
ดวงระรินร่ำ
เพียรรจนาเรื่องนี้
หวังทุกรัก
จักเมตตาและหาทางออกพบ
ให้รู้จบรู้จาก
รู้จักรู้ใจ
รู้อภัยเมตตา
และ
รู้ค่ารักที่หนักแน่นมั่นคงงดงาม
ที่จักเป็นพลังให้โลกนี้ยังคงมีคุณธรรม
ดับความร้อนเร่า
ราวเพลิงจากความโกรธเกลียดเบียดบังใจ
ยามไม่มีใจไม่มีรักหมดสิ้นรัก
ยามที่จักโยนแต่ความใจดำห้ำหั่นทำร้าย
ด้วยความหลงตัวเองรักเพียงตัวเอง


จงรู้ว่ารักนั้น
คือความดีความงามคือนิยาม*ให้*น้ำใจ
ไม่ว่ากับโลกไพรโลกธรรมชาติหรือผู้คนที่วนมารักเรา
และ
มากล่อมเกลาให้เรียนรู้ความดีมีเมตตา
สอนให้รู้ค่ารักอันประเสริฐสูงส่งกับเพื่อนมนุษย์


จงหยุด
อย่าทำร้ายกันและกันด้วยกายวาจาใจ
เพื่อสร้างสิ่งงามอันยิ่งใหญ่คืนสู่ผืนดิน
และโลกในฝันอย่างจินตนาการจะไม่มีวันสูญสิ้น

จะมีสิ่งดีงามตามมา
อย่างบทเพลงนี้
ที่รอจะมีวันฝันเป็นจริงค่ะ
ขึ้นอยู่กับเรา
มวลมนุษยชาติผู้ฉลาดรัก..
จักรักเป็นเช่นไร
ใช่ไหมเล่าเจ้าดวงใจ เจ้าจอมใจ!!..

***********



http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=5660
IMAGINE John Lennon : : Key C 

IMAGINE THERES NO HEAVEN
IT EASY IF YOU TRY
NO HELL BELOW US,
ABOVE US ONLY SKY
IMAGINE ALL THE PEOPLE
LIVING FOR TODAY AH
IMAGINE THERES NO COUNTRIES
IT ISNt HARD TO DO
NOTHING TO KILL OR DIE
FOR AND NO RELIGION TOO
IMAGINE ALL THE PEOPLE
LIVING LIFE IN PEACE
YOUYOU MAY SAY IM A DREAMER
BUT IM NOT THE ONLY ONE
I HOPE SOME DAY YOULL JOIN US
AND THE WORLD WILL BE AS ONE
IMAGINE NO POSSESSIONS
I WONDER IF YOU CAN
NO NEED FOR GREED OR HUNGER
A BROTHERHOOD OF MAN
IMAGINE ALL THE PEOPLE
SHARING ALL THE WORLD
YOUYOU MAY SAY IM A DREAMER
BUT IM NOT THE ONLY ONE
I HOPE SOME DAY YOULL JOIN US
AND THE WORLD WILL LIVE AS ONE...
*********



 ทุกแห่งหน! พุดพัดชา 

ฉันเห็นเธอในดอกไม้สายลมไหว
มวลนกไพร ในฝนพราย แมกไม้ฝัน
ในดวงดาว ในอุ่นแสง แห่งตะวัน
ในความฝัน ในยามตื่น ชื่นฉ่ำใจ..

ฉันเห็นเธอ ในดวงจันทร์ ฝันเคียงฟ้า
ในเมฆา ในเรียวรุ้ง กระจ่างใส
ในผีเสื้อ ในสายน้ำ ในขุนเขา ในเงาใจ
เธอสถิตอยู่กลางใจในเรียวตาในศรัทธาในรักนี้ มิมีวันจะลบเลือน!

***************


และขอแถมบทความนานมา
ในวันที่ลืมโลกเหว้ว้า
ด้วยงามแก้วแกมหอมนะกลางใจ
ที่สงบว่างนำทางส่องสว่างมานานวัน

*********

ดวงมีรักมากมายหลายรูปแบบ.... 
ซ่อนซึ้งไว้จ่ายแจก.... 
และหลั่งรินให้ใจทุกดวง.... 
ทั้งคนชิดใกล้.... ทั้งคนไกล.... 
และสำหรับเพื่อนมนุษย์ทุกทุกคน.... 
ที่ดวงได้รู้จักและผ่านพบ.... 

ในค่ำคืนนี้.... ท่ามกลาง
พระจันทร์สีหมากสุก ดวงโตลอยเด่น.... 
ลอยหน้าลอยตา.... ยิ้มแฉ่ง 
ทายทักอยู่บนฟากฟ้า.... แสนหวาน.... 

ดวงอยากแจกรักของดวงผ่านจันทร์ดวงงาม.... 
ถึงใจของเพื่อนผู้อ่านทุกดวง.... 
ให้จันทร์ดวงโตนั้น.... ดวงงามนั้น.... 
เป็นสื่อประโลมใจ.... 
ให้เรียนรู้ 
ที่จะหยุดพัก.... หยุดคิด.... 
ทุกสิ่งที่ปวดร้าวภายในดวงใจ.... 
แต่อย่าหยุดฝัน.... 

เพื่อต่อเติมใจให้มีพลัง
ที่จะได้ใช้ ใจดวงงามละมุนบริสุทธิ์ใส.... 
ลืมตาดูโลกอย่างมีความสุข.... ความหวัง.... 
และเมื่อใจเราแสนดี.... 

ก็จงอย่าลืม.... แจกจ่ายและแบ่งปัน.... 
ให้กับคนที่เรารัก.... 
เพื่อนของเรา ที่ยังหมองหม่น.... ทนเศร้า.... 
หาแสงสว่างไม่พบเจอ.... 
ด้วยโชคร้ายมากมายที่รายล้อม.... 

คนเราทุกวันนี้.... ใจไม่ละมุน.... 
เพราะเราอยู่ในป่าคอนกรีต.... 
ไม่มีเวลาแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ชื่นชมดาวเดือน.... 

ทุกนาที คือการแข่งขัน.... แข่งกับตัวเอง.... 
กับระบบที่บีบคั้น.... ตั้งแต่เด็กถึง การทำงาน.... 

ดวงเขียนเรื่องบางเรื่อง
ใช้ภาษาสวยงามตามฝันใฝ่.... 
เพื่ออยากให้ทุกคนรู้ว่า.... 

โลกนี้ ถ้ามีแต่ความ เร่าร้อน.... แย่งชิง.... 
โลกก็จะยิ่งร้อนรุ่ม....
 มนุษย์พันธุ์แบบดวงคงเหลือน้อยลง.... 
กลายเป็นคน ประหลาด.... 
คิดประหลาด.... พูดประหลาด.... เขียนประหลาด....
 และทำอะไรประหลาด ในสายตา ของคนรุ่นใหม่.... 

ดวงยากบอกว่า.... 
ดวงรักการภาษาไทยให้งดงาม....
 เพราะภาษาพูดคือภาษาใจ.... 
ถ้าใจเรางาม.... บริสุทธิ์ใส.... 

ภาษาพูดก็จะสื่อออกมาบริสุทธิ์ใสเพียงนั้น.... 
ขอเพียงเราซื่อสัตย์.... ต่อตัวเอง 
พูดสิ่งใดขอให้ตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ.... 
และจงใช้ปัญญา.... คิดก่อนพูด.... 
ให้พูดในสิ่งที่ดีงาม.... สวยงาม และจรรโลงใจ.... 
ไม่เพิ่มทุกข์ และทำร้ายผู้ใด.... 

ดวงอยากกลับไปเป็นครู.... 
สอนเด็กๆเหลือเกิน.... 
เพื่อสร้างแบบฉบับให้ทุกคนรู้จัก.... 
ที่จะรักโลก.... รักธรรมชาติ.... รักเพื่อนมนุษย์.... ให้เป็น.... 
และให้มากกว่านี้.... 

และให้รู้ว่า เราโชคดีนักที่ได้เกิดมา 
พบพระพุทธศาสนา....
 ที่เป็นที่พึ่งพาพักพิงใจ
ในยามที่เรา เดียวดายไร้หวังสิ้น....
 
เพื่อช่วยนำทางเราให้ไปถึง.... 
ที่แห่งหนึ่ง.... ที่ที่คนดี.... 
ที่ถึงพร้อมด้วยศีล.... สมาธิ 
และปัญญาเท่านั้นจะไปได้ถึง.... นิพพาน.... 

ดวงเขียนอะไร มักวกไปถึงศาสนาเสมอ.... 
เพราะดวงคิดว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะตามติด 
เยียวยาใจของเราเองได้ 
ยามที่เรา ทุกข์ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาของวัยใดในชีวิตนี้....

 คำสอนของพระพุทธองค์.... 
จะพร่ำบ่มให้ใจเรา เยือกเย็น.... สงบงาม.... 




ทุกคืนค่ำ.... ดวงสวดมนต์ให้.... 
เพื่อนมนุษย์ทุกคนให้มีดวงใจ 
และดวงตาสว่างใสมองเห็น.... ธรรม.... 
นำชีวิตเพื่อนำทาง.... 
และพาไปสู่ สิ่งที่เป็นสัจจะแน่นอนของชีวิต.... 
ด้วยดวงจิต.... ดวงใจ.... ที่ถึงพร้อม.... 

คืนนี้ดวงเศร้าอีกแล้ว.... 
ทุกคราครั้ง ที่ดวงพานพบ
กับโลกและมนุษย์ที่ดวงอยากช่วย.... 
และช่วยไม่ได้.... 

ดวงจะเกิดความหมองหม่นใจ.... 
ดวงพยายามแล้ว....
 และดวงคิดว่าพระเบื้องบนเท่านั้นที่จะรับรู้ และรับทราบ.... 


ค่ำคืนนี้.... เพื่อนดวงขับรถมาหา.... 
มาแลกทุกข์.... สุข.... ทุกปัญหา....
 ดวงนิ่งฟังด้วยใจสงบ.... 
เพื่อให้เพื่อนได้ระบาย.... 

เพื่อนรัก.... 
ผู้สูญเสียผู้เป็นที่รักสามคนในเวลาไล่เลี่ยกัน.... 
นี่คือโลกที่มีทุกข์ทุกอณู.... 
เตือนใจ.... เตือนสติ 

ให้เราอย่าได้หลงลืมความจริงแท้แน่นอนของชีวิต.... 
ให้เราเกิดปัญญายอมรับความจริงว่า.... 
โลกนี้ไม่มีอะไร แน่นอน.... แปรผันหยอกย้อน.... 
ได้ทุกคืนและทุกวัน.... 
ในทุกเวลาของชีวิตนี้ ที่อาจยืนยาวหรือแสนสั้น.... 
แล้วแต่ชะตาฟ้ากำหนดนัด 

เพื่อนรัก.... ใช้ทุกสิ่งเยียวยาความบอบช้ำใจ.... 
น้ำตาระบาย.... เป็นเดือน.... เป็นปี.... ยาวนาน.... 
ทำบุญ.... ฝึกจิต.... ล้างใจ.... 
สร้างกุศลเพื่อพ้นทุกข์.... 

จนกระทั่ง.... คืนหนึ่ง.... 
หลังจากที่เธอวนเวียน.... มืดมน.... 
กับทุกข์ที่ถมทับจนใจใกล้จะทานทน.... 
เธอสะดุ้งตื่นด้วยเสียงที่ก้องกังวานจากเบื้องบน....
 เป็นเสียงมากพลัง.... ทรงอำนาจ.... 
สะเทือนสะท้านสองหู.... สู่ใจที่มืดบอดริบหรี่.... 

เจ้าสวดคาถาชินบัญชร.... 
และพระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเสีย....
 แล้วใจของเจ้า.... จะสงบ.... พาไปสู่ปัญญา.... 

นี่คือเรื่องจริงที่ดวง.... 
คิดว่าใจดวงที่สะสมบุญ.... บารมีเท่านั้น 
ที่เบื้องบนจะมีเมตตา.... มาเปิดใจ.... เปิดตา 
ให้พบกับแสงสว่าง 
นำทางชีวิตให้สว่างไสว.... พ้นทุกข์.... เฉกเช่นกัน.... 


เรื่องนี้เขียนด้วยรัก.... ปรารถนาดี.... 
มากล้นจากใจ ที่อยากให้เพื่อให้คน ทุกวัย.... 
รักและเข้าใจกัน ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อซึ่กันและกัน 
ไม่ว่าทางวัตถุหรือจิตใจ.... 
เพื่อเป็นหนึ่งที่จะช่วยกัน จรรโลงโลกของเรานี้.... 
ให้มีแต่ความดีงาม.... ดำรงอยู่สืบไป.... 
ตราบชั่วนิจนิรันดรนะคะ.... 
***************

ขอมอบดอกไม้ในสวน นี้เพื่อมวลประชา
จะอยู่แห่งไหน จะใกล้ จะไกลจนสุดขอบฟ้า
ขอมอบความหวังดั่งดอกไม้ผลิ.... สดไสวอาณา
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ
เป็นสิ่งเสนอให้มา.... 

ดวงตะวันทอแสง มิถอยแรงอัปรา
เป็นเปลวไฟที่ไหม้นาน เป็นสายธารที่ชุ่มป่า
เป็นแผ่นฟ้าทานทน.... 

ขอมอบดอกไม้ในสวน ให้หอมอบอวลสู่ชน
จงสบสิ่งหวัง.... ให้สมตั้งใจ ให้คลายหมองหม่น
ก้าวต่อไปตราบชีวิตสุด ดุจกระแสชล
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ
เป็นสิ่งเสนอให้คน
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจเธอ
เป็นสิ่งเสนอให้คน.... 

********************

				
21 สิงหาคม 2547 15:35 น.

โลกละไมกับใจเจ้าดวงดอกไม้งาม!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=198
(ปรารถนา)
*********

จันทร์แจ่มดวง
ทอทอดลอดโลมไล้ร่าง
ที่ห่มงามด้วยผ้าคลุมไหล่สไบแพรสีโศก
ผมสยายยาวทอสกาว
รับประกายจรัสเรืองจากแสงเดือนดาริกา


ดวงตาสะท้อนพราวน้ำเพชรพร่าง 
มิใช่จากความเสียใจ
มิใช่จากใจเศร้าโศก 
หากเป็นประกายเย็นใสจากปิติใจ ล้ำลึก
ที่ยากยิ่งอธิบาย
คล้ายว่าง..เสียจนกายพร่างพรูด้วยความสงบสว่าง
ในท่ามกลางธรรมชาติดิบเดิม
รายรอบกระท่อมน้อยปลายนา


กับบรรยากาศงาม
กับมวลหมู่ดารารายพรายพร่าง ในเวิ้งนภากาล
กับหวานหอมแห่งเรณูละอองดวงดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง
กับดงตาลโตนดเหว่ว้า
ที่มีลูกสีดำคลอลำต้นดกปกคลุม


หัวใจ..
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่างซึ้ง
ที่เกิดมาเพื่อพึงภักดิ์รักพลีทุกต้นไม้
ที่รักได้รักดี รักจนบางทีอยากจูบประทับรับขวัญ
โอบกอดไปตามลำต้น
ปุ่มปมขรุขระนั้น อันคงผ่านร้อนหนาวมายาวนาน
ผ่านฤดูกาลหลายฝนหนาวหลายเศร้าวสันต์ลา
ผ่านดวงตะวันกล้า
ผ่านจันทราเย็นฉ่ำ
ผ่านวันคืนอันแปรเปลี่ยน
จนปุ่มปมเปลือกนั้นซ้อนทับกัน
ราวจะสะท้อนทั้งเรื่องราวรื่นรมย์และเร่าร้อน


เหมือนดั่งละครโลกละครชีวิตคน
ที่หมุนวนสับสนมาฝากร่างกลางหล้าโลกนี้
ที่มิช้านานต่างก็จำต้องพรากลา
เมื่อละครชีวาชีวิตจำต้องปิดฉากลง


หาก
ต้นไม้ยังจักต้องดำรงคล้ายยืนเฝ้าดูผู้คนบนเวทีโลกนี้
ที่ยอกย้อนว่ายวนมารับรอยวนรับกรรมเวียน
เปลี่ยนเพียงหน้าตา
พามารับบทที่คล้ายๆกัน
ที่เรียกกันว่าโศกสุขทุกข์รักมิวายเว้น..


จากวันคืนสงบเย็น
ที่มีน้ำฟ้าปลาดาว
พราวหอมด้วยราวป่าใหญ่ไพรกว้าง
ที่มีสัตว์มากมาย
ดวงดอกไม้นานา 
ผีเสื้อหลากสี 
นกที่ผกโผผิน
เพื่อสืบมิสิ้นพันธุกรรมธรรมชาติชีวิตให้ดำรงอยู่
ที่จำต้องอาศัยการพึ่งพาพึ่งพิงอิงเอื้อคล้ายวัฎฎโลก


ที่นะบัดนี้
ทุกหย่อมหญ้าถูกมนุษย์ผู้คิดว่ามากสามารถฉลาดล้ำ
ได้พากันผลาญพล่าทำลายล้าง
ให้โลกแสนอ้างว้างห่างไกลจากวิถีเดิม
ที่ติดดินงามเงียบเรียบง่ายในการใช้ชีวิต
ที่มิคิดเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ในทุกสรรพสิ่งภายใต้ผืนหล้านี้


ช่างน่าเศร้าเสียใจ
ดั่งบทกวี*จากหนังสือ ปณิธาณกวี*
ของ..*ท่านอังคารกัลยาณพงศ์*
ที่นะวันนี้จะเทียบเชิญมาให้กระวีกระวาด
และนักอยากจะเขียนเพียรสร้างฝันขยันรจนา
ได้ประเทืองประทับใจที่แสนจะโดนใจ
ให้เราทุกดวงใจไหวตระหนักเรียนรู้
ที่จะปกปักพิทักษ์โลกให้ยาวยืน


*บริภาษสัตว์วิทยาศาสตร์คลั่งนิวเคลียร์*

แจ่มจันทร์เจ้าสกาวหนาวแสงทิพย์
ระยิบระยับวับวาวดาวระย้า
ลำนำอนันตกาลผ่านหน้ามา
สนธยาย้อยหยาดบาดดวงใจ

บนยอดผาเยี่ยมฟ้าว้าเหว่
ณ ชะเลเมฆวิเวกขวัญหวั่นไหว
หนาวปรโลกโตรกผาชลาลัย
นอนไพรโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวนัก..

กราบพระรัตนตรัยใส่เกล้า
น้อมกล่าวพุทธมนต์อันสูงศักดิ์
สวดก้องยอดผาบ่ากาลจักร
เพื่อหักห้ามขลาดหวาดผวาภัย

ไหว้ปู่เจ้าภูหลวงไศลทิพย์
สิบทิศรุกขเทวดาป่าใหญ่
ลูกนอบน้อมพร้อมกายวาจาใจ
บูชาไปสิ้นดินแดนดง

น้ำค้างพร่างพราวราวเพชรร่วง
ระยับยวงรุ้งจันทร์วิจิตรพิศวง
ม่านเมฆสลับลับแลลิ่วลง
ตรงโตรกชะโงกเงื้อมเลื่อมพรายดาว

เห็นจักรวาลอื่นหมื่นแสน
แว่นแคว้นทิพยโลกโศกเศร้าหนาว
มิติลี้ลับลิบพรายดาวพราว
เอกภพสกาวฟ้อนฟ้าทิพาลัย

แต่โลกมนุษย์สุดคลั่งนิวเคลียร์
เสียชาติมนุษย์สุดวิเศษสิ้นสมัย
จะย่อยยับดับดิ้นด้วยไฟ
ใหญ่กว่าอเวจีที่ปัจจุบัน

อนาคตดิ่งดับด้วยสรรพพิษ
อิทธิฤทธิ์รังสีร้ายแรงมหันต์
เส็งเคร็งกว่ามะเร็งกินวิญญาณกัน
อาถรรพ์สถุลยุคทุกอย่างระยำ

ทำลายโลกวิปโยคยิ่งใหญ่
หลงใหลคลั่งนิวเคลียร์บ้าระห่ำ
สัตว์วิทยาศาสตร์อุบาทว์ใจดำ
จงหยุดทำบัดซบจบงาน

เป็นขี้ข้ากากนัการเมือง
วางเขื่องเบ่งบ้าวิชาล้างผลาญ
ชั่วชาติสัตว์วิทยาศาสตร์สามานย์
น่าประหารตัดหัวทุกตัวไป..

************


ช่างเป็นบทกวีที่แสนงามล้นค่า
มาสอนใจมาเตือนใจให้รักษ์โลกรักฝัน
ทำสวรรค์ให้มีจริง
ให้มีโลกนี้ที่สวยใสด้วยดินไม้ไพรอากาศน้ำดี

และ
หัวใจดวงนี้ก็พาพลี
คิดถึง ยามโพล้เพล้เหว่ว้า
กับข้าวกล้าในนาที่เพิ่งหว่านดำ
คิดถึงคำ*ชิงช้าเมฆ*
ยามแหงนเงยมองวิเวกบนฟากฟ้ากว้าง
กับฟ้ากระจ่างลมจรุงปรุงปน
ด้วยมนต์หอมลอมฟาง
ท่ามกลางแสงกระจ่างพร่างด้วยดาวเดือนสุกใส


คิดถึงกุฎิไม้ในวัดที่ยังมุงด้วยกระเบื้องว่าว
ที่กว้างยาวแค่ห้าคูนห้าเมตร
พอให้พระกางมุ้งนอนได้
กับมีชานระเบียงพักไว้ทอดรับบันไดหินห้าขั้น
มีลานหญ้าหน้ากุฎิ
มีต้นอโศกอินเดียต้นใหญ่
ที่มีดวงดอกแดงไสวหอมพร่าง
ระย้าระยับจับใจ
มีกอไผ่นา มีฝูงวัวเลาะเล็มหญ้า


มีเณรน้อยเจ้าปัญญาอายุแค่14ปี
ที่คิดดีคิดได้หนีโลกวายวุ่นมาบวช
ท่านเพียรท่องหนังสือธรรมมะ
ใต้ต้นไม้มากมายที่สอดสานใบกันระยับระยิบ
และ
กำลังร่วงลอยปลิดปลิวลิ่วควะคว้างกลางกระแสลม
ลงมาถมทับทั่วบริเวณ


และ
ต้นไม้ที่พอจะจำชื่อได้มีประมาณนี้
มะฮอกกานี  กฐินณรงค์ ประดู่ สาละ ตะเคียน
มะหวด ตะแบก ชมพูพันทิพย์ ไทรสาลี่ นนทรี
ต้นจันทร์ หมากนานาพันธุ์ ต้นยาง ออฟจาไมก้า
แคฝรั่งและอีกมากมีมากมายไม้ประดับ
ที่นับแล้วจะมีเป็นพันชนิดไม่น่าเชื่อเลย


ที่ตรงนี้คือที่หน้าโบสถ์คร่ำ 
ที่สามารถนั่งระร่ำริน
ทอดนัยน์ตาดูความนุ่มความเขียวครึ้มเขียวแผกแตกต่าง
ที่ดั่งร่มฉัตรร่มธรรม ร่มธรรมชาติกางกั้น
ให้จิตวิญญาณชิดใกล้กับธรรมชาติชีวิตอันเป็นความจริง
เสียยิ่งกว่าจริงมิกลิ้งกลอกลวงหลอนหลอกใจ


ได้ดูดอกและใบไม้เสลาหล่นพร่าง
ให้เกิดกระจ่างแจ้ง
ราวมีแสงแห่งปัญญาพรายผุด 
ให้ใจดวงพิสุทธิ์
คว้าไม้กวาดสกดสติสมาธิ
อยู่กับการกวาดลานวัดให้สะอาด
ราวได้กวาดลานใจไปพร้อมกัน


ให้สว่างสงบพบพระธรรมนำดวงจิต
ให้สถิตเกิดใสล้ำปิติ
หยุดนิ่งคิดกังวลกับทุกสรรพสิ่งภายนอก


ดวงตาแลเห็นแสงรำไร
ดวงใจราวได้รับแสงทองที่ส่องสะท้อนสาด
มาจากพระพักตร์พระพุทธพิสุทธิ์งาม
ในโบสถ์ยามย่ำสนธยา
เกิดเรืองแสงแห่งปัญญาแม้นชั่วยาม
ยอมรับสัจจะความจริงนี้แห่งชีวีชีวิต


ที่
ในที่สุดไม่ว่า
จะสุขโศกเศร้าหนาวร้อนเบื่อๆอยากๆมากเรื่องราว
ก็ราวก่อกระจ่างให้วางลง
มิหลงยึดมั่นถื่อมั่นฝันไกลที่ตามไปไม่มีวันถึง


ให้พึงสดับยอมรับความไม่แน่นอน
ให้มองย้อนเข้าไปสู่ขุมทรัพย์นิรันดร์
อันเปรียบประดุจบ้านภายในในตัวตน
จนกว่าจะสิ้นแสงแห่งดวงชีวา
ร่างใจจะลาลับหล้าลาลับโลกลาดวง


ตะวันจริงกำลังสอนสัจจะ
ในขณะที่ตะวันในใจกำลังโชนแสงกล้า
กับวันคืนที่ได้มากับวัยวันที่กำลังจะเสียไป
ไม่มีสิ่งไหนในโลกนี้ที่จะเป็นอนิจจัง
ไม่มีอะไรจะตั้งอยู่ มีแต่รู้ดับไป
นะเจ้าดวงดอกไม้..งาม  ให้เจ้าจงรู้ทำใจ..

*********


http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33165.php
ถ้าเราจะนัดพบกัน

ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันลับไม้ 
ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไปสิจงฟัง 
ฟังสิฟังสักนิด แล้วอย่าคิดว่าฉันสอนว่าฉันสั่ง 
ฟังสิฟังกันเล่นเพลินๆ แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญลองจำ 

ถ้าเราจะนัดพบกัน เมื่อตะวันพลบค่ำ 
ธรรมชาติชื่นฉ่ำ ฉ่ำชื่นชื่นใจ 
ใต้ร่มไม้ใบบางๆ แสงสว่างรำไรรำไร 
ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องระไว จะอายทำไมกับพระจันทร์ 
ถ้าเราจะนัดพบกัน จึงชวนให้จันทร์เห็นใจ 

ลมอ่อนๆพัดผ่าน ชูกิ่งก้านช่อใบ 
บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว 
สะบัดใบไปตามลม ผสมน้ำค้างพร่างพรม 
เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม 
ต่างเคล้าต่างคลอต่างล้ออารมณ์เรา ให้ชมให้ชื่นใจ 

นี่แหละที่นัดพบ...... 
แต่เรามิพบกับใคร 
เพียงแต่พบกับธรรมชาติ แล้วเราก็อาจจะสุขใจ 
ไม่ต้องไปพบกับใคร...ที่ไหน..เพลินใจเพลินตา.... 




				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพุด
Lovings  พุด เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพุด