2 กันยายน 2547 08:32 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=363
บทรำพึงถึงขมิ้นไพร
ไยดวงใจมิเหลืองอ่อนผ่องผุดพราวละมุน..
ดั่ง*ดวงดอกบัวทองผ่องพุทธ*บานนะกลางใจ..ไยเล่าใจเอ๋ยเอยใจ!
นวล..กำลังฟังเพลงนี้
ในค่ำคืนนี้กับฝนที่ฉ่ำฟ้า
กับน้ำตาที่ระรินหลั่ง
ที่ขอพลีบรรณาการ
แด่มวลมนุษย์ที่กำลังดิ้นรนเดียวดาย
ในท่ามกลางโลกแล้งไร้และในน้ำใจแล้งสิ้น..
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=363
นกขมิ้น
ค่ำ คืน ฉันยืนอยู่เดียว ดาย
เหลียว มอง รอบ กาย มิวายจะหวาด กลัว
มอง นภา มืด มัว สลัว เย็นย่ำ
ค่ำ คืนเอ๋ย ฮึม
ยามนภาลับไป ใกล้ ค่ำ ยินเสียงร่ำ คำบอก
เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย เจ้า ดอก ขจร
นก ขมิ้น เหลืองอ่อน
ค่ำแล้ว จะนอน ไหน เอย
เอ๋ยเล่า นก เอย
อก ฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือน คนพเน จร ฉันนอนไม่หลับ เลย
หนาว พระพาย พัดเชย อกเอ๋ย หนาว สั่น
สุดบั่น ทอน ฮือ
ยามนี้เราหลงทาง กลาง ค่ำ
ยินเสียงร่ำ คำบอก เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้าดอก ขจร ฉัน ร่อนเร่ พเน-จร
ไม่ รู้จะนอน ไหน เอย เอ๋ยโอ้ หัวอก เอย
บ้าน ใด หรือใครจะเอ็นดู
รับ รอง อุ้ม ชู เลี้ยงดูให้หลับ นอน
นกขมิ้น เหลืองอ่อน ค่ำไหน นอน นั่น
อก ฉันหมอง ฮือ
ทนระกำช้ำใจ ยามค่ำ ยินเสียงร่ำ น้ำตก
โอ้ หัวอก เอ๋ย โอ้ อก อาวรณ์
ฉัน ไร้คู่ ร่วม คอน ต้องฝืนนอน หนาว เอย
เอ๋ยโอ้ หัวอก เอย
เหม่อ มอง หมายปองก็แล เห็น
หวิว ใน ใจ เต้น เหมือนเป็นเพียงแต่ มอง
เหมือน พบรัก จะครอง แต่หมอง เกรง ที่
หวั่นจะมี เจ้าของ ฮือ
ฟังสำเนียงเสียงเพลง ครวญค่ำ
ใครหนอร่ำ คำบอก เจ้าช่อไม้ดอก เอ๋ย
เจ้า ดอก ขจร นกขมิ้น เหลือง อ่อน
ค่ำ นี้ จะนอน ไหนเอย เอ๋ย นอน นี่ เอย...
*********
เย็นมากแล้ว
กับมากมายผู้คน..
ที่ราวนกกลับรัง
ผึ้งแตกรวง
บนถนนสายเศร้าสายดายเดียวในทางจิตวิญญาณ
ในความรู้สึกล้ำลึกคะนึงนึกในใจนวล..
โลกนี้..ช่างมากมีมากมายมนุษย์เสียนี้กระไร
ที่ต่างก็พากันมีโชคได้มาเกิดกาย
มาชดใช้กรรมเก่า
มาค้นพบเงากรรม
มาร่ายรำบทเพลงเดิมเติมทุกข์ต่อ
มาก่อบุญกุศลใหม่
มาพลีใจพลีจิตพบพระพุทธศาสนา
มาสร้างความว่างอันเป็นนิรันดร์
มาใฝ่ฝันรู้รักเมตตาเสียสละฝึกการให้ไร้ร้องขอ
รู้พอเพียงเพียงพอสมถะเงียบงาม
ใต้ร่มธรรมร่มทอง
ใต้ร่มฉัตรแก้วของผืนดินแผ่นดินอันแสนร่มเย็นเป็นสุข
อย่างหาคำเปรียบประมาณมิได้
หากดวงตาเห็นธรรม
ดวงใจเห็นความไม่เที่ยง
เห็นเส้นทางแท้ทางทองทางธรรม
ที่จะเลี่ยงหลบมิพบทุกข์มิพบรักอันหนักราวศิลา
จากกิเลสในโลกหล้าอันมากมายสุดพรรณา
ที่พากันมายั่วยุให้ใหลหลงพะวงหามิรู้สิ้นรู้จบ
ให้ต้องมาพบเจอให้ต้องมาเพ้อระทม
ให้มาดิ้นรนสับสนวนว่ายว่อง
เต็มไปทั้งท้องทะเลโลกย์ทะเลใจ
เรือเอ๋ยเรือมนุษย์
มิรู้สิ้นสุดหวังพบฝั่งฝัน
พบพลังเกษมนิจนิรันดร์เมื่อใดเล่าหนอ
หากมิเพียรพาพายว่ายด้วยน้ำใจใสงาม
ไหว้ด้วยดวงดอกความดี
พลีน้อมจิตให้หยุดคิดหยุดเศร้าเหงาดายเดียว
หยุดเหลียวมองหาน้ำใจ
หยุดไม่คาดหวัง
หยุดหลั่งน้ำตาระรินยามพบความเห็นแก่ตัว
หยุดนิ่ง
และก้าวเดินตรงไปในเส้นทางข้างหน้า
สอนชีวาให้รู้ว่า
นับวันจะพบมากมีคนที่ใจดวงดีไร้ละมุนจริง
มีแต่ยิ่งทำร้ายกันด้วยกายวาจาใจเชือดเฉือน
ไม่เห็นค่าความดีงาม
มีแต่แล้งไร้น้ำใจ
ไม่มีแม้น้ำคำอันน่าจะพร่ำหอมห่ม
โอ้
หัวใจคนเอ๋ยคน..
เจ้านกขมิ้นไพร..ขมิ้นเมือง
ไยให้โลกปลอมปนแปดเปื้อน
มิเหลืองอ่อนละมุน...
ให้โลกเมืองย้อมดลกระหน่ำใจเจ้า
ให้เหลืองกระดำกระด่าง
ไร้สีพราวพร่างพิสุทธิ์ใส
ไร้สิ้นปรานีผู้ใดเล่า.
ให้ปีกงามพราว
เพียงภายนอกดอกละหรือไร..ใจเจ้าเอ๋ยเอย..!
1 กันยายน 2547 10:56 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=19
(อาลัยรัก)
**********
บทกวีนิพนธ์
*หน้าต่าง* ร้อยรจนาโดยกวีแก้วคุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์กวีซีไรท์2547ค่ะ
นี่คือโลกสีเทาของเช้าหนึ่ง
นกของความคำนึงบินถึงไหน
บินไปสู่ภูเขาลำเนาไม้
แลเห็นอยู่ไกลไกลสีไอน้ำ
โลกยามเช้าลำเลียงเสียงลมเช้า
พลิ้วระลอกหยอกเย้าทุกก้าวย่ำ
ผ่านทุ่งนาป่าไร่ไหวลำนำ
มาอบร่ำเริงร้องห้องแสงตะวัน
หรือในเธอเผลอหลับกับที่นอน
สมุดจดบทกลอนยังฟ้อนฝัน
ยังค้างฟ้ารอคอยรูปรอยจันทร์
หรือตื่นตาแล้วนั่นพลันปล่อยนก
นกของความคำนึงบินถึงไหน
บินมิถึงซึ่งใดกลับไหวตก
บินมิถึงครี่งใจกลับไหววก
กลับมาสู่ห้องรกเรือนร้าง
มาสู่ห้องหมองไหม้ไร้ชีวิต
บานหน้าต่างปิดมิดทุกทิศข้าง
ลมเฝ้าเคาะจากไปอย่างไหวว้าง
แดดเฝ้าคอยจนจางกระทั่งพลบ
นกของความคำนึงบินถึงไหน
ทุกแดนถิ่นบินไปไม่รู้จบ
ฝ่าลมแรงโบยเร้าเงาแดดลบ
ผ่านคืนงามสงบพบรุ่งเช้า
นกดวงตาผู้ท่องมองลงมอง
จากโพ้นฟากฟ้ามาคอยเฝ้า
จับในบานหน้าต่างระหว่างเรา
ระหว่างเยาว์ระหว่างย่านของบ้านเรือน
และเฝ้ามองผองใครในทุ่งข้าว
เริ่มเก็บเกี่ยวเกรียวกราวละคราวเคลื่อน
ใครขานกู่สู่เช้ามาเหย้าเยือน
โลกดูเหมือนเคลื่อนคล้อยเพียงน้อยนิด
ฉันย่างก้าวเบาบางพลางตามต้อย
ขณะเธอกรองร้อยประดอยประดิด
ให้มิห่างเกินไปมิใกล้ชิด
ให้เธอได้นึกคิดแม้นิดน้อย
กว่าจะรู้ว่าฉันนั้นตามมา
ฉันแสร้งยิ้มมารยาตาละห้อย
ในโมงยามข้ามคืนผู้ตื่นคอย
พ่อยอมปล่อยฉันลูกคู่ช่วยกู้ปลา
เช่นกับเธอสิ้นสุดหยุดบันทึก
อิ่มอยู่ในรู้สึกอันโหยหา
แม่เรียกขานเธอเต็มใจไม่รอช้า
งานบ้านเคยธรรมดากลับล้ำลึก
ฉันเสาะหารอยยิ้มริมหน้าต่าง
ในทุกทุกเส้นทางอย่างรู้สึก
นกข้าในชีวิตความคิดนึก
ได้กู่ก้องร้องกึกลึกและไกล
เห็นฉันไหมในกรอบขอบหน้าต่าง
สองแขนกางต่างปีกกระพือไหว
มิต้องคอยต้อยตามคอยห้ามใจ
ต่อทุ่งเช้าเยาว์วัยบินไปแล้ว
*********
ไพล..ระรินน้ำตาอย่างดายเดียว
ด้วยล้ำลึกรู้สึกดิ่งด่ำดื่มด่ำกับทุกบทกวีและ
หนึ่งในหลายบท
*ในชื่อกลับไปเยี่ยมวัยเยาว์*
*กวีนิพนธ์รางวัลซีไรท์ประจำปี 2547*
แม่น้ำรำลึกของกวีแก้วอีกท่าน..
คุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์*
ที่ไพลขอคารวะด้วยศรัทธารักและชื่นชมค่ะ
และอยากฝาก
ให้ทุกท่านบนถนนสายฝันสายดอกไม้งาม
ได้ติดตาม
*กลับไปเยี่ยมวัยเยาว์*
ที่ช่างเยาว์ขวัญฝันอันเยี่ยมยอด
ยอดเยี่ยมในรักอันบริสุทธ์ใสในบ้านเกิด..
ให้ฝันได้พริ้งเพริศ
นำมารจนาและสร้างพลังใจ..
ท่ามกลางแสงเทียน
อันพร่างแสงอ่อนโยนเหนือหัวนอน
ในคืน
ที่ฟ้าเทาทึมเครึ้มเมฆฝนพยับ
จันทร์เสี้ยวดวงโศก..ยิ้มหวานเศร้า
มาทายทักโลกและไพล
ริมหน้าต่างเรือนจำปี
หน้าต่างใบไม้ลายดอกแก้ว
หน้าต่างที่เปิดใจดวงนี้ให้หวามไหวหวานงาม
ให้ค้นพบความนวลละมุนละไมจากร่มเรียวไม้
ริมชายคาแห่งรัก
วิมานดินกระท่อมดอกไม้หอมแห่งนี้
ให้คิดถึง..นกไพร
เจ้านกไพรในรวงรังไร่รัก!
คิดถึงอย่างซึ้งสุดใจแล้วค่ะ
คิดถึง..คิดถึง และคิดถึง
และ
จะกลับมาฝากคำคะนึงต่อในค่ำคืนนี้ค่ะ
**********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=219(เดือนต่ำดาวตก)
เจ้านกไพรในใจนวล
นวล..รอนกไพรกลับมาซุกปีกซบใจ นานเนิ่นเกินนับราวชั่วกัปป์กัลป์
ปี..เดือน..วัน ฝันพรายพลัดให้พรากจากมิพบเจอ
วันนี้!..นกไพรนกในใจนวล คืนคอนรอนแรมคืนรังเก่า..
หัวใจนวลพลันสุกใสดั่งดาวประกายพฤกษ์
นกไพรในใจนวลยืนอยู่นั่น!ตรงหน้านวลนี่แล้ว
ใต้ร่มไม้ใต้เงาดาวใต้แสงจันทร์
นวลก้าวพลันออกมาจากเงามืดริมชานเรือน
ท่ามกลางแสงจันทร์เพ็ญอาบพร่างร่างนวลละมุนหวาน..
เรียวตาสีสนิมเศร้า ร้าวรานจ้องจับนวลอย่างไม่เชื่อสายตา
ราวกับว่านวลคือนางไพรนางในฝันพลันโผล่มาจากสวรรค์สรวง..
นวลยิ้มรับหวานเศร้า แลเห็นพราวน้ำนัยน์ตาเขาวะวาววับ
เสียงเขาครางราวกับหวนไห้โหยหา ใครสักคน.
และใช่!..เลย
นวลรู้ดี..ไม่ว่ากี่ปีกี่ชาติ รอยพิสวาส
ที่เขาฝากไว้กับนวล มิมีวันจะลาเลือนลอยลับลาล่วง
ดั่งดวงดาวที่จะทอแสงสกาว..
ประดับฟากฟ้ายามราตรีชั่วชีวาชั่วชีวีมิเลือนลับดับดวง...
และ..
นวลก็ซึ้งดีว่าในทุกนาทีแห่งโลกหมุน..
หากเขาดายเดียวไร้ใครเหลียวแลปลอบประโลม
เขาก็จะยังมี..นวลคนนี้ ที่ยินดีจะเคียงข้างมิร้างราแรมไกล
ที่จะเป็นดั่งนางฟ้าดั่งดาวประดับใจส่องนำทางใจให้พ้นมืดมน.
.
นวล..ยังจำรอยรักรอยพิสวาส บาดใจเนิ่นนานปีกับราตรีที่ผ่านลาเลย
เป็นรอยรักรอยใจรอยอดีตที่คิดคราใดก็หวามไหวมิรู้เสื่อมสลายคลายมนต์..
คืนที่ฟ้าเบื้องบน..เป็นพยานใจ
พ่อแม่ญาติมิตรพี่น้องรู้เห็นเป็นใจยินดีปรีดาพากัน
หลั่งน้ำสังข์..สวมมงคลคู่สู่สองดวงใจ
ให้คล้องสายใจสายใยรักรวมเป็นหนึ่งเดียว..ชั่วกาลนานนิรันดร์
คืนที่ฟ้าปรานี..คืนที่ฟ้าแสนหวานแสนงาม
ให้นกไพรซุกซบกับอ้อมอกอ้อมใจอ้อมตักตราบชั่วกาล
ในคืนหวานในคืนเพ็ญเด่นดวงอย่างเช่นค่ำคืนนี้..
ณ..คืนนั้นที่เขาคนดีเป่าขลุ่ยเพลงเดือนเพ็ญ
พร่ำพลอดออดอ้อนพะเน้าพะนอรัก
เคล้าไปกับหวานซึ้งของโมกกอ
กับหอมละออของดงดอกราตรีริมชานเรือน
กับลำดวนดงส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจาย
กับพรายพระจันทร์หวานหยาดสายไล้โลมร่างงาม
กับเงาไม้ล้อลมระริกไหว
กับกอไผ่ซัดส่ายซอนเซาะซอกแซก
แหวกหวานหว่านมนต์ดนตรีธรรมชาติ
เสียงดุเหว่าแว่วมาพาให้หัวใจละมุน
เขาคนดี..ค่อยๆคลึงเคล้าเล้าโลมละมุนจูบแผ่วริมเรียวแก้มปากคอคิ้วคาง
อย่างแสนรักแสนหวงยอดดวงใจที่เขาคอยพร่ำเพ้อรำพัน
อยากกกกอดทั้งวันมีผันแปรร่างห่างเจ้านวลหอมหอมแม่จอมขวัญจอมใจ
ท่ามกลางดาวพราย ดวงดอกไม้เริ่มขยายกลีบละออ
รอน้ำค้างพร่างรับอุษาสาง
แสงจันทราทอทอดลอดผ่านม่านใบไม้ลายดอกแก้ว..
มุ้งม่านพลิ้วไหว แสงตะเกียงริบหรี่ส่องรำไร สู่ร่างนวลละออ งามล้ำ
เขาเฝ้าแต่พร่ำบรรเลงบทเพลงรัก
ตราบจนอุษาฟ้าสางจนอรุณเรื่อราง..สว่างหอมน้ำค้างไพรน้ำค้างรัก
เป็นความรัก..ความงดงาม หมดจดใจ จากเนื้อนวล นวลเนื้อ นวลใจ
นวลนางกลางไพร ที่พิลาสพิไลพิสุทธิ์ผุดผ่อง
ดั่งน้ำค้างไพรกลางกลีบเกสรดอกไม้แห่งรัก
ภักดีพลีพร้อมหลอมรวมร่างใจและจิตวิญญาณ
ที่ผ่านเพาะเพียรบ่มอดทนการรู้ค่ารักค่ารอ
อย่างหญิงดีมีค่า ให้สมกับคำล้ำค่าคำว่ากุลสตรีไทย
ที่เกิดมากับพงไพร ฟ้าใส ดาวสวย
ในชนบทงาม ที่รักแล้วต้องรู้รอวันหวานด้วยการรักษาร่างรักษารักภักดี
ให้ผ่านพิธีวิวาห์สืบทอดรักษาวัฒนธรรมไทยวัฒนธรรมรัก
จักธำรงงามดำรงอยู่รู้ค่ารักหนักแน่นมั่นคง
รู้สัตย์ซื่อถือตรงในชายเดียวหญิงเดียว...
*******
และไม่นานกับวันปีผันผ่านกับกาลเวลาแห่งคืนหวานหอม
ใครจะรู้..
ชะตา ฟ้า ดิน นรกฤาสวรรค์พลันดลบันดาล..
หัวใจลูกผู้ชายคนดีคนแกร่งคนเก่งคนกล้าเกินกว่าใคร
จำต้องเลือกตัดสินใจลาจากด้วยเงื่อนไข งานดีเงินงาม
สู่เมืองแสงสีศิวิไลซ์ สู่ความซับซ้อนใจสับสนอลวนอลเวงแห่งเมืองลวง
เมืองแห่งแสงสี ที่ต้องสู้ที่มีทั้งคนดีคนชั่ว
คละเคล้าเกลือกกลั้วกันทั่วไปทุกสังคมเมืองใหญ่..
แสงสีที่เขาเคยเกลียดชัง..
นกไพรจำจากรวงรักแห่งรัก รอนแรม
ไร้ร้าง อ้างว้างเปลี่ยวเหงาดายเดียว
ทิ้งนวล..ราวข้าวรอเคียวเกี่ยวเก็บกับแม่พ่อที่ท้องทุ่งรวงทอง
นองน้ำตารอรอและรอ...
เพื่อรัก เพื่อความหวัง เพื่อพลังใจ..จะมีเงินกลับมาพลิกฟื้นผืนดิน
หมดหนี้สิ้นหมดภาระผูกพัน..หน้าที่ทางใจ ...
เยี่ยงคำว่าลูกผู้ชายหัวใจไพรไม่ทิ้งชาติเชื้อทรนง..
ที่พร้อมพลียินดีเสียสละให้ผู้เป็นที่รักดั่งดวงใจ
ที่ฝากความรักความฝันความหวังไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว!
นกไพร..ใจอ่อนล้า ร่างกายผ่ายผอมตรอมตรมใจ
ในกรุงกรง...หลงทำงานให้ลืมวันลืมคืนเหมือนอยากหลับมิรู้ตื่น
ฝืนเผชิญฝันร้ายฝันเศร้าดายเดียวเปลี่ยวเหงาลำพัง..
********
กระทั่งวันนี้...
วันที่นกไพร ตัดสินใจคืนคอน
จบละครโลกบทโศกสะเทือนใจ
ฝากสอนใจฝากตำนานคนสู้มิรู้ถอย
คอยเวลาด้วยความอดทนเพียรพยายาม..
รอเวลากลับสู่เรือนชานรวงรังแห่งรัก
สู่อ้อมตักอ้อมใจอ้อมกอดยอดดวงใจ
แม่พ่อและนวลละออนางใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวี..
นกไพร..ดำรงร่างทำหน้าที่แห่งหัวใจลูกผู้ชายได้อย่าสมภาคภูมิ
บนเวทีแห่งเกียรติยศ หวังฝากผลงานงามปรากฏเกียรติเกริกไกร
รับรางวัลใหญ่บนเวทีระดับชาติ จากพรสวรรค์บวกพรแสวง
สู่เส้นทางงามเส้นทางสายฝันด้วยความขยันอดทนเพาะเพียรบ่ม
ด้วยเลือดรักนักสู้เป็นดั่งตำนานใจตำนานไพรไปชั่วกาล..
และ
นกไพรได้ปิดฉากชีวิตอันยิ่งใหญ่อย่างงดงามตระการตาตระการใจ
ฝากชื่อลือค่าไว้กับผืนดิน ฝากร้อยรจนาบทถวิลเป็นธรรมทาน
หว่านโปรยสู่ดวงใจผองชนผู้ทุกข์ทนยากผู้สิ้นไร้หวัง
ให้หาญกล้าทายท้าเผชิญโลก
อย่างผู้รู้ตน ผู้รู้รักรู้ธรรมนำมาเกื้อกมลเกื้อโลกละมุน..
ลดเร่าร้อนรุนแรงทุกแห่งหนในโลกหล้า..
ดั่งสายธาราดับแล้งทุกแห่งหนทุกผืนดินพร่างพรม
ห่มด้วยความรักน้ำใจอภัยเมตตากันและกัน
ฉันท์น้องพี่เพื่อนร่วมโลกแบ่งโศกปันสุขรวมโลกนี้เป็นหนึ่งเดียว
*****
นกไพร..เจ้านกไพร..
น้ำตาปิติ..จากใจดวงงาม กำลังพร่างสายรินไหล
หอมละเมียดหอมละไมหลอมละลายไปกับรอยจูบดื่มด่ำกับเรียวแก้มนวล!
********************
31 สิงหาคม 2547 16:11 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=78
(หนาวตัก)
********
ทะเล..กลับมา*กระท่อมทะเลขวัญ*ในวันนี้
กลับมานอนดูทะเลทิพย์ทะเลทองทะเลไทย
ทะเลแห่งดวงใจแห่งชีวิต..จิตวิญญาณ
ที่.....
หลอมละลายนวลเนื้อใจ
ให้หอมไพรหอมพร่างหอมหวาน
ใช่!..เค็มขมปี๋ดั่งเช่นทะเล..ทะเล
ฉะนั้น
ทะเล..
จึงมีชื่องามเช่นฉะนี้
ให้คนมากมีมากมายโอ้ละเห่ถาม
และหันมามองยามที่มีใครเรียกชื่อ..
ที่เขาคิดว่าแสนแปลก
แต่..
สำหรับทะเล..
จะชื่อนี้จะชื่อนั้นใช่จะสำคัญไฉน..
จะชื่อนี้ชื่อไหน..
ความภูมิใจในตัวเอง
ก็คงก่อเกิดจากคุณงามความดี
แค่มีชื่อดีหากทำชีวีแสนแย่
ก็สักแต่เกิดมาเป็นคน..คน..คน
ก็แค่นั้นก็แค่นี้
ไฉนฉะนี้ เราทุกคนดีทุกดวงใจ
อย่าได้ไปหลงยึดมั่นถือมั่นเลยนะ
เพราะ
ทุกชีวัน..จำต้องมีชื่อ
ก็คือแค่นำมาใช้ในทางโลกย์
ให้มาพบโศกสุขสับสน
มิให้อลวลอลเวง
บรรเลงกันตามรอยวงกรรม
จนกว่าจะถึงวัน...
*ตะวันใจ*ลาลับดับดวงไปชั่วนิจนิรันดร์
เพียงนั้นเพียงนี้
และแค่ใคร่ครวญเพียรค้นหาค่าขุมทรัพย์
ที่ระยับระยิบอยู่ภายในตน
เพราะตนเท่านั้นที่พึ่งแห่งตน..นะคนดี
ทะเล..แค่มาพลีค่าคำฝากอุบาย
ให้ทุกคนใช้สติมีสมาธิ
ที่จะเพียรพาพบปัญญาอันสว่างวาบวะวับวาว
ให้พราวดวงดอกว่างนะกลางใจ
เพื่อนำทางจิตนำทางใจไปในภพหน้าชาติหน้าท่ามีนะ
นาทีนี้ดนตรีธรรมชาติวาดเวิ้งฝัน
พาไปสู่สวรรค์หล้า ให้ธรรมชาติธรรมดา
ที่เราผู้ซึ่งก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาเช่นเฉกกัน
ที่เราพานพบเห็นอยู่ทุกวัน
ได้มากล่อมขวัญพร่าง
ให้ได้พบแก้วกระจ่างนะกลางใจ
ให้มาสอนใจให้รู้รักรู้จักเงียบงาม
ให้ใช้ดวงตาตามค้นหา..ผสมผสานร่างจินตนาการเข้าด้วยกัน
วันนี้
ทะเล..
จึงพาชีวีชีวิตที่แสนหวานตระการงามมาค้นหา
พบฟ้าสวยสดสว่างไสว
ให้ทุกดวงใจพิสุทธิ์งามตามมาสัมผัสความงามงดเรียบง่าย
ภายใต้ชายคา*กระท่อมทะเลขวัญ*
มาร่ายมนต์ฝันบทกวี..
มาแทนที่..นะที่หนึ่งที่ทะเลหวังไปเยือน
*ที่ซึ่งขุนเขาทะลุเมฆ
บางวันฝนเสกรักโปรยหวาน
บางวันดอกไม้ได้เบ่งบาน
และบางวันลมสะท้านก็ทระนง*
ที่ชึ่งทะเลอยากจะเหชีวิตไปสัมผัสฝัน
บันดาลใจกับบรรดากวี*คลื่นใหม่*
ในแวดวงวรรณกรรม
ที่ระรินร่ำฝากผลงานมาจากยอดภู*คีรีวง*
(หนึ่งในยอดเขาสูงตระหง่านของเทือกเขาหลวง)
สูงเสียดฟ้า
ที่ด้านล่างคือต้นไม้
ห่มคลุมไปตามขุนเขาสลับซับซ้อน
จากในหุบเขาริมแม่น้ำที่ผูกเปลนอนเฝ้าจ้องมอง
ดูดวงอาทิตย์หย่อนดวงลงเบื้องหลังภูเขาหลังทุ่งนาเวิ้งว้าง*
ที่นะบัดนี้
ผลงานงามได้เข้ารอบสุดท้ายกวีนิพนธ์ซีไรท์ปี2547แล้ว
ฝากเกียรติยศให้ปรากฎแก่ผืนดิน
และแก่กวี..แก้ว คุณกานติ ณ ศรัทธา
ให้สมกับที่ได้เกิดมารจนาสิ่งที่รักด้วยความเพียร
ที่ต้องใช้ทั้งพรสวรรค์และพรแสวง
แข่งกับความตั้งใจความขยันของตัวเอง
ถึงจะฝากผลงานอันงาม*นิยามกวีนิพนธ์*
มาประดับโลกประดับใจได้ ใช่เพียงแค่ใฝ่แค่ฝันฝันฝัน..
และ
นะที่ซึ่ง
คุณกานติ ณ ศรัทธากวีผู้กล้า
ได้ฝากคำรำพึงราวฝันไว้
หากทว่าคือ*ธรรมชาติขวัญ*อันจริงแท้
ราวสวรรค์ลอยเลื่อน
และดวงใจที่ประดุจดั่งนกไพรพร้อมจะเหินบิน
ลอยละลิ่วปลิวตามงามไปแล้วนะบัดนี้.
*ที่ซึ่งขุนเขาทะลุเมฆ*
ที่ซึ่งขุนเขาทะลุเมฆ
ฟ้าวิเวกวาววามวะวิบไหว
หมอกกระจายลอยล่องละอองไอ
นี่คือลมหายใจแห่งชีวิต
ขุนเขาสถาปนาอาณาจักร
ขอบเขตแห่งรักอันศักดิสิทธิ์
มีปราการต้นไม้ไว้ป้องพิษ
มีสายน้ำเย็นสนิทนิจนิรันดร์
เทวดาสร้างไว้มิไดเลย
นอกจากโลกจะเผยภาพในฝัน
คือสงบสะอาดมานานครัน
และแบ่งปันไปทั่วทั้งจักรวาล
ที่ซึ่งขุนเขาทะลุเมฆ
บางวันฝนเสกรักโปรยหว่าน
บางวันดอกไม้ได้เบ่งบาน
และบางวันลมสะท้านก็ทระนง
สูญไปแล้วใช่ไหมไข้เพ้อคลั่ง
เมื่อท่านมาหยุดนั่งเหนือลุ่มหลง
เหนือบุญบาปทั้งปวงที่ล่วงลง
นี่คือสิ่งสูงส่ง ณ ฟ้าพราว
ที่ซื่งขุนเขาทะลุเมฆ
เหมือนใจเสกสร้างฟ้าฝ่าเหน็บหนาว
นั่นแสงสาดหมอกวาบอยุ่วับวาว
ถามคนเอ๋ยปวดร้าวทำไมกัน*
*******
จำต้อง
กลับมาอีกทีนะคะ
ที่*กระท่อมทะเลขวัญ*
เมื่อไปไหนยังไม่ได้ตามใจฝันอิสรา.
กลับมายัง*กระท่อมทับ*
ที่มีมะพร้าวลูกดกรอบคอต้น
ที่กำลังระบัดใบไหวก้านไสวพร่างคลอลมทะเล
มีดงตาลโตนดหวานเคียงใกล้รายรอบ
มีกระบอกไม้ไผ่ปล้องใหญ่แขวนไว้ใส่น้ำตาลสด
แขวนไว้ใต้ต้น
รอคนขยันมาปีนเฉาะลูกตาล
นำน้ำตาลหวานๆมาใส่
และ
ให้ใครใครที่หัวใจขาดน้ำตาล
ทดลองชิมรสสดสดหวานหวานจากปากกระบอกตาล
ที่ลิ้นละมุนรอรับรสระรินมิสิ้นกลิ่นเมา..
และทะเลขออาจเอื้อมนำเอาบทกวี
ที่เคยตอบโต้ไว้
มาฝากผ่านทุกสายตาสายใจอีกคราครั้ง
เพื่อให้ระลึกถึงงานงาม
เพียงสดับคำร่ายคล้ายปลุกชีพ
เห็นใบตาลจีบลับกับขอบฟ้า
เมื่อหวันขึ้นฉายแสงแรงขึ้นมา
ให้หนุ่มนาปักต์ใต้ไต่ขึ้นตาล
น้ำตาลหวานปานหนึ่งน้ำผึ้งรวง
เมื่อพี่หลวงแบกบอก..คล้ายรอกผ่าน
ให้ประหวัดถึงกระดึงซึ่งแนบนาน
อยู่ท้ายบ้านนอกท่อง..มองเห็นลิบ
ตาลเดียวดายยืนเดี่ยว..เกี่ยวลมว่าว
เห้อ..น้องสาวมารับน้ำตาลจิบ
หวานตาลโหนดโจทย์นาน..หวานระยิบ
ก่อนเคี่ยมดิบบ่มใส่..ได้ตาลเมา
เสียงไก่เถือนขันเทือนทั้งหมู่บ้าน
ยางทะยานบินร่อนค้อนเหลี่ยมเขา
หวันจะตกเดือนจะขึ้น...ส่องถึงเรา
หนังโนราห์ตลุงเงา..จะบรรเลง
ช่วงเดือนเส หอมซัง--ครั้งนาข้าว
ทั้งลูกม่าวเด็กแย่งแข่งข่มเหง
ต้นยางเหลืองผลัดใบ...ให้วังเวง
พี่หลวงเห้อ...หนาวร้าวเล็งอยู่เมืองลวง
จิตวิญญาณเกลื่อนกระจาย..ในสายลม
เลือดเข้มขม..ปนน้ำครำ..ซ้ำเมืองหลวง
หนุ่มปักต์ใต้ฝากหัวใจไปตามดวง
รอลมว่าวพัดตกร่วง...ตรงดินเดิม
***********
สาวบ้านนาสาวบ้านทุ่ง..
เป็นสาวนาหลงหนังลุงนุ่งปาเต๊ะดอก
ชอบเพลงบอกเพลงโนราห์แม่ค่ะเหอ
ชอบพี่หลวงควงไปแลหลงละเมอ
หลอกให้เหรอเพ้อทุกวันมั้นน้อยใจ..
คงไม่หรอยเหมือนสาวกรุงนุ่งสั้นสั้น
คงไม่มันส์ผิวไม่ขาวดำไม่ไหว
แหลงไม่เพราะอ้อนไม่เป็นแหลงตรงใจ
แล้วมั้นไซไม่ได้แรงกับแหลงลวง
น้ำตาลปากบอกหลอกให้จิบใสพิษรัก
มั้นหวานนักไม่นานก็หายหวง
พี่หลวงเหอเจอสาวกรุงยุ่งลืมรวง
มัวแตหวงแต่หันหวันลาลับ
ลืมลูกม่าวแกงเคยเคยว่าหอม
ไปถุกหลอมสาวหมวยสวยระยับ
ลืมน้ำชุบพุงปลาในสำรับ
ลืมหนำนานอนนับเสียงดึงวัว
ทั้งเดือนสามเดือนเสเซไปไหน
คอยไม่ไหวพี่เหอเผลอมั่วซั่ว
สาวนาหว่านผ่านเดือนหกฝนระรัว
หยามหวันหลัวใจก็แล้งหมดแรงเลย..
*********
แด่ชมรมวรรณกรรมลำน้ำตาปี
ด้วยจิตวิญญาณและเนื้อใจ
โอ้ตาปีไหลหลากเคยจากไป
ทิ้งกลิ่นไอแห่งหลังให้คลั่งหา
เมื่อจากไปใจหนึ่งคะนึงมา
คิดกี่คราคิดถึงซึ่ง...ลำนำ
ฝากดวงใจให้จมลงใต้น้ำ
เมื่อทุกยามหนาวดิ่งยิ่งระส่ำ
เพียงใด้ยลได้ยินสิ้นถ้อยคำ
ราวจะคลั่งจะใคล้ในเนื้อความ
หวังระวีคลี่งามตามเดิมดิน
หวังทิ้งสิ้นเลือดใต้ในสยาม
จะหลั่งรินไหลถมบ่มนิยาม
สงบงาม..ดั่งตาปี..ที่ข้ารัก
เถิดสายน้ำยามนี้มีเพียงเรา
สะท้อนเงากลิ่นใต้ให้ประจักษ์
เถิดตะลุงเล่นเพลงบรรเลงรัก
ให้คึกคักโถมถั่ง..ทุกวังเวียง
ขอเทริดส่งโนราห์ข้ายกทูน
มาช่วยหนุนเลือดใต้ให้ส่งเสียง
ให้ว่ากลอนฟ้อนรำ..จำสำเนียง
แว่วไกลเพี้ยงโพ้นฟ้า..ผาหลายก
เถิดตาปี..พัดพา น้ำตาหนึ่ง
ไปรวมบึงรวมหนอง..ทั้งคลองบก
เมื่อรวมสายหมายมั่น..พลันสะทก
เลือดจะซกฉาบล้ำ..ฉ่ำแผ่นดิน
**********
และนอกจากนั้นใกล้กระท่อมฝัน
ยังมีไม้ไทย โมกสะพรั่ง ที่ยังทนไอเค็มได้
พร่างพรายนวล..
ดวงดอกกระจิ๊ดริ๊ดมาทายทัก ทะเลจริงทะเลใจ..
ทะเล..พยายามปลูกไม้ไทย มากมาย
และที่งามอย่างไร้ที่ติ
คือลีลาวดีหลากสีสวยเศร้า
ที่เฝ้าส่งกลิ่นระรวยในยามเย็น
ที่ดูราวกับจะเป็นพันธุ์ไม้
ที่ผู้คนทั้งรักทั้งชัง
ให้ทั้งหวานหวังและชมชื่น
แม้นจะน่าขื่นขมระทมใจในบางครั้ง
สำหรับบางคนที่ยังเชื่อถือโชคลาง
ที่บัดนี้กระทั่งคฤหาสน์มหาเศรษฐี
ก็ยินดีปลูกประดับบ้านประดับใจ
มิไหวหวั่นเมื่อนามลั่นทมนั้นได้เปลี่ยนไป๋
ผู้คนพากันหลงในมนต์สีสวยหอมเศร้าน่าเสน่หา
เหมือนผกาใจ
เปรียบหญิงงามใจ
ผู้มากความระทม
หากยังมีมนตราพาพิสวาทมิรู้คลาย
ชวนให้ชายเชยชมชิดมิเว้นวาง..
ทะเล..
พยายามสร้างกระท่อมในสวนป่า
มีโอ่งงามตามประดับไว้นะกลางสวน
ไว้ใช้ประโยชน์มากมี
เป็นที่ลอยดอกไม้งามยามมีงาน
ไว้ล้างเท้าล้างทรายก่อนกรายร่างเข้ากระท่อมทับ
เป็นโอ่งดินเผาแสนรักที่ราคาย่อมเยา
ให้เอาเพียงงามง่ายใกล้ชิดธรรมชาติดินเดิม
มาเติมต่อรัก
ที่แสนจะกลัวพลัดตกแตกหัก
สู้อุตส่าห์หอบหิ้วมาจากเกาะเกร็ดตระการ
ที่เป็นงามวิถีภูมิปัญญาไทยใช้ใจดวงรักดวงาม
ค่อยๆปั้นขึ้นมาและฝากลวดลายไว้จากพลังสมองสองมือ
ให้โลกลือให้ไทยเทศตามดู
ต้องอาศัยความรู้หลายองค์ประกอบ
ราวปั้นดินให้เป็นดาวพราวพร่างประดับฟ้าไทย
ประดับใจสอนใจให้รักในศิลปไทยให้รักษาสืบไว้
ให้กลายเป็นตำนานขวัญอันจรุงจำรัสใจ
ฝากไว้ให้ลูกหลานไทยได้ประเทืองประทับใจ
ดำเนินรอยตามไป
เอาเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษไทย
ในทุกค่างานผ่านจิตวิญญาณเลือดเนื้อละมุนละม่อม
ละเอียดละเมียดละไม
ที่แม้นต่างประเทศยังทึ่งในฝีมือต้องยอมรับ
ไม่ว่าผลงานจักสานหรืองาน
จากทุกโครงการศิลปาชีพ..
ทะเล
ยังสร้างซุ้มไม้ไผ่ เป็นทางเดิน
ทอดริมรั้วให้ชมสวนงาม
มีดอกบัวชูช่อละออหวานเหนือบึง
ที่ขุดไว้รายรอบกระท่อมน้อย
มีปลามากมายกระโดดผึง
ล้อดวงตะวันอันอ่อนอุ่นทั้งเช้าเย็น
มีรั้วไม้ไผ่ลำทำไว้ให้มะลิวัลย์พันพร่าง
ราวเจ้าของจะบันดาลใจตามบทเพลง
ที่ผู้ประพันธ์ช่างมีนวลเนื้อใจแสนงาม
จนสามารถสร้างเนื้อเพลงได้งามพอกัน
ที่ทะเลนั้นแสนประทับจับใจ
ส่วนหนึ่งของบทเพลงสาวชาวสวน
*มองทุ่งมะลิวัลย์
เถาทอดเลื้อยพัน
รอบรั้วกระถิน
กลิ่นหอม ไกล
มะลิยังพรอด
กอดกระถินด้วยเหตุใด
แมลงแกล้งจูบดอกไม้
เหมือนมีใครแอบ จูบแก้มฉัน
โอ้ ดึก ดื่นคืนนี้
ในสวนยามราตรี
แจ่มจ้าด้วยสี แสงจันทร์
ยาม ฉันมีชายคู่
คิดดูวาบหวิวใจหวั่น
อยากให้เถา มะลิวัลย์
เป็นอ้อมแขนของ เธอ*
**********
ในบางราตรี
หากวสันต์ลีลาทิ้งช่วงนานไป
ไม่หวนคืนกลับมา
และหากทว่าดวงใจดวงนี้
ที่แสนรักสายฝนสายฝันสวรรค์ละไม
ก็จะเปิดน้ำตกที่ซ่อนไว้
ให้ระรินหยดติ๋งๆจากชายคาจาก
ฝากความรู้สึกราวฝนโปรย
ให้โชยฉ่ำระร่ำระรินใจ
ให้ไหวหวาม
ให้รินสาย ได้ความรู้สึกราวฝนจริง
ที่จะทำให้ดวงใจนิ่งงาม
หวานเศร้าได้ดายเดียวล้ำลึกดำดิ่ง
ทิ้งทุกสิ่งภายนอกไกลนอกใจ
สร้างสงบงามใจ..ไปตามฝันวิเวก..เสกธรรมชาติงาม
ในท่ามกลางแสงเทียนอันอบอุ่นอันหอมละมุนพร่าง
ด้วยกลิ่นสล้างสดจากสมุนไพรและ
กับรสชาติผลไม้นานามาปรุงปนฝัน
ให้พลันบรรเจิดใจ
และ
กับเสียงเพลงบรรเลง
*สายน้ำเนรัญชรา*ที่มาคลอใจ
กับราตรีที่ฟ้าพร่างใส
ประดับไปด้วยดาวดวงดาริกานับหมื่นพัน
ที่กระพริบพราวพร่างแข่งกันกับ
หยาดสายน้ำผึ้งพระจันทร์
จากจันทร์ดวงแอร่มแจ่มฟ้าสีทองผ่องผุด
กับหยาดพิสุทธิ์ใสจาก*ครรลองน้ำค้าง*
พร่างพรมมาจากสวรรค์สรวง
จากหอมห้วงดวงใจปวงนางฟ้าพาพลีระริน
หวังดับสิ้นร้อนมาออดอ้อนโลก
มาฝากหวานมาฝากราน
ยามถูกแสงแดดกระทบกระทั่ง
ให้พรั่งพรูมลายสลายลาหายวับ
ราวกับจะสอนการดับมิเหลือ
ให้เผื่อใจให้เข้าใจในธรรมชาติอันหมุนวน
เฉกเช่นชีวิตคน
ที่มีการเวียนวนว่ายว่องท่องอยู่ในโลกโศกสุขนี้
ที่ก็จะช้ำๆ..ทำสิ่งอันเหมือนๆกันไปตามๆกันไป
ช่างหามนุษย์ผู้พาใจพาจิตเหนือโลกย์ยากยิ่งขึ้นทุกทีๆ
ครรลองน้ำค้างตกนะกลางใจราวสอนพิสุทธิ์ใส
ให้น้อมนำใจด้วยพระพุทธผู้บริสุทธิคุณ
น้ำค้างกลางใบบัว
น้ำค้างกลางพงไพรพฤกษ์
และทุกครรลองน้ำค้าง
ราวกับจะปลอบปลุกให้ระลึกรู้ความจริงของชีวิต
หยุดดูรู้ให้รักเมตตาพร่างพรมห่มหัวใจผู้ยากผองชน
ดั่งละออละอองน้ำค้างในท่ามกลางเมืองอันแล้งร้อน
และ
กับยามย่ำค่ำที่ตะวันใกล้ลาลับฟ้า
ทะเล...
กำลังนั่งริมฝั่งฝันสีทอง
กับใจกายนิ่งๆ
กับพรายพระจันทร์หวาน..
จนอดคิดถึงบทกวีฝัน
*พรายแสงจันทร์*ของคุณ กานติ ณ ศรัทธา..อีกคราครั้งไม่ได้
พรายแสงจันทร์
พรายแสงจันทร์ส่องฝันอันงามรื่น
กระทบพราวพริบคลื่นตื่นพลิ้วไหว
เต้นระยิบระยับงามจับใจ
ราวฝูงปลาฝันไกลไปจูบจันทร์
พรายแสงจันทร์ส่องจ้าแม้ฟ้าหม่น
ท่วงทำนองของคนอาบฝนฝัน
เย็นสนิทแม้ยากไร้ในคืนวัน
ยิ้มชั่วนิจนิรันดร์แม้ฝันร้าย
พรายแสงจันทร์กลางทำนองของเพลงขลุ่ย
วิเวกหวานผ่านปุยเมฆปุยฝ้าย
ฟังโดยใจสะอาดของหาดทราย
ฟังโดยคลื่นพลิ้วพรายใกล้ลำเรือ
พรายแสงจันทร์จับฟ้าเวลานี้
ณ ท่ามกลางมหานทีที่ไหลเอื้อ
โอบสองฝั่งฝากใจไว้จุนเจือ
พรายแสงจันทร์แผ่เผื่อเอื้อผิวน้ำ
ค่ำที่โลกหลับใหลใต้ผืนฟ้า
พรายแสงจันทร์ส่องจ้ามาเริงร่ำ
แม้ยากปลุกทุกใจในมืดดำ
แต่พลิ้วคลื่นพรายพรำก็ร่ำเพลง*
******
ทะเล..ได้แต่ฝากจูบพรมแผ่วผิวให้โปรยปลิว
ไปจูบละอองทองบนผืนน้ำระยับยิบ
พร้อมฝากคำกระซิบพร่ำลำนำรัก
ด้วยบทเพลง
*หนาวตัก**เติมใจให้กัน*รักข้ามขอบฟ้า*ถึงทุกดวงใจ
ให้กมลละไมได้มี*กระท่อมฟากฟ้าทะเลขวัญ*
อันแสนสุขสงบงามได้ฝากใจทุกโมงยามแห่งชีวิต
และ
กับ
ค่ำคืนนี้
ขอให้ทุกดวงใจ
หลับตาฝันฝันฝันหวานหวานหวาน
ส่งใจผ่านฟ้ากว้าง
ขุนเขาทะเลเมฆ
ผ่านวิเวกงามล้ำ
กับสายแสงจันทร์อันสวยงาม
ไปถึงผู้อันเป็นที่รัก...
ยอดดวงใจภักดิ์พลี
ที่หากทว่าคืนนี้สองดวงใจ
จำใจจำพรากจากไกลกัน
ขอให้แหงนเงยหน้าขึ้น
ฝากฝันฝากใจฝากถวิลหาห่วงใย
ใช้ใจถึงใจ...
ใจเดิมพันใจ
ใจหลอมใจ
และ
ใจดวงดีพลีรักมั่นคงหนักแน่น
จักกลายเป็นดั่งใจดวงเดียวกัน
ที่
ไม่มีวัน.....
ไม่มีใคร.....
และ
ไม่มีสิ่งใด
จะมาขวางกั้นเอาไว้ได้
ราวไร้สิ้นซึ่งกาลเวลา
ทุกสรรพสิ่ง
จะยอมพ่ายให้กับผู้ที่มีรักแท้..ค่ะ
*********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=78
หนาวตัก
นันทิดา แก้วบัวสาย : : Key Eb
ทะเล งาม ยามดึกดื่น
ฮึมเหมือนคลื่น หลับ
แสงเดือน จับ เจิดนภา เวหา หาว
นั่งเรือ น้อย เคลื่อนคล้อย ใต้แสงดาว
พร่าง น้ำพราว ผ่องเพชรเกล็ด นที
ดู ซิดู ใคร สอน ให้นอนหนุน ตัก
ซุก ซนนัก ไม่ กลัวน้อง จะหมองศรี
หนาว ตัก หนัก จิต ดรร-ชนี
หาก นาวี อรุโณทัย ไม่กลับคืน
ดู ซิดู ใคร สอน ให้นอนหนุน ตัก
ซุก ซนนัก ไม่ กลัวน้อง จะหมองศรี
หนาว ตัก หนัก จิต ดรร-ชนี
หาก นาวี อรุโณทัย ไม่กลับคืน...
30 สิงหาคม 2547 00:02 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4370
(เก็บตะวัน)
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2247
(ดอกไม้ให้คุณ)
***********
พุด...
ขอแสดงความยินดีกับผลงานสุดยอดดวงใจ
ในร่มรักเรือนไทยเรือนทอง
ของพี่นกตะวันในค่ำคืนนี้
ที่
กำลังจะครบหนึ่งพันถ้อยร้อยรจนาแล้วค่ะ
ทุกดวงใจมาแสดงคารวะสปิริต
นักสู้ผู้พิชิต
*พี่นกตะวัน*
ผู้กล้าทายท้าฝัน..เก็บตะวัน..เก็บดอกไม้
มาร่ายรสเป็นสร้อยสดอักษราฝากโลกฝัน
มาร่วมกันแต่งบทกวีสดุดีพี่เค้านะคะ
เพียง..วอนอ้อน
ทุกดวงใจมอบดวงดอกไม้จากดวงใจ
คืนกลับพี่คนละดอกดวง
กราบตักพี่คนดีผู้พลีรักสาระ
ให้บทเรียนรักบทเรียนโลกให้เราเรียนรู้
คู่ค่าคำคนบนผืนดิน
ที่มิสิ้นพยายาม
พุด
คนแรกนะคะน้องๆ
ขอฝากดวงดอกพุดพิสุทธิ์พราว
แทนน้ำใจอันใสฉ่ำเย็น
ให้พี่นกเป็นดั่ง..นกที่พาเหินบินไปเก็บตะวัน
เก็บฝันและ
บางที
สำหรับบางคน
อาจจะเป็นแรงบันดาลใจ
ได้เอื้อมไปคว้าไขว่ดวงดาวมาสู่อุ้งมือในเร็ววัน
เพียงอย่าสิ้นฝันสิ้นหวังสิ้นสร้อยศรัทธาใจ
และ
ตามสบายค่ะ
ใครจะฝากให้น้ำใจด้วยดวงดอกอะไร
ในเมื่อเรือนไทยเรือนทองเรามากมีมากดวงดอกไม้
ร้อยบุปผานานาพรรณหอมหวาน..อยู่แล้วนี่นานะคะ
*********
ร้อยดวงดอกไม้แทนดวงใจขวัญในค่ำนี้
มอบคนดีพี่นกตะวันฝันเคียงฟ้า
ลูกผู้ชายหัวใจไพรราวนกอิสรา
พุดคารวะคนดีพี่นก..ยกย่องใจ
นานเนาในใจใครเล่ารู้
ศรัทธาคู่ร่มรักมิพรากไหน
เป็นกวีศรีศักดิ์ภักดิพลีใจ
เป็นนกไพรเคียงฝันมอบวันดี
เป็นฮีโร่ผู้กล้าทายท้าฝัน
เป็นตะวันส่องนำทางกลางใจนี้
เป็นพลังรักรจนาศรัทธาพลี
เป้นความดีที่คงมั่นปันพรเพียร
เป็นตะวันมั่นคงตรงต่อฟ้า
เป็นนกกล้าเหินบินฉวัดเฉวียน
เป็นนกน้อยสอนใจมิวนเวียน
เป็นความเพียรพลีถ้อยร้อยรจนารัก
......มีต่อค่ะภาครอหายง่วงงุนงง
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2247
ดอกไม้ให้คุณ
แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ : : Key Eb
ขอมอบ ดอกไม้ ในสวน
นี้เพื่อมวล ประชา
จะอยู่ แห่งไหน จะใกล้ จะไกล จนสุดขอบฟ้า
ขอมอบ ความหวัง ดั่งดอกไม้ ผลิ
สด ไสว งาม ตา
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ มา
ดวงตะวัน ทอ แสง
มิถอยแรง อัปรา
เป็น เปลวไฟที่ไหม้ นาน
เป็น สายธารที่ชุ่ม ป่า เป็น แผ่นฟ้า ทาน ทน
ดวงตะวัน ทอแสง
มิถอย แรง อัปรา
เป็น เปลวไฟที่ไหม้ นาน
เป็น สายธารที่ชุ่ม ป่า เป็น แผ่นฟ้า ทาน ทน
ขอมอบ ดอกไม้ ในสวน
ให้หอมอบอวล สู่ ชน
จงสบ สิ่ง หวัง ให้สม ตั้งใจ
ให้คลาย หมอง หม่น
ก้าว ต่อไป ตราบชีวิต สุด
ดุจ กระแส ชล
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ คุณ
เป็นกำลังใจ ให้ เธอ
เป็นสิ่งเสนอ ให้ คุณ...
***********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4370
เก็บตะวัน [ของแท้]
อิทธิ พลางกูร : : Key C
เก็บตะวัน
ที่เคย ส่องฟ้า
เก็บเอามา เก็บไว้ ในใจ
เก็บพลัง เก็บแรงแห่งแสง
ยิ่งใหญ่
รวมกันไว้
ให้เป็น หนึ่งเดียว
เก็บเอากาล เวลา ผ่านเลย
สิ่งที่เคย ผิดหวัง ช่างมัน
หนึ่งตัวตน หนึ่งคนชีวิต
แสนสั้น
เจ็บแค่นั้น ก็คง ไม่ตาย
ธรรมดา เวลาฟ้าครึ้ม
เมฆหม่น
พายุฝน อยู่บน ฟากฟ้า
คงไม่นาน ตะวันสาดแสง
แรง กล้า
ส่องให้ฟ้า งด งาม
หากตะวัน ยังเคียง คู่ฟ้า
จะมัวมา สิ้นหวัง ทำไม
เมื่อยังมี พรุ่งนี้ให้เดิน
เริ่ม ใหม่
มั่นคงไว้ ดังเช่น ตะวัน
ธรรมดา เวลาฟ้าครึ้ม
เมฆหม่น
พายุฝน อยู่บน ฟากฟ้า
คงไม่นาน ตะวันสาดแสง
แรง กล้า
ส่องให้ฟ้า งด งาม
หากตะวัน ยังเคียง คู่ฟ้า
จะมัวมา สิ้นหวัง ทำไม
เมื่อยังมี พรุ่งนี้ให้เดิน
เริ่ม ใหม่
มั่นคงไว้ ดังเช่น ตะวัน...
***********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=4689
ร้อยบุปผา
สุนารี ราชสีมา : : Key F#m
ร้อยบุปผา บานพร้อมพรัก
ร้อยสำนัก ประชันแข่งใจ
มวล ดอก ไม้ พร่างพรายมา พ้อง พาน
ร้อยดอกงาม เด่นตระการ
แย้มบานในดวง ใจ
ชู่ ช่อ ธรรม สง่า งาม ในนาม ศิลปิน
มาสร้าง งาน ศิลป์ ชุบชีวิน มนุษย์ชาติ
สะอาดสดสวย ด้วยบทเพลง แห่งสวรรค์
ให้มาลัย ฝากรัก มอบใจภักดิ์ ร่วมกัน
จุดไฟ ความฝัน พร่างพลัน ประกาย เพลิง
มาเถิด พี่น้อง ร่วม ร้อง เพลงเพื่อ
กลั่นจาก เลือด เนื้อ หยาดเหงื่อ เร่าร้อน
เราจะเร่ง แนวรบ ไม่สยบ อ้อนวอน
เริงระบำ รำฟ้อน ร้อยกรอง กวี กานต์
มาร่วม ใจรัก พร้อม พรักพลีชีวาตม์
ผงาด อาจ หาญ สร้างตำนานตระการฟ้า
แต่งเติม โลกศิลป์ ให้ผ่องพิณ โสภา
ด้วยวิญ ญานท้า ทรนงเทิดคง ธรรม
ร้อยบุปผา บานพร้อมพรัก
ร้อยสำนักประชันแข่งใจ
มวล ดอก ไม้ พร่างพรายมา พ้อง พาน
ร้อยดอกงาม เด่นตระการ
แย้มบานในดวง ใจ
ชู่ ช่อ ธรรม สง่างาม ในนาม ศิลปิน
29 สิงหาคม 2547 18:34 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=25
**********
ปลีกวิเวก
ข้ามเรือลำน้อย
ค่อยค่อยพาลอยคว้างสู่ลำน้ำเจ้าพระยา
สู่ฝั่งฝัน นิรันดร์รัก*เกาะเกร็ดตระการ*
ใจดวงอิ่มงาม
ตื่นแต่อุษาสาง
แวะถวายภัตตาหารและใส่บาตร
นะลานหินโค้งลานโล่งว่างท่ามร่มธรรม..ธรรมชาติ
ให้วางทุกข์ทุกสรรพสิ่ง ทิ้งไว้ภายนอกใจ
ให้เสียงภายในกระซิบบอกสอนสั่งซ้ำๆย้ำใจตน
ฝึกให้ทาน ผ่านการเพาะบ่มโพธิจิต
ให้รู้จักชีวิต รู้เสียสละ ลดละและอย่าเลิกเพียร
เพื่อพาตนให้ข้ามพ้นสังสารวัฎฎ
แม้อาจจะต้องรอภาวนา
พาพบรหัสลับ
ที่จักไขบานประตูภายใน สู่อีกมิติหนึ่ง
ซึ่งมีเพียงตนเท่านั้นจะเพียรค้นพบ
ด้วยประสบการณ์จากตนเอง
หากมิท้อแท้แพ้พ่ายใจในคำใครคำคน
แม้นบางหนบางคราว
มากเรื่องราว
มากรายกล้ำทำร้าย
ทิ้งรอยแผลไว้ให้เจ็บปวดก็ตามที
จะสักกี่ทีกี่หน
กมลละไมก็มิยอมแพ้ใครแพ้ใจนาน
หากเซซังสิ้นหวังหวาน
ไม่ช้านานก็จะเพียรพยายามสร้างสติ
หยุดและทบทวนก้าวใหม่
ด้วยดวงใจอาจจะยังพอมีกุศลจิต
ให้พาคิดดีคิดได้
ไม่รานร้าวเศร้านาน
และดั่งบทกวีบทนี้
ที่ดั่งจะสะท้อนสะเทือนใจฝากประทับใจ
ตามติดเตือนใจสอนใจ
ให้ลุกขึ้นสู้กู้ความงามพร้อม
มิให้ดวงใจไหวครวญนาน
*อัตชีวประวัติห้าบท*ในเรื่องเหนือห้วงมหรรณพ*
1)ฉันเดินไปตามถนน
มีหลุมลึกอยู่ข้างๆ
ฉันตกลงไป
ฉันหลงทาง...ฉันสิ้นหวัง
นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน
แสวงหาชั่วนิจนิรันดร์เพื่อค้นหาทางออก
2
ฉันเดินบนถนนเส้นเดิม
มีหลุมลึกอยู่ข้างๆ
ฉันแสร้งมองไม่เห็น
แล้วก็ตกลงไปอีก
ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันกลับมาสู่ที่เดิม
แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน
ต้องใช้เวลาช้านานเพื่อออกจากหลุม
3)ฉันเดินบนถนนเส้นเดิม
มีหลุมลึกอยู่ข้างทาง
ฉันตกลงไปอีก...เป็นนิสัยเสียแล้ว
ดวงตาของฉันเปิดกว้าง
ฉันรู้ฉันอยู่ที่ไหน
นี่เป็นความผิดของฉัน
ฉันออกจากหลุมโดยพลัน
4)ฉันเดินบนถนนเส้นเดิม
มีหลุมลึกอยู่ข้างทาง
ฉันเดินอ้อม
5) ฉันเดินบนถนนสายใหม่
*******
และ
ดั่งคำพระพทธองค์ทรงตรัสไว้
ถึง*ความไม่เที่ยง*
รู้ว่าสรรพสิ่งเป็นดั่ง
มายา ปราสาทเมฆ
ความฝัน พยับแดด
ปราศจากตัวตน
แต่มีคุณสมบัติที่สามารถแลเห็นได้
รู้สรรพสิ่งสิ่งเป็นดั่ง
ดวงจันทร์ในฟ้ากระจ่าง
ที่สะท้อนในทะเลสาบใส
ถึงแม้ว่าพระจันทร์ไม่เคยเคลื่อนมาสู่ทะเลสาบนั้น
รู้ว่าสรรพสิ่งเป็นดั่ง
เสียงสะท้อนที่ก้อง
จากดนตรี เสียง และการร่ำไห้
กระนั้นเสียงสะท้อนนั้นหามีทำนองไม่
รู้สรรพสิ่งเป็นดั่ง
ภาพลวงตาที่นักมายากลสร้างขึ้น
ไม่ว่าเป็นม้า วัว เกวียน และสิ่งอื่นๆ
แต่สิ่งนั้นหามีอยู่ไม่..
******
และตรงท่าเรือข้ามฟาก
ดวงเลือกอุดหนุนหมวก
ฝีมือ
คนไทยทำ
ไทยใช้ ไทยเจริญ
ใบละ20บาท มาสองใบเป็นหมวกใบเล็กมีขอบ
ลายดวงดอกไม้สอดสร้อย
ร้อยพันพร่างเหลืองไสว
และ
อีกใบ
สีฟ้าสดสว่าง
ใส่ขับเสื้อสีชมพูในวันนี้
รับกับสร้อยหินสีจากธิเบตสีเทอร์ควอย์
ห้อยด้วยจี้เงิน
กำไลขวัญยังงามวะวาววับ
สะท้อนรับเรียวแดดอุ่นละมุนหวัง
เป็นดั่งพลังอันโอบเอื้ออ่อนโยน
กับวันนี้..
วันที่เมฆใสนวลสว่างกระจ่างไปทั่วทั้งผืนฟ้า
ยามฝนลาหลบเพียงวันแห่งวสันตฤดู
ดวงยืนทอดตาเหว่ว้า
ดู
ชีวาชีวิต..
วิถีแห่งสายน้ำนามเจ้าพระยา
มากเรือนไม้โย้เย้
มีศาลาทายทักริมฝั่งฝันปันเย็นฉ่ำระร่ำรินจากชายชล
ให้กมลขวัญ ฝันปันปรุง
คิดถึง...
รุ่งอรุณยามเช้า
ยามฟ้าพราวพราย
ด้วยสายแสงแรกแห่งดวงตะวัน
ที่คงงามแฉกส่องกระจาย
ราวรัศมีรุ้งพุ่งผ่านม่านไหมหมอกเมฆ
เสกสายหวานหว่านนภา
มวลนกกาคงผกผินบินโฉบเหยื่อ
เหนือลำน้ำจากเหนือจรดใต้
ทั่วคุ้งโค้งโล่งแลละลิบทิวทิพย์รวงทอง
ปลุกฟื้นคืนชีวิตให้ผองชนคนบนริมฝั่งฝัน
พร้อมเผชิญวันอันหมุนวนหมุนเวียน
เจดีย์กลางน้ำยังเอนไหว
เหมือนสะท้อนใจสอนใจให้รู้ว่า
ไม่มีอะไรในโลกนี้จะตั้งมั่นอยู่คงที่คงทน
มิลับลาเสื่อมสลาย ไม่ว่าจะวัตถุหรือผู้คน
ที่พากันมาวนว่ายว่องท่องสายน้ำเจ้าพระยา
*ลำน้ำแห่งชีวาชีวิต*
ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของชาวนาชาวไทย
ทั่วที่ราบให้มีน้ำหว่านกล้าหว่านหวังมานานปี
ผ่านท้องทุ่งนา ป่าเขา เงาละหาน
ผ่านบ้านผ่านเมือง
สร้างเรืองรุ่งมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย
จากเหนือจรดใต้
เป็นสายใยอันแนบแน่นยาวยืน
บนผืนแผ่นดินทอง..นะที่แห่งนี้
มิหยุดไหลล่องหล่อเลี้ยงไทยทุ่ง มุ่งสู่ความเป็นจริง
จากที่สูง..ลงสู่ที่ต่ำ
ย้ำธรรมะ ธรรมชาติ
ไม่รู้สิ้น..
ว่าทุกสรรพสิ่ง
ย่อมคืนสู่ความเป็นธรรมดาชีวิต
ไม่มีอะไรสถิตสถาพร
โดยไม่ยอมร่วงลับดับลง..คืนตรงสู่พื้นพสุธา
หากเราเพียรเพ่งพินิจ
ดวงอธิษฐานจิต
ในวันนี้หากดวงมีบุญหนุนนำ
ให้ใจดวงละมุนยิ่งงามสงบรำงับดับได้
ด้วยดอกความดีมีเพื่อนธรรมนำทาง
และ
ดวงตั้งใจพลีพร้อมน้อมจิตกราบกราน
พระประธานในโบสถ์คร่ำ
ขอคำอธิษฐานบนบานนั้นได้ผล
และ
เหนือสิ่งใด
ในวันนี้ที่แสนภูมิใจ
เมื่อดวง
ได้นำน้อมกมลละไม
อ่านบทกวีที่แสนงามออกอากาศ
วาดเวิ้งฝันอันละมุนละไม
ด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
ที่
ทุกคนดีหลายดวงใจ..นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
ถึงกับหยุดเดิน...
เสียงหวานเศร้า
มีพลังในบางครั้ง
แทรก..ทุกความรัก..ความหวัง
ความทรงจำ ความงาม ความดี
ความศรัทธาที่มีต่อผืนดิน
ดังร่ายมนตรา
ให้ก้อง..ทั่วท้องน้ำ
ลำน้ำเจ้าพระยา
ให้ฟ้าดินได้รับรู้
ถึงค่าคู่คำคนกวีเพื่อผืนพสุธา
ผู้รักรจนา
และ
มิหวังใด
ด้วยเพียงใจรักร้อยสร้อยศักดิ์ศรี
สร้อยอักษราแห่งความดี
สร้อยชีวีชีวัน
อันเป็นพรสวรรค์พรแสวง
และ
อยากแต้มโลกนี้ด้วยดวงดอกไม้
และความงามความดี
ที่หวังจะมีชีวีทำสิ่งอันเป็นที่รัก
ฝากไว้ก่อนร่างไร้สิ้นลมหายใจ
ลาลับไปกับดวงตะวันมิช้านนาน
ขอเพียงฝากกานท์กลอน
อันหอมหวานละมุนกรุ่น
ด้วยความรักหนักแน่นภักดิ์พลี
ความมีน้ำใจเสียสละมากเมตตา
และ
การสอนให้รู้ค่ารักอันเหนือโลก
แม้นจะพบโศกสุด
ก็รู้หยุด รู้ให้ รู้อภัย
หวังเพียงใจดวงงาม
ได้สงบพบเงียบงาม
เพียงค่าแห่งความว่างในเบื้องปลาย
และฝากให้เป้นบทเรียนชีวา
ผู้ที่ยังว่ายวนในวงกรรม
ได้เรียนรู้รักอันเลอล้ำค่า
และฝากว่า
ให้เพียรหนีรักที่มักเป็นทุกข์วน
และ
ให้คนค้นคนผู้มากล้นค่า
ฝากงามแห่งธรรมชาติชีวิต
ด้วยถ้อยลิขิตรักรจนาอันน้อยนิดในธุลีไทย
ในผืนดินทองแห่งผองชน
ด้วยกมลอันอิ่มงาม
ตราบชั่วกาลนานนิรันดร์
เป็นขวัญพลีฝันดี
แด่ทุกดวงใจ
และ
น้ำตายิ่งเอ่อท้น
เมื่ออย่างน้อยก็ได้ทำกุศลจิต
ให้ทุกชีวิตได้ซึ้งซาบอิ่มเอิบอาบใจดวงเร่าร้อน
ให้หยุดผ่อนคลาย
ราวโลกคล้ายว่างลงชั่วสักขณะหนึ่ง
และ
น้ำตายิ่งล้นใจเมื่อไหววะแว่วหวาน
*บทเพลงบุพเพสันนิวาส*
ลอยแผ่วมาราวปลอบประโลม
หากวันนี้
คุณคนดีแวะผ่านมา
เห็นลีลาผู้หญิง..ผู้มาดมั่นใจ
ร่ายบทกวี..
ด้วยดวงใจ..ด้วยจิตวิญญาณ
คุณยังจะผ่านตาแบบไม่เหลียวมองได้ลงคอละหรือ!
นะคนดีที่รักเสียเป็นยิ่งนักแล้วค่ะ
*********
จบภาคแรก
และภาคต่อไป
พบกับ....คุณยายชราหมอดู
ที่ดวง..
ผ่านมาให้..ทายทัก
*ดวงชะตาของผู้เป็นที่รัก
ของใครบางคน
และ
น่าสนเท่ห์ใจที่มาในแนวเดียวกัน
ไร้คู่ไร้ขื่อ ไร้ใคร
ถึงมีก็ไม่นานพานพลัดพรากจากลา
..........
และ
รอพบกับหนุ่มใหญ่
ที่ไม่น่าเชื่อเลย
ที่ชะตาฟ้าดินอินทร์พรหมส่งมา
พาให้พานพบ
จบลงด้วยคำว่ามหัศจรรย์ใจ
เขาคือใครใครคือเขา
หนุ่มใหญ่
บุตรชายพระฝรั่งที่เคยมาบวชกับ
พระพุทธโกษาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาส
และ
มุ่งบำเพ็ญเพียรที่วัดเขาถ้ำวัด
สำนักวิปัสสนา
ที่ดวงได้อุทิศทาง..นำทุกดวงใจสู่ร่มธรรม
ให้เป็นดั่งฉัตรแก้วกางกั้น
คุ้มผองภัยแด่มวลมนุษยชาติ
ทั้งชาวต่างชาติและคนไทยด้วยกัน
ชีวิต
วันนี้เหมือนฝัน
ส่ง..เขามา
ผู้บริหารโรงแรมระดับชาติที่ฮานอย
และที่เขมร
ที่มักต้องเดินทางทั่วโลก
เขารู้จักโลกย์เสียจนอิ่มเต็ม
และ
มีเสียงกระซิบให้เขานั้น
ทำหน้าที่สุดท้าย
คล้ายดั่งกัลยาณมิตรแด่เพื่อนมนุษย์
ด้วยบริสุทธิ์ใจบริสุทธิธรรมน้อมนำทาง
ดวง...
จะรจนา..ตามมาในไม่ช้าค่ะ
ได้โปรดรอติดตาม
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=25
ลุ่มเจ้าพระยา
สุเทพ วงศ์กำแหง : : Key Am
ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน...