13 ตุลาคม 2547 21:38 น.
พุด
url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129
ผม..กำลังนอนหลับตานิ่งๆทิ้งใจว่างๆ
ในเปลญวน
ใต้ต้นลั่นทมดวงดอกสีขาว
ที่กำลังบานพราวสะพรั่ง
กับบรรยากาศแสนวิเวก
กับ
ฟ้าสีครามเข้ม
น้ำทะเลใสแจ๋ว
จนเห็นกรวดทรายระยับยิบวิบวาว
อยู่เบื้องล่าง..
ดวงตะวันสีส้มสุกดวงโต
กำลังใกล้จะทายทักผืนน้ำตรงรอยตัดเส้นขอบฟ้า
ลมพัดทิวสนเหนือหาดทรายเสียงซู่ซู่..
ผมรู้สึกสุขสงบใจอย่างเหลือเกิน
ผมเพลินนอนเงียบ
ไร้ความคิดใดใด
นอกจากผสานจิต
ให้เป็นหนึ่งเดียวกับสายลม
แล้วพัดผสมพร่างพราย...ไปจน...*สุดปลายสายรุ้ง*
และณ..ที่นั่น
ในฝัน..ในนิมิต ผมเห็น..
ผู้หญิงดวงหน้าเศร้าสร้อยราวลอยคว้างในท่ามกลาง
ม่านหมอกที่ราวสายไหม*ในเกลียวฝันสีทองงามผ่องผุด*
เธอคนดีค่อยๆคลี่ยิ้มหวานๆละมุน..
และ
หากผมมองไม่ผิด
ผมเห็นหยาดน้ำค้างพิสุทธิ์พราว
ราวประกายมุกกลางเรียวตาเธอ
ที่กำลังพร่างพรายราวสายฝน...
นาทีนั้น..
ผมคิดว่านั่นละหรือคือนางฟ้า..นางในฝัน..
นี่หรือเปล่าเล่าสวรรค์!..สวรรค์..!
แล้วทำไม..!
นางฟ้าคนนั้นถึงต้องร้องไห้..ร้องไห้ด้วยเล่า
ให้หัวใจ..ผม...
กำลังถูกบีบคั้นอย่างหนักหน่วง
กับภาพฝันตรงหน้า
กับใบหน้างามโศก
ที่ราวกำลังอ้อนโลกทั้งโลกให้หยุดหมุน
และ
ให้ใจผมราวอยากหยุดหายใจ..
ในฝัน...!
ผม..ค่อยๆเอื้อมมือแข็งแรงออกไป
หวังไขว่คว้า...
โอบกอดร่างเธอไว้อย่างอ่อนโยนทะนุถนอม
และ..
จะค่อยๆใช้มือสากๆค่อยๆประคองเช็ดหยาดน้ำตา
ให้อย่างละมุนละม่อมเบามือ
เท่าที่หัวใจดวงใสดวงซื่อดวงนี้
ที่แสนรัก..แสนสงสารเธอเสียเป็นยิ่งนักแล้ว..จะทำได้..
แต่..
ทันที..!
ที่มือผมกำลังไล้ลูบบนใบหน้าเรียวละมุนนั้น..!
ราวเกิดมหัศจรรย์รัก ปาฎิหารย์รัก..!!!!!!!
เกลียวฝันสีทอง
ที่ล้อมวงหน้างาม
ก็พลัน...!
ค่อยๆหมุนคว้างแรงขึ้น เร็วขึ้นๆๆ...!!!
จนเกิดประกายพร่าง....
จรัสเรืองแสง..
ราวสีรุ้งหลากสีมณีหลากดวง
พุ่งพรายฉายฉานออกไปรายรอบทิศทาง
ไสวสว่างราวแก้วใสกระจ่าง
ราวกาแลคซี่ในเวิ้งจักรวาล
กำลังพร่างงามแตกดอกดวงช่วงโชติชัชวาล!!!
ให้ผมตะลึงตะไล
ไปกับภาพงามแสนงามตรงหน้า
ที่แสนตระการตาตระการใจ
ที่แสนยิ่งใหญ่ในความรู้สึกพรึงเพริศอย่างยากยิ่งที่จะอธิบาย!
.............
แล้ว..........
ทุกอย่างในเวิ้งฝัน
ก็ค่อยๆพลันจางหายไป....หายไป..หายไป...
พร้อมกันกับ
ที่ผมลืมตาตื่น
เมื่อถูกปลุกด้วยเสียงฝีเท้า
ของใครบางคน
ที่กำลังก้าวย่ำทราย
ผ่านเปลที่ผมนอนไปอย่างช้าๆ...ช้าๆ
พร้อมกับกลิ่นหอมดอกไม้ไทยที่ผมแสนรัก..ลั่นทม!
ผมค่อยๆเผยอตัว
พยายามลืมตาขึ้นมา
พร้อมกับแสงตะวันสีทองส่องแยงตา
ที่ทำให้ผมต้องค่อยๆตะแคงร่างเบือนหน้าหนี
และ...
นะบัดนี้
เมื่อแหงนเงยหน้าขึ้น
จะเห็นดวงดอกลั่นทม
กำลังค่อยค่อยปลิดปลิว
ลิ่วฟ้อนอ้อนสายแสงสีทองสุกจัด
ระบัดไหวไปกับสายลมอ่อนอ่อนในยามค่ำ
และ
กับพรายตะวันรอนรอนยามสนธยา
ที่ตะวันดวงเหว่ว้าดายเดียว
กำลังค่อยๆ..จ่อมจมลงบนผืนน้ำ
และ
กับหอมงามหอมหวาน
ของดวงดอกไม้แสนเศร้า
ราวอาลัยอาวรณ์ออดอ้อน
พร่างพรมลงบนลานฝัน..ลานลั่นทม..
ผม..ลุกขึ้นจากเปล
และ..
พาร่างเดินทอดน่องไปทางโขดหินเนินผา
ที่เคียงทะเลตรงหน้าอยู่ไม่ไกล
ไปทอดทัศนา
ความงามของสายแสงสุริยา
ที่แสนงดงาม
ยามตะวันลา ตะวันลับฟ้า
ด้วยความซึ้งเศร้าใจ
ในแสงสุริยาแสนสวย
ที่กำลังทอทาบ
อาบผืนน้ำทะเล..ราวทองทา!
ผมทรุดตัวลงนั่งเหนือเนินผา
ที่กำลังถูกคลื่นถาโถม
ซัดกระหน่ำจนแตกฟองฝอย
ก่อนจะกระแทกตัวทะยอยกระสานซ่านเซ็น
กระเด็นละอองไอเค็มเคลียร่างผม
ที่นั่งแสนชิดใกล้หาดทรายกับเกลียวคลื่นสีทอง
ที่ราวพลีร่ำร้องไห้ไปพร้อมกับตะวันลา
และทำไม..
ผมยังได้กลิ่นดวงดอกลั่นทม
อวลหอมเศร้าตามลมมาถึงนี่ได้เล่า
ช่างแสนจะน่าแปลกใจ
และ
ทำให้ผมต้องหันไปหาที่มาแห่งกลิ่นนั้น
แล้วพลัน..!
ผมก็เห็นร่างงามของใครคนหนึ่ง...!
ที่นะบัดนี้
ยามเมื่อ..
เธอค่อยๆหันเรียวหน้ามา
และกับ
เสี้ยวแสงแห่งตะวันลาอันอบอุ่นอ่อนหวาน
ที่
กำลังแตะแต้มเรือนผมและใบหน้า
ให้พร่างกระจ่างเรืองรอง
ราวหิ่งห้อยนับร้อยพันเกาะพรายพร้อย...
และ
ราวกับทำให้
โลกฝันและโลกจริง
กำลังเลื่อนลอยลงมาตรงหน้าผม
ซ้อนทับกันสนิทเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อ
ผมเหลียวหันไปมองจ้องภาพนั้น
อีกทีและอีกที...!
อย่างที่..แทบทำให้ผมลืมหายใจ
และ
ราวต้องมนต์ให้จังงัง..นิ่งงัน งุนงงอีกคราครั้ง
ราวกับ..
เมื่อยามย่ำสนธยา
ที่
ผมเพิ่งงีบฝันผ่านมา..ในนาทีเมื่อครู่นี้
และ..
กับนาทีนี้
ที่ผมคิดว่าโลกตรงหน้า
ราวกับว่า
กำลังหยุดหมุนแล้วจริงๆ
เมื่อ
ใบหน้าสวยสงบงามเศร้านั้น
หันมาสบตาผม..!
และ
เมื่อผมเห็นหยาดน้ำนัยน์ตาเธอ
กระทบลำแสงสุริยาสุดท้าย
ที่ก่อให้เกิดประกายเลื่อมพรายประภัสสร
สะท้อนวะวาววับ
ราวกับหยาดเพชรน้ำงาม
ราวกับหยาดน้ำค้างแก้วที่
กลิ้งบนในบัวในยามต้องแสงยามอุษาสาง
ผม..เห็นดวงดอกลั่นทม
สีขาวดอกใหญ่งามพราวพร่าง
ที่ทัดผมเคลียแก้ม..
ยิ่งทำให้หัวใจผม..
ราวต้องมนต์ราวละเมอ
และ
เมื่อเห็นภาพเธอคนดีคนงาม
นางฟ้านางใจนางในฝัน..
และ
กับดวงดอกไม้แห่งความเศร้านั้น
ลั่นทม..ลั่นทม..ลั่นทม..
ที่นะบัดนี้!
พลัน...
ค่อยๆหมุนคว้างอย่างช้าช้า... ช้าช้า..
และ
ค่อยๆ..หมุนเร็วขึ้น..เร็วขึ้น.. และเร็วขึ้น..
ให้
หัวใจผมราวฝันไปอีกรอบอีกหน
แบบไม่อยากตื่นมาทนรับรู้รับทราบ
ความจริงบนโลกโศกสุขนี้อีกต่อไปเลยแล้ว
ขอเพียง
ให้ดวงจิตดั่งดวงดวงแก้วใสกระจ่างของผม..
ได้เพริศแพร้วกับมหัศจรรย์แห่งรักนี้..ที่รอคอย
ไปตราบชั่วกาล
นานแสนนานตราบชั่วนิจนิรันดร!!
*************
url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129
หยาดน้ำฝน หยดน้ำตา
ดาวใจ ไพจิตร : : Key Gm
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน
หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน
สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน
นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ
สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน
ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป
หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ
โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ
สวยงามสดใส จริงเอย
ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ
ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา
พลันน้ำตานางฟ้าระเหย
เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย
ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน
หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์
ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน
แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล
ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน
ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ...
10 ตุลาคม 2547 16:03 น.
พุด
วันนี้ไปโรงพยาบาลมาค่ะ
ที่ราวกับโรงแรมหรู
ถึงแม้นว่าจะมี
แค่หน้าตาผู้มาเยือนเท่านั้น
ที่แตกต่างกันเพราะณ.โรงแรมหรูนั้น
มักจะมีแต่สรรพเสียงแห่งการทักทาย
จับไม้จับมือร้องฮ้าไฮ้ฮัลโหลโอ้สวัสดี
ที่มีแขกทุกชาติภาษามาพัก
หรือไม่ก็
มานั่งรอนัดใครสักคน
มาสบตาทานข้าวใต้แสงเทียนสักมื้อ
ภายใต้บรรยากาศอันแสนฉ่ำซึ้งสุข
สนุกสนานกับการมาพักผ่อน
ที่แสนเบิกบาน
รอทัวร์รอเพื่อนมารับไปเที่ยว
แต่ณ..ที่นี่..ที่โรงพยาบาล
คือที่ที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดเจ็บป่วย
ด้วยความทุกข์ระทม
หรือความตรอมตรมจากญาติมิตรสนิทผู้ที่รักห่วงใย
ยกเว้นบางแผนก
ที่ให้คนมาพักอาศัยชั่วคราว
ให้ทำสิ่งมหัศจรรย์รัก
อันแสนยิ่งใหญ่คือการให้กำเนิดกุมาร
บุตรธิดาที่จะให้ความรู้สึกดีที่น่าตื่นเต้นยินดี
ไม่มีใครมาพูดว่า*บ่วงเกิดแล้ว ห่วงเกิดแล้ว*
ให้แม่แก้วพ่อขวัญ
เสียความรู้สึก
หากไม่ว่า
ณที่นี่
จะซ่อนซุกไว้ด้วยความหรูอย่างไร
ก็ปิดไม่มิดในทุกทุกข์ความระทมระทวย
ใกล้ม้วยมรณา..ให้มามรณานุสติ
หากคิดได้..คิดดี..คิดให้เป็นไปตามคำพระพุทธวจนะ
*เกิดแก่เจ็บตายคือสรณะ*นะมนุษย์หกสิบพันล้านเอ๋ย
แม้นจะเอาหน้ากากเงิน
หน้ากากทองมากองมาแลกเอย
ก็คงไม่หายจากวิบากกรรมเก่า
หากเพียงแค่
อาจจะยืดเวลาพรากลาให้ช้าหน่อย
ตรงที่ได้รีบการวินิจฉัยฉับไว
ไม่ต้องมานอนคอย
ร้องโอดครวญหวนโหยหา
คุณหมอนานเกินความจำเป็น
ไม่ต้องเข้าคิวรอตั้งแต่ตีสามตีสี่
เพื่อมายัดทะนานในโถงผู้ป่วยนอก
รวมรอเรียกตรวจ
ราวปลากระป๋อง
เหมือนตามโรงพยาบาลรัฐ
ที่คนป่วยมากกว่าคุณหมอไม่รู้จะสักกี่เท่า
ซึ่งบางทีก็น่าเห็นใจบรรดาคุณหมอพ่อพระ
ของบรรดาผู้ทนทุกข์ยาก
ที่มาฝากผีฝากไข้ที่ช่างมากมายมากมี
ที่ท่านคุรหมอแสนดีมีน้ำใจมีคุณธรรม
ยอมเสียสละทำงานหามรุ่งหามค่ำ
ที่เหนื่อยซะยิ่งกว่าเหนื่อย
ด้วยรับภาระล้นหลาม
แล้ว
แถมเงินเดือนก็มิงาม
จนบางทีคุณหมอเอง
ก็เลยเครียดเสียเองแทนคนไข้
ต้องถูกหามขึ้นไปนอนบนเตียงแทนผู้ป่วย
เสียก็มากมีมากมาย
กับภาระอันหนักหนาสาหัสสากรรจ์
วันวันไม่ได้พักได้ผ่อนนอนเล่น
เย็นเย็นใจแช่แอร์กับลูกกับภรรยา
มีแต่คนมาตามหา
เห็นแต่หน้าคนไข้ไร้สุขสลอน
มานอนให้รักษา
ช่างเวทนาเป็นที่ยิ่ง
อย่ากระนั้นเลย
คุณหมอเองก็คนนะ
ก็ปุถุชนคนธรรมดาๆเช่นกัน
มิใช่ทศกรรฐ์มีสิบมือสิบหูฟังหูตรวจนี่นา
จะได้รวดเร็วราวกามนิตสามารถลิขิตบันดาล
ให้ทุกชีวิตพบหรือได้
พ้นจากการไปสวรรค์นรกได้เร็วเข้า
ก็เลยน่าเป็นที่เข้าใจเห็นใจทั้งสองฝ่าย
ในยามชีวิตมาเข้าด้ายเข้าเข็ม
มาเจ็บมาป่วย
ที่งบประมาณประเทศเรานี้
ยังมีไม่พอที่จะทั่วถึง
บางทีผลิตทรัพยากรบุคคลให้เป็นหมอมานานหลายปี
ดันมาต้องคดีฆ่าแล้วหั่น ให้น่าสยองขวัญเสียก็หลาย
หันกลับมาดูโรงแรมเอ๊ย?ไม่ใช่..โรงพยาบาล
วันนี้ที่พุดไปดีกว่านะ
ที่มีทุกอย่างเลย จนทำให้สับสน
คิดว่าขัยรถมาผิดที่เสียอีกแน่ะ
ค่าที่มีทั้ง
ร้านฟิตเนส
ร้านแมค
ร้านเคเอฟซี
ร้านทำผม
ร้านหนังสือ
ร้านนวดตัว
ร้านดอกไม้ฝรั่ง
ที่จัดวางไว้ในตะกร้าที่แพงแสน
แม้นจะอยู่ทนกว่าคนป่วยก็ช่างเถอะนะ
ที่ให้ตายก็ไม่มีวันได้เงินพุดดอกค่ะ
เพราะว่า
พุด..ชอบนำดอกไม้ไปให้คนที่รัก
จากดวงใจที่จัดเองจากใจ
หากพุดจะไปเยี่ยมใคร
พุดจะไปตลาดแต่เช้า
และใช้ไอเดียวิจิตร
คิดประดิดประดอยเอาเอง
ตามจินตนาการให้งามสล้างละมุน
ใช้ดวงดอกไม้ที่หอมกรุ่น
แทนความรักและมักเป็นดอกไม้ไทย
ที่ไม่จำเป็นต้องไปสิ้นเปลืองมาก
แนบไปกับของรับประทานบำรุงร่างกาย
ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง
ที่คนไข้ได้รับประทาน
มิใช่นำไปฝากคนเฝ้าไข้ให้พุงหลาม
ไขมันล้น..ต้องนอนแทนเป็นคนป่วยรายต่อไป
และ
แสนแปลกดี
ที่แม้นจะมีร้านหรู
ให้นั่ง
กับข้าวริมซอยกลับอร่อยมากกว่าค่ะ
และแสนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
มีทุกอย่างที่แสนสะอาดและมีอนามัย
พุดชอบฟักทอง กล้วยนึ่ง ข้าวเม่าคลุก
ที่มีมะพร้าวขูดเคลียแกล้มปะแล่มเค็มค่ะ
คงเป็นโรคอาลัยของกินแบบวัยเยาว์ค่ะ
อ้าวเล่าไปเล่ามาเสร็จตรงเรื่องของรับประทานค่ะ
ที่บางทีพุดอยากเปิดคอลัมน์
เรื่องอาหารอนามัย
ให้น้ำลายไหลยืดย้อย
ให้ทุกท่านอยากทานของอร่อยๆ
แบบแมคโครไบโอติกส์
หรืออาหารชีวจิตที่แสนเป็นมิตรกับชีวิต
และมีประโยชน์กับร่างกายเรานะคะ
เพราะมีคนกล่าวไว้ว่า
*YOU ARE WHAT YOU EAT*
หากจำไม่ผิดนะคะ
เพราะว่าพุดเป็นคนไทยค่ะ
ไม่ชำนาญภาษาต่างชาติสักเท่าไร
กลับมานั่งรอคุณหมอ
ในห้องที่งามสะอาดหรูดูดี
แม้นกระทั่งในห้องน้ำ
ที่มีดวงดอกกุหลาบหลากสีสดใส
ลอยงามประดับหวาน
ให้คนไข้ได้ชื่นใจ
มาตรแม้น
ทุกหัวใจจะไม่อยากไยดี
กับทุกสรรพสิ่งแล้ว
แบบปลงอนิจจังวัฎฎสังขารา
เกิดหนอ แก่หนอ เจ็บหนอๆ
รอพุทโธๆรักษาจิตให้สงบสยบความเจ็บ
หากยังมิถึงเวลาลาโลกโศกสุข
ให้สิ้นทุกทุกทุกข์ไปแบบไม่หวนไห้ไยดี
แบบที่เข้าใจความเป็นไปในธรรมชาติชีวิตอย่างถ่องแท้
เหลือก็แค่ปล่อยวาง
ให้สังขารร่วงไปตามอายุขัย
ที่มีวิบากเก่าวิบากกรรมนำทางมา
ที่เราทุกผู้ควรเตรียมฝึก
รู้จักคำว่า*ตายก่อนตาย*
พยายามเพียรภาวนาพาจิต
ให้ยอมรับทำใจ
ข้ามไปให้พ้นอย่างไม่ทรมานใจมากนัก
เมื่อวันที่จำต้องละสังขาร
อันใช่เป็นที่รัก
อันใช่จะยึดมั่นถื่อมั่นไว้ได้
ใช่จะบังคับให้งาม
ราวสาวสองพันปีตลอดไปตลอดกาล
ได้นานนิรันดร์เสียที่ไหนกันเล่าเจ้าเยาว์ยอดมาลย์
จำต้องพบพาน
คำว่าพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
ที่เราก็รู้ดีว่า ทุกคนทุกจิตวิญญาณ
ต่อให้งามสักปานไหน
ในที่สุดก็เน่าก็หนีไม่พ้น..
สถานที่แห่งหนึ่งเหมือนกัน
ไม่ช้าก็เร็ว
ที่พุดไป..
ขนาดเป็นโรงพยาบาลหรูดูดี
พุดยังปลงอนิจจังสังขาราถึงเพียงนี้เลยค่ะ
แล้วคิดดูซียามพุดไปโรงพยาบาลรัฐ
พุดจะรำพึงถึงป่าช้าสักปานไหนละหนอละนี่นะ
ทุกดวงใจเอ๋ยจะชินชาเฉยได้อย่างไรกันเล่า
ขนาดที่นี่
ที่ซึ่งยังมีพยาบาลน้ำใจงาม
คอยเข็นรถเครื่องดื่มมาถาม
ราวนั่งบนเครื่องบินว่าจะรับน้ำมั้ยคะ รับมั้ยคะ
และกล่าวคำขอบคุณเราด้วยซ้ำหากให้ใช้บริการ
แถมยังมีน้ำให้เลือกหลากชนิดนะคะ
จะนม น้ำลิ้นจี่ น้ำส้มหรือน้ำธรรมดาที่แพ็คมาอย่างดี
**********
พุดรจนาเรื่องนี้
ประกอบบทเพลงพระโพธิ์แก้วค่ะนะนาทีนี้
ที่ช่างให้ความรู้สึกเศร้าซึ้งเป็นยิ่งนัก
น่าเสียดาย
ที่ทุกดวงใจไม่มีโอกาส
ได้อ่านงานประกอบด้วยบทเพลงธรรมแห่งชีวีชีวิต
ที่แสนไพเราะกินใจเตือนใจสอนใจเราค่ะ
และ
และ
ขอแจงใจก่อนนะคะ
แบบเข้าข้างตัวเองเพราะเกรงว่าจะมีมีผู้สงสัยห่วงใย
ว่าพุดไปโรงพยาบาลทำไม
ไปเป็นเพื่อนคนไปจี้เอาใฝเสน่ห์ออกค่ะ
ด้วยเลเซอร์ค่ะ
หาใช่ป่วยอันใดมากมายไม่
********
รจนาสดยังมีต่อนะ
คอมพุด..กำลังจะรอไปไอซียูค่ะ
ไม่รุจะแก้ได้ไหม
จะรจนาต่อได้ไหมค่ะ
ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
สักพักพุดจะนำเอาเรื่องบางเรื่องมาฝากให้
อ่านแก้เหงาใจในวันหยุดไปพลางๆค่ะ
จนกว่าคอมจะหาย..ป่วยนะคะ
*******
ดอกไม้ในภาพด้านบน
คือดวงดอกไม้สวรรค์นามปาริชาตินะคะ
ที่ยังหาดูได้บนผืนหล้าพสุธาไทยพสุธาทองได้
ให้ทุกดวงใจรีบเพียรสร้างกุศลจิต
อย่าเพิ่งคิดรีบไปดูบนสวรรค์เลยค่ะ
*****
ฝากคำงามในเรื่อง
*เดินที่สูง*
ที่พุดกำลังอ่านมาให้ฟังนะคะ
ด้วยความประทับใจ
*บางท่านกล่าวว่าโดดเด่นคือโดดเดี่ยว
แต่หากเห็นลีลาร่ายรำของเกลียวเมฆบนสันเขา
ก็คงปฎิเสธไม่ได้ว่านี่คือสายสัมพันธ์ล้ำลึก
บางทีอันอาจจะเป็นความรัก
บางทีมันอาจเรียกได้ว่าความผูกพัน
กระนั้นก็ดี..
แม้ความรักอาจป็นนิรันดร์ แต่ความชิดใกล้กลับเป็เรื่องชั่วคราว..*
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_33454.phpฝนหนาว..กับ..แค่คนที่รักเธอ พุดพัดชา
ฝนหนาว..กับ..แค่คนที่รักเธอ
ฝนตกราวฟ้ารั่ว ตอนตีสาม......
ฉันชอบ..คืนค่ำที่ฝนตกหนักอย่างนี้....
เสียงดนตรีจากสายฝน
กับผ้าห่มผืนนุ่ม
กับความหนาวเย็น แบบชุ่มฉ่ำ
กับความฝัน..สล้าง
ที่หล่อเลี้ยงดวงใจ
ให้ถวิลหาใครบางคน ที่แสนไกล....
ฉัน..ตื่นมา
เพื่อรอเวลาที่จะไปวัด
กิจวัตรยามเช้าวันอาทิตย์....เพื่อเพิ่มพลังใจ
ให้ใสเย็น สงบงาม...
กลิ่นดอกพุด ปลุกนิทรา
ช่างพาหอมลุ่มลึก รัดรึงใจ ในยามนี้....
ฉันชอบที่จะสร้างบรรยากาศ
โดยการจุดตะเกียง ที่ใช้เทียนแทนไส้....
ให้บรรยากาศ
ว่าชีวิตฉันนั้น
ราวตื่นมาพร้อมเสียงไก่ขัน
ในบ้านชนบท ที่น้ำค้างยังหยดเยียบเย็น
แตะแต้มยอดหญ้า
รอเวลาระเหยหายไปกับแดดอ่อนอุ่น..
ในยามอรุณเปิกฟ้า
ยามที่....ยังมีหมอกหนา ครอบ คลุมท้องทุ่ง ผืนนา
ยามที่พระออกบิณฑบาตร...
สีเหลืองนวลแจ่มกระจ่าง สว่างใจของจีวร
ตัดกับ สีนาของข้าวเขียว
ที่ออกรวงเรียว โค้งระย้าพวงพราว
ราวรอคมเคียวจากมือคนเก็บเกี่ยว.....
แต่....ความจริงในยามนี้
ที่ฉันมีก็คือ...
บ้านกลางกรุง
ที่ฉันนี้หนามากพยายาม ใส่ความเป็นชนบท
ด้วยพืชพรรณ...
ดวงดอกไม้ ราวบ้านเล็กในราวป่าใหญ่
ที่หอมแผกมาตระลบ
กับจันทร์ซีด ดวงเศร้า หลังฝนซา.....
ฉันลงมาต้มน้ำชงกาแฟ...หอมๆจากฮาวาย
ที่สาวน้อย เอลิสัน นักอนุรักษ์ปลาโลมา อุตส่าห์ส่งมาให้
จากฮาวาย.....แดนไกล......
เปิดเพลง ไพเราะ..
เป็นเพื่อนใจ
ในยามอุษาฟ้าเริ่มสว่าง จากเครื่องเล่น แบบหม้อหุงข้าว......
เพลงเศร้า จากก๊อต จักรพรรณ์
กำลังครวญคร่ำ ให้ฉัน น้ำตาซึม
มือที่ชงกาแฟ ค้างนิ่ง ด้วยรานร้าวใจ
ไปกับเนื้อหาของบทเพลง ที่แสนซาบซึ้ง..
กินใจ ฟังได้อารมณ์ โดนใจ..มากกว่ายามกลางวันแสกๆ......
จากคนที่รักเธอ...........
แค่คนรักเธอ....ไม่ใช่คนที่เธอรัก
ได้มารู้จัก ได้แอบรักก็สุขใจล้น
เธอคือนางใจ สดใสเมื่อยามได้ยล
ช่วยคนหนึ่งคน ให้พ้นจากความหม่นหมอง
เฝ้าคอยภักดี ทั้งที่มีสิทธิ์เพียงน้อย
สุขที่ได้คอย สิทธิ์มีน้อย ไม่เคยเรียกร้อง
ได้งมเพียงเงา ยามเหงาขอเพียงแค่มอง
ไม่ได้ครอบครอง แอบจ้องก็เพียงในใจ
มีชายหลายคน ที่คอยเดินตาม
ไม่กล้าถาม ว่าใครขอเธออย่างไร
ไม่กล้าท้วง ยามเห็นเธอควงกับใคร
เจ็บท้อรอไป.... เทใจให้เธอได้เห็น
*แค่คนรักเธอ ไม่ใช่คนที่เธอรัก
ทำใจแน่นหนัก ต่อใยรักไม่เคยว่างเว้น
หวังเพียงวันหนึ่ง เธอ..ซึ้ง..ความดีที่เห็น
เปิดทางให้เป็น ให้ฉันเป็นคนที่เธอรัก*(ซ้ำ)
แปลกใจจัง..
ฉันกับ..ใจดวงนี้
ที่มักจะฟังเพลงด้วยใจ
ด้วยอารมณ์ล้ำลึก เข้าไปในคำพ้อ
ออดอ้อน เว้าวอน ขอให้เธอรัก และเห็นใจ ไฉนเลย!.........
**************
ฝากอีกเรื่องแสนรักแทนรักล้นทรวงค่ะ
ในอ้อมโอบแห่งรัก... พุดพัดชา
ดวงเขียนเรื่องนี้
ด้วยใจที่สุขสงบ..เหลือเกิน...
เป็นดึกดื่นคืนเพ็ญ....
จันทร์ดวงงาม..ลอยเด่น
ประดับบนฟากฟ้า..
สลับกับดวงดาราระยิบกระพริบพราวพราย.....
เสียงหรีดหริ่งเรไรระงม.....
พรมพร่างด้วยน้ำค้างกลางหาว......
นานๆจะมีเสียงพลุ
และประกายสีสันจากดอกไม้ไฟพรูพร่างท่ามกลางฟ้ามืด.....
ดวงจุดเทียนรายรอบ
และวางไว้ในโคมเพื่อใช้เขียนหนังสือ......
ทิวไม้งามรายล้อม..แลดูตะคุ่ม
โดมสีขาวจากบ้านเพื่อนบ้านโผล่พ้นดงไม้ ดูราวกับ
ปราสาทแห่งความฝัน...........
บางค่ำคืน ...
เมื่อม่านฝนพรำโรยตัวเป็นหมอกหนา........
ดวงจะอาบน้ำท่ามกลางแสงเทียน
วับแวม ให้หวามไหว
ซุกตัวในอ่างน้ำแสนอุ่น
และจากกระจกบานกว้าง...
มองออกไปยังฟากฟ้า แสนไกล.....
ซึ่งดูราวกับฉากแห่งม่านฝันรำไรในสายฝน
สลับสล้าง สวยเหลือใจ................
ดวงคิดเสมอ....
ว่าโลกนี้อยู่ที่ใจเราจะเนรมิต......
ดวงสามารถสร้างโลกในฝัน...
ให้เป็นโลกแห่งความจริงที่สวยงาม...เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์
และโดยมิพักต้องลงทุนมากมาย...................
ดวงปล่อยให้...การะเวกเลื้อยพันเป็นลวดลายงาม..
ขึ้นมาทายทักจนถึงระเบียงดาดฟ้ากว้าง
ที่ดวงใช้เขียนหนังสือ....
กลิ่นการะเวกยามเย็น
ทำให้งานเขียนของดวงลื่นไหลตราตรึง...
การะเวกเกาะเกี่ยวเกิดเป็น..
ม่านลายลูกไม้ธรรมชาติ ตามกระจกรอบๆบ้าน..แทนม่านหรู.
แถมเป็นม่านที่มีกลิ่นจรุงใจ..งดงาม หวานหอม.......
เป็นม่านผืนที่ต้องใช้ใจถักทอเพียงเท่านั้น....ถึงจะมีสิทธ์ได้มา........
บ้านของดวง....มีลวดลายจากใบไม้นานาพรรณ......
มาถักทอและบดบังให้แลลอดรำไร
เป็นม่านเย็นตา เย็นใจ
ทุกโมงยาม ที่ใจดวงงามได้สัมผัส....
ต้นแก้วสูงถึงชายคา........
แผ่กิ่งก้านอวดดอกขาวพราวต้นเมื่อยามวสันตฤดู.....
กลิ่นหวานเศร้า
เคล้าสายฝนจะแทรกเข้ามาเห่กล่อม
ให้หลับไหลอย่างแสนสุข....
ดวงมีเล็บมือนางสวยเลื้อยพันเป็นซุ้มหน้าบ้าน.....
ไว้เกาะเกี่ยวใจของคนที่มาเยือน....
มีต้นมะม่วงสูงใหญ่
ที่ไว้เป็นที่ให้นกกามาอาศัย..ทำรัง
และให้ นกเขามาร้องขันคูปลุกในยามเช้าตรู่
เมื่อถึงฤดูกาลออกผล แค่เอื้อมมือไปก็เด็ดได้ไม่ยาก...
แล้วไหนจะจำปีที่ชิดเชยถึงชายคา..ริมระเบียง
อยากเก็บแแซมผมก็เพียงสัมผัส......
มีดอกพุด...ที่มีหนุ่มคนไกล..ปลูกไว้ให้
ราวกับจะเป็นไม้เสี่ยงทาย....
ให้ดวงเฝ้ารดน้ำพรวนดิน
ทะนุถนอมแทน ..
เพื่อรอดูตุ่มแรกของดอกที่จะผลิบาน.......
แล้ว ดวงตั้งใจจะเก็บไปถวายพระพุทธรูป
ที่ดวงจุดเทียนสวดมนต์กราบไหว้ทุกค่ำคืน....
เพื่อเป็นมงคล เป็นพุทธบูชา....
และดวงจะอธิษฐานจิต
ให้ดอกพุดนั้นแทนรักที่งดงาม........
บริสุทธิ์ใส และเบิกบาน ให้เจ้าของสมหวัง...ดั่งใจ เฉกเช่นเดียวกัน.........
เราทุกคนมีใจดวงเล็กๆเหมือนกัน...
ใจดวงที่สามารถจะเปิดให้ความงามที่รายล้อม
รอบรอบตัวเข้ามาสัมผัส....
ง่ายแสนง่าย.ใกล้แสนใกล้......แค่มือคว้าใฝ่..............
เพียงมีใจปราถนารับความละเมียดละมุน..มาต่อเติมใจ
ให้ไฟฝัน มิมีวันมอดสิ้น.......
ชีวิตนี้สั้นนัก.....
ไม่ช้านาน
เราทุกคนก็ต้องลาจากโลกสมมุตินี้ไป.....
แล้วไฉนเล่า
ไม่เบิกบานกับชีวิต....
และเตรียมทำใจยอมรับความจริงของชีวิต
*การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์
การประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์*
เมื่อเราก้าวเข้ามาในโลกแสนสวยใบนี้....
สิ่งเดียวที่เราจะหยิบยื่นให้แก่โลกนี้ได้
คือไม่เบียดเบียนโลก...ไม่เบียดเบียนตัวเอง
ไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก..
เราแค่ผ่านมาทักทายและอาศัยพักใจเพื่อรื่นรมย์
และฝึกจิตที่พร้อมจะยังประโยชน์ให้คืนกลับ แก่โลก
และผู้ที่จะตามมาในภายหลัง...
โลกนี้อยู่ได้ด้วยรัก...
รักที่สวยงามจะเป็นพลังสรรสร้างทุกๆสิ่ง.....
รักทำให้โลกหมุน.....
และโลกจะไม่โหดร้ายจนเกินไป
ถ้าเราจะช่วยกันแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้สิ้นหวัง.....................
ดวงขอจบด้วยบทเพลงหนึ่ง
ซึ่งดวงกำลังเปิดฟังในค่ำคืนที่มีมนต์ขลังนี้
ให้มันลอยแทนใจ
แทนความคิดถึงทุกทุกคน
ถึงใจทุกทุกดวงที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าแห่งรักทุกๆรูปแบบ
และโดยเฉพาะ
คนพิเศษในใจของดวง...
ที่บ้านเกิดเกาะแสนงาม..
ที่อเมริกา...แคนาดา...และออสเตรเลีย...
รวมทั้งเพื่อนแสนรัก
ทุกคนที่ญี่ปุ่น....สิงคโปร์...
ผู้ที่ดวงหวังใจว่า..เกิดมาเพื่อรัก...
และรู้ความหมายของการเสียสละนะจ้ะ
เพลงรักไม่รู้จบ...................
ถึงจะอยู่สุดหล้าฟ้าดิน....
แม้จะสิ้นสิทธิ์และเสรี
แต่วันนั้น..ใจฉันยังคงที่
ความรัก..ความภักดี ไม่มีสิ้นสลาย
ถึงโลกแตกแหลก..แหลกเป็นผงคลี
รักเต็มปรี่..ไม่มีรู้คลาย
ชีพถูกฝัง ความรักยังเวียนว่าย
เคียงคู่เธอ ไม่คลาย ฝากวิญญานไว้ครอง
ด้วยความรักไม่รู้จบ
แม้ผืนดินกลบยากลบรอยรักเลือน
จะเนิ่นนาน..กี่วัน..กี่ปี...กี่เดือน
ดินฟ้าจะคล้อยเคลื่อน ใจไม่เลือนรักเธอ.......
ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง
ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ
จะสมหวังหรือพบความเพ้อเจ้อ
เป็นที่ใจของเธอจะจริงจังฉันท์ใด
...........................................................
ใช่เลยใช่ไหม ถ้าใจเธอหนักแน่นพอ...............
ด้วยรักจากใจ
9 ตุลาคม 2547 22:22 น.
พุด
url=http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6879
(น้อยใจยา)
*****************************
ในรอนแสงตะวันยามเย็น
ณ..สวนขวัญ
ที่สะพรั่งด้วยดวงดอกไม้และต้นไม้
ที่มีหลากหลายนานาพันธุ์
และ
หลากหลายลาน
ให้ผู้คนได้เลือกมาออกกำลังกาย
ตามอัธยาศัย...
จะวิ่ง จะเดินเล่น
หรือว่า..
สาวหนุ่มจะเอนตัวลงนอนอิงอ้อนอ้อมตักในสนามหญ้า
ก็ไม่ว่ากัน
หากไม่อายสายตามากคู่ที่มองมาทั้งบวกลบ
ให้ตัดสินใจหักลบกันเอาเอง
ว่าจะหวั่นเกรงหรือ
เลือกเอาทางรัก
หากมิอาจจะหักห้ามใจได้แล้วในที่สาธารณะ
เพราะว่า
เมืองเรามีประชาธิปไตย
และในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองงามวัฒนธรรม
ที่เพียรรินร่ำสอนให้กุลสตรีไทยรักนวลสงวนร่าง
อย่าได้เที่ยวไปแสดงความรักกันในที่เปิดเผย
ให้โลกและผู้คนทั้งปนอิจฉาและค่อนว่าได้..
ฉะนั้นไฉน
กล้องใจ..
จึงขอ
กลับมา..แพนหาภาพดายเดียวจะดีกว่า
ที่แสนแปลกดี..
ที่มีร่างๆหนึ่ง
ผู้หญิงนัยน์ตาสนิมสร้อย
นั่งอ้อยสร้อยพอกันกับเรียวตา
เอนอิงพิงต้นกาสะลองหอมหอม
ที่ลำต้นแสนอวบงาม
ปลูกชิดใกล้บึงน้ำ
ที่นะบัดนี้
น้ำกำลังปริ่มรึมบึงราวกับจะเทล้น
ออกมานอกขอบสระ
เธอคนที่ว่านี้นั้น
นั่งทิ้งใจฝันฝันฝัน...
ไปกับบรรยากาศอันแสนสุข สงบงาม
ไปกับฝูงนกพิราบมากมายที่ผกโผผินบิน
ว่อนวกวนเวียน..ขึ้นๆลงๆไปๆมาๆเหนือศรีษะ
โฉบถลางาม..ให้ดูราวกับภาพฝัน
เธอแหงนเงยมองหาดวงดอกกาสะลองแสนรัก
และพลัน
ใจดวงงามก็ให้พาคิดถึง
ศิลปินสาว*คุณลานนา คัมมินส์*
ที่เพิ่งเป้นศิลปินเปิดอัลบั้มใหม่
ที่เธอสนใจเพราะ..
ได้ยินเสียงขับร้องบทเพลงไพเราะ
เพราะพริ้งพราวแบบน้ำเสียงใสใสนั้นขึ้นจมูกนิดนิด
แบบสไตล์ชาวเหนือ
ก่อนที่จะหันไปเห็นภาพ
ในมิวสิควีดีโอประกอบบทเพลงทางทีวี
ในหลายวันมานี้
แล้วแสนจะซึ้งสะดุดตาสะดุดใจ
กับทั้งเนื้อหาบทเพลง
ที่ชื่อ ว่า*กาสะลอง*
และ
กับหน้าตาที่แสนน่ารัก
โดยเฉพาะหน้าผากที่โหนกนูน
ราวกับ
นางเอกในฝัน
ที่เธอเพิ่งรจนาในเรื่องล่าสุด
และเธอยิ่งรู้สึกทึ่งมาก
เพราะได้ทราบมานานแล้วว่า
ศิลปินในดวงใจคนนี้นั้น
เป็นธิดาของ*คุณสุนทรี เวชานนท์*
ที่ทุกคนคงพอจะทราบว่า
เธอเป็นศิลปินสาวชาวเหนือแสนงาม
ที่ร้องเพลงได้ไพเราะเพราะพริ้ง
และแสนมีลีลาละมุนละม่อมน่ารักเสียยิ่งกว่า
ยิ่งยามเมื่อเธอมาขับร้องคู่กันกับ
*คุณจรัล มโนเพ็ชร* ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่
ในดวงใจผู้รักในมนตราเพลงเมืองเหนือ
ที่คลอเคล้า
กับเสียงดนตรีสะลอซอซึงพื้นบ้าน
ศิลปินผู้วายชนม์ไปแล้ว
ฝากเพียงบทเพลงแสนงามสอนชีวิต
ให้
ตามติดตราตรึงตอกย้ำ
ให้ทุกคนอย่าได้ประมาท
ให้ตั้งใจทำแต่กรรมดี
ก่อนที่ชีวีจะพรากลาตราบชั่วกาล
กลับมาที่
ผู้หญิงนัยน์ตาสนิมสร้อย
ที่เธอกำลังคิดถึงใครบางคนอย่างล้นใจ
และยังคง
นั่งเอนตัวราวลอยละล่อง
ฝันฝันฝัน..ไปถึงดวงดอกไม้หวานๆงามงาม
นามกาสะลองกาสะลองกาสะลอง
หรือดวงดอกปีบแสนรัก
ที่เธอเคยมาก้มๆเงยๆเก็บดอมดมห่มหอม
ไว้ในผ้าเช็ดหน้าเมื่อครามาเยือนคราวก่อน
และ
แสนคิดถึงความงามแบบซึ้งสะออน
ของ*คุณลานนา*
ที่ช่างงามละอออ่อนราวดวงดอกไม้แรกแย้ม
และ
เนื่องจากคุณลานนาเธอ..แทนชื่อเล่นตัวเองว่า*นา*
ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นดั่ง
*สาวนา*ในดวงใจในฝันไปแล้ว
ที่นะบัดนี้
เธอได้ผันตัวเองอย่างสมบูรณ์
เป็นศิลปินในสังกัดค่ายเพลงของแกรมมี่
แบบลูกไม้หล่นใต้ต้น
ตามแบบฉบับคุณแม่ของเธอ
*คุณสุนทรี เวชานนท์*
ซึ่งเป็นดั่งยอดหญิงในฝันในดวงใจ
อีกท่าน
ของนักรักรจนาคนนี้
ที่รักงามในความเป็นผู้หญิงละมุน
ที่แสนจะสวยแสนงาม
แล้วยังมีพรสวรรค์
ด้านขับร้องเพลงพื้นเมือง
ในขณะเดียวกัน
เธอยังเป็นนักสู้ชีวิตอย่าทรหดอดทน
อย่างคนที่น่ายกย่องชื่นชม
ให้สมกับเป็นแบบฉบับอันแสนงดงาม
ให้เด็กสาวชาวไทยได้เลียนแบบอย่างตามนิยาม
*ด้วยสองมือแม่นี้ที่สร้างโลก(ลูก)
แบบหัตถาครองพิภพ
ที่นะนาทีนี้
ขอฝากให้ทุกดวงใจ
แค่*คลิ๊กลัดนิ้วมือเดียว*
ก็จะได้เกี่ยวเก็บประสบการณ์
ผ่านชีวิตที่แสนดี
ของสองลูกผู้หญิงกุลสตรีไทยชาวล้านนา
ที่แสนจะน่าภาคภูมิใจ
จากเวบที่แนะนำบทสัมภาษณ์เธอ..
และความเป็นตัวตนของเธอ
ที่ช่างน่ายกย่องเสียเป็นยิ่งนัก
และ
ด้วยความประทับใจส่วนตัว
ที่สำคัญที่สุดคือ..เธอรักแม่มากค่ะ*
และ
พยายามทำทุกอย่างที่งดงามตามแบบฉบับ
ด้วยความรักเฉกเช่นเดียวกันกับคุณแม่ของเธอ
เวบhttp://www.eotoday.com/music/interview/lanna/
ที่มีหัวข้อน่าสนใจดังนี้..
********
ลานนา ชื่อนี้มีที่มา
การเดินทางของลานนา
คอนเซ็ปท์ของอัลบั้มเริ่มจากตัวเอง
อุปสรรคในการทำงาน
จากน้ำใจชาวเหนือ ถึงเพลง นะนะ
มีวงดนตรีพื้นเมืองล้านนามาร่วมด้วย
ฮีโร่ในดวงใจลานนา
คุณแม่มีส่วนช่วยในการทำงานยังไงบ้าง
ลานนาสนิทกับแม่มากแค่ไหน
มีความเป็นแม่อยู่ในตัวตรงไหนบ้าง
*******
หวังเพียงเพื่อให้ทุกดวงใจได้รับทราบ
ประดับดวงใจประดับความรู้
จากเรื่องราวของชีวิตเด็กสาวคนหนึ่งที่ช่างน่าประทับใจ
ซึ่งเป็นดั่งดวงดอกไม้ไทยแสนหวานหอม
หากทว่า
ได้รับการหลอมบ่มผสมผสานหอมงามจากสองอารยธรรม
ทั้งแบบโลกเอเชีย และโลกกว้างไกลโลกาภิวัตน์
ที่อาจจะทำให้เราทุกดวงใจได้บทเรียนแสนงาม
เพียงแค่เราเพียรพยายามทำสิ่งที่รัก
ไม่ว่างานรจนางานร้องเพลงหรืองานใดใด
ด้วยความรักความตั้งใจอย่างเททุ่มอย่างดีที่สุด
แบบไม่ต้องรีรอ..รอรอ..และรอ..ขอ
โชคจากดวงชะตาฟ้าดิน
หรือลิขิตจากสวรรค์บันดาลเลยนะคะ
และ
งานนี้ผู้หญิงนักรักรจนาคนนี้
น่าจะมีสิทธิ์ได้รับบัตรฟรีหากมีงานคอนเสิรต์
เปิดตัว*คุณลานนา*นะคะ
************
รจนาสดสดยังมีต่อค่ะ
กาสะลอง...หรือปีบ..
เมื่อตะวันลับไป ไกลจากขอบฟ้า เสียงเพลงลา แว่วมากับสายลม
กาสะลองล่องลอย ปลิดพลิ้วไปตามลม ลมความฝันพัดไป ไกลจากบ้าน
บนเส้นทางฝันไกล ไปสู่จุดหมาย คําสุดท้าย แม่ฝากยังได้ยิน
ไม่เคยลืมเลยซักคํา ตราบที่หัวใจโบยบิน ถ้อยคํานั้นยังได้ยิน รักและห่วง
คืนร้างทางเปลี่ยว หัวใจลูกยังอุ่น ความรักไม่เคยจาง ห่างกันแสนไกล
เหมือนดวงดาว พร่างพราวบนฟ้าไกล ไกลแสนไกล หัวใจอยู่ใกล้กัน
เมื่อตะวันลับไป ใจคิดถึง สะล้อซ่อซึง อื้ออึงในหัวใจ
กาสะลองของแม่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้คืนไปซบไอ อุ่นใจของแม่
คืนหนาวดาวเปลี่ยว ขอใจแม่ยังอุ่น ความรักไม่เคยจาง ห่างกันแสนไกล
เหมือนดวงดาว พร่างพราวบนฟ้าไกล ไกลแสนไกล หัวใจอยู่ใกล้กัน
ห่างกันแสนไกล หัวใจอยู่ใกล้แม่
เนื้อเพลงยอดฮิตของ ลานนา คัมมินส์
ไว้ใจ๋ได้กา (ลานนา)
นะนะ (ลานนา)
สวัสดีเจ้า (ลานนา)
ผู้หญิงธรรมดา (ลานนา)
8 ตุลาคม 2547 06:10 น.
พุด
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song161.html
ตะวันดวงโตเท่ากระด้งฝัดข้าว
สีส้มสุกกำลังลอยเรี่ยผิวน้ำทะเล
ที่นะบัดนี้ทั่วทั้งท้องน้ำอาบประกายระยิบระยับ
ราวผืนผ้าไหมทะเล..ทอทองทาบทา...
ริมทะเลสีทองนั้น
หลับตา..
จะพาไปพบกับ
ภาพเด็กผู้หญิงผมเปียสองข้าง
นัยน์ตาสร้อยเศร้า
ผิวบอบบางราวแพรไหมไข่ปอก
ที่มีที่มาที่ไป
ที่คุณแม่เธอเคยเล่าให้เธอฟังว่า
วันที่เธอลืมตาดูโลกนั้น
เป็นที่อัศจรรย์นักกับทุกสายตา
ที่เธอ..เกิดมาผิวนวลใยละไมผุดผ่องจนใครใคร
พากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า..งามแปลกนัก
ทั้งๆที่ถิ่นที่เธอเกิดนั้นคนมักจะมีผิวสี
และ
ที่แปลกดีคือหน้าผากเธอ..จะมีชาร์มและมีขวัญ
ใครๆเค้ามีขวัญเดียวแต่เธอมีสอง
อย่างคุณพ่อและน้องชายแบบกรรมพันธุ์แปลก
ที่คนมักทายทักกันไปต่างๆนานา
ที่จนนะบัดนี้ก็ยังปรากฎอยู่
ให้เวลาเธอแสกผมแล้วจะวนเป็นก้นหอยงอนงาม
ตรงกลางหน้าโหนกนูนนั้น..
แทบทุกวัน..เด็กผู้หญิง
เธอจะมานั่งใต้ต้นไม้แห่งนี้
ต้นทองหลางที่ไร้ใบในยามฤดูร้อน
ที่ออกดอกแดงสะพรั่งพรึบเต็มทั้งต้น
ที่ตัดฉับกับผืนฟ้าที่เป็นสีฟ้าจริงๆ
ฟ้ากระจ่างสดสว่างเข้มเต็มผืนแบบไร้มลพิษ
เพราะที่นี่
คือเกาะที่ไกลร้าง
ห่างไกลจากผืนแผ่นดินใหญ่
หลายร้อยไมล์ทะล
ที่ราวไข่มุกทะเล
อันแสนพิไลใสสดขาวพร่างพราวพิสุทธิ์
ที่ถูกซุกซ่อนไว้โดยเงื้อมหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า
พระพรหมผู้บันดาล
ให้เป็นสถานที่แห่งรักแห่งหวังหวานยิ่งใหญ่
แด่ทุกดวงใจ..คนช่างฝัน
ราวฟ้าดินมอบกำนัลให้เป็นของขวัญ
แด่โลกและมวลมนุษย์ชาติ
ราวสถานทิพยวิมานบนหล้าโลก
มาลบโศก
ให้ได้เสพสุขสงบ พบความสุนทรีย์แห่งชีวาชีวิต
ที่จนถึงนะวันนี้
ก็ยังคงเป็น..
แม้นจะหลีกเร้น
หนีไม่พ้นมนุษย์มนามากมาย
ที่พากันหลั่งไหลมาจากทั่วทุกมุมโลก
มาเพิ่มสุข ทิ้งโศก ฝากไว้แทน
มาสนุกสนานเบิกบานร่ายระบำรับขวัญ
รับหวานจากพระจันทร์ดวงงาม
ที่กล่าวขานไปทั่วโลกแล้วว่าหาที่ใดงามเท่าไม่มีแล้ว
นอกจาก
มีที่อินเดียอีกที่
หากทว่า..ที่นี่ได้องค์ประกอบครบถ้วน
ล้วนเลิศล้ำยิ่งกว่าจะหาถ้อยคำใดมาพร่ำพรรณนา
คือเป็น
สถานที่
พระจันทร์งามขึ้นระหว่างโค้งอ่าว
ที่มีทรายเนื้อละเอียดนวลนุ่มเท้า
ขาวสะอาดราวแป้งเนื้อดี
ที่ทุกยามเต้นรำนั้นหยุ่นนุ่มละมุน
ราวเยื้องย่างบนฟองเมฆสกาวพราวพอกับฟลอร์สวรรค์
ก็มิปาน..
ย้อนรอย
กลับมา...หาเด็กผู้หญิงช่างฝันดีกว่า
ในเมื่อเรื่องเกาะงามวิไลนั้น
เคยเล่ารจนามามากมายหลายฉากแล้วในเรื่องรักๆ
ของนักอยากจะเขียนเพียรฝันคนนี้
เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่บอบบาง
เกิดมากับทะเลกว้าง
กับงามงดของทุกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติจริง
ที่ใครใครมักงงว่าทำไมเธอถึงหลงใหลในแสงตะเกียง
แสงเทียนในโบสถ์คร่ำกันเล่า
ก็เพราะว่า*งามเงาแห่งอดีตนั้น*
เธอตราหอมแห่งความทรงจำที่ตอกตรึงสลัก
ไว้ในดวงจิตภายในอย่างงามไสวพร่าง
อย่างยากจะลบเลือนหาย
แม้วันปีเดือนจะเคลื่อนจะคล้อยลอยลาลับ..
ยากที่จะย้อนรอยเงาอดีต
อันงามงดสดชื่นแสนหวานหวนกลับมาก็ตามที
ยามนั้น
เด็กหญิงน้อย
ผู้ราวมีหนึ่งร่าง
หากราวสองภาคสองใจในคนๆเดียวกัน
ที่
ทั้งดูเดียวดายเศร้าสร้อยแสนเงียบเหงาช่างฝัน
กับอีกคนอีกภาคนั้นช่างเจรจาพาทีเป็นยิ่งนัก
และมีผู้ทายทักบอกว่าคงเป็นเพราะ
มีไฝเล็กๆสองเม็ด
ที่แทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตุ
แตะแต้มริมเรียวปากด้านซ้ายบนล่างคู่กัน
ภาคเดียวดายนั้น
เธอจะปลีกตัวจากผองเพื่อน
ที่ชวนกันมาวิ่งเล่น
โดยใช้หาดทรายริมทะเลกว้างดั่งสนามผืนโต
และมีสระน้ำทะเลแพรไหมสีมรกตเคียงข้างให้กระโดด
จากต้นมะพร้าวหักงอลงล้อคลื่นตูมตามๆ
ราวเป็นสระส่วนตัว
และราวสวรรค์บันดาล
ให้งามอย่างเกาะในฝันของอภิมหาเศรษฐีชาวกรีก
อริสโตเติ๊ล โอนาซิส ผู้ล่วงลับ
ที่มีเกาะแสนงามเป็นส่วนตัวไว้พักผ่อนลำพัง..
ยามนั้น
เด็กหญิงน้อยผู้เดียวดายช่างฝัน
จะหาทางมะพร้าวแห้งมาปูแทนเสื่อผืนงาม
และ
ค่อยๆเอนตัวลงนอน
เธอจะค่อยๆหรี่ตาดูท้องฟ้างามสีครามเข้ม
ที่นะบัดนี้
ราวถูกแตะแต้มตัดฉับ
ด้วยดวงดอกแดงโดดเด่น
ของดอกทองหลางทองพร่างสล้างไสว
หรือดวงดอกปาริชาติงามแสนงามตามนัยน์ตา
พาดวงจิตเธอดั่งสนิทแนบผสานร่าง
เป็นหนึ่งเดียวราวเกลียวทองผ่องพิลาสพิไล
ที่ใจเธอเท่านั้น..มองเฟ้นมองฝันพลันพาเห็นงาม
ตามดวงใจภายในดวงน้อยๆนี้
ที่ยากยิ่งจะบอกเล่าให้ใครรับรู้
และเข้าใจ
ยามนั้น
เธอฝันไกลและแสนจะขอบคุณในน้ำใจฟ้าแลดิน
ที่ช่างเมตตาปรานีให้ชีวินชีวิตจิตวิญญาณเธอ
ได้มาเกิดกลางเกาะ
ที่เพียบพร้อมแสนหวานแสนงาม
ที่แสนยิ่งใหญ่
ด้วยธรรมชาติแสนสวยสงบสุข
ไม่ให้ไปเกิดในแดนทุกข์ดั่งทะเลทราย
ที่ใครๆเล่าว่า
ผู้คนอดหยากยากไร้ไม่มีแม่น้ำสะอาดดื่มกิน
เด็กๆจะหัวโตพุงโรก้นป่อง
แมลงวันพากันมาตอมน่าเวทนานัก
เธอจึงรักผืนดินฝันอันอุดมผืนนี้
ที่
ในกาลต่อมา..
เธอก็ยิ่งกลับซาบซึ้งรู้ค่ามหาศาล
ว่าเธอนั้นแสนโชคดี
ที่ได้มาพบพานได้มาเกิดใน
*ร่มบุญพระบรมธิสมภาร*
ภายใต้ร่มฉัตรร่มธรรมร่มทอง
อันแสนยิ่งใหญ่
แสนดีแสนงาม
อย่างยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบประมาณได้อีกเลยแล้ว...
และ
บางคราเธอจะใช้เถาวัลย์
มาถักร้อยดวงดอกไม้
ดั่งสายสร้อยแสนงาม
สวมเป็น
*มงกฎดอกปาริชาติ*
ที่วิลาศวิไล
สำหรับดวงใจเด็กผู้หญิงชาวเกาะชาวไพร
ที่เติบโตมาท่ามกลางความไกลห่างจากความเจริญศิวิไลซ์
ห่างไกล
จากคำว่าเมืองอันเรืองรุ่งด้วยแสงสี
และใจร่างดวงใสดวงดี
ก็แสนจะมีชีวิตชีวาเรียบง่ายติดดิน
ไร้วัตถุใดใดมาหลอกล่อใจ
ให้หลงใหลไปกับเงางามนามวัตถุ
ที่จำต้องแลกซื้อด้วยเงินแพงแสนมาเป็นของเล่นแก้เหงา
แบบกุมารเศรษฐี
แบบที่แม่พ่อมีเงินเปรอปรนเป็นถุงเต็มถัง
และบางเวลา
เมื่อเธอเด็กผู้หญิงน้อยเหว่ว้าอ้างว้างใจ
ดายเดียวอย่างสุดๆ
เธอก็จะมุดร่างใจ
ให้ท้องทะเลสีเขียวราวแพรไหมใสดั่งมรกต
ปลอบประโลมคลี่คลุมห่มร่าง
พาตัวเองดำดิ่งลงใต้ผืนทะเลลึก
อย่างไม่หวั่นสิ่งใด
เธอจะกลั้นลมหายใจให้ยาวนานที่สุด
และค่อยๆพาตัวแหวกว่าย
ราวกับสาวน้อยนางเงือก
เปิดดวงตาเฝ้าดูโลกสีคราม
ที่งามสะพรั่งสีจัดจ้านสวยสุดใจ
ด้วยปะการัง
สาหร่ายสีน้ำตาลแผ่พรายร่ายงาม
ดูดอกไม้ทะเล ฟองน้ำ
หอยเม่นและปลาหลากหลายชนิด
ปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อลาย ปลาสินสมุทร
ปลากระเบนทอง ปลาเก๋า
ให้ลืมเหงาใจ
แบบให้ธรรมชาติทะเลไทยทะเลใจ
ที่แสนชิดใกล้ได้เชยชิดชมห่มหอมใจ..
และ
เด็กหญิงน้อยๆ
จะค่อยๆนอนเฝ้าลอยคอรอดู
พระอาทิตย์ดวงโตสีหมากสุก
ค่อยๆลดระดับลงเรี่ยผืนน้ำ
ที่ยามนั้นจะสาดสายแสงสีทอง
ลงอาบต้องทาทาบผืนน้ำราวแสงเพชรพร่าง
วะวิบวับงามจับจิตเลื่อมประภัสสร
รอเวลาให้เธอนับถอยหลัง
จนกว่าตะวันดวงงามยามทิวาหวาม
จะค่อยๆจมหายกลายเป็นตะวันลับฟ้า
ไปกับท้องทะเลผืนงาม
ให้ราตรีตามต่อเติมมาเพิ่มหยาดหวาน
ด้วยพรายแสงจันทร์
มาหอมห่มงามพร่างสายแทน..
ชีวิตเด็กหญิงน้อยช่างฝัน
มีเพียงคุณย่า ให้คอยตามติดเคียงกาย
คุณย่าชรา ที่ช่างงามนักในรำลึก
ภาพหญิงชราผมสีดอกเลา
ที่ยึดมั่นในร่มเงางามศาสนา
ที่สอนให้เธอศรัทธาตาม
ในทุกยามค่ำคืน
ให้พร่ำเพียรท่องบ่นสวดมนต์ภาวนา
จุดธูปเทียนบูชากราบหน้าองค์พระปฏิมาบูชาพระรัตนตรัย
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..
คุณย่า ที่มีชมรมวรรณคดีสัญจร
นัดไปนอนรวมกันนอกชาน
ที่บ้านเรือนไทยราวในหนังเรื่องโหมโรง
ค่าที่เรือนไทยนั้น
แฝงฝังงามอยู่ในท่ามดงมะพร้าว
และดอกไม้ไทยๆ ไสวพรั่ง
ส่งกลิ่นอวลหอมลอยล่องตามลมมาพาให้ใจยิ่งชื่นยิ่งฉ่ำ
บางค่ำคืน
ที่ท้องฟ้าไร้เมฆ
จันทร์ดวงกลมสีทองราวลูกจันทร์แขวนฟ้า
จะทอแสงงามอร่ามเรือง
แจ่มดวงจรัสเจรืองใจเสียเป็นยิ่งนัก
เด็กหญิงน้อยจะได้ยินเสียงคุณปู่
ที่ขานขับเสภาได้อย่างไพเราะแสนเศร้าประทับ
ในบทของวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้างขุนแผน..
และ
เด็กหญิงน้อย
จะค่อยๆผลอยหลับพับไป
กับแสงตะเกียงริบหรี่ไหว
กับเสียงกระรอกไพรวิ่งไล่กันจิ๊กจั๊กเหนือทิวมะพร้าวงาม
กับหอมงามแห่งดวงดอกไม้สะพรั่งริน
กลุ่นกลิ่นโมกมะลิซ้อนมะลิลา
และกอราตรีตรงริมชานเรือน
และ
หาก
ค่ำคืนไหน
ยังพอฝืนนัยน์ตาไหว
ก็จะหวั่นไหวไปกับเสียงเล่าอันเร้าใจ
ในเรื่องรามเกียรติ์
ตอนต่างๆ
ที่ทำให้เด็กหญิงน้อย
ค่อยๆเปิดดวงจิตกระจ่าง
เฝ้าซึมซับรับซึ้งตรึงตราไว้
ด้วยความดำดื่มระรื่นรสรักวรรณคดีไทย
ได้อย่างล้ำลึกเมื่อ
ตรองตรึกนึกมาถึงทุกวันนี้
เด็กหญิงน้อย
มีหน้าที่ตามติดคุณย่าไปทุกที่
เสมือนเงาตามตัว
โดยหารู้ไม่ว่า*วันแห่งการพรากลา*ใกล้เข้าทุกขณะๆ
เธอจะเดินหิ้วปิ่นโตตามหลังคุณย่า
ที่ทูนกระเฌอสานสวยด้วยลวดลายดวงดอกพิกุลแสนงาม
ละเอียดละเมียดละมุนใจ
ในมือน้อยๆจะมีดอกไม้พื้นบ้านหลากสีสันหลากพรรณ
หอมงามประดิดประดอย
รัดร้อยด้วยสร้อยศรัทธาแห่งรักหวังน้อมนำไปถวาย
พลีบูชาพระพุทธในโบสถ์คร่ำ
ที่งามล้ำมลังเมลืองใจ
ให้ใสงามงดสว่างทุกยามที่ได้กราบกราน
สิ่งที่ดวงใจน้อยๆดวงนี้
ยังตรารอยจดจำรำลึกไว้ในดวงจิต
อย่างลึกชึ้ง อีกสิ่งหนึ่งคือคำสอนของคุณย่า
ที่ราวจะอ่อนโยนแว่วมา
ให้ได้สดับในทุกคราวยามรานร้าวเศร้าใจ
กับน้ำคำคนน้ำคำใครที่ไม่เข้าใจ..เรา
คำสอนที่ว่า
*ให้รู้เมตตา มีน้ำใจ ให้อภัย ทุกดวงใจผู้คน*
และ
*อย่าพิพากษาคนพิพากษาใคร ตามคำใครเขาว่า
ไม่นินทาคนลับหลัง
ให้รู้จักคำให้อภัยให้โอกาส คน
ที่สามารถทำผิดพลาดได้
ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนเดินดิน
จงใช้และให้ความปรานีมิรู้สิ้น
รินน้ำใจที่ใสงามดั่งหยาดน้ำค้าง
ลงพร่างพรมห่มหอมทุกห้องหัวใจ
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
เพียรเพาะบ่มฝึกให้มีจิตดวงใสดวงดี
ที่พลีพร้อม
จะให้พลังใจกำลังใจทะนุถนอมทุกผู้คน
ไม่ว่าจนรวย หากทำได้*
ที่ไม่ช้านานเมื่อกาลเวลาลาล่วง
เด็กผู้หญิงน้อยจึงพึงได้ระลึกรู้ว่า
ท่านคือปูชนียบุคคลอันงามจิตงามใจอย่างที่สุด
ที่เป็นดั่งครู
ดั่งแม่ที่แผ่เมตตาสอนจิตใจให้เด็กหญิงน้อย
ได้เติบใหญ่และ
เพียรพยายามน้อมนำมาประพฤติปฎิบัติตาม
ทุกน้ำใจทุกความดีงามหอมห่ม
มาพรมพร่างให้แด่ทุกผู้ที่รักที่ได้ชิดใกล้
ให้เพื่อนมนุษย์
ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อย่างยินดีอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ภาพเด็กหญิงน้อยนั่งดายเดียว
หากใบหน้าเรียวละมุนเศร้านั้น
ดูช่างแสนสวยใสสงบงาม
ด้วยกำลังผสานพยายามสร้างสมาธิ
ตั้งใจ
ร้อยพวงมาลัยดวงดอกพิกุลพราว
ที่ราวธรรมชาติฝากสลักลายแสนบรรเจิดบรรจง
เป็นดั่งโซ่สายสร้อยจากจิตใจผจงเส้นยาว
ที่ได้งามแผกงามหอมมาถึงยามนี้
ที่ยังอวลกลิ่นกรุ่นหวานละมุน
ในอกในใจในมโนนึกทุกครั้งครา..
ยามที่คะนึงนึกระลึกย้อนหลังไปในอดีต..แสนงาม..
ภาพเด็กหญิงน้อย..ช่างฝัน
ที่นั่งพิงเสาในโบสถ์คร่ำ
ยามคุณย่าและพุทธศาสนิกชน
เพียรฟังธรรมในวันเพ็ญเดือนหก
ให้พานพาเงียบสงบหากงามใจ
เมื่อเธอเหลือบไปเห็นพลังกระจ่างสว่างวาบ
ดั่งดวงแก้ววิเศษที่จิตจับได้
ราวเกิดปาฏิหารย์รักจากพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่
ภาพแสงเทียนพรรษาแท่งใหญ่ถูกจุดให้สว่างไสว
จับจีวรสงฆ์งามกระจาย
พรายพร่างดั่งแสงสงฆ์มลังเมลืองพรายไปตามผนังโบสถ์
แสงเทียนเสียงธรรมจากพระสงฆ์
นำบทสวดก่อนให้ทุกจิตนิ่งสนิทสมาธิภาวนาพาพบปัญญาใส
ยามนั้น
ราวโลกเล็กๆใบสวยใสสงบงาม
ในดวงจิตใจดวงใจของเด็กหญิงน้อย
ราวค่อยหยุดคล้อยเคลื่อนหมุนช้าลงๆ
โลกเสมือนสว่างวาบด้วยปลาบปลิมปิติ
ที่จิตไหวรับได้สัมผัสงามที่กระจ่างแจ้ง
ราวพบพร่างว่างวิบชั่วนิจนิรันดร..
********
ยังมีต่อค่ะ..รจนาสดไปเรื่อยหากมีเวลา
ขอลาไปทำงานก่อนนะคะ
***********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=282
ธาราระทม
ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ : : Key Am
แว่ว ยิน แต่ เสียง
น้ำหลากมาเสมือนยิ่งพาน้ำตาข้าหลั่ง
ธารารักเอยรักเคยฝากฝัง
ท่ามกลางแสงเดือนสะพรั่ง
รักกลับอ้างว้างในคืนเดือนเพ็ญ
รูป รอย ปาง หลัง
ฝังฝากใจมาไร้ความจริงทิ้งให้ลำเค็ญ
มองเดือนครั้งใดหมองใจไม่เว้น
ค่ำคืนรักเชยเคยเช่น
แสงแห่งเดือนเพ็ญเชยฟ้าราตรี
รัก จาก พราก ไป
เหลือ เพียงรอยอาลัยไม่มี
สายน้ำยามเพ็ญ ก่อนเคยได้เป็นสักขี
ยินแผ่วแว่วเสียงวจี
คล้ายเสียงเสียดสีที่เย้ยดวงใจ
โอ้ คำ อธิษฐาน
เสมือนบ่วงมาร มารับเอาคำสาบานข้าไป
มนต์มารร้ายยิ่งรักจริงสลาย
ตั้งปณิธานวอนไหว้
แสงแห่งดวงใจจงพบกันเทอญ
รัก จาก พราก ไป
เหลือ เพียงรอยอาลัยไม่มี
สายน้ำยามเพ็ญ ก่อนเคยได้เป็นสักขี
ยินแผ่วแว่วเสียงวจี
คล้ายเสียงเสียดสีที่เย้ยดวงใจ
โอ้ คำ อธิษฐาน
เสมือนบ่วงมาร มารับเอาคำสาบานข้าไป
มนต์มารร้ายยิ่งรักจริงสลาย
ตั้งปณิธานวอนไหว้
แสงแห่งดวงใจจงพบกันเทอญ...
**********
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2461
ทะเลไม่เคยหลับ ดิอิมพอสซิเบิ้ล : : Key Eb
มอง ซิมองทะเล
เห็น ลม คลื่นเห่จูบหิน
บาง ครั้งมันบ้าบิ่น
กระแทก หินดัง ครืน ครืน
ทะเล ไม่เคยหลับไหล
ใครตอบ ได้ไหม ไฉน จึงตื่น
บาง ครั้งยังสะอื้น ทะเลมันตื่น อยู่ร่ำ ไป
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไวั
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเล ครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับ ทะเล
ทะเล หัวใจของเรา
แฝง เอา รักแอบเข้าไว้
ดู ซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดัง ทะเลครวญ
ยาม หลับไหล ชั่วคืน
ก็ถูก คลื่นฝัน ปลุกฉัน รัญจวน
ใจ รักจึง เรรวน
มิเคย จะหลับ เหมือนกับทะเล...
*************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=161
เพ้อ
เห็นลมละเมอเพ้อหวาดผวา
เห็น ฟ้า พะวงหลงโทษโกรธดิน
เห็นสายน้ำหลาก สาดเซาะ แก่ง หิน
เห็น พื้น ดิน แยก แตกเพราะถูกรอยไถ
เห็นใบไม้ครวญหวนอยู่ริมธาร
เห็น ศาล เพียงตาแล้วข้าปวดใจ
เห็นแสงเดือนส่อง ยิ่งมอง ใจหาย
เห็น เธอร้อง ไห้ ช้ำใจเพราะใครเขาทำ
เธอ ช้ำใจเพราะถูกใครลวง
บอกกับฉันอย่ามาหวง ใครลวงให้เธอชอกช้ำ
บอกฉันสักหน่อย อย่าปล่อยให้ใจระกำ
เธอร้องไห้เพราะใครเขาทำ
เธอช้ำเพราะใครหรือเธอ
เห็นเธอระทมขมขื่นตื้นตัน
แล้ว ฉัน ยิ่งตรมขมขื่นกว่าเธอ
ฟ้าสิ้นดินหล่น ขาดลม แรงเพ้อ
หาก ใคร แกล้ง เธอ ฉันนี้ จะยอมตายแทน
เห็นเธอระทมขมขื่นตื้นตัน
แล้ว ฉัน ยิ่งตรมขมขื่นกว่าเธอ
ฟ้าสิ้นดินหล่น ขาดลม แรงเพ้อ
หาก ใคร แกล้ง เธอ ฉันนี้ จะยอมตายแทน...
6 ตุลาคม 2547 16:58 น.
พุด
Url http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=336
(ปีศาจวสันต์)
****************
ดวง..นั่งเดียวดายอยู่ในกระท่อมไม้สน
ในยามสนธยาพลบค่ำยามย่ำเย็น
สายฝนภายนอกยังกระหน่ำหนัก
ให้ต้นไม้ริมชายคาแห่งรัก
ที่ได้พักพิงอิงใจในทุกยามเย็น
ไหวเอนรับหยาดละอองฝนพรำ
ดวงดอกโมก สีขาวพร่างพราวพร้อย
ห้อยพลีดอกคว่ำหน้าลงสู่พื้นพสุธา
ราวสาวไพรผู้น่ารักรู้จักถ่อมตนถ่อมกมลฝันเสียนี่กระไร
เป็นดอกไม้ชนิดที่แผกพิศที่แสนพิเศษพิสุทธิ์
ที่มิเคยแหงนเงยเชยเชิดหน้าท้าทายสายฝนและแสงแดด
ก็น่าแปลกดี ที่จริงๆราวกุลสตรีชาวไพร
ผู้รักดิน มิถวิลจะทะเยอทะยาน
ปานประมาณนั้น
ดวงนั่งรอ..
ให้สายพระพิรุณหยุดพร่างสายพรายพลิ้ว
ตรงหน้ามีแก้วไวน์แดงดั่งสีทับทิม
ที่ดวงสั่งมารินร่ำดื่มให้รื่นรส
ให้หัวใจสลดดายเดียว
ได้รับหยดหยาดหวานชุ่มฉ่ำ
ให้หัวใจดวงช่างฝันได้ตื่นเต้น..
เต้นถี่ถี่ ในยามเย็น
ดับโลกโศกสลดไปกับหยดฝนและหยาดน้ำตา
แม้นจะไร้ใครมาสบตา พาให้หวามไหว
ในท่ามกลางแสงเทียนริบหรี่วูบไหววับแวมก็ตามที
หากทว่าใจดวงหอมงามนี้
ก็ตื่นพร่างก็สล้างราวดวงดอกไม้
ได้รับหยาดน้ำค้างอมฤต
เป็นความว่างร้างไร้ ที่งามเงียบใจ
ที่ได้ปลดปล่อยดวงใจพ้นภาระพันธนา
ได้นั่งทอดตาดูแม่ดวงดอกกล้วยไม้ไพร
ที่ชูช่องงามไสวงามสง่าเลื้อยพันไปกับลำต้น
ของพญาสัตตบรรณ
ที่คงมั่นยืนตรงเป็นช่อชั้นแผ่กางราวร่มยักษ์
ให้พันธุ์ไม้รักไม้เลื้อย
ได้พักอาศัยพันฝากใจเปลือยช่อดอก
นั่นกล้วยไม้หลากสีสัน
ม่วง เหลืองพรายพรรณราย
ขาวสะอ้านที่แสนงามสง่า
ที่ทำให้ทุกดวงตาดวงใจไหวพบ
กับพลังงามงดแห่งความสดชื่นนี้
ที่แสนรื่นรมย์ใจ
สำหรับดวงใจ..ดวงนี้
ที่นั่งๆนึกๆคิดๆลึกๆนึกซึ้งไกล..ไปกว่าใครใคร
ว่าโลกแสนยิ่งใหญ่นี้
ได้กำนัลฝันฟรีดั่งพลีของขวัญล้ำค่าที่สุด
ให้มวลมนุษย์เราได้เชยชิดสนิทเนาในเงาเงื้อมงาม
ธรรมชาติที่ช่างอ่อนหวานอย่างที่สุดแล้วในโลกนี้
ที่ไม่ว่าดวงใจแสนดีจะหันไปในทิศทางไหน
ก็มีพลังงามแฝงยิ่งใหญ่
โอบเอื้อให้หัวใจไหวหวามละมุนรายรอบ
อย่างไม่เลือกถิ่นที่
บนภูไพร ป่าใหญ่รกร้าง
ท่ามโตรกธารธาราระรินหลั่งสะพรั่งสายระริกระริน
กลางห้วงหอมมิรู้สิ้นในกระท่อมใบไม้กระท่อมดง
ในดงดวงดอกไม้ป่า
ในดงดอกหญ้าพัดสะบัดไหว
รับพรายแสงตะวันอ่อนอุ่นยามอาทิตย์อุทัย
หรือยามทิวาหวาม
ยามตะวันดวงเศร้าดวงสวย
กำลังจะลาล่วงลาลับฟ้า
หรือกับเหว่ว้าริมทะเลที่เกลียวคลื่น
กำลังซัดสาดหาดทรายกระซิกระริกระรี้
ราวร้องร่ำพร่ำพ้อเพ้อฝากรัก
ว่ายังคงหนักแน่นมั่นคงตรงมั่นมิผันแปร
หรือ
ยามที่สายแสงพระจันทร์หวาน ทอ ดวงสวยทุกผืนฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นคืนจันทร์เสี้ยวเหว่ว้า
หรือ
คืนที่จันทร์เพ็ญเด่นดวงแจ่มจรัส
ที่หยาดสายหวานสะพัดพร่าง
ให้ห่มหอมงามทุกดวงใจ
ในผืนโลก ลบโศกสร้างสุขสร้างฝัน
ไปกับจันทร์ดวงแอร่มแต้มฟ้าหวานหวาน
หรือ
ยามที่อุทัยโลกหมุนหมุนตะวัน
คืนกลับมาคลี่ยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนสาดส่องผืนฟ้า
ให้มวลหมู่นกกาได้เริงร่าผกโผผิน
ให้วัฎฎจักรแห่งทุกชีวิน
ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างเริงร่า
ให้สายธาราระรินไหล
พร้อมดวงดอกไม้ไพรแสนหวานหล่นละลาน
หว่านพรายแตะแต้มเต็มท้องน้ำ งามจนยากบรรยาย
หรือ
ในท่ามกลางผาหิน
ที่นอนเคียงคู่ขวัญอ้อนจันทร์อ้อนใจ
นอนนับดาวพราวไสวสุกเต็มอ้อมฟ้า
ราวทะเลดาวพราวพร่าง
ให้ได้อ้อนสุดที่รัก
ให้เด็ดดาวมาแตะแต้มประดับผม
ให้วะวิบวาวราวมงกุฎเพชร
ราวเพชรจากมือนางฟ้าโปรยปรายให้ชื่นให้ฉ่ำ
ให้สร้างฝันหวามไหว
ไปตามจินตนาการหวานหอมมิรู้สิ้นรู้จบ
หรือ
ในกระท่อมริมทะเลฝัน ในเกาะห่างไกลผู้คน
มีเพียงสองกมลขวัญ
นอนห่มผ้าผืนเดียวกันซุกอกอุ่นไอ
ดูสายฝนพรำ ฟ้าฉ่ำริน
ดูดวงดอกฝนที่แตกดอกพร่าง
กลางเวิ้งน้ำทะเลเขียวมรกต
ที่แสนงดงามราวดวงดอกไม้เล็กๆ
เต็มแต้มแย้มงามพราวไปทั่ว..ผืน
ราวฝืมือจิตรกรเอกมาเสกสรร..วาด
หรือ
กับแสงเทียนวะวูบไหวระบัดพลิ้วไหวไปตามแรงลม
กับโนมเนื้อละมุนอุ่นอิ่มกับหอมกลิ่นกรุ่นกาแฟ
กับหนังสือดีดีในมือสักเล่ม
ให้กระท่อมฝัน
กลายเป็นกระท่อมสวรรค์หวานในชั่วพริบตา ก็มิปาน
และแปลกดีนะ
ที่หัวใจ คนเรานี้ต่างมีคนละดวง
ต่างเก็บไว้คนละทรวง
และต่างจิตต่างใจต่างลิขิตคิดฝันไป
ได้หลายร้อยพันรูปแบบ
ในทิศทางธรรมทางใด
แต่ทว่า
หากสองดวงใจมิสิ้นสายใยสายใจรักถักทอ
ใจดวงแยกนั้น
พลันจะพร้อมพลี
หันกลับมาหลอมละลายรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
จะเกี่ยวเกาะไว้อย่างแนบแน่น
ไม่ว่าจะห่างกันแค่ไหน
จะไกลสักครึ่งฟ้า
หรือว่าจะว้าเหว่เดียวดายพลัดพรายอยู่ไกลกันคนละซีกโลก
ก็จะมาบินมาสอดผสานผสมห่มหอมหวานในห้วงใจ
ราวเป็นหนึ่งเดียวมิเกี่ยวกับไกลกับกาลเวลา
ใจทุกดวง
เพียงเปิดใจรับสรรพสิ่งแสนงามไม่ว่ายามไหน
กับทุกสิ่งที่แสนยิ่งใหญ่
ที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้มา
เพื่อให้มวลมนุษย์
ได้พาพบมาหลอมละลายสงบงามในนวลเนื้อใจ
ให้รู้รักกันแบ่งปันฝันพลีฝันฟรีนี้
ราวกับจะมาสอนบทเรียนแสนดี
ให้มวลมนุษย์ได้หยุดคิดทำลายกันและกัน
รวมทั้งธรรมชาติ
ที่มีแต่ฝากความงามความดี
ให้ดวงใจเรานี้เปิดรับพลังภายใน
เปิดบ้านแห่งจิตวิญญาณ
รับดวงดอกไม้บานรับสายฝน สายฝัน
รับสายแสงทอง
หยาดละอองน้ำค้างในยามเช้า
เฝ้ารอสายน้ำผึ้งหวานจากพรายพระจันทร์ในยามค่ำ
รับหยาดน้ำค้างใสในยามดึกมาดื่มรินราวดวงดอกไม้
ให้คลี่เพียงหัวใจถวิลรับเพียงงามง่ายใกล้ตัว
และ
ให้ดวงใจมิหมองมัวมืดดำ
รู้คิดคืนงาม
ในนิยาม*ให้*แด่เพื่อนมนุษย์
ร่วมโลกโศกสุขทุกข์ร้อนเดียวกันนี้
ที่จำต้องหันมาพึ่งพาพึ่งพิง..
ไม่ใช่ทิ้งธรรมชาติงาม
แล้วมีแต่ตาต่อตารบราฆ่าฟัน
ให้เลือดหลั่งรินให้ใจโศกเศร้าราวอมนุษย์ก็มิปาน
ไยกันเล่าถึงต้องประหัตประหารเข่นฆ่ากัน
เจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลาเบาปัญญา
สำหรับดวง..
มีความสุขเหลือล้ำเสมือนหัวใจมีรากแก้วรากขวัญ
ที่ฝังลึกผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง
ที่สอนให้รู้นิ่งมองงามในทุกยามเหงาว้าเหว่
เหมือนสายฝนสายฝัน
ที่ช่างแยกกันมิออกเลยนะ
เพราะฝนคือพลังมหัศจรรย์
ให้ทุกดวงใจได้พบหวานหวัง
พบพลังสร้างฝันแสนงาม
บางครั้งฟังเสียงสายฝนมาตอกย้ำ
ให้ชื่นฉ่ำชีวาชีวิต
และ
มาตรแม้นบางคราฟังราวปีศาจวสันต์
มากระหน่ำซ้ำเติมใจให้ยิ่งเจ็บช้ำ
ย้ำยิ่งตรมระทมทุกข์
มาร้องคร่ำครางครวญหวนไห้โหยหา
ยามดวงใจอ่อนล้า
สิ้นไร้รักร้างไร้ร่างใครมาเคียงข้างกาย
ที่ทำให้ยิ่งกระหายอยากผวาหาอ้อมอกอุ่นมาซุกซบ
ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
แล้วสบตาหวานฉ่ำ
กระซิบพร่ำคำรัก
แลกรสรักหวานหวานระร่ำระริน
มิสิ้นสายสวาทเสน่หา
โอ้..กระไรเลย..ใจดวงงาม
แค่นั่งมองสายฝน
ไยต่อสายฝันให้พลันลอยละลิ่วปลิดปลิวไปไกล
ได้ถึงเพียงนี้ละหนอละนี่
มองอีกที..เอ๊ะ!
หรือเพราะว่าไวน์แดงดั่งเลือดรักสีทับทิมพลันพร่องแก้ว
แววหวานเลยวะวับจับจิตจับใจ
ให้ฝันไกลไปได้ถึงไหนไหนนะนี่นะ
จนต้องหันกลับมาหยุดฝัน
ก่อนที่น้ำตาขวัญฝันจะพลันพร่างร่วงริน
เมื่อตระหนักว่าไม่ว่าจะวันนี้วันไหน
หัวใจดวงนี้ก็ยังดายเดียวเดียวดาย
ราวอยู่ท่ามกลางปลายโลกร้าง ลำพังและลำพังนิรันดร...
***********************
http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=336
ปีศาจวสันต์
เรา จากกันวันนั้นยังจำ
จากกันวันนั้นฝนพรำ
พรางม่านกรรม คล้ำครึ้มคลุมเวร
ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นชวน รวนระเนน
ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่า กัน
เรา จากกันวันนั้นนานมา
แต่เมื่อวสันต์ลีลา ฤาสร่างซาฝนฟ้าฟูมฟาย
ฤดู ฤดี มันไม่มี วันคืนวาย
มันสาปใจ สาปกาย คล้ายมนต์ร้าย พรายผี
ผี วสันต์ มันหลอก มันหลอน
ปีศาจวสันต์วันก่อน ยังสังวรณ์ เวรนี้
ฟัง โถฟัง ฟังฝนตกซี เหมือนนรกตกตี
ย้ำ ขยี้ ใจ ตรม
ไป จากไป ไปแล้วไปเลย
อย่ามาชวนชิดชวนเชย
ปีศาจเอย ร้างเลยอารมณ์
ลมมา ฝนมา จงอย่ามา พาระทม
เพียงโศกทราม เศร้าซม ฉันจะล้ม ตายแล้ว...
*********