22 ตุลาคม 2547 15:59 น.
พุด
url http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=290
(รักเอย)
****************
เด็ดการะเวกเต็มตะกร้ามามอบให้
วางแซมไว้สายหยุดพุดซ้อนแสนอ่อนหวาน
พร้อมจำปีฝากพลีใจจำปีผ่าน
ลืมรักรานสีม่วงโศกโลกเฝ้าดู..
ดอกวาสนาช่อพราวเต็มราวกิ่ง
วาสนาจริงวาสนาใจไหวรับรู้
แก้วร่วงพราวราวสอนใจน้ำตาพรู
ระลึกรู้แก้วกลางใจดวงใสงาม
กุหลาบแดงแจ้งรักประจักษ์แจ้ง
เลือดรักแดงแฝงเศร้าหนาวโศกหนาม
หากรักแล้วอย่าเสียใจระทมตาม
รู้ทุกยามทุกทุกข์รักหนักแอกใจ..
เหมือนตะแบกแบกหวานบานชูเศร้า
ม่วงโศกพราวสายเศร้าให้ร้าวไหว
ตะแบกเอ๋ยไยชาเฉยดวงดอกใบ
ยังพร่างไหวโศกหนาวเศร้าริมทาง..
เล็บมือนางกางเกี่ยวเกาะเกิดรัก
ให้พลีภักดิ์ห่วงดวงใจแสนไกลห่าง
ป่านนี้หนอหนาวดวงใจหนาวน้ำค้าง
ฝากลมครางฝนครวญทวนสัญญา..
กล้วยไม้ไพรไหวกอหวั่นขวัญเฝ้าพ้อ
หวังแตกกอก่อรักมั่นฝันห่วงหา
กี่แสนรักกี่แสนภักดิ์คำสัญญา
พลีบูชาศรัทธานี้มีเพียงเธอ
ราตรีริมชานหวานอวลเศร้า
เรไรเฝ้าร่ำร้องพร้องพร่ำเพ้อ
ดวงดอกรักมาลัยร้อยสายให้ละเมอ
หวังไม่เก้อรอรักมั่นนิรันดร์รัก
ดวงจำปามะลิลามะลิซ้อน
วางเคียงหมอนดอมดมห่มหอมภักดิ์
ดวงดอกปีบปลิดกลีบหอมหลอมรวมรัก
กระซิบรักกระซิบคำย้ำสายใย..
โมกละออช่อกระจิ๊ดนิดนิดน้อย
พวงพราวพร้อยห้อยหอมหวานยอมรานไหว
พุทธรักษาริมรั้วบานสอนใจ
พุทธกลางใจพิสุทธิ์พุทธรักษ์
ลั่นทมเศร้าเฝ้าปลิดปลิวลิ่วควะคว้าง
จูบกลีบบางทัดแก้มแกมโศกหนัก
ลั่นทมเอ๋ยหยุดเผยเศร้าร้าวรานรัก
รอยอดรักพรากแสนไกลไปลับลา..
สวดมนต์กราบกรานหน้าพระพุทธ
ให้รู้หยุดรำงับดับเหว่ว้า
อย่าดายเดียวเปลี่ยวเหงานะยอดชีวา
คำสั่งลายังก้องกระจ่างกลางใจนี้
ฝากฟ้ากว้างรวงดาวบนราวสรวง
ห่มหอมห้วงหอมใจใครคนนี้
พุดไพรหนาวร้าวรานใจนะยอดชีวี
รอคนดีคืนอ้อมตักได้พักใจ..ไปนิรันดร์..!
***********
ดวงดอกไม้ไพรดอกไม้จริงกำลังหวานบานพราวเต็มราวกิ่ง
ดอกรักจริงกลับหุบกลีบน่าฉงน
ดอกไม้เพชรเด็ดแซมใจเคยพร่างพรม
ดอกระทมมาทอดทับรับรู้ใจ
ดอกเดียวดายเหว่ว้าบานสะพรั่งเต็มลานโศก
ดอกรักษ์โลกบานนำทางสว่างไสว
ดอกเคียงคู่จำพรากลาอย่าเสียใจ
ดอกดวงใจคงมั่นขวัญศรัทธา
ดอกความดีพลีบูชาพสุธารัก
ดอกแน่นหนักคงมั่นฝันห่วงหา
ดอกนิรันดร์รักจักมิมีวันโรยรา
ดอกเสน่หาสวาทหวามยามแรกรัก
ดอกพุดซ้อนหวานอ้อนใจแสนไกลห่าง
ดอกความว่างวางแอกใจไม่แบกหนัก
ดอกนิพพานบานรอพุดพร้อมพลีภักดิ์
ดวงดอกรักราวเพชรพรหมห่มหอมใจ ไปชั่วกาล!
......................
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=290
รักเอย ศรีไศล สุชาติวุฒิ : : Key C
รัก เอย จริงหรือที่ว่าหวาน
หรือทรมานใจคน
ความ รักร้อยเล่ห์ กล
รักเอยลวงล่อใจคน
หลอกจนตายใจ
รัก นี่ มีสุขทุกข์เคล้าไป
ใครหยั่งถึงเจ้าได้ คงไม่ช้ำ ฤดี
รัก เอย รักที่ปรารถนา
รักมาประดับชีวี
หวั่น ในฤทัยเหลือที่
เกรงรักลวงฤดี รักแล้ว ขยี้ใจ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮือฮื้อหื่อฮือฮื้อ
ขืน ห้าม ความรักคงไม่ได้
กลัว หมอง ไหม้ ใจ สิ้นสุขเอย
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮือฮื้อหื่อฮือฮื้อ
ขืน ห้าม ความรักคงไม่ได้
กลัว หมอง ไหม้ ใจ สิ้นสุขเอย
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ
หื่อหื่อฮือฮือ ฮื้อฮือฮือหื่อ ฮือ...
21 ตุลาคม 2547 20:37 น.
พุด
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=77
ปริม..กำลังฟังบทเพลงนี้
หลักไม้เลื้อย
เพราะเธอเหมือนหลัก ไม้ตั้งตรงนั่น
ไม้เลื้อยอย่างฉัน ได้พันอาศัย
ขาดเธอเหมือนขาด หลักชีวิตไป
ก้าวเดินทางใด ขาดความมั่นใจ แน่นอน
เพราะเธอเหมือนสร้อย พระห้อย คอนั่น
คุ้มครองป้องกัน ภูตภัยหลอกหลอน
ขาดเธอหัวอก หวั่นไหวสั่นคลอน
แม้ยามจะนอน ประสาทยังหลอนตัวเอง
กลับ มา หาฉันเถิดนะคนดี
มาปลอบชีวี ฉันให้หายวังเวง
ฉันเหมือนพิณ ขึ้นสายรอเธอบรรเลง
ดีดเป็นเพลง ฟังชื่น ฉ่ำอุรา
ขอวอนเดือนเด่น และดาวลอยลิบ
ช่วยเตือนกระซิบ ให้เธอกลับมา
อยู่ชิดเคียงข้าง ดั่งคำสัญญา
คิดถึงเจียนบ้า ปิ่มว่า จะขาดใจ
ขอวอนเดือนเด่น และดาวลอยลิบ
ช่วยเตือนกระซิบ ให้เธอกลับมา
อยู่ชิดเคียงข้าง ดั่งคำสัญญา
คิดถึงเจียนบ้า ปิ่มว่า จะขาดใจ
ฮือฮือฮือ
ฮือฮือฮือ
ฮือ...
............
ได้ยินไหมคะคนดี
กลับ มา หาฉันเถิดนะคนดี
มาปลอบชีวี ฉันให้หายวังเวง
ฉันเหมือนพิณ ขึ้นสายรอเธอบรรเลง
ดีดเป็นเพลง ฟังชื่น ฉ่ำอุรา
คนดี..ปริมคิดถึงคุณ
นะยอดดวงใจ
คิดถึงอย่างมีสติ
อย่างที่เพียรพยายามห้ามมิให้น้ำตาละหลั่งริน
อย่างที่คุณเคยสอนเคยกระซิบสั่งไว้
และ
ให้มีใจดวงดีดวงงาม
มีความรักแบบเมตตาปรานีปรารถนาดี
และ
ไม่ว่าร่างและหัวใจดวงนี้ของเราสอง
จะห่างกันแค่ไหน
จะไกลกันสุดขอบฟ้า
เราก็จะข้ามภพข้ามเวลา
มาหอมห่มบ่มหวาน
ราวดวงดอกไม้แก้วตระการนะกลางใจ..นะดวงใจ
ปริม...
ดูจันทร์เสี้ยวดวงเศร้าทุกคืนค่ำ
และได้แต่เพียรฝันฝากใจ
ส่งจิตไปปลอบประโลม
ใช่แล้ว..คนดี
คุณกำลังทำสิ่งดีงามเพื่อผืนดิน
ที่แสนยิ่งใหญ่นัก..
คุณ..บอกให้ปริมพาจิตตามติดคุณไปทุกถิ่นที่
ไปโอบเอื้ออ้อมกอดอ้อมใจ..
ปันแบ่ง
รินหยาดน้ำค้างหวานใส
ใส่หยาดน้ำใจหอมให้
หอมงาม
สร้างพลังใจกำลังใจ
ให้กับผู้ยากไร้ผู้ทนทุกข์ยาก
ที่ยังมีอีกมากมายนักบนผืนพสุธาแห่งรักเรานี้
คนดี..ยอดดวงใจ
ปริม..พร้อมแล้วค่ะ
ที่จะพลีจิตวิญญาณตามไปด้วยแล้ว
กับทุกนาทีที่เราไกลห่างกันด้วยหนทาง
และขอบฟ้ากว้าง ที่หาใช่สำคัญไม่
คุณก็รู้นี่นะ
นับจากนาทีที่เราได้มาพบกัน
ได้มาแบ่งปันฝันพลีเปิดใจเปิดจิตวิญญาณ
มาพันผูกถ้อยมารัดร้อยสร้อยโซ่ใจด้วย*คำมั่นสัญญา*
จิตวิญญาณทั้งสองดวงของเรานั้น
ก็พลันจักรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
และ
จะไม่มีวันเกี่ยวเก่าไปกับกาลเวลา
ไม่ว่า..ภายภาคหน้า จะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต
หวังในดวงตาในดวงจิต
จักพรายพร่างด้วยมหัศจรรย์แห่งรักนี้
ที่แสนปิติเกษม
และ
จักดำรงสถิตทอด
ดั่งผลึกเพชรพราวพร่างสว่างไสว
อยู่ณ.กลางดวงใจไปตราบชั่วกาลนานเนานิรันดร์
ที่จักมิมีวันมอดดับ ไม่มีวันพรายพลัดพราก
ร่างอาจจะดำรงไปตามหน้าที่
มีสิ่งเร้ามากมีมากมาย
มาให้รับรสรับรักรับสัมผัสรู้สึก
หากทว่าความล้ำลึกดื่มด่ำ
ใช่จะหาได้ ทั่วไป
ในท่ามกลางมากมายผู้คนนับพันล้าน
บนผืนโลกนี้
จะมีใครสักกี่คน
ที่เหมาะสมราวพรหมลิขิตสวรรค์บันดาล
ฟ้าเมตตาสรรส่งลงมา
ให้ได้พบพานพึงใจต้องจิตกัน
ดั่งดวงนิรมิตงาม
มาพร่างหวาน
มาให้หอมห่มมาพรมพร่ำธรรม
มาส่องนำทางนะกลางใจดวงพิสุทธิ์ใสนี้
ราวบุพเพสันนิวาส
แม้นจะยังมิอาจฝ่าวิบากกรรมวิบากเก่าพ้น
ก็ใช่จะต้องพิรี้พิไรร่ำร้อง เร่าร้อน
มิจำต้องรักแบบขอครอบครอง
หรืออยากทายทักอยากรู้จักให้มากไปกว่านี้
เพราะในความคำนึงในฝันนั้น
จะหอมหวานไปนานเนานานเนิ่นนิรันดร์
หวานเกินกว่าหวาน
งามเกินกว่างาม
ดีเกินกว่าดี
ที่มิได้ยึดติดที่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
คนดี..
ช่างเป็นความรู้สึกแสนดี แสนงาม ในชีวิตหนึ่งนี้
ที่ได้มาพานพบใจดวงหอมห่มธรรมดวงล้ำค่า
ใจดวงเพชรกล้ากระจ่าง
หนักแน่นราวแผ่นผาศิลามณีอันแสนมั่นคง
มิหลงโลกย์
ใจดวงที่ดำรงร่างดำรงรู้รำงับ ดับได้
ด้วยดวงดอกธรรมดอกความดีมาอบร่ำ
พร่ำบ่มมาน้อมนำใจให้ใสพร่างงาม
คนดี..ดวงใจ
ฟ้าปรานี สวรรค์เมตตา จงรักษา
ทะนุถนอมเก็บไว้
มาตรแม้นวันเวลาจะสลายลาลับ
ดับทุกสรรพสิ่งอันคือสิ่งจริงแท้แน่นอน..อนิจจังอนัตตา
หากทว่า ในทุกคราครั้ง
รักนิรันดร์นั้นจักธำรงกระจ่างสว่างวาบ
ให้อาบเอิบอิ่มงามอยู่ภายในก้นบึ้งแห่งสายธารรักนี้
ที่จะมิมีวันเหือดแห้งหายสลายลาไปกับกาล
เพียงเพราะ
เราทั้งสองได้หลอมจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว
อันจักพรายพร่างโชติช่วงชัชวาลย์
ยามร่างและปราณเราจำแตกดับ
และ
จิต..อันพร่างไสวนั้น
ก็จักเหินหาวผ่านภพดาวดึงส์ดาวดวงรวงสรรค์
พากันประคองลอยละล่องละลิ่ว
ปลิวข้ามหอมห้วงแห่งห้วงมหรรณพมหานทีสีทันดร
หากเพียรสร้างกุศลให้พร้อมพลี
ดั่งที่เพียรอธิษฐานจิต
ดั่งอุทิศถือ..ศีลสมาธิภาวนามาตลอดชีวิต
และ
สวรรค์มีตาสวรรค์จะเมตตา
พาเราไปสู่ภพภูมิเดียวกัน
ให้เสมอเทียมกันได้
ให้ได้พบงามว่างงามกระจ่างจิตสถิตทอดเย็น
ไปเป็นนิรันดร์ในว่ายเวิ้งฝันอนันตกาล
ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์
นะคนดีนะยอดดวงใจ..
แล
เพราะจิตเรานี้
คิดเหมือนกันราวถอดใจ
เพราะ
สายใยแห่งภพภูมิแต่ปางก่อนปางหลัง
ตามมาให้รักษาสัญญาระลึกรู้
สัญญาณ
แห่งหวานหอม
ที่จะคอยเคียงประคองกัน
หอมห่มพรมธรรมนำทางจิตไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ให้มีพลังปิติเกษม
เติมจิตให้อิ่มเย็นอิ่มเต็ม
ให้รู้ค่าคำรัก
อันจักดำรง
เป็นรักเหนือโลกย์โศกสุข
ที่มนุษย์ผู้มีจิตพิสุทธิใสเท่านั้น
ที่ฟ้าดินและสวรรค์จะสรรส่งมาให้
ให้มาสร้างปาฎิหารย์รักอันเอกอนันต์ค่า
ฝากให้โลกและมนุษย์ได้รับรู้ว่า
ในโลกนี้
ยังคงมีตำนานรักอันแสนหนักแน่นมั่นคง
และ
จักธำรงอยู่เป็นคู่ใจคู่จิตคู่ธรรมคู่ทอง
พากันประคองดวงชีวาชีวี*เรือชีวิต*
ให้ลอยล่องำแนสายธาราธรรม
น้อมนำไปพบฝั่งฝันอันงามเงียบว่าง*นฤพาน*
ที่เพียรใฝ่งาม
ตั้งจิตอธิษฐาน
เพียรทำเพียรสร้างแต่กุศลจิตดี
ประกอบชีวีให้ถึงพร้อม
และ
เพื่อขอรวงพรอันอบอุ่นอ่อนหวานจากทุกดวงใจ
ให้กับรักยิ่งใหญ่แห่งสองเรา
ได้สถิตไปเป็นอมตะรักมั่นนิรันดร....
20 ตุลาคม 2547 16:11 น.
พุด
url http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
(คำมั่นสัญญา)
ต่อจากภาคแรกค่ะ
http://thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_63890.php
ลอมบอค บาหลี ที่รัก!
**********************
บาหลีคลี่ยิ้มแบบตลกในใจ
ทั้งแปลกใจทั้งประหลาดใจ
ทั้ง งุนงง ราวฝันไป
และ
ยิ่งตลกกันเข้าไปใหญ่
เมื่อเธอนั้นต้องหันหน้ามาทำหน้าที่บอกทาง
ส่วนเขานั้นเล่าราวบทบันทึกที่แสนจะน่าจับใจจดจำ
ศึกษาภูมิประเทศและประวัติศาสตร์มาอย่างช่ำชอง
อย่างมากมายของเกาะแห่งนี้ไว้
ที่ราวกับ
นักเดินทางผู้มากล้นประสบการณ์
ผ่านมาบอกเล่าให้บาหลีได้พลอยรับรู้
ทั้งคู่ค่อยๆแบ่งหน้าที่กัน
บาหลีคอยบอกทางให้เขาขับช้าๆ
ในขณะที่เขาก็คอยเล่าถึงประวัติอันแสนงดงาม
ยาวนานของเกาะแห่งนี้..ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
*เกาะแห่งนี้ราวเกาะบาหลี
ย้อนหลังไปราวห้าสิบปี
ค่าที่ยังมียังเหลือร่องรอยธรรมชาติ
ความสงบงามกว่าอยู่มาก
และสภาพภูมิอากาศจะแตกต่างกัน
ทางตอนเหนือนั้น
ยังอดุมสมบูรณ์คล้ายคลึงกับป่าทางซีกโลกตะวันตก
ส่วนทางใต้นั้นจะร้อนชื้นแห้งแล้งคล้ายป่าทางเอเชีย
นักท่องเที่ยวจึงพิศวงหลงใหล
ในมนต์เสน่ห์นี้
ที่ดูราวกับจะมีธรรมชาติผสานผสม
ให้มาทั้งสองแบบ
ทั้งแบบป่าตะวันตก
ที่เขียวขจี มีทุ่งนาผืนใหญ่
มีโตรกธาร ลำน้ำสวยใส ไหลผ่านบึงกว้าง
ผ่านท่ามกลางป่าทึบรกเขียวสะพรั่งไพร
และ
พลันในพริบตา
ก็อาจจะกลายเป็นภาพป่าเอเชียที่ร้อนแล้ง
เต็มไปด้วยต้นไม้แห้ง
แคระแกรนโกร๋นในทุ่งโล่งแลละลิบ
กับ
ความรกร้างราวเมืองทะเลทราย
ที่มีเพียงเนินหินระเกะระกะ
กระจัดกระจายเป็นหย่อมๆ
และ
ลอมบอคนั้น
ราวกับสวรรค์ราวกับบาหลีในสมัยอดีต
ที่ยังไม่มีมนุษย์มากมายมากมี
ที่พร้อมพลีกันมาทายทัก
ให้พากันมาพักใจมาเสพย์งาม
จนเป็นที่รู้จัก
จนกระทั่งดังกระฉ่อนไปทั่วโลก
ว่างามกว่างาม
ราวสวรรค์สรวงราวโลกสามสวรรค์เยือน
และ
ความหมายของคำว่าบาหลี
ที่แปลว่าได้ความว่าแข็งแกร่งดั่งภูผาหิน
ราวกับกำลังหยัดยืนท้าทายสายลมแรง
รับแรงกระแทกจากโลกอารยะ
ด้วยศิลปะ ชีวิต วัฒนธรรม
แรงศรัทธา ความเป็นอยู่
มีสาวงามทัดดอกลั่นทม
พร่ายพรมร่ายมนตราระบำบารอง
มีนาข้าวขั้นบันไดเขียวขจี
มีผ้าบาติก..หน้ากากไม้
มีทิวเขาทะเลสาบน้ำตก
มีป่าไพรยังรกนะกลางหุบเขากลางเกาะ
และที่สำคัญ
ประเพณี
อันแสนงดงามล้ำค่ากว่าที่ใด..
และสำหรับลอมบาค..
แม้นจะไม่ห่างไกลมากจากบาหลี
หากทว่าช่างมีความแตกต่างอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เช่นจากสัตว์ที่อาศัยและจากพืชนานาพรรณ
ในป่าดงดิบ
ที่มีนักธรรมชาติวิทยา
*ท่านเซอร์ อัลเฟรด วอลเลซ*นักสำรวจชื่อดัง
ได้ตั้งชื่อเส้นทางแห่งการแบ่งกั้นนี้ว่า*เส้นวอลเลซ*
ซึ่งเป็นเส้นที่แบ่งว่าบาหลีนั้นอยู่ในทวีปเอเชีย
ในขณะที่เกาะลอมบอค
คือจุดเริ่มต้นของอาณาจักรออสเตรเลเชีย
และ
สิ่งที่ทำให้นักผจญภัยผู้พิชิต
ต่างพากันมายังนะเกาะแห่งนี้
ก็เพราะมีสิ่งที่ตั้งตระหง่าน
เหนือศูนย์กลางของเกาะลอมบอคคือ
ปากปล่องภูเขาไฟรินยานี(Mount Rinjani)
ที่เป็นยอดเขาที่สูงอันดับต้นๆของอินโดนีเซีย
ที่ช่างงามท้าทายนัก
บาหลี...ฟังเพลิน
ราวกับฟ้างามกำลังเผยม่าน
ให้ได้สัมผัสละมุนหอมให้ซึ้งในคุณค่าของ
วิมานกลางผืนหล้า
แดนดินกลางมหาสมุทรอันงดงาม
ท่ามกลางวิวทะเลงามสีสวยราวไหมมรกต
ท่ามกลางความซาบซึ้งดื่มด่ำ
กับธรรมชาติชายหาดที่ทรายยังขาวละเอียด
ช่างน่ายินดีนัก
ในขณะที่เขาเล่าไปพร้อมกับแนะนำตัวเองไป
ผม..ทำงานเกี่ยวกับการวิจัยพืชครับ
และทำให้ผมสนใจที่จะศึกษาพันธุ์ไม้ทุกชนิด
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะในแถบนี้
*ประเทศอินโดนีเซีย*
ที่มีภูมิประเทศทั้งสองแบบในประเทศเดียวกัน
และ
ผม..ยังไม่ได้แต่งงานครับ
ชีวิตสงสัยมัวทุ่มเทกับงาน
และผมมีแนวความคิด
ที่ผุดเองมาตั้งแต่วัยหนุ่มแล้ว
ว่าความรักคือความทุกข์
ไม่อยากเวียนว่ายในความทุกข์นี้
ผม..จึงน้อมนำใจใฝ่เพียรไปทางสายปฎิบัติธรรมครับ
น้อมนำพุทธบารมีมาเป็นรัตนกลางดวงใจ
มาน้อมนำจิตผมให้กระจ่างให้รู้รำงับดับวาง
เพื่อรอพบว่างอันจักเป็นรักนิรันดร์
คุณอาจจะแปลกใจ
ที่คนหนุ่มอนาคตไกล
ยอมทิ้งความรักแบบครอบครัว
หากทว่าผมกลับมีความสุขดี
กับชีวิตแบบนี้ที่ผมเลือกครับ
บาหลี..ทึ่งและงงงันอีกแล้ว
ในชีวิตเธอนั้น..มักได้ประสพพบเจอ
คนที่มักมีความคิดแผกผิดพิเศษพิสุทธิ์เสมอมา
ราวกับว่าเธอนั้นมีสัมผัสที่หก
หรือมีดวงตาที่สามราวมีฌาณหยั่งรู้
และคนไหนที่ไม่ใช่
ฟ้าดินก็มักมีอันดลให้ต้องพลัดพรากจากกันไป
ตามกาลตามกรรม..
.............
บทสนทนายุติลง
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน
ที่ลดหลั่นกันไปตามเชิงเขารินยานี
ที่ราวภาพวาด กระจัดกระจายตัวลงมา
อย่างเงียบงามสงบสุข
เขาและเธอลงไปเดินดูงานเซรามิกที่ราคาถูกแสนถูก
ดูการวาดภาพที่แสนงดงามในผ้าบาติก
เธอได้ตะกร้าสานลายสวยฝืมือละเอียด
ไว้ทำเป็นเป็นประเป๋าสะพายใบใหญ่
เขาได้ไม้แกะสลักประดับบ้านฝืมือช่างพื้นถิ่น
ที่ตั้งใจจินต์ค่อยๆแกะออกมาเป็นหน้าเทพเจ้า
และ
เมื่อมาถึงตลาดปลาตันยุง ลูอาร์
ริมฝั่งอันแสนคึกคัก
ก็ทำให้ได้บรรยากาศแสนงามอีกแบบหนึ่ง
ที่เห็นชาวประมงยังคงคอยลากอวนขึ้นมาจากทะเล
และ
จากถนนสายตะวันตกจากกูต้า
กับยามที่ตะวันใกล้ค่ำแล้ว
เขาขับรถตามแผนที่
ที่เธอบอกทางมาจนถึงยัง *หาดมาวูน*
อันแสนงดงาม
มีดงปาล์มเรียงขนานชายฝั่งทะเลที่ไร้ผู้คนพลุกพล่าน
มีเพียงเด็กออกมานั่งเล่นบนกองทรายกัน
ทุกสิ่งยังดูไร้ร้าง ไม่มีโรงแรม ร้านอาหารใดใด
ให้มาบดบังความงามสวยใสอย่างเป็นธรรมชาติ
ทันที่รถจอดเหนือชายหาด
ที่มีทรายเนื้อนวลละเอียดงามราวแป้ง
และ
กำลังสะท้อนแสงเปล่งปลั่งระยิบระยับราวทองคำ
รับพรายแดดสีทองในยามเย็น
ที่งามเกินรำพันรำพึงนั้น
และมีแหลมหินที่ยื่นออกไป
เกิดเป็นภาพที่น่าหลงใหล
ชวนพิศวงดั่งต้องมนต์สะกด
เขามองเธอ..นิ่งนาน
ในสายแสงตะวัน
ที่กำลังสาดส่องย้อนแสงมาตกต้องร่าง
ให้งามมลังเมลืองราวกันนางในฝัน
ให้ผมสีอำพันดูสว่างโพลง
สะท้อนพร่าง..พราวงามเกินคำรำพันรำพึง
เธอ..ผู้มีดวงตาเศร้าซึ้งแสนหวาน
ที่ดูดีมีบุคคลิกแสนเชื่อมั่น
ในขณะที่เขาสังเกตว่า
เธอมีความลึกล้ำลึกทางจิตวิญญาณ
ยามพาทียามเจรจาที่ช่างแสนน่ารักนัก
ค่าที่ไม่มีอัตตาพาให้ใครใครรำคาญ
แม้นเธอจะยังดูมีความเป็นตัวของตัวเองสูง
หากทว่าบางครั้งก็นิ่งงันเงียบราวลืมโลกภายนอก
ยามที่เธอต้องการแยกตัวเอง
ออกจากโลกแห่งความจริงชั่วคราว
ราวตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ฝัน..
เขาแอบมองเธอแอบชื่นชม
และยิ่งรู้สึกดื่มด่ำวาบไหวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
เขายังจดจำได้ถึงบทกวีบางบท
ที่มักกล่าวถึงความรักงดงามรักแรกพบว่า
บางครั้ง
ไม่จำเป็นต้องอาศัยเวลาระยะทาง
หากเป็น..ลิขิตพรหม..
ถึงเวลา..
ฟ้าดินเบื้องบน
ก็จะส่งเขาและเธอให้มาพ้องพานพบกัน
ให้มาประสานต้องจิตต้องใจกัน
ราวรู้สึกรัดร้อยผูกพันกันมายาวยืนแต่ปางก่อนภพก่อน
ซึ่งผิดกับคนที่ทนฝืนใช้ชีวิตร่วมกัน
เพียงเพื่อชดใช้วิบากกรรม
ที่วันเวลามิเคยทำให้ได้รู้ค่าและได้รับความซึ้งใจ
นอกจากรอเวลาแห่งชีวิตให้ผันผ่านไป
หากยังรู้ทำใจอดทนเพียงนั้น
เขา..ถอนหายใจช้าๆ
เฝ้าคอยให้เธอเปิดใจรับอิ่มงาม
เธอพาตัวเองไปทรุดตัวนั่งเหนือเนินทราย
ในขณะที่เขาเดินเดียวดาย
ใกล้ๆไม่ไกลห่าง..ราวผู้พิทักษ์
ค่ำแล้ว..พระอาทิตย์ดวงโต
ค่อยๆโรยตัวลงเรี่ยเคลียผืนน้ำ
ทิ้งเพียงความอ้างว้าง
หากทว่ายังอาลัยอาวรณ์
ฝากแสงงามราวทองคำทาบทา
แทนคำอำลาอ้อนอาบฉาบฉ่ำไปทั่วทั้งผืนน้ำทะเล
ธรรมชาติงาม
ฟ้างาม ใจงาม
ทะเลงามและผู้หญิงงาม
จะหาไหนใดเล่ามาเทียม
มาตรแม้นจะเดียวดายร้างไร้
ราวอยู่ปลายโลกร้างก็ตามที
เธอ..ค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
และนะบัดนี้
นวลเนื้อผ่องผุดราวอาบทองทา
ร่างงามกลมกลึงงามจับตากลายสี
ราวประกายเพชรพร่าง
งามระยิบไปทั่งทั้งร่างทั้งตัว
เธอชวนเขากลับไปที่พัก..
และนัดกันดินเนอร์งามง่าย
ใต้แสงเทียนในค่ำคืนนี้
ในโรงแรมที่แสนสงบเงียบ
อย่างธรรมธาตินะกลางหาดสวย
ที่ถูกออกแบบให้ซ่อนตัวกลมกลืน
ผสมผสานไปกับทัศนียภาพ
โดยใช้สถาปัตยกรรมท้องถิ่นมาบันดาลใจ
ที่น่าจะได้รับแรงใจแรงฝัน
จาก*ลุมบุง*หรือยุ้งข้าวหลังคามุงจาก
ของชาวบ้านข้างเคียง..
******
ก่อนอาหารมื้อค่ำ
กับ
ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา
พร้อมกันกับที่ทางโรงแรมเตือนว่า
คืนนี้อาจจะมีพายุฝน..
เขา..คว้าแจ๊กเก๊ตขึ้นมาสวมใส่
และตั้งใจจะออกไปเดินเล่น
ตามชายหาดรอเวลาตามลำพัง
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
จากนาทีสักครู่ที่ผ่านมา
ที่หวานแสนหวาน
ปานประหนึ่งสวรรค์ลอย
ราวสายรุ้งระเรื่อเจือสายแสงสีทองอันอ่อนอุ่น
กลายกลับเป็นสีเทานกพิลาป หมองหม่น
ให้กมลพลอยโศกซึม
หากมิพึงระลึกรู้รำงับดับทุกข์ใจ
มิให้เศร้าใจไปตามฟ้าฝน
ฝูงนกพากันผกโผผินบินหนี
ราวกับรู้ว่าต้องหาที่หนีหลบภัย
ซ่อนซุกตัวจากโพยภัยจากพายุฝนและลมแรง
ก่อนที่เขาพลันจะหันตัวกลับ
ในเรียวตาเหลียวไปเห็น
ร่างๆหนึ่งนอนเงียบงามในเนินผาหิน
ที่ไม่สูงนักอยู่ในระดับสายตาเขาพอดี
ในเงาฝนเงาฝันที่ใกล้ๆกำลังจะระร่ำริน
เธอนอนเอนกายสยายผม
หลับตาพริ้มทอดทิ้งร่างใจราวกับนางไม้นางไพร
ไม่ขยับเขยื้อนไหวราวลืมโลกภายนอก..ไม่ไยดี
ด้วยความห่วงใย
ด้วยดวงใจอ่อนโยน
เขาจึงค่อยๆหันหลังกลับๆไปยืนเคียงใกล้
พร้อมกับกระชิบปลุกเธอด้วยเสียงอ่อนโยนเบาๆ
*คุณครับ..พายุ..กำลังจะมา..*
เธอ..คนนั้นค่อยๆลืมตา
และ
ในพรายแสงงามจากสว่างวาบ
ของสายฟ้าที่เริ่มคำรามแลบ
ทำให้ทั้งเขาและเธอต่างพากันหัวเราะเก้อ
*อ้าวคุณ..นี่เอง ตามฉันมาหรือคะ หรือว่าบังเอิญ..*
*ไม่ครับ ผมเพียงอยากมาเดินเล่น
เห็นเนินหินแถวนี้งามดี
คิดว่าจะมานอนเล่นเหมือนคุณนั่นแหละครับ
เขาหัวเราะ แต่คุณไวกว่า
และพอดีพายุมา..
กลับกันเถอะครับ
เดี๋ยวเราทั้งคู่ต้องเปียกมะล่อกมะแล่กอย่างแน่นอน*
เขาหัวเราะ เพราะทันทีที่พูดจบ
สายฝนก็เริ่มพร่างสายพรายพลิ้ว
พร้อมกับลมแรงจนหนาวเยือก
*อ้าวมาเลย ยังไม่ทันขาดคำ*
เขารีบกุลีกุจอถอดแจ๊กเก๊ต
มาบังร่างเธอ
ที่นะบัดนี้
จำต้องเอียงเคียงไหล่เข้าไป
แทบซุกในอ้อมอกอ้อมกอดเขา
ด้วยแรงลมพายุ..แรงรัก
ที่กำลังหวานฉ่ำรอเวลาละหลั่งรินหยาด
หัวใจสองดวงต่างเต้นตึกตักๆราวกับรัวกลอง
โอ้ฟ้าดินหนอฟ้าดิน
หากหยั่งรู้จิตมนุษย์ภายในได้
คงเฝ้าหัวเราะตลกด้วยความเมตตา
เพราะทั้งเขาและเธอต่างคิดแบบตลกไม่ออก
เหมือนๆกัน
กับความรู้สึกลึกล้ำนี้กับฉากแสนหวานนี้
ที่*ไม่เอาพระเจ้าก็แจกราวให้ลองรัก*..ไฉนนะนั้นเลย
เป็นความพันผูกอบอุ่นอ่อนโยน
ที่ลีลาวสันต์พร่างมาทันเหตุการณ์
มาปันแบ่งมาปันหอมราวอยากหลอมละลาย
ให้ทั้งสองนวลเนื้อใจ
ของผู้พิสุทธิ์ใสแสนดีได้มาร้อยรัดกัน
ในวันที่พอเหมาะพอควรราวจับวาง
ราวสวรรค์เจตนาฟ้าดินร่วมรับรู้เมตตามาเป็นใจ
มาเติมต่อจุดใจให้พบไสวพร่างในทางสรรสร้าง
มิใช่เพียงหวังรสรักแลกเปลี่ยน
เพราะสำหรับบาหลี..ผู้มีชีวีงาม
ผู้เพียรบูชาความรัก
และผู้เป็นที่รักราวพระเจ้า
เธอ..เฝ้าทำดีเฝ้าให้น้ำใจรัก
หากทว่า..สิ่งที่ได้กลับมาคือความเลวร้าย
ที่ทำให้ให้หัวใจเธอมีบาดแผลและ
หมดหวังและหมดศรัทธาในรักอีกต่อไป
ไม่เคยแม้จะคิดแสวงหา
เพราะว่าเตือนตนมานานนักกับคำรักคือทุกข์
ดั่งคำสอนของพระพุทธองค์
ที่เธอเพียรนำมาพร่ำบ่มห่มหอมใจ
ให้มิไหวหวั่นกับรักนี้อีก
ที่เธอทราบว่า
ก็คือการวกวนว่ายเวียนให้รับวิบากกรรมย้ำรอย
หากทว่าเธอเคยคิด
หากฟ้าดินจะสั่งตรงคนดีมาให้เธอ
พร้อมพลีจิตบูชาอีกสักคราครั้ง
เธอหวังให้ดวงตาภายใน
จงนำทางใจให้เธอและเขา
ได้มาพบมารักกัน
แบบกัลยาณมิตรทางธรรม
ให้มาน้อมนำ
ความดีความรักแบบหอมงาม
หอมหวานจนเกินกว่าใครจะหยั่งรู้
แบบคู่ใจคู่ธรรมคู่ทองพากันโอบประคอง
ลอยล่องเหนือทะเลโลกย์โศกสุขนี้
ให้มีพลังใจทำสิ่งดี
มีแต่พลีน้ำใจงามดั่งหยาดน้ำค้าง
มาพร่างพรมห่มรินให้แก่กันและกัน
ประดุจดั่งสายธาราใจไม่มีวันแห้งหายสลายลา
ตราบชั่วฟ้าดินสิ้นกี่ภพชาติ
ใช่พิสวาทเพียงเนื้อหนังอันไร้จีรังยั่งยืน
เพื่อเป็นพลังสรรสร้างสิ่งดี
คืนกลับให้โลกนี้ก่อนที่ชีวีจะล่วงพ้นบ่วงกรรม
ให้พบทางแห่งความงามอันว่างเปล่าเป็นนิรันดร์รัก
ตราบจนกว่าร่างจะแหลกจะลับลาลงสู่พื้นพสุธารัก
...............................
และ
ในท่ามกลางคืนฝันวันลมฝนปนพายุ
ที่ผ่านไปในราวสองสัปดาห์
ให้เธอและเขาได้ใช้เวลาร่วมกันได้ศึกษาใจกัน
ได้ตักตวงเกี่ยวเก็บประสบการณ์ทั้งจากสถานที่
มากมายภายในเกาะนี้
ไปเล่นกระดานโต้คลื่น
ไป ดำน้ำตื้น ดูปะการัง
ไปดูการใช้ชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ
ไปดูภูเขาไฟรินยานีที่งามและหยุดพิโรธแล้ว
ดูนักผจญภัยปีนขึ้นไป
ที่ต้องเใช้เวลาราวสามวัน
ไปเที่ยวน้ำตกเซินดัง ยีเล่ ทางฝั่งตอนเหนือ
ดูแมกไม้นานาพันธุ์สัมผัสกับละอองน้ำอันฉ่ำเย็น
ดูเนินเขาแห้งแล้งราวลูกคลื่นสลับ
กับทิวทัศน์เส้นทางฝัน
อันงามคดเคี้ยวบรรเจิดใจ
ยามเอนไหล่พิงกันชมยามพระอาทิตย์ดวงสีไพล
กำลังจะลาลับฟ้า
เหนือเนินผาหินอันระเกะระกะกระจัดกระจายราวภาพวาด
ดูกระท่อมหลังคามุงจาก
ใน*ซาเดเมืองทางตอนใต้ของเกาะ*
ดูสุเหร่าเก่าแก่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง
ดูหมู่เกาะราวไข่มุกที่ซุกอยู่ท่ามกลางท้องทะเลไหมมรกต
แล้วไหนยังนั่งอิงกันดูเรือหาปลากลับคืนฝั่ง ยามค่ำคืน
นั่งดูโคมไฟถูกจุดขึ้นด้วยฝือนางฟ้าทีละดวงๆ
จนพราวพร่างไปทั่วทั้งผืนฟ้าระยิบระยับ
ไปนอนเคียงผาพากันนับดาว
คอยเฝ้าดูทะเลยามค่ำ
ฟังเสียงคลื่นกระซิบ
และสายลมที่พัดพากลิ่นหอมของดอกราตรี
เบื้องหน้ามีดวงไฟเล็กๆหลายดวง
ดุจประทีปลอยอยู่ริมขอบฟ้า
ดูงามวิถีชีวิตของชาวประมงเริ่มต้นขึ้น
ได้ยินเสียงกังสดาล
ที่แขวนลงมาจากชายคา
ส่งเสียงกังวานแว่วหวาน
ราว เสียงกระซิบของหญิงสาวคนรัก
ยามที่พรานทะล
พาดวงไฟจากพรายท้ายเรือลาล่วง
ห่างจากฝั่งจากผืนดินไปทีละนิดๆ
ไปนั่งเชยชิดชมคลื่นคลอทราย
แล้วให้เขาร้องเพลงนี้ให้ฟังด้วยเสียงทุ้มนุ่มหวาน
ทรายกับทะเล
*จะเหนื่อยเพียงไหน
จะทุกข์เพียงใด โปรดรู้ตรงนี้ยังมีฉันอยู่
พร้อมจะดูแลหัวใจ
หากมรสุม จะทำให้เธอเหน็บหนาวใจ
พายุจะแรงแค่ไหน จะคอยอยู่ข้างเคียงเธอ
*
หากมีวันไหน
ที่เธอไปไกลจากฉัน
ในหัวใจไม่เคยหวั่น
และจะคอยเธอย้อนมา
ก็ใจมันรู้คลื่นลมจะคอยพัดพา
คอยชัดทะเลเข้าหาหาดทรายแห่งนี้ดังเดิม
*คือผืนทรายที่โอบทะเลไว้
จะวันใดมั่นคงเหมือนดังที่เป็น
อยู่เคียงข้างเธอไป ใจไม่ไหวเอน
และยังคงชัดเจนอย่างนั้น
หาดทรายยังสวย
รายล้อมทะเลด้วยรัก
คงไว้ด้วยใจแน่นหนัก
ไม่หวั่นยามพายุผ่าน
จะมีเพียงฉัน รักเธอตราบนานเท่านาน
มีรักในใจผสาน ดังทรายอยู่คู่ทะเล
*******
ให้เขาเห่บทกวีเจ้าฟ้ากุ้ง
ซึ่งซึ้งหรือไม่ซึ้งก็ตรึงใจจนน้ำตาริน
เอนอิงกันซึ้งใจ
ในลีลาการแสดง
ศิลปะอันศักดิสิทธิ์ของชาวซายัคและชาวบาหลี
ในคืนฝันวันพระจันทร์เต็มดวง
ให้หอมห้วงฝันอิ่มเอมราวสวรรค์ลอย
ให้เขาเล่าถึงความหลังในเมืองหนาว
ยามพรากลาไปไกลบ้าน
ให้เขาเล่าถึงประสบการณ์แห่งชีวิต
ที่เลือกลิขิตเดินไปในร่มธรรม
แทนที่จะนำพาชีวิตไปว่ายวนในวงกรรมกาม
ฟังเขาฝากถ้อย
ร้อยรสบทพระธรรม
อันพึงเพียรนำมาน้อมใจให้ไหวปิติ
ให้คิดดีคิดได้ให้คิดเพียรภาวนา
ฟังความรู้สึกเหว่ว้าของดวงใจ
ยามที่ยังไหวไม่ทันมิรู้ดับทัน
ฟังความหวามหวานหวั่นในรสรัก
ที่จักต้องรู้หักใจ
ประคองใจ
รู้สร้างกระจ่างใส
ฟัง
ความงามความดี
ความมีสติระลึกรู้ดีชั่ว
เพื่อพาตนให้พ้นหมองมัวแบบโอบเอื้ออ่อนโยน
และ
ฉากสุดท้าย
ฉากร่ำลา..
กับทุกคำ
พูดให้รู้รักษาจิตรักษาร่าง
ที่ต่างพร่างรินร่ำ
ราวแทนทุกล้ำลึกความรู้สึก
ที่ต่างก็นึกแล้ว
ให้แสนภาคภูมิใจในกันและกัน
ที่สวรรค์ได้สรรส่งคนพิเศษพิสุทธิ์มา
ให้รู้คุณรู้ค่าคำรัก..ภักดิ์พลีจิต
และให้มีชีวิตรู้รักเย็นรักเป็นอย่าง
หนักแน่นมั่นคงมิหลงร่าง
ยอมห่างให้งาม..อย่างไม่ยึดมั่นถื่อมั่น
หรือตามกันคอยหึงหวง
มีแต่จะชวนกันประคองใจให้ไหวทันเท่า
ในทุกสรรพสิ่งที่วิ่งมากระทบในโลกนี้หากยังมีชีวา
และ
ฉากลาที่เขาทิ้งท้ายไว้ให้จดจำ
จำจดดั่งคำสอนมรณานุสติ
ราวกับว่าเขาจักรู้ว่าเวลามนุษย์เรานี้ช่างแสนสั้นนัก
ราวกับว่า
เขาจะหยั่งรู้ค่าเวลาแห่งชีวาชีวิต
ที่ฟ้าดลสวรรค์ลิขิต
ให้มาได้พบกันรักกันและเข้าใจ
อย่างมิอาจจะสามารถพรรณณา
ถึงที่มาที่ไปและในเหตุผลนี้
เขาคนดี..เพียงบอกสั้นๆซึ้งๆ
ฝากให้คำนึงนาน
ว่าคือคู่รักชั่วกาลกัปป์กัลป์
แต่ปางหลังแต่ปางก่อน
ที่ฟ้านั้นประทานพรให้มา
และ
กับคำลาสุดท้าย..ทิ้งไว้ให้บาหลีระทมนัก
หากนัดแล้วเขาไม่ไปตามที่นัด
หลังจากกลับสู่ชีวิตชาวเมือง
ก็ให้รับรู้ว่า...
คือ กายและลมปราณของเขาได้แตกดับไปแล้ว
ณ ภพนี้
เมื่อวันนั้นมาถึง
เขาไม่ปรารถนาให้บาหลีเสียใจ
เพราะความพลัดพราก หรือ มรณา
เป็นสิ่งที่ สรรพชีวิตไม่อาจฝืนลิขิตได้
ให้บาหลีพลีจิตฝึกใจไว้ให้พร้อม
ยอมรับความเศร้าดายเดียวให้ได้
อย่าได้โศกครวญโศกรานนานเกินไป
......................................
และ
กับวันนี้..นาทีนี้
ที่ลีลาวสันต์ปีศาจวสันต์
กำลังโปรยสายพรายพร่าง
ลงบนร่างร้าวของบาหลี
ที่นั่งรอเขามานานนับชั่วโมง
ในสวนขวัญสวรรค์ลา..
ท่ามกลาง
ดวงดอกลั่นทมเหว่ว้ากำลังค่อยๆปลิดปลิวๆๆ
ดวงดอกไม้แห่งคำมั่นสัญญาปาริชาติ...
ที่เขาบอกว่าจะพาเธอไปพบในสรวง
กับน้ำตาที่กำลังรินร่วงพร่างพรูมิขาดสาย
ราวสายฝนสายฝันสวรรค์ลา
ราวฟ้าดินกำลังรับรู้คำกระซิบเศร้า..จากใครบางคนนะเบื้องบน..!
*น้องรู้ไว้นะครับว่า พี่จากแต่กาย
ใจพี่ไม่ได้จากไปไหน
จิตไม่มีวันแตกดับ หรือ สลาย
จิตพี่จะอยู่ดูแลน้องของพี เบื้องบนและรอน้องของพี่...
วันหนึ่งเราจะได้พบกัน
เป็นการพบกันครั้งที่สองในอีกภพภูมิหนึ่ง
บุญทุกอย่าง บารมีที่พี่บำเพ็ญ
พี่ฝากกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้กับน้อง
ให้จดจำน้องของพี่
ให้ ติดตัวน้องของพี่ไปทุกๆชาติ
และ คุ้มครองน้องของพี่ให้มีความสุข
ทั้งหมดคือ ความในใจ คือคำมั่นสัญญา
คือความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของพี่คนนี้ครับ *
.........
***********
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
คำมั่นสัญญา
พิ้งค์ แพนเตอร์ : : Key F
ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
มหรรณพ
พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป
แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
ใคร่เป็นหงษ์
จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอ ติดตาม ทรามสงวน
นวลละออง
เป็น คู่ครอง พิศวาส
ทุกชาติไป...
19 ตุลาคม 2547 22:03 น.
พุด
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4
(จงรัก)
ลอมบอค..Lombok(อัญมณีแห่งตะวันออก)..บาหลีที่รัก
ภาคแรก
**************
บาหลี..ชื่อ..บาหลี
แต่ทว่านาทีนี้
บาหลีมิได้เดินทางย่างเหยียบไปเกาะบาหลี
อย่างที่น่าจะไป...
อาจจะเป็นเพราะว่า
ณ.ที่เกาะแห่งนั้นที่เคยเป็นดั่งสวรรค์บนดินนั้น
พลันนะบัดนี้
ได้กลายกลับเป็นเกาะนรกน่าวิตก
ในใจนักท่องเที่ยวต่างชาติไปแล้วอย่างไม่หวนคืนกลับ
นับตั้งแต่นาทีในคืนวันที่13ตุลาคม2545
ที่มีการก่อวินาศกรรม
ให้ผู้มีคนนับร้อยผู้บริสุทธิ์
ได้ล้มตายบาดเจ็บซ้อนทับถมกัน
เพราะตึกไนท์คลับชื่อส่าหรีได้ถูกถล่ม
ถูกวางระเบิดจากเงื้อมมือผู้ก่อการร้าย
ที่ร้ายได้อย่างน่าสยดสยอง
อย่างอยุติธรรมต่อทุกดวงใจ
ผู้ที่รอคอยรับรู้รับเศร้าอยู่เบื้องหลัง
ญาติมิตรแม่พ่อ
และลูกเมียและผู้อันเป็นที่รัก
ที่จักทำใจให้ยอมรับได้อย่างแสนลำบากยากเย็น
ในโศกนาฎกรรมนี้
แม้นว่าอาจจะยังโหดร้ายน้อยกว่าการที่
ตึกเวิลด์เทรดถล่มที่นิวยอร์คอเมริกา
ที่พาให้โลกทั้งโลกต่างตื่นตกตะลึงขวัญผวา
มาจนถึงนะวันนี้
ที่ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง
แห่งมวลมนุษยชาติบนโลกมนุษย์นี้
ที่นับวันแสนจะไม่มีอะไรให้มั่นใจในความปลอดภัย
ด้วยไร้ซึ่งสมานฉันท์ความเมตตาปรานีต่อกัน
ด้วยสิ้นไร้คุณธรรม
นอกจากความก้าวร้าวเห็นแก่ได้
แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไร้ความฝัน
ที่จะพยายามรักษาความสงบร่มเย็น
ด้วยผู้นำต่างคิดต่างอุดมการณ์..ขัดแย้งทางการเมือง
ต่างก็พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์
ของแผ่นดินตัวเองไว้ให้อย่างดีที่สุด
และ
จะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องหรือไม่ก็ตาม
อย่าถามหาความยุติธรรมนั้น
เพราะแม้กระทั่งศาลโลกยังมิอาจจะพิพากษาได้
***********
บาหลี..
จึงเลือกที่จะมานั่งอยู่บนเครื่องบินแบบใบพัดฟอคเกอร์
เพื่อจะรอเวลา
ค่อยๆถาร่อนลงตรงรันเวย์สนามบิน*เซอลาปารัง*
(Selaparang)ณ.เกาะลอมบาค (Lombok)
แทนที่จะไปยังดินแดนเดียวกันกับชื่อของเธอ
หัวใจดวงเดียวดาย ดายเดียว
เลือกที่จะเกี่ยวเก็บประสบการณ์ลำพัง
ทิ้งความเศร้าความหลัง
ความฝันอันพังภิณฑ์ไว้เบื้องหลัง
กับโลกชุลมุนที่ตัดสินใจพรากมา
ที่พรากลา
โลกที่มีแต่ป่าคอนกรีต.
.และทุกสรรพชีวิตมีแต่เร่งรีบแข่งขัน
ที่ผู้คนอลหม่านราวมดเมือง
หาความประเทืองประทับใจในน้ำใจ
และธรรมชาติได้ยากยิ่งขึ้นทุกวัน
หันหลังชนกันหันหน้าไปก็พบแต่
ความแล้งไร้
ซึ่งยิ่งหลอมละลายให้น้ำนวลในเนื้อจิตเนื้อใจ
นับวันจะค่อยๆหายไปสลายไปตามกาลเวลา
ไปกับฟ้ากับดิน
ที่ไม่เคยถวิลมีเวลาแม้นจะแหงนมอง
ว่านะบัดนี้
ฟ้ายังสีฟ้าดีอยู่หรือไร
หรือว่าแปรไปเป็นมืดดำเทาทึมด้วยมลพิษ
รอเวลา
จะมืดมิดไปตราบจนชั่วนิจนิรันดร์กาลแล้วหรือยัง
ด้วยพลังความชั่วร้ายรายรอบจากมนุษย์ทุกผู้
ทั้งผู้ประกอบการและผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ที่สรรสร้างสารพิษ
ผลิตผลิตภัณฑ์ทุกสรรพสิ่งหลากหลายประเภท
ออกมาจากโรงงานนานานับล้าน
มาเสนอสนองความเป็นอยู่นี้
ที่มิได้ใช้หลักการความสมถะพอเพียง
มาหลอกล่อเชิญชวนทางโฆษณา
เรียกร้องความต้องการตามๆกันไป
ให้มนุษย์ผู้สิ้นไร้ปัญญา
พากันดื่มกินบริโภคทรัพยากรเกินความจำเป็น
และจะเอาเวลาไหนแหงนเงยเล่า
หากหน้าตาและปากจ่อตลอดเวลา
อยู่ที่เครื่องมือสื่อสาร
ที่พูดจ้อจนน้ำตาลกระจายกระจุย
ไม่เลือกถิ่นที่
บางทีก็ทั้งตลกทั้งน่าขัน
ยามได้ยินเรื่องบางเรื่องในที่สาธาณะ
ที่หลุดออกมาจากคนพูดแบบไม่ได้ตั้งใจ
จนต้องหันหน้าหนีออกไปเบือนยิ้มด้วยกลั้นไม่อยู่
แล้วคิดดูๆให้ปลงตก
กับโลกแสนรก
แสนจะมากมีเทคโนโลยี่
ทั้งวี่วันกับสวรรค์นานา
ที่ต้องใช้เงินแลกมาใช้ความเครียดแลกไป
อย่างนี้จะมีเวลาที่ไหนให้ไหวเปิดละมุนละไม
ให้เนื้อใจแสนดีได้รับรสสดฉ่ำร่ำริน
ของธรรมชาติพิลาสพิไลได้เล่า
และนี่คือบทบาทชาวเมือง อันนะบัดนี้
ที่บาหลีมิเคยประเทืองประทับใจเอาเสียเลย
บาหลีจึงได้เพียงแต่พยายามวางเฉย
เฝ้าอดทนรอเวลา
เพียรพาร่างห่างมาจากลามาให้ลางเลือน
จากทุกสรรพสิ่งเสียง
แห่งดนตรีเมืองดนตรีคน
อันอลวนอลเวงวายวุ่นหมุนโลก
ให้ราวใกล้จะขาดเกลียวผึงออกจากกันไปทุกทีขณะทุกนาที..
บาหลี..ผู้หญิงช่างฝัน
ที่พยายามปันหอมหวาน
จึงแบ่งร่างและหัวใจ ไหวสะออนมารอออดอ้อนวอนเว้า
ให้ธรรมชาติแห่งเกาะในฝันสวรรค์สะอาดบริสุทธิ์
ที่ยังเงียบงามพิสุทธิ์ใสยังไกลห่างไกลโลกมายา
มาดูมาสัมผัสความฝันในวัยเยาว์อีกรูปแบบหนึ่ง
ที่ยังถูกซ่อนเร้นจากรอยเท้ามนุษย์มากมีมากมาย
ที่จะพากันมาบุกทำลายฝากรอยไว้ให้ทรายงาม
ราวถูกหยามเหยียบ
ทันที่..
ที่เครื่องบินจอดนะรันเวย์
และบาหลีสะพายกระเป๋าใบงามออกมา
รับกลิ่นบรรยากาศไอร้อนที่พร่างพรูมาทุกทิศทาง
แทนอากาศแอร์คอนดิชั่นฉ่ำเย็น
อย่างตามสนามบินหรู
คู่อาคารผู้โดยสารขาเข้าออกตามเมืองใหญ่ๆทั่วโลก
ที่ทำให้หัวใจดวงหดหู่เหงาเศร้า
ก็ราวกับดวงดอกไม้เมืองร้อนได้บานรับ
แสงตะวันจริงตะวันใจอีกคราครั้ง
อย่างวิญญาณนักท่องเที่ยวผจญไพร
บาหลี..ติดต่อกับบริษัทรถเช่าผ่านทางอินเตอร์เนต
ที่แสนสะดวกรวดเร็วและนะบัดนี้รถก็มาจอดรอรับ
เป็นที่เรียบร้อยเสร็จสรรพพร้อมที่จะขับออกไป
เธอ ก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ
พร้อมกับโยนกระเป๋าไปทางเบาะหลัง
พร้อมกันกับที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ที่จากนรกเมืองมาเสียแสนห่างไกลได้
เตรียมพร้อมเผชิญโชค
กับโลก..กับเกาะ*ลอมบอคในฝัน*อันคือสวรรค์ทายท้ารอพิสูจน์
ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
เธอสูดลมหายใจยาวอีกครา
รับเอาอวลหวานหอม
ของมวลพะยอมดวงดอกไม้เมืองร้อน
ที่กำลังร่ายฟ้อนเริงระบำอ้อนพรายแดดสลับสีสะพรั่ง
อยู่ริมสนามสองฟากฝั่งอาคารที่มุงหลังคาด้วยจาก
หากถูกออกแบบให้งามขึ้น
บาหลี..ยิ้มหวาน และค่อยๆสตาร์ทรถอย่างช้าๆ
พร้อมกับกางหนังสือแผนที่เส้นทาง
ที่มีไว้คู่กายไว้ใช้สำหรับวิญญาณนักผจญภัย
วางเคียงใจตรงหน้ารถ..
ใจดวงหวานละไมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
และ
นี่แหละคือสีสันของชีวิตนักเดินทาง
ที่ดังต้องมนต์เสน่ห์
ให้หัวใจและร่างอยากแรมรอนร่อนเร่
มิหยุดโอ้ละเห่หัวใจ
ให้ติดปีกโผผินบินท่องไป
ราวนกไพรหัวใจพเนจรไม่รู้สิ้นสุด..
ให้มนุษย์ผู้รักการแสวงหาชีวิต
แปลกเปลี่ยนได้สัมผัสรสชาติอันแสนหวานหอม
ทั้งของสถานที่
ทั้งธรรมชาติทั้งเมืองทั้งไพรทั้งผู้คน
ที่จะแปลกเปลี่ยนไปไม่มีวันเหมือนกัน
ได้เรียนรู้ประเพณี ภาษาวัฒนธรรม
ความเป็นอยู่ในวิถีอันแตกต่างกันไป
ที่จะนำมาเร้าไหวปลุกชีพชื่น
ให้รู้ตื่นมารับความจริงว่า
ธรรมชาติในโลกกว้างไกลนี้
ยังมีถิ่นที่อันแสนยิ่งใหญ่
อีกมากมายนักรอให้เราไปทายทัก
ไปค้นหาไปพักใจไปเสพสุนทรีย์
และ
พลีน้อมรับความจริงแห่งชีวิตว่าเรานี้ราวธุลีดิน
บาหลี..เพลินคิดไปนิดเดียว
พร้อมกับค่อยๆเหยียบคันเร่ง
พารถเคลื่อนตัวออกช้าๆ
หากแต่..!ทันพอที่จะเหลียวเห็นจากกระจกหลัง
ว่ามีใครบางคนวิ่งตามมาโบกมือให้ชะลอรถ..
บาหลี..จึงจำต้องหยุดรถ..
และค่อยๆเลิกแว่นสายตา
ดูใบหน้าผู้วิ่งตามหลังมาอย่างละล้าละลัง
อย่างน่าสงสาร
ที่กำลังยืนหยุดหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ
เพราะบนหลังยังมีเป้เดินทางใบใหญ่พอกันกับของบาหลี
ที่สะพายบนบ่ามาด้วย..
เขา..คนดีตรงหน้า
คือหนุ่มใหญ่ผิวคร้ามสีทองแดง
หากแต่สังเกต
ให้ดีราวจะแกล้มไปทางดำราวกับ
เพิ่งไปอาบแดดที่ไหนมา
และ
ที่บาหลีแสนรู้สึกดี
ที่แสนมีพลังตรึงใจให้บาหลีชะงักงันคือ
นัยน์ตาสีสนิมเหล็กที่แสนเศร้า
ดูสงบล้ำลึกราวผลึกน้ำค้างกลางใบบัวยามอุษาฟ้าสาง
ที่งามแผกพินิจ
ที่นะบัดนี้น้ำนัยน์ตาสวยเศร้านั้น
ราวกำลังทอแสงวะวิบวับรับแสงสีเงิน
ของเรียวแดดในยามสาย
ให้สะท้อนพรายงามจนน่าตะลึงหลงงงไปชั่วขณะ
บาหลีอึ้งอั้น ตกใจ!
ด้วยไม่เคยคิดว่า
ชั่วชีวิตหนึ่งนี้จะได้พบบุรุษที่
เกิดมาชาตินี้เธอคิดว่าเขาแสนจะโชคดี
ที่ได้รับพรประทานให้มีดวงตางาม
ราวเทพ..พรหมพลีใจปั้นตั้งใจส่ง
สั่งตรงให้ลงมาเกิดผิดที่
มาประดับผืนโลกนี้แทนสวรรค์
ในร่างผู้ชายกำยำที่ช่างหายากยิ่งนัก
ให้เกิดประกายรัศมีงามฉ่ำเย็นยามสบตา..
ราวกับมีพลังแสงแห่งเมตตาปรานีกระจายพรายพร่าง
คล้ายละอองน้ำค้างพร่างรินกระเซ็น
รายรอบให้สดชื่นในหอมห้วงแห่งดวงใจ
แล้ว
บทสนทนาเสียงนุ่มหนักแน่น
หากทว่าแฝงพลัง
อันอบอุ่นอ่อนโยนก็ตามมา
ที่นะนาทีแรกนั้น
บาหลีก็พลันลงความเห็นในใจ
*ผู้ชายอะไรช่างดูดีไปหมด..*ได้แค่นั้น
แม้กระทั่งน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน
อันอ่อนนุ่มราวขยี้ฟองเบียร์
ก่อนที่จะเอียงหน้าตั้งใจฟังคำบอกเล่าสนทนา
*ผมต้องขอโทษก่อนนะครับ
ที่มาโบกรถคุณให้หยุดกระทันหัน
ผมเห็นคุณ..ในเครื่องบินแล้วครับ
เพราะคิดว่าคุณต้องเป็นคนไทย
ผมกำลังจะหารถไปที่พักครับที่ Novotel Coralian Resort
ที่มีความผิดพลาดทางเทคนิคเกิดขึ้นครับ
รถของทางรีสอร์ทเกิดสตาร์ทไม่ติด
และ
ต้องรออีกคันมารับนานมาก
บังเอิญเจ้าหน้าที่
บอกว่าคุณกำลังจะไปที่นั่นครับ
แนะนำให้ผมลองตามคุณมาขออาศัยติดรถไปด้วยกัน
หากขี้เกียจเสียเวลานั่งรอจนมืดค่ำ
และบอกว่าเราสองคนชาติเดียวกันด้วย..
ผมจึงหวังว่าคุณจะกรุณานะครับ
เอาละซี..นะ
บาหลีคิด..ในใจ
จะทำไงดี
ทั้งที่ตั้งใจจะแวะชมสถานที่ต่างๆ
ตามรายทางก่อนจะถึงที่พักเพื่อเช็คอิน
เพราะนี่เพิ่งจะสายนิดเดียวเองยังมีเวลาเหลือเฟือ
บาหลี..หยุดคิด..และตัดสินใจบอกเขา
*ไม่รังเกียจค่ะ
เพราะเราคนไทยด้วยกัน
หากต้องให้คุณคิดตัดสินใจใหม่
ระหว่างรอรถมารับ
กับแกร่วห้อยตามฉันไปทุกที่
หลายที่ท่องเที่ยวรายทาง
ที่ฉันจะหยุดรถแวะชมก่อนถึงที่พัก
ให้คุณตัดสินใจว่าจะไปหรือจะอยู่รอนะคะ
จะได้มาบ่นว่าฉันทีหลัง
เพราะ
ฉันตั้งใจจะดูพระอาทิตย์ตกที่..ที่หาดมาวูน
ก่อนจะไปนอนฝัน
รอวันพรุ่งนี้ที่จะได้ออกสำรวจเส้นทาง
ผู้ชายนัยน์ตาช่างฝันอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน
ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที
ก่อนที่จะระล่ำระลัก
*ตกลงเลยครับดีเสียอีก
และขอบคุณคุณด้วยซ้ำที่ให้นั่งรถแล้วยังจะพาผมไปด้วย
เกรงแต่จะไปรบกวนคุณเท่านั้นเองครับ*
*ไม่เป็นไรค่ะ
ฉันเห็นใจเราคนไทยต่างบ้านต่างเมือง
และที่สำคัญ
คุณอุตส่าห์วิ่งตามมาตั้งไกล
หากให้คุณเดินแบกกระเป๋ากลับไปอีกรอบท่าจะลิ้นห้อยค่ะ*
อ้าวขึ้นมาค่ะ.
เสียเวลาเที่ยวแล้วละค่ะหากช้าไป*
*ตกลงคุณให้ผมขับดีไหมละครับ
ผมจะได้สบายใจว่าไม่รบกวนคุณเกินไปนะครับ*
ได้ค่ะยินดี มาค่ะ
งั้นส่งเป้มาฉันจะช่วยเก็บค่ะ*
และแล้ว...ราวฟ้าดินมีตา
หรือว่าโลกเรานี้
อยู่ในเงื้อมมือพระพรหมผู้บันดาล
ให้ร่างสองร่างต่างไม่รู้จักกันมาก่อน
ได้มานั่งอิงอ้อนเคียงกันไป
ราวกับ..
คู่หนุ่มสาวเกี่ยวก้อยกัน
มาดื่มน้ำผึ้งฝันพระจันทร์หวาน
ในท่ามกลางเวิ้งฟ้ากระจ่างใส
กับ
เรียวเมฆขาวละมุน
ดวงดอกแดดละอออ่อนอุ่น
กับสายลมพรายพร่างพรายพัด
ให้อบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน
พลันบังเกิดเกิดขึ้นในหัวใจคนไกลบ้าน
ให้ได้เริ่มฉากฝันสวรรค์หวานขึ้นนะบัดนี้
**********
จบภาคแรก..ยังมีต่อรอติดตามค่ะ
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4
จงรัก
ศรีไศล สุชาติวุฒิ : : Key F
โปรด อย่าถาม ว่าฉันเป็นใคร
เมื่อในอดีตและโปรด อย่าถาม
ว่าอดีต ฉันเคย รักใคร
รู้ไว้อย่างเดียว เดี๋ยวนี้รักเธอ
และรักตลอดไป รักมากเพียงไหน
กำหนดวัดได้ เท่าดวงใจฉัน
อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก
เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้
ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์
เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว
ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน
หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม
อย่า เพียรถาม ว่าฉันจะรัก
เธอนานเท่าใดฉันตอบไม่ได้
ว่าฉันจะรัก ชั่วกาล นิรันดร์
เพราะชี วิตฉัน คงไม่ยืนยาว
ไปถึงปานนั้นรู้แต่เพียงฉัน
หมดสิ้นรักเธอเมื่อ ฉันหมดลม...
18 ตุลาคม 2547 20:51 น.
พุด
url http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=594
(วันคอย)
*********
เย็นนี้กับตะวันดวงรอนรอน
ดวงอ่อนหวานหากดูงามเศร้ายิ่งกว่าทุกวัน
ไพลนั่งทอดตาดายเดียวเงียบๆลำพัง
ดูดวงดอกไม้สะพรั่ง..ริมชานเรือน..กระท่อมสีเบจ
กระท่อมกาแฟ..
ที่ดวงดอกกล้วยไม้หลากสี
กำลังชูช่ออวดสีสันหลากพันธุ์
ตามคาคบที่เกี่ยวเกาะ
ไปกับพญาสัตตบรรณ
ที่เป็นช่อชั้นแผ่กางกั้นราวร่มสีไพลสีธรรมชาติ
คันงามคันใหญ่
ร่มไม้แห่งรัก
ร่มใจที่ไพลได้มานั่งอาศัยริมชายคาแห่งรักนี้
ได้มาพักใจประจำทุกยามย่ำสนธยา
น้องสาวแสนงาม
ที่ไพลรักและสนิทมานาน
ในร้าน..บอกไพลว่า
พี่ไพล..สังเกตมั้ยคะ
หลายวันมานี้กล้วยไม้ของพี่ไพล
ที่พี่ไพลนำมาให้นั้น
พากันผลิชูช่อ..ราวกับจะ
แข่งกันอวดดอกละอองามไสวพร่างไปทุกราวกิ่ง
และ
น้องสังเกตเห็นว่า
เพราะ
หมู่นี้พี่ไพลมีความสุขร่าเริงอิ่มเอิบใจ
ก็แปลกดีนะที่กล้วยไม้และโมก
ที่พี่ไพลแสนรักเอยแสนรักในกมล
เฝ้าคอยประคบประหงมช่วยดูแล
พากันเอาใจพี่ไพลร่ายฟ้อนอ้อนหวานใส่เลย..ค่ะ
จริงๆนะ
น้องสังเกตมานานแล้ว
กล้วยไม้พี่ไพลไม่มีดอกมานานแล้วค่ะ
ขนาดให้ปุ๋ยแล้วนะคะ
คงเพราะดอกไม้คงเฝ้าดูเฝ้ารับรู้นะคะน้องว่านะ
อ้าวหรอกเหรอคะ.?.
ไพลหันไปหัวเราะตลก
แล้ว
วันนี้ทำไมไม่หุบกลีบล่ะคะ
เพราะว่ากลีบดวงใจพี่ไพล
ทำท่าจะหุบๆเหงาๆยังไงไม่ทราบเลยแล้วละค่ะ
นับจากนี้อีกหลายวัน
แต่ก็โอเคค่ะ..นะคะ
ชีวิตคนเรา
ก็ต้องมีทั้งวันทุกข์ท้อ
วันรอ..วันคอยใครบางคน
ผ่านมาในเส้นทางชีวิตนี้
ที่แสนวกวนเวียนว่าย
ให้มาทดสอบจิตก็ดีเหมือนกันว่าจริงไหมละคะ
จำได้ไหม
เมื่อหลายวันก่อน
พี่ไพลหน้าหวานบานแฉ่งเลย
มาเต้นไปยิ้มไป..
แล้ว
พอจะจำได้ไหม
ในวันนั้น
ดอกไม้ร่ายฟ้อนเริงระบำ
ด้วยความสุข
ยักเอวยักไหล่ไหวตามพี่ไพลไหมละคะ
ตอนที่พี่ไพลเต้นอย่างมีความสุข
ไพลหันไปหลิ่วตาล้อถามเธอ
พี่ไพลไปเต้นก่อนนะคะ
แล้ว
ฝากสังเกตกล้วยไม้ด้วยนะคะ
ว่าวันนี้
กล้วยไม้ไหวเอนอรชรอ้อนสายลมยามค่ำไหม
และไหวกิ่ง
ยิ้มหวานเศร้า
กับจันทร์เสี้ยวบนเรียวฟ้าเหมือนพี่ไพลมั้ยนะคะ
บาย..
***********
ยังมีต่อค่ะรจนาสด
เพิ่งกลับมาจากออกกำลังกายค่ะ
รอติดตามนะคะทุกดวงใจ
พุดไพรขอเวลานอก..พักครึ่ง
เดินเดียวดายไปเด็ดดอกการะเวก
และไปชมจันทร์เสี้ยวดวงเศร้าสักแป๊บนะคะ
เพียงอยากฝากใจฝากจันทร์
ไปถึงใครบางคนแค่นั้นค่ะ
ที่
คงอาจจะกำลังนั่งทำงานขมักเขม้น
และไม่มีเวลานั่งริมระเบียงดูทะเล
หรือดูจันทร์เสี้ยวอันแสนงาม
ที่กำลังคลี่ยิ้มหวานเศร้า
ราวรับรู้ความในใจ
ที่ใครคนนี้ฝากความรักห่วงใยถึงนะคะ
ฝากงานเรื่องน้ำตาดวงน้ำตาดาว
มาให้อ่านแทน
จนกว่าจะเติมรจนาต่อค่ะ
นะคะทุกคนดีที่รัก
และ
หากไม่กลับมาก็แสดงว่าไปสวดมนต์เข้านอนแล้วนะคะ
เพราะว่าหัวใจสะออนเหนื่อยจังค่ะ
**********
น้ำตาดวง..น้ำตาดาว พุดพัดชา
ค่ำคืนนี้....
ดวงมีเวลา....ทอดน่อง.....
ทอดอารมณ์....ทอดใจ...ทอดสายตา........
ไปตามถนนสายงามเส้นเล็กๆ...
หน้าบ้านของดวง.....ซึ่งแสนเงียบสงบ........
มีแต่เงาไม้...งามเรียงราย.....สองฟากฝั่ง........
สิ้นสุดซอย....
จะมีบ้านงาม..หลังใหญ่..ราวปราสาท....แทรกในดงไม้..
ตะคุ่มพุ่มพฤกษ์สูงลิบ..คลอรั้วสูงลิ่ว ..ปานกัน.........
ดวงชอบที่จะเดินผ่าน..ต้นไม้ที่รายเรียงเหล่านั้น......
และสมมุติตัวเองว่า....
กำลังเดินในป่าใหญ่....ที่ไหนสักหนแห่ง.......
แลลอด..แมกไม้ ใบบัง....
ดาวประจำเมือง....โผล่พ้นทิวไม้..ใสสุกปลั่ง.....
ราวราชินีดาว...รายเรียง
ด้วยรวงดาราดารดาษ....
พริบพราว..ล้อเลียนให้ดวงแย้มยิ้ม........
เลิกหม่นเศร้า......ร้าวรานใจ.............
ทุกคราครั้ง..
ที่..สายตา..สายใจงาม แลลืมไปเห็น...ฟ้ากว้าง....ในยามมืดหม่น........
พาใจ..ไหวหวั่น..อ่อนโยน..เดียวดาย....ประหลาดล้ำ...........
น้ำตาจากใจดวง...ร่วงพราวพร่าง....
ราวน้ำตาดาวร่วงหล่น.....ยามจากลาลับฟ้างาม.......
ในคืนฟ้ามืด...ที่ไร้สิ้นแสงแห่งเดือน..............
.น้ำตาดวงกับน้ำตาดาว.....ใครกันเล่า...จะร้าวระบม.....กว่ากัน...
ในค่ำคืนเดียวดาย
โดยลำพัง.....ณ..ยามนี้........
.
แก้ว...หน้าบ้านยืนต้นหม่นเศร้า....
ไร้ร้างราดอก..นับจาก..ฝนลาฟ้าหม่น...ทิ้งใบเหลืองพราว
เกลื่อนกล่น..ให้กวาดเช้า... เย็น
กล้วยกองาม...อวดใบสล้าง....แม้ในเงามืด.......
อิ่มเอิบราวสาววัยผลิบาน....
รอรับสายฝน....ยามวสันตฤดูเยือน.............
รูปทรง...งาม.....เรียบง่าย...ไร้มารยา....
มากล้นคุณค่า...จากรากลึก..สู่ใบ..ไปถึงผลงาม....
ม่ช้านานใบเขียวอ่อน...งามสล้างเผยอ..
รอรับหยาดน้ำค้างอรุณรุ่ง..ที่โลมไล้...พาใจให้ใสสดตาม
กลิ่นดอกวาสนา....ใกล้ราโรย......
หอมอวลลอยลม.....ชวนดอมดม.......
มิพักรอ..วาสนาอื่นใด........ใจก็ชื่น..ก็ฉ่ำพอแล้ว
กลิ่นหอมแผก...พันธุ์ไม้นานา...ยามทิวาลาลับไป..........
ราตรี.....โมก....เล็บมือนาง...มิหลับไหล...
ล้วนส่งกลิ่นฟุ้งหวาน.แทรกลมเย็นยามค่ำ
อบร่ำให้ใจแสนเศร้า..เฝ้าถวิลถึง...ใครบางคน....ที่แสนไกลห่าง........
การะเวกเหลืองอ่อน..นวลนุ่ม..บอบบาง..ราวผิวสาวไร้มือชายเชย.....
แค่สัมผัสพลัน...ร่วงหล่นพราวพื้น....พ้อลา..........
อยากดอมดม...พรมจูบ...ให้ชื่น..ต้องเหนี่ยวโน้มเบามือ...........
ไม้คู่สุข....คู่เศร้าเคล้าใจดวงงามตลอดปีเดือน...
ทนทาน...หวาน..หอมลึก.........
ประโลมใจ.......ไม่เคยหวั่นไหว.....แม้แดดลม......
..
ดวงดาริกา.....กระจ่างใส.....ในห้วงนภา....
แม้ฟ้าหม่นมัว......พันธุ์ไม้ไทย...แย้มกลีบหอม...
ทายทักราตรี.....สงบงาม.....พาใจทุกดวง.......ให้ไหลหลง...ลุ่มลึก..........
แม้ในความมืด..มีความงามงด....ซ่อนเร้นทุกอณู.......
เพียงใช้ใจสัมผัส..แผ่วเบา...ไม่รานรุก..
เปรียบดังยามชีวิต..และใจ..สิ้นไร้หวัง...หมองหม่น...ราวเมฆมืดบัง.........
ทอดน่องช้าๆ........ชายตา.....ชายใจ....สัมผัสทุกสรรพสิ่ง...........
พลังธรรมชาติ..แฝงฝัง ..เรียบง่าย สงบงาม
ตามพุ่มพฤกษ์ไพร ในโลกกว้าง
หยาดน้ำค้าง....ดวงดารา....ฟ้ามืดหม่น
ด้วยใจทั้งดวงที่..สงบนิ่งล้ำลึก.........
ปิติใจ ปิติงาม ปิติเงียบ
เปิดประตูใจให้กว้างกับโลกใบนี้.........
ที่มีสองด้านเสมอ
ใช้สายตา สายใจที่มีเยื่อใย เกี่ยวพัน .....ถึงน้ำ...
ถึงดิน.....ถึงลม .....เติมไฟฝัน....มิมีวันมอดสิ้น............
ฝากใจ ดวงงามล้ำค่า ยามราตรีนี้
ผ่านสายลมหนาว ฟ้ากว้าง
ขุนเขาลิบลิ่ว ทิวเมฆสล้าง
เพื่อเคียงชิดใกล้ ห่มใจด้วยใจ.......ให้คนไกล..
ได้ไออุ่น....หนาวคลาย....
เพื่อเร่งวันรอคืน กลับสู่ร่มรักเรือนใจแสนงาม.........
ที่มีผู้มากล้นใจรักภักดี...ร่ำร้อง.
เรียกหาทุกนาที........ที่ผันผ่านแม้นานนับ......นะดวงใจ...
...............
http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=594
วันคอย
เพลงเก่า : : Key F
ยอดรัก จงมองที่ขอบฟ้า
โอบๆโค้งลงมา
นั้นคืออ้อมกอดจากฉัน
ฮือๆ ฮือๆๆ
ยามเมื่อเราไกลกัน
เธอฉันดังอยู่เคลียไคล้
ยอดรัก สายลมแผ่วละมุน
นั่นคือสายลมอุ่น
ฉันพรมและจูบลูบไล้
ฮือๆ ฮือๆๆ
เธอรู้บ้างหรือไม่
รักใครไม่เท่าเทียมฉัน
คืนวัน จะผันแปรเปลี่ยนไป
แต่ใจฉันไม่อาจเปลี่ยนเวียนผัน
ซื่อตรง จงรักจนนิรันดร์
หากลืมฉัน ฉันคงต้องกลั้นใจตาย
ยอดรัก การจากทั้งผูกพัน
ย่อมจะคิดถึงกัน
เร่งวันคืนกลับเคียงกาย
ฮือๆ ฮือๆๆ
ครองรักไม่รู้หน่าย
วันตายนั่นแหละวันลืม
ยอดรัก การจากทั้งผูกพัน
ย่อมจะคิดถึงกัน
เร่งวันคืนกลับเคียงกาย
ฮือๆ ฮือๆๆ
ครองรักไม่รู้หน่าย
วันตายนั่นแหละวันลืม...