24 กุมภาพันธ์ 2552 09:27 น.
พี่สาว
นักศึกษาออกค่าย...พัฒนาชนบท
ขอเล่าย้อนกลับไปที่โรงเรียนเก่าในตำบลหนึ่งของกาฬสินธุ์ ปีนั้นมีคณะนักศึกษาและอาจารย์จากสถาบันราชมงคลหลายวิทยาเขตรวมกัน จากกรุงเทพฯ นำงบประมาณแสนกว่าบาท มาช่วยกันสร้างอาคารชั้นเดียวขนาดเล็ก ให้โรงเรียนตอนปิดภาคเรียน เป็นกิจกรรมที่อบอุ่น สนุกสนาน และประทับใจมากมาย
โรงเรียนมีครูผู้หญิง 3 คน ทุกวันเรามีหน้าที่ไปตลาดซื้อกับข้าวมาทำอาหารวันละ 3 มื้อให้คณะนักศึกษา 50 กว่าคน
พี่สาวเป็นคนชอบทำอาหาร เติบโตมากับร้านอาหาร งานนี้จึงสนุกเต็มที่ ช่วยกันคิดเมนูแต่ละวัน ช่วยกันหั่นเนื้อ หั่นผัก ทำต้ม ผัด แกง ทอด และของหวาน แบบมื้อไม้ยุ่งพัลวันกันไปหมด คนที่เหนื่อยที่สุดคือน้าเมฆ นักการภารโรงของเรา ต้องขอยกย่องให้เป็นหัวใจของโรงเรียนตัวจริง ใครอยากได้อะไร ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันสากกระเบือเรือรบ น้าเมฆไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง มีหัวใจนักบริการเต็มร้อย ไม่เคยบ่น หรือปฏิเสธ ยิ้มและพูด ครับ ครับ ลูกเดียว
ตอนกลางคืนพวกเราจะพากันก่อกองไฟ นักศึกษาบางคนมี
กีต้าร์มาด้วย พากันร้องเพลงประสานเสียงกับจิ้งหรีดเรไร
ในป่าดงพงไพร เราจะปิ้งข้าวจี่ชุบไข่ เป็นกับแกล้ม ไม่มีการดื่มน้ำเมาในโรงเรียน มีแต่น้ำฝนจากฟ้า เป็นภาพที่น่าประทับใจเสียจริง กลางวันทุกคนเหน็ดเหนื่อยจากงานก่อสร้างอาคาร แต่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีใครบ่นว่าเหนื่อยกันสักคน นี่แหละน้ำใจของคนไทยที่ไม่ทอดทิ้งกัน ช่วยกันสานฝันให้เด็กไทยในป่าได้มีการศึกษา
วันสุดท้ายก่อนลาจากกันด้วยน้ำตาและรอยยิ้ม ทุกคนอิ่มเอมใจที่ภาระหน้าที่ได้สำเร็จไปด้วยดี งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา.....แต่คราบน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ ยังคงอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป
คืนนั้นคุณปลัดที่รักได้ขับรถพาพี่สาวกลับบ้านที่ร้อยเอ็ดแบบเงียบๆ ปกติเราจะคุยกันในรถ แต่พี่สาวหมดแรงข้าวต้ม ขอหลับแบบนางเอก(อีกแล้ว) เอียงคอซบบ่าไปตลอดทาง แบบว่าโรแมนติคคือสโลแกนประจำตัว
21 กุมภาพันธ์ 2552 10:22 น.
พี่สาว
ออกเยี่ยมบ้าน....นักเรียน
โรงเรียนที่สอนเป็นโรงเรียนมัธยมระดับตำบล พี่สาวเป็นครูที่ปรึกษาชั้นม.4 มีนักเรียนในความดูแล 25 คน
แต่ละเทอมมีคำสั่งให้ครูที่ปรึกษาออกเยี่ยมบ้านนักเรียน เพื่อที่จะได้รู้จักกับผู้ปกครอง สอบถามปัญหา
เพื่อหาทางช่วยเหลือ ต้องมีการนัดกันก่อนว่าเสาร์หรืออาทิตย์ไหนจะไปบ้านใคร เพื่อที่ผู้ปกครองจะได้อยู่พบกับครู
เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก พี่สาวจะอ้อนคุณปลัดหนุ่ม(เป็นคนอ้อร้อนิดๆ)ให้ขับรถพาไปทุกวันหยุด อ้างว่ากลัวหมากัดบ้าง ขับรถไม่เก่งบ้าง ไปคนเดียวกลัวรถยางแตกกลางป่าบ้าง สารพัดเหตุผล จนเขาบอกว่าไม่ต้องอ้างโน่นอ้างนี่หรอก ยังไงก็ต้องพาไปอยู่แล้วคุณเมียบังเกิดเกล้า ก่อนออกจากบ้านเตรียมเสบียงเพียบ เพราะติดจากแม่ที่ต้องมีอาหาร ขนมนมเนย เวลาเดินทางไปไหนมาไหน ไม่เคยขาด (ชอบช่วยแม่ทำขนมปั้นสิบ ทองม้วน ครองแครงกรอบ ใ่ส่โหลไว้แจกญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง) เสบียงที่เตรียมไปมีกระติบข้าวเหนียว กาแฟเย็น และขนม อาหารก็จะไปซื้อไก่ย่างเจ้าอร่อย ส้มตำไทยใส่ปูในตัวอำเภอที่สอนอยู่ มีเสื่อหนึ่งผืน และหมอน แม่จะแซวว่า จะพากันไปเยี่ยมเด็กหรือไปกินข้าวป่ากันแน่
สัปดาห์หนึ่งไปเยี่ยมได้ 3-4 คน ถนนหนทางที่ไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง บางบ้านต้องจอดรถไว้แล้วเดินต่อไปอีก นักเรียนจะมารอรับครูที่ปากทาง สภาพของลูกศิษย์บางคน ทำให้ครูได้แอบเช็ดน้ำตา (ไม่ถึงกับต้องซบบ่าปลัดร้องไห้หรอกนะ นางเอกเกินไป) บ้านเป็นกระท่อมมุงหลังคาเก่าๆ อยู่กับตา ยาย พ่อแม่เข้ากรุงเทพฯไปหางานทำ ขับแท็กซี่ ทำตามโรงงาน
ครูจะทำบันทึกปัญหาของนักเรียนแต่ละคน เพื่อหาทางช่วยเหลือ ครูพี่สาวให้สะท้อนใจเมื่อเห็นแววตาเศร้าๆของลูกศิษย์
ที่คิดถึงพ่อแม่ จะยากดีมีจนไม่ว่า ถ้าได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว สายใยแห่งความรักจะทำให้เด็กอบอุ่น มีกำลังใจสู้ชีวิต
เมื่อเยี่ยมครบทุกคนแล้วเราจะพากันจอดรถข้างทาง หาที่ปูเสื่อนั่งกินข้าว กว่าจะได้กิน ส้มตำรสเซ็งไปหมดแล้ว แต่เวลาหิวจัดๆ อะไรก็อร่อยไปหมด อิ่มแล้ว คนขับรถประจำตัวก็ขอหมอนนอนหลับงีบสักพัก พี่สาวจะนั่งพิงหลังคอยดูว่ามีมดแดง หรืองูมาเยี่ยมหรือเปล่า ก่อนพากันกลับบ้าน
ที่โรงเรียนนักเรียนบางคนไปโรงเรียนไม่ได้ห่อข้าวไปด้วย ตอนกลางวันจะไปนั่งหลบตามใต้ต้นไม้ วันไหนที่ว่างพี่สาวก็จะห่อข้าวไปเผื่อ ซื้อส้มตำจากแม่ค้า ไปนั่งกินกับเด็กใต้ต้นไม้ ลมพัดเย็นสบาย แต่นั่งนานไม่ได้ มีงานตรวจการบ้านภาษาอัังกฤษกองอยู่อีกหลายตั้งบนโต๊ะ และมีหน้าที่เป็นหัวหน้างานห้องสมุด เป็นครูบรรณารักษ์ ต้องอยู่ประจำห้องสมุดเวลาที่ไม่มีชั่วโมงสอน แม่พี่สาวจะห่อข้าวให้ทุกวัน อาหารที่ชอบคือ ห่อหมกปลา นึ่งปลา ปลาย่าง พี่สาวไม่กินเนื้อวัว เลยชอบเนื้อปลามากๆ
นี่คือชีวิตครูบ้านนอก ที่ทุกวันนี้ยังคิดถึง อยากกลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีก แต่พรหมลิขิต ทำให้ได้ระหกระเหินพากันมาอยู่ต่างแดนแสนไกล ที่จะเขียนในตอนอื่นๆต่อไป